- เริ่มต้น -
ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน เพราะชีวิตในแต่ละวันนั้นมีทั้งเรียนทั้งกิจกรรมสลับกันไปไม่ว่างเว้น แต่มันน่าเบื่อตรงที่ชีวิตไม่มีความตื่นเต้นให้สัมผัสเลยสักครั้ง
ชีวิตผมต่างกับคนที่เป็นเพื่อนสนิทหน้าตาหล่อเหลาหุ่นดีอย่างกับนายแบบหลุดออกจากนิตยสาร เส้นผมสีเทาเหลือบดำเพราะผ่านการทำไฮไลท์ ดวงตาคมสีเทาอ่อนจนดูน่ากลัวอย่างกับปีศาจร้าย ครั้งแรกที่เจอกันมั่นใจว่าคนๆ นี้ต้องไม่ใช่คนไทยแน่ๆ แต่มันกลับบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็น อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมสีตาผิดปกติ มองถัดลงมาจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักสีส้มอ่อน สันกรามสวยได้รูปจนน่าอิจฉา ผิวสีแทนกระชากใจสาวๆมาพร้อมซิกแพคแน่นๆ ตรงข้ามกับแทบผมทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่บ่งบอกความเข้ากันเลยสักนิด แต่มาเป็นเพื่อนกันได้แบบงงๆ อาจเป็นเพราะว่าพวกเราเป็นเด็กทุนของมหา'ลัยเหมือนกัน
ผมชื่อ 'เทวิน' มีความหมายว่าหล่อ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงทั้งหมดทั้งมวลเมื่อประเมินจากหน้าตา ไม่ใช่ว่าขี้ริ้วขี้เหล่อะไรแต่ไม่ถึงขนาดหล่อ พอไปวัดไปวาได้คงเหมาะกับผมที่สุด ส่วนเพื่อนสนิทสุดที่รักชื่อ 'เซน' มีความหมายว่าของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งมันคงจริงในเมื่อรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ล้วนแล้วแต่ดีทั้งนั้น อาจยกเว้นเรื่องนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไว้อย่างหนึ่ง เพราะไม่เคยเจอรักแท้จึงไม่คิดจะหยุดอยู่ที่ใคร
"วิน"
"....."
"ไอ้วิน"
"หืม อะไร?"
ผมหลุดจากภวังค์ความคิดเพราะเสียงทุ้มนุ่มของเซนเรียกชื่อ ตอนนี้เราทั้งสองคนอยู่ในคอนโดมืดสลัวเพราะไฟฟ้าเกิดดับขึ้นมากะทันหัน ตอนแรกผมว่าจะกลับบ้านแต่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก่อนเลยไม่อยากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว จำใจทนนั่งอยู่หน้าเปลวเทียนวูบไหวและเพิ่งสังเกตว่าตัวเทียนเป็นสีฟ้าครามแปลกตา
"เหม่ออะไร? เรียกแล้วไม่ตอบ"
เซนเป็นคนประหยัดคำพูดจนหลายๆ คนหาว่าหยิ่ง แต่สำหรับผมแล้วนี่คือนิสัยปกติของเขา เงียบ นิ่งเป็นประจำ แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดี คอยช่วยเหลือกันยามลำบากทุกครั้ง ผมเลิกคิ้วมองแล้วส่ายหน้าช้าๆ เมื่อครู่ไม่ได้เหม่อนะ แค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง
"คิดอะไรนิดหน่อย แล้วนี่เราจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม?"
ผมถามกลับไปก่อนจะเป่าเปลวเทียนให้วูบไหวเล่น เงาที่ปรากฏบนผนังแลดูน่ากลัวอยู่ในที แต่มันแค่เรื่องเล็กเพราะเราทั้งสองคนไม่เคยกลัวสิ่งลี้ลับใดๆ อาจเพราะไม่เคยเจอจังๆ มาก่อนก็เป็นได้
"ทำไม อยากออกไปข้างนอกเหรอ?"
เขาถามขึ้น ดวงตาสีเทาจับจ้องเปลวเทียนอย่างไม่ลดละ กลิ่นมิ้นท์จางๆ จากตัวเซนลอยฟุ้งในอากาศ เมื่ออยู่ใกล้ๆ กันมันจะชัดเจนในโสตประสาทการรับกลิ่นของผมเสมอ เป็นแบบนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไร... ช่างมันเถอะ ผมอาจจะมโนไปเองเพราะชอบกลิ่นมิ้นท์ก็ได้
"เปล่า น่าเบื่อว่ะ นั่งมองเทียนกันอยู่แบบนี้"
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราสองคนต้องมานั่งมองเทียนเล่มสีฟ้าแปลกตากันด้วย นึกแล้วก็หลุดยิ้มออกมากับความบ้าของตัวเองและคนตรงหน้า ความรู้สึกเคอะเขินเวลาอยู่ด้วยกันสองคนตอนไฟดับแบบนี้มันก็แปลกดี
"หรือมึงจะมองตากู"
คำถามทีเล่นทีจริงทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ เรื่องอะไรที่เราต้องมานั่งมองตากันท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ด้วย ถ้ากับสาวๆ จะไม่ว่าอะไรเลย แถมจะชวนขึ้นเตียงซะด้วยซ้ำเพราะสายฝนกำลังเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้อากาศเย็นลงจนต้องการความอบอุ่น อย่าทำอะไรน่าขนลุกกันจะได้ไหม เป็นเพื่อนก็เว้นๆ บ้างเถอะ ไม่ใช่คู่นอน
"มองก็เหี้ยแล้วเซน ขนลุก"
ผมพูดก่อนจะเบ้ปากใส่คนที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ไอ้นิสัยนิ่งเงียบของเซนบางครั้งมันก็แค่ฉากบังหน้าที่ไม่สวยหรูสักเท่าไหร่ เขาเป็นคนขี้แกล้ง แกล้งแบบหน้าตายแถมยังชอบทำให้ผมใจสั่นเสมอด้วย ถ้าเกิดหวั่นไหวขึ้นมาคงไม่โทษใครหรอก โทษเซนนี่ล่ะ
"กลัวหวั่นไหวก็บอกตรงๆ"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเซนมีพลังจนน่าแปลกใจ ผมไม่อาจปฏิเสธเขาได้ในทันทีเหมือนทุกๆ ครั้งที่โดนเขาหยอดคำหวานหรือแกล้งอะไรที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ เหมือนมีมนตร์สะกดตรึงให้ผมหลงใหลในทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบรวมเป็นผู้ชายคนนี้ เซนไม่เคยแสดงออกว่ารักใคร เหมือนกับเขาไร้หัวใจ
มิตรภาพระหว่างเราบางครั้งก็เหมือนว่ามันเป็นของจอมปลอมเพียงแค่ภาพลวงตาที่สร้างขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมผมพอใจกับปัจจุบันที่เป็นอยู่ เคยถามตัวเองหลายครั้งว่าหลงรักเขาหรือเปล่า แต่คำตอบช่างเลือนรางจนต้องสลัดออกจากความคิดไปซะทุกครั้ง ไม่มีคำตอบของคำถามมาเป็นปีๆแล้ว และคิดว่ามันคงไม่มีต่อไป
"เลิกแกล้งกูได้แล้ว ไม่งั้นจะกลับบ้านแล้วนะเว้ย"
แกล้งขู่เขาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทั้งๆ ที่หัวใจกำลังเต้นระรัว ไม่รู้ว่าอาการพวกนี้เริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยซ้ำ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว และมันน่าเป็นห่วงกลัวว่าความรู้สึกจะถลำลึกจนเกินเยียวยา การแอบรักเพื่อนสนิทมีเปอร์เซ็นผิดหวังเยอะ ใครๆ ก็รู้ดี
"อยากกลับก็กลับ ใครห้าม"
เซนยักคิ้วกวนๆมาให้กัน ผมได้แต่เบ้ปากใส่เขาอย่างหงุดหงิด เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ผมขู่เขา เซนไม่เคยอ้อนวอนแม้แต่นิดเดียว ไม่มีแม้สักครั้งที่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีจุดอ่อนบ้างหรือเปล่า บางครั้งผมก็สงสัยจนเก็บไปคิดมากเลยทีเดียว
"ง้อกันบ้างก็ไม่มีวะคนเรา"
ผมกอดอกแล้วทิ้งตัวพิงโซฟาหนักๆด้วยแรงอารมณ์คุกรุ่น เซนเลิกคิ้วมองกันเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่กวนโอ้ยอะไรแต่เขาจะรู้ไหมว่าทำให้ใครต่อใครหลงใหลมากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นบรรดาเพื่อนร่วมสาขา คนร่วมคณะ หรือแม้แต่คนทั้งมหา'ลัยก็ดูเหมือนจะชื่นชอบในตัวเขากันทั้งนั้น
มีรุ่นพี่เคยทาบทามให้ประกวดเดือน เซนไม่ประกวดเพราะไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ทาบทามให้ไปถ่ายนิตยสารวัยรุ่น เซนไม่ทำเพราะเหตุผลเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่มีใครสามารถบังคับใครได้ ผมเลยไม่คะยั้นคะยอหรือรบเร้าให้เขาทำให้สิ่งที่ไม่ชอบ
"ไม่ใช่แฟนกูสักหน่อย"
"เพื่อนก็ง้อกันได้ปะวะเซน แม่ง!"
ผมกระแทกเสียงแล้วหลับตาลงหวังระงับอารมณ์ที่เดือดปะทุลง ประสาทการรับเสียงได้ยินการเคลื่อนไหวของเซนและรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ขยับเข้ามาใกล้ จนในที่สุดร่างของผมถูกเขาดึงเข้าไปกอดไว้ ใบหน้าซุกลงตรงซอกคอจนได้กลิ่นหอมสดชื่นของมิ้นท์ อีกแล้ว ได้กลิ่นอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ฉีดน้ำหอม ลูกอม หมากฝรั่งก็ไม่ได้กิน แปลกมาก แปลกจริงๆ
"อย่าโกรธ แค่ล้อเล่น"
เสียงทุ้มปลอบประโลมกันอย่างอ่อนโยน สัมผัสบริเวณต้นคอทำให้อ่อนระทวยได้ไม่ยากในเมื่อจมูกโด่งฝังลงไปราวกับจะย้ำเตือนว่าร่างกายของผมมีเขาเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว อย่าเพิ่งตกใจไป เราไม่เคยมีอะไรกัน ก็แค่สัมผัสบางเบาที่เซนมักบอกเสมอว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน แต่ผมมักตั้งคำถามเสมอว่า 'เพื่อนคนอื่นๆ เขาทำแบบนี้กันเหรอ เหมือนที่เรากำลังทำกันอยู่หรือเปล่า' แต่มันไม่เคยมีคำตอบกลับมาเลยสักครั้ง ช่างมันเถอะ เป็นแบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน
"ทำไมชอบแกล้งกันจังวะ?"
ผมถามกลับไปเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังคงซุกอยู่ที่เดิม คอยสูดกลิ่นผิวกายหอมเย็นของคนตรงหน้า บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าเซนมีบรรยากาศรอบตัวที่แปลกประหลาดจะว่าสว่างสดใสเหมือนพระเจ้าก็ไม่ใช่จะมืดดำอย่างปีศาจก็ไม่เชิง แต่มันแฝงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม เพราะแบบนี้เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาตีสนิทสักเท่าไหร่ แต่ก็ยกเว้นบรรดาหญิงสาวคู่นอนของเขานะ ถวายตัวถึงห้องกันเป็นว่าเล่นเลย
"สนุกดี"
คำตอบมาพร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะจนนึกหมั่นไส้เลยอ้าปากงับลงบนลาดไหล่กว้าง เซนสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ร้องออกมาสักนิดแถมยังเพิ่มแรงกอดรัดรอบเอวกันเข้าไปอีก นี่จะให้ผมร่วมร่างกับตัวเขาเลยหรือไง ช่องว่างให้อากาศผ่านระหว่างเราแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
"เก็บไปแกล้งคู่นอนมึงโน่นไป ปล่อย!"
ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเซน แต่ไม่มีท่าทีว่าจะได้รับอิสระเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ขนาดตัวก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้แรงเยอะกว่าขนาดนี้ หลังจากประเมินสถานการณ์ราวๆสามสิบวินาทีแล้วว่าไม่มีทางชนะเลยกลับมานิ่งปล่อยให้เซนกอดเหมือนเดิม ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาเบาๆ มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะแบบนี้
"พูดจริงหรือประชด หืม?"
ทำไมต้องถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแบบนั้น ถ้าแคร์ความรู้สึกกันจริงๆ แล้วจะนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไปทำไมกัน ไม่ใช่ว่าผมพูดเพราะหึงหวง แต่พูดด้วยความรู้สึกของเพื่อนที่ถูกทิ้งขว้างบ่อยๆ เวลาที่เซนมีนัดซ้อนกับเธอๆ ทั้งหลาย เขาไม่เลือกนัดของเราแม้แต่สักครั้งเดียว
"อยากได้คำตอบแบบไหน จะตอบให้"
สุดท้ายผมก็ไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่ตามใจคนที่รอฟังคำตอบเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่อยากทะเลาะกัน ไม่อยากผิดใจกัน ผมมีลางสังหรณ์ว่าถ้าหากเกิดทำตัวไร้เหตุผลงี่เง่าขึ้นมาเราจะไม่มีเราอีกต่อไป อาจจะเป็นความกลัวบ้าบอของคนๆ เดียว
"พูดจริง"
คำตอบสั้นๆทำให้หัวใจกระตุกวูบ มันปวดแปลบอย่างกับคนกำลังผิดหวัง ใช่ ผมกำลังผิดหวังกับสิ่งที่เซนต้องการ เขาไม่ใช่คนคิดมาก และเราทั้งคู่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันคงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ก็แค่เพื่อนเท่านั้น
"ก็...ตามนั้น ปล่อยได้แล้ว ร้อน"
ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเหมือนรำคาญ จริงๆแล้วแค่หาทางรอดก็เท่านั้น และเหมือนเซนจะยอมใจอ่อนแล้วคลายอ้อมกอดแข็งแกร่งออก เขายกยิ้มเล็กน้อยตอนเห็นผมขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟาแทน มีปัญหาหรือยังไงในเมื่อนั่งพื้นมันปวดก้น จะนั่งต่อให้โง่ทำไมล่ะ
"อาบน้ำไหม? จะได้สดชื่น"
เซนถามแล้วทิ้งตัวพิงหลังลงบนโซฟาใกล้ๆ กับช่วงขาของผม ดวงตาสีเทาเลื่อนไปจับจ้องเปลวเทียนวูบไหว มือเรียวสวยเล่นกับแสงเงาจนเกิดรูปร่างบนผนัง ผมเหลือบสายตามองตามแล้วต้องชะงักเมื่อวูบหนึ่งมันปรากฏภาพคล้ายปีศาจมีเขาแหลมน่าเกรงกลัว
"เทวิน"
เสียงเรียกทำให้ผมหลุดจากภวังค์ เซนขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงไปหมด ดวงตาสีเทาฉายแววสงสัยอย่างไม่ปิดบัง แต่...ทำไมล่ะ ผมทำอะไรผิดไปตอนไหนหรือเปล่า ทำไมถึงมองกันแบบนั้นล่ะ
"หือ เรียกทำไม?"
ผมเลิกคิ้วก่อนจะถามกลับไป แต่เซนไม่ได้ตอบในทันที เขาเคลื่อนตัวขึ้นมานั่งข้างๆกันก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าบังคับให้สบตา อยากจะหลบเลี่ยงดวงตาคมที่แสนมีเสน่ห์ กลัว กลัวว่าจะหลงใหลมันจนถอนตัวไม่ขึ้น กลัวว่าวันหนึ่งจะอยากเป็นผู้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว ผมกรอกตาไปทางขวาอย่างไม่มีทางเลือก ก็ยังดีกว่ามองสบกันตรงๆล่ะนะ
"เทวิน มองตากู"
น้ำเสียงขอร้องกึ่งบังคับดังขึ้น สัมผัสได้ถึงแรงที่เพิ่มขึ้นตรงใบหน้าจนไม่อาจปฏิเสธการสบตาได้ มองแล้วจะทำอะไรต่อนั่นเป็นคำถามที่ผุดขึ้นในสมองทันทีแต่ผมไม่ถามออกไป เพราะมันดูงี่เง่าที่คนเราจะถามไปซะทุกเรื่อง และเมื่อไหร่ที่เซนเรียกชื่อเต็มกันแสดงว่าเขากำลังจริงจัง
"อะไร?"
ผมถามกลับไปสั้นๆ ไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลยสักนิด ต้องการอะไรจากคนอย่างนายเทวินที่กำลังสับสน
"จะกลับหรือยัง?"
หา... ผมอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ว่าทำไมอยู่ๆเซนก็ถามเรื่องกลับบ้านขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นเหรอ หรือเขานัดผู้หญิงเอาไว้อีกแล้ว แต่นี่มันวันของผมนะ เขาสัญญาว่าทุกวันอาทิตย์จะเป็นวันของเพื่อนอย่างผม
"ถามทำไมเซน?"
ผมถามกลับไปเสียงนิ่ง ตอนนี้ไม่กลัวการสบตาอีกแล้วเพราะในใจกำลังมีความรู้สึกหงุดหงิดเกิดขึ้น แต่เซนไม่ได้มีท่าทางกระอักกระอวนใจเลยสักนิด สีหน้าของเขายังเรียบเฉยจนไม่สามารถเดาอารมณ์ได้
"จะค้างด้วยกันไหม?"
น้ำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังชวนไปกินข้าวเย็น ผมอ้าปากค้างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปอีก เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่รู้จักกันมาที่เซนชวนค้างด้วยกัน แปลกมากถึงมากที่สุด แปลกจนต้องถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ
"อะไรนะเซน มึงประสาทกลับเหรอ รู้จักกันมาเป็นปีๆ มึงไม่เคยชวนกูค้างเลยนะ มีแต่จะไล่กลับบ้านตลอด"
"ถามก็ตอบ ไม่ใช่ให้ถามกลับ"
น้ำเสียงของเซนแข็งกระด้างจนผมใจหาย ทำไมต้องจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย ก็แค่ถาม... มันตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอ
"เซน... กูแค่อยากรู้เหตุผล"
"ตอบ"
"เซน กูอยาก..."
ผมชะงักไปเพราะเซนออกแรงบีบปลายคางผมเอาดื้อๆ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทำอะไรผิดไปตอนไหนกันแน่ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลย
"ตอบมา"
"เซน กูเจ็บ"
ผมบอกก่อนจะนิ่วหน้าและพยายามแกะมือของเขาออกจากใบหน้า ดวงตาสีเทาวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะยอมละมือออกไป เซนถอยห่างออกไปเล็กน้อยก่อนจะเสมองไปทางอื่น
"ขอโทษ"
เสียงเขาเบาหวิวราวกับเสียงกระซิบ มือเรียวเกาะกุมบีบกันอยู่บนตัก ผมส่ายหน้าช้าๆ สื่อความหมายว่าไม่เป็นไรก่อนจะซบหัวลงกับลาดไหล่แกร่ง เป็นอย่างนี้เสมอเมื่อสัมผัสได้ว่าเซนกำลังมีเรื่องเครียด ผมจะออกอาการอ้อนอีกคนให้ลืมเรื่องรกสมองซะ
"กูค้างกับมึงก็ได้ ไม่ถามเหตุผลแล้ว"
เหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากอีกคน ผมคลี่ยิ้มบางทั้งๆ ที่ยังซบไหล่เซนอยู่ ถ้าอะไรที่ทำให้เขาสบายใจได้ผมก็พร้อมที่จะทำ ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา
"เซน... กูถามอะไรได้ปะ?"
ตอนนี้เปลี่ยนจากผมซบไหล่เขากลายมาเป็นเขานอนบนตักผมแทน ดวงตาสีเทาปิดสนิท สองแขนกอดอกตัวเองเอาไว้ ดูๆไปเป็นท่านอนที่อึดอัดพอสมควรก็ว่าได้
"อืม ถามมา"
เสียงตอบรับดังขึ้นทั้งๆที่เปลือกตายังปิดสนิท อุณหภูมิในร่างกายของเซนร้อนผิดปกติ ผมเคยกลัวว่าเขาจะไม่สบาย แต่ได้รับคำตอบมาว่า 'กูเป็นคนตัวร้อนมาก' ก็เลยคลายกังวลลงไป
"มึงใช้ครีมอาบน้ำกลิ่นมิ้นท์ หรือ เปปเปอร์มิ้นท์ปะวะ? กูได้กลิ่นจริงๆ นะ"
ผมก้มลงมองเซนที่ยังนอนหลับตาอยู่ มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกวน นึกหมั่นไส้จนใช้นิ้วมือดีดหน้าผากเบาๆ เขาลืมตาแล้วคว้ามือกันเอาไว้ไม่ยอมปล่อยก่อนดวงตาสีเทาจะเปิดขึ้น อยากจะผละออกมาเพราะตอนนี้ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ อันตรายต่อหัวใจ แต่ผมกลับขยับตัวไม่ได้ อาการแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอเมื่อเราอยู่ใกล้กันมากเกินไป
"อาจจะใช้มั้ง ชอบไหมล่ะ?"
"อะ อะไร ใช้ก็ใช้ดิ จะมาถามว่าชอบไหมทำไม"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่คิดว่าคนอย่างเซนจะมีอารมณ์หยอกล้อโดยทำสายตากรุ้มกริ่มใส่กัน นับวันชักจะแกล้งกันหนักขึ้นทุกที ไม่อยากยอมรับว่าหวั่นไหว แต่ก็แค่นั้นไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก เซนเป็นเสือผู้หญิง ผมคงเป็นเพื่อนที่คอยทำให้เขามีความสุขได้ก็แค่นั้น
"เห็นมึงหน้าแดงแล้วมีความสุข"
ยิ้มไม่พอยังเอื้อมมือมาหยิกแก้มกันอีก สนุกมากไหมได้แกล้งคนอื่นจนเขินหน้าแดงแบบนี้ ชอบเล่นกับความรู้สึกกันนัก วันไหนผมเป็นฝ่ายชนะขึ้นมาจะรอหัวเราะให้ท้องแข็งเลยเถอะ
"เหี้ยละเซน ประสาท!"
ผมโวยเสียงดังก่อนจะฟาดมือลงบนต้นแขนหนาๆ เซนไม่แสดงความเจ็บปวดเหมือนอย่างเคย เห็นแบบนี้ก็ยิ่งหมั่นไส้จนอยากกระทืบให้จมดิน แต่ใจไม่กล้าพอเพราะกลัวโดนเอาคืน
"ไม่ชอบกูบ้างเหรอ?"
ถามกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาสีเทากลับฉายแววทะเล้น ประกายในตาระยิบระยับจนผมเผลอกัดปากตัวเองแน่น ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกันกำแพงที่กั้นขวางอยู่ ณ ตอนนี้คงพังทลายไปนานแล้ว ใช้เสน่ห์ล่อลวงกันแบบนี้ใครจะทนไหว
"เอาไปถามผู้หญิงของมึงเหอะ"
ผมบอกก่อนจะจิ้มหน้าผากมันเล่น เซนไม่ได้ปัดป้องออกแต่อย่างใดและยังคงใช้ดวงตาสีเทาจ้องมองกันอย่างลึกล้ำ ไม่รู้ว่ากำลังจริงจังกับคำถามหรือแกล้งทำจริงจังกันแน่ ผมไม่เคยตามผู้ชายคนนี้ทันหรอก
"จะถามมึง"
"ไม่ชอบ พอใจยัง?"
ผมตอบกลับอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องคิด ทั้งๆ ที่ในใจยังคงตีกันวุ่นวาย แต่อะไรบางอย่างกลับบังคับให้พูดออกไปแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
"ไม่พอใจ"
เซนบุ้ยปากเหมือนเด็กน้อยที่โดนขัดใจ ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแต่แสร้งทำหน้าเครียดเข้าไว้ แกล้งกลับบ้างคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง อยากรู้ว่าเซนจะทำยังไง
"แล้วจะเอายังไงเซน?"
ผมถามกลับเสียงเย็น เซนจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างไม่ลดละ รู้สึกว่ามีแรงกดดันแปลกๆ แผ่ออกมารอบตัวของเราสองคน
"ชอบกูสิ"
ผมสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อฟังจบ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะถอนหายใจออกไปยาวๆ แล้วโขกหน้าผากของตัวเองลงบนสันจมูกเซนอย่างหงุดหงิด แกล้งกันอีกแล้ว แกล้งไปแล้วมีความสุขมากหรือไงกัน เซนไม่ร้องเหมือนเคย ผมไม่รู้ว่าเขาเจ็บแต่อดทนหรือไม่เจ็บเลยกันแน่ หนังหนายิ่งกว่าควายอีกมั้งเนี่ย
"มึงบ้าปะเนี่ย อย่ามาแกล้ง"
ผมจ้องดวงตาสีเทาอย่างหงุดหงิด หัวใจเริ่มเต้นระรัวขึ้นมาเมื่ออยู่ๆเซนก็ผงกหัวขึ้นจนริมฝีปากเราแทบจะแตะกัน ผมผละตัวออกด้วยความตกใจ รู้สึกว่าหน้าร้อนวูบวาบเหมือนจะระเบิด ดีนะที่ไฟยังไม่มา แสงเทียนคงทำให้มองเห็นได้แค่ลางๆเท่านั้น
"จริงจังเหรอ?"
เซนลุกขึ้นแล้วหันมาเผชิญหน้ากัน ผมหลบสายตาเขาทันทีเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้หัวใจสั่นไหว ถ้าเกิดปากแตะกันขึ้นมาจะมองหน้ากันยังไงไหว
"เปล่า กูแค่คิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาล้อเล่น"
ผมพูดสิ่งที่คิดออกไปเบาหวิว อยากตบปากตัวเองสักครั้งสองครั้งโทษฐานที่ไม่สามารถหนักแน่นในคำพูดของตัวเองได้
"กูขอโทษแล้วกัน ไม่งอนนะ"
เซนพูดออกมาก่อนจะดึงแก้มผมเบาๆแล้วคลี่ยิ้มหวานละมุนมาให้ ผมเบะปากใส่เขาแล้วปัดมือเรียวออก ทำแบบนี้จะให้ใจแข็งยังไงไหว แพ้ทุกครั้ง ยอมทุกครั้ง เกลียดตัวเองจริงๆ
"เออแม่ง แล้วเมื่อไหร่ไฟจะมาวะ?"
ผมบ่นงุ้งงุ้งก่อนจะลุกขึ้นไปที่ประตูระเบียงแล้วเปิดมันออก ลมหนาวกลางเดือนกรกฎาคมเพราะฝนตกพัดเข้ามาปะทะใบหน้าพร้อมกับละอองหยาดน้ำ บรรยากาศแทบจะโรแมนติกเลยก็ว่าได้ ถ้าไฟไม่ดับน่ะนะ ไกลออกไปมีแสงไฟสว่างระยิบระยับ เดาได้ว่าย่านกลางเมืองคงเป็นแห่งเดียวที่ไฟดับ และไม่นานก็แว่วเสียงฝีเท้าของเซนเดินตามมาหยุดยืนข้างๆ กัน
"โดนละอองฝน เดี๋ยวก็ไม่สบาย"
ผมเหลือบมองเขาก่อนที่เขาจะหันกลับมาประสานสายตากัน สุดท้ายฝ่ายที่ใจแข็งไม่พอเลยต้องเบนหน้ามองไปทางอื่นเพื่อหนีดวงตาสีเทาสุดลึกล้ำ
"ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น"
ผมว่ากลับไปก่อนจะเสยผมที่เริ่มเปียกชื้นขึ้นลวกๆ ถึงจะเปียกไปหน่อยแต่ก็ดีกว่านั่งอุดอู้อยู่ในห้อง เซนไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่สนใจกันอีก ผมไม่ได้ว่าอะไร เรายังคงยืนมองสายฝนที่หล่นจากฟ้าเงียบๆ จนในที่สุดแสงสว่างก็กลับคืนสู่ใจกลางเมือง
"โอ๊ะ ไฟมาแล้ว!"
ผมเป็นคนแรกที่หมุนตัวกลับเข้าห้องทันทีที่ไฟมา หวังว่าจะเดินไปดับเทียน แต่สายลมวูบหนึ่งกลับทำให้มันดับลงจนผมต้องชะงักฝีเท้าอยู่ตรงนี้ ห่างออกไปแค่สองสามก้าวเท่านั้น ผมเพ่งมองเทียนสีฟ้าครามด้วยความฉงน ไม่มีน้ำตาเทียน มันหมายความว่ายังไงกัน
"เซน เทียนนี่ไม่มีน้ำตาเทียนเหรอวะ?"
ผมหันกลับไปถามคนที่มายืนซ้อนหลังกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ ยอมรับว่าตกใจเล็กน้อยที่โดนประชิดตัวขนาดนี้ แต่ก็เป็นธรรมดาไปซะแล้วที่บางครั้งเซนจะเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง
"อืม ไปอาบน้ำสิจะได้ออกไปหาอะไรกิน"
เซนพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินเข้าไปคว้าเทียนนำไปเก็บไว้ ผมมองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่สุดท้ายก็ตัดใจแล้วทำตามที่เขาบอก อืม... เหมือนจะลืมอะไรบางอย่างหรือเปล่านะ
"เซน กูจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่?"
ตะโกนถามเซนที่ยังคงเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนผมโผล่หัวออกมาจากประตูห้องน้ำเพราะถอดเสื้อผ้าทิ้งไปหมดแล้ว เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเดินตรงมาหากัน หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อคิดได้ว่าตัวเองกำลังโป๊ ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน มีอะไรคล้ายกัน แต่ก็ไม่หน้าด้านพอจะโชว์ร่างกายเปลือยเปล่าต่อหน้าใคร
"เดี๋ยวเตรียมให้ จะรอเอาหรือค่อยออกมาใส่?"
พูดจบก็เหมือนจะหมุนตัวหนีจากกันซะเดี๋ยวนี้ ยังไม่ได้คำตอบเลยจะรีบไปไหนล่ะ ผมไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเซนสักเท่าไหร่ เหมือนคนที่คิดจะทำก็ลงมือทำเลย ไม่รอช้าอะไรประมาณนั้น มันเลยเป็นเหตุให้ผมตามเข้าไม่เคยทันอีกข้อหนึ่ง
"เฮ้ย รอฟังกันก่อนดิ"
ผมท้วงขึ้น เซนที่หันหลังให้กันเอี้ยวหน้ามามองก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้อย่างเจ้าเล่ห์ ถ้าผมเดาไม่ผิด สิทธิ์ในการเลือกของผมคงโดนตัดไปแล้วสินะ
"ไม่ฟัง กูตัดสินใจแล้ว"
ว่าแล้วไง จะถามทำไมให้เปลืองน้ำลายถ้าจะคิดแทนกันขนาดนี้ ผมอยากโวยวายนะ แต่คืนนี้อาศัยเขานอนด้วย ไม่อยากเรื่องมากสักเท่าไหร่ ตามใจเจ้าของห้องหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
"เผด็จการฉิบหาย"
ผมบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว แต่เหมือนคนที่อยู่ไกลออกไปจะหูดีเกินเหตุไปแล้ว ถ้าฟุ้งซ่านหรือจินตนาการสูงหน่อยคงคิดว่าเซนไม่ใช่คนแล้วล่ะ
"บ่น"
เสียงแซะกันเบาๆลอยมากระทบโสตประสาทจนผมต้องย่นจมูกใส่แผ่นหลังกว้างก่อนจะกลับเข้าไปในห้องน้ำและลงมือชำระร่างกายในเวลาต่อมา ครีมอาบน้ำที่ได้ใช้เป็นกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ รู้สึกผ่อนคลายจนอยากจะนอนแช่น้ำในอ่าง แต่เกรงใจเจ้าของห้องที่นั่งรอกันอยู่ด้านนอก ถ้ามีโอกาสมาค้างอีกขอสัญญาว่าจะลงแช่น้ำให้ได้ แล้วจะซื้อ Bath Bomb มาโยนลงอ่าง ฟู่ ~
ผมนุ่งผ้าขนหนูสีขาวออกมาจากห้องน้ำอย่างเคอะเขิน เรื่องอะไรที่ต้องมาเปลือยท่อนบนให้เพื่อนสนิทมองไม่วางสายตาขนาดนี้ จะจ้องให้มันละลายเปื่อยยุ่ยกองลงตรงหน้าเลยหรืออย่างไร ก็ไม่ใช่ว่าหุ่นจะน่ามองอะไร ติดจะผอมจนไม่มีกล้ามเนื้อสวยๆ เสียด้วยซ้ำ
"มองอะไรนักหนาวะ?"
ผมเบี่ยงตัวหันหลังให้กับเซนที่นั่งรออยู่บนโซฟาตัวเดิม เสื้อผ้าวางกองอยู่ด้านข้าง ไม่คิดจะอำนวยความสะดวกให้กันหรือยังไง
"อยากมอง ไม่ได้หรือไง?"
คำถามกวนโอ้ยจนไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง แถมมันทำให้หน้าร้อนวูบวาบชอบกล ทำไมต้องเกิดอาการเขินขึ้นมาดื้อๆ ด้วยวะ นี่เพื่อนสนิทนะ ขอร้องอย่าหวั่นไหวจนทำให้กลัวใจตัวเองแบบนี้จะได้ไหม
"ไม่มีอะไรน่ามอง หยิบเสื้อผ้าส่งมาหน่อย?"
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อจะรอรับเสื้อผ้าจากอีกฝ่าย แต่จนแล้วจนรอดทุกอย่างกลับนิ่งสนิทจนต้องหันไปขมวดคิ้วมองเซนที่นั่งกระดิกเท้าไม่สนใจใยดีคำสั่งของผมแม้แต่นิดเดียว กวนตีนที่หนึ่งเลยคนอะไร!
"หยิบเองสิ"
"มึงนั่งขวางทางไงที่ก็แคบ หยิบมาให้มันจะตายเหรอเซน"
ผมจิ๊ปากใส่เซนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ ทำไมไม่รู้สึกรู้สาขนาดนี้นะคนเรา แถมยังยิ้มมุมปากใส่กันแสดงความเจ้าเล่ห์อีก สภาพตอนนี้ก็ใช่ว่าจะพร้อมสู้รบปรบมืออะไรกับเขา นุ่งผ้าผืนเดียวจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่อยู่แล้ว
"เซน เอาเสื้อผ้ามา"
ผมบอกเสียงแข็งแล้วหันไปเผชิญหน้ากับเซนโดยไม่สนอะไรอีก มันขัดใจจนเริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว เขาเงยหน้ามองกันแบบเต็มสายตา ก่อนจะได้ทำอะไรมือเรียวก็เอื้อมมากระตุกผ้าขนหนูกันอย่างหน้าด้านๆ ผมอ้าปากหวอด้วยความตกใจรีบคว้าไว้ทันที หมิ่นเหม่จนแทบกัดลิ้นตัวเองตายซะให้ได้ เพราะผ้าปิดบังแค่ส่วนสำคัญกับขาอีกด้านหนึ่งเท่านั้น!
"ไอ้บ้าเซน ทำอะไรของมึงเนี่ย!"
ผมรีบนุ่งผ้ากลับเหมือนเดิมแล้วถอยห่างออกมาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง เซนหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะยอมส่งเสื้อผ้าให้กัน แต่พอยื่นมือออกไปรับเขากลับดึงเข้าหาตัวอีกครั้ง ผมทนไม่ไหวเลยยกนิ้วกลางใส่พร้อมกับแยกเขี้ยวขู่
"หมาว่ะ"
"เออ จะกัดแล้วนะเว้ย ส่งมา!"
ผมแหกปากใส่แล้วกำหมัดต่อยลงบนอกแกร่งของเซน เขาทำหน้ายุ่งก่อนจะยอมส่งเสื้อผ้าให้กันดีๆ ผมรีบดึงมากอดไว้แล้วเดินดุ่มๆ ไปใส่เสื้อผ้าทันที หงุดหงิดเว้ย แกล้งอะไรนักหนานะคนเรา สนุกมากนักใช่ไหม สักวันจะเอาคืนให้สาสมเลยเซน!
--------------------------------------------------------
มาอัพบทนำให้อ่านกันไปพลางๆเนอะ 555555
ช่วงนี้ไม่ค่อนว่างเลย มาอัพนิยายถี่ๆไม่ได้ ฮือ
แต่สัญญาว่าจะพยายามาอัพให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เนอะ