>> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)  (อ่าน 21207 ครั้ง)

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
«ตอบ #30 เมื่อ25-10-2016 10:28:16 »

วันเกิดปีที่20ของเซนน่าจะเป็นวันเปิดเผยตัวตนภาคเดวิลที่คนอ่านลุ้นรอ  :katai2-1:
ที่ต้องคอยเฝ้าวินไม่ให้คลาดสายตาเพราะจะมีอันตรายจากคน?ในครอบครัวหรือบรรดาปีศาจที่ปองร้ายเซนรึเปล่า???
ที่เลิกเที่ยวหญิงได้เพราะถึงเวลาที่วินจะต้องถวายตัวแล้วใช่มั้ย :z1:

แนวเรื่องถูกใจ สนุกน่าติดตามค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะขอบคุณมากๆค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
«ตอบ #31 เมื่อ26-10-2016 15:38:32 »

ตำราบทที่ 4



'Your story and my story. Maybe it' s the same story.'
เรื่องราวของคุณและเรื่องราวของผม อาจจะเป็นเรื่องราวเดียวกัน



เช้าวันเสาร์ที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนก้อนโต ส่งผลให้ท้องฟ้ามืดสนิทถึงแม้จะเป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้วก็ตาม เสียงสายฝนกระทบระเบียงห้องดังลอดประตูกระจกเข้ามาบ่งบอกให้รู้ว่าสภาพอากาศวันนี้เลวร้ายและไม่เหมาะที่จะออกไปไหน ร่างกายเย็นเยียบราวกับมีน้ำแข็งเกาะจนต้องลุกขึ้นจากเตียงในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นไปควานหารีโมทเครื่องปรับอากาศมาเพิ่มอุณหภูมิภายในห้อง

"หาว ~"
ผมอ้าปากกว้างก่อนจะหาวออกมา มือเรียวหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศมาถือค้างเอาไว้แล้วจามออกมาเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ มันกะทันหันจนยกมือขึ้นปิดปากไม่ทัน ดวงตากลมรีบเหลือบไปมองคนบนเตียงแล้วพบว่ารายนั้นยังนอนนิ่งทำให้โล่งใจไปเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่น

"คันจมูกฉิบหาย"
ผมบ่นพึมพำก่อนจะยกรีโมทในมือขึ้นมาปรับองศาแล้วเก็บไว้ที่เดิมและเดินโซซัดโซเซกลับขึ้นเตียงนอนขนาดคิงไซส์ซุกตัวในผ้าห่มผืนเดียวกันกับเซนอย่างมีความสุข... อ๋อ ลืมบอกไปว่าตอนนี้ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดของเขาเรียบร้อยแล้วล่ะ

ผมกำลังจะหลับตาเพื่อเข้าสู่นิทราแสนหวานอีกรอบ แต่เสียงทุ้มนุ่มของคนที่นอนข้างๆ กันกลับดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อนทำให้ต้องใช้ดวงตากลมมองใบหน้าคมนั่นอย่างสงสัย

"วิน"

"อะไร"

"หนาว"

"ลุกไปใส่เสื้อดิวะ ใครใช้ให้เปลือยอกนอนล่ะ"
ผมบอกเสียงอู้อี้ก่อนจะผลักหน้าอกแข็งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา เซนเปิดเปลือกตาขึ้นในขณะที่นอนตะแคงเลยทำให้พวกเราสบตากันด้วยความบังเอิญ ถึงแสงภายในห้องจะสลัวแต่หัวใจกลับเต้นแรงอย่างชัดเจน ใกล้เกินไปอีกแล้ว

"ไม่เอา"
คำตอบแสนเอาแต่ใจทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ไหนบอกว่าหนาวไง ขนาดห่มผ้าอยู่ยังบ่นขนาดนี้ สรุปว่าต้องการอะไรกันแน่

"แล้วจะให้ทำยังไง"

"กอด"

"อะไรนะ"
ผมถามซ้ำเพราะกลัวว่าตัวเองจะหูฝาดไป นับวันยิ่งหน้าด้านหน้าทนขออะไรที่ชวนทำให้ใจสั่นหนักขึ้นทุกทีๆ วันไหนทนสภาพแบบนี้ไม่ได้จะด่าแม่งให้ลืมเลขห้องเลยคอยดู

"ขยับเข้ามากอดกันหน่อย"
ไม่พูดเปล่าแต่ยังอ้าแขนพร้อมรับอ้อมกอดจากผมอย่างเต็มที่ รู้สึกว่าช่วงที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันนิสัยของเซนเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด อย่างเช่น ขี้อ้อน... มันอ้อนแบบไม่โจ่งแจ้งแต่ก็รู้ว่ากำลังอ้อน แล้วหัวใจผมล่ะ จะพังเมื่อไหร่

"แดกยาลืมเขย่าขวดเหรอ"
ผมเบ้ปากใส่มันแล้วขยับถอยหลัง แต่มือเรียวกลับคว้าตัวเองไว้แล้วดึงไปกอดอย่างหน้าตาเฉย กลิ่นมิ้นท์จากตัวเซนทำให้ผมที่พยายามดิ้นหนีสงบลงอย่างน่าประหลาด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะแก้มแนบอยู่บนอกแกร่งของเขา แต่น่าแปลกที่ฟังเท่าไหร่ก็แทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น... หรือว่าเนื้อหนาเกินไปวะ

"ตัวมึงอุ่นดี"
คำตอบไม่ตรงคำถามแต่แทนที่ผมจะหงุดหงิดกับไม่ว่าอะไรออกไป แถมยังขยับตัวแนบชิดกับเซนอย่างไม่ตั้งใจอีก ร่างกายไม่เคยฟังสมองแบบนี้ก็แย่สิ แต่วันนี้ทำไมเขาตัวเย็นจัง

"แต่ตัวมึงเย็น ไม่สบายหรือเปล่า"
ผมช้อนตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาในความมืดสลัว ไม่แน่ใจว่าสีหน้าเป็นยังไง รู้แค่เพียงว่าดวงตาสีเทาจ้องกันอยู่เพียงเท่านั้น ราวกับมีพายุเกิดขึ้นในช่องอกปั่นป่วนหัวใจให้วูบไหวจนน่ากลัว ความรู้สึกที่เรียกว่าชอบนั้นได้ก่อตัวจนเป็นรูปร่างแล้ว สัญญาณบางอย่างกำลังเตือนว่าตกอยู่ในอันตรายแต่ขนกลับไม่ยอมก้าวหนี

"เป็นห่วงเหรอ"
เขาโน้มหน้าเข้ามาจนหน้าผากของเราสัมผัสกัน หัวใจเต้นโครมครามจนกลัวว่าอีกคนจะได้ยินเลยต้องผลักเขาออกไปแล้วรีบลุกขึ้นนั่งทันที ความง่วงที่เคยมีมลายหายไปในพริบตา เล่นอะไรไม่เคยเกรงใจคนอื่นเลยหรือไง

"เล่นอะไรน่าขนลุก"
ผมหยิบหมอนฟาดใส่คนที่นอนยักคิ้วให้กันแต่มีหรือที่คนอย่างเซนจะยอมอยู่นิ่งๆ เขาหลบจากรัศมีของหมอนแล้วรวบเอวผมไปกอดจากด้านหลัง มือชะงักค้างกลางอากาศเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ประทับลงบนต้นคออย่างจาบจ้วง ครั้นจะโวยวายให้อีกคนหูแตกกลับต้องหุบปากสนิทเมื่อโดนประโยคทำลายล้างกระทบโสตประสาทการได้ยิน

"กูจองแล้ว"

"อะ ไอ้เซน จองบ้าอะไรของมึง ไปไกลๆ เลยนะ"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วปาหมอนทิ้งไปโดยไม่สนใจว่ามันจะกลิ้งลุนๆ ไปทางไหน เมื่อแขนแกร่งคลายอ้อมกอดออกผมรีบตะเกียกตะกายคลานลงจากเตียงแทบจะทันที เกือบเสียหนักหน้าทิ่มพื้นให้ใจหายอีกรอบ

"ชอบก็บอก ทำไมต้องหนี"

"อะไร ใครชอบ! กูไปอาบน้ำละ คุยกับมึงแล้วเหนื่อย"
ผมจ้ำอ้าวออกมาจากห้องนอนอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าร้อนฉ่า ไม่รู้ทำไมถึงต้องเขินกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของมันด้วย และดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสหรืออะไรก็ตามของเซนที่จับความรู้สึกของคนอื่นได้มันทำงานเร็วจนน่าใจหาย เขารู้แล้วว่าผมคิดไม่ซื่อ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเซน... เขาอาจจะเฉยชาต่อเรื่องพวกนี้เหมือนที่เคย

ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติเกือบหนึ่งเท่าตัว เวลาหนึ่งชั่วโมงกับการแช่น้ำในอ่างทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ย พูดง่ายๆ คือขี้ไคลหลุดนั่นเอง วันนี้แปลกที่คนด้านนอกไม่ได้ดูห่วงใยเรื่องผมหมกตัวอยู่ในห้องน้ำนานเหมือนคราวที่แล้ว แต่ก็ดีไปอีกแบบเพราะไม่ต้องกังวลว่าประตูจะถูกเคาะตอนไหน

"เทวิน ตายไปยัง"
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังลอดเข้ามาในขณะที่กำลังเช็ดตัว มือหยุดชะงักค้างกลางอากาศทันทีด้วยความตกใจ เท้ารีบหมุนกลับไปทางด้านประตูห้องน้ำแล้วพบว่ามันเปิดแง้มอยู่และมีใบหน้าเพียงเสี้ยวเดียวของเซนโผล่เข้ามา

"ไอ้เหี้ยเซน มึงเปิดประตูทำไม ปิดเลยนะ!"
ผมรีบนุ่งผ้าเช็ดตัวอย่างรีบร้อน ดีนะที่ยืนอยู่ในมุมอับสายตา ไม่อย่างนั้นคงได้โชว์น้องชายต่อหน้าต่อตาเพื่อนสนิทไปแล้วเชียว

"ก็มึงอาบน้ำนาน"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแถมยังแทรกตัวเข้ามาในห้องน้ำแทนที่จะถอยออกไปด้วย บานประตูปิดลงพร้อมกับผมออกจากมุมอับไปเผชิญหน้ากับมัน... สายตาเจ้ากรรมหยุดอยู่ที่เหนือยอดยกของเขา รอยสักที่เพิ่งสังเกตเห็นทำให้แปลกใจอยู่ไม่น้อย

"เซน... ไปสักมาเหรอ"
ผมถามเสียงเบาหวิวในขณะที่เดินเข้าไปใกล้เขา เซนเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองผมสลับกับร่างกายตัวเองก่อนจะใช้มือลูบตรงรอยสักนั่น

"อืม ทำไม อยากสักเหรอ"
น้ำเสียงราบเรียบถามกลับมาก่อนที่เจ้าของจะหันหน้าเข้าหากระจกเงาบานใหญ่ ผมที่หยุดยืนข้างๆ เขาพยายามเพ่งรอยสักนั่นอีกครั้งอย่างสนใจ แต่ความรู้สึกแว๊บแรกที่เห็นกับในตอนนี้ไม่ใช่รอยสักแบบเดียวกัน แต่จะเป็นไปได้ไง หรือผมจะตาฝาดไปเอง

"เปล่า กูกลัวเข็มจะตาย มังกรสวยดีนะ"
ผมเอ่ยชมแล้วละสายตาออกจากจุดนั้น แต่กลับโดนเซนจ้องผ่านกระจก การสบตากันในสถานการณ์นี้ทรมานหัวใจกว่ามองตากันตรงๆ ซะอีก แถมยังเปลือยท่อนบนทั้งคู่

"เทวิน... การชอบใครสักคนความรู้สึกเป็นยังไง"
ดวงตาสีเทายังคงจ้องมองกันผ่านกระจกเงาบานโต สองแขนแกร่งเท้ากับเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้า ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าเซนถามเรื่องแบบนี้ไปทำไม เพราะรู้ว่าผมชอบเขาอย่างนั้นเหรอ

"ถามทำไม แอบชอบใครหรือไง"
แทนที่จะตอบ ผมกลับเลือกตั้งคำถามกับเขาไปแทน เซนกรอกตาไปมาก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วหยิบแปรงฟันและบีบยาสีฟันใส่ ทำเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกไปปล่อยให้เขาแปรงฟันไปเงียบๆ ส่วนตัวเองเบียดตัวออกจากห้องน้ำเพื่อไปแต่งตัว

วันนี้แปลกที่อุ่นบุกขึ้นมาถึงบนห้องพร้อมกับอาหารเช้าเต็มมือ มีทั้งข้าวต้มหมูร้อนๆ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ติ่มซำอีกเล็กน้อย ผมรับมาด้วยความงงก่อนจะถามกลับไปว่า 'เซนฝากซื้อเหรอ' แต่คำตอบที่ได้มาคือ 'กูซื้อมาฝาก' แล้วมันก็เดินจากไปปล่อยให้ผมเคว้งคว้างอยู่คนเดียว

"วิน ปิดประตู"
เสียงทุ้มเรียกสติของผมให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ผมรวบถุงอาหารเช้าไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วดึงประตูปิดลง เซนยื่นมือมาช่วยรับของไปถือแล้วพวกเราก็เดินเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน

"อุ่นซื้อมาฝาก"
ผมบอกในขณะที่แกะถุงข้าวต้มหมูใส่ชาม เซนพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อเอาน้ำเปล่าออกมา อยากจะบอกว่าตอนนี้ตู้เย็นไม่ได้ว่างเปล่าอีกแล้วนะ ผมซื้อพวกของสด ขนม ผลไม้ ผัก นม น้ำ บลาๆ มาใส่ไว้เต็มไปหมด รับรองว่าไม่อดตายแน่นอน

"วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า"
ผมถามก่อนจะนั่งลงแล้วเลื่อนชามข้าวต้มให้เซนหนึ่งชาม ปกติแล้วทุกวันเสาร์เขาจะออกไปห้างสรรพสินค้า เพื่อไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายที่ฟิตเนส แต่ด้วยสภาพอากาศแบบนี้เลยไม่มั่นใจว่ายังจะไปอยู่อีกไหม

"อืม... ถ้าฝนหยุดอาจจะออกไป"
เขาตอบก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้า ผมพยักหน้ารับรู้แล้วตักข้าวต้มใส่ปากบ้าง รสชาติที่สัมผัสโดนปลายลิ้นในครั้งแรกทำให้หยุดกินไม่ได้ มันอร่อยจนอยากกระโดดจูบปากไอ้อุ่นจริงๆ

"เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมวิชาปีศาจวิทยาหรือยัง"
เซนถามขึ้นในขณะที่ผมเอื้อมมือไปจิ้มติ่มซำยัดใส่ปาก เขาลอบมองกันก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นผมเคี้ยวจนแก้มตุ่ย ก็มันชิ้นใหญ่นี่หว่า

"อังไอ้อำเอย (ยังไม่ทำเลย)"
ผมตอบทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวติ่มซำอยู่จนโดนสายตาดุๆ ของเซนมองมาจึงหุบปากทันที มือเรียวหยิบทิชชู่แล้วเอื้อมมาเช็ดปากให้กันอย่างอ่อนโยน คนถูกกระทำได้แต่นั่งนิ่งตาเบิกกว้างเพราะตกใจกับบางที่กำลังได้รับ... ความอ่อนโยนจากเซน

"ใครสอนให้พูดตอนกิน ปากเลอะ"

"อือ... กินๆ ไปน่า เลอะเดี๋ยวเช็ดเอง"
ผมบอกปัดๆ แล้วรีบกินให้หมดเพราะไม่อยากนั่งเป็นเป้าสายตาให้โดนจ้องนานๆ

หลังจากที่ลงมือล้างจานเรียบร้อยก็พาตัวเองมามานั่งลงที่โต๊ะทำงาน เพื่อจะหาข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจที่ได้รับมอบหมายมา ฟอราส อัสโมดาย กาป... ในบรรดาทั้งสามตนผมชอบ 'อัสโมดาย' นะ ชื่อเขาเท่ดี

"กูยืมใช้เครื่อง Mac หน่อยนะ"
ผมเอ่ยขอคนที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาไม่ใกล้ไม่ไกลกัน เซนเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าอนุญาตในที่สุด เหตุผลที่ไม่ใช้ Mac Book ของตัวเองก็เพราะอยากรู้ว่าเซนใช้คอมพิวเตอร์ทำอะไรบ้างนั่นเอง อย่าหามาผมเสือกเลยนะ...

"อย่าทำพัง"
เซนพูดเสียงกลั้วหัวเราะเพื่อหยอกล้อกัน ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่และหยิบแอปเปิ้ลที่หั่นเป็นชิ้นดีแล้วปาใส่เขา แต่ด้วยดวงหรือความเก่งของเซนทำให้เขารับมันได้อย่างง่ายดาย แถมเอาใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับอีกต่างหาก คนอะไรน่าหมั่นไส้ฉิบหาย

"กวนตีน Mac ก็ใช้เหมือน Mac Book นั่นล่ะ จะพังได้ไง"

"ไม่รู้ไม่ชี้"

"ฮึ่ย แล้วไม่ทำงานหรือไง"
ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดกับความกวนบาทาของเซนแต่ก็อดห่วงเรื่องงานของเขาไม่ได้ ก็เห็นยังนั่งชิวดูทีวีไม่สนใจอะไร แถมยังเปิดเสียงดังแข่งกับเสียงฝนไปอีก... เฮ้อ

"ของกล้วยๆ ทำแป๊ปเดียวก็เสร็จ"
เซนพูดเสียงราบเรียบเหมือนกับตัวเขารู้จักปีศาจทุกตนดี ผมได้แต่เบะปากใส่แล้วเลิกสนใจคนอวดเก่ง หน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ของเครื่อง Mac เผยภาพวอร์เปเปอร์ที่ทำให้ลมหายใจผมสะดุดค้าง ถ้าจำไม่ผิดรูปที่เห็นในตอนนี้คือรูปถ่ายรูปแรกของผมกับเซนในงานประกวดดาวเดือนมหา'ลัย

"เซน... มึงใช้วอลเปเปอร์นี้ตลอดเลยเหรอวะ"
น้ำเสียงของผมสั่นเล็กน้อยตอนพูดประโยคนั้นออกมา ดวงตากลมเหลือบมองคนที่นั่งบนโซฟาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เซนยกยิ้มมุมปากก่อนจะลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเขามาหากันอย่างเชื่องช้า

"ก็นะ... แบ็คกราวน์สวยดี"
เซนยักคิ้วให้กันอย่างกวนๆ ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ข้างหูจนผมต้องต้องผละตัวออกห่าง ในรูปนั้นฉากด้านหลังคืออาคารหอประชุมที่ใช้ในการจัดงานประกวดดาวเดือน ไฟหลากสีถูกประดับประดารอบๆ ให้ความรู้สึกครึกครื้นและความสนุกสนาน ถึงแม้จะเห็นหน้าพวกเราไม่ชัด แต่ความรู้สึกในตอนนั้นบ่งบอกว่าเรามีความสุข อุ่นคือตากล้องเลยไม่ได้เข้าร่วมเฟรมด้วยกัน

"อ่าฮะ... ขยับออกไปได้แล้ว จะทำงาน"
ผมว่าเสียงเบาแล้วผลักไหล่เซนออกไป เขาเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยอมทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย กำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่ต้องชะงักเพราะเซนดันไปลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างกันซะอย่างนั้น

"อะไรของมึงเนี่ย เกะกะนะ"
ผมว่าออกไปแบบนั้นแต่กลับต้องพยายามกลั้นยิ้มแทบตายเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นใจที่มีเขาอยู่ข้างๆ กันตลอดเวลาแบบนี้

"ทำงานด้วย"
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมไปต่อไม่ถูก ถ้าอยากทำงานทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรกผมจะได้ย้ายลงไปนั่งที่พื้นใช้ Mac Book ของตัวเองไป

"รอกูทำเสร็จก่อนดิ"

"ไม่เอา"

"เซน ทำไมเอาแต่ใจจังวะ"
ผมหันไปมองเขาแบบเอาเรื่อง เซนดูจะมีนิสัยดื้อรั้นขึ้นมาจนผมแปลกใจ แต่ก่อนเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่ว่าผมจะทำอะไร เขาไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ ไม่มาเกาะแกะแบบนี้ด้วย เซนไม่ยอมแพ้โดยการใช้ดวงตาสีเทาจ้องมองกะนอย่างไม่ลดละ มือเรียวคว้าปลายคางของผมเอาไว้หลวมๆ ใจหนึ่งจากจะปัดทิ้งแต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป

"มึงก็เอาใจกูบ้างสิ"
เซนขยับหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อในหัวเริ่มคิดอกุศลว่าถ้าโดนเขาจูบจะรู้สึกยังไง เพื่อเป็นการตัดขาดทุกอย่างและเพื่อการสงบจิตสงบใจของตัวเองเลยปิดเปลือกตาลง

"อะ เอาใจบ้าอะไรของมึง"
ทั้งๆ ที่หลับตาแล้วแต่ยังไม่สามารถควบคุมเสียงของตัวเองได้ เพราะรับรู้ได้ถึงแขนแกร่งสอดเข้ามาประคองเอวกันไว้ ท่าทางมันชักจะล่อแหลมเกินไปแล้วนะ หัวใจเต้นจนปวดร้าวหน้าอกไปหมด กลัวจะช็อกตายก่อนเรียนจบฉิบหาย

"จูบหน่อย"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนฟังไม่ถนัด ผมลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพบว่า เซนเลื่อนหน้าเขามาใกล้จนปลายจมูกของเราแตะกันแล้ว จะให้เบือนหน้าหนีก็ทำไม่ได้ในเมื่อปลายคางถูกล็อกขนาดนี้

"ห๊ะ เมื่อกี้ว่าอะไรนะ!"
ผมถามย้ำเสียงดัง เพราะถ้าฟังไม่ผิดจะได้ยินว่าเซนบอกให้ 'จูบ' แต่ด้วยความไม่เชื่อมั่นในตนเองเลยไม่ปักใจเชื่อ

"ล้อเล่นน่ะ ทำงานไปเถอะ ไม่กวนแล้ว"
คำตอบที่ไม่กระจ่างชัดดังขึ้นพร้อมกับร่างของเซนผละออกไปก่อนจะลุกกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิม ผมยังคงงุนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย มือถูกยกขึ้นมาลูบใบหน้าไปมาเพื่อเรียกสติตัวเองและคอยย้ำเตือนสมองและความรู้สึกตัวเองว่าเรื่องที่ได้ยินมาคงหูฝาดไปเอง

ผมพยายามใช้คำทุกแบบไม่ว่าจะเป็น 'อัสโมดาย' หรือ 'Asmoday' หรือ 'ปีศาจทั้ง 72 ตน' หรือ 'Lesser key of solomon หรือ 'กุญแจย่อยของโซโลมอน' ในการค้นหาจากกูเกิ้ล กลับได้ข้อมูลซ้ำกับในหนังสือ จนปัญญาหาต่อเลยยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ ทำไมมันหายากหาเย็นขนาดนี้ แล้วที่เซนพูดว่าเป็นเรื่องกล้วยๆ สำหรับเขาหมายความว่าไงวะ

"เซน!"
ผมเรียกเขาเสียงดังเมื่อคิดจะให้ช่วย เซนสะดุ้งเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วมองตรงมาที่ผมด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม

"อะไร เสียงดังฉิบ"
เขาเอ่ยปากว่ากันแต่ก็ยอมเดินมานั่งข้างๆ โดยที่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากร้องขอเลยสักนิด

"หาข้อมูลอัสโมดายไม่เจอเลยว่ะ"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วชี้นิ้วให้ดูผลลัพธ์ของการค้นหาในหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เซนไหวไหล่เป็นเชิงว่า 'แล้วไง' ไม่ได้เดือดร้อนกับการทำงานไม่ได้ของผมเลยให้ตายสิ แอบหงุดหงิดเล็กๆ แต่ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวเขาจะไม่ช่วยทำงาน

"ทำไมไม่หาข้อมูลฟอราสก่อนล่ะ"

"ก็ชอบอัสโมดายอะ จะทำไม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงกวนแต่มันคือสิ่งที่คิดจริงๆ ชอบใครเราก็ควรหาข้อมูลของคนนั้นก่อนไม่ใช่หรือไง แต่เซนไม่ได้ดูโมโหที่ถูกกวนกลับยกยิ้มมุมปากคล้ายกับว่าพอใจในคำตอบกันอย่างนั้นล่ะ แปลกคนจริงๆ

"ทำไมถึงชอบ"
คำถามต่อมาทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดไปว่าคนเราชอบอะไรสักอย่างมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ แต่ก็ตระหนักได้ว่ามีเพียงการชอบคนๆ หนึ่งเท่านั้นที่ไร้เหตุผลได้ ไม่ใช่กับความชอบดาษดื่นทั่วไปที่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้

"อืม.. ชื่อเท่มั้ง แล้วก็ชอบความสามารถของเขาด้วย ทำให้คนเป็นอมตะได้"
ผมตอบไปตามสิ่งที่คิด ในใจลึกๆ ถ้าผมสามารถอัญเชิญอัสโมดายได้จริงๆ ก็อยากใจกล้าบ้าบิ่นขอให้ตัวเองเป็นอมตะเหมือนกัน เพราะความตายมันเกิดขึ้นกับทุกๆ คนได้เสมอไม่ว่าอยู่ที่ใด เวลาไหน อย่างเช่นพ่อกับแม่ของผม...

"เหตุผลเด็กน้อยว่ะ"

"ไม่เถียงด้วยแล้ว ช่วยกันหาข้อมูลหน่อย"
ผมเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นออดอ้อนพร้อมกับยอมทำเรื่องน่าอายโดยการเกาะแขนเซนแล้วใช้แก้มถูไถกับต้นแขนแกร่ง ถ้าไม่ยอมใจอ่อนให้กันผมคงมองหน้ามันไม่ติดไปตลอดชีวิต รับตัวเองในสภาพนี้ไม่ได้จริงๆ

"วินหยุด"
น้ำเสียงแข็งๆ ของเขาทำให้ผมหยุดชะงักแล้วรีบผละมือออกจากแขนแกร่งทันที คงเผลอไปทำให้รำคาญไปแล้วล่ะมั้งถึงได้ทำเสียงดุและสายตาดุแบบนั้น

"ขอโทษที่ทำให้รำคาญ"
ผมว่าเสียงอ่อยแล้วเอื้อมมือไปจับเม้าส์ไว้เพื่อจะหางานต่อ แต่เซนดึงกลับจับแขนแล้วดึงผมไปกอดอย่างหน้าตาเฉย มือเรียวลูบไปตามเส้นผมอย่างปลอบประโลม การกระทำทั้งหมดทำให้สมองมึนงงไปชั่วขณะ

"ไม่ได้รำคาญ คิดมากน่า ทำงานกันเถอะ เดี๋ยวเอาข้อมูลให้"
เซนผละออกแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน คงจะไปหาเอกสารข้อมูลงานให้ ผมได้แต่นั่งใจเต้นไม่เป็นส่ำจนตกยกมือขึ้นมากุมหน้าอกเอาไว้ กลิ่นมินท์ประจำตัวของเขายังคงติดปลายจมูกอยู่ แค่คิดย้อนกลับถึงสัมผัสเมื่อครู่ก็พาลทำให้หน้าร้อนวูบวาบอย่างห้ามไม่ได้ ทำไมถึงอ่อนโยน... หรือต้องการแกล้งให้ตายใจแล้วค่อยเหยียบย่ำหัวใจกันนะ

"เอาไป"
เซนยื่นเอกสารปึกหนึ่งมาให้กันก่อนจะนั่งลงข้างตัวกันเหมือนเดิม ผมยื่นมือไปรับมาอย่างงงๆ แล้วเปิดดูทีละแผ่นจนเจอข้อมูลปีศาจที่ต้องการ





ต่อด้านล่างนะ


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
«ตอบ #32 เมื่อ26-10-2016 15:38:48 »

'32nd Asmodeus/ Asmoday or Sydonay
Strong Power : Aug 28th - Sep 1st
Candle Color : Black or Blue
Plant : Mint
Animal : Whale
Planet : Nepture
Element : Water
Rank : King
Asmodeus is a day demon. He is a very busy demon.
Asmodeus has a human mother and his Father is god. He has jet black hair with a braid down his back, an olive complexion.'


ผมอ่านข้อมูลจบแล้วต้องขมวดคิ้วแน่น เทียนสีฟ้ากับมิ้นท์นั่นคือความบังเอิญที่เซนมีเหมือนกับอัสโมดายอย่างนั้นเหรอ หรือเซนอาจจะเป็นสาวกของปีศาจตนนี้เหมือนกันนะ คิดแล้วก็ได้แต่สงสัย ไม่กล้าถามออกไปเลยเลี่ยงที่จะถามเกี่ยวกับรูปลักษณ์แทน

"เซน... คิดว่าข้อมูลนี้ถูกทุกอย่างปะวะ ไอ้ที่บอกว่าอัสโมดายมีผมสีดำเงา ถักเปียยาวไว้ด้านหลัง มีผิวสีมะกอกนี่เป็นงั้นจริงๆ เหรอ"
ผมชี้มือไล่ไปตามเนื้อหาในกระดาษให้เซนอ่านตาม เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนกระตุกยิ้มมุมปากแล้วใช้แขนหนักๆ พาดไหล่กัน ผมหันขวับไปมองแล้วแยกเขี้ยวให้แต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร ท่านี้ก็ดีเหมือนกันยามฝนตกแบบนี้ อุ่นไปทั้งกายและใจ

"จริงล่ะมั้ง อยากรู้ก็ลองอัญเชิญดูไหมล่ะ ร่างมนุษย์อาจจะหล่อเร้าใจก็ได้"
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ตอบกันมานั้นทำให้ผมคิ้วกระตุก อะไรคือการที่เซนบอกว่าปีศาจหล่อเร้าใจกันนะ ไม่ได้จะอัญเชิญปีศาจมานั่งมองสักหน่อย

"เซนแม่ง... ไม่ได้อยากรู้ว่าปีศาจจะหล่อหรือเปล่า แค่อยากเห็นตัวเป็นๆ ก็แค่นั้น"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งเล็กน้อยแล้วดันแขนของเขาออกจากบ่าเพื่อกลับไปเขียนข้อมูลลงในกระดาษรายงาน วิชานี้คลาสสิคนะ ไม่มีพิมพ์ต้องเขียนมือตลอด ความรู้สึกเหมือนกลับไปเรียนชั้นประถมอีกครั้ง ผมกำลังจรดปลายปากกาลงบนกระดาษแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อคนข้างกายพูดอะไรบางอย่างออกมา

"ปีศาจทุกตนมีเสน่ห์ และหน้าตาดี"

"พูดอย่างกับเคยเจอ"
ผมพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยับปากกาเขียนงานต่อ เซนหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วใช้นิ้วเรียวไล้ไปตามกรอบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา... หัวใจเต้นตึกตัก ตัวหนังสือในกระดาษขยุกขยิกไปตามแรงสั่นของตัว เซนเล่นอะไรของมันอีกล่ะเนี่ย

"อาจจะเคยหรืออาจจะไม่เคย ทำงานไปเถอะ ไม่กวนแล้ว"
แล้วเขาก็ผละออกไปโดยปล่อยให้ผมงงเป็นไก่ตาแตกอีกรอบ จะให้มีสติและสมาธิการทำงานได้ยังไง ในเมื่อโดนจู่โจมจนหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปซะแล้ว และคำพูดกำกวมนั้นทำให้ผมเผลอคิดไปว่าเซนอาจจะเป็นปีศาจจำแลงหรือเปล่าแต่จะใช่เหรอ ที่ผ่านมาเขาก็ดูเหมือนคนปกติทุกอย่าง มีแค่นิสัยและคำพูดที่ดูลึกลับก็แค่นั้น ไม่เคยแสดงสิ่งเหนือธรรมชาติให้เห็นสักหน่อย ผมคงมโนไปเองแหงๆ

นั่งปั่นงานจนมือแทบหงิกก็ได้เวลาอาหารเที่ยงซึ่งฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยแม้แต่วินาทีเดียว ให้เดาถนนหน้าคอนโดคงเจิ่งนองไปด้วยน้ำอย่างแน่นอน และเพิ่งได้สังเกตบรรยากาศรอบตัวเองแล้วพบว่ามันเงียบจนผิดปกติ... เซนหายไปไหน

ผมเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ทันทีแล้วหยิบโทรศัพท์ติดมือไปด้วย พยายามหาเจ้าของห้องทุกซอกทุกมุมแต่กลับไม่เจอ  แต่ที่แห่งเดียวที่ผมยังไม่ได้หาคือริมระเบียง แต่ปัญหามันอยู่ที่ตอนนี้ฝนตกหนักมากแล้วเซนจะไปโผล่ตรงนั้นได้ยังไง แม้แต่เงายังไม่เห็นเลย... ผ้าม่านสีขาวบางพัดปลิวจนผมรู้สึกแปลกใจ ใครแง้มประตูเอาไว้เหรอ ขายาวก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูกระจก หัวใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อพบว่ามันถูกแง้มเอาไว้จริงๆ บรรยากาศตอนนี้อย่างกับหนังสยองขวัญเลยว่ะ กำลังจะเอื้อมมือออกไปจับประตูแต่กลับโดนเสียงของเซนเรียกไว้จากทางด้านหลัง

"ทำอะไร"
เสียงของเขาฟังดูเย็นชาเล็กน้อย แต่ผมชินแล้วจึงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร หันกลับไปเผชิญหน้ากันพลางขมวดคิ้วยุ่ง

"มึงแง้มประตูกระจกไว้เหรอ"
ผมยังยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิมและเอ่ยถามเขาออกไป เซนไม่พูดอะไรแต่กลับเดินตรงเข้ามาแล้วรีบปิดประตูกระจกในทันทีก่อนจะจับมือผมลากไปนั่งที่โซฟา

"ยังไม่ตอบคำถามกูเลยนะ"
ผมลอบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาเหลือบสายตามามองกันเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าเสื้อผ้าของเซนชื้นฝนเล็กน้อย หายไปทำอะไรมากันนะ

"คงลืมปิด"

"อ๋อ แล้วหายไปไหนมา ทำไมเสื้อผ้าชื้นแบบนี้"
ผมมองสำรวจเขาอย่างจริงจังตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัย เซนขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะดันหน้าผมที่เผลอขยับเข้าไปใกล้ออก... มองเพลินไปหน่อยเลยลืมตัว

"คนจากที่... 'บ้าน' มาหาน่ะ รีบลงไปเลยไม่ได้บอก"

"อ่าว แล้วทำไมไม่ชวนขึ้นมาบนห้องก่อนล่ะ ฝนกำลังตกเลย กลับลำบากแย่"

"หึ... ไม่ชวนขึ้นมาจะดีกว่า"

"อ่า... โอเคๆ"
ผมไม่รู้จะตอบออกไปยังไงจริงๆ เพราะไม่รู้ความสัมพันธ์ของที่บ้านเซนว่าเป็นลักษณะแบบไหน ญาติดีหรือต่างคนต่างอยู่เหมือนของผม

เราทั้งสองคนจบมื้อเที่ยงด้วยมาม่าคนละสองห่อเพราะขี้เกียจจะลากสังขารไปตากฝนที่ด้านล่างคอนโด ร่างสูงของเซนนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา โดยในมือถือโทรศัพท์เอาไว้ คงกำลังตั้งใจเล่นเกมโปรดตามเคย ส่วนผมนั่งอยู่ที่พื้นแล้วใช้หลังพิงกับโซฟาที่เขานอนอยู่เพื่อเล่นเกมเพลย์สเตชั่นสี่

"เล่นด้วย"
อยู่ๆ เซนก็ไถลตัวลงมานั่งข้างๆ กันแล้วหยิบจอยเกมอีกอันขึ้นมาเป็นสัญญาณให้ผมเลิกเล่นคนเดียว แต่เข้าใจหัวอกคนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม... เอ่อ กำลังมันกับเกมอยู่ไหม จะให้เปลี่ยนกันง่ายๆ ได้ยังไงกัน

"รอไปดิ ให้จบด่านนี้ก่อน"

"ไม่รอได้ปะ"

"เซนอย่ากวนตีน"

"โอ๋นะวิน กูจะออกไปข้างนอก มึงจะไปด้วยไหม"
ผมหันขวับไปมองหน้าเขาแล้วลืมกดหยุดเกม ทำให้อักษรตัวโตปรากฏบนหน้าจอทีวีว่า 'GAME OVER'

"ห๊ะ ฝนตกหนักขนาดนี้อะนะ"
ผมวางจอยเกมลงอย่างไม่ใส่ใจ จะโมโหไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเพราะเป็นคนลืมหยุดเกมเอง เซนเหลือบไปมองทางประตูกระจกเพียงครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าให้กัน

"จะไปฟิตเนส"
เขาตอบจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วโยนจอยเกมไว้บนโซฟา ผมรีบลุกไปปิดเครื่องเกมและทีวีแทบจะทันที ไม่ต้องถามเลยว่าจะไปด้วยหรือเปล่าเพราะการกระทำมันฟ้องมากพออยู่แล้ว

การจราจรยามฝนตกแทบเป็นอัมพาตก็ว่าได้ แค่เลี้ยวออกจากคอนโดตรงสู่ถนนใหญ่ก็ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปได้มากกว่ายี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง คือลงเดินทางเท้ายังไวกว่าอีก เสียงเพลงจากวิทยุดังคลอเบาๆ จนทำให้รู้สึกหนักหนังตาชอบกล ความง่วงเริ่มคืบคลานเข้ามาแต่พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลับ เพราะสงสารเซนที่ต้องอยู่ขับรถคนเดียว

"ง่วงก็นอน จะถ่างตาทำไม"
เสียงนุ่มดังขึ้นทำให้ผมที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นสะดุ้ง มือไม้ปัดป่ายไปมาบนหน้าเพื่อไล่ความง่วงงุนที่เกิดขึ้นก่อนจะส่ายหัวไปมา

"ไม่ๆ หายง่วงแล้ว"
พูดจบก็ขยับตัวนั่งให้เข้าที่เพราะตอนเคลิ้มดันไหลแทบจะลงไปกองที่พื้น เซนหัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาโคลงหัวกันเล่น

"อือ หัวยุ่ง"
ผมบอกก่อนจะปัดมือเขาออก แทนที่จะช่วยจัดทรงกลับทำให้มันยุ่งมากกว่าเดิม แบบนี้เขาเรียกทำลายเพื่อนทางอ้อม หน้าตาไม่ดีอยู่แล้วหัวยังไม่เป็นทรงอีก เฮ้อ

"กลัวไม่หล่อเหรอ"
ถามกันด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แถมยังคลี่ยิ้มสดใสจนน่าหมั่นไส้ ผมทำเสียงเหอะขึ้นจมูกแล้วสะบัดหน้าใส่เพราะไม่อยากสนใจคนที่หล่อตลอดเวลาอย่างเซน

"เออ กูมันไม่หล่ออยู่แล้วนี่ ไม่ต้องพูดอะไรตอกย้ำอีกนะ ตั้งใจขับรถไป"
ผมพูดยาวเหยียดก่อนจะหลับหูหลับตาปิดกันการรับรู้ทุกอย่างจนเผลอหลับไปจริงๆ ตอนไหนไม่รู้ ตื่นอีกครั้งก็ตอนเซนเอื้อมมือมาสะกิดแขนกันให้ลงจากรถนั่นล่ะ...

ผมเดินเคียงข้างไปกับเซนด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ เพราะไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหนก็มักมีสายตาของทั้งผู้หญิงและผู้ชายคอยมองมาและซุบซิบเสมอ บางคนถึงขนาดส่งยิ้มมาให้ แต่คนอย่างเขาหรือจะอัธยาศัยดีกับคนอื่น โดนตีสีหน้านิ่งๆ ใส่จนอึ้งไปหลายรายแล้ว

"ทำหน้าบูดอีกแล้ว หึงหรือไง"
เซนพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินตรงไปยังฟิตเนส ผมเหลือบสายตามองเขาก่อนจะเบ้ปากไส้ด้วยความหมั่นไส้ ชอบคิดเองเออเองตลอด ใครจะไปหึงคนแบบนั้นกันล่ะ แต่จะพูดไป ขนาดเย็นชาแบบนี้ยังมีสาวๆ หนุ่มๆ พร้อมใจแจกขนมจีบให้เลย ใครเป็นแฟนมันคงน่าหนักใจเป็นบ้า แต่คงไม่ใช่ผมหรอก คำว่าเพื่อนมันค้ำคอ

"อย่าหลงตัวเอง"

"ถ้าไม่หึงแล้วทำไมหน้าบูดแบบนั้นล่ะ"

"ก็ไม่อยากไปนั่งเฝ้าที่ฟิตเนส น่าเบื่อจะตาย"
ปกติแล้วเซนจะมาเข้าฟิตเนสแค่คนเดียวเป็นประจำทุกเสาร์ แต่เผอิญว่าเสาร์นี้เป็นเสาร์แรกที่ผมย้ายไปอยู่กับเขาอย่างเป็นทางการ ครั้นจะให้เฝ้าห้องคนเดียวตอนฝนตกมันก็เหงาแปลกๆ เลยตามมาด้วยและไม่ทันคิดว่าตัวเองไม่ชอบออกกำลังกาย

"เดี๋ยวโทรตามอุ่นให้"
เซนบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบเมื่อเราเดินมาถึงหน้าฟิตเนส ผมเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ พูดอย่างกับว่าโทรหาไอ้อุ่นปุ๊ปเจ้าตัวจะโผล่มาทันที คนอะไรจะสั่งได้ดั่งใจขนาดนั้น แล้วที่สำคัญถ้ามันติดธุระอยู่จะมาหาผมเหรอ

"มันจะว่างเหรอวะ ไม่ได้บอกล่วงหน้า"
ผมพูดด้วยความกังวล ซึ่งจริงๆ แล้วก็แอบเกรงใจเพื่อนอยู่เหมือนกัน เดินเที่ยวเล่นคนเดียวคงได้หรอกมั้ง เมื่อครู่ไม่น่าบ่นออกไปเลย...

"มันว่างเสมอถ้ากูต้องการ"
จบคำนั้นเซนก็ต่อสายหาอุ่นทันทีโดยไม่ฟังข้อโต้แย้งใดๆ ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะด่าอะไรออกไปกับความเผด็จการของเซน

"อีกสิบนาทีอุ่นจะมาถึง ยืนรอตรงนี้แล้วกัน กูไปล่ะ"
เขาวางสายแล้วหันมาบอกกันก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในฟิตเนส... รวดเร็วจนตั้งตัวและสติไม่ทันเลยทีเดียว ผมเลยทำได้แค่ยืนมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยจนครบสิบนาทีเป๊ะอุ่นก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดตรงหน้า เหลือเชื่อมาก!

"สิบนาทีพอดีปะวิน"
เสียงแหบแห้งถามกันอย่างรีบร้อน ผมพยักหน้ารัวๆ แทนคำตอบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นห่วงเรื่องเวลาขนาดนั้น จะเลทอีกสักสิบนาทีก็รอได้ ในเมื่อเพื่อนอุตส่าห์ปลีกตัวมาหากันแบบนี้

"สิบนาทีเป๊ะ ไปหาอะไรเย็นๆ กินกันปะ"
ผมเข้าไปแตะไหล่ไอ้อุ่นเบาๆ มันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้กัน

"ไป เหนื่อยฉิบหาย"

"เออ แล้วมึงมาจากที่ไหนเนี่ย โคตรไวเลย"
ผมถามในขณะที่เราออกเดินไปร้านไอศกรีมยอดฮิต เมนูที่คิดไว้ในใจคือไอศกรีมรสมิ้นท์ช็อกโกแลตชิพอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นของโปรด ไอ้อุ่นชะงักเท่าเล็กน้อยก่อนจะกรอกตาไปมา มีพิรุธจนน่าสงสัยว่ะ

"เอ่อ... ก็อยู่แถวๆ นี้พอดีนั่นล่ะ"
มันตอบก่อนจะออกเดินนำผมไปอย่างหน้าตาเฉย แถมยังเดินไวอย่างกับตามล่าหาควายที่หาย ทำให้ต้องวิ่งตามจนหอบแฮ่กซะอย่างนั้น

ผมรู้สึกมาตลอดว่าทั้งเซนและอุ่นเป็นคนแปลกประหลาด ไม่ว่าพยายามมองข้ามสักเท่าไหร่ ก็ยังพบเห็นว่าพวกเขาดูลึกลับน่าค้นหา สักวันความลับที่พยายามเก็บซ่อนไว้ผมอาจจะได้ล่วงรู้เมื่อถึงเวลาอันสมควร




------------------------------------------------------


หนูเทวินของเราหลงกลย้ายไปอยู่กับเซนแล้วนะเออ... หัวใจยังดีอยู่ไหม?
อะไรที่เคยเป็นความลับจะเริ่มถูกเปิดเผยออกมาทีละนิดๆ อีกไม่นานเทวินจะได้ยลโฉมปีศาจจริงๆ แล้ว
แต่ต้องผ่านบทเรียนในหนังสือก่อนนะ ถึงจะอัญเชิญได้

อ่านให้สนุกน้า


ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
«ตอบ #33 เมื่อ26-10-2016 17:28:10 »

วินกำลังได้รับการเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นชายาปีศาจใช่มั้ยเซน :hao3:
วินสู้ๆจ้า เป็นเมียเซนต้องstrongมากๆทำให้หัวใจทำงานหนักตลอดเวลา :กอด1:ขอบคุณมากๆค่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
«ตอบ #34 เมื่อ26-10-2016 22:23:06 »

เซนก็ชอบหยอดชอบเต๊าะเทวินก็ไม่กล้าเพราะคำว่าเพื่อนขวางอยู่ :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
«ตอบ #35 เมื่อ28-10-2016 14:55:27 »

ตำราบทที่ 5



'Time is precious, but truth is more precious than time.'
เวลาเป็นของมีค่าแต่ความจริงมีค่ามากกว่าเวลา




เครื่องปรับอากาศในห้องเรียนครางหึ่งๆ สู้กับอากาศร้อนภายนอกอย่างหนักหน่วง เสียงอาจารย์หน้าคลาสคล้ายกำลังกล่อมนักศึกษาทุกคนเข้าสู่นิทรา ดวงตากลมปรือปรอยจนแทบจะปิดถ้าไม่ได้คนด้านข้างค่อยสะกิดกันคงฟุบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว

"เดี๋ยวมึงจะโดนทำโทษนะวิน"
อุ่นบอกเสียงกระซิบกระซาบโดยที่ดวงตาคมยังจดจ้องไปด้านหน้า แม้แต่จะหันหน้ามาคุยกันดีๆ ยังไม่กล้า เพราะอาจารย์ที่กำลังสอนวิชากลศาสตร์อยู่นั้นดุยิ่งกว่าร็อตไวเลอร์ซะอีก ผมพยักหน้าแสดงความเข้าใจกลับไปก่อนจะใช้มือถ่างตาไว้ ง่วงแบบหาวน้ำตาไหลมันทรมานจริงๆ นะ

"โอย ง่วง"
ครวญครางได้แค่นั้นก็ต้องหุบปากฉับเมื่ออาจารย์หันมาสบสายตากันพอดิบพอดี จากที่เคยเอามือถ่างตาค้างไว้จำเป็นต้องเอาลงแทบจะทันที ความง่วงที่เคยมีจางหายไปในชั่วพริบตา

"เทวิน ถ้าไม่ไหวก็ไปล้างหน้า"
น้ำเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นอนุญาตให้ไปล้างหน้าได้จากอาจารย์ดังขึ้น ผมรีบยกมือไหว้แล้วลุกออกจากห้องเรียนทันที แต่ไม่ลืมที่จะชวนเซนไปด้วยกัน ก็จำได้ว่าบ่นปวดฉี่ตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

"ไปห้องน้ำด้วยกันปะ"
ผมก้มลงไปกระซิบข้างหู เซนเหลือบมองกันเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้ก่อนจะหันไปขออนุญาตอาจารย์แล้วเดินตามผมออกมา

เราเดินทอดน่องกันไปเรื่อยๆ ตามทางเดินบนตึก มีนักศึกษาหลายคนมองมาด้วยสายตาหวานหยดย้อย ต้องโทษความหล่อของเซนคนเดียวเลยที่ทำให้ต้องตกเป็นเป้าสายตาขนาดนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าเลิกวันไนท์สแตนด์กับผู้หญิงแล้วจริงๆ เหรอ

"ฮอตจังนะเพื่อนกู"
ผมเอ่ยแซวเมื่อเราเลี้ยวเข้าห้องน้ำชายที่ปราศจากผู้คน เซนปรายหางตามามองกันก่อนจะเดินไปปลดทุกข์หน้าตาเฉยโดนไม่ตอบอะไรกลับมา ปล่อยให้ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วเปิดน้ำล้างหน้าแก้ความรู้สึกโดนเมิน

"ล้างให้มันดีๆ เสื้อเปียกหมดแล้ว"
เซนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กันร้องเตือนแล้วเอื้อมมือมาปิดก๊อกน้ำให้ ผมใช้ฝ่ามือลูบหน้าลูบตาไล่หยดน้ำออกแล้วเงยหน้าขึ้นมองกระจกเงาและได้สบสายตากับเขาผ่านกระจก เหตุการณ์คล้ายเดจาวูเหมือนกับที่เกิดขึ้นในห้องน้ำคอนโด หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาสีเทาช่างแวววาวและยั่วยวนให้หลงใหลเหลือเกิน

"วิน ได้ยินที่บอกหรือเปล่า"
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ผมดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เสื้อนักศึกษาตรงช่วงอกเปียกชื้นไปด้วยน้ำจนต้องใช้มือจับแล้วสะบัดไปมาเบาๆ เมื่อครู่คงวักน้ำใส่หน้าแรงไปหน่อย ก็หมั่นไส้คนที่ลอยหน้าลอยตาใส่กันนี่หว่า

"เดี๋ยวก็แห้ง กลับห้องเรียนกัน"
ผมบอกก่อนจะเดินออกมาโดยไม่รอเซน ขายาวก้าวไปตามทางเดินของอาคารเรียนเพื่อนกลับห้อง เสียงฝีเท้าแผ่วเบากำลังก้าวตามกันมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

การเรียนวิชากลศาสตร์จบลงอย่างสมบูรณ์ นักศึกษาทั้งคลาสแทบจะโห่ร้องด้วยความดีใจหลังจากเหมือนตกนรกทั้งเป็นร่วมสองชั่วโมง ผมยกแขนขึ้นยืดเส้นยืดสายแต่โดนไอ้อุ่นแกล้งจิ้มรักแร้กันจนต้องหุบแขนลงอย่างกะทันหัน ดวงตากลมถลึงใส่คนปองร้ายก่อนจะเอื้อมมือไปตบหัวมันให้หลาบจำ เล่นบ้าบอกอะไรก็ไม่รู้

"ไอ้อุ่น เล่นบ้าไรของมึง!"
ผมโวยเสียงไม่ดังมากนักเพราะนักศึกษาคนอื่นๆ ยังคงนั่งกันอยู่ในห้องบางส่วน มันบ่นอุบอิบอยู่คนเดียวแต่ไม่กล้าโต้ตอบกลับมา ก็ดีจะได้ไม่เหนื่อยเถียงกัน

"ไปกินข้าวกัน"
เสียงของเซนดังแทรกขึ้นมาในขณะที่ผมเก็บของใส่กระเป๋าสะพาย ไอ้อุ่นรีบดีดตัวลุกขึ้นทันทีทันใด คงจะหิวมากล่ะมั้งเพราะได้ยินเสียงท้องมันร้องโครกครากทั้งคาบ

"เออๆ ไปกัน"
ผมว่าก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าสะพายไปด้านหลังแล้วเดินตามไอ้อุ่นออกไปโดยมีเซนรั้งท้าย แต่ด้วยความที่อยู่ๆ เพื่อนสนิทก็หยุดเดินกะทันหันทำให้ผมที่ไม่ได้ระวังตัวชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างจัง โคตรเจ็บจมูกเลยแม่ง!

"หยุดทำไมวะอุ่น"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะมีจับจมูกตัวเองอยู่ พอมองข้ามไหล่คนตรงหน้าไปก็พบเจอเข้ากับเจ้าของใบหน้าตี๋ๆ ถ้าหากจำไม่ผิดน่าจะชื่อ 'เพลย์' มั้ง

"ไอ้นี่เดินมาขวาง"
อุ่นหันมากระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่ ซึ่งผมก็พยักหน้ารับแกนๆ เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าใจจุดประสงค์ที่เขาเดินมาขวางพวกเราเอาไว้... ช่อดอกไม้ในมือนั่นล่ะที่บ่งบอกความต้องการของเพลย์ได้อย่างแม่นยำ อยากจะหนีไปไกลๆ จริงๆ เลยเว้ย คนที่ชอบเสือกไม่ชอบเรา ไอ้คนที่เราไม่ชอบดันชอบเราซะอย่างนั้น ปวดหัว

"วิน ~"
อ่า... น้ำเสียงชวนอ้วกนั่นเรียกชื่อผมซะหวานหยดย้อย รู้สึกขนอ่อนในกายลุกชันไปหมด ไม่ใช่ว่าขยะแขยงอะไร แต่พฤติกรรมของเพลย์ทำให้ผมกลัว เขาหายไปจากชีวิตผมเกือบหกเดือนแล้ว ตอนแรกๆ ที่เข้ามาเรียนเจอมันตามตื้อแทบทุกวันแต่อุ่นกับเซนไม่รู้เรื่องด้วย เพราะเพลย์ชอบมาหากันหลังเลิกเรียนที่ทั้งคู่กลับบ้านไปก่อน แล้วทำไมวันนี้ถึงโผล่มาได้ล่ะ ที่สำคัญกว่านั้นคือรู้ตารางเรียนกันได้ยังไง! เพลียใจกับมันจริงๆ นะ ถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นสโมสรนักศึกษาของเพลย์ ผมคงลงมือกระทืบมันไปแล้ว

อุ่นกับเซนพร้อมใจกันส่งสายตาแฝงความสงสัยมาที่ผม ถึงจะไม่ได้เปิดปากอธิบายอะไรออกไปก็เชื่อว่าพวกเขาน่าจะเข้าใจและช่วยเหลือกันได้ แต่ตอนนี้ขอออกไปรับหน้าก่อนแล้วกัน ขืนชักช้ากลัวเพลย์จะทำอะไรแปลกๆ ตรงนี้ ได้อายคนอื่นแน่ๆ

"เออ หวัดดี มาได้ไงเนี่ย"
ผมพยายามทำตัวห่ามๆ ใส่เพลย์ให้ได้มากที่สุดทั้งๆ ที่ไม่ใช่นิสัยที่ใช้กับคนไม่สนิท อยากให้มันเห็นความเถื่อนแล้วเลิกล้มความตั้งใจในการตามตื้อกันสักที

"คิดถึงวินไงครับ เลยเอาดอกไม้มาให้"
ผมแอบกรอกตามองบนแล้วกลบเกลื่อนด้วยการส่งยิ้มให้แต่ไม่ยอมรับช่อดอกไม้นั่น... ไฮเดรนเยีย นี่มันกำลังตัดพ้อว่าผมเป็นคนหัวใจด้นชาใช่ไหม เออ เฉพาะกับมึงไงเพลย์ ไอ้เชี่ย!

"ตั้งใจจะเอาดอกนี้มาให้กูจริงดิ มึงรู้ความหมายของมันปะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ไอ้เพลย์ทำตาแป๋วมองกันแล้วส่ายหน้าช้าๆ จะให้ดอกไม้กับใครสักคนทำไมไม่รู้จักศึกษาหาความหมายบ้างวะ

"แค่เห็นมันสวยเหมือนวินเลยเอามาให้"

"สวยพ่อง! มึงเลิกตื้อกูเหอะเพลย์ บอกไปกี่หนแล้วว่ากูไม่ได้ชอบมึง ไม่มีวันชอบด้วย"
ผมพูดอย่างเหนื่อยใจอย่างที่สุดแล้ว ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ จะไม่ยอมใช้คำทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้เด็ดขาด เพลย์ดูตกใจมากจนเผลอทำช่อไฮเดนเยียสีม่วงตกพื้น จริงๆ ก็แอบเสียดายนะ แต่ปล่อยให้มันกระจายตรงพื้นห้องคงดีกว่า ถ้าเผลอเก็บขึ้นมาเจ้าของมันคงคิดว่าผมมีใจให้อีก

"ก็วินยังไม่มีแฟน ผมก็ยังมีสิทธิ์นี่ครับ"
โอ้โห... พูดแบบนี้อารมณ์ที่พยายามสะกดกลั้นไว้กลับระเบิดออกมา ผมแทบกระชากคอเสื้อแล้วส่งกำปั้นลุนๆ ไปที่หน้าของเพลย์ เอาให้ยับคามือกันไปเลย แต่เซนกลับเดินเข้ามากอดคอกันไว้แล้วดันหัวผมให้ซุกลงที่ซอกคอเขา ที่แรกก็แอบตกใจแต่พอคิดได้ว่ากำลังได้รับความช่วยเหลือเลยคล้อยตามอย่าง่ายได้ ที่จริงมันเป็นโอกาสหากำไรด้วยล่ะ หอมกลิ่นมิ้นท์จัง...

"ใครบอก ผมเป็นแฟนวิน เพราะงั้นเลิกยุ่งกับเขาจะดีกว่า... นะ"
เสียงของเซนดูเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ก็ว่าจะไม่รู้สึกอะไรแล้วเพราะรู้ว่าเป็นแค่การช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ห้ามตัวเองไม่ได้ หัวใจเต้นโครมครามอย่างกับโดนเขาสารภาพรักต่อหน้าอย่างนั้นล่ะ เผลอหน้าร้อนอีก จบเถอะชีวิต เห็นไอ้อุ่นส่งสายตาล้อเลียนมาให้กันยิ่งทำให้แน่ใจว่าเพื่อนสนิททุกคนรู้แล้วว่าผมคิดไม่ซื่อ หึหึ ฆ่าตัวตายตอนนี้ทันไหม!

"วะ ว่าไงนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ก็เซนกับวินเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอครับ พวกนายโกหกผมไม่ได้หรอก"
ถึงเสียงเพลย์จะสั่นแค่ไหนแต่แววตายังฉายแววว่าไม่เชื่อกันอยู่ดี ผมแทบจะกัดลิ้นแล้วส่งตัวเองไปนรกสักที ต้องทำยังไงถึงจะสลัดไอ้จอมตื้อนี่ทิ้งได้วะ เชื่อยากเชื่อเย็นอีก หงุดหงิดใจเป็นบ้า เซนสอดมือมากอดเอวกันไว้หลวมๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นไปอีกก่อนจะเอ่ยถามอีกคนด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น

"เพื่อนกันก็รักกันได้ ไม่มีกฎข้อไหนห้าม ต้องให้จูบโชว์ต่อหน้าไหมถึงจะเชื่อ"
ผมรีบผละตัวจากอ้อมกอดของเขาทันทีแล้วมองหน้าคนที่พูดประโยคนี้เขม็ง ถ้าไอ้เพลย์มันให้ทำจริงๆ ขึ้นมาล่ะ เซนจะกล้าหรือไง ไอ้ผมน่ะชอบเขาไง ยอมได้อยู่แล้ว... ทำไมรู้สึกตัวเองใจง่ายจังวะ

"ถ้าทำได้ก็เอาสิครับ แล้วผมจะไม่ยุ่งกับวินอีกเลย"
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำท้าจากเพลย์ ไอ้อุ่นถึงกับผิวปากแซวกันทันที เซนกระตกยิ้มมุมปากก่อนจะใช้นิ้วเรียวเฉยคางกัน ดวงตาประสานกันจนยากจะหลบหนี... หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก มือของผมกำชายเสื้อช็อปของคนตรงหน้าไว้แน่น โอย จะตายอยู่แล้ว หัวใจจะวาย

"เอาจริงเหรอวะ"
ผมถามเสียงเบาหวิว ใบหน้าร้อนวูบวาบเมื่ออีกคนไม่ตอบแต่กลับเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน ลมหายใจสะดุดกึกด้วยความตื่นเต้นจนมือไม้อ่อนแรงไปหมด ดวงตาพร่าเบลอเพราะไม่สามารถปรับโฟกัสมองสิ่งที่อยู่ใกล้เกินไปได้ ไม่ไหวแล้วหัวใจ... มันจะพังอยู่แล้ว

"จูบนะ"
สิ้นเสียงนั้นริมฝีปากหยักก็เคลื่อนเข้ามาประทับลงที่ตำแหน่งเดียวกันบนใบหน้าของผม มือเรียวอีกข้างสอดเข้าไปที่ท้ายทอยเพื่อประคองแล้วกดให้ปากเราแนบสนิทกันยิ่งขึ้น ดวงตาของเราทั้งคู่ปิดลงและมันทำให้สัมผัสชัดเจนขึ้นอีกหลายเท่าตัว ความนุ่มหยุ่นทำให้หัวใจสั่นไหว ความคิดอกุศลเริ่มผุดขึ้นทีละน้อยๆ แค่นี้มันไม่พอ อยากได้มากกว่านี้อีก... แต่สุดท้ายเซนก็ผละออกไปแต่ไม่วายใช้ลิ้นสีแดงเลียรอบริมฝีปากตัวเอง คำนิยามผุดขึ้นในสมองกันแทบจะทันที 'เซ็กซี่และหื่นกระหาย'

"เชื่อได้หรือยังครับ ต้อง Deep kiss อีกไหม"
ผมถึงกับเซไปชนไอ้อุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของเซน แค่จูบธรรมดาสติยังขาดหายขนาดนี้ ถ้า Deep kiss ขึ้นมาผมคงตายจริงๆ

"ขอบคุณครับที่ทำให้ตาสว่าง"
เพลย์เอ่ยจบก็รีบวิ่งออกไปจากห้องทันที ปล่อยให้เราทั้งสามคนยืนงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคือพูดเหมือนผมไปหลอกลวงมันวะ ทั้งๆ ที่ปฏิเสธชัดเจนทุกครั้ง ทำไมกลายเป็นคนผิดไปได้วะ ไม่เข้าใจ

"วิน... มึงเมาจูบเซนเหรอ"
เสียงทุ้มกระซิบข้างหูทำให้ผมสะดุ้งแล้วรีบผละตัวออกจากไอ้อุ่นที่ประคองกันอยู่ทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นก็แทบอยากจะยกเท้าถีบให้กระเด็นไปไกลๆ จริงๆ

"หุบปากไปเลยอุ่น"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วรีบเดินหนีทั้งสองคนออกมา แต่ก้าวได้แค่สองก้าวกลับโดนมือใครบ้างคนรั้งคอเสื้อแล้วกระตุกให้ถอยหลังไปปะทะกับอกแกร่ง โดยไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้จากกลิ่นหอมที่โชยมา... เซนนั่นเอง

"รีบหนีไปไหนครับแฟน จะไม่ขอบคุณกันหน่อยเหรอ"
เซนว่าด้วยน้ำเสียงล้อเลียนจนผมรู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง อยากโวยวายใส่อยู่หรอกแต่กลัวหลุดพูดอะไรออกไปมากกว่าที่คิดไว้ เลยได้แต่แสร้งทำเสียงหงุดหงิดใส่

"ตอนแรกว่าจะเลี้ยงข้าวอยู่หรอก ตอนนี้ยกเลิกแม่ง ล้ออยู่ได้!"
พูดจบก็จัดการปัดมือเซนออกแล้วเดินนำออกมา ได้ยินสองคนด้านหลังคุยกันแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะตอนนี้ทั้งเขินทั้งอาย ฮือ

"เซนจะแกล้งวินมากไปแล้วนะ"

"ทำไม มีปัญหาเหรอ"

"เอ่อ... ไม่มีครับ ขอโทษครับ"

หลังจากที่พวกเราถล่มโรงอาหารของคณะกันเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งรอเวลาเรียนวิชาเลือกกันที่หน้าโบสถ์ หนังสือวิชาปีศาจวิทยาถูกกางออกบนโต๊ะ ใบงานขาวสะอาดไร้รอยปากกาถูกหยิบจากแฟ้มงาน...

"ทำไมคุณพ่อจีซัสทำแบบนี้วะ ใบงานแต่ละคนเสือกคำถามไม่เหมือนกันอะ จะร้องไห้"
ผมโอดครวญเมื่อเหลือบอ่านคำถามในใบงานของไอ้อุ่นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ของเซนก็ไปอีกทางหนึ่ง สรุปแล้วจะลอกของใครก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่เหนือกว่าทุกอย่างนั้นคือความรู้สึกขัดเขินไม่กล้ามองหน้ากันนี่ล่ะ พอคิดถึงจูบนั้นก็ทำให้รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง อุณหภูมิในร่างกายพุ่งสูง อ่า... จะระเบิดตัวตายอยู่แล้ว

"ป้องกันการลอก ของมึงถามว่าอะไรเดี๋ยวกูช่วย"
อุ่นยื่นหน้าเข้ามาอ่านใบงานของผมที่มีแค่คำถามสั้นๆ อย่าง 'จงบอกช่วงเวลาที่เหมาะสมของการอัญเชิญปีศาจ' คือ... บทความนี้มันอยู่ส่วนไหนของหนังสือยังไม่รู้เลย เพราะเปิดอ่านทีไรมีอันต้องพับเก็บทุกที ก็มันภาษาอังกฤษที่ไม่ถนัดนี่นา

"อ๋อ เอาหนังสือมึงมา เดี๋ยวกูเอาดินสอขีดให้"
อุ่นส่งยิ้มมาให้กัน ผมเลยรีบรวบหนังสือของตัวเองส่งให้ทันทีทันใดด้วยความกระตือรือร้น ส่วนเซนเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะก้มทำงานของตัวเองต่อ คำถามของเขาดูยากอยู่พอตัวเพราะต้องอธิบายเกี่ยวกับ 'วงเวทย์ดาวหกแฉกและดาวห้าแฉกของโซโลมอน' ไม่นานนักอุ่นก็ส่งหนังสือกลับมาให้แล้วใช้มือชี้บอกตำแหน่งบทความไปด้วย

"ทั้งหมดนี้เลย เขียนไป"
ผมเหลือบมองก่อนจะพยักหน้ารับ อุ่นเห็นแบบนั้นก็หันไปทำงานของตัวเองต่อในหัวข้อ 'ภาชนะทองเหลือง' ซึ่งไว้ผนึกปีศาจ

'Chief king may be bound from 9 till 12 o' clock at Noon, and from 3 till sunset; Marquises may be bound from 3 in the afternoon till 9 at Night, and from 9 at Night till Sunrise;...'

ผมอ่านบทความไปขมวดคิ้วไป ไม่ใช่ว่าแปลไม่ออกแต่แปลกใจอยู่นิดหน่อยที่การอัญเชิญปีศาจนั้นมีเวลาที่เหมาะสมทั้งกลางวันและกลางคืน แถมยังแบ่งตามลำดับยศถาบรรดาศักดิ์อีกด้วย ปากกาในมือเคาะลงบนหนังสือเป็นจังหวะเพราะยังสงสัย อยากตั้งคำถามกับเพื่อนสนิทแต่เห็นตั้งอกตั้งใจทำงานอยู่เลยไม่อยากขัดเท่าไหร่ ตัดสินใจเขียนคำตอบไปก่อนค่อยถามเอาทีหลังก็แล้วกัน

"เสร็จหรือยัง"
เสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูทำให้รู้โดยทันทีว่าเขาขยับมานั่งข้างๆ กันแล้ว ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบขยับให้เหลือช่องว่างระหว่างกันให้มากที่สุด อยู่ใกล้กันทั้งๆ ที่เพิ่งจูบกันไปมันไม่ดีเท่าไหร่ ถึงเขาจะไม่รู้สึกอะไรแต่ผมนี่สิแย่

"กะ ใกล้แล้ว เหลือบรรทัดสุดท้าย"
ผมตอบเสียงตะกุกตะกักแล้วรีบเขียนคำตอบบรรทัดสุดท้ายจนเสร็จก่อนจะส่งกระดาษคำตอบให้อุ่นที่รอกันอยู่ พอเก็บอุปกรณ์และหนังสือลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับสายตาของเซนที่จ้องมองมาแบบไม่วางตา ผมประหม่าเล็กน้อยเพราะยังรู้สึกขัดเขิน อยากร้องเรียกให้ไอ้อุ่นช่วยแต่มันดันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้พร้อมกับใบงาน...

"วิน..."
น้ำเสียงแหบพร่าเรียกกันทำให้หัวใจกระตุกวาบ ครั้นจะขยับตัวหนีก็เหมือนมีอะไรบางอย่างคอยตรึงไว้กับที่จนเซนเข้ามาประชิดตัวกันอย่างไร้ช่องว่าง ใบหน้าก็พลันร้อนวูบขึ้นมาทันที เขาจะทำอะไรล่ะเนี่ย ผมไม่พร้อมกับสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้นะ

"ระ เรียกทำไม"
อยากจะตบปากตัวเองให้หายสั่นสักที พยายามควบคุมน้ำเสียงแทบตายแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ แขนที่โผล่พ้นเสื้อออกมากำลังสัมผัสกันอย่างแนบชิด อุณหภูมิร่างกายอุ่นๆ นั้นทำให้ผมอยากดึงเขาเข้ามากอด... ทำไมต้องทำเหมือนมีใจให้กันทั้งๆ ที่ทำตัวคลุมเครือเดี๋ยวสนใจเดี๋ยวไม่สนใจ อยากรู้จริงๆ ว่าคนอย่างเซนมีความรู้สึกหรือหัวใจบ้างหรือเปล่า

"อยากจูบอีก"

"ห๊ะ เป็นบ้าอะไรเนี่ย"
ผมผละตัวออกห่างจากเขาได้ในที่สุดแต่ก็เกือบตกเก้าอี้อยู่เหมือนกัน ดีหน่อยที่การทรงตัวไม่ได้แย่เกินไปไม่อย่างนั้นคงลงไปนอนเล่นบนพื้นตัวหนอนเรียบร้อยแล้ว ดวงตากลมมองเซนด้วยความไม่เข้าใจทั้งตกใจและตื่นเต้นที่ได้ยินประโยคนั้น สมองกำลังทำงานหนักเพราะความคิดกำลังตีรวนว่าเขาพูดจริงหรือแค่แกล้งกัน

"ไม่ได้ล้อเล่น"
เซนยืนยันน้ำเสียงหนักแน่นจนผมเผลอเม้มปากเข้าหากันด้วยความชั่งใจ ดวงตากลมเบนหลบดวงตาสีเทานั่นเพราะไม่อยากสบตาให้หัวใจเต้นหนักไปกว่าเดิมอีกแล้ว เมื่อไหร่อุ่นจะกลับมาช่วยกันวะ

"อดอยากขนาดติดใจจูบกูเลยหรือไง"
ผมแกล้งแซะเรื่องนั้นออกไปทั้งๆ ที่รู้สึกปวดหัวใจแปลบๆ เมื่อคิดถึงพฤติกรรมเก่าๆ ของเซน ใบหน้าหล่อเหลานั่นขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบเป็นปมก่อนจะเอื้อมมือมาวางลงบนหัวกันแล้วขยี้เบาๆ ผมเหลือบตามองเขาเพียงครู่เดียวแล้วก้มหน้าลง กลัวว่าคำตอบที่ได้มาจะทำให้เจ็บ

"ทำไมต้องคิดแบบนั้น ถึงกูจะขึ้นเตียงกับใครมาหลายคนแต่กูก็ไม่เคยจูบกับผู้หญิงคนไหน"

"ทำไมไม่จู..."

"พวกมึง เข้าเรียนได้แล้วเว้ย!"
กำลังจะถามเซนว่า 'ทำไมไม่จูบเขาล่ะ' แต่ยังไม่ทันจบประโยคไอ้อุ่นก็ตะโกนมาจากทางประตูโบสถ์ทำให้เราทั้งสองคนรีบสะพายกระเป๋าแล้วเดินไปทันที ถ้าไม่รีบอาจจะโดนทำโทษโดยคุณพ่อจีซัสก็ได้ ความอยากรู้จำเป็นต้องพับเก็บชั่วคราวทั้งๆ ที่ในใจอยากรู้จะแย่ เฮ้อ

วันนี้บทเรียนแรกของคาบเป็นเวลาที่เหมาะสมในการอัญเชิญปีศาจ ที่ต้องกำหนดช่วงเวลานั้นก็เพราะว่าความแข็งแกร่งของพลังในแต่ละขั้นยศของปีศาจแต่ละตนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน

สมมติว่าถ้าผมจะลองอัญเชิญปีศาจสักตนก็ต้องศึกษาเรื่องเวลาที่พลังแข็งแกร่งของปีศาจตนนั้นๆ ไปด้วย ไม่ใช่ว่าพอใจจะทำพีธีตอนไหนก็ทำได้ ฟังดูแล้วยุ่งยากหลายขั้นตอนจนแอบมึนไปตามๆ กัน

"เทวิน"
น้ำเสียงหวานเรียกชื่อกันจนผมสะดุ้งเพราะมัวแต่เหม่อคิดถึงเรื่องของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง คุณพ่อจีซัสคลี่ยิ้มส่งให้กันก่อนจะเอ่ยคำถามออกมา

"ปีศาจยศราชาควรอัญเชิญช่วงเวลาไหน"

"อ่า... ช่วงเวลาเก้าโมงเช้าถึงเที่ยงวันและจากตีสามถึงดวงอาทิตย์ขึ้นครับ"
ผมตอบอย่างมั่นใจเพราะยังจำได้ถึงงานของตัวเองที่เพิ่งเขียนส่งไป คุณพ่อจีซัสพยักหน้ารับคำแล้วหันไปหาเป้าหมายคนต่อไป

"ไม่สบายหรือเปล่าไอ้วิน เหม่อๆ นะมึงอะ"
อุ่นขยับเข้ามากระซิบกระซาบกัน ผมทำแค่เพียงส่ายหน้าแทนคำตอบเท่านั้น ถ้าจะให้พูดความจริงออกไปว่าคิดมากเรื่องเซนอยู่คงดูไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วอุ่นคิดยังไงกับเรื่องนี้กันแน่

"ถ้าไม่ไหวก็บอก อย่าฝืน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร"
ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่อุ่นบอก ความหมายของมันคืออะไรกันแน่ ถ้าให้เดาเองคงคิดว่าอุ่นอาจจะหมายถึงเรื่องที่ผมแอบชอบเซนหรือเปล่า

"ไม่มีอะไรหรอก ตั้งใจเรียนเถอะ"
ผมบอกปัดไปแล้วทำเป็นสนใจคุณพ่อจีซัสโดยที่ในสมองนั้นคิดแต่เรื่องของเซนจนตีกันวุ่นวายไปหมด เนื้อหาของบทเรียนลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจนเป็นห่วงตัวเองว่าถ้าโดนเรียกถามอีกคราวนี้คงตอบไม่ได้และโดนทำโทษแน่ๆ ให้ตายเถอะชีวิต ก่อนที่สติจะหายลับเข้ากลีบเมฆไปผมก็ดึงกลับมาโดยการกัดปากตัวเองจนห่อเลือด เซนที่เห็นการกระทำนั้นใช้นิ้วตีแก้มกันเบาๆ แล้วส่งสายตาดุมาให้

"กัดปากทำไม ห้อเลือดแล้ว"
ผมเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วพบว่ามันแสบ คงไม่ใช่ห้อเลือดธรรมดาแต่มันเป็นแผลแล้วต่างหาก ดวงตากลมเบนหลบสายตาที่มองมาแล้วทำเป็นจดอะไรยุกยิกลงในหนังสือเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าตรงๆ

"ไม่ได้ตั้งใจ แค่คิดอะไรเพลินๆ"
ผมตอบกลับไปแต่ต้องชะงักเมื่อเซนเอื้อมมือมากุมมือกันไว้ ผมเหลือบสายตามองที่ตำแหน่งนั้นแต่กลับไม่กล้าขยับหนีปล่อยให้เขาเกาะกุมตามใจชอบ

"กลับไปมีเรื่องต้องคุยกัน เข้าใจไหม"

"ไม่เข้าใจได้ปะ"
ผมสวนกลับไปทันทีอย่างกวนๆ แต่เซนกลับนิ่งเงียบแล้วส่งแรงกดดันมาให้กันจนผมยอมแพ้ในที่สุด ไม่เล่นแล้วก็ได้ แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายเครียดทำไมกลับกลายเป็นเซนเล่า ไม่ยุติธรรมเลย

"เออๆ"

หลังเลิกเรียนเซนก็ขับรถไปส่งอุ่นที่ลาดจอดรถคณะเช่นเคย BMW 325i สีดำแล่นไปตามถนนสายหลักของย่านมหา'ลัย บรรยากาศรอบตัวเงียบจนน่าอึดอัดเพราะแม้แต่วิทยุก็ไม่ได้เปิด ครั้นจะถือวิสาสะทำลายความเงียบด้วยการฟังเพลงก็ไม่กล้าเลยได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมเล่นโทรศัพท์ไปเงียบๆ แม้กระทั่งเสียงหายใจยังได้ยิน... โคตรวิกฤติ

"จะแวะกินอะไรก่อนไหม"
เซนถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบทำให้บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่คลายลงเล็กน้อย ผมเหลือบมองข้างทางแล้วพบว่าพวกเรากำลังอยู่ในย่านร้านอาหาร

"อือ แวะกินก่อนก็ได้"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หางตาเห็นเซนพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะตีไฟเลี้ยวเข้าจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง มันคือภัตตาคารอาหารจีนชื่อดังที่ล่ำลือกันว่าแพงสุดๆ มื้อหนึ่งคงไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท

"จะกินร้านนี้เหรอ"
ผมถามก่อนจะเหลือบมองป้ายร้านสีแดงสดใสสไตล์แบบฉบับจีนแท้ๆ จริงๆ ไม่ได้กลัวกระเป๋าเงินใครจะฉีก แต่อาหารจีนมันมีแต่รสจืดชืด...

"อืม"
คำตอบสั้นๆ ดังขึ้นอย่างไร้อารมณ์ ให้เดาคงเลือกสุ่มไปอย่างนั้นล่ะเจ้าตัวเขาไม่ได้อยากกินจริงๆ หรอก ผมเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิดก่อนจะเสนอทางเลือกที่ดีกว่าให้กับเซน

"กินอย่างอื่นได้ปะ อาหารเวียดนามอะไรงี้"
พอดีว่าสายตาเหลือบไปเห็นร้านอาหารเวียดนามในคูหาที่อยู่ถัดไปพอดีและสารภาพแบบไม่อายใครว่าชีวิตนี้ไม่เคยแตะอาหารสัญชาตินี้เลย อยากลองดูสักครั้งว่าเป็นยังไง เซนเงียบนิ่งไปจนผมเริ่มร้อนรนกลัวว่าตัวเองจะเอาแต่ใจเกินไปหรือเปล่า แต่ไม่นานนักใบหน้าหล่อนั่นก็กระตุกยิ้มมุมปากให้คลายกังวล

"โอเค ตามนั้น"

"นี่กำลังตามใจกูอยู่ปะ"

"ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็คิดไป"
เซนยักคิ้วให้ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยที่ไม่รอกัน ผมรีบลงตามแล้วเดินไปเคียงข้างเขาในตอนที่เสียงสัญญาณล็อกประตูดังขึ้น จะรีบเดินไปไหน ร้านอาหารมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า




ต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2016 19:53:53 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
«ตอบ #36 เมื่อ28-10-2016 14:56:49 »

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยโทนสีอบอุ่น โต๊ะอาหารและเก้าอี้ทำจากไม้ให้ความรู้สึกสบายๆ เมนูอาหารเล่มหนาถูกวางลงโดยฝีมือของพนักงานสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม หางตาของเธอเหล่มองใบหน้าหล่อเหลาของเซนเป็นระยะๆ ผมอดที่จะขำไม่ได้เมื่อหน้าตาจิ้มลิ้มนั้นแดงขึ้นทีละนิดๆ เพราะเขิน

"กินอะไรดี"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นในขณะที่ดวงตาสีเทากวาดมองเมนูอาหารอย่างสนใจ ดูท่าทางเซนก็คงไม่เคยกินอาหารเวียดนามหรือถ้าเคยก็คงนานๆ ครั้ง พนักงานสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนใบหน้าของเธอจะแดงก่ำมากกว่าเดิม ดูท่าทางการรับออเดอร์คงมีปัญหาแล้วล่ะ ถ้าสั่งอย่างแต่ได้กินอีกอย่างนี่ไม่ต้องสงสัยเลย มาจากความเขินของเธอล้วนๆ

"กินแหนมเนืองปะ"
ผมเอ่ยถามก่อนจะเหลือบตามองคนตรงข้าม ดูเหมือนเขารู้แล้วว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานสาวแต่เลือกเมินเฉยมากกว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงส่งสายตาเจ้าชู้ใส่ไปแล้ว

"อะไรก็ได้ตามใจมึงเลย"
น้ำเสียงสบายๆ เอ่ยขึ้นพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้กัน หัวใจสั่นไหวเมื่อประโยคที่ได้ยินคือสรุปได้ว่าวันนี้เซนตามใจผมจริงๆ

"อือ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม"
ผมถามขึ้นอีกครั้งแล้วเลี่ยงสบสายตากับเขา เมนูในมือเซนถูกวางลงก่อนจะรู้สึกได้ว่าเขาขยับเข้ามาใกล้กัน

"กินมึงได้ไหมล่ะ"
ผมผงะถอยหลังทันทีแถมยังยกเมนูมาปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้เหลือแต่ลูกกะตา คำพูดของเขาทำให้ผมหน้าร้อนวูบทันทีทันใดด้วยความตกใจ แต่รู้สึกว่าพนักงานสาวเธอช็อกไปแล้ว

"พูดเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะยังมีเมนูอาหารปิดหน้าอยู่ เซนยักคิ้วกวนให้กันแล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าบ่งบอกความสนุก แกล้งกันอีกแล้วคนเรา!

"ล้อเล่น สั่งอาหารเลย"
ผมจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งเมนูกับพนักงานสาว เธอสะดุ้งเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาจดรายการอาหารโดยไม่เหลือบมองเซนอีกเลย...

ในขณะที่นั่งรออาหารกันนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อย แต่สายตาไม่รักดีคอยเอาแต่จะเหลือบมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ ในตอนแรกเขาก็นิ่งเงียบเล่นเกมของตัวเองไป แต่ครั้งล่าสุดผมกลับประสานสายตากับเซนจนได้ และดูเหมือนจะรู้มาตลอดว่าโดนแอบมอง เพราะมุมปากยกขึ้นคล้ายรอยยิ้มล้อเลียนกัน อยากมุดโต๊ะหนีฉิบหาย วันนี้พลาดท่าไปกี่รอบแล้วเนี่ย

"มองบ่อยๆ อยากจูบอีกหรือไง"
คำถามชวนใจสั่นดังขึ้น ผมแทบจะเอาโทรศัพท์ในมือปาใส่หน้าหล่อๆ นั่น คิดได้ไงว่าคนเขาอยากจูบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มานั่งในใจกันหรือได้ถึงได้รู้ไปหมดซะทุกเรื่องแบบนี้

"คิดดีแล้วหรือไงที่พูดออกมาน่ะ"
ผมถามกลับไปทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าดูจอสี่เหลี่ยม อยากจะบอกว่าสมาธิไม่ได้จดจ่ออยู่กับของในมือเลย แย่แน่ๆ

"เออ คิดดีแล้วถึงได้พูดไง จริงไหมล่ะหืม"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มทำให้ผมมือไม้สั่นจนต้องวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แสร้งหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อเบี่ยงเบนการมองหน้าเซนตรงๆ

"มะ ไม่จริงเว้ย"
พยายามควบคุมเสียงแล้วแต่สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่าจนได้

"ถ้าไม่จริงทำไมถึงเสียงสั่น"
ถามเฉยๆ ไม่ได้หรือไง ทำไมต้องโน้มตัวมาด้านหน้าจนอยู่ในระยะมองเห็นรูขุมขนกันขนาดนี้ ผมผละตัวออกมาจนจะหงายหลังล้มตึงไปกับเก้าอี้อยู่แล้ว ถ้าไม่เกรงใจกันเกรงใจลูกค้าคนอื่นในร้านก็ยังดี ผู้ชายสองคนทำท่าใกล้ชิดกันมันคงดูแปลกไม่น้อย

"เรื่องของกู"
คราวนี้ผมตอบเสียงดังฟังชัดเพราะอยากแก้ตัวที่ทำผิดพลาดไปเมื่อครู่ แสร้งทำเป็นกล้าสบดวงตาสีเทาไปอีก แต่คำพูดถัดมาของเซนทำให้ผมมือไม้อ่อน... ไม่สิ อ่อนยวบทั้งตัวทั้งใจเลยต่างหาก

"กูอยากจูบมึงอีกครั้ง โดยที่ไม่โดนท้าทาย"
ตายโดยไม่ต้องสืบหาสาเหตุกันเลยทีเดียว หัวใจเต้นโครมครามจนปวดหนึบในช่องอกไปหมด ร่างกายร้อนวูบวาบจนน่าแปลก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้วจนต้องเม้มปากเพื่อกลั้นอารมณ์ต่างๆ เอาไว้อย่างยากลำบาก

"อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ"
ระฆังช่วยชีวิตมาพร้อมกับอาหารหน้าตาน่ากิน กลิ่นหอมของมันชวนให้น้ำลายแตกฟอง น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน

ไม่มีใครพูดอะไรอีกเมื่อลงมือกินอาหาร อาจจะมีเล็กน้อยเมื่อกล่าวชมรสชาติ หรือแลกเปลี่ยนของกินกันไปมาเท่านั้น มื้อนี้อย่างที่ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่าเซนจะจ่ายทั้งหมด ซึ่งมันก็จริงเพราะเขาไม่ยอมให้ผมควักเงินสักบาท นี่ถ้าคิดแบบตื้นๆ ได้ คงคิดว่าเซนชอบกันไปแล้วล่ะ เปย์ขนาดนี้

คอนโดในเวลาสองทุ่มวันนี้เงียบสงบจนผิดปกติ อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฝนตกลงมาบ่อยทำให้อากาศเย็นกว่าปกติ การเข้านอนอาจเลื่อนเวลาเร็วขึ้นด้วย ผมนั่งวาดรูปเล่นใน iPad Pro ของเซนไปเรื่อย ส่วนเจ้าของห้องนั่งดูหนังอยู่ตรงปลายเตียง เราคุยกันแทบนับประโยคได้หลังกลับมาจากร้านอาหาร ไม่รู้ว่าเพราะเหตุการณ์ที่จูบกันหรือคำพูดในร้านอาหารกันแน่ที่ทำให้บรรยากาศดูขมุกขมัวแบบนี้ ไม่ชอบเลย... น่าอึดอัดชะมัด

"เซน"
ผมเรียกเขาแล้ววางดินสอในมือลง เขาหันมามองกันพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่านั่นทำให้ขายาวๆ ก้าวไปหาเซนจนได้ เมื่อถึงตัวก็ใช้มือวางลงบนไหล่ ใบหน้าหล่อเหงาเงยขึ้นมามองกัน ดวงตาสีเทานั้นจ้องมองมาจนทำให้รู้สึกหวั่นไหว ผมไม่ได้หลบตาแต่กลับโน้มตัวลงไปจนปลายจมูกแตะกัน

"จะจูบเหรอ"
น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยถามกันโดยไม่มีแววล้อเลียน มันทุ้มนุ่มจนชวนให้เคลิบเคลิ้ม ผมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้จะจูบแต่จะสารภาพ

"กูชอบมึง รู้ใช่ไหม"
ตัดสินใจพูดออกไปแล้วเพราะไม่อยากทนอึดอัดอีกต่อไป ตั้งใจไว้แล้วว่าจะรับผลที่ตามมาได้อย่างแน่นอน ถึงมันจะแย่แค่ไหนก็จะพยายามยิ้ม

"รู้... รู้มานานแล้ว"
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน เพราะหลังจากนั้นท้ายทอยถูกรั้งด้วยฝ่ามือเย็นเยียบจนปากของเราแตะกัน สัมผัสนุ่มหยุ่นทำให้หัวใจกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จูบในตอนนี้กลับมีการรุกล้ำอย่างเชื่องช้าด้วยความอ่อนโยน ปลายลิ้นเปียกชื้นไล่ละเลียดชิมความหวานจากริมฝีปากของผม อยากจะขัดขืนแต่ร่างกายไม่เคยเชื่อฟังก่อนจะเผยอปากเป็นการเชิญชวนให้เข้ามาสำรวจภายใน ความรู้สึกวาบหวามเกิดขึ้นช้าๆ จนกลัวว่าจะเลยเถิด พยายามจะหยุดแต่อีกฝ่ายกลับรั้งให้แนบชิดกันมากยิ่งขึ้น

ค่ำคืนนี้คงอีกยาวไกลจนไม่อาจคิดเป็นเวลาจริงๆ ได้ ในเมื่อทั้งเขาและผมต่างเมามายในรสจูบของกันและกันโดยทิ้งสถานะคำว่าเพื่อนไปชั่วคราว... แต่บางทีมันอาจจะตลอดไป




------------------------------------------------------

ตอนนี้แอบละมุนละไมแปลกๆ ? จูบกันถึงขั้นเมาเลยฮะ -..-
น้องเทวินเขาก็ใจกล้าไม่เบานะที่สารภาพออกไป
ความเป็นเซนคนช่างสังเกตเลยไม่ได้ตกใจอะไรเมื่อโดนสารภาพตรงๆ
แถมไม่พูดพร่ำทำเพลง จับจูบอย่างเดียวเลย... หึ
ตอนต่อไปเทวินเขาจะลองอัญเชิญปีศาจแล้วนะ

ปล. อ่านให้สนุกน้า

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
«ตอบ #37 เมื่อ28-10-2016 22:36:35 »

ลุ้นกับความรู้สึกเซนมากอยากรู้จริงๆว่าคิดอะไรอยู่บ้าง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
«ตอบ #38 เมื่อ28-10-2016 22:51:19 »

อยากรู้แต่ความรู้สึกของเซนมากกว่า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
«ตอบ #39 เมื่อ02-11-2016 10:00:23 »

ตำราบทที่ 6



'You have a secret, But i don' t know'
คุณมีความลับแต่ผมไม่รู้



ในช่วงนี้ฟ้าฝนดูจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ในการออกไปเที่ยวเตร่เดินตลาดนัดกลางแจ้งเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนว่าจะมีพายุเข้าติดต่อกันถึงหนึ่งอาทิตย์ วันหยุดที่แสนน่าเบื่อเลยเต็มไปด้วยขนมนมเนยและการดูหนังฆ่าเวลารอจรกว่าฝนจะหยุดตกแล้วออกไปหาอะไรใส่ท้องกัน จริงๆ จะพึ่งมาม่าในตู้ก็ได้แต่เกิดอินดี้อยากกินปิ้งอย่างสไตล์เกาหลีกันขึ้นมา

"ไอ้อุ่น เอาตีนออกไปจะโดนหัวกูแล้วนะ"
ผมบ่นเมื่อเห็นคนที่นั่งขัดสมาธิบนโซฟาขยับตัวเข้ามาใกล้กัน อุตส่าห์เลือกนั่งที่พื้นระหว่างไอ้อุ่นกับเซนแล้วเชียว ที่ไม่ขึ้นไปร่วมแออัดเพราะว่ายังติดพันกับงานใน Mac Book ด้วย

"ไม่โดนหรอกน่า แค่ปลายนิ้วโป้งสะกิดผมมึงได้เอง"
ไอ้อุ่นพูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมต้องหันขวับขึ้นไปมองหน้าอย่างเหลืออด มีอย่างที่ไหนรู้ว่าเท้าจะโดนหัวเพื่อนยังนั่งลอยหน้าลอยตาไม่สนใจกันอยู่อีก นี่หัวคนนะไม่ใช่พรมเช็ดเท้า!

"ไอ้สกปรก ถอยไปเลยนะ ไม่งั้นกูจะเอาโกโก้ราดเป้ามึง"
ผมแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วโกโก้ที่ยังมีควันสีขาวลอยกรุ่นอยู่ ไม่อยากจะอวดว่าเซนเพิ่งไปชงมาให้กันล่ะ ยังไม่ได้ชิมเลย... จะว่าไปก็เสียดายแต่โมโหไอ้อุ่นมากกว่า

"หูย... กล้าเทเหรอวะ เซนอุตส่าห์ชงให้กินนะมึง ร้อยวันพันปีคุณชายเขาจะยอมบริการใครสักคน"
ไอ้อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับเหลือบมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน แต่เซนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากความนิ่งเงียบจนน่าใจหาย ผมหันตามไปก็พบว่าเจ้าตัวเข้าสู่นิทราทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่านั่งหลับโดยไม่สัปหงกได้ยังไง ถ้าเป็นผมคงหัวทิ่มลงจากโซฟาแล้ว

"โห... หลับง่ายฉิบ เมื่อกี้ยังบ่นกูทำงานผิดอยู่เลย"
ผมบ่นพึมพำเสียงเบาเพราะกลัวว่าจะปลุกคนที่นั่งหลับ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าไม่เมื่อยบ้างหรือไงเลยหันไปขอความคิดเห็นจากไอ้อุ่น

"มึง... เซนจะเมื่อยปะวะ เราควรจัดท่าให้นอนดีๆ ไหม"

"อือ มึงจัดให้เซนนอนบนโซฟานี่ล่ะ เดี๋ยวกูนั่งพื้นกับมึงเอง"
อุ่นบอกจบก็ขยับมานั่งลงข้างๆ กันที่พื้นแทบจะทันที จะช่วยกันหน่อยก็ไม่ได้ ขืนพลาดปล่อยตัวเซนลงบนโซฟาแรงผมไม่โดนฆ่าอยู่คนเดียวเหรอวะ แต่ก็ช่างมันเถอะ สิ่งที่รบกวนใจกันมากกว่านั้นคือตลอดเวลาที่ผ่านมาอุ่นไม่เคยใช้คำหยายกับเซนเลยสักครั้ง ง่ายๆ ก็คือไม่เคยขึ้นมึงขึ้นกู นับว่าแปลกอยู่มากแต่ไม่เคยถามออกไปเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องปกติของเขาสองคนก็ได้

ผมจัดการลุกขึ้นจากพื้นแล้วจับไหล่เซนเพื่อดันให้นอนราบลงบนโซฟา แต่พอจะถึงที่หมายเอวสอบก็โดนรั้งให้ลงไปนอนทาบทับอยู่บนตัวเขาซะอย่างนั้น อยากจะดิ้นหนีแต่ความตกใจทำให้ร่างกายแข็งทื่อไม่กล้าขยับ ที่น่าแปลกคือไอ้อุ่นไม่เอ่ยแซวสักคำ ปิดปากเงียบจนผิดปกติเลยก็ว่าได้ไม่ใช่ว่าหลับคอพับคออ่อนไปอีกคนนะ

"ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"
ผมถามเสียงอู้อี้กับอกของเขาเพราะหน้าแนบอยู่ตรงตำแหน่งนั้นอย่างพอดิบพอดี กลิ่นกายอ่อนๆ ชวนเคลิ้มจนเผลอหลับตาลงเพื่อให้ประสาทสัมผัสทำงานได้ดีกว่าเดิม ตั้งแต่วันนั้นที่ผมสารภาพความรู้สึกกับเซนไป ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ แต่มันไม่ได้น่าอึดอัดเหมือนที่แล้วๆ มา ออกจะพอใจด้วยซ้ำ แต่ก็แอบหวังว่าเขาจะตอบความรู้สึกที่มีกลับมาบ้างหรือบอกปฏิเสธก็ยังดี

"ใครตื่น กูไม่ได้หลับ"
เสียงราบเรียบตอบไขความกระจ่างจนผมถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ อ้อมแขนแกร่งกอดกระชับกันมากขึ้นรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นเช่นกัน ไม่อยากอยู่ในท่านี้นานๆ เลยว่ะ แต่จะให้ดิ้นไปมาก็กลัวว่าอะไรต่อมิอะไรจะตื่นขึ้น

"อ่าว กูหน้าแตกอะดิแบบนี้"
ผมบ่นอีกครั้งก่อนจะหุบปากฉับเมื่อรับรู้ถึงแรงกดกลางกระหม่อม ดวงตากลมปิดแน่นและย่นคออย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนใต้ร่าง ทำไมชอบเล่นอะไรแบบนี้อยู่เรื่อยเลยวะ ยิ่งสารภาพออกไปยิ่งโดนปั่นหัวมากยิ่งขึ้น แต่แปลกใจตัวเองที่ไม่สามารถหนีเรื่องบ้าๆ นี่ไปได้เลยสักครั้ง เคยคิดจะหนีไปอยู่กับไอ้อุ่นหลังจากสารภาพความรู้สึกไปแล้วสักพักแต่กลับทำไม่ได้เมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากเซน ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่ะ

"อยากปากแตกแทนไหม"
เขาพูดจบก็รั้งผมตรงท้ายทอยเบาๆ เป็นสัญญาณให้ผมผงกหัวขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลานั่นในระยะประชิด ดวงตาสีเทาฉายแววทะเล้นอย่างไม่ปิดบัง และนั่นก็สามมารถเขย่าหัวใจคนมองได้อย่างง่ายดาย

"ปากแตกอะไรวะ"
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เซนหมายถึงคืออะไร แต่ยังทำมึนถามไปเพราะจะฉวยโอกาสหลบสายตา แต่สุดท้ายกลับโดนนิ้วเรียวจะประคองใต้คางเอาไว้จนไม่กล้าขยับไปไหน  เกลียดการรู้ทันจริงๆ ให้ตายสิ

"ถ้าไม่รู้ เดี๋ยวสาธิตให้ดูดีปะ"
แววตาเจ้าเล่ห์นั่นพร้อมกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ทำให้ผมส่ายหน้าพรืดแล้วรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นทันทีโดยไม่สนว่าตัวเองจะถูกรั้งเอวอยู่หรือเปล่า ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าปากผมประกบเข้ากับปากของเซนโดยไม่ต้องใจเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ไปไม่พ้นอ้อมแขนของคนใต้ร่าง ดวงตากลมเบิกค้างพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นแต่กลับโดนมือเรียวกดท้ายทอยลงให้แนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากแนบชิดจนไร้ช่องว่างให้อากาศผ่านความอุ่นร้อนเริ่มทวีคูณเมื่อปลายลิ้นเปียกชื้นไล่เลียอย่างอ้อยอิ่งไปตามกลีบปากนุ่ม ครั้นจะเม้มปากลงกั้นการแทรกแซงกลับโดนปลายลิ้นดุนดันเข้ามาจนได้ ผมครางอื้อเมื่อถูกไล่ต้อนอย่างหนักจนหัวสมองขาวโพลน ลืมไปแล้วว่าไอ้เพื่อนทรยศอย่างอุ่นยังอยู่ด้วยกันอีกหรือเปล่า

"หวาน"
คำๆ เดียวหลุดออกจากปากคนใต้ร่างเมื่อริมฝีปากผละออกจากกัน ผมได้แต่หอบหายใจแล้วพยายามเบนสายตาหนีจากเขา ไม่มีเรี่ยวแรงจะดันตัวให้ลุกขึ้นด้วยซ้ำ อยากจะบ้าตาย เขินจนตัวแทบแตกอยู่แล้ว ไอ้อุ่นไม่คิดจะช่วยกันบ้างหรือยังไงนะ

"อะ อีกแล้วนะมึง ถ้าไม่คิดอะไรด้วยอย่าทำแบบนี้ได้ไหม"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักพยายามบอกทุกอย่างที่คิดให้เขาฟัง ไม่ใช่ว่าอึดอัดอะไรกับการถูกหยอกไปวันๆ แต่กลัวว่าตัวเองจะถลำลึกอยู่ฝ่ายเดียวจนไปไหนไม่ได้... แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้คงเป็นไปแล้วเกือบครึ่งทางเลยล่ะมั้ง

"อาจจะคิดหรืออาจจะไม่คิด"
คำตอบแบบนี้ออกจากปากเซนมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนประสาทกันหรือไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงกันแน่ ผมดันตัวลุกขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่เดิม และในตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าเพื่อนสนิทอีกคนหายตัวไปแล้ว ท่ามกลางฝนตกหนักเนี่ยนะ... ไปได้ยังไงกัน

"เกลียดคำตอบของมึงว่ะ ไม่เคยชัดเจนสักครั้ง"
ผมบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะวางคางลงบนขาที่ชันไว้ ดวงตากลมเหม่อลอยมองทีวีที่กำลังฉายหนังเรื่องเดิมอยู่ ไม่นานนักสัมผัสตรงไหล่ก็ทำให้รู้ว่าเซนไม่ได้นอนอยู่เหมือนเดิมอีกแล้ว

"วิน... กูไม่เข้าใจหรอกว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง ตลอดชีวิตที่ผ่านมากูรู้จักแค่คำว่าภักดี"
น้ำเสียงเซนอ่อนลงจนผมต้องถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มต่ำลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ตักแข็งแกร่งรองรับศีรษะของผมอย่างพอดิบพอดีเป็นบรรยากาศที่คนนอกอ่านจะคิดว่าหวาน แต่ความจริงแล้วกำลังหน่วงจนอยากร้องไห้

"ไม่เคยรักพ่อแม่เหรอวะ"
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย มนุษย์ทุกคนบนโลกอย่างน้อยก็ต้องรักครอบครัวของตัวเองเป็นสิ พ่อแม่ที่ไหนจะสอนให้รู้จักแค่คำว่าซื่อสัตย์และภักดีกัน... ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนายบ่าวสักหน่อย

"พ่อแม่เหรอ... กูลืมไปแล้วว่าเคยมี"
คำตอบของเซนทำให้ผมต้องหุบปากเงียบแล้วไม่สงสัยอะไรอีกเลย ไม่ว่าเขาจะรู้จักความรักหรือไม่รู้จักก็ไม่ได้สำคัญอะไร ความรู้สึกต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ

"เซน... ถ้ากูขอให้มึงหยุดทำอะไรเกินเลยคำว่าเพื่อนได้ไหม กูไม่อยากถลำลึกไปกว่านี้"
ผมผละตัวออกห่างจากเขาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหมุนตัวหนีดวงตาสีเทาที่กำลังจ้องมาอย่างเอาเรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องคิดว่าเขามีความรู้สึกเจ็บปวดแฝงอยู่ภายใน

"ถ้ากูขอให้มึงเลิกชอบกู มึงทำได้ไหมล่ะ"
เสียงแข็งกร้าวเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังพร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบเมื่อเจ้าของคำพูดลุกขึ้นยืนซ้อนหลังกัน ลมหายใจอุ่นกำลังเป่ารดต้นคอจนผมต้องขยับหนีไปอีกหนึ่งก้าวโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง

"ตะ แต่มันไม่เหมือนกันนะเว้ย ความรู้สึกของกูกับการกระทำของมึงน่ะ"
นำเสียงสั่นๆ มาพร้อมกับการยกมือขึ้นกุมตำแหน่งหัวใจที่กำลังทำงานอย่างหนักหน่วง ไม่รู้ว่าควรเจ็บหรือตื่นเต้นกับคำพูดกำกวมไร้ความแน่ชัดนั้นดี

"มึงรู้เหรอว่ากูคิดอะไร กูรู้สึกยังไงตอนอยู่ใกล้มึง จะหาว่าเห็นแก่ตัวหรืออยากด่าอะไรก็ได้ แต่กูบอกมึงตอนนี้ไม่ได้มันยังไม่ถึงเวลา"
ประโยคนั้นทำให้ผมนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ไม่มีคำกล่าวห้ามคนที่เดินหนีออกไปจากห้อง สมองกำลังมึนงงและความคิดกำลังตีกันไปมาจรเริ่มรู้สึกปวดหัวตุบๆ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากไปนักคงแปลประโยคนั้นได้ประมาณว่า 'รู้สึกอะไรบางอย่างด้วย แต่บอกไม่ได้' ทำไมล่ะ หรือเขามีเจ้าของไปแล้ว... แค่คิดยังปวดหัวใจหนึบๆ ขนาดนี้ ถ้าได้ยินจากปากยืนยันผมคงหัวใจแหลกสลาย

ผมไม่รู้จะไปตามเซนกับอุ่นได้จากที่ไหนเพราะทั้งคู่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย เลยได้แต่นั่งจดๆ จ้องๆ จอสี่เหลี่ยมดำสนิทที่ฉายหนังจบไปแล้วด้วยหัวใจที่ว้าวุ่นพอตัว กลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเพราะคำพูดของตัวเองในคราวนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ร้องขออะไรแบบนั้นเด็ดขาด

Rrrrr

เบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคย... แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับเผื่อว่าจะเป็นใครสักคนที่หายออกไปจากห้องนี้ และแล้วก็เป็นอุ่นที่ใช้โทรศัพท์ส่วนกลางของคอนโดโทรขึ้นมา

"มึงเห็นเซนไหมอุ่น"
หลังจากที่ถามไถ่กันเรื่องที่มันหายไปไหนมาเรียบร้อยแล้วผมก็ถามหาเพื่อนสนิทอีกคนทันที เพราะรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาจับใจ หายไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แปลกมาก

'หือ เซนหายไปไหน'
เสียงที่ถามกลับมาดูแปลกใจไม่น้อยจนผมเริ่มกังวลเพราะอุ่นไม่ได้เจอเซนระหว่างทางแน่ๆ

"มันเดินออกจากห้องไปไหนก็ไม่รู้ ไม่หยิบโทรศัพท์ไปด้วย"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรนแล้วลุกขึ้นไปหยิบกุญแจห้องและรวบโทรศัพท์มือถืออีกสองเครื่องมาด้วย

'เชี่ย มึงลงมาหากูเร็วๆ'
อุ่นพูดอย่างรีบร้อนก่อนสายจะตัดไปทำให้ผมรีบออกจากห้องโดนเร็ว ไม่ถึงห้านาทีผมก็วิ่งมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าอุ่น ไม่เคยคิดว่าการที่เซนออกไปข้างนอกจะเกิดเรื่องอะไรแย่ๆ ขึ้นได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเพื่อนอีกคนแล้วเหมือนมีความลับบางอย่างปิดบังกันอยู่

"แฮ่ก อุ่น... มีอะไรหรือเปล่าวะ"
ผมพูดไปพลางหอบไป ใบหน้าชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อทั้งๆที่อากาศเย็นแทบจะขาดใจ เสียงเม็ดฝนตกกระทบถนนดังสนั่นหวั่นไหวจนไม่กล้าย่างเท้าออกไปนอกอาคารทั้งๆ ที่ถือร่มกันอยู่ ทัศนียภาพด้านหน้าขาวโพลนยากแก่การมองเห็นทำให้เราทั้งคู่ยื่นชั่งใจอยู่นาน

"ไปตามหาเซนกัน ช่วงนี้มันไม่ค่อยสบาย"
น้ำเสียงเรียบนิ่งต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมใส่ใจอะไรมากมาย แต่ความหมายของประโยคที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่นี่สิ ผมที่อยู่กับเซนทุกวันทำไมไม่รู้ว่าเขาป่วยกันล่ะ

"ทำไมกูไม่รู้เรื่องวะอุ่น"
ผมถามกลับไปด้วยความงุนงงแต่อุ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับจับข้อมือกันแล้วออกเดินไปตามทางที่คาดว่าเซนจะไป ตลอดทางที่เราทั้งคู่ผ่านมาเงียบสนิทราวกับที่นี่เป็นเมืองร้าง ผู้คนหายเข้าไปหลบฝนในตัวอาคารกันส่วนใหญ่เลยทำให้ริมทางเท้าเงียบเชียบ ละอองฝนทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เริ่มชื้นจนแนบเนื้อ อุณหภูมิที่ต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ต้องยกมือข้างที่ว่างขึ้นกอดตัวเองเอาไว้

"หนาวเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามกันด้วยความห่วงใย ผมพยักหน้ารับอย่างง่ายดายเพราะรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ ร่างกายชอบอ่อนแอเวลาเจอกับละอองฝนปริมาณมาก มือเย็นชืดที่จับข้อมือกันเลื่อนลงไปจนกลายเป็นประสานในที่สุด ความอุ่นกำลังแผ่ซ่านแต่หัวใจกลับหนาวเหน็บ เซนหายไปไหนกันแน่

"จะกลับก่อนไหม เดี๋ยวกูไปส่ง"

"ไม่เอา ยังหาเซนไม่เจอเลย"

"กูไปหาคนเดียวก็ได้ ห่วงว่ามึงจะป่วยมากกว่า เดี๋ยวเซนจะมาฆ่ากู"

"ทำไมต้องพูดจาอะไรแปลกๆ วะ อะไรๆ ก็เซน มันไม่เป็นห่วงกูขนาดจะทำร้ายมึงหรอกอุ่น คนที่อยู่ข้างมันมานานคือมึง ไม่ใช่กู เพราะฉะนั้น มึงสำคัญกว่ากูแน่นอน"
ผมพูดสิ่งที่คิดออกไปจนหมดเพราะไม่คิดว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดที่เซนจะทำร้ายเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างอุ่นได้ลงเพียงแค่ดูแลเพื่อนใหม่อย่างผมไม่ดี เขาชะงักเท้ากึกแล้วหันมาสบสายตากัน ในวินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่ว่าเรารู้สึกใจเต้นแรงต่อกัน แต่มันคือแววตาวาววับน่ากลัว

"วิน... มึงสำคัญกับเซนมากกว่าที่มึงคิด เอาร่มเดินกลับคอนโดไปได้แล้ว กูจะไปหาเซนคนเดียว ถ้ามึงยังดื้อกูจะจัดการขั้นเด็ดขาด"
ผมไม่ได้เปิดปากพูดอะไรสักคำอุ่นก็ยัดเยียดร่มในมือของเขาให้กันแล้วเดินจากไปท่ามกลางสายฝน อยากวิ่งตามไปแต่รู้ว่าเมื่อครู่เขาดูจริงจังและเกรี้ยวกราดมากแค่ไหน ถึงจะเป็นห่วงก็คงช่วยอะไรไม่ได้เลยต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำเท่าไหร่นัก

ผมจัดการเปิดประตูห้องแล้วถอดรองเท้าแตะที่เปียกชื้นน้ำตั้งเอาไว้แล้วลากเนื้อตัวที่เปียกชื้นเข้าห้องน้ำ สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายจนกลัวว่าใครอีกสองคนจะมีสภาพเปียกปอนไม่ต่างกัน ยิ่งคำที่บอกว่า 'เซนไม่สบาย' ยิ่งทำให้กังวลเป็นสองเท่า แต่คนอย่างผมซึ่งทำอะไรไม่ได้คงต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเอาไว้ก่อน

หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยก็พบว่าไฟฟ้าของคอนโดดับลงอีกแล้ว ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้วเดินไปหาเทียนที่ชั้นวางทีวี เพราะจำได้ว่าครั้งล่าสุดเซนเอามันเก็บไว้ตรงนั้น ลิ้นชักเปิดออกทำให้ผมตะลึงเล็กน้อยเมื่อเจอเข้ากับสิ่งที่เรียกว่า 'อุปกรณ์ในการอัญเชิญปีศาจ' ไม่ว่าจะเป็นเทียน ถ้วยเงิน ผืนผ้าที่เขียนวงเวทย์ กำยานเครื่องหอม แหวนเงิน ผ้าลินินสีขาว แก้วไวน์ที่ทำจากเงิน น้ำมัน ตราผนึกเวทย์ของปีศาจ และมีดสั้นลายสลักสวยงาม ทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำให้มือสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ ความคิดมากมายกำลังประเดประดังเข้ามา 'เซนเคยอัญเชิญปีศาจอย่างนั้นเหรอ' ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงสมเหตุสมผลที่ว่าทำไมรู้จักพวกปีศาจดีขนาดนั้น

"วิน!"
เสียงทุ้มที่จำได้ดีว่าเป็นของอุ่นดังขึ้น ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบหยิบเทียนสีฟ้าออกมาจากลิ้นชักทันที เมื่อหันกลับไปก็เจอสภาพเปียกชุ่มของทั้งสองคน แต่เซนดูอ่อนปวกเปียกจนผมรีบลุกขึ้นไปดูอาการ

"ทะ ทำไมเซนเป็นแบบนี้วะ แล้วนี่รอยช้ำอะไร"
น้ำเสียงที่ถามออกไปสั่นจนควบคุมไม่ได้ ผมมองสำรวจร่างกายของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพบว่าบนตัวมีรอยฟกช้ำจนน่ากลัว บางที่เลือดไหลซึมออกจากแผล หายไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะเนี่ย

"เอ่อ ยังไงดีวะ"
อุ่นมีท่าทางลังเลจะตอบคำถามกลับมา ส่วนเซนจ้องเขม็งจนผมนึกยากควักลูกตาสีสวยนั่นทิ้ง สภาพยับเยินขนาดนี้ยังจะขู่คนอื่นเขาอีกเหรอไง

"ตอบมาดิอุ่น เกิดอะไรขึ้น!"
ผมเริ่มโมโหจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ มือเรียวของเซนแตะลงบนบ่าเพื่อช่วยปลอบโยนให้ใจเย็นลง แต่รอยช้ำที่เห็นยิ่งตอกย้ำว่าไม่ควรปล่อยเรื่องผ่านไป ใครทำกับเขาขนาดนี้

"คือว่า... มีเรื่องกับ..."

"มีเรื่องกับคน 'ที่บ้าน' นิดหน่อย"
เซนแย่งอุ่นตอบในที่สุด แต่นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจว่าที่บ้านของเขาทำไมเป็นแบบนี้ คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือยังไง

"อะไรนะ มีเรื่องกับคนที่บ้าน คือบ้าอะไร พูดกันดีๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำร้ายร่างกาย"
ผมพูดด้วยอารมณ์โมโหและมองสำรวจร่างกายของเซนอีกครั้งอย่างละเอียด อุ่นเดินหายไปและกลับมาพร้อมชุดปฐมพยาบาล เซนไม่ได้ตอบคำถามกลับมาแต่ถอดเสื้อเปียกชุ่มส่งให้อุ่นแทน

"ทำแผลให้หน่อย"
เสียงทุ้มร้องขอกัน ผมได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ แล้วรับกล่องปฐมพยาบาลมาจากมืออุ่นแล้วเริ่มทำแผลอย่างช้าๆ เพราะกลัวเซนจะเจ็บ มีบางจังหวะที่สายตาของเราประสานกัน ดวงตาสีเทามักจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างมาเสมอ แต่เสียดายที่คนอย่างผมโง่ดักดานอ่านสายตาของใครไม่เป็นเลยทำได้แค่หลบเลี่ยงเท่านั้น

"เสร็จแล้ว ที่จริงน่าจะอาบน้ำก่อนทำแผลปะ เปียกมาขนาดนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"
ผมบ่นกระปอดกระแปดให้ขณะที่เซนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยหลังจากทำแผล เส้นผมสีดำสนิทยังเปียกลู่แนบใบหน้าจนนึกรำคาญแทนเลยเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กไปวางไว้บนหัวเขา เซนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วใช้มือเรียวจับผ้า... แต่ไม่ยอมเช็ดวะ รออะไรอยู่

"เช็ดให้หน่อย"
อีกแล้ว... น้ำเสียงออดอ้อนชวนใจสั่นนั่นทำให้ผมยอมทุกทีสิน่า อยากใจแข็งแต่ทำไม่ได้สุดท้ายก็ลงเอยที่มานั่งเช็ดผมและสบตากันไปด้วย โคตรโรแมนติกเลยถ้าไม่มีไอ้อุ่นนั่งอยู่ที่พื้นแล้วส่งสายตาล้อเลียนมาให้

"แหม... เซนจะอ้อนมากไปแล้วมั้ง ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่า"
อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะมองผมสลับกับเซนไปมา ยอมรับอย่างไม่อายใครว่าประโยคนั้นสั่นหัวใจกันได้ทันทีเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่เคยอ่อนโยนแบบนี้ แต่ช่วงหลังๆ มานี่ดูนิสัยจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจริงๆ

"หุบปากแล้วนั่งไปเงียบๆ ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปจากห้องซะ"
เซนส่งสายตาดุๆ ไปให้กับอุ่นที่รีบหุบปากฉับแล้วเดินหนีเข้าห้องครัวไปเงียบๆ ผมได้แต่มองเขาแล้วลอบถอนหายใจ สองคนดูเหมือนจะรักกันแต่ก็มีเรื่องขัดกันไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ

"นี่... ขอถามอะไรหน่อยได้ปะ"
ผมตัดสินใจถามถึงสิ่งที่อยากรู้แล้วเหลือบไปมองลิ้นชักใต้ทีวี... สิ่งของทุกอย่างในนั้นมันคืออะไรกันแน่ เซนเคยอัญเชิญปีศาจตนไหนอย่างนั้นเหรอ

"อืม ถามมาสิ"
คำอนุญาตราบเรียบทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อาจเพราะกลัวที่จะถามออกไปหรือกลัวคำตอบที่กำลังจะได้กลับมา ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่

"คือ... อุปกรณ์ในลิ้นชักนั่น"
ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะเหมือนมีอะไรที่มองไม่เห็นปิดปากกันไว้ เซนใช้ดวงตาสีเทาจ้องมาก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากซะเอง

"ของสะสมเฉยๆ"
เซนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมจับไม่ได้ว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่ แต่ดวงตาสีเทานั่นไม่ได้มีความสั่นไหวแต่อย่างใด สุดท้ายเลยทำได้แค่พยักหน้ารับคำตอบนั้นเอาไว้และปิดประเด็นเรื่องนี้ไป

"ฝนเริ่มซาแล้วล่ะ"
ผมบอกในขณะที่เดินตรงไปยังประตูกระจกเพื่อดูสถานการณ์ฟ้าฝนที่ด้านนอก นาฬิกาข้อมือแสดงเวลาสี่โมงเย็นแต่ท้องฟ้ากลับมืดอย่างกับหกโมงไปซะอย่างนั้น ไม่ค่อยชอบความเปียกชื้นสักเท่าไหร่แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอากาศตอนฝนตกมันดีเพียงใด

"เออว่ะ งั้นออกไปหาอะไรกินกันปะ"
เสียงทุ้มของอุ่นดังขึ้นข้างๆ ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สมควรชินได้แล้วเพราะเขาเป็นแบบนี้เสมอ ไปมาไม่เคยให้ซุ่มให้เสียงเลยสักครั้ง

"แล้วแต่ กูยังไงก็ได้ ไปถามเซนนู่น"
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางที่ร่างสูงของเซนนั่งอยู่ ดูเหมือนเขากำลังจะยุ่งกับแผลบนร่างกายจนอุ่นตรงเข้าไปห้ามและพูดคุยอะไรกันอยู่สักพักโดยที่ผมไม่เข้าไปมีส่วนร่วม รู้สึกว่าควรยืนอยู่ตรงนี้มากกว่า มองสายฝนบางครั้งก็เพลินดีเหมือนกันนะ

"ไปกินข้าวกันไอ้วิน"
เสียงอุ่นเรียกอยู่ไกลๆ ทำให้ผมละสายตาจากสายฝนแล้วหมุนตัวไปพยักหน้าก่อนจะก้าวขาตามพวกเขาออกจากห้องไป

หน้าที่พลขับตกเป็นของอุ่นไปโดยปริยายและมีเซนนั่งด้านข้าง ส่วนผมเนรเทศตัวเองมานั่งส่วนหลังของรถ Audi A4 สีแดงสดใส ไม่รู้ว่าตอนซื้อรถอุ่นคิดอะไรอยู่ถึงได้ซื้อสีแบบนี้ โคตรจะเด่น ขับไปไหนมาไหนมีแต่คนมอง

"วิน"
เสียงทุ้มนุ่มเรียกกันจากด้านหน้าทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมที่กำลังมองอยู่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเจ้าของเสียงไม่ได้หันมามองเลยสักนิด ช่วยกรุณามองคู่สนทนาหน่อยไม่ได้หรือไง แบบนี้เหมือนกำลังพูดคนเดียวเลยว่ะ

"มีอะไร"
ผมถามกลับไปและเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อก่อนจะขยับก้นไปนั่งปลายเบาะเพื่อจะได้คุยกับคนด้านหน้าถนัดขึ้น อยากเห็นสีหน้าเขาด้วย ไม่ใช่อะไรหรอก

"พรุ่งนี้อยู่คนเดียวได้ไหม"

"หือ มึงจะไปไหนอะ"

"ธุระนิดหน่อย อยู่ได้ไหม"

"อือ... อยู่ได้ดิวะ พูดอย่างกับกูเป็นเด็กน้อยที่ต้องมีเพื่อนอยู่ด้วยตลอดเวลา"
ผมตอบกลับไปแต่ในใจก็แอบหวั่นเล็กๆ เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกันไม่เคยห่างกันนานๆ เลย

"ถ้าอยู่ไม่ได้โทรหากูนะครับ จะรีบไปหาที่คอนโด"
อุ่นพูดขึ้นมาแถมยังขยิบตาผ่านกระจกมองหลังมาให้กันจนผมต้องเบ้ปากในความหยอดเล็กหยอดน้อยของมัน เซนถึงกับเอื้อมมือไปผลักหัวอุ่นเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้

"กูไม่อยากลำบากมึงหรอก"
ผมตอบปัดๆ ก่อนจะขยับเข้าที่เหมือนเดิม กลัวอุ่นมันแกล้งเบรกแล้วหัวจะทิ่มไปด้านหน้า

"จริงๆ มันก็เป็นหน้าที่ของกูนะ"
อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เป็นผมเองที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หน้าที่อะไรของเขากันล่ะ ยิ่งเซนส่งสายตาดุๆ ไปให้คนข้างๆ ยิ่งทำให้ผมอยากรู้จนต้องขยับไปนั่งปลายเบาะอีกครั้งแล้วแนบแก้มลงบนเบาะหน้า

"หน้าที่อะไรวะ"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับโดนเซนผลักหัวออก ก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้กันจนผมต้องจิ๊ปากด้วยความขัดใจ

"หน้าที่ของเพื่อนที่ต้องดูแลเพื่อนไง สงสัยจังนะมึง"
อุ่นตอบด้วยน้ำเสียงทะเล้นนิดหน่อย ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่เลยครางอือรับไปเบาๆ ในตอนนั้นเองหางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวิ่งไล่รถอยู่ด้านข้าง พอเพ่งดูดีๆ ก็พบว่าเป็นหมาขนาดใหญ่ดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เหมือน... บารอน!

"ไอ้อุ่นๆ จอดรถก่อน"
ผมบอกอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้เท้าความถึงเหตุผลใดๆ อุ่นดูงงๆ แต่ก็ยอมจอดรถให้กัน ส่วนเซนเขาน่าจะรู้แล้วว่าทำไมผมถึงบอกให้อุ่นจอดรถ

"อะไรของมึงวะ"

"บารอน"
เซนตอบแทนก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวหมายักษ์ที่ยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างรถ อุ่นชะโงกหน้ามองก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นราวกับตกใจ

"เฮ้ย... มาได้ไงวะเนี่ย"
อุ่นอุทานออกมาด้วยความแปลกใจแล้วหันมามองกัน ผมไหวไหล่เพราะตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด บารอนมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน เป็นคำถามที่ตอบได้ยากที่สุดแม้แต่เซนเองก็ไม่อาจตอบได้เช่นกัน

ก๊อกๆ

เสียงเคาะกระจกดึงสติของผมกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เซนบอกให้ผมเปิดประตูในขณะที่เขาจับปลอกคอของบารอนเอาไว้

"เอามันเข้าไปนั่งกับมึงด้วย"
เขาบอกก่อนจะดันบารอนให้ขึ้นมาด้านหลัง ส่วนผมขยับที่ขยับทางให้พอสำหรับหมาตัวโตนั่ง ดูจะคับแคบไปหน่อยแต่ก็ดี เซนปิดประตูแล้วกลับไปนั่งที่เดิมอย่างเงียบเชียบและไม่มีใครกล้าถามอะไรทั้งนั้น



มีต่อด้านล่าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
« ตอบ #39 เมื่อ: 02-11-2016 10:00:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
«ตอบ #40 เมื่อ02-11-2016 10:01:42 »

ผมเหลือบสายตามองบารอนที่นั่งชูคอมองทางด้านหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของมันตลกน่าดู หางเป็นพวงส่ายไปมาจาผมนึกอยากลองจับ แต่แค่เอื้อมมือไปเจ้าตัวใหญ่ก็หันขวับมามองกัน ลมหายใจสะดุดกึกแทบทันทีเพราะไม่รู้ว่าบารอนจะกัดไหม แต่ไม่นานหัวโตๆ กลับซุกลงมาบนไหล่แล้วไหลลงไปที่ตักอย่างหน้าตาเฉย แอบตกใจอยู่เหมือนกันแต่ดีใจมากกว่าที่บารอนไม่คิดว่าผมเป็นศัตรู

"ทำไมขี้อ้อนวะบารอน ปกติหยิ่งฉิบหาย กับกูนี่แทบกระโดดงับคอ"
พลขับบ่นพึมพำเมื่อเหลือบสายตามามองผมกับบารอนสลับกันไปมาในขณะที่รถติดไฟแดง มือเรียวไล่ลูบขนหนาไปเรื่อยอย่างเพลิดเพลินก่อนจะยักคิ้วกวนให้เพื่อนสนิท

"มึงไม่เป็นมิตรกับสัตว์ไง"

"ทำไมวะ กูก็เป็นสะ... เอ่อ กูก็รักสัตว์นะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นเพราะประโยคเมื่อครู่ฟังดูแปลกๆ แต่สุดท้ายก็เลิกสนใจไปเมื่อบารอนขยับหัวถูไถกับตักผมเบาๆ ตัวใหญ่แต่ขี้อ้อนต่างกับครั้งแรกที่เจอกันแล้วเอาแต่มองจริงๆ

"แต่สัตว์คงไม่รักมึงมั้ง"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะใช้มือลูบหูแหลมๆ ของบารอนเล่น ดูท่าทางมันจะชอบเพราะเคลิ้มจนตาปรือและในที่สุดก็ปิดสนิทลง

"บารอนจะมาอยู่กับเราจนถึงวันเกิดกูนะ"
เมื่อรถจอดสนิทหน้าร้านอาหารเกาหลีแห่งหนึ่ง เซนก็พูดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความงุนงง ทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรก หรือว่าเพิ่งคุยกับคนที่บ้านกันล่ะ

"อ๋อ... โอเค แล้วนี่จะทำยังไงกับมัน จะเอาเข้าไปในร้านก็ไม่ได้"
ผมบอกก่อนจะก้มลงมองเจ้าบารอนที่ยังหลับอุตุหนุนตักกันอยู่ อุ่นเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยไม่ออกความเห็นใดๆ และเซนเพียงแค่เหลือบมองสัตว์หน้าขนก่อนระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

"เดี๋ยวเอาลงไปฝากเจ้าของร้าน"
พูดจบเขาก็เดินลงจากรถไปซะดื้อๆ ปล่อยให้ผมงุนงงและปลุกเจ้าบารอนให้ขยับตัวใหญ่ๆ ลงจากรถ ในขณะที่อุ่นเดินเช้ามาใกล้กันกลับโดนเจ้ายักษ์แยกเขี้ยวใส่ซะอย่างนั้น ตลกดี

"ไรวะ ขู่กูอีกแล้วนะ"
อุ่นถลึงตาใส่บารอนจนผมหลุดขำออกมา คนบ้าอะไรทะเลาะกับหมาวะนั่น หน้าตาหล่อๆ ตอนมันบึ้งตึงเพราะโดนสัตว์ขัดใจก็ดูตลกไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย

"มึงหยุดทะเลาะกับบารอนสักที"
เซนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะดึงปลอกคอให้บารอนเดินตามไปทางประตูร้าน เขาเอ่ยฝากฝังเจ้ายักษ์เอาไว้และเพิ่งได้รู้กันตอนนั้นว่าเขารู้จักกับเจ้าของร้านนั่นเอง

หลังจากพวกเราฝ่าฟันควันจากเตาย่างเนื้อสไตล์เกาหลีมาได้ก็ตรงกลับไปส่งผมกับบารอนที่คอนโดทันที จากที่บอกกันว่าเซนมีธุระพรุ่งนี้กลายเป็นว่าต้องไปตั้งแต่คืนนี้... อยู่กับหมาก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกมั้ง

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงหลังจากที่จัดการอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อยไปแล้ว บารอนกระโดดขึ้นเตียงมานอนข้างๆ กันอย่างรู้งานโดยไม่ต้องเรียก เห็นมันแล้วคิดถึงเจ้าของว่ะ ไม่รู้ว่าไปทำธุระอะไรกันตั้งแต่ตอนนี้

"บารอน... เจ้านายแกนี่ดูลึกลับเนอะ มีเรื่องปิดบังเราเยอะแยะแน่เลย"
ผมพูดก่อนจะเอื้อมือมือไปลูบตัวบารอนไปตามความยาวของลำตัว และเหมือนว่าฟังกันเข้าใจเจ้ายักษ์เลยส่งเสียงครางรับราวกับเห็นด้วย

"บู้ว ~"

"เห็นด้วยเหรอ ฮ่า นั่นสินะ แม้แต่หมายังดูออก"
ผมพึมพำก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วมองเพดานที่มีโคมไฟระย้าประดับอยู่ สมองกำลังเรียบเรียงความคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวตนของเซนและอุ่น แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนกลับหาข้อสรุปอะไรไม่ได้กับพฤติกรรมมีลับลมคมในของเขาทั้งสองเลย เกิดเป็นคนไม่ฉลาดก็แย่แบบนี้ล่ะ

ความเงียบและอุณหภูมิหนาวเหน็บของเครื่องปรับอากาศกำลังโรยตัวและย่างกรายเข้ามาสัมผัสผิว มือเรียวเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งมีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าไปเมื่อครู่ขึ้นมาดู เมื่อหน้าจอถูกปลดล็อกแล้วแอพพลิเคชั่นแชทสีเขียวมะนาวก็บ่งบอกชื่อของบุคคลนั้นต่อสายตาทันที 'เซน' ผมกดอ่านอย่างไม่ลังเลก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า หัวใจอุ่นวาบเหมือนมีใครกำลังโอบกอดมัน นี่สินะที่เขาเรียกว่า 'มีอิทธิพลต่อหัวใจ'

'ฝันดีครับเทวิน - เซน'

รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้าแม้เวลาจะล่วงเลยมาจวบจนเกือบครึ่งชั่วโมง ด้วยความที่นอนคนเดียวเลยทำให้ข่มตาหลับได้ยากเย็น อยากจะชวนหมาคุยแต่พบว่ามันชิ่งหลับไปก่อนอีก... ทิ้งกันเห็นๆ เลยเจ้าหมาทรยศ แต่เรื่องที่คิดว่าร้ายแรงที่สุดแล้วก็คือ ผมคิดจะอัญเชิญปีศาจในวันพรุ่งนี้เพราะทางสะดวก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นในครั้งนี้อาจจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล




--------------------------------------------------------

ตอนหน้าเทวินมีอุปกรณ์ครบมือแล้ว... คอยดูเนอะว่าจะทุลักทุเลขนาดไหน 55555


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
«ตอบ #41 เมื่อ02-11-2016 10:21:03 »

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

เซนไม่อยู่เทวินซนจนได้ซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
«ตอบ #42 เมื่อ02-11-2016 21:00:54 »

นั่นไง เซนไม่อยู่นี่หาเรื่องซนแล้วสินะ

ปล. อยากฟัดบารอนบ้างอ่าาาาาาา

ออฟไลน์ autopilot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
«ตอบ #43 เมื่อ03-11-2016 09:24:53 »

อยากอ่านต่อแล้วค่าาา มาต่อน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #44 เมื่อ04-11-2016 12:02:16 »

ตำราบทที่ 7



‘Can i invocate and conjure demons?’
ผมสามารถอ้อนวอนและอัญเชิญปีศาจได้หรือไม่?



การอยู่ในห้องที่กว้างขวางเพียงคนเดียวทำให้รู้สึกเงียบเหงาจนนอนไม่หลับ เสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของเจ้าหมายักษ์ที่นอนอยู่ข้างๆ ทำให้หลุดยิ้มได้ไม่ยาก อยากสะกิดปลุกให้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อนกัน แต่ก็กลัวว่าบารอนจะหงุดหงิดใส่แล้วเลิกญาติดีด้วย

มือเรียวควานหาโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงมากดเล่นฆ่าเวลา หวังว่าตัวเองจะง่วงและหลับไปเอง แต่นั่นทำให้รู้ว่าคิดผิดถนัด ยิ่งดึกยิ่งตาสว่างจนรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมา จะพิมพ์ข้อความส่งแชทไปหาใครก็กลัวจะโดนด่ากลับมาเมื่อพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว ไม่เคยนอนดึกขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ นี่ครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้แต่ไม่นับรวมช่วงปั่นงานนะ

"กินยานอนหลับดีปะวะ"
ผมพึมพำกับตัวเองแล้ววางโทรศัพท์มือถือไว้บนหน้าท้องก่อนจะจ้องมองเพดานที่มีโคมไฟระย้า มันเกิดแสงวิบวับเมื่อกระทบกับแสงของดวงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา สวยจนไม่สามารถละสายตาได้ แต่อะไรบางอย่างกลับดึงสติของผมกลับอย่างรวดเร็ว บารอนแทบจะขึ้นมาเกยกันทั้งตัว สงสัยมันจะหนาวเพราะอยู่นอกผ้าห่ม

"หนาวหรือไงไอ้ยักษ์"
ผมเอื้อมมือไปลูบขนมันเบาๆ แล้วตักสินใจลุกจากเตียงไปหยิบผ้าห่มอีกผืนมาคลุมตัวบารอน แต่แทนที่จะคลานกลับขึ้นเตียงเลยเลือกเดินไปที่ระเบียงห้องนอนและเปิดประตูกระจกออกไปรับสายลมเย็นที่พัดพาละอองฝนเล็กๆ มาด้วย

Rrrrr

เสียงริงโทนทำให้ผมสะดุ้งตกใจก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องและหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา พบว่าสายเรียกเข้าเป็นของอุ่น แต่เมื่อเหลือบมองเวลาที่มุมหน้าจอโทรศัพท์กลับพบว่าเวลานี้ตีหนึ่งกว่าเข้าไปแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอ

"ว่าไงมึง"
ผมกรอกเสียงลงไปด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มเปี่ยมก่อนจะนั่งลงข้างๆ บารอนที่ปรือตามองกันอยู่ พอจะมีเพื่อนก็ดันมีมากกว่าหนึ่งซะอย่างนั้น

'ยังไมนอนอีกเหรอ'
อุ่นถามกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมจับอารมณ์ของเขาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันมาทำไมโทรมาดึกดื่นขนาดนี้

"ถ้านอนแล้วจะรับสายมึงได้ไง แล้วทำไมโทรมาดึกขนาดนี้"
ผมเอื้อมมือไปลูบขนบารอนเล่นเพื่อฆ่าเวลารอคำตอบจากอุ่นที่เงียบไปชั่วอึดใจ ตอนแรกนึกว่าสายหลุดแต่ฟังดีๆ จะได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาดังลอดออกมาเป็นระยะๆ

"อุ่น... มึงเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็เงียบ"
ถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะต้องชะงักเมื่อหางตาเห็นเงาสีดำเคลื่อนไหวไปมา แต่เมื่อตั้งสติได้กลับพบว่าตัวเองลืมปิดประตูกระจกเลยทำให้ลมพัดผ้าม่านจนปลิวไปมา เฮ้อ บรรยากาศฝนตก วังเวงแบบนี้เหมือนจะมีผีโผล่ออกมาเลยว่ะ

'เปล่าๆ พอดีเพิ่งกลับมาจากไปส่งเซนทำธุระน่ะ ยังไม่ง่วงเลยโทรกวนมึง'
ปลายสายปรับน้ำเสียงให้ดูยียวนขึ้นเป็นพิเศษแต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของผมดีขึ้นตามเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะยังรู้สึกตะขิดตะขวงในใจแปลกๆ แต่ต้องเก็บความสงสัยไว้เมื่อลมพัดแรงขึ้นจนต้องรีบลุกไปปิดประตูกระจกโดยมีบารอนกระโดดลงจากเตียงเดินตามกันไม่ห่างเหมือนคอยคุ้มกันภัย... รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชาย

"มึงนี่นะ กวนประสาท"
ผมตอบกลับไปแต่มือยังพยายามจับผ้าม่านสีขาวเอาไว้เพราะไม่สามารถปิดประตูกระจกลงได้ในเมื่อมันยังพลิ้วไหวออกไปด้านนอก บารอนช่วยอีกแรงโดนการคาบแล้วดึงผ้าม่านเข้าไปในห้อง ทุลักทุเลจนต้องขอเวลานอกกันเลยทีเดียว

"อุ่นๆ แป๊ปนึงนะ"
ผมบอกก่อนจะรีบวางโทรศัพท์ลงที่ชั้นวางของใกล้ๆ แล้วจัดการปิดประตูกระจกให้เรียบร้อย บารอนหอนเบาๆ จนผมรู้สึกขนลุกขนชันไปหมด ความกลัวทำให้ต้องรีบคว้าโทรศัพท์แล้วสาวเท้าไปเปิดสวิตซ์ไฟทันที แสงสว่างวาบทำให้ใจชื้นขึ้น

"ฮัลโหล ยังอยู่ปะวะ"

'อยู่ หายไปไหนมา'

"เมื่อกี้ไปปิดประตูระเบียงมาเว้ย ลมพัดโคตรแรง ไอ้บารอนก็หอนอีก ขนลุกฉิบ"
ผมบอกก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว ถึงจะเปิดไฟแต่การอยู่คนเดียวยังไงๆ มันก็วังเวงอยู่แล้ว บารอนกระโดดขึ้นเตียงมานอนซบตักกันแล้วหลับตาพริ้มอีกครั้ง... สรุปว่าจะให้ผมนั่งเป็นหมอนแบบนี้ทั้งคืนเลยหรือไง

'กลัวผีเหรอมึง'
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะถามกลับมาทำให้ผมทำเสียงฟึดฟัดกลับไป ไม่ใช่ว่ากลัวแต่อดผวาไม่ได้ ก็ในชีวิตไม่เคยเจอผีสักครั้ง ถ้าโผล่มาให้เห็นตัวเป็นๆ ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงเหมือนกัน

"ไม่ได้กลัวเว้ย ไปนอนเลยไป อย่ามากวนตีนคนอื่น"

'โอ๋ๆ อยู่คนเดียวอย่าซนนะวิน... ถ้าเจ็บตัวขึ้นมาจะแย่นะ'
ดูเหมือนจะเตือนเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่น้ำเสียงเขากลับจริงจังจนผมไม่กล้าเอ่ยปากต่อว่าใดๆ

"โตแล้ว เลิกซนละ"
ผมตอบกลับไปก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพราะเมื่อยขา ก็ไอ้บารอนตัวเล็กซะที่ไหนกันล่ะ แทบจะขึ้นมานอนบนตักกันเต็มๆ อยู่แล้ว หมาอะไรขี้อ้อนฉิบหาย

'กูเตือนนะวิน อย่าทำอะไรแผลงๆ ตอนเซนไม่อยู่'
อุ่นพูดเหมือนจะรู้ความคิดของผม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเนื่องจากกังวลกับเรื่องที่ตั้งใจจะทำ สำเร็จหรือไม่สำเร็จนั่นไม่กลัวหรอก แต่ผลที่ตามมาหลังจากนั้นล่ะ... แต่มันเสี่ยงแค่ไหนก็ยังอยากลอง นี่คือข้อเสียงของบุคคลที่ชื่อเทวินอีกหนึ่งข้อ

"เออน่า เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย ไปๆ แยกย้ายกันนอนได้แล้ว"
ผมเอ่ยปัดๆ แล้ววางสายทันทีโดยไม่รอคำทักท้วงจากอุ่น หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น กลัวเหมือนกันนะว่าเขาจะจับได้ว่าแอบทำอะไรอันตรายเสี่ยงต่อชีวิต บารอนผงกหัวขึ้นมามองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะย้ายร่างกายใหญ่ๆ ไปนอนที่เดิม หางเป็นพวงปัดป่ายไปมาช้าๆ เหมือนเป็นสัญญาณให้ผมเข้านอนสักที

"โอเคๆ ปิดไฟเนอะ"
ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียงก่อนจะลุกขึ้นไปปิดสวิตซ์ไฟแล้วคลานกลับมาซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนหนา ดวงตากลมหลับพริ้มเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย เหมือนโดนอุ่นปล่อยยานอนหลับมาตามสายยังไงก็ไม่รู้

แสงแดดยามเช้าทำให้ผมปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก มือเรียวขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสให้ชัดเจนขึ้นอีกหนึ่งระดับ ปากบางอ้ากว้างและหาวออกมาจนรู้สึกปวดกรามไปหมด เมื่อเหลือบมองนาฬิกาติดผนังจึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้าเข้าไปแล้ว นั่นทำให้ผมรีบดีดตัวขึ้นจากเตียงและตรงดิ่งไปยังลิ้นชักใต้ทีวีทันที ถ้าหากว่าใครจำได้ เวลาดีที่ใช้อัญเชิญปีศาจยศราชาคือ 'เก้าโมงเช้าถึงเที่ยงวัน'

"ตื่นสายจนได้"
ผมพึมพำกับตัวเองขณะที่รื้ออุปกรณ์ต่างๆ ออกจากลิ้นชักอย่างทุลักทุเลโดยมีบารอนยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่เข้ามาวุ่นวายอย่างกับรู้กันว่าจะทำอะไร บนโต๊ะกระจกใสเต็มไปด้วยเทียนสีฟ้า ถ้วยเงิน ผืนผ้าวงเวทย์ ไม้กำยาน แหวนเงิน ผ้าลินินสีขาว แก้วไวน์ทำจากเงิน น้ำมัน และวงเวทย์ผนึกปีศาจ ถ้าจะให้อธิบายถึงความสำคัญของอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่โดนรื้อออกมาคงยาวเกินไป แต่สรุปง่ายๆ คือ ทุกอย่างสำคัญต่อการอัญเชิญปีศาจทั้งสิ้น

ผมจัดเรียงอุปกรณ์ทุกอย่างตามที่ได้รับการสอนมาจากคุณพ่อจีซัส กำยานถูกจุดขึ้นทันทีอย่างไม่รอช้า กลิ่นของมันค่อยๆ หอมขึ้นจนรู้สึกหนักอึ้งไปทุกส่วน แทนสีฟ้าสว่างไสวเมื่อถูกเปลวไฟเผาไหม้ ขายาวก้าวไปหยิบหนังสือเรียนมากางเปิดออกในหน้าที่ว่าด้วยเรื่องคาถาอัญเชิญซึ่งเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ได้รับการแปลมาอย่างเรียบร้อยในชั้นเรียน จริงๆ แล้วชั่งใจอยู่นานว่าควรวิ่งไปอาบน้ำก่อนดีไหม แต่กลัวจะไม่ทันการเลยตัดสินใจก้าวขากลับไปยืนกลางวงเวทแล้วหยิบแหวนเงินมาใส่ เมื่อทุกอย่างพร้อมใจพร้อมการอัญเชิญปีศาจจะเริ่มตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะดูดีกว่านี้ถ้าไม่ได้ใส่เสื้อบอลกางเกงบอลสีแดง

"ข้าขออ้อนวอนและอัญเชิญราชาอัสโมดายผู้มาพร้อมกับอาวุธอันทรงพลังจากอำนาจอันทรงเกียรติ..."
ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไปเรื่อยๆ แบบไม่มีขาดตอนทั้งๆ ที่ในใจเต็มไปด้วยความกังวลแต่พยายามไม่แสดงออก ความตื่นเต้นและความกลัวกำลังตีรวนไปทั้งร่างกาย หากให้หยุดตอนนี้คงทำไม่ได้

"ผู้ซึ่งทุกสรรพสิ่งเชื่อฟังครั้นเมื่อพระองค์สดับฟัง ธาตุทั้งหลายจักถูกลบล้าง อากาศจักสั่นคลอน ทะเลจักเป็นสีดำ ไฟจักมอดไหม้ พื้นดินจักสั่นไหว..."
ผมท่องคาถาอัญเชิญบทแรกไปจนจบแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเงียบสงบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศที่โดนเปิดทิ้งไว้ภายในห้องนั่งเล่นก่อนจะรื้ออุปกรณ์ออกมา หัวคิ้วที่เคยขมวดแน่นคลายออกพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ จริงๆ แล้วตื่นเต้นจนกลัวไปหมด มือไม้ที่ถือหนังสือก็สั่นจนแทบจะทำหล่นไปหลายรอบ

"เรียกยากเรียกเย็นวะ"
ผมบ่นพึมพำก่อนจะตั้งสมาธิและท่องคาถาอัญเชิญบทเดิมซ้ำอีกรอบด้วยความตั้งใจ แต่พอถึงช่วงหนึ่งของประโยคกลับสะอึกทำให้ติดๆ ขัดๆ สุดท้ายก็พยายามท่องต่อจนจบ พลันพื้นห้องสั่นไหวเบาๆ แล้วมีแสงปรากฏขึ้นที่ด้านหน้า อะไรบางอย่างกำลังผุดขึ้นมากลางวงเวทย์อีกอันอย่างเชื่องช้า จากภาพเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ดวงตากลมเบิกค้างเพราะไม่คิดว่าปีศาจตรงหน้าจะมาในรูปแบบน่าเกลียดน่ากลัวได้ขนาดนี้

"เฮ้ย! ทะ ทำไมออกมาเป็นแบบนี้"
เสียงตะกุกตะกักดังลอดออกมาจากริมฝีปากในขณะที่มือไม้สั่นเทาไปหมด ยอมรับว่ากลัวมากกว่าตื่นเต้นเพราะระยะห่างระหว่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตร หัวเต้นเต้นรัวแรงเมื่อหัวปีศาจทั้งสามใช้สายตาจ้องตรงมาหากันอย่างสนอกสนใจ ผมแทบจะลืมหายใจแต่ขั้นตอนต่อไปกลับผุดขึ้นมาในหัวทันที

"Art Thou Asmoday?" อาร์ตเธาว์อัสโมดายมีความหมายตรงกับคุณคืออัสโมดายใช่หรือไม่ เป็นการถามเพื่อให้ปีศาจอย่างเขาทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ความเงียบกำลังโรยตัวลงมา ทำไม่เงียบล่ะ... เงียบจนผมเริ่มหวั่นใจแล้ว

"Yes เจ้าพูดภาษาของเจ้าเถอะ เราเข้าใจ"
ผมอึ้งเมื่อได้ยินประโยคภาษาไทยหลุดออกจากปากของเขา จริงๆ แล้วตอนอัญเชิญผมก็ใช้ภาษาบ้านเกิดของตัวเอง... ลืมไปเลยว่าปีศาจมีความสามารถในการสื่อสารทุกภาษาในจักรวาลนี้ แต่ความกล้าหาญที่จะมองหน้า... เอ่อ จะเรียกว่าอะไรดี ก็ราชาอัสโมดายมีตั้งสามหัว แกะ คน กระทิง มังกรที่เป็นสัตว์ขี่ของเขาก็ดูน่าเกรงขาม แววตาสีเหลืองแวววาวของมันฉายความขี้เล่นคล้ายกับอุ่นไม่มีผิด

"เอ่อ คะ ครับ แต่ว่าทำไมท่าน เอ่อ เรียกแบบนี้ได้ไหม"
ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตากลมมองจรดเท้าของตัวเอง ไม่กล้ามองภาพลักษณ์ตรงหน้าจริงๆ มันพิลึกพิลั่นจนคิดว่าคืนนี้คงนอนฝันเป็นแน่

"เรียกชื่อก็พอ แต่ก่อนที่เจ้าจะถามอะไรช่วยเงยหน้ามองกันได้หรือไม่ ท่าทางแบบนั้นเสียมารยาทที่สุด"
น้ำเสียงขรึมแต่ฟังดูแล้วคุ้นเคยในทีดังขึ้น ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นมังกรตัวนั้นมองจ้องเขม็งราวกับจะพุ่งเข้ามาหา ใบหน้าค่อยๆ เงยขึ้นตามคำทักท้วงของราชาปีศาจจนสบสายตากัน... น่ากลัวเป็นบ้า

"อะ เอ่อ จะให้ผมมองตะ ตรงไหนดีครับ"
ที่ถามออกไปแบบนั้นคือไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะโฟกัสที่หัวไหนดี เพราะไม่ว่าจะใบหน้าแบบไหนก็ล้วนน่ากลัวด้วยกันทั้งสิ้น

"หึ เจ้ากวนประสาทเก่งใช่เล่นเลยนะ"

"ปะ เปล่านะครับ ผมไม่รู้จริงๆ"
ผมรีบละล่ำละลักแก้ตัวทันทีเพราะกลัวปีศาจตรงหน้าจะโกรธแล้วคิดฆ่ากันขึ้นมา ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำอะไรเมื่อไหร่

"เจ้าถามคำถามของเจ้ามา"
ปีศาจบอกก่อนจะก้าวขาคล้ายกับห่านออกวงเวทย์สีทองสว่างตรงหน้า ร่างกายอัปลักษณ์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยท่วงท่าสบาย มังกรตัวนั้นเมื่อเป็นอิสระจากผู้เป็นนายก็ค่อยเดินวนไปวนมารอบตัวของผมจนรู้สึกหวาดระแวงหมุนตามมันไปด้วย

"เอ่อ... คำตอบต้องแลกกับบรรณาการไหมครับ?"
ถึงจะกลัวปีศาจตรงหน้ามากแค่ไหนแต่เรื่องผลประโยชน์ซึ่งกันและกันต้องถามให้ละเอียดเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดผมตั้งคำถามไปแล้วเขาต้องการบรรณาการเป็นชีวิตของผมจะทำยังไงล่ะ...

"ไม่ต้อง ข้าให้เจ้าฟรีๆ หนึ่งคำถาม"
ศัพท์วัยรุ่นก็มา... บางทีผมคงคิดมากไปว่าต้องใช้ภาษาย้อนไปสักห้าร้อยปีหรือเปล่าถึงจะสื่อสารกันรู้เรื่อง

"เอ่อ... งั้นขอถามว่า ทำไมอัสโมดายถึงไม่ปรากฏตัวในร่างมนุษย์ล่ะครับ ในบทคาถาอัญเชิญผมก็ท่องไปแล้วนะ"
ผมเหลือบสายตามองเขาทั้งๆ ที่ตัวเองไม่กล้าก้าวออกจากวงเวทย์ป้องกัน เจ้ามังกรก็เดินป้วนเปี้ยนไปมาจนระแวงไม่เป็นอันทำอะไร เริ่มเวียนหัวแล้ว ทำไมต้องเดินวนเป็นวงกลมแบบนี้ด้วยวะเนี่ย บวกกับกลิ่นกำยานที่หอมจนรู้สึกเอียนยิ่งทำให้รู้สึกมึนหนักขึ้นไปอีก สภาพร่างกายที่ผ่านการโดนละอองฝนมาเมื่อวานก็ดูจะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่

"เจ้าจะหมุนตัวตามมันทำไมหืม ไม่เวียนหัวหรือยังไง"
แทนที่เขาจะตอบคำถามกันกลับต่อว่าเรื่องที่ผมหมุนตัวตามเจ้ามังกรตัวเขื่องซะอย่างนั้น ก็ไม่น่าไว้ใจนี่หว่า ดูดวงตาสีเหลืองวาบวับที่มองกันมาสิเหมือนอยากเขมือบเต็มทน ถ้าเผลอแม้แต่เสี้ยววินาทีอาจจะลงไปนอนเล่นในท้องมังกรก็ได้

"ก็... น่ากลัว อัสโมดายบอกให้มันหยุดเดินวนรอบตัวผมได้ไหม"
ผมร้องขอเสียงเบาหวิว แต่เขาไม่ตอบอะไรและทำเพียงแค่ดีดนิ้วเบาๆ เจ้ามังกรยักษ์หยุดชะงักอยู่กับที่ก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาราวกับหายตัวได้ ลมหายใจร้อนๆถูพ่นออกมาด้วยความอุ่นใจ รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อความระแวงส่วนหนึ่งหายไป ผมหันกลับมาสบสายตากับราชาปีศาจอีกครั้งเพื่อรอคำตอบจากคำถามที่ผมเอ่ยไปก่อนหน้านี้

"ที่เราปรากฏตัวร่างนี้เพราะเจ้าท่องคาถาพลาดในช่วง 'ขอท่านปรากฏกายเบื้องหน้าข้าภายในวงเวทย์นี้ ในร่างมะ...' แล้วเจ้าก็สะอึก แถมไอออกมา ดีเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ออกมาในร่าง มะนาว มะพร้าว หรืออะไรก็ช่างที่เจ้าท่องเพี้ยนไป"
หลังจากได้คำตอบผมถึงกับเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นขำ ไม่นึกว่าปีศาจอย่างราชาอัสโมดายจะมีอารมณ์ขันแบบนั้น ดูท่าทางเขาใจดีอย่างที่หนังสือบอกไว้จริงๆ

"ถ้าหลุดขำ ข้าจะเก็บบรรณาการจากเจ้า"
ดวงตาสีแดงก่ำของทั้งสามหัวมองจ้องมาทำให้ผมเปลี่ยนอารมณ์แทบจะทันทีจากกลั้นขำกลายเป็นจะร้องไห้ เริ่มเห็นความโหดของปีศาจขึ้นมาแล้วเชียว หัวใจจะวาย

"ขอโทษครับ"
ผมกล่าวเสียงเบาก่อนจะโค้งตัวให้เล็กน้อย เขาส่งเสียงหึเบาๆ เหมือนเด็กโดนขัดใจก้อนที่ร่างนั้นจะขยับลุกขึ้นและเดินมาหยุดตรงหน้าวงเวทย์ป้องกันของผม จะทำอะไรกันหรือเปล่า และไม่มีใครรู้ว่าวงเวทย์นี้มีความสามารถในการป้องกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นหรือเปล่า ยังไม่อยากตายนะเว้ย ยังไม่รู้ความรู้สึกจริงๆ ของเซนเลย

"เจ้าอัญเชิญเรามามีความปรารถนาในสิ่งใด โปรดเอ่ยขอ"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังกี่ครั้งก็รู้สึกคุ้นเคยแต่นึกไม่ออกสักทีว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหนก่อนหน้านี้ ผมชะงักไปเล็กน้อยเพราะเหตุผลที่อัญเชิญปีศาจออกมาจริงๆ ก็คืออยากเห็นเขาแบบตัวเป็นๆ ว่าจะมีรูปร่างเป็นแบบไหนและได้คำตอบแล้วว่าหน้าตาเหมือนในหนังสือเป๊ะๆ คือไม่ได้ต้องการแบบนี้เว้ย น่ากลัวเกินไป!

"คือว่า..."
ความฉิบหายมาเยือนและไม่มีท่าทีว่าจะกลับออกไปง่ายๆ ในเมื่อสมองกลวงโบ๋ไร้ซึ่งความคิดใดๆ ทั้งสิ้น พยายามเค้นความคิดอย่างหนักจนหัวแทบระเบิดก็คิดไม่ออกสักที ตายแน่ๆ ยิ่งโดยดวงตาสีแดงกดดันยิ่งตันกันไปใหญ่ กลัวนะเว้ยอย่าขยับเข้ามาใกล้นักได้ไหม... แต่กลิ่นกายของราชาอัสโมดายมันเป็นกลิ่นมินท์ที่ผมหลงใหล แว๊บหนึ่งแอบคิดว่าเขาคือเซนหรือเปล่า แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก เพื่อนสนิทก็แค่มนุษย์รูปหล่อคนหนึ่งเท่านั้นเอง

"จะคืออีกนานแค่ไหน เราจะได้หลับรอ"
อีกแล้ว ขำขันอีกแล้วชีวิต แล้วแบบนี้จะให้กลั้นหัวเราะยังไงไหววะ ทำไม่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนแกล้ง บรรยากาศโคตรเหมือนตอนอยู่กับเซนและอุ่นยังไงไม่รู้ แล้วนี่บารอนจะนอนหมอบอยู่หน้าประตูห้องนอนอีกนานไหมวะ ถ้าเป็นปกติหมาเห็นอะไรที่ดูแปลกประหลาดแบบนี้ต้องเห่าสิ หรือว่าบารอนมองไม่เห็นเขากันนะ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย กว่าจะดึงสติกลับมาสู่โลกปัจจุบันได้ก็ตอนที่โดนเสียงทุ้มนั่นทักขึ้น

"เจ้าเป็นคนคิดไม่ตกหรือ เอาแต่เงียบ"
โดนไปอีกหนึ่งดอก บอกเลยว่ายังกลัวๆ ปีศาจตนนี้อยู่ ถึงจะดูขี้เล่นและเป็นกันเองแค่ไหนแต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับดูน่าเกรงขามอย่างมาก แต่ก่อนจะได้ตอบอะไร บารอนที่เอาแต่นิ่งเงียบมานานอยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนและเห่าแบบจะเป็นจะตาย และนั่นก็คือเสียงสุดท้ายที่ได้ยินขณะที่ประคองสติอยู่

ผมตื่นมาอีกครั้งเพราะโดนเสียงพูดคุยของใครบางคนดังขึ้น เปลือกตาขยับเปิดออกอย่างยากลำบากเพราะมันหนักอึ้งไปหมด ความรู้สึกปวดหัวกำลังเล่นงานกันอย่างหนักจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ ทำไมรู้สึกแย่ขนาดนี้วะ

"ตื่นได้สักที"
น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับแรงที่ตบกระทบลงมาบนแก้มเบาๆ หลายๆ ครั้งเหมือนพยายามเรียกสติกัน ผมปรือตามองเจ้าของมือก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้

"มะ มาได้ยังไง"
ผมละล่ำละลักถามเซนที่มองมาด้วยดวงตาดุๆ เขาถอนหายใจแล้วประคองกันให้นั่งพิงหัวเตียงอย่างอ่อนโยน

"เป็นห่วงมึงเลยกลับมาดู... หึ เป็นไงล่ะ เล่นซนจนได้"
เซนหัวเราะหึออกมาแล้วผลักหัวกันไม่แรงมากนัก ผมก้มหน้าลงมองตักตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ในตอนนั้นที่สติดับวูบลงอาจจะเป็นเพราะพิษไข้ที่เริ่มก่อตัวขึ้นก็เป็นได้ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าบนหน้าผากจะมีแผ่นเจลลดไข้แปะอยู่ด้วย

"ก็... ขอโทษ แต่ราชาอัสโมดายดูท่าทางใจดีนะ"
ผมพูดเสียงอ้อมแอ้มไม่กล้ายืนยันหนักแน่นอะไรมากนักเพราะโดนเซนมองด้วยสายตาตำหนิอยู่ตลอดเวลา และผมเพิ่งเห็นว่าอุ่นนั่งตบตีกับบารอนอยู่ปลายเตียง ตัวหนึ่งแยกเขี้ยวขู่ ส่วนอีกคนก็เอาของเล่นแหย่ เจริญจริงๆ คนกับหมาทะเลาะกัน

"ไว้ใจปีศาจขนาดนั้นเลยหรือยังไง"
เขาถามกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้เลยทำให้ผมคลายมือที่กำผ้าปูที่นอนเอาไว้ลง ถามว่าไว้ใจไหม ตอบได้เลยว่าไม่ไว้ใจ แต่ราชาอัสโมดายมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกวางใจและเชื่อว่าเขาจะไม่ทำอันตรายอะไรให้กัน ไม่รู้จะตอบออกไปยังไงให้เซนไม่โมโหเลยเลือกที่จะเงียบแล้วตั้งคำถามขึ้นใหม่ซะเอง

"แต่ว่าก่อนจะเป็นลมกูยังไม่ได้ท่องคาถาเชิญกลับเลย"

"กูจัดการเรียบร้อยแล้ว ควรเป็นห่วงตัวเองก่อนไหม ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้"
เซนว่าก่อนจะดีดหน้าผากกันตรงตำแหน่งที่มีเจลลดไข้แปะไว้ มันไม่ได้เจ็บเลยด้วยซ้ำและรู้ว่าเขาก็ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายกัน ผมยู่ปากเข้าหากันเล็กน้อยแล้วหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นสายตาตัดพ้อนั่น แค่โดนดุตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวมากพออยู่แล้ว

"อือ บ่นเป็นพ่อเลยนะ"

"เป็นพ่อได้นะ แต่เป็นพ่อทูนหัวได้ปะครับ"
เซนพูดเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุก แต่ผมกลับตกใจแล้วเบิกตากว้าง หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบจะหลุดจากอก อยากจะถามเหลือเกินว่าอยากเป็นพ่อทูนหัวของผมจริงๆ หรือยังไง ทำไมชอบเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้ ส่วนอุ่นชะงักมือที่แกว่งของเล่นไปมาก่อนจะส่งสายตาล้อเลียนมาให้กัน ทำไมดูมีลับลมคมในตลอดวะสองคนนี้ คิดแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว ฮึ่ย

"ถ้าให้เป็นจริงๆ มึงจะเป็นไหมล่ะ เลิกพูดเล่นได้แล้ว"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะไถลตัวลงไปนอนบนเตียงเหมือนเดิมก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ เซนไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอย่างที่ได้คาดเดาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ บารอนตามเจ้านายมันไปติดๆ เลยเหลือแค่อุ่นที่ขยับขึ้นมานั่งข้างๆ กัน

"มึงอย่าไปใส่ใจคำพูดของเซนมากเลย นอนพักเหอะ"
อุ่นเอื้อมมือมาลูบหัวกันอย่างแผ่วเบา ผมรับสัมผัสนั้นเงียบๆ โดยไม่ปัดป้องใดๆ แต่จะให้ทำตามที่ได้ฟังมามันก็ยาก เพราะความหวังที่อยากให้เซนหันมารักกันมีมากเกินไป ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าไม่อาจถอยหลังกลับได้ ถึงจะรู้ตัวว่าอุ่นอาจจะมีใจให้ผมก็ตาม แต่เขาไม่บอกออกมาตรงๆ จะให้แน่ใจเต็มร้อยคงไม่ใช่ บางทีก็คิดว่าเขาอาจเพียงแค่อ่อนโยนกับทุกคนแบบนี้ก็ได้

"ถ้าทำได้ง่ายๆ อย่างที่มึงพูดก็ดีนะอุ่น"
ผมบอกก่อนจะหลับตาลงเพื่อหลีกหนีสายตาเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนสนิท ไม่อยากให้ใครรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนอ่อนแอมากแค่ไหน มืออุ่นๆ ยังคงลูบหัวกันอย่างแผ่วเบาอย่างปลอบประโลม

"สักวันมันจะง่าย เชื่อดิ"

"ขอถามอะไรสักอย่างได้ปะอุ่น"

"ว่ามา"

"เซนเคยมีแฟนปะ หรือว่าเคยรักใครไหม"
ผมถามก่อนจะลืมตาขึ้นมองอีกคนที่ตอนนี้ชะงักมือไป แต่เพียงครู่เดียวก็เริ่มขยับเหมือนเดิม รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อ เขามีเสน่ห์แต่ไม่น่าดึงดูดเท่าเซน

"ไม่เคย เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้รักใคร"
อุ่นตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผมไม่เข้าใจว่าใครกันที่สามารถบังคับหัวใจและความรู้สึกของคนอื่นได้ถึงขนาดนี้ มันแย่นะ... แย่มากๆ ที่อยากทำอะไรแต่กลับโดนห้ามไว้ทั้งๆ ที่เรามีสิทธิ์ ผมเงยหน้ามองคนที่กำลังถือถ้วยข้าวต้มร้อนๆ เข้ามาในห้อง ที่หายไปคือไปเตรียมอาหารให้อย่างนั้นเหรอ ควรดีใจสินะ




มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2016 12:27:20 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #45 เมื่อ04-11-2016 12:02:51 »

"ออกไปไกลๆ"
มาถึงก็ไล่อุ่นซะอย่างนั้น แถมยังส่งสายตาดุๆ มาให้กันอีก ผมทำอะไรผิดล่ะ แค่เพื่อนเข้ามาปลอบก็ไม่ได้หรือยังไง ดูท่าทางจะหวงก้าง แต่เหตุผลที่หวงไม่มีใครรู้หรอก

"โห... ใกล้ไม่ได้เลยหรือไงครับคุณชาย"
อุ่นพูดน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะแกล้งก้มหน้าลงมาใกล้กัน เซนวางถ้วยข้าวต้มลงและใช้มือบีบไหล่อุ่นไว้แน่นราวกับย้ำคำสั่งเดิม

"โอย ไปแล้วๆ ขี้หวงจริงนะ"
อุ่นเบ้หน้าก่อนจะปัดมือเซนทิ้งแล้วเดินออกไปจากห้อง ได้ยินเสียงบารอนขู่อีกแล้ว... หนึ่งคนกับหนึ่งตัวอยู่ด้วยกันทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีให้ตายสิ ไม่รู้ว่าเป็นอริกันมาแต่ชาติปางไหน

"ทำไมต้องไล่อุ่นด้วยวะ"
ผมถามด้วยความสงสัยก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นพิงหัวเตียงเพื่อกินอาหารที่เซนอุตส่าห์ยกมาให้กัน เขายักไหล่กวนๆ และไม่ยอมตอบอะไรเหมือนอย่างเคย ถ้าให้นับเรื่องน่าขัดใจที่ไม่ได้คำตอบจากเขาคงเป็นร้อยๆ ครั้งเห็นจะได้

"กินข้าวเถอะ มื้อเช้ารวบมื้อเที่ยงเลยนะ"
เขาว่าก่อนจะยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจับช้อนคนไปมาแล้วตักข้าวเป่าให้กันเรียบร้อย ผมเอื้อมมือจะไปจับช้อนกินเองแต่กลับโดนส่งสายตาดุๆ มาห้ามกันไว้ ตกลงจะให้กินหรือไม่ให้กินกันแน่

"เดี๋ยวป้อน อ้าปากกินก็พอ"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วส่งช้อนมาจ่อปากกัน ผมเหล่มองเซนเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วยอมอ้าปากรับของกินแต่โดยดี ถ้าขืนเถียงกันไปมาคงได้ทะเลาะกันแน่ๆ เพราะยังมีคดีติดตัวเลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

"อร่อยไหม"

"อือ อร่อยดี ซื้อมาจากที่ไหน"
ผมก่อนก่อนจะอ้าปากรับข้าวต้มอีกคำเข้าไป รสชาติดีจนอยากกินต่อเรื่อยๆ เนื้อหมูหอมเครื่องเทศเนื้อเด้งๆ เคี้ยวแล้วนุ่มละมุนในปาก ยอมรับว่าโคตรฟินกับอาหารมื้อนี้ทั้งคนป้อนทั้งรสชาติ

"ไม่ได้ซื้อ กูทำเอง"
เซนยกยิ้มมุมปากก่อนจะยักคิ้วให้กัน ผมถึงกับสำลักจนต้องรีบคว้าแก้วน้ำมาดื่มทันที ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างเซนจะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ และไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาทำเป็น มหัศจรรย์เกินไปปะวะ

"จริงดิ ไม่ได้โกหกแน่เหรอ"
ผมถามย้ำอย่างไม่เชื่อ เซนผลักหัวกันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้ายืนยันไปด้วย ต่อไปคงไม่ต้องพยายามทำอาหารให้กินแล้วก็เจ้าตัวเขาเก่งขนาดนี้นี่นา

"เออ กำลังคิดว่าไม่อยากพยายามทำอาหารแล้วใช่ไหม"
เขาถามก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกระปุกยาพาราเซตามอลมาโยนใส่ตักกัน ผมรีบคว้ามาแล้วเปิดฝาเทมัยออกมาไว้ในมือก่อนจะเก็บกระปุกไว้หัวเตียง

"จะรู้ทันกันเกินไปแล้ว"
ผมบ่นอุบอิบก่อนจะรับข้าวต้มมากินอีกจนหมดถ้วยแล้วกินน้ำกินยาตามลงไปอย่างว่าง่าย เซนยกถ้วยไปเก็บแล้วเดินกลับเข้ามาหากันอีกรอบพร้อมกับเจลลดไข้แผ่นใหม่

"แกะออกมาแล้วติดแผ่นใหม่เข้าไป"
เซนสั่งกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะส่งแผ่นเจลลดไข้ในมือให้กันแล้วเดินไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อุ่นขึ้น ผมทำตามที่เข้าบอกเสร็จเรียบร้อยและไอเป็นการปิดท้ายจนโดนดวงตาสีเทาหันมาจ้องมองกัน... ดูท่าทางอาจจะโดนลากไปโรงพยาบาลหรือคลีนิกเร็วๆ นี้แน่นอน

"ถ้านอนพักแล้วยังไม่ดีขึ้น ต้องไปโรงพยาบาล"
เขาพูดในขณะที่ยืนมองผมอยู่ที่ปลายเตียง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนเป็นเรื่องเครียด ก็แค่ป่วยทำไมต้องดุขนาดนี้ด้วย ไม่เข้าใจเลย

"แค่ไปร้านยาไม่ได้เหรอวะ"
ผมงอแงตามประสาคนป่วย แต่เซนไม่ได้เห็นใจกันเลยสักนิดเพราะเจ้าตัวเหลือบหางตามองกันเท่านั้นก่อนจะเดินไปหยิบ Mac Book ของตัวเองมานั่งทำงานบนเตียงข้างๆ กัน โดยมีผมนอนมองเขาตาแป๋ว คือ... ไม่อยากนอนเพราะไม่ได้เจอเซนมาหลายชั่วโมง

"ทำไมไม่นอน มองกันอยู่ได้"
เขาละสายตาจากหน้าจอมามองกันครู่หนึ่งแล้วกลับไปสนใจมันต่อ ผมกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะตอบคำถามกลับไปอย่างไม่ปิดบัง

"ยังไม่อยากนอน แล้วนี่ไม่ไปทำธุระแล้วเหรอ"

"หึ ไม่ เดี๋ยวมึงซนขึ้นมาอีก"

"โห กูไม่ใช่เด็กแล้วนะเซน"

"ยิ่งกว่าเด็กอีกมึงน่ะ"
ว่ากันแบบนั้นแต่ก็ยังใจดีเอื้อมมือมาลูบหัวกันอย่างเอ็นดู ผมเลือกที่จะเงียบและหลับตาลงก่อนทุกอย่างจะดับวูบเข้าสู่ห้วงนิทราสีดำ

ในความฝันมีหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณทุ่งหญ้าเขียวขจีแสนกว้างใหญ่ สายลมอ่อนโชยพัดอยู่ครู่หนึ่งและนำพาสิ่งกีดขวางออกไปจากสายตา พลันปรากฏภาพเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มผิวสีแทนในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรบนสวรรค์ กลางหลังประดับด้วยปีกสีขาวบริสุทธิ์หกปีก นั่นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวทำให้ผมก้าวย่างอย่างช้าๆ ไปหาเขาผู้นั้น หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นทุกขณะที่ระยะห่างระหว่างเราเหลือน้อยลงทุกทีๆ แต่เมื่อครั้นจะถึงตัวเขากลับมีดอกกุหลาบสีแดงเต็มไปด้วยหนามผุดขึ้นมาจากผืนดินกั้นเราออกจากกัน ผมถอยหลังด้วยความตกใจไปหลายก้าว ส่วนเขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

"คุณเป็นใครเหรอ"
ผมถามออกไปน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังถามตัวเอง ดวงตากลมจ้องมองดวงจาสีทองพิสุทธิ์นั่นอย่างหลงใหล เขาคลี่ยิ้มแต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา แขนเรียวยาวยกขึ้นโบกไปในอากาศ แค่เพียงชั่วพริบตาบรรยากาศรอบข้างกลับหนักอึ้ง และภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากท้องฟ้าสีสดใส ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตากลายเป็น พื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยสีแดงและสีดำสลับกันไป อุณหภูมิร้อนจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามผิวหนัง ราวกับกำลังหลอมละลายร่างกายนี้ ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นขุมนรก

"ที่นี่... นรกงั้นเหรอ"
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว อากาศที่ใช้หายใจนั้นไม่ได้สะอาดเลยสักนิด ยิ่งนานไปยิ่งรู้สึกอึดอัดแทบจะตายตรงนี้ แต่คนตรงหน้ากลับยื่นมือมาช่วยกัน ผมมองเข้าด้วยดวงตาเบิกกว้างเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาสีแดงก่ำ ปีกด้านหลังกลายเป็นสีดำทะมึน เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูอลังการแต่กลับน้อยชิ้นจนน่าใจหาย อกเปลือยเปล่ามีโซ่ทองพาดทับซ้ายขวา กางเกงสีขาวบริสุทธิ์มีทรงพองๆ ประดับด้วยอัญมณีหรูหรา ผมสีดำแวววาวถูกถักเปียยาวทิ้งไว้ด้านหลังส่วนด้านหน้าหากมองผิวเผินจะคล้ายทรงผมอันเดอร์คัตทั่วไป ใบหูประดับไปด้วยห่วงมากมาย โดยรวมแล้วช่างมีเสน่ห์เหลือล้นอย่างจะทานทน

ผมจับมือของเขาไว้และได้รู้ตอนนั้นว่า... มันร้อนยิ่งกว่าถูกไฟเผาไหม้ซะอีก แต่ไม่ลำบากที่จะเกาะกุมมือนั้นสักเท่าไหร่

"นามของข้าคือ... อัสโมดาย"

แล้วความฝันทุกอย่างก็จางสลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วผมไม่สามารถจำอะไรได้เลย




------------------------------------------------


เล่นซนจนได้เรื่องเลยไหมล่ะ.... โดนเซนดุเลย
แต่เซนมาได้ทันเวลาได้ยังไงหนอ หึหึ

อัสโมดายหล่อนะ เผลอๆหล่อกว่าเซนอีก มีความแบดสุดๆ อยากได้ #เดี๋ยวๆ

ปล. อ่านให้สนุกน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2016 12:23:15 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #46 เมื่อ04-11-2016 12:09:25 »

 :L1:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #47 เมื่อ04-11-2016 12:19:14 »

แอบสงสารความสัมพันธ์ของเซนกับแอสโมดาย แอบรู้สึกว่าเป็นตัวตนเดียวกัน

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #48 เมื่อ04-11-2016 15:19:00 »

บารอนไม่โวยวายเพราะรู้จักอัสโมดายหรือเปล่า
คืออาการมันไม่ใช่ความหวาดกลัวแต่เหมือนหมอบดูเจ้าของเล่นอะไรกันเฉยๆ เลยยังคิดว่าเซน=อัสโมดาย
แต่ก็มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้คิดว่า หรือจะไม่ใช่ เดาว่าวันที่เซนอายุ20คงจะได้คำตอบ ใช่ปะคะ^^  :hao3:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #49 เมื่อ04-11-2016 19:59:41 »

เซน เป็นอัสโมดายเถอะ เค้าขอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
« ตอบ #49 เมื่อ: 04-11-2016 19:59:41 »





ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #50 เมื่อ04-11-2016 21:38:36 »

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ QmanBaaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #51 เมื่อ05-11-2016 12:13:28 »

โอย ลุ้นมากๆ เลยค่ะ
อ่านเพลิน สนุกมากค่ะ
ติดตามอย่างใจจดใจจ่อ :katai2-1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #52 เมื่อ06-11-2016 12:57:22 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ keekie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
«ตอบ #53 เมื่อ06-11-2016 12:59:28 »

thnak a lot

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
«ตอบ #54 เมื่อ07-11-2016 12:05:19 »

ตำราบทที่ 8


‘I dream of you’
ผมฝันถึงคุณ



ท้องฟ้าสลัวยามตีห้าเกือบหกโมงเช้าทำให้ผมขยี้ตาเล็กน้อยหลังจากหลับอย่างยาวนานมาเกือบหกชั่วโมง สายตาเหลือบไปเห็นคนที่นอนอยู่ข้างกันตลอดทั้งคืน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าแทบจะทันที ยามหลับเซนดูเป็นเด็กหนุ่มวัยย่างยี่สิบปีธรรมดาทั่วไปไร้ซึ่งความเย็นชา หรือขี้แกล้ง จากที่เคยคิดหักห้ามตัวเองไม่ให้ถลำลึก สุดท้ายไม่อาจทำได้และปล่อยใจจนกลายเป็นความชอบมากขึ้นทุกทีๆ

"มองกันขนาดนั้น จูบเลยไหม"
อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นจนผมผงะถอยหลังทันที ใครจะคิดว่าคนที่นอนหายใจสม่ำเสมอจะรู้สึกตัวแล้ว ดวงตาสีเทายังปิดสนิทอยู่เลยทำไมถึงสัมผัสได้ไวขนาดนั้น

"บ้า ใครเขาอยากจูบมึง"
ผมพูดเสียงเบาหวิวและพลิกตัวนอนหงายมองเพดานแทนในขณะที่เซนเปิดดวงตาสีเทาขึ้นมองกัน ยอมรับว่าบรรยากาศตอนนี้ชวนใจหวิวใช่เล่น ถึงจะมองอะไรไม่ชัดแต่เสียงหัวใจกลับดังชัดเจน แพ้เขาทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นอะไร ให้ตายเถอะ

"ก็มึงไม่ใช่หรือไง"
เซนขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วแกล้งพาดแขนยาวลงบนหน้าท้อง ผมขยับตัวหนีแต่ก็โดนเขาใช้แรงรั้งเอาไว้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะอ้อมกอดนั้นก็อุ่นดี ใจง่ายจังเนอะ

"โมเมฉิบหาย หลงตัวเองมากว่างั้น"
ผมเบ้ปากใส่เขาทั้งๆ ที่ยังคงมองเพดานอยู่แบบนั้น ใครจะกล้าหันหน้าไปหาล่ะ ในเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดคอกัน มันใกล้จนผมเผลอหยุดหายใจเลยทีเดียว

"ไม่เคยหลงตัวเอง มีแต่คนอื่นมาหลง"
พูดได้อย่างหน้าตาเฉยแถมยังกดจมูกลงบนซอกคอกันก่อนจะผละออกไปแล้วเขาก็ลงจากเตียงไปซะเฉยๆ ปล่อยให้ผมนอนแก้มร้อนใจเค้นตึกตักอยู่เพียงลำพัง บ้าเอ้ย อีกแล้วนะ วันไหนทนไม่ไหวจับปล้ำแม่ง

ผมลุกจากเตียงแล้วขยี้ผมจนยุ่งเหยิงตั้งแต่วันที่ป่วยจนถึงวันนี้ล่วงเลยมาสามวันแล้วที่ไม่ได้สระผม ใบหน้าเหยเกอย่างหนักเมื่อมือเปื้อนน้ำมันจากบนหัว สกปรกและเน่าแสนเน่าแต่เซนไม่บ่นสักคำได้ยังไงกัน พอคิดได้แบบนั้นก็หลุดยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว จนโดนคนที่ยืนพิงกรอบประตูทักขึ้นเสียงทะเล้น

"นั่งยิ้มกับลมหรือไง ไปอาบน้ำสระผมได้แล้ว โคตรเหม็นเลย"
ผมหุบยิ้มฉับ เพิ่งคิดว่าเซนน่ารักไปเมื่อครู่เอง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าปีศาจร้ายบดบังซะอย่างนั้น ดวงตาสีเทาฉายแววเจ้าเล่ห์และยักคิ้วกวนให้กันก่อนจะเดินหนีไปเฉยๆ อะไรของเขาวะไปๆ มาๆ หึ!

"ไอ้เซนบ้า!"
ผมตะโกนไล่หลังมันไปอย่างฉุนเฉียวแล้วลุกขึ้นเดินโงนเงนไปตามทางเพราะยังมีอาการเวียนหัวเล็กน้อย บารอนรีบวิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาอย่างกับไม่เจอกันมาเป็นชาติ ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวัน จริงๆ เกือบล้มไปหลายครั้งแต่พยายามทรงตัวและหาจังหวะนั่งยองๆ เพื่อเล่นกับมัน

"อ้อนอะไรตั้งแต่เช้าวะบารอน"
ผมเอื้อมมือไปขยี้ขนมันอย่างสนุกสนานแต่กลับโดนคนที่เดินเข้ามายืนค้ำหัวกันส่งสายตาดุๆ มาให้ แถมยังโบกมือไล่บารอนออกไปจากห้องนอนด้วย ดูมันจะเชื่อฟังเซนมากแม้เขาจะไม่พูดอะไรออกมา คนๆ นี้ช่างมีต่ออิทธิพลต่อทุกสรรพสิ่งในโลกจริงๆ

"อะไรวะ"
ผมบ่นพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ใช้ดวงตากลมมองเขาเขม็งก่อนจะลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากัน เซนยกมือขึ้นมาตบหัวกันเบาๆ เหมือนการลงโทษ เจ็บนะเว้ย รังแกคนยังไม่หายป่วยได้ยังไงกัน เพราะได้แต่โวยวายในใจเลยแสดงออกแค่การเบ้หน้าใส่เขา

"ยังไม่หายป่วย เดี๋ยวขนบารอนก็ทำมึงจามอีก"
ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบรับว่าเข้าใจ ที่แท้ก็เป็นหาวงกันนั่นเอง นึกว่าหวงหมาไม่ให้เล่นด้วยซะอีก ก่อนเขาจะเดินออกไปเตรียมอาหารเช้าต่อก็สั่งให้ผมไปอาบน้ำสระผมได้แล้ว ถ้าไข้ยังไม่ลดอย่าหวังจะได้แตะต้องน้ำอย่างตอนนี้ ก่อนหน้าโดนบังคับให้นอนนิ่งๆ แล้วจับเช็ดตัวอยู่ตลอด... เปลือยต่อหน้าคนที่ชอบคิดว่าผมรู้สึกยังไงล่ะ โคตรเขินเลย พอคิดถึงก็หน้าร้อนเห่อขึ้นมาจนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อก่อนจะตรงไปหยิบผ้าขนหนูและเข้าห้องน้ำไป

กลิ่นหอมของอาหารเช้าง่ายๆ อย่างข้าวต้มทะเลพร้อมเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะอาหารขนาดกลาง พ่อครัวหัวป่าประจำห้องกำลังถอดผ้ากันเปื้อนสีดำสนิทแขวนไว้ที่เดิมแล้วเดินดุ่มๆ มาดึงแขนผมให้นั่งลง ส่วนตัวเองกลับเดินผ่านไปซะเฉยๆ อะไรของเขาวะนั่น

"เดี๋ยวๆ จะไปไหน"
ผมรั้งแขนแกร่งนั่นเอาไว้แล้วมองด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ เซนเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าพยายามสื่อว่าตัวเขายังอยู่ในชุดนอนสีน้ำเงินกรมท่า

"อาบน้ำไง มึงก็ไปเป่าผมด้วย เดี๋ยวไข้จะกลับ"
เขาเฉลยได้ตรงกับที่ผมคิดไว้ มือเรียวปล่อยแขนนั่นก่อนพยักหน้าหงึกหงักรับคำและปล่อยให้อีกคนเดินหายเข้าไปในห้องนอน

ผมลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่โซนแต่งตัวภายในห้องนอนแล้วหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเสียบปลั๊กและนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง กระจกบานใหญ่ฉายภาพเด็กหนุ่มหน้าตาซีดเซียว เส้นผมสีดำฟูฟ่องเพราะผ่านการเช็ดหมาดๆ มาแล้ว ปากบางที่ปกติจะเป็นสีชมพูอ่อนตอนนี้กลับขาวตามอาการป่วยซะอย่างนั้น ดูรวมๆ แล้วเหมือนศพเดินได้

นั่งพิจารณาตัวเองได้ไม่นานก่อนจะปลงตกแล้วหยิบไดร์เป่าผมเปิดสวิตซ์ให้ทำงาน ลมร้อนๆ เป่าลงบนเส้นผมทำให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา เมื่อมันแห้งเรียบร้อยก็จัดการเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่เข้าทางและเดินไปนั่งรอเจ้าของห้องที่โต๊ะอาหารตามเดิม ไม่นานหลังจากนั้นร่างสูงเดินออกจากห้องน้ำด้วยชุดลำลองสบายๆ เสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วน เขานั่งลงตรงข้ามกันก่อนจะส่งสายตาให้กัน

"ทำไมไม่กินล่ะ"
เขาถามในขณะที่ผมยังนั่งมองถ้วยข้าวต้มตรงหน้า ก็เซนไม่ตักของตัวเองมากินด้วยกันล่ะวะ ก็รอมันอยู่เนี่ย

"รอมึงไง ไม่กินด้วยกันเหรอ"

"ไม่ แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอ"
เขาว่าก่อนจะลุกขึ้นไปทำตามที่ได้บอกไว้ เครื่องชงกาแฟขนาดเล็กเริ่มทำงาน ควันสีขาวพวยพลุ่งออกมาทำให้อุณหภูมิใกล้ๆ สูงขึ้นเล็กน้อย กลิ่นของกาแฟคั่วบดคุณภาพดีลอยวนไปในอากาศเมื่อน้ำร้อนตกกระทบมัน น้ำกาแฟไหลเอื่อยลงในแก้วขนาดเล็ก ผมคิดว่ารสชาติมันคงขมน่าดูเชียวล่ะ ก็เอสเพรสโซ่นี่นะ

"กินแค่นั้นจะอิ่มเหรอ"
ผมถามในขณะที่เขากลับมานั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมแก้วเอสเพรสโซ่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นในมือ ดวงตาสีเทาเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะเมินแล้วเลื่อนแก้วในมือจรดริมฝีปาก ลมเบาๆ ทำให้น้ำสีเข้มกระเพื่อม ไม่นานนักเขาก็ดื่มมันเข้าไปแล้วตามมาด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างพอใจ สุดท้ายผมก็ไม่ได้คำตอบอะไร

ผมลงมือตักข้าวต้มตรงหน้าขึ้นมากินแบบเงียบๆ ดวงตากลมก็คอบเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่หยิบติดมาด้วยเป็นระยะๆ เพราะว่านัดกับอุ่นให้มารับไปห้างสรรพสินค้า จะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เซนน่ะเลยชวนเจ้าตัวไปไม่ได้

"หกเลอะเทอะแล้ว"
เซนเอื้อมมือมาตีกันเบาๆ ทำให้ผมสะดุ้งและหันขวับไปมองทันที เขาพยักพเยิดหน้าไปข้างๆ ถ้วยข้าวต้มพอมองตามไปพบว่ามันหกเลอะเทอะ เพราะมัวแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์เลยไม่ทันระวัง ผมยิ้มแหย่ส่งไปให้ก่อนจะวางช้อนในมือลงแล้วเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาทำความสะอาด

"มัวแต่จ้องโทรศัพท์ นัดใครเอาไว้หรือไง"
ถามเหมือนรู้ทันแถมยังเอนหลังพิงพนักด้วยท่วงท่าสง่างามมองกันอีก ผมทำเพียงแค่ไหวไหล่และไม่ยอมตอบคำถามของเขา ถ้าบอกว่านัดอุ่นไว้ไม่วายโดนซักถามใหญ่โต เผลอๆ อาจจะโดนตัดพ้อประมาณว่า 'อยากไปไหนทำไมไม่บอกคนใกล้ตัวก่อนล่ะ' โธ่... ไม่อยากจะเชื่อว่าคนเย็นชาจะน้อยใจเป็นกับเขาด้วย

Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ผมรีบวางช้อนแล้วตะครุบมันทันที เมื่อปลายสายบอกว่ามาถึงแล้วเลยรีบกระเด้งตัวลุกออกจากเก้าอี้และโบกมือลาเจ้าของห้องอย่างรีบร้อน วิ่งไปหยิบกระเป๋าเงินได้ก็รีบเผ่นไปใส่รองเท้าออกจากห้องทันที ได้ยินเสียงโวยวายไล่หลังมาอย่างเกรี้ยวกราด แต่เอาไว้ค่อยเคลียร์ก็แล้วกัน

ตอนนี้ผมนั่งหอบตัวโยนอยู่ในรถคันหรูของอุ่น ดวงตาคมหันมองกันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ กับสภาพตอนนี้ เสื้อตัวบางสีขาวชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะรีบวิ่งมาด้วยความเร็ว แถมผมยังชี้ฟูไม่เป็นทรงอีกด้วย

"รีบอะไรขนาดนั้นวะวิน"
อุ่นว่าก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแก้มกันอย่างหยอกล้อ ผมหันขวับไปจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องแล้วปัดมือที่แสนยุ่มย่ามนั้นทิ้ง คนเหนื่อยจะขาดใจตายยังจะหัวเราะใส่อีก เป็นบ้าหรือไง

"หึ ก็เซนอะดิ โวยวายว่ากูแอบนัดใครแล้วไม่ยอมบอก กลับถึงห้องเมื่อไหร่โดนทำโทษแน่"
ผมพูดไปก็หอบไป กว่าจะปรับลมหายใจเป็นปกติได้ก็ตอนที่รถเคลื่อนไปแล้วเกือบสิบนาที อุ่นเลิกคิ้วมองกันก่อนที่มันจะขมวดเป็นปมราวกับเครียดอะไร

"ไม่ได้บอกเซนเหรอว่านัดกูไว้"
อุ่นถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความกังวล ผมพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไม่โทรมาตามว่ะ คงรอดแล้วล่ะ

"หาเรื่องให้กูแล้วไหมละครับเทวิน"
ผมกำลังจะถามว่าตัวเองไปหาเรื่องอะไรมาให้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูกลับดังขึ้นก่อน เจ้าของหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาดูก่อนจะเบ้ปากแล้วยื่นมันมาตรงหน้าผม และเมื่อสายตาเห็นรายชื่อบุคคลโทรเข้ามาถึงกับอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะทำยังไง ฉิบหายแล้วไหมล่ะ เซนโทรมาหาอุ่น!

"มึงรับสายแทนกูเลยนะวิน กูยังไม่อยากถูกบ่นจนหูชา"
อุ่นทำหน้าอยากตายเต็มทน ส่วนผมได้แต่มองหน้าจอที่สว่างวาบนั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ มือไม้สั่นยิ่งกว่าเจ้าเข้าซะอีก ถ้ารับสายไม่เท่ากับว่าการเซอร์ไพร์สพังไปด้วยเหรอวะ

"แต่ว่า..."
ผมยังลังเล แต่อุ่นกลับส่งสายตาดุๆ มาให้กัน

"ถ้าสายตัดก่อนมึงตายแน่"
คำขู่ของเขาได้ผลเพราะผมรีบเลื่อนเครื่องหมายสีเขียวบนหน้าจอทันทีแล้วแนบมันเข้าที่ใบหูด้านขวาเพื่อให้คนข้างๆ สามารถได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูดมาด้วย

"ฮะ ฮัลโหล"
ผมกรอกน้ำเสียงสั่นๆ ลงไป หัวใจเต้นแทบจะไม่เป็นส่ำเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจแรงๆ จากปลายสาย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโล่งใจหรือเตรียมจะด่ากันแน่

'ทำไมไม่บอกดีๆ ว่าไปกับอุ่น ต้องให้หงุดหงิดอยู่เรื่อย'
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น มันไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวหรือโมโหเลยสักนิด เหมือนเขาโล่งใจมากกว่าที่ตามหาตัวผมเจอ อุ่นมองกันก่อนจะยักคิ้วกวนส่งมาให้ เจ้าตัวคงรู้อยู่แล้วว่าเซนโทรมาตามหาผมแน่ๆ เลยให้รับสายแทนแบบพอเหมาะพอเจาะ

"ก็... ขอโทษ"
ไม่มีเหตุผลอะไรจะแก้ตัวเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาขอโทษไป แต่ดูเหมือนปลายสายไม่พอใจสักเท่าไหร่ เพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึดังลอดออกมาก่อนประโยคต่อมาจะดังขึ้น

'ไม่อยากได้คำขอโทษ อยากรู้ว่าทำไมต้องนัดอุ่น'
ผมเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำถามนั้น มันตอบยากที่สุดในชีวิตของคนที่คิดจะเซอร์ไพร์สวันเกิด เงียบไปนานนับนาทีปลายสายเลยพูดขึ้นมาอีกครั้งและนั่นทำให้ผมต้องเบะปากเพราะอยากร้องไห้จริงๆ

'เงียบทำไม กูไม่สำคัญพอใช่ไหมถึงไม่ยอมบอก'
โดนคำถามนี้เข้าไปถึงกับจุกจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่อุ่นที่ได้ยินแค่เบาๆ ยังถึงกับสำลักอากาศ ความฉิบหายกำลังคุกคามความรู้สึกของผมอยากหนัก จากเรื่องเซอร์ไพร์สกลายเป็นเรื่องดราม่าไปได้ยังไงกันวะ

"ไม่ใช่ๆ แค่อยากไปซื้อของขวัญวันเกิดเซอร์ไพร์สมึงเฉยๆ เอง"
สุดท้ายก็ต้องบอกความจริงออกไปอย่างหมดเปลือก อุ่นมองหน้ากันแล้วคลี่ยิ้มบางออกมา มือเรียวเอื้อมมาโคลงหัวผมเพื่อปลอบใจ แผนที่อุตส่าห์วางไว้พังทลายเพราะน้ำมือเจ้าของวันเกิดซะเอง มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ เฮ้อ

'ทำตัวน่ารักเกินไปไหมครับเทวิน'
น้ำเสียงทุ้มนุ่มตามแบบฉบับเซนถูกส่งมาตามสายชวนให้หัวใจกระตุกเล่น ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็นหลังจากได้รับฟังความจริงไป แต่ผมนี่สิวางตัวไม่ถูกจนเผลอเล่นมุกควายๆ ออกไป

"ถ้ากูน่ารัก ทำไมมึงไม่รักกูสักทีวะ"
กว่าจะรู้ตัวว่าทำเรื่องดราม่าลงไปก็ตอนที่เกิดเดตแอร์ทั้งในสายและในรถ ผมอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายซะเดี๋ยวนี้เพราะทำให้บรรยากาศที่กำลังดีขึ้นกลับหม่นลงโดยไม่ตั้งใจ ขอโทษจากหัวใจจริงๆ ว่ะทุกคน

"เอ่อ... ล้อเล่นนะ อย่าเงียบดิวะ"
ผมหันไปมองคนข้างตัวและกลับมามองตักตัวเอง ได้ยินเสียงอุ่นถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ไม่กล้าถามออกไปว่าเป็นอะไร ส่วนคนในสายตอบกลับมาด้วยเสียงกุกกักๆ

'จะกลับมากี่โมง'

"เอ่อ... คงไม่เกินบ่ายสามอะ ทำไมเหรอ"
ผมถามกลับไปก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังติดไฟแดงและอุ่นกำลังมองกันอยู่

'จะไปรับ'

"เฮ้ย เดี๋ยวให้อุ่นไปส่งไง"

'ไม่ จะไปรับ'

"ทำไมดื้อวะ จะมาให้เสียเวลาทำไม"

'เรื่องของกู'

"เออ ตามใจมึงเลย จะทำอะไรก็ทำ"
หมดปัญญาที่จะเถียงเซนโหมดเอาแต่ใจเลยทำได้แค่บอกชื่อห้างกับเขาก่อนจะวางสายไป แล้วไอ้ของขวัญที่จะซื้อให้สำหรับวันเกิดเขาในวันพรุ่งนี้ไม่ต้องฝากอุ่นเอาไว้หรือยังไงวะ แค่คิดก็รู้สึกถึงความวุ่นวายขึ้นมาแล้ว

"เซนขี้หวงชะมัด"
อุ่นบ่นขณะที่เหยียบคันเร่งออกรถทันทีที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน แต่ผมได้ยินไม่ถนัดว่าเขาพูดอะไรเลยถามย้ำอีกครั้ง

"มึงว่าอะไรนะอุ่น"

"เปล่าๆ ตกลงเซนจะมารับมึงเหรอ"
อุ่นถามกลับมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างไม่ปิดบัง เห็นแล้วก็คิดถึงมังกรของอัสโมดายชะมัดเหมือนกันอย่างกับแกะ อันตรายแต่แฝงไว้ด้วยความขี้เล่น

"เออ อะไรของเขาวะ ทำเหมือนกูเป็นเด็กไปได้"
ผมบ่นงุ้งงิ้งพลางกอดอกตัวเองเอาไว้แน่น ใบหน้างอง้ำเพราะโดนขัดใจ แผนพังไม่พอยังโดนตามติดอีก อะไรของเขากันนะ

"กลัวมึงมาตกหลุมรักกูมั้ง"
อุ่นพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่ผมนี่สิไม่ขำด้วย เพราะสังเกตได้ว่าดวงตาคมคู่นั้นหมองลง ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ๆ อุ่นอาจจะชอบเซนหรือไม่ก็ผมอย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว

"ตกหลุมรักมึงก็บ้าแล้ว"
ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปผลักหัวคนที่เอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่แบบนั้นราวกับเป็นเรื่องน่าขำ แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็เงียบสนิทเมื่อเราจอดรถที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง คิดว่าบทสนทนาคงจบลงแค่นั้น แต่ไม่ใช่ ผมคิดผิดถนัด

"ถ้ากูบอกว่ากูชอบมึงจะเชื่อไหม"
น้ำเสียงของอุ่นจริงจังจนผมเผลอหัวใจกระตุก กำลังจะเอื้อมมือตบหัวมันอยู่แล้วเชียวว่าอย่าแกล้งกัน แต่สายตานั้นกลับบอกว่าไม่ได้โกหก ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

"ไม่สนุกนะเว้ยอุ่น"
ผมบอกเสียงเครียดก่อนจะเบนหน้าหนี อุ่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือหนามาโคลงหัวกัน สรุปนี่แกล้งกันเนียนเกินไปหรือยังไงกันแน่ เริ่มสับสนแล้ว

"เรื่องจริง กูชอบมึงนะวิน"
สะอึกไปกับคำพูดของอุ่นอีกครั้ง ชอบอย่างนั้นเหรอ ชอบแบบไหนกันล่ะ ผมเชื่อว่าทั้งเขาและเซนไม่เข้าใจความหมายคำว่ารักและคำว่าชอบในแบบต่างๆ สักเท่าไหร่ ก็ในเมื่อทั้งคู่ดูเป็นคนไม่สนใจโลกและไม่เคยแสดงความรู้สึกรักใคร่ใครออกมาแบบจริงๆ จังๆ สักที สมแล้วที่เป็นเพื่อนรักกัน นิสัยแบบเดียวกันไม่มีผิด

"ชอบแบบไหนวะ"
ผมถามกลับไปและคราวนี้กล้าที่จะสบตากัน อุ่นเอียงคอเล็กน้อยราวกับสงสัยคำถามที่ได้ยิน และจริงอย่างที่ผมคิดเพราะประโยคที่ได้ฟังถัดมา

"ชอบมีหลายแบบเหรอวะ"
นั่นไง... ฉิบหายแล้ว นี่มีเพื่อนหรือมีลูกกันแน่ที่ผมต้องมานั่งอธิบายความชอบในลักษณะต่างๆ ให้มันฟังเนี่ย ปวดหัวเว้ย น่าจะเอาอุ่นกับเซนไปมัดรวมกันแล้วส่งกลับไปเกิดใหม่จริงๆ

"เออ มีเยอะ ชอบแบบเพื่อน แบบพี่น้อง แบบคนรัก"

"อ้อ... ทำไมยากจังวะ ช่างมันเหอะ แต่กูไม่อยากได้มึงเป็นเมียแน่ๆ อะ"
มันว่าก่อนจะหนีลงจากรถ ผมรีบมุดออกตามมาอย่างรวดเร็วแล้วเดินไปเขกกบาลมันด้วยความหมั่นไส้ พูดอะไรช่วยเห็นใจกันหน่อย ผมแย่ขนาดที่ไม่มีใครอยากเอาทำเมีย... แต่เดี๋ยวนะ อะไรคือเมียวะ!!

"ไอ้เชี่ยอุ่น!!"
ผมตะโกนตามหลังไอ้อุ่นไปเพราะเจ้าตัวมันเดินหนีไปนู้นแล้ว คงรู้ตัวว่าจะโดนเตะเลยออกตัวเร็ว ขนาดล็อกรถยังใช้รีโมทจากระยะไกลเลย น่าหมั่นไส้เว้ย

สุดท้ายผมก็ได้เตะก้นมันไปหนึ่งครั้งก่อนจะเดินเคียงข้างกันไปที่แผนกขายนาฬิกา ตั้งใจจะแงะกระปุกหมูซื้อให้เซนเป็นของขวัญวันเกิด แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขาชอบใส่แบบไหน สไตล์ไหนเลยให้อุ่นมาช่วยเลือก

"เซนชอบแบบไหนวะอุ่น"
ดวงตากลมจ้องมองนาฬิกาข้อมือในตู้กระจกไปเรื่อย แต่ละเรือนราคาก็แพงเอาเรื่องอยู่เพราะอยู่ในโซนนาฬิกาสายเหล็ก ถ้าซื้อไปให้คงโดนด่ายับ... ราคาครึ่งหมื่นทั้งนั้น

"นาฬิกาพก"

"ห๊ะ มึงว่าอะไรนะอุ่น"

"เซนชอบนาฬิกาพก มึงเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ"
ผมแทบจะหงายหลังลงหน้าตู้โชว์นาฬิกา ไม่เคยรู้เลยว่าเซนจะชอบพวกนาฬิกาพกอะไรแบบนั้น เพราะไม่เคยเห็นเขาใส่นาฬิกาข้อมือเลยอยากซื้อให้ แต่เรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ควรเลิกล้มความตั้งใจจริงๆ

"คิดไม่ออกว่ะ"
ผมกับอุ่นเดินออกจากโซนขายนาฬิกาอย่างเรื่อยเปื่อย แต่ดูท่าทางอุ่นจะมีคำตอบสำหรับเรื่องที่ผมอยากรู้อยู่แล้ว แต่กั๊กไว้เพื่อจะให้ถาม... ทำไมเจ้าเล่ห์ได้ถึงขนาดนี้นะคนเรา

"มึงช่วยคิดหน่อย"
ยอมตกหลุมพรางของเพื่อนสนิทอีกสักครั้งคงไม่ทำให้ชีวิตพังล่ะมั้ง

"ไม่ต้องให้อะไรเซนหรอก แค่ตัวมึงก็พอ"

"อะ ไอ้... !!"
พูดได้แค่นั้นก่อนจะรู้สึกว่าหน้าตัวเองเห่อร้อนอย่างหนัก ไม่รู้ทำไมต้องเขินกับคำพูดล้อเล่นของไอ้อุ่นจนตัวจะระเบิดแบบนี้ หัวใจเต้นแรงราวกับโดนเจ้าตัวมาบอกความต้องการข้างหูซะเอง โอย จะตายแล้ว บ้าเอ้ย ผมทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ถูแก้มตัวเองไปมา ถูจนเจ็บไปหมดแล้ว ฮือ

"เฮ้ย จะถูทำไมวะแดงหมดแล้ว"
อุ่นร้องอย่างตกใจแล้วรีบดึงมือของผมไปเกาะกุมไว้แน่น ไม่กล้าสะบัดออกไม่กล้ามองหน้าเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้เขาลากไปตามใจชอบจนหยุดอยู่หน้าร้านขายน้ำหอมแบรนด์หนึ่ง ผมช้อนตามองเพื่อนสนิทด้วยความฉงนว่าทำไมถึงพากันมาที่นี่ และคำตอบที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มและการกระตุกมือเบาๆ เพื่อให้เดินต่อ

"เดี๋ยวๆ จะพาไปไหน"
ผมร้องถามแต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร อุ่นหันมายิ้มให้กันอีกครั้งด้วยรอยยิ้มละมุนจนสาวๆ พนักงานรอบด้านต่างมองตาเป็นมัน บางคนถึงกับแอบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บรูปกันเลยทีเดียว หมั่นไส้ว่ะ

"เลือกน้ำหอม"

"ให้ใคร"

"ให้มึง"

"เฮ้ย ให้กูทำไม กูไม่ใช้นะ"

"มึงเลือกกลิ่นที่ตัวเองชอบแล้วฉีด หลังจากนั้นก็ผูกโบว์ตัวเองให้เซน เป็นอันจบพิธี"

"ตลก!!"

สุดท้ายผมก็ได้กระเป๋าตังค์หนังมาหนึ่งใบราคาไม่ถูกไม่แพงจนเกินไปพอจ่ายไหว เซนมารับผมกลับตอนประมาณเที่ยงตรงและพาไปกินข้าวต่อโดยทิ้งอุ่นเอาไว้ที่ห้างสรรพสินค้าอย่างไม่ใยดี เชื่อว่าผมต้องเลี้ยงขนมอุ่นเป็นการไถ่โทษนิสัยเสียของเซนแล้วล่ะ เฮ้อ แล้วรู้อะไรไหม ของขวัญที่จะทำเซอร์ไพร์สผมรีบจับมันยัดลงถุงขนมเค้กที่ซื้อติดมือมาด้วยแทบจะทันที กลัวโดนจับได้ว่าซื้ออะไรมาให้ ลำบากลำบนจริงๆ




มีต่อน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
«ตอบ #55 เมื่อ07-11-2016 12:05:56 »

"ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ"
ผมถามทำลายความเงียบภายในรถ เพราะตั้งแต่เจอหน้ากันที่ห้างยันตอนนี้เซนยังไม่ปริปากพูดสักคำ ทำเหมือนกับโกรธกันมาเป็นชาติอย่างนั้นล่ะ แต่มีหรือที่ผมจะทนรับความเฉยชาของเขาได้ เป็นฝ่ายอยู่ไม่สุขซะเองอย่างที่เห็น

"จะให้พูดอะไรล่ะ"
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นโดยที่ดวงตาสีเทาไม่ได้เหลือบมองกันแม้แต่นิดเดียวทั้งๆ ที่รถกำลังติดไฟแดง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเซนยังไม่หายโกรธเรื่องที่ผมหนีออกมากับอุ่น... ต้องง้อยังไงล่ะคราวนี้

"ยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอวะ"

"เออ"
ตอบตรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อมองใบหน้าด้านข้างที่แสนเฉยชานั่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเจ็บปวดขนาดนี้เมื่อโดนเซนโกรธ อาจจะเป็นเพราะชอบเขา เลยไม่อยากให้เขารู้สึกแย่ๆ กับเรา

"จะให้ง้อยังไงถึงจะหายโกรธ"
ผมถามออกไปตรงๆ เพราะเป็นคนที่ง้อใครไม่เป็น ทำได้มากสุดก็แค่เอ่ยคำขอโทษ แต่นั่นคือสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้วแต่อีกฝ่ายดันไม่หายโกรธกันซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้นิสัยกันดีอยู่แล้วก็ยังเป็นแบบนี้... เรียกว่าแกล้งกันได้หรือเปล่า

"ขอคิดก่อน"
เซนบอกก่อนจะเหยียบคันเร่งออกรถไปตามเส้นทางมุ่งสู่ร้านอาหารใกล้ๆ สวนสาธารณะแถวคอนโด มันเป็นร้านอาหารไทยที่ร่มรื่นเพราะมีต้นไม้เยอะ แถมยังติดริมน้ำถือได้ว่าเป็นร้านที่มีบรรยากาศดีแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้

ผมลงจากรถเดินตามเซนไปโดยไม่ปริปากสักคำเพราะรู้ว่าคนที่มาด้วยไม่พร้อมจะคุยกันเท่าไหร่และตอนสั่งอาหารเขากลับจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพด้วยตัวเองโดยไม่ถามความคิดเห็นกัน แต่รายการที่สั่งไปเป็นของโปรดผมทั้งนั้น ควรแอบดีใจไหมที่ได้รับการเอาใจใส่ทั้งๆ ที่กำลังโกรธกัน โคตรบ้าเลย

ระหว่างมื้ออาหารมีเพียงแค่เสียงช้อนกระทบจานและเสียงใบ้ไม้พลิ้วไหวตามสายลมเท่านั้น ปราศจากเสียงพูดคุยบนโต๊ะ แตกต่างจากที่เคยเป็นมากเลยทีเดียว เพราะปกติเราจะถามกันว่าอันนี้เป็นไงอร่อยหรือเปล่า เอาอันนี้ไหม หรือทำปากเลอะก็ต้องโดนทัก แต่นี่ผมทำเสื้อเลอะอีกฝ่ายยังคงเงียบ ผมไม่รู้จะทำยังไงกับรอยเปื้อนดวงใหญ่บนเสื้อสีขาวเลยจะลุกไปห้องน้ำ แต่เซนกลับจับข้อมือกันไว้แล้วเอ่ยถาม

"จะไปไหน"

"ไปห้องน้ำ"

"ไม่ต้อง นั่งลง"
น้ำเสียงแข็งๆ กับสายตาดุถูกส่งมาให้เป็นเชิงบังคับทำให้ผมยอมนั่งลงโดยไม่มีปากเสียง เขาปล่อยมือออกแล้วมองมาตรงจุดเปื้อนบนเสื้อ ไม่อยากจะบอกแต่จุดที่เปื้อนนะมันตรงท้องน้อยนู่น รู้สึกแปลกๆ ฉิบหายเหมือนโดนจ้องเป้าเลย

"จ้องอะไรของมึงเนี่ย"
ผมรีบเอามือปิดตรงจุดนั้นทำให้เซนยกยิ้มมุมปากเพราะเดาได้ว่าผมคิดเรื่องอกุศลอยู่ ดวงตาสีเทาเลื่อนตำแหน่งขึ้นมามองใบหน้ากัน

"จ้องรอยเปื้อน หรือมึงคิดว่า..."
น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้นจนผมรู้สึกหน้าร้อนวูบแล้วโบกมือตรงหน้าไปมา ทำอะไรไม่ถูกเลยว่ะ โดนจับได้ขนาดนี้ ใต้โต๊ะนี่เหมาะจะเอาหน้าไปซุกไหม อายเหลือเกิน

"พอๆ กินๆ ไป"

"อืม"
ผมสะอึกกับคำตอบแสนสั้นของเซน เมื่อครู่เหมือนจะหายโกรธกันแต่ทำไมกลับมาตีสีหน้านิ่งพูดสั้นๆ อีกล่ะ ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า ปวดใจแปลกๆ

"นี่..."

"....."
โอ้โห... เหลือบสายตามองกันแค่แว๊บเดียวแล้วกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ปล่อยให้ผมน้ำท่วมปากพะงาบๆเหมือนปลาใกล้ตาย ไม่อยากคุยด้วยขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ยังโดนแกล้งทั้งๆ ที่โกรธเนี่ยนะ ประหลาดคนฉิบหาย

"เซน... คุยกันก่อน"

"กิน"
จบ... เงียบกริบโดยไม่ต้องสั่งด้วยคำอื่น สุดท้ายจำใจกินข้าวไปเงียบๆ จนอิ่มหนำแต่ไม่สำราญ เพราะเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ อยากอ้วกคงไม่ใช่แต่น่าจะเป็นความรู้สึกอึดอัดมากกว่า แต่ดีนะ โกรธก็ยังเลี้ยงข้าว ไม่เข้าใจความคิดมันจริงๆ

ภายในรถน่าอึดอัดจนแทบหยุดหายใจ แม้แต่เพลงยังไม่กล้าเอื้อมมือไปเปิด ได้แต่นั่งกรอกตาไปมาเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ทำไมถึงได้โกรธขนาดนี้วะคนเรา แค่ไปกับอุ่นเนี่ยมันจะตายเหรอ ก็เพื่อนสนิทกันทั้งนั้น

"เซน ทำไมมึงโกรธกูขนาดนี้วะ ไม่เข้าใจ"
จากที่เข้าใจกลายเป็นไม่เข้าใจขึ้นมาดื้อๆ เซนเหลือบสายตามองกันแล้วหักพวงมาลัยเข้าลานจอดรถของคอนโด

"จูบกูก่อนแล้วจะหายโกรธ"
พูดจบก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจปะทะกับข้างแก้ม ผมตัวแข็งทื่อเพราะไม่ทันตั้งตัว แล้วไอ้น้ำเสียงจริงจังกับไอ้แววตาบังคับนั่นคืออะไร ตกลงว่าโกรธกันจริงหรือหาเรื่องจะจูบ...

"บ้า... ตกลงมึงโกรธกูจริงๆ ปะวะ"
ผมพูดเสียงเบาหวิวและพยายามขยับตัวออกห่างจนไหล่ชนกระจกรถ ไม่วายคนข้างๆ ดันขยับตามมาถึงขนาดได้ยินเสียงหายใจกันเลยทีเดียว ใกล้จนใจสั่น ใกล้จนกลัวว่าตัวเองจะหันไปจูบเขาจริงๆ บ้าบอฉิบหายเลยเว้ย

"จูบก่อนแล้วจะบอก"

"คือเหี้ยไรเนี่ย ตกลงอยากจูบใช่ไหม"

"ส่วนหนึ่ง เร็วๆ"
คือมีเร่ง คือมีความขยับเข้ามาใกล้จนจมูกเฉียดกับแก้ม ผมเม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจหันไปประกบปากกับคนช่างบังคับก่อนจะรีบผละออกอย่างรวดเร็ว ไม่รู้จะเรียกว่าจูบได้หรือเปล่า แต่ดูสีหน้าของเซนแล้วคงไม่ผ่าน ไอ้ฉิบหาย หัวใจจะวายแล้ว หน้านี่ร้อนจนจะแตก

"นั่นเรียกว่าจูบเหรอ"
ดวงตาสีเทาจ้องเขม็งจนผมเผลอกันหายใจแล้วเม้มปากเข้าหากัน ให้ตายเถอะ จะให้เป็นฝ่ายเริ่มจูบแบบดูดดื่มได้ยังไง หัวใจเต้นจนเหนื่อยแล้วเนี่ย

"เออน่า ก็ปากแตะปากแล้ว ถ้ายังไม่หายโกรธจะไม่ง้อแล้วนะ"
ผมว่าก่อนจะผลักเขาออกไปห่างๆ แล้วคว้าถุงขนมเดินลงจากรถโดยไม่รอ พอถึงห้องก็เอาแต่นั่งหน้าง้ำอยู่บนโซฟา คราวนี้เป็นฝ่ายหงุดหงิดและงอนเขาเอง แต่สุดท้ายโดนเซนหอมแก้มเข้าหน่อยกลับอ่อนระทวยยอมกันง่ายๆ เกลียดตัวเองว่ะเฮ้ย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้ฟังเหตุผลว่าทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้ก็เพราะว่า 'เป็นห่วง' คำเดียว แต่หัวใจโคตรพองโตจนคับอก

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วนั่นก็แสดงว่าจะถึงวันเกิดเซนแล้วเช่นกัน เราทั้งคู่ยังคงนั่งจ้องหน้าจอทีวีที่กำลังฉายหนังโปรดอย่างทรานฟอร์เมอร์ ขนมขบเคี้ยวตรงหน้ายังคงถูกยกมาเติมเรื่อยๆ โดยฝีมือของผมเอง ส่วนบารอนนอนหมอบอยู่แทบเท้าของเซนอย่างสบายอารมณ์ ดูรักและเคารพเจ้านายเหลือเกิน น่าหมั่นไส้

"ไปเอาขนมมาเพิ่มนะ"
ผมบอกก่อนจะทำท่าลุกขึ้นแต่เซนกลับรั้งแขนกันให้นั่งลงที่เดิมแล้วส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกให้หยุดกินได้แล้ว จริงๆ ไม่กินก็ได้แต่มันเหงาปากอะ จะพูดอะไรตอนตั้งใจดูหนังก็กลัวจะรบกวนไปอีก

"หยุดกินได้แล้ว"
เขาบอกก่อนจะปล่อยมือและเอนตัวลงบนตักผมอย่างหน้าตาเฉย คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยได้แต่นั่งเงียบ ลมหายใจติดๆ ขัดๆ ก็ดูบรรยากาศดิ ปิดไฟดูหนังกันแบบนี้ โรแมนติกไปอีก

"ห้ามกูจังวะ"
ผมบ่นเสียงไม่จริงจังนักแล้วเหลือบดูนาฬิกาติดพนังเป็นครั้งคราว อีกสิบห้านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว ตื่นเต้นว่ะ นี่เป็นวันเกิดครั้งแรกของเขาที่ผมอยู่ด้วย และจะเป็นคนแรกที่อวยพรเขาเช่นกัน คิดได้แบบนั้นก็เผลอหลุดยิ้มโดยไม่รู้ตัวจนคนที่นอนบนตักเอ่ยแซว

"ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความสุขอะไรหื้ม"
ถ้ากันไม่พอยังส่งสายตาระยิบระยับมาอีก มือเรียวยกขึ้นมาแตะแก้มเบาๆ เป็นการแถมอีกด้วย ผมเบือนหน้าหนีแล้วแกล้งปัดมือนั่นทิ้งอย่างไม่จริงจังนัก ถึงไฟจะสลัวแต่ก็กลัวเขาจะเห็นความรู้สึกที่ผมกำลังสื่อออกทางสีหน้า

"พูดมากน่า"
ผมบอกก่อนจะดีดหน้าผากมนนั่น เซนไม่โต้ตอบอะไรทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้และเบนสายตากลับไปสนใจทีวีต่อ ผมลอบถอนหายใจเบาๆ และดูหนังต่อไปเงียบๆ ดวงตาเผลอเหลือบมองนาฬิกาติดพนังก็ต้องตกใจเมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวกำลังจะทาบทับกันที่เลขสิบสอง กำลังจะอ้าปากบอกให้เซนลุกขึ้น แต่สติทั้งหมดก็ดับวูบลงทันที

ในความฝันสีขาวผุดผ่องด้วยม่านหมอกหนาทึบ ตัวผมกำลังยืนอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีขนาดใหญ่ มันดูช่างคุ้นเคยแต่กลับคิดไม่ออกว่าเคยมาเยือนเมื่อไหร่ ดอกไม้หลากสีสันกำลังผลิบานส่งกลิ่นหอมหวนชวนเคลิ้มมาให้ สายลมโชยอ่อนพัดพาสิ่งบดบังสายตาออกไป ในตอนนั้นเองที่ร่างอันคุ้นเคยในความทรงจำปรากฏสู่สายตา แม้จะเป็นแค่เพียงแผ่นหลัง 'เซน'

"เซน!"
ผมเรียกและก้าวขายาวๆ ไปหาเขาอย่างรีบเร่ง กลัวเหลือเกินว่าคนตรงหน้าจะกลายเป็นแค่มโนภาพก่อนจะจางหายไปเหมือนกับหมอพวกนั้น เซนหันกลับมาทำให้ผมชะงักเท้าทันที บนใบหน้าคาดด้วยหน้ากากอนามัยสีขาวสะอาด ดวงตาสีเทาไร้แววเหมือนคนตายไปแล้ว น่ากลัวจนผมเผลอถอยหลัง

"ซ เซน..."
ผมเอ่ยเรียกชื่อเขาอีกครั้งด้วยเสียงอันสั่นเทา มือไม้เย็นชืดเพราะคนที่ปรากฏด้านหลังของเซนคือปีศาจในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ฉับพลันที่ความทรงจำไหลเข้ามาในหัว มันเป็นความฝันเมื่อครั้งก่อนที่เคยลืมเลือนไปแล้ว 'อัสโมดาย' โผล่ออกมาได้ยังไง

"เจอกันอีกแล้ว"
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปากของปีศาจ ในตาสีแดงก่ำจับจ้องมาที่ผมด้วยแววตาซุกซน มือเรียวยาวกำลังคืบคลานขึ้นมาจับช่วงลำคอของเซนไว้แล้วออกแรงบีบจนผมเผลอกันหายใจและก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว ในหัวโอดครวญเพียงแค่ 'อย่าทำร้ายเซน' แต่ไม่สามารถปริปากออกไปได้ เพื่อนสนิทของผมไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ราวกับเป็นเพียงแค่หุ่นไรชีวิตจิตใจ

"อะ อัสโมดาย อย่าทำอะไรเซนเลยนะ"
ผมเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แข้งขาอ่อนจนไร้เรี่ยวแรงจะเดินต่อและทรุดตัวลงนั่งบนผืนหญ้าเขียวขจี ดอกกุหลาบที่ขึ้นอยู่รายรอบตัวเริ่มโอนเอนไปมาก่อนจะมีหนามแหลมพุ่งออกมาจากลำต้นและปักไปตามเนื้อตัวของผม ใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดแต่พยายามกัดฟันทนไม่ร้องแม้สักนิด เจ็บเหมือนตัวจะแตกเป็นเสี่ยง กลิ่นคาวเลือดโชยแตะจมูกจนเริ่มรู้สึกเวียนหัว ไม่ไหว ทำไมน่ากลัวแบบนี้ อัสโมดายกำลังเล่นอะไร ดูเหมือนเขากำลังสนุกเลยนะ

"หึหึ รักเขาเหรอ"

"ผ ผม..."
ผมไม่สามารถให้คำตอบนั้นได้ แต่ถ้าถามว่าชอบไหมจะตอบได้ทันทีว่าชอบ ความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก ไม่กล้ายืนยันหรอกว่าความรู้สึกที่มีให้ตอนนี้คือความรักหรือเปล่า อย่าลืมว่าปีศาจรู้ความคิดคุณดีกว่าตัวคุณเองเสียอีก

"ไม่ต้องตอบหรอก เพราะเรารู้คำตอบอยู่แล้ว"
ปีศาจบอกแบบนั้นก่อนจะขย้ำมือเรียวลงบนคอของเซนเต็มแรงจนทุกอย่างแหลกสลายลงคามือ ผมได้แต่อ้าปากค้างและปล่อยน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างเพราะไม่สามารถทำอะไรได้ มันไม่ได้น่าสยดสยองแต่อย่างใดเพราะร่างกายนั้นกลายเป็นหมอกควันสีจางราวกับเซนไม่เคยมีตัวตน

ผมสะดุ้งเฮือกและลืมตาตื่นขึ้นมาให้ห้องนอนของตัวเอง ดวงตากลมรีบมองหาเซนแทบจะในทันที เขายังคงนั่งทำอะไรอยู่หน้าจอ Mac Book ทุกอย่างปกติดีและเรื่องราวในความฝันก็ค่อยๆ เลือนหายลงไปอีกครั้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้น




------------------------------------------------------

ฝันอีกแล้ว แต่ก็ลืมอีกแล้ว.... อัสโมดายกำลังเล่นอะไรหนอ
จริงมีคนเดาถูกนะว่าอะไรยังไง แต่เฉลยของเราจะค่อยๆแง้มไปเรื่อยๆ

ปล. อ่านให้สนุกน้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้ความสนใจ ~

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
«ตอบ #56 เมื่อ07-11-2016 13:43:57 »

ลุ้นให้เซนคือร่างมนุษย์ของอัสโมดาย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
«ตอบ #57 เมื่อ07-11-2016 13:50:24 »

เพิ่งได้ตามอ่าน สนุกมากเลยค่าาาาา :katai5:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
«ตอบ #58 เมื่อ08-11-2016 18:20:43 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ W2P5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
«ตอบ #59 เมื่อ08-11-2016 20:50:23 »

ไม่แน่ใจว่าอัสโมดายใช่เซนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเราว่านะ อัสโมดายต้องน่าจะเป็นคนในครอบครัว(?) คนรู้จักไรงี้
 เซนชอบล้อเล่นอยู่เรื่อย :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด