ท่าเรือที่ 2
ปลาทองหน้าโง่
ตื้อดึง! ตื้อดึง! ตื้อดึง!และอีกหลายตื้อดึง
“โว้ยยย” ผมสบถลั่นให้กับเสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมยอดฮิตที่มีหมีสีน้ำตาลและผองเพื่อนเป็นตัวเรียกแขก
“ใครวะ”
เมื่อกดปุ่มโฮมตรงด้านล่างจอโทรศัพท์สีขาวของผม หน้า lock screen ก็สว่างขึ้นปรากฎชื่อที่คุ้ยเคยของเพื่อนซี้สองคนที่มันกำลังโวยวายเรียกผมอยู่ในกลุ่มแชท
-คนหล่อ2017-นั่นแหละครับชื่อกลุ่ม
Today
GU PHAK
เจ้า
อยู่มั้ยวะ
ไอ้เจ้าโว้ยยย
Inn-Touch
มันหลับแล้วมั้งมึง
GU PHAK
ไอ้เจ้าไม่หลับเร็วขนาดนี้
มันถึงบ้านยังวะ
JAO-YA
พวกมีงมีไร
ถ้าเหตุผลที่เรียกกูย้ำๆฟังไม่
ขึ้น มึงโดนกูด่าแน่ กำลังดู
GOTอยู่สัด เสียเวลา
GU PHAK
มึงรู้จักพี่เกียร์หรอ?
JAO-YA
เกียร์?
เอาตามจริงก็ ไม่ว่ะ
Inn-Touch
แต่วันนี้ทำไมมึงถึงทำท่าตกใจ
ตอนเห็นหน้าพี่เขาล่ะ
GU PHAK
เออ ใช่ มีไรที่พวกกูไม่รู้
JAO-YA
โอ้ยยยยยย
กูจะเริ่มเล่าไงดีวะ
กูก็งงอยู่เนี่ยว่าทำไมรุ่นพี่มึงคน
นั้นถึงทำเหมือนรู้จักกู คืองี้มึง...
แล้วผมก็เล่าเรื่องเมื่อวานตอนเย็นที่ผมเดินชนรุ่นพี่ของไอ้ภาค รวมถึงคำพูดแปลกๆทั้งหมด ไอ้สองคนนั้นก็วิเคราะห์กันไปต่างๆนานา ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไรหรอก บางทีก็ขี้เกียจคิด พี่เกียร์อาจจะแค่จำคนผิดก็ได้ ผมก็คุยกับพวกมันอีกสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน ไอ้ภาคมีการย้ำด้วยนะว่าพรุ่งนี้ให้รอฟังข่าวดี แหม มั่นใจนักนะมึง
---------------------------------------------------
เช้าวันใหม่อันแสนสดใส วันที่ผมไม่ต้องเร่งรีบกับการเดินทางเหมือนเมื่อวาน ขึ้นเรือตากลมตอนเช้าๆซึมซับบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไปต่อรถไฟฟ้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถาบันการศึกษาชื่อดังใจกลางเมืองของผม
การเรียนในภาคเช้าเป็นไปอย่างราบรื่น ผมกับอินเวลาเรียนจะตั้งใจกับเนื้อหาที่เรียนมากๆ เพราะเชื่อมาตลอดว่าการตั้งใจเรียนในห้องคือการเรียนที่ดีที่สุด ตอนสอบก็ไม่เคยเหนื่อยเลย อ่านหนังสือทบทวนเล็กน้อยก็พอจะทำข้อสอบได้ ตอนสอบเหนื่อยสุดก็ตรงที่ต้องมานั่งติวไอ้ภาคเนี่ยแหละ รายนั้นชอบมากกับการเป็นอัจฉริยะข้ามคืนผมสองคนทำแบบนี้กันมาตั้งแต่ ม.ปลาย หวังว่าวิธีนี้จะทำให้พวกผมอยู่รอดปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัยนะครับ เหอะๆ
พอสัญญาณเลิกคลาสจากอาจารย์ผู้สอนดังขึ้น ผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแลคเชอร์เพื่อพักสายตา ปล่อยให้อินเก็บของไปพลางๆรอให้เพื่อนคนอื่นๆออกจากห้องไปก่อน
“เจ้า วันนี้กินข้าวที่ไหนดี วันนี้มีเรียนบ่าย” อินเอ่ยถามผม แต่ประโยคตามหลังคงจะสื่อว่าไม่อยากไปไกลจากตึกมั้ง
“มึงเลือกเลย” ผมตอบทั้งที่หน้ายังฟุบอยู่ที่โต๊ะ
“งั้นกินก๋วยเตี๋ยวป้าเย็นกัน”
ผมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าอิน พร้อมกับเลิกคิ้วใส่มัน
“มึงแน่ใจหรออิน ป้าเย็นนะมึง”
“เออ คนอื่นก็คงคิดแบบมึง เขาก็เลือกที่จะไม่กิน ทีนี้คนก็ไม่เยอะ” มันร่ายเหตุและผลที่มันเชื่อมโยงแบบที่ผมยังงงๆพร้อมรอยยิ้ม
“งั้นแล้วแต่มึงเลย”
แล้วผมกับอินก็เคลื่อนย้ายตัวเองออกจากห้องเรียนไปยังโรงอาหารคณะเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวป้าเย็นที่ย่อมาจาก ป้าใจเย็น ขอให้กูได้กินวันนี้เถอะ
---------------------------------------------
หลังจากมื้อกลางวันผ่านไปแบบโล่งใจ ผมกับอินที่เข้าเรียนภาคบ่ายได้ทันก็ตั้งใจเรียนกับเนื้อหาเช่นเคย ปากกาเมจิกหลากสีที่มีผมก็ใช้จดแลคเชอร์แยกสีแยกประเด็นอย่างชัดเจน พ่อแม่ต้องภูมิใจ
“ฮ้าววววว” เสียงอินหาววอดๆอยู่ข้างผมหลังจากการเรียนภาคบ่ายจบลง
“เย็นนี้ไปไหนปะวะ”
“ไม่รู้อ่ะ คงกลับบ้านเลยว่ะ” ผมเอ่ยตอบพร้อมกับเก็บของเข้ากระเป๋า
“เจ้าๆ มีคนมาหาอ่ะ” เสียงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนมาจากทางประตูห้องเรียน
“ใครวะ” ผมหันหน้าไปสบตากับอิน มันก็สบตากลับ คงสงสัยเหมือนกันกับผม เราสองคนเลยลุกขึ้นเพื่อออกไปหน้าประตูห้องเรียนเพื่อคลายความสงสัย
“ไอ้เจ้า!!” เสียงคุ้นเคยดังลั่นก่อนร่างสูงของเจ้าของเสียงจะโถมเข้าหาตัวผม พร้อมกับยกแขนขึ้นโอบรอบตัวผมไว้แน่น
“ไอ้ภาค? อ๊อกๆ แค่กๆ มึงปล่อยกูก่อน” ไอ้ภาคกอดผมแน่นมากจนต้องยกสองมือขึ้นดันตัวมันออก วันนี้มันแต่งชุดพิธีการซะเรียบร้อยเลย ทรงผมก็ถูกเซ็ทให้เข้ากับหน้าหล่อๆของมัน สมราคาเดือนคณะวิศวะฯปี 1 จริงๆ
“ไอ้เจ้า ไอ้อิน กูโคตรดีใจ”
“ดีใจอะไรของมึงวะ” อินเอ่ยถาม
“เอ้า ก็เมื่อวานกูบอกให้พวกมึงรอฟังข่าวดีเรื่องอะไรล่ะ” ไอ้ภาคพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมยักคิ้วให้ผมกับอินสองที น่าเตะมากมึง
“เรื่องประกวดพาน?” อินย้อนถามไอ้ภาค
“ถูกต้องนะคร้าบบบบ เรื่องนั้นแหละ”
“อย่าบอกนะว่า....” ผมเอ่ยพร้อมหยุดคำถามไว้แค่นั้น
“พานไหว้ครูภาคกูได้ที่ 2 โว้ยยยยย ไอ้เจ้า ไอ้อิน มึงได้ยินมั้น พานภาคกูติด 1ใน 3 โว้ย” ไอ้ภาคตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจที่มันแสดงออกทางสีหน้าท่าทางที่ปิดไม่มิด แถมกระโดดรวบตัวผมกับอินเข้าไปกอดพร้อมกันอีก คิดดูเอาว่าขนาดตัวพวกผมกับไอ้ภาคต่างกันแค่ไหน เรากระโดดโยกตัวเป็นเด็กน้อยสามคนที่ยืนกอดกันกลม คงเป็นภาพที่ตลกน่าดู
“เออ วันนี้พวกกูจะไปฉลองให้กับรางวัลอันยิ่งใหญ่ เพื่อนกูเลยให้มารับพวกมึงสองคน”
“จริงๆมึงโทรมาบอกก็ได้นี่หว่า ถ่อมาทำไมถึงนี่ แล้วค่อยนัดเจอที่ร้าน”
“ไม่ กูอยากมาบอกด้วยตัวกูเอง เพราะกูโคตรดีใจอ่ะมึง ขอบคุณพวกมึงอีกครั้งนะเว้ยที่มาช่วยอ่ะ ถ้าไม่ได้พวกมึงก็คงไม่ได้รางวัลนี้แน่ๆ แถมอาจจะไม่มีพานไปไหว้ครูอีก”
“เออ ไม่เป็นไร กูบอกแล้วว่าเลี้ยงให้คุ้มค่ากับเวลาที่กูเสียไปก็พอ ฮ่าๆ” ผมตอบตัดบทซึ้งๆของไอ้ภาคด้วยคำพูดฮาๆ
“งั้นพวกมึงสองคนเลือกมาเลยว่าจะกินอะไร”
“อ่าว ก็ต้องถามพวกเพื่อนมึงด้วยสิภาค” อินเป็นฝ่ายเอ่ยตอบไอ้ภาค
“พวกมันตามใจอยู่แล้ว พานได้รางวัลก็เพราะพวกมึงมาช่วย มันไม่กล้าขัดหรอก”
ให้พวกผมเลือกหรองั้นก็ลาภปากผมละ มีอาหารที่อยากกินอยู่พอดี ละตอนนี้ก็หิวแล้วด้วย สูญเสียพลังงานไปมากกับการเรียนภาคบ่าย หึหึ งั้นผมคงจะไม่เกรงใจ ขอจัดหนัก
“งั้นกูเลือกเอง พวกมึงอย่ามาบ่นนะ กูจะจัดหนักๆให้สมน้ำสมเนื้อเลย” ผมพูดพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์วาววับจ้องมองมัน
“เออ แล้วแต่มึง งั้นรีบไปคณะกูกัน”
------------------------------------------------------------
ใช้เวลาไม่นานไอ้ภาคก็พาผมกับอินมายืนอยู่หน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิศวกรรมโยธา
ผมได้ยินเสียงดังแว่วมาจากทางใต้โถงอาคารที่เมื่อวานผมอยู่ที่นี่ตลอดช่วงบ่ายเพื่อช่วยเพื่อนชาววิศวะฯปี 1 ทำพานไหว้ครู สักพักเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามา พร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ผมพอจะคุ้นหน้าเดินเข้ามาทางที่พวกผมสามคนยืนอยู่
“เจ้า!!!/อิน!!!” เสียงใสสองเสียงดังพร้อมกันมาในโสตประสาทพร้อมกับร่างเล็กๆที่ดูก๋ากั่นวิ่งเข้ามาทางผม
เธอกระโดดกอดผมแน่นมาก ส่วนอินก็มีสภาพไม่ต่างจากผม เพราะแยมวิ่งไปกอดอินแน่น
“โอ้ยๆ ส้มๆ แน่นไป เจ้าหายใจไม่ออก”
“เห้ย โทษๆเจ้า ส้มลืมตัว ก็ส้มดีใจอ่ะ พานเราได้รางวัลที่ 2 เลยนะ” เธอคลายวงแขนที่กอดผมอยู่ออกก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใส
“พวกเราดีใจมากตอนได้ยินเขาประกาศชื่อภาคโยธา” แยมเอ่ยสัมทับความดีใจพร้อมกับปล่อยตัวอินให้หลุดจากการกอดรัดของเธอ
“งั้นวันนี้เราไปฉลองกัน เจ้ากับอินเลือกเลยว่าจะกินอะไร” เพื่อนผู้ชายคนนึงของไอ้ภาคเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังของสาวๆ
“งั้นไป….”
ระหว่างที่พวกวิศวะฯปี1 ให้ผมกับอินเลือกร้านที่พวกผมอยากกิน ก็มีเสียงเอ่ยขัดคำพูดผมขึ้น
“ไง พวกมึง กำลังจะไปไหนกัน” เสียงพี่มายด์ที่ดังมาก่อนตัว จนทุกคนต้องหันไปตามเสียง ผมก็หันตามไปเช่นเดียวกันสิ่งแรกที่เห็นคือ สายตาคู่เดิม สายตาของพี่เกียร์
คราวนี้พี่เขามากัน 4 คน มีผู้หญิงหุ่นดี 1 คนเดินมาด้วย เธอมีผิวสีแทน หน้าตาคม สวยแบบผู้หญิงไทย สำหรับผมคือโคตรสวย แล้วพอมาเดินในกลุ่มของพี่เกียร์แล้วนั้น บอกได้คำเดียวว่า เป๊ะ!!!
“หวัดดีครับพี่/หวัดดีค่ะพี่”
“กำลังจะไปฉลองให้กับรางวัลพานไหว้ครูวันนี้ไงพี่” ไอ้ภาคเป็นฝ่ายเอ่ยตอบพี่มายด์
“เห้ย พานได้รางวัลหรอวะ จริงปะเนี่ย” พี่มายด์ทำหน้าตกใจ พร้อมย้ำถามทวนคำตอบ
“ก็จริงดิ ได้ที่ 2 เลยนะพี่ ไงล่ะ ฝีมือพวกผม” ไอ้ภาคยกมือตบอกพร้อมยักคิ้วให้พี่มายด์ เอ่อ ภาค นั่นรุ่นพี่มึงนะ ถึงไอ้ภาคจะตัวสูงกว่าพี่มายด์อยู่หน่อยนึงก็เหอะ
“เหยดดดดด สรุปวันนี้มีคนเสียตังค์ ฮ่าๆ” พี่ผู้หญิงหน้าคมพูดขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดังแบบไม่ห่วงสวย
“เอ้อ จริงด้วย พี่มายด์บอกว่าถ้าพานติด 1ใน3 จะเลี้ยง” ส้มเอ่ยขึ้นมา
“ใช่ๆ”
“พี่อย่าเบี้ยวนะเว้ย”
“เจ้า อิน เลือกหนักๆเลย ฮ่าๆ”เสียงพวกปี1 ย้ำคำสัญญาเมื่อวานที่พี่มายด์ลั่นวาจาไว้
“เอ้อ กูบอกเลี้ยงก็เลี้ยงดิวะ แต่มึงลืมหรอว่ากูบอกว่าใครจ่าย ฮ่าๆ” พี่มายด์หัวเราะเสียงดังอีกคน แล้วหันไปหาสมาชิกกลุ่มอีกสองคนที่ยืนเงียบ คือตั้งแต่มายังไม่ได้ยินเสียงพี่สองคนนั้นเลยนะ นิ่งชะมัด
“ไง เกียร์ ไอ้มายด์เล่าให้กูฟังเมื่อวาน วันนี้มึงได้เสียตังค์จริงว่ะ” พี่ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทักเพื่อนหน้านิ่ง
“อืม ไม่มีปัญหา แล้วจะกินอะไรกัน”
“พวกผมให้เจ้ากับอินเลือกอ่ะ เพราะสองคนนี้ ทำให้พานเราได้รางวัล”
“เจ้า? อิน?” เสียงพี่ผู้หญิงหน้าคมเอ่ยขึ้น พร้อมมองมาทางผมกับอิน
“เอ้อ พี่โซ่ นี่เจ้ากับอิน เพื่อนผม เรียนเภสัชฯ พานได้รางวัลเพราะมันสองคนเลยนะ ส่วนนี่พี่โซ่นะ รุ่นพี่ปี3 ป้ารหัสสุดสวยของกู” ไอ้ภาคแนะนำผมกับอินให้พี่คนสวยที่ชื่อโซ่รู้จัก แล้วประโยคหลังมันหันมาบอกกับผมด้วยรอยยิ้ม
สายรหัสมึงนี่ หน้าตาดีทั้งสายเลยปะวะ อยากเห็นหน้าพี่รหัสมันละ
“หน้าตาน่ารักนะเรา หยิกแก้มทีได้ปะ”
“งื้อออออ พี่ ผมเจ็บๆ”
“โอ้ย น่ารักว่ะ ไอ้ภาค มีเพื่อนน่ารักๆแบบนี้ทำไมเพิ่งพามาให้รู้จัก”
“เอ้า ก็เพราะมันน่ารัก ผมเป็นพ่อมันก็ต้องหวงดิ ฮ่าๆ”
“เพื่อนอีกคนทำไมเงียบจัง เป็นไรป่าวน้อง” พี่โซ่ถามพลามมองไปทางอิน ที่ยืนเงียบมาสักพักแล้ว
“อ๋อ อินมันเป็นงี้แหละพี่ อยู่กับคนไม่คุ้นมันไม่ค่อยพูด ขี้อาย ผมเลยเป็นพ่อลูกสอง ฮ่าๆ”
“พ่องงง!!” ผมกับอินหันไปพูดใส่ไอ้ภาคเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” แล้วคนทั้งวงที่ยืนอยู่ก็หัวเราะพร้อมกัน
หัวเราะอะไรกัน…
“สรุปจะไปไหน ชักช้าเดี๋ยวรถติด” เป็นเสียงเรียบๆของพี่อีกคนที่ผมจำได้ว่าชื่อพี่พี เอ่ยถามขี้นมาแหวกเสียงหัวเราะ
“เจ้า เลือกดิ”
“เอ่อ...คือ...เอ่อ งั้นผมไม่เกรงใจละนะ” ผมพูดตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะจากตอนแรกที่กะมาผลาญไอ้ภาคและผองเพื่อนเต็มที่ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าพี่เกียร์เลี้ยง แผนผมเลยดูท่าว่าจะล่ม ไม่กล้าว่ะ แหะๆ
“อืม” พี่เกียร์เอ่ยตอบเสียงใจลำคอ
“ผม..ผม...ผมอยากกินหมูกะทะ!!!” ผมตอบเสียงดังฟังชัด
“ห๊ะ!!!” ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกัน
ผมทำหน้างงใส่ทุกคน ก็ผมอยากกินหมูกระทะ ทำไมต้องตกใจละทำหน้าแปลกใจขนาดนั้น
“อุ๊ป..!.! ฮ่าๆๆ โอ้ยยย น้องเจ้า ไอ้เกียร์เลี้ยงทั้งที น้องเจ้าอยากกินหมูกระทะเนี่ยนะ” พี่มายด์หัวเราะขึ้นมาพร้อมเอ่ยเหมือนผมทำเรื่องประหลาด
“ฮ่าๆ เจ้า ส้มก็คิดว่าเจ้าอยากกินอะไรในร้านอาหารหรูๆ หรือไม่ก็ฉลองที่ร้านเหล้าอะไรงี้”
“อ่าว แล้วมันแปลกยังไงอ่ะ เวลาฉลองอะไรที่ร้านหมูกระทะมันแปลกหรอ ไม่ดีหรอ”
“ดีสิ ไม่แปลกหรอกมึง แค่มันแปลกสำหรับไอ้พวกนี้ พวกนี้แม่งฉลองกันเป็นแต่ร้านเหล้ามั้งเหอะ” ไอ้ภาคตอบผมพลางชี้ไปทางเพื่อนๆมันที่ยืนทำหน้ากลั้นยิ้ม ส่งสายตาเอ็นดูมาให้ผม
งื้อออออ ทำไมต้องทำสายตาแบบนั้น ก็คนมันอยากกินหมูกระทะนี่หว่า
“สรุปไปกินหมูกระทะนะ” พี่มายด์หันมาถามผม ด้วยสีหน้าที่ย้ำว่าผมไม่เปลี่ยนใจนะ
“ครับๆ” ผมพยักหน้ารัวๆใส่พี่มายด์ เหมือนที่เคยทำใส่พ่อกับแม่ หรือแม้แต่ไอ้ภาคกับอิน เวลาได้สิ่งที่ถูกใจ แต่ผมดันลืม ว่านั่นพี่มายด์
“ฮือออออ น้องเจ้า น่ารักอ่ะ อย่าไปทำหน้าแบบนี้ใส่ใครนะ เดี๋ยวโดนฉุด” พี่โซ่พูดพร้อมเดินเข้ามาประชิดตัวผมแล้วยกมือสองข้างขึ้นประกบแก้มผมแล้วบีบจนปากผมยู่
“พี่โซ่ ปล่อยเลยๆ เพื่อนผมกลัวหมดละเนี่ย ไอ้เจ้ามันผู้ชายนะ ใครจะฉุด ถึงสภาพมันจะน่าฉุดบ้างก็เหอะ” ไอ้ภาคง้างมือป้ารหัสมันออกจากแก้มผม แถมยังหันมาพูดกับผม ประโยคแรกๆมันก็ดีนะภาค แต่หลังๆนี่ยังไงวะ กูเพื่อนมึงนะ!!
“แล้วจะไปกันได้ยัง ร้านไหนอะที่อยากกิน แล้วไปกันยังไง” เสียงเรียบๆที่เงียบไปนานของพี่เกียร์ดังขึ้น เขาเอ่ยถามพ่วงด้วยสายตาที่มองมาที่ผม แววตาสื่อชัดเจนว่าให้ผมตอบ
“เอ่อ..ร้านตรงทางไปอนุสาวรีย์ก็ได้พี่ ติดกับรถไฟฟ้าอ่ะ เดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้าไปกันก็ได้ เร็วดี” ผมตอบออกไปแต่ไม่ได้สบตาพี่เกียร์ตรงๆ ผมมองรวมๆไปที่ทุกคน
“อืม” เสียงในลำคอของพี่เกียร์ตอบมาแค่นั้น
“ไอ้เจ้า กูเอารถมา เดี๋ยวมึงกับอินไปกับกู แล้วก็ไอ้แทนเพื่อนกู” มันพูดกับผมพลางชี้ไปที่เพื่อนมันอีกคนที่ยืนเยื้องๆกับอิน ผมมองตามมือมันไป ก็เห็นไอ้แทนยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบตามนิสัยของผม
“ไปด้วยกันนะเจ้า” ไอ้แทนเอ่ยกับผมด้วยรอยยิ้ม ไหนจะสายตามันอีก อืม สงสัยเป็นคนเฟรนด์ลี่ ยิ้มเก่ง และพอผมจะเอ่ยปากตอบรับไอ้แทน
“อ๊ะ!” ก็รับรู้ได้ถึงแรงจับบริเวณต้นคอด้านหลัง พร้อมแรงดึงที่ดึงตัวผมแทบปลิวตามแรงนั้นไป
“เห้ย!! พี่เกียร์” ไอ้ภาคร้องเรียกชื่อรุ่นพี่มันดังลั่น ทำให้ผมได้รู้ว่าเป็นใครกันที่ดึงผมจนเกือบล้ม
จากที่คิดว่าล้มแน่ๆเพราะไม่ได้ตั้งตัว แต่แผ่นหลังผมกลับสัมผัสกับความแน่นบริเวณช่วงตัวของคนที่จับต้นคอผมอยู่
“พี่ทำอะไรเนี่ย ผมเจ็บนะ” ผมเอี้ยวหน้าที่ขมวดคิ้วเป็นปมหันไปมองเจ้าของมือที่สัมผัสต้นคอผมอยู่ ที่ตอนนี้มันกำลังเปลี่ยนมาเป็นต้นแขนขวาของผม
“นั่นดิ ไอ้เจ้าเกือบล้ม พี่ดึงคอเพื่อนผมทำไมเนี่ย”
ตอนนี้หน้าทุกคนดูงงกับเหตุการณ์ว่าพี่เกียร์ทำอะไร อยู่ดีๆก็มากระชากคอกัน เป็นบ้าไงเนี่ย แต่ก็มีแต่หน้าของรุ่นพี่ปี 3 ที่ไม่ได้ดูเดือดร้อนอะไร แถมพี่มายด์กับพี่โซ่ ยังมาทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ผมอีก
อะไรของพวกพี่เนี่ย เจ้างงโว้ย
“มึงไปกับกู”
“ไม่เอา ผมจะไปกับเพื่อน”
“ไม่ได้ มึงต้องไปกับกู”
“แล้วทำไมผมต้องไปกับพี่” ผมตอบอย่างหัวเสีย จะบังคับผมทำไมเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด
“ก็...กูไม่รู้ทาง กูจะเอารถกูไป เพราะงั้นมึงต้องไปกับกู”
“ห๊ะ! โหยพี่ ไม่รู้ก็ถามดิ ต้องให้ไปด้วยทำไม เสิร์ชชื่อร้านในกูเกิลแมพก็เจอละ”
“ไม่! พวกมึงไปร้านกันถูกใช่มั้ย” พี่เกียร์ก้มลงมาปฏิเสธผมเสียงดัง ก่อนจะเบือนหน้าหันไปถามพวกวิศวะฯปี1 รวมถึงไอ้ภาคด้วย
พวกนั้นพยักหน้าตอบพี่เกียร์ด้วยแววตางงๆทุกคน ไอ้ภาคก็ดูงงๆกับการกระทำของรุ่นพี่มัน ผมสบตากับไอ้ภาคกระพริบตาปริบๆเพื่อขอความช่วยเหลือจากมัน พลันสายตาไปหยุดอยู่ที่แทน แววตามันดูแปลกไป
“งั้น ก็เอาตามนี้ ใครมีรถก็ขับไป จากจำนวนจนกับจำนวนรถก็พอจะอัดกันไปได้อยู่” ไอ้ภาคสรุปตัดบท
ไอ้ภาคคคคค มึงช่วยกูก่อน
อินที่ยืนนิ่งมองมาที่ผม สายตาที่ส่งมาคือช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
“งั้นให้อินไปกับผมด้วย” ผมเงยหน้าพูดกับร่างสูงที่ยังคงจับต้นแขนผมไว้
“ไม่ได้”
“เอ้า ทำไมอ่ะพี่”
“รถกูนั่งได้สองคน เลิกพูดมาก มานี่”
พูดจบ คนที่สูงกว่าผม 10 กว่าเซนฯก็ลากแขนผมให้เดินไปตามทิศทางที่เขาต้องการทันที
โอ้ยยยย นี่จะไม่ให้ตั้งตัวกันก่อนรึไง ล้มไปทำไงวะเนี่ย ละแรงจะเยอะไปไหน ผมได้แต่หันไปมองกลุ่มคนที่ยืนงงกับการกระทำของพี่เกียร์ ไม่มีใครพูดอะไร แล้วทุกคนก็เริ่มแยกย้าย
มีแต่ผมที่แยกมาในสภาพที่เหมือนโดนฉุด
เขาเดินลากแขนผมมาทางที่จอดรถของคณะวิศวะฯ ที่ใช้เวลาเดินปกติไม่นานก็ถึง ผมใช้สายตาสอดส่องหารถพี่เกียร์ว่าคันไหนวะที่มันนั่งได้สองคน ซื้อรถมาไม่มีประโยชน์จริงๆ
สักพักคนเอาแต่ใจก็พาผมมาหยุดยืนอยู่ตรงข้างๆที่จอดรถ
‘มอเตอร์ไซค์’
แต่...เป็นรถบิ๊กไบค์สีดำ ยี่ห้อหรือรุ่นอะไรผมไม่เชี่ยวชาญพอที่จะรู้สึก แยกได้แค่รถมีเกียร์กับไม่มีเกียร์
“ใส่ซะ” พี่เกียร์ยืนหมวกกันน็อคแบบเต็มใบให้ผม กระจกกันลมเคลือบด้วยปรอทเงาวับ แต่ผมยังไม่รับมา
“เดี๋ยวนะ พี่จะพาผมขับเจ้านี่ไปเนี่ยนะ”
“อืม ก็บอกแล้วว่านั่งได้สองคน”
“โหยพี่ มันดูอันตรายอ่ะ ให้ผมไปนั่งกับไอ้ภาคเหมือนเดิมเหอะ” ผมเอ่ยเสียงติดขอร้องนิดๆพร้อมทั้งมองสบไปที่ดวงตาคมของคนตรงหน้า
"..."
พี่เกียร์นิ่งไปเฉยเลย เป็นไรวะ
“ปลาทองหน้าโง่”“ห๊ะ ว่าไงนะพี่”
“กูบอกว่ามึงอ่ะ เป็นปลาทองหน้าโง่” พี่เกียร์พูดพร้อมกับยื่นนิ้วชี้มาจิ้มที่หน้าผากผม
“...”
“อ่าว เอ๋ออีก”
ไม่ได้เอ๋อโว้ยยยย ติดสตั๊นแปบเดียวเอง
“ผมไม่ได้เป็นปลาทองนะ แล้วก็ไม่ได้หน้าโง่ สนิทกันหรอถึงมาว่าผมเนี่ย” พอหายสตั๊นผมก็ร่ายยาวสวนกลับพี่เกียร์ไป
“หึ” พี่เกียร์ทำเสียงหึในลำคอ ที่ฟังยังไงก็เหมือนถูกเยาะเย้ย
“มึงอ่ะปลาทอง หน้าเอ๋อแบบนี้ ไม่ทันคนหรอก นั่นแหละโง่” พี่เกียร์ก้มตัวให้ใบหน้ามาอยู่ในระดับเดียวกับผม แล้วก็เอานิ้วจิ้มที่แก้มผม
“โว้ย พี่แม่ง พูดไม่รู้เรื่อง หึยยยยย” ผมโวยวายลั่นลานจอดรถ หงุดหงิด ทำไมพี่มันพูดจากวนขนาดนี้ ถ้าผมกล้ากว่านี้ผมต่อยพี่มันไปละ
เออ ตอนนี้ไม่กล้าไง ถึงได้หงุดหงิดอยู่เนี่ย ตอนนี้หน้าผมคงยับมากอ่ะ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วผูกเป็นปมละ
“แล้วนี่เมื่อไหร่จะใส่หมวก จะกินวันนี้มั้ย?” พี่เกียร์ใช้นิ้วชี้ที่เพิ่งเอาออกจากหน้าผากผม ไปชี้ที่หมวกกันน็อคที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วถามผม
“จะให้ผมขึ้นเจ้านี่จริงอ่ะพี่” ผมพูดเสียงอ่อย
สารภาพเลยตรงๆว่าตั้งแต่เกิดมาผมขึ้นมอเตอร์ไซค์นับครั้งได้ ตอนมัธยมผมก็เดินไปเรียน เพราะบ้านผมกับโรงเรียนนี่ใกล้กันมาก แล้วนี่ผมต้องมานั่งไอ้มอเตอร์ไซค์คันเบ้อเริ่มนี่ ขาก็ไม่ถึง จะพยุงตัวยังไงไม่ให้ตก โอ้ยยยย เจ้าเครียด!!
“กลัว?”
“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆแล้วก็ก้มหน้าตอบเสียงเบา ไม่รักษามันละฟอร์มเนี่ย
ผมได้ยินเสียงพี่เกียร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงการปกคลุมของอะไรหนักๆที่ถูกสวมมาที่หัวผม พร้อมกับมือใหญ่ที่จับกระชับหมวกกันน็อคให้เข้าที่แล้วก็จับสายรัดคางมาล็อคให้ผม
ผมเงยหน้ามองพี่เกียร์ เลยได้สบตากับดวงตาคมดุนั่น แววตาที่ผมเดาความหมายอะไรไม่ออก มีเพียงรอยยิ้มมุมปากจางๆก่อนที่พี่เกียร์จะตบที่กั้นลมเคลือบปรอทสีเงินนั่นปิดหน้าผม
ร่างสูงขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ราคาหลายหลักก่อนจะถอยรถออกจากที่จอดมาในตำแหน่งที่จะขับออกไป
“ขึ้นมา” เสียงเรียบเอ่ยบอกผมนี่ยืนยิ่งอยู่ข้างตัวรถที่ติดเครื่องรออยู่แล้ว
"..."
“เจ้า ขี้นมา”
อย่าเร่งสิโว้ยยยย ขอทำใจแปบนึง คำนวณหาองศาก่อนว่านั่งยังไงไม่ให้ตก เจ้าเครียดดดด
“แปบดิพี่ อย่าเร่งดิ” ผมตะโกนเสียงดังเพราะหมวกกันน็อคที่สวมอยู่มันลดระดับเสียงที่ลอดออกไปภายนอกจนกลัวคนฟังไม่ได้ยิน
“ไม่ต้องกลัว ค่อยๆก้าวขึ้นมา”
ผมเคยเห็นคนอื่นนั่ง พอจะนึกภาพออก คือมันดูไม่ยาก แต่ผมจะจัดระบบร่างกายยังไงให้ขึ้นไปได้ ผมพยายามตั้งสติ แล้วสูดลมหายใจลึกๆ
“เจ้าทำได้ เจ้าทำได้” ผมพึมพำเสียงเบาที่มั่นใจมากๆว่าผมจะได้ยินเพียงคนเดียว
และเหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นกับผมโดยไม่ทันตั้งตัว
หวืดดดดดด~~~~~~ปึก!ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งสติและรวบรวมความกล้า อยู่ดีๆขาผมก็ลอยพ้นพื้น รู้สึกเสียววูบเมื่อร่างตัวเองลอยขึ้นโดยมีมือใครบางคนช้อนแผ่นหลังผมไว้ พร้อมกับมืออีกข้างที่สอดใต้ข้อพับเข่าผม อารามตกใจผมก็ยกมือปัดป่ายคว้าหาที่ยึดไปทั่ว ขนยึดได้กับคอคนที่กำลังอุ้มผมอยู่นั่นแหละ
ผมถูกผู้ชายตรงหน้าอุ้ม ผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ได้สนิทใจอะไรกันเลย ผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิตผมได้สองวัน ย้ำ! สองวัน โว้ยยยยย สนิทกันหรอถึงมาอุ้มเนี่ย
ผมถูกอุ้ม ไม่สิ ถูกยกส่งขึ้นให้มานั่งบนบริเวณเบาะด้านหลังของรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ด้วยฝีมือของเจ้าของรถ ผมนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้น ปากยังชะงักค้างแต่หัวคิดคำพูดอะไรไม่ออกเลย
“...”
“หนัก” เสียงเรียบเอ่ยขึ้น
“ใครใช้ให้อุ้ม” ไวกว่าสมองก็ปากผมนี่แหละ
“กูจะกินหมูกระทะวันนี้ ขี้เกียจรอ”
“ถ้ารีบก็ไม่ไปก่อนอ่ะ” ผมตอบโต้ด้วยเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุด หมั่นไส้
“หึ กูไม่ใจร้ายทิ้งปลาทองหน้าโง่ไว้หรอก”
“...” ครับ เป็นคนดีจังเลยครับ ผมได้แต่พูดในใจ
“จับดีๆ จะไปแล้ว” พี่เกียร์เอียงหน้าเล็กน้อยมาพูดกับผม
ผมที่ไม่รู้จะเกาะอะไร ก็จับตรงท้ายเบาะแบบที่เคยเห็นมา เอาวะ จับตรงนี้ก็คงไม่ตกแล้วแหละ
อยู่ดีๆแผ่นหลังของคนตรงหน้าก็ยืดตั้งตรงแล้วเขาก็ปล่อยมือออกจากตำแหน่งที่ใช้บังคับทิศทางรถ ก่อนที่จะใช้มือทั้งสองข้างนั้นเอื้อมมาทางด้านหลัง แล้วมาจับที่ข้อมือผม
หมับ!“เกาะตรงนี้ ถึงจะไม่ตก” พี่เกียร์พูดพร้อมกับดึงข้อมือผมทั้งสองข้างไปเกาะที่เอวของตัวเอง
การกระทำที่เร็วกว่าสติผมหลังจากนั้นก็คือ...
“เห้ย!!”
เสียงอุทานที่เป็นปฏิกิริยาแบบฉับพลันจากความตกใจของผม เมื่อจู่ๆร่างสูงก็เร่งเครื่องออกตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมยังไม่ได้ตั้งตัวและยังไม่มีสมาธิเท่าไหร่ ความเร็วของรถที่ทำให้เกือบหงายหลัง เป็นเหมือนการบังคับมือผมที่เขาดึงไปแปะไว้ข้างเอวให้กำเสื้อนักศึกษาบริเวณเอวของเขาไว้แน่น
ทำไมไม่บอกก่อนเนี่ย แล้วก็ขับเร็วไปแล้วโว้ย
“พี่!! ขับช้าๆหน่อย เร็วไปแล้ว” ผมตะโกนแข่งกับเสียงลมที่กระทบเข้ามาที่หมวกกันน็อค ขนาดผมใส่หมวกกันน็อคยังรับรู้ได้ถึงแรงลมที่กระทบเข้ามา แล้วคนขับนี่มันไม่รู้สึกอะไรหรอวะ
“...”
“พี่ ผมบอกให้ช้าหน่อย!” ผมตะโกนอีกครั้ง ย้ำกับความต้องการของผม เพราะสำหรับผมตอนนี้พี่เกียร์ขับเร็วมาก ผมที่ไม่ค่อยได้อยู่สภาวะแบบนี้ สารภาพเลยว่าเริ่มกลัว มือที่กำเสื้อร่างสูงในตำแหน่งคนขับจนยับยู่ยี่ก็เริ่มชื้นเหงื่อ
“...” เงียบ แถมไม่มีทีท่าจะขับช้าลง
“พี่เกียร์...ขับช้าๆกว่านี้หน่อย เจ้ากลัว…” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ดังพอที่เจ้าของแผ่นหลังด้านหน้าผมจะได้ยิน และถ้าหากเขาได้ยินจริงๆ ก็คงจะรับรู้ได้ว่า เสียงผมมันสั่นมากแค่ไหน
กึกร่างสูงชะงักไป ทำให้ล้อหน้าบิดตามแรงชะงักไปนิดหน่อย แล้วรถก็เคลื่อนตัวช้าลงกว่าเดิมจนรู้สึกได้
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณคนที่กำลังหันหลังให้ผมด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่า
“อืม...ขอโทษ ไม่ชิน”
“...” พี่เกียร์ได้ยินหรอ
ระหว่างทางที่รถเคลื่อนตัวไปยังร้านหมูกระทะก็ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างเรา ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง แต่ในหัวก็มีอะไรคิดมากมายตามนิสัยของคนขี้สงสัยและคิดมาก
การกระทำแปลกๆของพี่ หมายความว่ายังไงกันนะ
แล้วสรุป ผมกับพี่ เรารู้จักกันมั้ย?
*TBC
04/09/2017
***********************************************
ขออัพรัวๆนะคะ ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แค่เห็นยอดวิวก็มีกำลังใจแล้ว แค่หนึ่งคนที่อ่านก็ทำให้มีแรงอัพต่อละค่า นี่เป็นเรื่องแรก หวังว่าจะเป็นนิยายคั่นเวลาให้อ่านรอนิยายหลักได้นะคะ
แนะนำ ติชม พูดคุย ได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะคะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่า