- - >> ลักพาตัว << - - (เเสงเทียนอันตรธาน)
ภายในคลินิกอันเงียบสงบ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาศึกษาภาษาจีนกลางด้วยตนเองอยู่ ใช่แล้ว ผมคือหมอภาษ ลูกชายของหมอภาณุ ผมรับช่วงต่อคลินิกจากพ่อเมื่อหลายปีมาแล้ว
ผนังข้างหนึ่งของคลินิกทำด้วยกระจกใสบานใหญ่ และมีประตูผลักออกไปด้านข้าง แม่ของผมซึ่งเป็นอดีตนางพยาบาลได้ปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้มากมายจนตอนนี้มันโตกลายเป็นพุ่มขนาดย่อมที่ข้างคลินิก
ก๊อกๆ ๆ
ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ อ๋อ ลูกชายร้านซักอบรีดในซอยนี่เอง เด็กน้อยเคาะประตูด้านข้างก่อนจะผลักเข้ามา (ขออธิบายเล็กน้อย คลินิกผมมีทางเข้าออกสองทาง ทางหนึ่งคือ ประตูกระจกใหญ่สองบาน อีกทางคือประตูกระจกบานเล็กสำหรับเปิดออกไปข้างบ้านแล้วจะเจอพุ่มไม้ที่ปลูกไว้)
กรุ๊งกริ๊งงงงง
เสียงกระพรวนเล็กๆ ที่แขวนไว้เหนือประตูส่งเสียงกังวาน ผมยิ้มให้เด็กชายอายุราวสิบขวบหน้าตาออกแนวอีสาน
“ลุงหมอครับ ลูกขนไก่มันลอยเข้าไปในหน้าต่างชั้นสองอ่ะครับ ลุงหมอช่วยหยิบให้หน่อยได้มั้ยครับ”
“ได้สิ รอแป๊บนึงนะ”
หลังจากเด็กน้อยได้ลูกขนไก่แล้ววิ่งจากไปอย่างร่าเริง ผมก็กลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง พลางมองไปยังกระจกข้างบานใหญ่ที่หันเข้าหาถนนเข้าซอยเล็กๆ ซึ่งมีพุ่มไม้ของแม่ผมอยู่ ผมมองข้ามซอยไปยังร้านขายของชำขนาดกลาง … เกือบลืมไปเลย นานเท่าไหร่แล้วนะที่เด็กคนนั้นหายตัวไป
ผมนั่งรำลึกถึงเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่ร้านขายของชำนั้น…
เพื่อนบ้านฝั่งซ้ายของผมนั้นเป็นร้านขายของชำ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะมีกันทั้งหมด 8 คน แต่เมื่อหลายปีก่อน อากง อาม่า ของบ้านนั้นก็เสียชีวิตลง ทำให้เหลือสมาชิกอยู่เพียง 6 คน ผมยังจำได้ดีถึงตอนที่ตามพ่อไปร่วมงานศพแบบจีน เด็กชายอายุสิบสองคนหนึ่งแอบไปนั่งร้องไห้อยู่หลังโบสถ์คนเดียว
เอาล่ะ …กลับเข้าเรื่อง ทำไมเด็กคนนี้ถึงน่าสนใจน่ะเหรอ
เด็กคนนี้มีชื่อว่า เทียนซื่อ เป็นภาษาจีนกลางแปลว่าฟ้าประทาน พ่อผมเป็นคนตั้งให้เองเพราะท่านเป็นพ่อทูนหัวของเด็กคนนั้น
น้องเทียนเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส มีรอยยิ้มที่สว่างไสวดุจพระอาทิตย์ยามเช้า ทุกครั้งที่เด็กคนนั้นยกมือไหว้พร้อมส่งยิ้มทักทาย ผมอดไม่ได้ที่จะนึกเอ็นดูอยู่เต็มหัวใจ
ทุกๆ เย็นเทียนจะนั่งรถสองแถวกลับบ้านเองพร้อมน้องชาย พอลงจากรถก็จะสวัสดีทุกคนที่เดินผ่านตั้งแต่ร้านน้ำปั่นมาจนถึงคลินิกนี้ ผมยังเคยแซวเด็กชายเลยว่า ถ้าลงสมัครนายกเทศบาลเมื่อไหร่อย่าลืมมาบอกเลขพรรคนะ เดี๋ยวจะไปลงคะแนนเสียงให้ แหม ก็เล่นไหว้หาเสียงเช้าเย็นแบบนี้รับรองว่าถ้าลงสมัครจริงๆ รับรองคะแนนเสียงแถบนี้ชนะคู่แข่งกระจุยชนิดไม่ต้องมานั่งติดป้ายฟิวเจอร์บอร์ด หรือ จ้างรถเปิดเพลงหาเสียงให้หนวกหูชาวบ้านเลย
โดยเฉพาะในเทศกาลกินเจ ผมและพ่อมักจะตั้งตารอเป็นพิเศษ ก็ขนมจีนน้ำยาเจบ้านนั้นน่ะธรรมดาซะที่ไหน ฝีมือน้องเทียนเลยนะ ชมกันปากซอยยันท้ายซอยเชียวล่ะ
เด็กอะไร ทั้งนิสัยดี มารยาทดี ทำอาหารเก่ง แถมยังหน้าตาน่ารักอีก! ใช่…ไม่มีคำอธิบายไหนจะเหมาะไปกว่าคำนี้อีกแล้ว ก็เทียนมีผมสีดำ และ ตาสีดำขลับที่ค่อนข้างโตตัดกับผิวขาวแบบคนมีเชื้อสายจีน รูปร่างผอมค่อนไปทางบางนิดหน่อย และ ที่ดูดีที่สุดคือรอยยิ้มกว้างสดใสละลายใจผู้คน กับ ความช่างพูดของเด็กคนนี้
แล้วเวลาก็ผ่านมาอีกหลายปี เปลี่ยนเด็กชายคนหนึ่งให้กลายเป็นเด็กหนุ่มม.ปลายผูกเนกไทซะเท่ แต่ยังไงความน่ารักทั้งนิสัยและหน้าตาก็ยังเหมือนเดิม
วันนี้ดูเหมือนจะต่างไปจากทุกวันเพราะแทนที่เทียนกลับมาบ้านแล้วจะไม่ออกมาเลย กลายเป็นว่าหายเข้าไปครู่เดียวก็กลับออกมาพร้อมพี่สาวสองคน และ น้องชายอีก 1 คน พร้อมไม้แบตในมือคนละอัน มาเล่นตรงซอย
ผมเงยหน้าจากการจัดยาให้คนไข้มามองแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดต่อพลางยิ้มนิดๆ เมื่อใดที่ผมเห็นเด็กคนนี้ ผมมักจะรู้สึกสนุกสดชื่นเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเป็นวัยรุ่น แม้ว่าตอนนี้ผมจะอายุเลยสามสิบมาสองปีแล้วก็ตาม
“ย่ะ!! ไม้ตายลูกเบี้ยวเฉี่ยวฝาท่อ”
อื้อฮือ … ชื่อท่า ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเมื่อได้ยินเสียงดังลอดเข้ามา
“เอาอีกแล้วนะเทียน! เจ้บอกแล้วไงให้เสิร์ฟตรงๆ ”
“เทียนก็เสิร์ฟตรงๆ แล้วนะ แต่ทำไมมันเฉียงก็ไม่รู้ .. เอางี้ เจ้ยืนเฉียงๆ แล้วกัน จะได้รับได้ไง” เด็กหนุ่มยิ้มเผล่ ผู้เป็นพี่สาวเลยได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มบางๆ
“เอาใหม่ เวลาตีน่ะ ตีให้หน้าไม้มันตรงๆ แบบนี้….”
ผมละสายตาจากเด็กสี่คนนั้นหันกลับมาสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ
กรุ๊งกริ๊งงง… คนไข้มาแล้ว
ขณะที่ผมกำลังซักถามอาการคนไข้ ก็เห็นวัตถุขาวๆ ลอยมาตกในดงต้นไม้ แล้วก็ตามคาด เทียนวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดที่หน้ากระจกก่อนจะยกมือไหว้แล้วชี้ไปที่พุ่มไม้สุดรกของผมด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ
เอาเถอะ ปกติผมก็ไม่ได้สนใจไอ้พุ่มไม้นั่นอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ตามใจแล้วกัน ผมยิ้มตอบเด็กหนุ่ม พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินนำคนไข้เข้าไปตรวจด้านใน เป็นการบอกเป็นนัยว่าผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นหากเขาจะทำอะไรกับต้นไม้ของแม่ผม
ผ่านไปอีกหลายวัน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติสุข ผมกวักมือเรียกเด็กหนุ่มในเย็นวันหนึ่งเมื่อเขาเดินกลับบ้านผ่านหน้าคลินิก
“หวัดดีครับลุงหมอ มีอะไรหรอครับ” เสียงนุ่มน่าฟังดังขึ้น
“ช่วงนี้เรายังผ่านร้านAAA อยู่หรือเปล่าเทียนเทียน” ผมเกริ่นยิ้มๆ
“อ๋อออออ ผ่านทุกวันครับ ลุงหมอจะฝากซื้อหมึกซึมยี่ห้อ police เหมือนเดิมใช่มั้ย” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ถามอย่างรู้ทัน
ผมยิ้มบางๆ ยื่นเงิน 200 ให้ แล้วพูดว่า
“งั้นก็รบกวนหน่อยนะ ลุงขอสีน้ำเงินกับแดงอย่างละ 5 กล่อง ขอบใจมาก”
“ครับ ได้ครับ งั้นผมไปนะบ๊ายบาย” หลังรับเงินไปแล้วเจ้าตัวก็เดินออกจากคลินิกเข้าบ้านตัวเองไป ผมมองหมึกขวดสุดท้ายที่ใกล้หมด ก่อนจะหยิบมันมาเขย่าเบาๆ อย่างใช้ความคิด เด็กคนนี้โตขึ้นไปจะเป็นแบบไหนนะ ได้ข่าวว่าจะสอบหมอ อืม…คงเป็นหมอที่ดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้หมึกซึมมาสิบขวดสมใจ ผมก็ยังคงดำรงชีวิตอย่างสงบสุขในคลินิกเล็กๆ นี้เรื่อยไป เฝ้าดูสิ่งรอบตัวจากกระจกบานใหญ่ มองสิ่งที่ดำเนินไปด้วยใจเยือกเย็น
ในวันหนึ่งที่ฝนตกหนัก ผมคิดจะปิดคลินิกเร็วสักหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงรถติด ขณะที่กำลังลุกจากโต๊ะหน้ากระจก ผมก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่ร้านขายของชำเพื่อนบ้านผม รถยุโรปหลายคันแล่นมาจอดในซอย ก่อนที่ชายในชุดสูทดำหลายคนจะลงจากรถ เดินฝ่าฝนเข้าไปในร้านขายของชำ ผมขมวดคิ้วรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ขณะที่คิดจะกางร่มเดินไปดู เหล่าชายฉกรรจ์สวมแว่นดำร่างบึกบึนก็จ้ำออกมาจากร้าน พลางถูลู่ถูกังลากเอาเด็กหนุ่มที่ผมคุ้นตาออกมาด้วย คนในบ้านวิ่งตามออกมา แต่ชั่วอึดใจเดียว พวกมันก็จัดการยัดตัวเด็กหนุ่มเข้าไปในรถก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็วจนผมได้แต่ตะลึงก้าวขาไม่ออก
มันเกิดอะไรขึ้น...?
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มทักทายพร้อมมือที่ยกไหว้อย่างนอบน้อมอีกเลย …
เรื่องการลักพาตัวอันอุกอาจนี้รู้กันไปทั้งละแวก แต่ก็ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ผมไม่รู้ว่าบ้านนั้นได้แจ้งความหรือทำการสืบหาบ้างหรือยัง ร้านขายของชำที่เคยมีแต่เสียงหัวเราะเฮฮาก็ดูหดหู่เงียบเหงา ดอกไม้นานาพันธุ์ที่เคยชูช่องดงามถูกปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นแค่ซากสีน้ำตาลแห้งเหี่ยว ย้ำเตือนความทรงจำให้คนที่ผ่านไปมาได้ระลึกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นดอกไม้ที่สวยงามแค่ไหน เจ๊เนี๊ยะของบ้านนั้นล้มป่วยลง แม่ของเทียนคงทำใจไม่ได้ที่จู่ๆ ลูกชายสุดที่รักถูกฉุดออกไปต่อหน้าต่อตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะทิ้งกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเงินดอลลาร์ไว้ให้ด้วยก็ตาม
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป…
นับจากเหตุการณ์วันนั้นจนถึงวันนี้เวลาก็ล่วงเลยมา 7 ปีแล้ว ผมแต่งงานกับนางพยาบาลที่น่ารักคนหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่สองอยู่ ผมมีความสุขมาก แต่ในใจลึกๆ ก็ยังสงสัย เด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
หลายครั้งที่ผมเห็นพี่น้องของเขาถือไม้แบตออกมาจะเล่นกัน แต่สุดท้ายก็เลิกเล่น มองมาที่พุ่มไม้คลินิกผมที่เทียนชอบตีลูกขนไก่มาติดบ่อยๆ ก่อนจะกอดกันร้องไห้โฮจนผมตกใจต้องรีบเดินออกไปปลอบโยน
ตอนนี้พี่สาวสองคนของเขาเรียนจบ ทำงานแล้ว ส่วนน้องชายคนเล็กก็ขึ้นม.ปลาย ถ้าตอนนี้เขายังอยู่ล่ะก็คงได้เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 1 แล้วล่ะมั้ง
ผมครุ่นคิดขณะมองเด็กอีสานคนนั้นตีแบตกับเด็กคนอื่นๆ ตรงที่ที่เทียนเคยตีแบตกับพี่น้องเมื่อ 7 ปีก่อน
เช้าวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่งในฤดูหนาว ผมจิบกาแฟยามเช้าที่ภรรยาชงให้พลางนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอคนไข้อยู่ในคลินิก
กรุ๊งกริ๊งงงงง
“สวัสดีครับลุงหมอ นี่ของฝากนะครับ”
ผมเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแผ่นหลังของชายคนหนึ่งไวๆ ผู้ชายคนนั้นทิ้งกล่องใบหนึ่งเอาไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วหันหลังจากไปราวกับเร่งรีบจะไปทำอะไรสักอย่าง เสียงของชายคนนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน
“เดี๋ยว! คุณครับรอก่อน!” ผมพยายามร้องเรียกชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน ชายคนนั้นเดินตรงไปยังร้านขายของชำ ผมรีบผลักประตูกระจกวิ่งตามออกไป
“ป๊าครับ! ม๊าครับ! ผมกลับมาแล้ว!” ผมได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังออกมา ผมหยุดอยู่หน้าร้านพลางชะโงกเข้าไปดูก็เห็นชายคนนั้นสวมกอดเจ้เนี๊ยะของร้านไว้แน่น
“อาเทียน! อาเทียน! ฮือๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” เจ้เนี๊ยะคนสวยที่หลังจากลูกชายหายตัวไปก็มีท่าทางหดหู่เศร้าหมองมาตลอด วันนี้เธอยิ้มทั้งน้ำตาร้องไห้กอดร่างตรงหน้าไม่ยอมปล่อย
“ม๊า เทียนกลับมาแล้ว” ร่างนั้นกอดตอบแน่น ขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะเดินเข้าไปขัดด้วยความสงสัย หรือ จะกลับไปที่คลินิกปล่อยให้สองแม่ลูกอยู่ด้วยกันไปก่อน เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านหลังผม
“อ้าว ลุงหมอ หวัดดีครับ มาซื้ออะไร… ฮะ…ฮะ…ฮะ…เฮีย!!” ร่างสูงวิ่งผ่านผมเข้าไปในบ้าน แล้วคว้าชายในชุดสูทผู้มีผมสีอ่อนคนนั้นไว้
“นี่เฮียจริงๆ ใช่มั้ย! เฮียเทียนจริงๆ เหรอเนี่ย”
“ไท่ โตขึ้นเยอะเลยนะ”
“ฮะ…เฮีย หายไปไหนมา… ไท่…ไท่…แงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”
“โตแล้วยังขี้แยไม่หายเลยนะเรา … ม๊าครับ แล้วป๊ากับเจ้ๆ ล่ะ”
“ป๊าไปธนาคาร ส่วนเจ้ๆ ไปทำงาน แล้วนี่เทียนหายไปไหนมาฮึลูก ม๊าคิดถึงเรามากเลยนะ ฮือๆ ๆ ”
“ไท่ก็คิดถึงเฮียมากเหมือนกัน แงๆ ๆ ๆ ”
ขณะที่ผมกำลังซาบซึ้งกับภาพตรงหน้า จู่ๆ ผมก็ถูกกระชากที่แขนดึงให้ออกห่างจากปากประตูอย่างแรง ก่อนที่ชายในชุดสูทสีดำนับสิบคนจะกรูกันเข้าไปในบ้าน
“คุณเทียนครับ หมดเวลาแล้ว” ชายคนที่เดินนำเข้าไปคนแรกพูดขึ้น
“เดี๋ยว ผมขอรอเจอพ่อกับพี่สาวก่อนเถอะนะ ขอร้องล่ะ”
“คนพวกนี้เป็นใครน่ะลูก” ชายนับสิบคนถือกระเป๋าหนังสีดำหลายใบไปวางซ้อนกันบนโต๊ะ สองคนสุดท้ายช่วยกันแบกหีบเหล็กเข้ามาในบ้าน
“ได้เวลากลับแล้วครับ” ร่างในสูทดำที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของคนทั้งหมดมองไปที่นาฬิกาข้อมือก่อนจะพยักหน้าให้ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“เดี๋ยวก่อน! ผมขอ…” ชายหนุ่มผมสีอ่อนพยายามขอต่อรองกับชายชุดดำท่ามกลางความงงงวยของแม่และน้องชายตัวเอง ผมที่ถูกกักให้อยู่นอกบ้านได้ยินแต่เสียงที่ดังลอดออกมาเท่านั้น
ชายชุดดำสองคนตรงเข้าล็อกแขนชายผมสีอ่อนไว้คนละข้าง ก่อนจะลากออกไป ผมเห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นชัดเจนยามที่เขาถูกลากไปที่รถ ผมพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากคนที่ดึงผมเอาไว้ไม่ยอมให้เข้าไปยุ่งแต่ก็ไม่สำเร็จ
“แกจะเอาลูกฉันไปไหนอีก เอาคืนมา เอาลูกชั้นคืนมา!!!”
“ปล่อยนะ! จะพาพี่กูไปไหน ไอ้พวกชั่ววววววว” สองแม่ลูกถูกการ์ดกันเอาไว้ เทียนถูกจับยัดใส่รถ ชายที่ดึงตัวผมไว้ผละออกไป ไม่นานรถนับสิบคันก็แล่นจากไป
“เทียนนนนนนนน!!” เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดของคนเป็นแม่ดังไล่หลังรถพวกนั้นไป
จากวันนั้นผมได้แต่เก็บความสงสัยกลับมาที่คลินิกเพราะแม่บ้านเดินมาตามผมไปรักษาคนไข้จึงไม่ได้อยู่ดูต่อว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมเมื่อหลายปีก่อนถึงโดนจับตัวไป แล้วทำไมวันนี้ถึงกลับมาแล้วก็หายไปอีก ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ผมได้แต่สงสัยแต่ไม่กล้าเดินไปถาม เพราะมันไม่ใช่กงการอะไรที่ผมจะมีสิทธิ์ไปยุ่ง แต่แล้ววันนี้ฟ้าก็ส่ง’ ไท่’ น้องชายของเทียนมาตอบข้อสงสัยให้ผมถึงคลินิก
“ลุงหมอครับ ช่วยตรวจ Essay ให้หน่อยได้มั้ยครับ” เจ้าตัวขอร้องด้วยใบหน้าซึมๆ พอผมช่วยแก้เสร็จ ก็เลยถามเรื่องในวันนั้น
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมได้เจอเฮียแป๊บเดียวพวกคนชุดดำก็มาลากเฮียออกไปแล้วกันผมกับแม่เอาไว้ พวกมันทิ้งเงินดอลลาร์ไว้สามสิบกล่อง กับ หีบ…ทองแท่ง เหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่พวกมันทิ้งเงินเอาไว้ แต่คราวนี้มันมากกว่าครั้งก่อนเป็นร้อยๆ เท่าเลยครับลุงหมอ .. ป๊าบอกว่าเงินก้อนแรกนั่นคงเป็นค่าตัวเฮียช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ส่วนเงินก้อนนี้คงเป็น…”
“ค่าตัวตลอดชีวิตสินะ” ผมต่อให้ …นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย
“ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่เข้าใจเลย คนพวกนั้นเอาตัวเฮียไปทำไม ใครต้องการตัวเฮีย แล้วเฮียไปรู้จักพวกมันได้ยังไง มันเป็นใคร งงไปหมดแล้ว!”
“ใจเย็นๆ ถึงลุงจะไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง แต่ลุงคิดว่าเจ้าเทียนคงไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก ไม่อย่างนั้น วันนั้นคงกลับมาให้เห็นหน้าไม่ได้หรอก”
“มันก็จริงครับ …” เด็กหนุ่มเดินกลับไปอย่างหงอยๆ
จริงสิ! ผมยังไม่ได้เปิดกล่องที่ได้รับมาในวันนั้นเลยนี่นา
“ป้านาครับ กล่องที่ผมตั้งไว้บนเคาน์เตอร์วันก่อน ป้าเอาไปเก็บไว้ไหนครับ” ผมถามแม่บ้านประจำคลินิก
“อ๋อ กล่องนั้นน่ะเอง ป้าเอาไปเก็บให้ที่ห้องหนังสือค่ะ เดี๋ยวป้าไปเอามาให้นะคะ”
ป้านายกกล่องลงมาให้ พอผมเปิดออกก็พบว่าภายในเต็มไปด้วยหมึกสำหรับเติมปากกาหมึกซึมที่ผมมักจะฝากเด็กคนนั้นซื้อบ่อยๆ จู่ๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ม้วนเป็นแท่งทรงกระบอกเสียบอยู่มุมกล่อง ผมจึงหยิบมันขึ้นมาคลี่อ่าน
สวัสดีครับลุงหมอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ผมเทียนเองยังจำได้ไหม ผมแอบสอดจดหมายฉบับนี้ไว้ในกล่อง ลุงหมอช่วยอ่านแล้วไปบอกพ่อแม่ผมทีเถอะครับ เพราะผมไม่สามารถบอกอะไรพ่อแม่ผมโดยตรงได้เลยเนื่องจากมีคนคอยจับตาดูไม่ให้ผมพูดอะไรที่ไม่สมควรออกมา
เมื่อเจ็ดปีก่อน ผมไปส่งเพื่อนสนิทที่สนามบิน แล้วก็ได้พบกับนักธุรกิจที่เครื่องบินดีเลย์คนหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะถูกชะตากับผมมาก ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลใหญ่ในโลกมืด ผมไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสะกดรอยตาม ในที่สุดเขาก็สั่งให้ลูกน้องมาลักพาตัวผมไปต่อหน้าต่อตาพ่อแม่เมื่อเจ็ดปีก่อนนั้นเอง
ผมคงเขียนอธิบายโดยละเอียดไม่ได้ เพราะต้องคอยระวังการจับตาดูของบอดี้การ์ด เอาเป็นว่าเจ็ดปีที่ผ่านมา แม้จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับผมมากมาย แต่ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ ผมยังสบายดีแม้จะถูกกีดกันไม่ให้ติดต่อกลับไปที่บ้านเลยก็ตาม ผมไม่กล้าหนี เพราะเขาขู่จะฆ่าครอบครัวผม…
สุดท้ายนี้ฝากบอกครอบครัวผมด้วยว่าขอโทษที่ทำให้กลุ้มใจและเป็นห่วง และคงต้องฝากบอกพวกเขาด้วยว่า ลาก่อน ผมคงไม่ได้กลับมาไทยอีกต่อไปแล้ว…
ขอบคุณที่เอ็นดูผมมาตลอดนะครับ
เทียนซื่อ
[/i]
-The End-