ผ่านคืนวันไปอย่างเป็นสุขมากขึ้น เคยคิดว่าการมาเรียนเป็นดั่งสวรรค์ แต่พอรู้ตัวว่ารักไอ้จ้าวก็ยิ่งเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด ยิ่งสนิทก็ยิ่งรัก ยิ่งปรารถนาทั้งร่างกายและจิตใจของมัน แต่ด้วยปัญหาส่วนตัวที่ไม่เอื้อจึงต้องอดทนเก็บความรักให้เป็นความลับมาตลอด
และยิ่งได้อยู่สวรรค์นานเท่าใด การกลับไปอยู่ในนรกก็เป็นความทรมานมากขึ้นเท่านั้น ผมอดทนอยู่ในบ้านที่มีแต่คนชั่วร้ายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงพ่อ แต่ถึงอยู่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปหาได้ตลอด ผมจะได้เจอพ่อก็ต่อเมื่อแม่เลี้ยงอนุญาตเท่านั้นซึ่งไม่บ่อยนักหรอก
“ผมจะไปอยู่ข้างนอกนะพ่อ” ในวันที่เก็บเสื้อผ้าพร้อมออกไปอยู่ข้างนอก เมื่อต่อรองว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว
“.....อืออ” พ่อส่งเสียงในลำคออย่างยากลำบาก
ผ่านไปสี่ปีกว่าแล้วที่อาการไม่ได้ดีขึ้นเลย แต่ยิ่งผมอยู่ที่นี่ พ่อก็จะยิ่งลำบากเพราะทุกครั้งที่ผมอยู่บ้าน..
“น้าเอานมมาให้คุณพจน์จ๊ะ” มีเวลาตั้งเยอะไม่เข้ามา พอผมเข้ามา มันก็เข้ามาทันที
นังแพศยา
“พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลตัวเอง” ผมพยายามไม่สนใจร่างอวบอัดในชุดนอนบางพลิ้ว อย่าว่าแต่มองเลยแค่ใช้อากาศร่วมกันก็ยังรู้สึกขยะแขยง
แต่พ่อทำหน้าเศร้ากับท่าทีของมันที่มีต่อผม “ผมอยู่ข้างนอกจะได้พ้นจากอสรพิษชั้นต่ำซะที มันจะดีกับเราสองคนนะครับ” ถึงจะเคยทำผิดพลาดมาในชีวิต แต่พ่อไม่เคยไม่รักผมกับแม่ เพียงแต่ที่ผ่านมาคงนึกไม่ถึงว่าคนที่พ่อเรียกว่าเมียอีกคนนั้นจะชั่วช้าได้มากมายขนาดนี้
“สกายไม่เปลี่ยนใจแน่หรือจ๊ะ” เธอทำเป็นไม่สนใจคำพูดเปรียบเปรยทั้งๆ ที่รู้เต็มอกว่าผมด่าแต่กลับหน้าด้านเดินมานั่งข้างๆ แล้ววางมือไว้บนหน้าขาของผม
พ่อคิ้วขมวดในทันที ถึงร่างกายจะเคลื่อนไหวไม่ได้แต่สมองและหัวใจก็ยังทำงานเป็นปกติ “อืออ..” เสียงครางเหมือนจะไล่แต่ไม่มีผลอะไรกับนังงูพิษที่หนังหนายิ่งกว่าคางคก
“งั้นผมไปก่อนนะพ่อ แล้วจะแวะมาเยี่ยมนะครับ” ผมลุกขึ้นไม่สนใจจะเสวนากับผู้หญิงแพศยาพรรค์นี้
ประตูปิดลงพร้อมด้วยเสียงด่าเล็กแหลมที่พ่นออกมาหยาบคาย คงโมโหที่ผมไม่เล่นด้วย ทั้งๆ ที่พยายามอ่อยมาตลอด จึงเอาความหน้าแตกไปลงที่พ่อ
นี่แหละที่ทำให้ผมอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ อย่างน้อยถ้าไม่มีเหตุอะไรให้พวกมันโกรธ พ่อผมก็จะได้อยู่อย่างสงบบ้าง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘มึงคิดมากไปรึเปล่า เขาอยู่กินกันมา จะทิ้งขว้างกันลงง่ายๆ เพราะเรื่องเงินเหรอ’ นึกถึงคำพูดนี้ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยงเมื่อนึกถึงนังงูพิษนั่น
แค่เป็นเมียน้อยของพ่อแล้วเข้ามาราวีจนแม่ผมไม่มีความสุขและตรอมใจตาย นั่นยังไม่เลวร้ายพอ พวกมันยังหวังจะเคลมผมทั้งแม่ทั้งลูก ขนาดเรื่องเลวทรามแบบนี้ยังทำได้ นับประสาอะไรกับแค่ทิ้งขว้างคนทุพลภาพที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง
บอกตามตรงว่าผมคิดเสมอว่าครั้งนั้นผมคงโดนข่มขืนไปเรียบร้อยแล้ว ถึงจะสลบไปก่อนแต่อาการเจ็บตรงช่องทางนั้นก็ทำให้จิตตกอยู่ตลอดเวลา พวกมันทำให้ผมมีปัญหาทางด้านจิตใจอย่างหนัก ยิ่งตอนที่อยู่ในพื้นที่แคบและมืด ความรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดในคราวนั้นมันหลอนประสาทจนผมแทบจะหมดสติไปได้เสมอ
“คิดอะไรอยู่ ยังโกรธกูอยู่เหรอวะ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกโอบกอดจากทางด้านหลัง ตอนนี้ออกมาดื่มยืนเบียร์อยู่นอกระเบียงคอนโด ซึ่งเจ้าของคอนโดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
ดินแดน..
ผู้ชายนิสัยประหลาดที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้เทียบเท่าไอ้จ้าว ผู้ชายที่พร้อมจะดูแลผมทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้ชายที่ยอมเสียสละให้ผมเป็นฝ่ายรุก และผู้ชายที่คิดจะรุกผมกลับเสมอถ้ามีโอกาส
ผู้ชายที่ตอนนี้...เขาเป็นแฟนผม
ผมเคยเฝ้าถามตัวเองตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่ารักไอ้จ้าวว่า เฮ้ย จริงเหรอ มึงรักผู้ชายจริงเหรอวะ แต่คำตอบที่ได้ก็มีเพียงใบหน้าไอ้จ้าวที่ปรากฏขึ้น เรื่องทุกข์ใจของผม จ้าวมันรู้หมด ถึงมันจะเป็นคนพูดมากแต่เวลาเห็นความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์มันก็มักจะพูดว่า ‘ขอกูอยู่ด้วยคน รับรองไม่พูดซักแอะเลย’ ถ้าเป็นคนอื่นคงง่ายที่จะอยู่นิ่งเงียบแต่กับไอ้จ้าวผมรู้ว่ามันยากมากๆ แต่มันก็ทำได้
เหมือนที่ผู้ชายเจ้าของวงแขนรุ่มร่ามคนนี้ได้เคยสัญญาว่าเขาจะอยู่เป็นเพื่อนโดยจะไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียวถ้าผมไม่ถาม และเขาก็ทำได้ดีแถมยังทำให้ผมรู้สึกว่าในระหว่างที่เขาเงียบนั้น เขาไม่ได้ละสายตาออกจากผมเลย..
มันทำให้รู้สึกอบอุ่น
อุ่นใจ..
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึก ซึ่งจะจริงหรือไม่ ผมก็ไม่อาจรู้ได้
ผมพลิกตัวแล้วดันเขาออก “ไม่ได้โกรธ ก็แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ แล้วเครียด” ผมไม่ได้โกรธเขา ตรงกันข้ามกลับรู้สึกผิดต่อเขามากกว่า ทั้งเรื่องที่ผมมีจิตผูกติดอยู่กับไอ้จ้าวและเขาก็รู้มาตลอดแต่ไม่เคยทำให้ผมอึดอัดหรือกดดันในเรื่องนี้ อีกทั้งเรื่องที่ผมพาลใส่เขาทุกครั้งที่เขาเผลอเดาเรื่องอดีตของผมในทางที่ดีเกินไป “คุณเข้าไปข้างในเถอะ ข้างนอกมันเย็นเดี๋ยวจะป่วยอีก” ผมเสเปลี่ยนเรื่อง
ดันเขากลับเข้าไปในห้องแต่เขาไม่ยอมขยับ “เล่าเรื่องของมึงให้กูฟังบ้างไม่ได้เหรอ คราวหน้ากูจะได้ไม่เดามั่วไปโดนปมมึงอะ” เขาทำหน้าจ๋อยและพยายามเข้ามากอดเอวผมอีกครั้ง
คนบ้าอะไรแบบนี้ คอยจะรุกอยู่ตลอดเวลา
ผมเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วปรามเขาเอาไว้ “โอเคๆ เล่าก็ได้ แต่คุณเลิกรุ่มร่ามกับผมซักนาทีสองนาทีจะตายมั้ย”
ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่ผมไม่ไว้ใจ ตอนทำรักครั้งแรกมันเป็นเหตุสุดวิสัยที่เขาเกิดป่วยแบบปัจจุบันทันด่วน แต่ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วเขาก็ยอมนั่นแหละเพราะถ้าไม่ยอมจริงๆ ต่อให้ใกล้ตายเขาก็คงกัดลิ้นตัวเองเพื่อชิงตายซะก่อนที่จะโดนรุก
เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นึกถึงทีไรก็รู้สึกขอบคุณเขาเสมอ ไม่ใช่เพราะเขายอมแต่เป็นเพราะเขากล้าทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นคนแบบเขาลงเพื่อผม..
ผมตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตแบบละเอียดยิบให้เขารู้ รวมถึงความสัมพันธ์ของผมกับได้จ้าวด้วย ต่อนี้ไปจะได้ไม่เดาส่งจนโดนหางเลขอีก
เขาทำหน้าเครียดตลอดเวลาที่เล่า พยายามถามผมเป็นระยะว่าไหวไหมในตอนที่ผมนิ่งไปหลายครั้งเพราะนึกถึงบาดแผลครั้งเก่า แต่เมื่อผมเล่าต่อเขาก็คอยบีบมือลูบหัวให้กำลังใจ ไม่มีพูดขัดแม้แต่คำเดียว
คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะน่ารักกับผมได้เท่านี้ ถ้ารักเขาได้ ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแน่ๆ
เมื่อฟังจนจบเขาก็พูดขึ้น “ถ้ามึงจะเอาเรื่องตอนนี้ก็ยังทันนะ สัญญาไม่ยุติธรรมและความประพฤติไม่เหมาะสมของน้าแจน เราน่าจะฟ้องได้ ส่วนไอ้เหี้ยสตาร์อะไรนั่น เดี๋ยวกูจะจัดการให้เอง” พยายามหาช่องให้ผมได้แก้เกม งานถนัดของเขา อะไรๆ ก็วางแผน อะไรๆ ก็ต้องเอาคืน
ผมถอนหายใจหนักๆ เพื่อลดความรู้สึกกระอักกระอ่วนภายในที่ต้องเล่าเรื่องอัปรีย์แบบนั้นออกมา “ช่างมันเถอะ มันผ่านมานานแล้ว ผมรออย่างเดียวว่าเมื่อไหร่เวรกรรมจะตามทันพวกมัน ขอให้เวรกรรมไล่ล่าจนพวกมันต้องหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนหมาข้างถนน ไร้ความช่วยเหลือ ไร้คนเห็นใจ แบบนั้นมันสะใจมากกว่า” ผมกัดกรามแน่นเมื่อนึกถึงพวกมัน บอกตามตรงว่าอโหสิไม่ไหวกับความจัญไรที่พวกมันทำ ที่ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะกิริยา 3 ช่าง ของไอ้จ้าวทั้งนั้น
“มันต้องมีแน่ วันที่พวกมันจะต้องรับกรรมอย่างสาสม” เขากุมมือผมแล้วบีบแน่นเพื่อให้กำลังใจ ได้ทันเห็นประกายตาร้ายลึกที่ปรับเป็นปกติในเวลาแค่เสี้ยววินาทีของเขาแล้วใจคอไม่ค่อยสู้ดี
“อย่าวางแผนทำอะไรเสี่ยงๆ อีกนะ ผมขอร้อง”
“เออน่า ไม่ทำหรอก ชีวิตกูมีอะไรต้องทำอีกเยอะ ช่วงนี้ไม่ว่างแล้ว มีแฟนแล้วต้องเทคแฟน” ถึงจะทำหน้ากระลิ้มกระเหรี่ยกลบเกลื่อนแต่ผมก็ไม่ค่อยเชื่อน้ำหน้าอยู่ดี
สังหรณ์ไม่ดีแทนพวกนั้นจริงๆ
“แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าน้าแจนจะร้ายขนาดนั้น แค่คิดยังขนลุกเลยว่ะ” เขาพูดแล้วทำหน้าสยอง
“เห็นนางเงียบๆ แรดเพียบนะครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ไม่อยากอยากเขาต้องมาเครียดไปด้วย
เขามองผมแล้วยิ้มบางๆ “เวลามึงยิ้มหรือหัวเราะนี่น่ารักน่าเอาดูจัง” ก็เป็นซะอย่างนี้ แล้วจะให้ผมไว้ใจเขาได้ยังไงกัน
“น่าเอ็นดูมั้ย” ผมแก้ให้แล้วปิดประตูระเบียง ส่วนเขาก็เดินไปปิดไฟดวงหลักเพื่อเตรียมตัวนอนเพราะตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้ว
“เออ นั่นแหละ น่าดูเอ็น” ทำเป็นยิ้มทะเล้น น่าเตะตัดขาให้หน้าคว่ำ
“ไอ้ผีบ้า” ผมด่าแล้วเดินหนีขึ้นไปนอนฝั่งของตัวเอง
“แฟนด่าแปลว่าแฟนให้ท่า ยิ่งด่าแล้วหนีขึ้นเตียงยิ่งแปลว่าจะอ้าให้ทุกท่าเลย” ไม่เคยเห็นใครหื่นได้เท่าไอ้ผีบ้านี่เลยนะ คิดอยู่แค่เรื่องจะกดผมนี่แหละ
แล้วผมล่ะ ยอมเขาได้จริงๆ หรือเปล่านะ
“คืนนี้งดทุกอย่าง” ผมดึงแขนไอ้คนขี้หื่นให้ลงมานอนดีดี เล่นมายืนจ้องผมตาเป็นมันอยู่ข้างเตียงแบบนี้ มันทำตัวไม่ถูก “คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายซ่อมให้ห้างฯ รู้มั้ย”
แต่ทันทีที่หลังของเขาแตะพื้นที่นอน ร่างหนาก็พลิกตะแคงมากอดผมไว้ทันที “แข็งแรงแล้ว ไม่เชื่อดูดิ กล้ามแน่น แข็งปั้ก” ไม่พูดเปล่าแต่เลิกเสื้อขึ้นแล้วทุบซิกแพ็คโชว์
ผมมองหน้าเขาอย่างเอ็นดู ถึงอายุจะมากกว่าแต่ผมว่านิสัยและอากัปกิริยาของเขาเหมือนจะเด็กกว่าผมมากเลยนะ
ถอดแบบไอ้จ้าวมาเป๊ะ..
เฮ้อ ผมเผลอคิดถึงไอ้จ้าวอีกแล้วสิ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย ถึงจะรู้แต่บังคับใจตัวเองไม่เคยได้เลย
“อ้าว เป็นไรอะ อยู่ดีดีก็ทำตาเศร้า” และนี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมรู้สึกดีกับเขา
ถึงเขาจะเรียกผมว่าไอ้หน้านิ่งเพราะผมไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากนัก แต่เวลาที่ผมผิดปกติ เขาจะรู้ได้ในทันทีและไม่เคยนิ่งดูดายปล่อยให้มันผ่านเลยไปเฉยๆ
“ผมขอโทษ” ยิ่งรู้สึกดีกับเขามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้นเพราะไม่ว่ายังไงก็อดที่จะเปรียบเทียบเขากับไอ้จ้าวไม่ได้
ทำไมต้องยึดติดกับไอ้จ้าวขนาดนี้ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย
นิ้วแข็งๆ จิ้มลงมาตรงใต้คางแล้วเสยขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าเพราะไม่อย่างนั้นก็จะเจ็บ “เป็นอารายยยย” เขาลากเสียงเพื่อกดดัน
“ผมจะพยายามมองคุณให้เป็นคุณให้ได้แต่ถ้ารู้ตัวว่าทำไม่ได้จริงๆ ผมจะรีบบอกทันที คุณจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับคนงี่เง่าอย่างผม”
เขาดึงมือกลับไปแล้วเลื่อนลงไปลูบสะโพกผมเบาๆ “เรื่องเครียดของมึงมีเยอะแล้ว อย่ามาเครียดเรื่องของกูเลยนะ ส่วนเรื่องเครียดของกูก็มีแค่ว่ามื้อหน้าจะแดกห่าอะไร เพราะฉะนั้นเรื่องของกู กูขอรับอาสาเครียดแทนมึงเอง โอเคมั้ย”
ผมยิ้มอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้ทำให้ผมยิ้มได้ทั้งหน้าทั้งใจ แม้กระทั่งจิตวิญญาณ คำพูดที่กวนๆ เกรียนๆ แต่แฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนโยน ถึงภายนอกจะดูบ้าบอยังไงแต่ในหัวใจของเขาอบอุ่น อ่อนโยน และมีความรู้สึกดีดีให้ผมมากมายเหลือเกิน
“ทำไมคุณถึงไม่มีแฟนล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง อันที่จริงก็แค่อยากจะรู้ว่าคนน่ารักแบบนี้ทำไมถึงยังโสดมากกว่า แต่ผมมันเป็นพวกชมคนไม่เก่ง ก็คงทำได้เท่านี้ละนะ
“มึงอยากรู้ว่าหล่อรวยแสนดีมีรถขับโทรศัพท์มีคลิปเยอะอย่างกูทำไมยังโสดว่างั้น” นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่เขาทำให้ผมประหลาดใจได้เสมอ ดูเผินๆ เหมือนชอบชมตัวเอง แต่อันที่จริงแล้ว..
เขารู้ใจผม..
“ผมถามว่าทำไมคุณถึงไม่มีแฟน” ถึงจะรู้ใจแต่ผมก็ยังเป็นผม ถ้าไม่ถึงที่สุดก็ไม่ชอบพูดอะไรให้มันชัดเจนเกินไปนักหรอก
บางทีมันก็เขิน..
เขาทำหน้าย่นและเบ้ปากใส่เพราะถูกผมขัดใจ เห็นแล้วก็อดส่ายหัวไม่ได้ ชอบทำตัวตลกๆ เขาไม่มีเรื่องให้เครียดเลยหรือไงนะ
“ก็ไม่เคยมีใครที่กูอยากทำเพื่อเขามาก่อน เห็นกูดีกับมึงแบบนี้ กูไม่เคยทำให้ใครเลยนะ แล้วที่ผ่านมาก็เป็นแค่การทดลองงานเท่านั้น ต่อจากนี้กูจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเราให้ดีกว่านี้อีก มึงเชื่อกูสิ” ได้ทีเข้าโหมดนักขายตลอด
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าดีแค่ไหน ดีจนบางทีผมก็กลัวจะทำให้เขาเสียใจ..
ผมรู้ดีในความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องวิ่งตามใครสักคนที่เขาไม่มีใจ ทว่านั่นมันเป็นแค่ความเจ็บปวดที่เราชินชาไปแล้ว แต่ตอนที่รู้ว่ามีใครอีกคนคอยวิ่งตามเราอยู่นี่สิที่เจ็บปวดและอึดอัดใจมากกว่า เพราะรู้ดีว่ามันเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องวิ่งตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจหยุดรอได้เพราะกลัวว่าคนข้างหน้าจะทิ้งห่าง...จนวิ่งตามไม่ทัน
ใช่..ผมยังคงหวังอยู่ลึกๆ ว่าอาจจะวิ่งตามไอ้จ้าวได้ทันในวันใดวันหนึ่ง ถึงจะดูใจร้ายไปหน่อยแต่ในเมื่อเขาก็ต้องการจะทดลองคบกันดู ผมก็จะไม่ขัด อีกอย่างผมก็อยากจะให้โอกาสตัวเองได้ทดลองรักคนอื่นดูบ้าง..อย่างน้อยถ้าเขาทำให้ผมรักได้ เราทั้งคู่ก็วินวิน
“ผมไม่รู้ว่าคุณจะดีกับผมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ผมรู้ว่าสักวันผมจะมองคุณให้ต่างออกไปจากที่เคยมอง อยากให้คุณให้โอกาสผมให้นานที่สุดและผมก็จะพยายามให้โอกาสคุณให้นานยิ่งกว่า ตอนนี้คงให้ได้เท่านี้ คุณรับได้มั้ย”
ผมพยายามพูดให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ไม่อยากออกตัวแรงเพราะมันจะกลายเป็นการให้ความหวังมากจนเกินไป
“สำหรับกู แค่มีมึงอยู่ใกล้ๆ กูก็พอใจที่สุดแล้วแต่กูขอปฏิเสธคำถามสุดท้ายของมึงได้มั้ยวะ”
ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน นี่แค่เริ่มต้นเขาก็จะปฏิเสธซะแล้วเหรอ “ปฏิเสธว่า” ผมถามห้วนๆ
“กูไม่อยากรับอะ ให้กูรุกเถอะนะ กูรับไม่ได้ถ้ากูจะต้องรับอีกง่ะ”
อยากจะบ้าตายกับคนๆ นี้ ผมจะทนกับความเกรียนความหื่นความอยากรุกของเขาไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ
ผมทำหน้าจริงจัง “เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์อารมณ์และความรู้สึก ณ ขณะนั้น อย่าไปปักใจอะไรกับมันมากนักเลย ผมขอร้อง”
เขาทำหน้าเจื่อนลงแล้วยิ้มแยกเขี้ยว “แฮ่ๆ ก็มึงถามว่ากูรับได้มั้ย กูก็แค่เล่นมุขนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นซีเรียส” ไหล่ผมถูกจิ้มจึกๆ เหมือนกำลังง้อ “ไม่เล่นแล้วก็ได้ คืนนี้ก็จะนอนกอดเฉยๆ ไม่ดื้อ ไม่ซุกซน พรุ่งนี้จะได้สุขภาพดี ตาใสปิ๊งๆ ไปถ่ายซ่อมงานจนเสร็จสมบูรณ์ คับผ้ม!!”
ผมมองเขานิดหน่อยเพื่อดูว่าเขาสำนึกจริงหรือไม่ “พูดง่ายๆ แบบนี้ก็ดี งั้นนอนซะ พักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้จะได้หายสนิท” ผมยิ้มให้บางๆ เพราะคิดว่าคืนนี้คงหมดเรื่องให้ต้องวุ่นวายแต่เพียงเท่านี้
ทว่า..
ผมเข้าใจผิด
“ถ้างั้น..ขอจูบกู๊ดไนท์หน่อยสิ ถ้ากลัวกูจะรุก มึงขึ้นคร่อมมาจูบกูก็ได้นะ นะๆๆๆ” อยากจะเอาตีนก่ายหน้าผากกับความหื่นความเรื้อนของเขา
ผมได้แต่กลอกตาไปมาอย่างปลงๆ
แต่แล้วก็นึกสนุกอยากรู้อะไรบางอย่าง
“ไม่ต้องมีใครคร่อมใครทั้งนั้นแหละ นอนตะแคงจูบกันแบบนี้จะได้ไม่ต้องยาว” ดักทางไว้หน่อยจะได้รู้ลิมิต
“โห่..รู้ทันเก๊า” ทำปากยื่นไม่พอใจแต่มือนี่กดล็อคบั้นเอวผมไว้เรียบร้อยแล้ว
เฮ้อ..เหนื่อยใจจริ้งงง
“แต่ก่อนจะจูบ ผมอยากถามอะไรหน่อย แต่ต้องตอบดีดีห้ามกวนห้ามเกรียนนะ” หน้าที่จ่อเข้ามาหยุดกึกแล้วทำท่าเสียดาย
“ถามมาๆ ไม่กวนไม่เกรียนไม่เล่นไรทั้งนั้นแหละ เสียเวลาจูบ” ช่างเป็นเหตุผลที่สมกับเป็นดินแดนคนบ้าจริงๆ
“ดีกับผมขนาดนี้ คุณ.. รักผมมั้ย” ถามไปหัวใจก็เต้นตึกตัก ผมรู้ดีว่าเขารู้สึกดีกับผมแต่ผมก็ไม่เคยได้ยินจากปากว่าเขารักผมหรือไม่
บางที เขาอาจจะแค่อยากลอง..
เขานิ่งอึ้งไป มองผมด้วยแววตาสับสน เห็นแบบนี้กลับทำให้ใจหาย ทั้งๆ ที่ยังรักจ้าวอยู่ ทั้งๆ ที่คิดว่ายังไม่ได้รักเขา แต่ทำไมนะ..
ผมไม่อยากได้ยินว่าเขายังไม่ได้รักผมเลย
“พอละ ไม่ต้องตอบ” ผมห้ามไว้ เสียงติดจะห้วนเล็กน้อยอย่างไม่อาจห้ามความคุกรุ่นของอารมณ์ “จะจูบก็จูบสิ” ผมเร่ง
จากแววตาสับสนเปลี่ยนเป็นวับวาว เขามองผมแล้วเผยยิ้มเอ็นดู เห็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกขุ่นๆ ในใจ ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมรู้ว่าเขาคบกับผมเพื่อเป็นของเล่น ผมจะทำให้เขาเจ็บจนกระอักเลือดเลย!
“ถ้ามึงชอบฟัง กูบอกมึงทุกวันก็ได้” เขาตอบเลี่ยง
“ถ้าไม่รู้สึก คุณจะพูดทำไม ผมไม่อยากฟังหรอกคำโกหกน่ะ เราคบกันไปเรื่อยๆ อีกหน่อยถ้าเริ่มรักก็ค่อยบอก” รู้สึกแย่หน่อยๆ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจ ผมเองก็ยังไม่ได้รักเขาเลย เขาเองก็คงเหมือนกัน
“จูบกันเถอะ” อยู่ๆ เขาก็พูดออกมา อยากเหวี่ยงใส่แต่ก็ไม่รู้จะเหวี่ยงด้วยเหตุผลอะไร
ใบหน้าหล่อคมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมเองในตอนแรกก็ยังเฉยๆ แต่เมื่อถูกจ้องนานๆ ก็ชักเคลิ้มเหมือนถูกดึงดูดให้ขยับเข้าไปหาเขาเช่นกัน เมื่อริมฝีปากเราสัมผัสกัน ร่างผมก็ร้อนระอุขึ้นทันที มือไม้ของเขาไม่เคยอยู่นิ่ง ทั้งลูบไล้ซุกซนไปทั่วแต่ผมเองก็ไม่ได้ปล่อยให้มือว่างแต่อย่างใด ไม่ต้องอารัมภบทกันมากมาย เรียวลิ้นอุ่นชื้นก็เกี่ยวกระหวัดผลัดกันดูดดันเข้าออกจากโพรงปากแต่ละฝ่ายจนน้ำลายเอ่อเลอะขอบปาก
ไม่ว่าจะจูบกันกี่ครั้ง หัวใจของผมก็เต้นถี่หนักอยู่เสมอ ถึงแม้ในเวลาอื่นผมจะเผลอคิดถึงไอ้จ้าวหรืออาจเปรียบเทียบเขากับไอ้จ้าวไปบ้าง แต่ยอมรับตามตรงว่าเวลาที่เราปฏิสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้งเช่นนี้ ผมรู้สึกราวกับว่ามีแค่เขาคนเดียวที่ทำให้หัวใจผมตื่นเต้นและเป็นสุขแบบนี้ได้
ดินแดน..
ผมเรียกชื่อเขาอยู่ในความรู้สึก ชื่อเขาเพราะดีนะ ดูหนักแหน่นและมีขอบเขต
ดินแดน..
ผมเริ่มจะหวงคุณขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วสิ ในช่วงที่เรายังคบกัน คุณอย่าจูบใครได้ไหม จะไปมีอะไรกับใครก็ได้ แต่ขอแค่อย่าจูบ ผมอยากเป็นเจ้าของจูบนี้แค่เพียงคนเดียว
“คุณ..” ผมพยายามดันเขาออกเมื่อลำคอผมเริ่มถูกดูดดุนด้วยแรงกำหนัดที่พุ่งสูงขึ้นทุกที “ไม่ดื้อ ไม่ซุกซน” คงต้องขอทวงคำสัญญากันหน่อย
“ง่า..” เขาเงยหน้าขึ้นทำท่างอแง
“ลูกผู้ชายนะ” ใช้นิ้วจิ้มไปที่คางสากๆ
“ก็มึงน่าอาวว” ยังจะทำเป็นเล่นอีก
“นอนได้แล้ว” ไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเสียดาย ผมเองก็แทบไม่อยากให้ริมฝีปากของเขาหลุดออกไป
แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
“งั้น.. ก่อนนอนถามอะไรหน่อยสิ” เขานอนตะแคงมองผมทำหน้ากรุ้มกริ่ม
“ว่ามา”
“ตอนจูบกัน เห็นหน้ากูหรือหน้าใคร” ถามทำไมละเนี่ย คงไม่มีแผนอะไรหรอกนะ
จะว่าไปคำถามก็ง่ายนะแต่ทำไมตอบยาก
ตอนจูบผมหลับตาจะปรือตาขึ้นเป็นบางครั้งก็เห็นเขาหลับตาเหมือนกัน ถามว่าเห็นหน้าใครก็ต้องเป็นหน้าเขานะสิ
“เอาในความรู้สึกน่ะ” เขาอธิบายเพิ่ม
ถ้าในความรู้สึก ก็ไม่เห็นหน้าใครนี่นา แค่รู้สึกอยากเรียกแต่ชื่อเขา
“เอางี้” เมื่อเห็นว่าผมคิดนานเกินไป เขาก็ตัดบท “กูจะบอกคำตอบของกูก็แล้วกันนะ” ว่าแล้วก็ขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหู “หลับตาก็เห็นแต่หน้ามึง ลืมตาก็อยากเห็นมึงเป็นคนแรก ตอนจูบก็ร่ำร้องเรียกแต่ชื่อมึง เห็นใบหน้าแบบนี้อัดเข้าอกซ้ายกูตลอด และมึงรู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร” เขาจับคางผมส่ายเบาๆ
แค่ที่เขาร่ายมาก็พอจะเดาออก..
“หมายถึง..กูรักมึง..” ถึงแม้จะพอเดาออกแต่เมื่อได้ยินเต็มสองหูแบบนี้ก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้ น้ำตาผมมันรื้นขึ้น ไม่รู้เพราะอะไร
ไม่รู้เลยจริงๆ
ผมได้แต่จ้องตาเขา จ้องเพื่อเค้นเอาความจริงว่าไม่ได้โกหกและผมก็มั่นใจ ในดวงตาคู่นั้น
เขารักผม..
“ว้ายๆ เด็กขี้แง ไปขายดอกแคที่หน้าวัด โดนหมาไล่กัดร้องไห้แงแง ว้ายย” ผมรีบเช็ดน้ำที่ปริ่มอยู่บริเวณขอบตา
ได้แต่มองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างเอือมระอาระคนเอ็นดูและนึกขำอยู่ในที กาลเทศะไม่เคยอยู่ในกมลสันดานเลยนะไอ้ผีบ้า
แต่ก็ทำให้ยิ้มออกมาจนได้..
การได้อยู่ใกล้ชิดคนที่อารมณ์ดีแบบนี้ การได้ไออุ่นจากเขาแบบนี้ การได้รับความจริงใจมากมายแบบนี้ อาจช่วยรักษาสภาพจิตใจที่เคยถูกทำร้ายให้ดีวันดีคืนและโดยเฉพาะคงจะชะล้างหัวใจที่เคยมีไอ้จ้าวอยู่ให้ค่อยๆ เลือนหายไปจนมีแต่เขาได้ในที่สุด
ถึงจะตอบกลับไปว่ารักไม่ได้ แต่ผมก็ติดใจประโยคหนึ่งที่เขาพูดออกมา
‘ตอนจูบก็ร่ำร้องเรียกแต่ชื่อมึง เห็นใบหน้าแบบนี้อัดเข้าอกซ้ายกูตลอด’ ร่ำร้องเรียกแต่ชื่ออย่างนั้นเหรอ มันจะแปลว่าผมรักแล้วหรือยังนะ
“นอนซะ” ในขณะที่กำลังสับสนอยู่ ริมฝีปากอุ่นๆ ก็แนบลงมาบนหน้าผาก จากนั้นก็ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บีบขมับวนๆ ไปมา “อย่าคิดมาก มึงรู้ไว้แค่ว่ากูรักมึง ส่วนเรื่องที่มึงจะรักใครนั้นน่ะไม่ต้องห่วง อยู่กับกูไปเรื่อยๆ รับรองกูจะทำให้มึงรักกูจนโงหัวไม่ขึ้นเลยแหละ” ได้แต่มองดวงตาคมกริบที่แฝงแววทะเล้นนั้นนิ่งๆ “เจอะอย่างกูใครไม่รักก็บ้าแล้ว ก็ไม่แคล้วคงสมองไม่ค่อยดี ถ้าไม่รักคนที่ดีที่สุดคนนี้” นอกจากเพลงจะเก่าแล้ว มันยังใส่ลูกคอตอนท้ายด้วย เฮ้อ ผมอยากจะบ้า
ปรับอารมณ์ตามไม่ทันเลย!!
“ฝันดีครับที่รักของไอ้ดิน” ได้แต่อมยิ้มกับคำพูดหวานๆ ของเขา “ขอกอดนะ” ทำเป็นขอทุกทีแต่ไม่เคยรอการอนุญาต เขานอนเบียดเข้ามาแล้วกอดคร่อมสอดแขนซ้ายเข้ามาใต้ท้ายทอยแล้วกอดแน่น ส่วนขาก็คีบผมไว้อย่างกับเป็นหมอนข้าง
ผมจะกระอักรักตายซะก่อนไหมนะ รักของคนๆ นี้มากมายซะจนผมรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลกกับเมื่อในอดีต
“ฝันดีครับผีบ้า” เอียงหน้าเล็กน้อย ปากก็แตะถึงหน้าผากของเขา ผมจุมพิตไปเบาๆ แต่เขาดันหน้าผากใส่จนหัวผมไถไปกับหมอน “เฮ้ออ ฮ่าๆๆ” เมื่อเขาดึงหน้าผากกลับไปผมก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับหลุดหัวเราะเพราะกลั้นไม่ไหว เขาเองก็หัวเราะเบาๆ แล้วซุกหน้าเข้าซอกคอผมไม่ทันไรก็หายใจสม่ำเสมอไปในที่สุด หลับง่ายหลับดายซะจริง
คงไม่นานนักหรอกที่เราจะมีโอกาสได้ทำรักกันอีกครั้งเพราะต่างคนต่างก็ฟิตปั๋งและต้องการกันและกันอยู่ไม่น้อย ผมเองก็ใช่ว่าจะไม่หื่น ความเป็นชายมันถาโถมโรมรันทุกครั้งที่เขาเข้ามานัวเนียแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะได้รุกเขาเหมือนเดิมหรือจะพลาดพลั้งให้ความหื่นของเขาเอาชนะจนเปลี่ยนเป็นรับในที่สุด
แต่ผมไม่ซีเรียสหรอกนะ ถ้าถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที จากนี้ไปคงไม่ต้องกลัวอะไรเมื่อมีคนแบบนี้อยู่ข้างๆ การตัดสินใจคบกับเขาเป็นเหมือนจุดจบของสิ่งเก่าๆ และการเริ่มต้นในสิ่งใหม่ซึ่งผมตั้งใจจะทำให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้โอกาสทั้งตัวเขาและตัวเองไปพร้อมกัน
ส่วนเรื่องใครจะรุกใครจะรับ อย่าไปโฟกัสกันมากเลยครับของแบบนี้..เพราะคงต้องรอดูกันไปยาวๆ
++++++++++++++++ The end & the beginning ++++++++++++++++
จบลงจนได้สำหรับเรื่องนี้ ขออภัยไว้ล่วงหน้าที่อาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ทุกคนคาดหวัง
หากมีข้อบกพร่องหรือขัดใจตรงไหนก็แนะนำกันมาได้เลยนะคะ
อาจไม่ได้แก้ในเรื่องนี้แต่นายน้อยจะน้อมรับเอาไปปรับปรุงในเรื่องต่อๆ ไป
ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกคนที่ติดตามมาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นฟีดแบ็คแบบไหนนายน้อยได้นำทุกคำติชมไปปรับปรุงตลอดเลยค่ะ
ขอบคุณมากๆ สำหรับความเมตตา ขอบคุณมากจริงๆ
รักทุกคนมากๆ
บายๆ ค่ะ จนกว่าจะได้พบกัน..
นิยายหมายเลข9