วันก่อนได้แวะมาดูในเล้าหลังจากที่ไม่มีเวลาเอาเลยเพราะงานเยอะมากมาย ได้เห็นนิยายตัวเองมีคนรีเควสว่าอยากอ่านต่อเยอะอยู่ ทำเอางงเหมือนกันครับ จนต้องรีบเร่งปั่นตอนต่อไปแม้จะไม่ค่อยมีเวลาและไอเดียมากนักก็เหอะ อิอิ เพราะงั้นเลยรีบเอามาลงให้อ่านพอหายคิดถึงกันก่อนนะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะรู้สึกโอเคกันมั๊ย อาจจะรู้สึกไม่ดี ไม่สนุกเหมือนตอนก่อนๆนี้ก็ได้
อยากสารภาพตามตรงครับว่าหลังๆมานี้หมดไฟไปเยอะอ่ะเพราะรู้สึกว่ายังจับทางที่เป็นแนวเขียนของตัวเองยังไม่ได้ดีเท่าไหร่ เขียนเองอ่านเองแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่เวิร์ค ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้จนต้องลองหยุดพักไปก่อน แต่พอมารู้ว่ามีคนรออ่านเยอะเหมือนกันแบบนี้ก็ดีใจมากๆครับ ขอขอบคุณทุกๆท่านเลยนะครับที่ติดตามกันมาตลอด หลังจากตอนนี้ไปอีกไม่กี่ตอนก็จะจบเรื่องแล้วล่ะ ยังไงก็ติดตามกันต่อไปนะครับ ขอบคุณมาก
ตอนที่45 *************************************
ผมเรียกพ่อค้างอยู่แบบนั้น นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ป่ะ พ่อลืมตาแล้ว และนั่นพ่อกำลังมองมาที่ผม แม้ว่าพ่อจะดูล้าๆเหมือนใช้กำลังอย่างมากแต่ผมก็แน่ใจว่าพ่อรู้สึกตัวแล้ว
" พ่อครับ พ่อ.... พ่อได้ยินผมมั๊ย" ผมเรียกพ่อซ้ำ น้ำตาผมไหลโดยไม่รู้ตัวเพราะดีใจมาก มือผมกำมือพ่อไว้แน่นและผมรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆของพ่ออยู่
" คุณ.... คุณเป็นไงบ้าง หือ... " แม่ผมก็ร้องไห้เอื้อมมือมาจับมือพ่อเหมือนกัน มินก็ร้องไห้กอดแม่ผมไว้
" เอ่อ... เดี๋ยวต้องขอให้หมอดูอาการก่อนนะครับ พวกคุณนั่งรอข้างๆนี่ก่อนละกัน ขอโทษนะครับ" หมอที่กำลังเช็คอาการพ่อขอให้เราถอยออกไปนั่งรอที่โซฟาก่อน ผมเลยพาแม่กะมินเดินไปนั่งด้วยกันที่โซฟา
" พ่อฟื้นละครับแม่ แม่ดีใจมั๊ยครับ" ผมบอกแล้วก็กอดแม่ไปด้วย แม่สะอื้นเบาๆแล้วยิ้มกับผม
" จ้ะลูก ต่อไปเราก็คงไม่ต้องเป็นห่วงกันแล้วนะ ดีจริงๆ"
ตอนนี้มินพูดอะไรไม่ออกก็คงดีใจมากเหมือนกัน กอดผมแน่นสะอื้นไปด้วย
" เมื่อกี๊ยังกะว่าพอมินพูดกับพ่อ พ่อก็ฟื้นทันทีเลยงั้นแหละ" ผมหันไปบอกน้อง
" เอ๊ะ... ใช่เหรอครับ"
" ใช่ดิ เมื่อกี๊พอมินพูดจบพ่อเค้าก็บีบมือพี่เลย"
" จริงเหรอครับ อืม... มันคงบังเอิญอ่ะผมว่า แต่ก็ดีจังครับที่คุณลุงฟื้นแล้ว" มินบอกแล้วกอดผมแน่นขึ้น ผมลูบหัวน้องเบาๆ ตอนนี้เราทุกคนทั้งดีใจและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
" เอ้อ... เดี๋ยวพี่รีบโทรบอกไอ้ป้างดีกว่า" ผมว่าแล้วกดโทรออกไปหามัน
" เฮ้ย... ตอนนี้อยู่ไหนวะ รีบมาโรงบาลด่วนเลย พ่อฟื้นแล้ว"
" ห๊า... จริงเหรอวะ เออๆ เดี๋ยวกูไปๆ" มันร้องลั่นแล้วรีบวาง ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงมันก็เปิดประตูห้องพรวดเข้ามาแล้วรีบวิ่งไปที่เตียงพ่อโดยไม่สนใครเลย
" พ่อ.... พ่อครับ พ่อฟื้นแล้ว พ่อ...." มันร้องเรียกพ่อแล้วก็ก้มไปกอด พ่อก็นอนยิ้มให้มันท่าทางเค้าก็ดีใจล่ะที่ได้เห็นไอ้ป้าง
" เฮ่ย... ใจเย็นก่อนมึง หมอเค้าบอกว่าปล่อยให้พ่อพักไปก่อน อย่าเพิ่งไปรบกวนพ่อมากๆตอนนี้" ผมเตือนมัน มันก็เลยถอยออกมานั่งข้างเตียงแล้วมองพ่อเฉยๆ
" แล้วนี่พ่อฟื้นนานยังวะ"
" ก็พอฟื้นกูก็โทรบอกมึงเลย สักครึ่งชั่วโมงได้"
" เออ... พอดีกูถ่ายงานเสร็จก็รีบมานี่ล่ะว่ะ กูโคตรดีใจเลยนะ พ่อฟื้นซะทีต่อไปกูจะได้ไม่ต้องห่วง"
" เหมือนกันว่ะ นี่กูอยากจะฉลองเลยนะเว้ย เดี๋ยวว่าจะสั่งพิซซ่ามากินฉลองกันซะเลย ดีมั๊ยวะ" ผมเสนอ
" เออดีๆ สั่งมาเลย เออ... กูว่าสั่งมาเผื่อแจกหมอกับพยาบาลเค้าด้วยเลยดิ เอามาหลายถาดหน่อย อยากขอบคุณเค้าที่ช่วยดูแลพ่ออย่างดีอ่ะ" หึๆ ดูมันครับ นี่มันใจป้ำไปมั๊ยเนี่ย จะแจกพิซซ่าเค้าทั้งวอร์ดซะงั้น
" เฮ้ยๆ มึง กูว่ามึงจะโชว์ป๋าไปมั๊ง ไว้วันหลังเราเอาของขวัญเอากระเช้าอะไรให้หมอเค้าก็พอเหอะ"
" เออ... ก็จริงว่ะ งั้นมึงโทรสั่งมาเลยถาดใหญ่ๆถาดนึง" มันยิ้มร่าเริงพลางก้มไปมองพ่อที่ตอนนี้ก็ยิ้มๆให้เราอยู่ครับ จากนั้นสักพักเด็กก็เอาพิซซ่ามาส่ง พวกเราก็กินฉลองกันไป ใจอยากให้พ่อลุกมากินกะเราจริงๆแต่คงยังไม่ได้ แต่ผมว่าแค่นี้พ่อก็คงมีความสุขมากแล้วล่ะ
แต่ถ้าจะว่าไปวันนี้คนที่มีความสุขมากที่สุดน่าจะเป็นผมนะ ไอ้ที่ผมทำๆมาตลอดไม่ว่าจะเป็นการมาหาพ่อบ่อยๆ มาคุยกับพ่อเรื่อยๆมันไม่สูญเปล่าเลย
ยิ่งหลังจากวันนั้นพออาการพ่อดีขึ้นเริ่มพูดได้บ้างแล้ว พ่อบอกผมเลยว่าที่ผมพูดกะพ่อไปนั่น พ่อได้ยินและรับรู้เกือบทั้งหมด ตอนนั้นผมน้ำตาไหลเลยนะแล้วกอดพ่อไว้ ดีใจที่สุดอ่ะครับ มันทำให้เรารู้และเข้าใจจริงๆว่าบางทีไอ้สิ่งเล็กๆน้อยๆเหมือนไม่น่าจะสำคัญแต่บางครั้งถ้าเราตั้งใจทำมันก็ส่งผลดีได้เสมอ ตอนนั้นพ่อได้รับรู้แล้วว่าผมรักเค้าแค่ไหนเค้าถึงได้เข้าใจและให้อภัยผมทุกๆอย่าง
เป็นอันว่ากำแพงที่กั้นระหว่างเรามาตลอดหลายปีพังทลายลงไปหมดแล้ว ผมได้พ่อที่ผมรักกลับมาเหมือนกับที่พ่อผมได้ลูกชายที่เค้ารักกลับมาเหมือนกัน และมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไม่มีอะไรมาเปลี่ยนได้อีก
-
-
ช่วงนี้งานผมที่โรงแรมก็ไปได้สวย ส่วนพ่อยังคงทำกายภาพที่โรงพยาบาล อาการอื่นๆก็ดีขึ้นจนเป็นปกติไม่มีอะไรน่าห่วงอีก มาคิดๆดูแล้วชีวิตนี้ผมขอแค่นี้ล่ะว่ะ มันมีความสุขมากพอแล้ว แค่ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลกับอะไรอีกและได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้ากันยังงี้แหละ แต่แล้วมันก็มีเรื่องเข้ามาอีกจนได้อยู่ดีสิน่า
" สรุปว่าก็ยังคงมีคนมาวอแวเมียกูอยู่ดีงั้นดิ" ผมคุยกะไอ้แมนหลังจากที่มันรายงานสถานการณ์ที่มหา'ลัยให้ฟัง
" ก็เหลือแค่พี่บอสอ่ะพี่ กะไอ้หล่อเท่ที่ได้เป็นเดือนอ่ะ" ไอ้บอสกะไอ้หล่อเท่เหรอ... อ๋อ... คงจะไอ้เวรที่ประกวดชนะมิน ตกลงนี่มันก็หวังจะเคลมเมียกูจริงๆอ่ะดิ
" อืม... ก็ยังดี เหลือแค่นั้น สงสัยกูอาจจะต้องลงมือเองล่ะมั๊งเนี่ย" ผมบอกมันเสียงแข็งๆ
" เฮ่ยพี่... นี่จะต้องลงไม้ลงมือกันเลยเหรอ"
" ก็ไม่แน่ว่ะ แต่ถ้ากูห้ามแล้วไม่ฟังอ่ะพวกมันได้โดนแน่"
" หึๆ โหดจริงจริ๊งพี่ผม แต่ก็อย่างว่าอ่ะ ที่มหา'ลัยยังไม่มีใครรู้เลยว่ามินกะพี่เป็นแฟนกัน"
" เหรอวะ"
" ใช่พี่... มินมันบอกคนอื่นแค่ว่ามีแฟนแล้วแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นพี่"
" หือ... ทำไมล่ะวะ"
" เห็นมันว่ามันไม่อยากไปเที่ยวประกาศให้ใครเค้ารู้อ่ะ ยังไงซะทางบ้านพี่ก็ยังต้องรักษาหน้าตาในสังคมอยู่ มันเลยคิดว่าเรื่องนี้อยากให้คนรู้น้อยที่สุดมั๊ง"
" เฮ้อ... มินมันก็ยังงี้ทุกที ห่วงแต่คนอื่นไม่มีห่วงตัวเองหรอก เออๆ งั้นกูยอมก็ได้วะไม่ทำอะไรแล้ว ฝากมึงดูมันดีๆละกัน ใครมาชวนไปไหนอย่าเชื่อง่ายๆ โอเคนะ" ผมกำชับไอ้แมนไปมันก็พยักหน้ารับ
รู้สึกเหนื่อยใจนิดนึงว่ะที่ชีวิตมันไม่ง่าย ถึงคนอื่นๆจะรู้บ้างแล้วว่าผมคบกะมิน แต่คนอีกบางส่วนที่ยังไม่รู้เราก็คงไม่จำเป็นต้องไปประกาศให้เค้ารู้หรอก ต้องเห็นแก่หน้าพ่อแม่บ้างเพราะคนอื่นที่เค้ารับได้มันก็โอเค แต่คนที่รับไม่ได้มันก็คงเยอะอยู่ สงสารพ่อแม่ผมว่ะ เค้าจะปั้นหน้ายังไงถ้ามีใครถามเรื่องผม เพราะงั้นมินมันก็คิดถูกแล้วล่ะ
-
-
แต่แล้วไอ้ที่ผมบอกไปนั่นก็กลายเป็นว่าผมทนไม่ไหวซะเอง เพราะพอดีวันนี้ผมได้หยุดเลยแอบแว่บมาหามินที่คณะฯ มาถึงก็.... ปรี๊ดเลยครับ ไอ้หล่อเท่นั่นมันมานั่งหัวร่อต่อกระซิกกะมินอยู่หน้าคณะฯ
" มิน.... " ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วเรียก มินก็หันมาท่าทางตกใจ ไอ้ห่านั่นมันก็ทำหน้าเหวอๆ
" อ้าว... มายังไงอ่ะครับ ไม่เห็นโทรบอกเลย" ผมไม่ฟังอะไร นั่งลงไปข้างมินทันที
" วันนี้หยุดเหรอครับ อ๊ะ..." มินร้องออกมาเบาๆเมื่อผมโอบไหล่น้องมันเข้ามาใกล้ๆ ไอ้หล่อนั่นมันก็ยิ่งเหวอหนัก
" เฮ้ย... นายอ่ะ ถามจริง... ชอบมินเหรอ... " ผมเปิดฉากถามแล้วจ้องหน้ามันเขม็ง
" เอ่อ... ผม เอ่อ.... " มันอ้าปากค้าง ไปไม่เป็นเลยสิมึง ต้องเจอกูยังงี้ ไม่งั้นไม่สำนึก
" พี่... เอ่อ.... " มินก็ยิ่งตกใจ บวกงง บวกเหวอและอีกสารพัด จนทำอะไรไม่ถูกหันมองหน้าผมกับหน้าไอ้หล่อนั่นสลับไปมา
" แล้วรู้ใช่มั๊ยว่ามินมีแฟนแล้วอ่ะ ใช่มั๊ยครับมิน" บอกมันไปแล้วผมก็โอบเอวมินเข้ามาอีก น้องมันก็ยิ่งหน้าเสียว่ะ แต่ช่วยไม่ได้... ต้องให้มันรู้กันไปอ่ะวันนี้
" คงไม่ต้องบอกนะว่าแฟนมินมันขี้หึงยังไงมั่ง โอเคนะ.... " ผมพูดได้แค่นั้นยังไม่ทันจบมินก็ตวาดผม
" พี่... ทำไมทำยังงี้" ไม่พูดเปล่าๆ มินลุกพรวดแล้วเดินหนีผมไป ผมก็รีบวิ่งตามปล่อยให้ไอ้บ้านั่นมันเหวอต่อไป
" เดี๋ยวมิน ฟังพี่ก่อน" ผมคว้ามือน้องไว้ทัน แต่เจ้าตัวหันขวับมาอย่างโกรธจัด
" ไม่อยากฟัง พี่อ่ะยังงี้ทุกทีเลย มินก็เคยบอกแล้วนี่นาว่ามันไม่มีอะไร ที่คุยก็คุยกันเฉยๆแค่นั้นจริงๆ ทำไมไม่เชื่อกัน"
" ก็ถ้ามินบอกว่าไม่มีอะไรแล้วมันอ่ะ มันไม่มีอะไรกะมินด้วยมั๊ย เห็นตามันเวลามองเรามั่งมั๊ย ถ้าจับกินได้มันคงกินไปแล้วล่ะ"
" ก็ช่างเค้าสิ มินไม่สนใจซะอย่างใครจะมาทำอะไรได้ แต่พี่ไม่น่าทำยังงี้นี่นา มันเหมือนฉีกหน้ากันน่ะ" มินโวยวายแล้วก็ยืนกอดอกหน้างอๆอยู่
" เอาล่ะๆ โอเคครับพี่ผิดเอง งั้นสรุปว่ามินจะปล่อยให้เป็นยังงี้ใช่มั๊ย ให้ใครๆมันเทียวมาจีบได้ตามใจชอบยังงี้น่ะ พี่จะเป็นยังไงจะรู้สึกยังไงก็ช่างใช่มั๊ย โอเคเลยมิน... พี่ตามใจเราครับ ต่อไปพี่จะไม่ห้ามแล้วล่ะ" ผมตัดใจพูดออกไปยังงี้แล้วหันหลังจะเดินไปจากตรงนั้น
ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดกันว่าทำไมผมทำแบบนี้ เหมือนกับว่าประชดแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมแค่เหนื่อยว่ะ น้องมันไม่เคยเข้าใจผมว่าทำไมต้องมาหึงหวงกันแบบนี้ ก็โอเค... ไม่ว่ากัน น้องมันยังเด็กคงไม่เข้าใจว่าไอ้คนบางคนที่เราเห็น เราพูดด้วยนั่นในใจมันคิดกะเรายังไง
ไม่ใช่ว่าเราไม่เล่นด้วยแล้วมันจะจบ แต่มันแค่รอโอกาส รอให้ถึงวันนึงที่เราสับสนใจตัวเองแล้วมันก็จะแทรกเข้ามา
และถ้าเป็นอย่างนั้นเราเองตะหากที่ต้องจบน่ะ...
" เดี๋ยวครับพี่ อย่าเพิ่งไป.... มิน.... " น้องวิ่งมาคว้ามือผมไว้ทันทีเหมือนกัน หันไปก็เห็นน้ำตาไหลออกมาซะแล้ว ให้มันได้ยังงี้สิว้า ผมเลยต้องคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดไว้
" มินขอโทษนะ มัวแต่คิดว่าพี่ต้องเข้าใจ ไม่ได้คิดเลยว่าพี่จะรู้สึกยังไง ขอโทษนะครับ ฮือๆ" น้องร้องไห้กอดผมแน่น ส่วนผมก็พูดอะไรไม่ออกสงสารน้องมัน ที่จริงมันเพราะผมระงับอารมณ์ไม่ได้เอง และก็เพราะผมเหนื่อยเกินกว่าจะทำให้มินเข้าใจตะหาก
" ไม่หรอกครับ พี่ก็ไม่ดีเองที่ใจร้อน แต่เห็นไอ้บ้านั่นกับมินแล้วพี่ทนไม่ได้จริงๆ มินอย่าโกรธพี่เลยนะ" ผมกอดแล้วก็ลูบหัวน้องเบาๆ มินก็สะอื้นจนตัวสั่น
" มินไม่โกรธพี่หรอกครับ แต่พี่อย่าทิ้งมินไปนะ ฮือๆ"
" ครับๆ พี่ไม่มีทางทิ้งมินหรอก อย่าร้องไห้นะครับคนเก่ง พี่จะอยู่กะมินตลอดไปเลยนะ" มินกอดผมแน่นและสะอื้นอย่างนั้นต่อไปครู่นึง จนผมนึกสงสัยว่าทำไมน้องเสียใจมากมายไปขนาดนี้
" ก็เมื่อกี๊พอพี่เดินหันหลังไปมินใจหายหมดเลยครับ มันเหมือนพี่จะทิ้งมินไปเลยอ่ะ"
" ครับ... งั้นพี่ขอโทษนะ ต่อไปจะไม่ทำยังงี้อีกแล้วล่ะ" ผมเริ่มเข้าใจมินขึ้นมาบ้างแล้ว สงสัยเพราะกลัวผมจะทิ้งกันไปเลยนี่เอง
นึกๆดูแล้วก็น่าใจหายที่บางทีผมเหนื่อยกับความไม่เข้าใจกันของเราสองคนมากว่ะ ไอ้ผมเองมันใจร้อนมากไปจนทำอะไรเลยเถิดทุกที ส่วนมินเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ผมคิดและรู้สึกคงเพราะน้องมันยังเด็ก และจากเรื่องวันนี้ผมบอกตรงๆว่ากลัวนะ กลัวว่าสักวันนึงเราอาจจะต้องแตกหักกันไปเพราะอะไรแบบนี้ก็ได้
-
-
ทุ่มกว่าแล้ว ผมขับรถพามินไปส่งบ้านแล้วก็กลับออกมาเลย อ้างว่าเดี๋ยวต้องรีบกลับบ้าน แต่ความจริงผมขับรถมันไปเรื่อยๆแล้วทบทวนเรื่องวันนี้ หรือว่าผมจำกัดเสรีภาพน้องมันมากเกินไปกันนะ
จริงอยู่ที่มินก็รู้ดีว่าใครเข้ามาจีบแต่ก็คงไม่คิดจะไปอะไรกะคนเหล่านั้นหรอก และผมเองที่ต้องเชื่อใจน้อง ใช่ดิ... ความเชื่อใจไงวะ ไอ้โง่เป้ง... หัดเชื่อในตัวน้องมันซะมั่ง แต่ถึงเราจะเชื่อใจกันแค่ไหน ผมว่าไอ้คนอื่นๆที่จ้องจะเข้ามาแทรกระหว่างเรามันก็เยอะแยะไปหมด แล้วยังงี้เราควรจะทำยังไง
" เป็นไรวะมึง หน้าบูดเป็นตูดลิงอ่ะ" ไอ้ป้างมันถามผม คงเห็นผมเดินคอตกเข้าบ้าน
" เบื่อว่ะ ปัญหาเยอะฉิบหาย มีแต่คนหาเรื่องจะงาบเมียกูทั้งนั้น" ผมบ่นแล้วก็นอนลงไปที่โซฟา ไอ้ป้างมันนั่งอยู่ก่อนแล้วก็หันมาทางผมแล้วหัวเราะ
" หึๆ ก็อยากมีเมียสวยน่ารักเองนี่หว่า ใครๆมันก็อยากได้ทั้งนั้นดิ มึงไม่ต้องไปคิดมากหรอก น้องมันไม่ใช่เด็กๆแล้วมันตัดสินใจเองได้ แล้วก็คงไม่มีใครมาฉุดมันไปได้หรอกน่า อย่ากังวลอะไรไปก่อนดิวะ"
" ก็จริงของมึง กูเองคงห่วงน้องมันมากไปอ่ะ ชักรู้สึกว่ากูเริ่มล้ำเส้นน้องมันมากไปแล้ว งั้นต่อไปกูจะไม่มานั่งคอยคุมน้องมันอีกแล้วล่ะ ปล่อยให้มันเป็นอิสระบ้าง"
" เออ... ดีแล้ว เชื่อเหอะ มันไม่มีอะไรหรอก ใครก็มาแยกน้องเค้ากะมึงไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เพราะน้องมันรักมึงมากเหมือนกัน จริงมั๊ย" มันว่าแล้วก็ตบไหล่ผมทีนึง ผมก็ลุกขึ้นนั่งยิ้มให้มันแล้วเราก็แยกย้ายกลับห้องตัวเองไป
ตอนนี้ผมเริ่มสบายใจขึ้นมาก คิดตกซะทีว่าผมควรจะทำยังงี้นานแล้ว แค่ปล่อยทุกอย่างไปตามที่ควรจะเป็นก็พออย่ากำหนดกฎเกณฑ์อะไรกับน้องมันและชีวิตตัวเองให้มันมากนัก เพราะมันไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากเหนื่อยเปล่าๆ
-
-
จากวันนั้นมาผมก็พยายามปล่อยวางเรื่องมิน คิดซะว่ามันโตแล้วต้องดูแลตัวเองได้เพราะมินเคยฝึกแม่ไม้มวยไทยฝีมือคงพอตัวอยู่ อีกอย่างไอ้แมนมันก็อยู่ด้วยตลอดยังงั้นคงไม่เป็นไร
ตอนนี้ผมกลับมาสนใจงานตัวเองที่โรงแรมอย่างเต็มที่จนชักเริ่มรู้สึกอยู่หน่อยๆว่า ไอ้การเป็นสุดยอดเชฟเนี่ย มันจะใช่ทางของผมรึเปล่าวะ เหมือนกะว่ามันเป็นงานที่เหนื่อยมากนะ แล้วก็ต้องควบคุมรับผิดชอบหลายเรื่องมาก โอกาสเสี่ยงที่จะผิดพลาดก็สูง
เดิมทีผมชอบการคิดค้นการทำอาหารเมนูใหม่ๆรวมทั้งออกแบบประดับตกแต่งอาหารนั้นให้สวยน่ากินและขายได้เป็นที่นิยมของลูกค้า แต่ไอ้ที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันกลับเป็นแค่การผลิตเพื่อจำหน่ายอย่างเดียวเลยว่ะ บางทีไม่มีโอกาสจะมาพิถีพิถันจะแต่งจานอาหารด้วยซ้ำ ทำเสร็จก็ต้องล่กๆให้พนักงานรีบไปเสิร์ฟลูกค้าทันทีไม่มีเวลาจะมานั่งบรรจงอะไรเลย สงสัยงานนี้มันคงจะไม่ใช่ทางผมซะแล้วว่ะ และถึงผมจะทนทำงานนี้ได้อย่างคล่องดีอยู่ก็เหอะ แต่ผมว่ามันก็ยังไม่ใช่ที่ผมอยากจะทำจริงๆอยู่ดี
" เอ่อ... พี่นุครับ คือผมมีไรอยากปรึกษาพี่หน่อยอ่ะครับ" คิดไปคิดมาผมก็ตัดสินใจลองปรึกษาพี่นุแกดีกว่า แกเป็นผู้ช่วยเชฟและทำงานมานานแกคงรู้ปัญหาแบบนี้ดี ผมก็เล่าให้แกฟังทั้งหมด
" อืม... แล้วจริงๆเราคิดว่าเราอยากทำอะไรบ้างล่ะ ที่เกี่ยวกับด้านนี้น่ะ" พี่นุยิ้มแล้วถามความเห็นผม
" ก็... ผมว่านะพี่ ใจจริงผมอ่ะอยากแค่คิดค้นเมนูใหม่ๆแล้วก็ออกแบบตกแต่งอาหารน่ะครับ แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ผมก็ทำได้แหละนะ เพียงแต่เหมือนมันยังไม่ใช่ทางผมอ่ะ"
" อืม... งั้นพี่ก็เข้าใจแล้วล่ะ พี่ว่านะ งานในครัวแบบนี้มันคงไม่เหมาะกะเราซะแล้วล่ะว่ะ เพราะถ้าเป็นอย่างที่เราว่ามานั่นน่ะ มันเป็นงานของพวกคนที่เค้าเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับอาหารลงในหนังสือมากกว่านะ เค้าต้องคิดเมนูใหม่ๆแล้วก็ออกแบบตกแต่งอาหารตลอดเหมือนกัน พี่ว่างานนี้คงเหมาะกะเรามากกว่านะ"
" จริงด้วยพี่ ผมก็นึกไม่ถึงนะ ก็เด็กๆผมอยากเป็นเชฟไง แต่ก็ไม่เคยนึกอ่ะว่านั่นมันยังไม่ใช่ไอ้ที่ผมอยากจะทำจริงๆ"
" หึๆ ก็ยังไม่สายไปหรอก พี่ว่าเราอ่ะฝีมือใช้ได้ หัวคิดสร้างสรรค์เยี่ยมมากๆโดยเฉพาะเรื่องคิดเมนูกับออกแบบตกแต่งอาหารน่ะ ถ้าเราสนใจจริงๆพี่จะแนะนำงานเขียนคอลัมน์ให้เอามั๊ยล่ะ เป็นของแม๊กกาซีนอาหารเค้าน่ะ"
" อ่ะ... จะดีเหรอครับพี่ งั้นก็เท่ากะว่าผมต้องออกจากนี่อ่ะดิ"
" เฮ่ย... ถึงตรงนี้แล้วเราก็ต้องตัดสินใจแล้วล่ะ ในเมื่อเราคิดจะเดินอีกทางแล้วจะมามัวเดินทางนี้อยู่ทำไมล่ะจริงมั๊ย อย่าไปคิดมาก ถ้าเราลาออกไปพี่ก็เสียดายอยู่เพราะเราอ่ะฝีมือดี แต่พี่อยากให้เราทำเพื่ออนาคตตัวเองมากกว่า ถ้าอยู่นี่แล้วมันเจริญก้าวหน้าไปได้แค่นี้ก็อย่าทำต่อเลย มันเสียเวลา" พี่นุพูดจนผมเห็นความจริงเลยว่ะ ตอนนั้นเองผมถึงตัดสินใจได้ ในเมื่อผมได้รู้แล้วว่าอะไรเหมาะกะผม ผมก็คงต้องเลือกมันล่ะ
" มึงคิดดีแล้วเหรอวะ กว่าจะสมัครเข้ามาทำที่นี่ได้ไม่ใช่ง่ายนะเว้ย" พอไอ้เอ้มันรู้ว่าผมจะออกไปทำงานกับแม๊กกาซีนอาหารมันก็บ่นทันที เหอๆ กูไม่เห็นจะยากเลย วันนั้นพอกูมาสมัครปั๊บพี่นุก็รับกูปุ๊บเลยเนี่ย
" เออ... ก็คิดดีแล้วล่ะ พี่นุแกเป็นคนเสนองานนี้ให้กูเองด้วยว่ะ"
" หา... อะไรกันวะ นี่แกทำยังกะว่าอยากให้มึงลาออกไปเลยนะเนี่ย" ไอ้เอ้ร้องออกมา
" ไอ่ห่า... ไปคิดยังงั้น พี่เค้าว่าอยากให้กูเห็นแก่อนาคตเว้ย อยู่นี่ต่อกูก็คงไม่รุ่งเพราะมันคงไม่ใช่ทางกูอ่ะ"
" มันก็จริงของมึง ก็โอเคว่ะ แต่สำหรับกูอ่ะ งานที่นี่มันโอเคสุดแล้วว่ะ กูคงทำไปเรื่อยๆจนขึ้นเป็นเชฟเลย มึงคอยดู"
" เออ... มึงอ่ะได้เป็นเชฟแน่ พวกเรามีฝีมือเจ๋งกันอยู่แล้วก็ไม่มีไรต้องห่วง"
อย่างที่ผมคิดแหละ ยังไงซะไอ้เอ้มันก็มาทางนี้โดยตรงอยู่แล้ว ส่วนไอ้เอ๊กซ์ตอนนี้มันก็ออกไปคุมร้านอาหารของพ่อมันเรียบร้อยคงไม่ต้องพูดถึงมัน ก็เหลือแค่ผมล่ะที่ต้องเริ่มงานใหม่อีก แต่ผมก็ดีใจนะที่กำลังจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆซะที
ต่อด้านล่างเลยคร้าบ V
V