พิมพ์หน้านี้ - >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Ch0cmint ที่ 03-10-2016 20:12:49

หัวข้อ: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-10-2016 20:12:49
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << คำโปรย -P.1- (03.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-10-2016 20:14:15
(http://i.imgur.com/H9JUQLj.png)





'ในศตวรรษที่ 21 ยังมีความเชื่อเรื่องภูติ ผี ปีศาจ หลงเหลืออยู่อีกเหรอ?'







เทวิน - Tevin

เป็นนักศึกษาทุนของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง รู้สึกไม่ทุกข์ร้อนกับการเรียนสักเท่าไหร่
นิสัยค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น พูดเก่ง ไม่กลัวสิ่งลี้ลับใดๆ กล้าได้กล้าเสีย มีอัธยาศัยดี

'อยากเห็นปีศาจตัวเป็นๆสักครั้งว่ะ หน้าตาจะน่ากลัวขนาดไหน'



เซน - Zane

เป็นนักศึกษาทุนของมหาวิทยาลัยเอกชนเช่นกัน คนที่ถือได้ว่าเพอร์เฟ็คไปทุกด้านจนใครๆต่างก็อิจฉา
มีนิสัยเงียบขรึม นิ่ง ไม่แคร์ความรู้สึกใครสักเท่าไหร่แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างเทวิน ชอบแกล้งคนอื่นอย่างหน้าตาย

'หาเรื่องนะเทวิน ตายขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้'



อัสโมดาย - Asmoday


ปีศาจที่เทวินลองเรียกมา เขาได้ชื่อว่าเป็นปีศาจที่ดีตนหนึ่งแถมยังมียศขั้นราชาในแดนนรกโกเอเทียอีกด้วย
มีนิสัยขี้เล่นชอบหยอกล้อและล่อลวงให้วิญญาณมนุษย์ตกนรก

'เรียกข้ามาแต่เจ้าไม่มีความปรารถนาหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นขอค่าเสียเวลาเป็นเรือนร่างเจ้าดีไหม?'



--------------------------------------------------------------



สารบัญ

♦ เริ่มต้น ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3488708#msg3488708)
♦ ตำราบทที่ 1 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3493958#msg3493958)
♦ ตำราบทที่ 2 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3495928#msg3495928)
♦ ตำราบทที่ 3 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3498117#msg3498117)
♦ ตำราบทที่ 4 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3499540#msg3499540)
♦ ตำราบทที่ 5 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3500811#msg3500811)
♦ ตำราบทที่ 6 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3504644#msg3504644)
♦ ตำราบทที่ 7 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3506183#msg3506183)
♦ ตำราบทที่ 8 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3508281#msg3508281)
♦ ตำราบทที่ 9 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3509827#msg3509827)
♦ ตำราบทที่ 10 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3512582#msg3512582)
♦ ตำราบทที่ 11 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3516358#msg3516358)
♦ ตำราบทที่ 12 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3519948#msg3519948)
♦ ตำราบทที่ 13 ♦ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55940.msg3524351#msg3524351)





เข้าไปเวิ่นเว่อกับเราที่เพจได้น้า https://www.facebook.com/Ch0cmint/




ผลงานทั้งหมด
♥ [เรื่องสั้น] Tweet Love (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54078) - จบแล้ว
♥ [เรื่องสั้น] Flirt (Pack x Jeans) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54393) - จบแล้ว
♥ [เรื่องยาว] Follow You คามรักคุณ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53962) - จบแล้ว
♥ [เรื่องยาว] Coffee Shop รักนี้...รสกาแฟ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54690) - ยังไม่จบ
♥ [เรื่องยาว] Day & Night เพราะว่ารัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54272) - ยังไม่จบ
♥ [เรื่องยาว] Fierce ถึงร้ายก็รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55202) - ยังไม่จบ
♥ [เรื่องยาว] Love at first sight คุณครับ...มาเป็นของผมเถอะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55408) - ยังไม่จบ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << คำโปรย -P.1- (03.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 03-10-2016 20:26:36
ตามมาให้กำลังใจเรื่องใหม่ค่ะ^^ แฟนตาซีหรอคะ น่าติดตามๆ รออ่านน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << คำโปรย -P.1- (03.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-10-2016 22:40:21
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << คำโปรย -P.1- (03.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 09-10-2016 12:01:34
เรื่องใหม่ๆ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << เริ่มต้น -P.1- (09.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-10-2016 16:02:58
- เริ่มต้น -




ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน เพราะชีวิตในแต่ละวันนั้นมีทั้งเรียนทั้งกิจกรรมสลับกันไปไม่ว่างเว้น แต่มันน่าเบื่อตรงที่ชีวิตไม่มีความตื่นเต้นให้สัมผัสเลยสักครั้ง

ชีวิตผมต่างกับคนที่เป็นเพื่อนสนิทหน้าตาหล่อเหลาหุ่นดีอย่างกับนายแบบหลุดออกจากนิตยสาร เส้นผมสีเทาเหลือบดำเพราะผ่านการทำไฮไลท์ ดวงตาคมสีเทาอ่อนจนดูน่ากลัวอย่างกับปีศาจร้าย ครั้งแรกที่เจอกันมั่นใจว่าคนๆ นี้ต้องไม่ใช่คนไทยแน่ๆ แต่มันกลับบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็น อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมสีตาผิดปกติ มองถัดลงมาจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักสีส้มอ่อน สันกรามสวยได้รูปจนน่าอิจฉา  ผิวสีแทนกระชากใจสาวๆมาพร้อมซิกแพคแน่นๆ ตรงข้ามกับแทบผมทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่บ่งบอกความเข้ากันเลยสักนิด แต่มาเป็นเพื่อนกันได้แบบงงๆ อาจเป็นเพราะว่าพวกเราเป็นเด็กทุนของมหา'ลัยเหมือนกัน

ผมชื่อ 'เทวิน' มีความหมายว่าหล่อ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงทั้งหมดทั้งมวลเมื่อประเมินจากหน้าตา ไม่ใช่ว่าขี้ริ้วขี้เหล่อะไรแต่ไม่ถึงขนาดหล่อ พอไปวัดไปวาได้คงเหมาะกับผมที่สุด ส่วนเพื่อนสนิทสุดที่รักชื่อ 'เซน' มีความหมายว่าของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งมันคงจริงในเมื่อรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ล้วนแล้วแต่ดีทั้งนั้น อาจยกเว้นเรื่องนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไว้อย่างหนึ่ง เพราะไม่เคยเจอรักแท้จึงไม่คิดจะหยุดอยู่ที่ใคร

"วิน"

"....."

"ไอ้วิน"

"หืม อะไร?"
ผมหลุดจากภวังค์ความคิดเพราะเสียงทุ้มนุ่มของเซนเรียกชื่อ ตอนนี้เราทั้งสองคนอยู่ในคอนโดมืดสลัวเพราะไฟฟ้าเกิดดับขึ้นมากะทันหัน ตอนแรกผมว่าจะกลับบ้านแต่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก่อนเลยไม่อยากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว จำใจทนนั่งอยู่หน้าเปลวเทียนวูบไหวและเพิ่งสังเกตว่าตัวเทียนเป็นสีฟ้าครามแปลกตา

"เหม่ออะไร? เรียกแล้วไม่ตอบ"
เซนเป็นคนประหยัดคำพูดจนหลายๆ คนหาว่าหยิ่ง แต่สำหรับผมแล้วนี่คือนิสัยปกติของเขา เงียบ นิ่งเป็นประจำ แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดี คอยช่วยเหลือกันยามลำบากทุกครั้ง ผมเลิกคิ้วมองแล้วส่ายหน้าช้าๆ เมื่อครู่ไม่ได้เหม่อนะ แค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง

"คิดอะไรนิดหน่อย แล้วนี่เราจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม?"
ผมถามกลับไปก่อนจะเป่าเปลวเทียนให้วูบไหวเล่น เงาที่ปรากฏบนผนังแลดูน่ากลัวอยู่ในที แต่มันแค่เรื่องเล็กเพราะเราทั้งสองคนไม่เคยกลัวสิ่งลี้ลับใดๆ อาจเพราะไม่เคยเจอจังๆ มาก่อนก็เป็นได้

"ทำไม อยากออกไปข้างนอกเหรอ?"
เขาถามขึ้น ดวงตาสีเทาจับจ้องเปลวเทียนอย่างไม่ลดละ กลิ่นมิ้นท์จางๆ จากตัวเซนลอยฟุ้งในอากาศ เมื่ออยู่ใกล้ๆ กันมันจะชัดเจนในโสตประสาทการรับกลิ่นของผมเสมอ เป็นแบบนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไร... ช่างมันเถอะ ผมอาจจะมโนไปเองเพราะชอบกลิ่นมิ้นท์ก็ได้

"เปล่า น่าเบื่อว่ะ นั่งมองเทียนกันอยู่แบบนี้"
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราสองคนต้องมานั่งมองเทียนเล่มสีฟ้าแปลกตากันด้วย นึกแล้วก็หลุดยิ้มออกมากับความบ้าของตัวเองและคนตรงหน้า ความรู้สึกเคอะเขินเวลาอยู่ด้วยกันสองคนตอนไฟดับแบบนี้มันก็แปลกดี

"หรือมึงจะมองตากู"
คำถามทีเล่นทีจริงทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ เรื่องอะไรที่เราต้องมานั่งมองตากันท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ด้วย ถ้ากับสาวๆ จะไม่ว่าอะไรเลย แถมจะชวนขึ้นเตียงซะด้วยซ้ำเพราะสายฝนกำลังเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้อากาศเย็นลงจนต้องการความอบอุ่น อย่าทำอะไรน่าขนลุกกันจะได้ไหม เป็นเพื่อนก็เว้นๆ บ้างเถอะ ไม่ใช่คู่นอน

"มองก็เหี้ยแล้วเซน ขนลุก"
ผมพูดก่อนจะเบ้ปากใส่คนที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ไอ้นิสัยนิ่งเงียบของเซนบางครั้งมันก็แค่ฉากบังหน้าที่ไม่สวยหรูสักเท่าไหร่ เขาเป็นคนขี้แกล้ง แกล้งแบบหน้าตายแถมยังชอบทำให้ผมใจสั่นเสมอด้วย ถ้าเกิดหวั่นไหวขึ้นมาคงไม่โทษใครหรอก โทษเซนนี่ล่ะ

"กลัวหวั่นไหวก็บอกตรงๆ"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเซนมีพลังจนน่าแปลกใจ ผมไม่อาจปฏิเสธเขาได้ในทันทีเหมือนทุกๆ ครั้งที่โดนเขาหยอดคำหวานหรือแกล้งอะไรที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ เหมือนมีมนตร์สะกดตรึงให้ผมหลงใหลในทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบรวมเป็นผู้ชายคนนี้ เซนไม่เคยแสดงออกว่ารักใคร เหมือนกับเขาไร้หัวใจ

มิตรภาพระหว่างเราบางครั้งก็เหมือนว่ามันเป็นของจอมปลอมเพียงแค่ภาพลวงตาที่สร้างขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมผมพอใจกับปัจจุบันที่เป็นอยู่ เคยถามตัวเองหลายครั้งว่าหลงรักเขาหรือเปล่า แต่คำตอบช่างเลือนรางจนต้องสลัดออกจากความคิดไปซะทุกครั้ง ไม่มีคำตอบของคำถามมาเป็นปีๆแล้ว และคิดว่ามันคงไม่มีต่อไป

"เลิกแกล้งกูได้แล้ว ไม่งั้นจะกลับบ้านแล้วนะเว้ย"
แกล้งขู่เขาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ทั้งๆ ที่หัวใจกำลังเต้นระรัว ไม่รู้ว่าอาการพวกนี้เริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยซ้ำ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว และมันน่าเป็นห่วงกลัวว่าความรู้สึกจะถลำลึกจนเกินเยียวยา การแอบรักเพื่อนสนิทมีเปอร์เซ็นผิดหวังเยอะ ใครๆ ก็รู้ดี

"อยากกลับก็กลับ ใครห้าม"
เซนยักคิ้วกวนๆมาให้กัน ผมได้แต่เบ้ปากใส่เขาอย่างหงุดหงิด เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ผมขู่เขา เซนไม่เคยอ้อนวอนแม้แต่นิดเดียว ไม่มีแม้สักครั้งที่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีจุดอ่อนบ้างหรือเปล่า บางครั้งผมก็สงสัยจนเก็บไปคิดมากเลยทีเดียว

"ง้อกันบ้างก็ไม่มีวะคนเรา"
ผมกอดอกแล้วทิ้งตัวพิงโซฟาหนักๆด้วยแรงอารมณ์คุกรุ่น เซนเลิกคิ้วมองกันเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่กวนโอ้ยอะไรแต่เขาจะรู้ไหมว่าทำให้ใครต่อใครหลงใหลมากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นบรรดาเพื่อนร่วมสาขา คนร่วมคณะ หรือแม้แต่คนทั้งมหา'ลัยก็ดูเหมือนจะชื่นชอบในตัวเขากันทั้งนั้น

มีรุ่นพี่เคยทาบทามให้ประกวดเดือน เซนไม่ประกวดเพราะไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ทาบทามให้ไปถ่ายนิตยสารวัยรุ่น เซนไม่ทำเพราะเหตุผลเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่มีใครสามารถบังคับใครได้ ผมเลยไม่คะยั้นคะยอหรือรบเร้าให้เขาทำให้สิ่งที่ไม่ชอบ

"ไม่ใช่แฟนกูสักหน่อย"

"เพื่อนก็ง้อกันได้ปะวะเซน แม่ง!"
ผมกระแทกเสียงแล้วหลับตาลงหวังระงับอารมณ์ที่เดือดปะทุลง ประสาทการรับเสียงได้ยินการเคลื่อนไหวของเซนและรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ขยับเข้ามาใกล้ จนในที่สุดร่างของผมถูกเขาดึงเข้าไปกอดไว้ ใบหน้าซุกลงตรงซอกคอจนได้กลิ่นหอมสดชื่นของมิ้นท์ อีกแล้ว ได้กลิ่นอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ฉีดน้ำหอม ลูกอม หมากฝรั่งก็ไม่ได้กิน แปลกมาก แปลกจริงๆ

"อย่าโกรธ แค่ล้อเล่น"
เสียงทุ้มปลอบประโลมกันอย่างอ่อนโยน สัมผัสบริเวณต้นคอทำให้อ่อนระทวยได้ไม่ยากในเมื่อจมูกโด่งฝังลงไปราวกับจะย้ำเตือนว่าร่างกายของผมมีเขาเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว อย่าเพิ่งตกใจไป เราไม่เคยมีอะไรกัน ก็แค่สัมผัสบางเบาที่เซนมักบอกเสมอว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน แต่ผมมักตั้งคำถามเสมอว่า 'เพื่อนคนอื่นๆ เขาทำแบบนี้กันเหรอ เหมือนที่เรากำลังทำกันอยู่หรือเปล่า' แต่มันไม่เคยมีคำตอบกลับมาเลยสักครั้ง ช่างมันเถอะ เป็นแบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

"ทำไมชอบแกล้งกันจังวะ?"
ผมถามกลับไปเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังคงซุกอยู่ที่เดิม คอยสูดกลิ่นผิวกายหอมเย็นของคนตรงหน้า บางครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าเซนมีบรรยากาศรอบตัวที่แปลกประหลาดจะว่าสว่างสดใสเหมือนพระเจ้าก็ไม่ใช่จะมืดดำอย่างปีศาจก็ไม่เชิง แต่มันแฝงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม เพราะแบบนี้เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาตีสนิทสักเท่าไหร่ แต่ก็ยกเว้นบรรดาหญิงสาวคู่นอนของเขานะ ถวายตัวถึงห้องกันเป็นว่าเล่นเลย

"สนุกดี"
คำตอบมาพร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะจนนึกหมั่นไส้เลยอ้าปากงับลงบนลาดไหล่กว้าง เซนสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ร้องออกมาสักนิดแถมยังเพิ่มแรงกอดรัดรอบเอวกันเข้าไปอีก นี่จะให้ผมร่วมร่างกับตัวเขาเลยหรือไง ช่องว่างให้อากาศผ่านระหว่างเราแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว

"เก็บไปแกล้งคู่นอนมึงโน่นไป ปล่อย!"
ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเซน แต่ไม่มีท่าทีว่าจะได้รับอิสระเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ขนาดตัวก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้แรงเยอะกว่าขนาดนี้ หลังจากประเมินสถานการณ์ราวๆสามสิบวินาทีแล้วว่าไม่มีทางชนะเลยกลับมานิ่งปล่อยให้เซนกอดเหมือนเดิม ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาเบาๆ มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะแบบนี้

"พูดจริงหรือประชด หืม?"
ทำไมต้องถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแบบนั้น ถ้าแคร์ความรู้สึกกันจริงๆ แล้วจะนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไปทำไมกัน ไม่ใช่ว่าผมพูดเพราะหึงหวง แต่พูดด้วยความรู้สึกของเพื่อนที่ถูกทิ้งขว้างบ่อยๆ เวลาที่เซนมีนัดซ้อนกับเธอๆ ทั้งหลาย เขาไม่เลือกนัดของเราแม้แต่สักครั้งเดียว

"อยากได้คำตอบแบบไหน จะตอบให้"
สุดท้ายผมก็ไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่ตามใจคนที่รอฟังคำตอบเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่อยากทะเลาะกัน ไม่อยากผิดใจกัน ผมมีลางสังหรณ์ว่าถ้าหากเกิดทำตัวไร้เหตุผลงี่เง่าขึ้นมาเราจะไม่มีเราอีกต่อไป อาจจะเป็นความกลัวบ้าบอของคนๆ เดียว

"พูดจริง"
คำตอบสั้นๆทำให้หัวใจกระตุกวูบ มันปวดแปลบอย่างกับคนกำลังผิดหวัง ใช่ ผมกำลังผิดหวังกับสิ่งที่เซนต้องการ เขาไม่ใช่คนคิดมาก และเราทั้งคู่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันคงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ก็แค่เพื่อนเท่านั้น

"ก็...ตามนั้น ปล่อยได้แล้ว ร้อน"
ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเหมือนรำคาญ จริงๆแล้วแค่หาทางรอดก็เท่านั้น และเหมือนเซนจะยอมใจอ่อนแล้วคลายอ้อมกอดแข็งแกร่งออก เขายกยิ้มเล็กน้อยตอนเห็นผมขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟาแทน มีปัญหาหรือยังไงในเมื่อนั่งพื้นมันปวดก้น จะนั่งต่อให้โง่ทำไมล่ะ

"อาบน้ำไหม? จะได้สดชื่น"
เซนถามแล้วทิ้งตัวพิงหลังลงบนโซฟาใกล้ๆ กับช่วงขาของผม ดวงตาสีเทาเลื่อนไปจับจ้องเปลวเทียนวูบไหว มือเรียวสวยเล่นกับแสงเงาจนเกิดรูปร่างบนผนัง ผมเหลือบสายตามองตามแล้วต้องชะงักเมื่อวูบหนึ่งมันปรากฏภาพคล้ายปีศาจมีเขาแหลมน่าเกรงกลัว

"เทวิน"
เสียงเรียกทำให้ผมหลุดจากภวังค์ เซนขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงไปหมด ดวงตาสีเทาฉายแววสงสัยอย่างไม่ปิดบัง แต่...ทำไมล่ะ ผมทำอะไรผิดไปตอนไหนหรือเปล่า ทำไมถึงมองกันแบบนั้นล่ะ

"หือ เรียกทำไม?"
ผมเลิกคิ้วก่อนจะถามกลับไป แต่เซนไม่ได้ตอบในทันที เขาเคลื่อนตัวขึ้นมานั่งข้างๆกันก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าบังคับให้สบตา อยากจะหลบเลี่ยงดวงตาคมที่แสนมีเสน่ห์ กลัว กลัวว่าจะหลงใหลมันจนถอนตัวไม่ขึ้น กลัวว่าวันหนึ่งจะอยากเป็นผู้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว ผมกรอกตาไปทางขวาอย่างไม่มีทางเลือก ก็ยังดีกว่ามองสบกันตรงๆล่ะนะ

"เทวิน มองตากู"
น้ำเสียงขอร้องกึ่งบังคับดังขึ้น สัมผัสได้ถึงแรงที่เพิ่มขึ้นตรงใบหน้าจนไม่อาจปฏิเสธการสบตาได้ มองแล้วจะทำอะไรต่อนั่นเป็นคำถามที่ผุดขึ้นในสมองทันทีแต่ผมไม่ถามออกไป เพราะมันดูงี่เง่าที่คนเราจะถามไปซะทุกเรื่อง และเมื่อไหร่ที่เซนเรียกชื่อเต็มกันแสดงว่าเขากำลังจริงจัง

"อะไร?"
ผมถามกลับไปสั้นๆ ไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลยสักนิด ต้องการอะไรจากคนอย่างนายเทวินที่กำลังสับสน

"จะกลับหรือยัง?"
หา... ผมอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ว่าทำไมอยู่ๆเซนก็ถามเรื่องกลับบ้านขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นเหรอ หรือเขานัดผู้หญิงเอาไว้อีกแล้ว แต่นี่มันวันของผมนะ เขาสัญญาว่าทุกวันอาทิตย์จะเป็นวันของเพื่อนอย่างผม

"ถามทำไมเซน?"
ผมถามกลับไปเสียงนิ่ง ตอนนี้ไม่กลัวการสบตาอีกแล้วเพราะในใจกำลังมีความรู้สึกหงุดหงิดเกิดขึ้น แต่เซนไม่ได้มีท่าทางกระอักกระอวนใจเลยสักนิด สีหน้าของเขายังเรียบเฉยจนไม่สามารถเดาอารมณ์ได้

"จะค้างด้วยกันไหม?"
น้ำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังชวนไปกินข้าวเย็น ผมอ้าปากค้างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปอีก เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่รู้จักกันมาที่เซนชวนค้างด้วยกัน แปลกมากถึงมากที่สุด แปลกจนต้องถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ

"อะไรนะเซน มึงประสาทกลับเหรอ รู้จักกันมาเป็นปีๆ มึงไม่เคยชวนกูค้างเลยนะ มีแต่จะไล่กลับบ้านตลอด"

"ถามก็ตอบ ไม่ใช่ให้ถามกลับ"
น้ำเสียงของเซนแข็งกระด้างจนผมใจหาย ทำไมต้องจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย ก็แค่ถาม... มันตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอ

"เซน... กูแค่อยากรู้เหตุผล"

"ตอบ"

"เซน กูอยาก..."
ผมชะงักไปเพราะเซนออกแรงบีบปลายคางผมเอาดื้อๆ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทำอะไรผิดไปตอนไหนกันแน่ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลย

"ตอบมา"

"เซน กูเจ็บ"
ผมบอกก่อนจะนิ่วหน้าและพยายามแกะมือของเขาออกจากใบหน้า ดวงตาสีเทาวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะยอมละมือออกไป เซนถอยห่างออกไปเล็กน้อยก่อนจะเสมองไปทางอื่น

"ขอโทษ"
เสียงเขาเบาหวิวราวกับเสียงกระซิบ มือเรียวเกาะกุมบีบกันอยู่บนตัก ผมส่ายหน้าช้าๆ สื่อความหมายว่าไม่เป็นไรก่อนจะซบหัวลงกับลาดไหล่แกร่ง เป็นอย่างนี้เสมอเมื่อสัมผัสได้ว่าเซนกำลังมีเรื่องเครียด ผมจะออกอาการอ้อนอีกคนให้ลืมเรื่องรกสมองซะ

"กูค้างกับมึงก็ได้ ไม่ถามเหตุผลแล้ว"
เหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากอีกคน ผมคลี่ยิ้มบางทั้งๆ ที่ยังซบไหล่เซนอยู่ ถ้าอะไรที่ทำให้เขาสบายใจได้ผมก็พร้อมที่จะทำ ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา

"เซน... กูถามอะไรได้ปะ?"
ตอนนี้เปลี่ยนจากผมซบไหล่เขากลายมาเป็นเขานอนบนตักผมแทน ดวงตาสีเทาปิดสนิท สองแขนกอดอกตัวเองเอาไว้ ดูๆไปเป็นท่านอนที่อึดอัดพอสมควรก็ว่าได้

"อืม ถามมา"
เสียงตอบรับดังขึ้นทั้งๆที่เปลือกตายังปิดสนิท อุณหภูมิในร่างกายของเซนร้อนผิดปกติ ผมเคยกลัวว่าเขาจะไม่สบาย แต่ได้รับคำตอบมาว่า 'กูเป็นคนตัวร้อนมาก' ก็เลยคลายกังวลลงไป

"มึงใช้ครีมอาบน้ำกลิ่นมิ้นท์ หรือ เปปเปอร์มิ้นท์ปะวะ? กูได้กลิ่นจริงๆ นะ"
ผมก้มลงมองเซนที่ยังนอนหลับตาอยู่ มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกวน นึกหมั่นไส้จนใช้นิ้วมือดีดหน้าผากเบาๆ เขาลืมตาแล้วคว้ามือกันเอาไว้ไม่ยอมปล่อยก่อนดวงตาสีเทาจะเปิดขึ้น อยากจะผละออกมาเพราะตอนนี้ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ อันตรายต่อหัวใจ แต่ผมกลับขยับตัวไม่ได้ อาการแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอเมื่อเราอยู่ใกล้กันมากเกินไป

"อาจจะใช้มั้ง ชอบไหมล่ะ?"

"อะ อะไร ใช้ก็ใช้ดิ จะมาถามว่าชอบไหมทำไม"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่คิดว่าคนอย่างเซนจะมีอารมณ์หยอกล้อโดยทำสายตากรุ้มกริ่มใส่กัน นับวันชักจะแกล้งกันหนักขึ้นทุกที ไม่อยากยอมรับว่าหวั่นไหว แต่ก็แค่นั้นไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก เซนเป็นเสือผู้หญิง ผมคงเป็นเพื่อนที่คอยทำให้เขามีความสุขได้ก็แค่นั้น

"เห็นมึงหน้าแดงแล้วมีความสุข"
ยิ้มไม่พอยังเอื้อมมือมาหยิกแก้มกันอีก สนุกมากไหมได้แกล้งคนอื่นจนเขินหน้าแดงแบบนี้ ชอบเล่นกับความรู้สึกกันนัก วันไหนผมเป็นฝ่ายชนะขึ้นมาจะรอหัวเราะให้ท้องแข็งเลยเถอะ

"เหี้ยละเซน ประสาท!"
ผมโวยเสียงดังก่อนจะฟาดมือลงบนต้นแขนหนาๆ เซนไม่แสดงความเจ็บปวดเหมือนอย่างเคย เห็นแบบนี้ก็ยิ่งหมั่นไส้จนอยากกระทืบให้จมดิน แต่ใจไม่กล้าพอเพราะกลัวโดนเอาคืน

"ไม่ชอบกูบ้างเหรอ?"
ถามกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาสีเทากลับฉายแววทะเล้น ประกายในตาระยิบระยับจนผมเผลอกัดปากตัวเองแน่น ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกันกำแพงที่กั้นขวางอยู่ ณ ตอนนี้คงพังทลายไปนานแล้ว ใช้เสน่ห์ล่อลวงกันแบบนี้ใครจะทนไหว

"เอาไปถามผู้หญิงของมึงเหอะ"
ผมบอกก่อนจะจิ้มหน้าผากมันเล่น เซนไม่ได้ปัดป้องออกแต่อย่างใดและยังคงใช้ดวงตาสีเทาจ้องมองกันอย่างลึกล้ำ ไม่รู้ว่ากำลังจริงจังกับคำถามหรือแกล้งทำจริงจังกันแน่ ผมไม่เคยตามผู้ชายคนนี้ทันหรอก

"จะถามมึง"

"ไม่ชอบ พอใจยัง?"
ผมตอบกลับอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องคิด ทั้งๆ ที่ในใจยังคงตีกันวุ่นวาย แต่อะไรบางอย่างกลับบังคับให้พูดออกไปแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

"ไม่พอใจ"
เซนบุ้ยปากเหมือนเด็กน้อยที่โดนขัดใจ ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแต่แสร้งทำหน้าเครียดเข้าไว้ แกล้งกลับบ้างคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง อยากรู้ว่าเซนจะทำยังไง

"แล้วจะเอายังไงเซน?"
ผมถามกลับเสียงเย็น เซนจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างไม่ลดละ รู้สึกว่ามีแรงกดดันแปลกๆ แผ่ออกมารอบตัวของเราสองคน

"ชอบกูสิ"
ผมสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อฟังจบ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะถอนหายใจออกไปยาวๆ แล้วโขกหน้าผากของตัวเองลงบนสันจมูกเซนอย่างหงุดหงิด แกล้งกันอีกแล้ว แกล้งไปแล้วมีความสุขมากหรือไงกัน เซนไม่ร้องเหมือนเคย ผมไม่รู้ว่าเขาเจ็บแต่อดทนหรือไม่เจ็บเลยกันแน่ หนังหนายิ่งกว่าควายอีกมั้งเนี่ย

"มึงบ้าปะเนี่ย อย่ามาแกล้ง"
ผมจ้องดวงตาสีเทาอย่างหงุดหงิด หัวใจเริ่มเต้นระรัวขึ้นมาเมื่ออยู่ๆเซนก็ผงกหัวขึ้นจนริมฝีปากเราแทบจะแตะกัน ผมผละตัวออกด้วยความตกใจ รู้สึกว่าหน้าร้อนวูบวาบเหมือนจะระเบิด ดีนะที่ไฟยังไม่มา แสงเทียนคงทำให้มองเห็นได้แค่ลางๆเท่านั้น

"จริงจังเหรอ?"
เซนลุกขึ้นแล้วหันมาเผชิญหน้ากัน ผมหลบสายตาเขาทันทีเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้หัวใจสั่นไหว ถ้าเกิดปากแตะกันขึ้นมาจะมองหน้ากันยังไงไหว

"เปล่า กูแค่คิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาล้อเล่น"
ผมพูดสิ่งที่คิดออกไปเบาหวิว อยากตบปากตัวเองสักครั้งสองครั้งโทษฐานที่ไม่สามารถหนักแน่นในคำพูดของตัวเองได้

"กูขอโทษแล้วกัน ไม่งอนนะ"
เซนพูดออกมาก่อนจะดึงแก้มผมเบาๆแล้วคลี่ยิ้มหวานละมุนมาให้ ผมเบะปากใส่เขาแล้วปัดมือเรียวออก ทำแบบนี้จะให้ใจแข็งยังไงไหว แพ้ทุกครั้ง ยอมทุกครั้ง เกลียดตัวเองจริงๆ

"เออแม่ง แล้วเมื่อไหร่ไฟจะมาวะ?"
ผมบ่นงุ้งงุ้งก่อนจะลุกขึ้นไปที่ประตูระเบียงแล้วเปิดมันออก ลมหนาวกลางเดือนกรกฎาคมเพราะฝนตกพัดเข้ามาปะทะใบหน้าพร้อมกับละอองหยาดน้ำ บรรยากาศแทบจะโรแมนติกเลยก็ว่าได้ ถ้าไฟไม่ดับน่ะนะ ไกลออกไปมีแสงไฟสว่างระยิบระยับ เดาได้ว่าย่านกลางเมืองคงเป็นแห่งเดียวที่ไฟดับ และไม่นานก็แว่วเสียงฝีเท้าของเซนเดินตามมาหยุดยืนข้างๆ กัน

"โดนละอองฝน เดี๋ยวก็ไม่สบาย"
ผมเหลือบมองเขาก่อนที่เขาจะหันกลับมาประสานสายตากัน สุดท้ายฝ่ายที่ใจแข็งไม่พอเลยต้องเบนหน้ามองไปทางอื่นเพื่อหนีดวงตาสีเทาสุดลึกล้ำ

"ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น"
ผมว่ากลับไปก่อนจะเสยผมที่เริ่มเปียกชื้นขึ้นลวกๆ ถึงจะเปียกไปหน่อยแต่ก็ดีกว่านั่งอุดอู้อยู่ในห้อง เซนไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่สนใจกันอีก ผมไม่ได้ว่าอะไร เรายังคงยืนมองสายฝนที่หล่นจากฟ้าเงียบๆ จนในที่สุดแสงสว่างก็กลับคืนสู่ใจกลางเมือง

"โอ๊ะ ไฟมาแล้ว!"
ผมเป็นคนแรกที่หมุนตัวกลับเข้าห้องทันทีที่ไฟมา หวังว่าจะเดินไปดับเทียน แต่สายลมวูบหนึ่งกลับทำให้มันดับลงจนผมต้องชะงักฝีเท้าอยู่ตรงนี้ ห่างออกไปแค่สองสามก้าวเท่านั้น ผมเพ่งมองเทียนสีฟ้าครามด้วยความฉงน ไม่มีน้ำตาเทียน มันหมายความว่ายังไงกัน

"เซน เทียนนี่ไม่มีน้ำตาเทียนเหรอวะ?"
ผมหันกลับไปถามคนที่มายืนซ้อนหลังกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ ยอมรับว่าตกใจเล็กน้อยที่โดนประชิดตัวขนาดนี้ แต่ก็เป็นธรรมดาไปซะแล้วที่บางครั้งเซนจะเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง

"อืม ไปอาบน้ำสิจะได้ออกไปหาอะไรกิน"
เซนพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินเข้าไปคว้าเทียนนำไปเก็บไว้ ผมมองตามด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่สุดท้ายก็ตัดใจแล้วทำตามที่เขาบอก อืม... เหมือนจะลืมอะไรบางอย่างหรือเปล่านะ

"เซน กูจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่?"
ตะโกนถามเซนที่ยังคงเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนผมโผล่หัวออกมาจากประตูห้องน้ำเพราะถอดเสื้อผ้าทิ้งไปหมดแล้ว เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเดินตรงมาหากัน หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อคิดได้ว่าตัวเองกำลังโป๊ ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน มีอะไรคล้ายกัน แต่ก็ไม่หน้าด้านพอจะโชว์ร่างกายเปลือยเปล่าต่อหน้าใคร

"เดี๋ยวเตรียมให้ จะรอเอาหรือค่อยออกมาใส่?"
พูดจบก็เหมือนจะหมุนตัวหนีจากกันซะเดี๋ยวนี้ ยังไม่ได้คำตอบเลยจะรีบไปไหนล่ะ ผมไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเซนสักเท่าไหร่ เหมือนคนที่คิดจะทำก็ลงมือทำเลย ไม่รอช้าอะไรประมาณนั้น มันเลยเป็นเหตุให้ผมตามเข้าไม่เคยทันอีกข้อหนึ่ง

"เฮ้ย รอฟังกันก่อนดิ"
ผมท้วงขึ้น เซนที่หันหลังให้กันเอี้ยวหน้ามามองก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้อย่างเจ้าเล่ห์ ถ้าผมเดาไม่ผิด สิทธิ์ในการเลือกของผมคงโดนตัดไปแล้วสินะ

"ไม่ฟัง กูตัดสินใจแล้ว"
ว่าแล้วไง จะถามทำไมให้เปลืองน้ำลายถ้าจะคิดแทนกันขนาดนี้ ผมอยากโวยวายนะ แต่คืนนี้อาศัยเขานอนด้วย ไม่อยากเรื่องมากสักเท่าไหร่ ตามใจเจ้าของห้องหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

"เผด็จการฉิบหาย"
ผมบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว แต่เหมือนคนที่อยู่ไกลออกไปจะหูดีเกินเหตุไปแล้ว ถ้าฟุ้งซ่านหรือจินตนาการสูงหน่อยคงคิดว่าเซนไม่ใช่คนแล้วล่ะ

"บ่น"
เสียงแซะกันเบาๆลอยมากระทบโสตประสาทจนผมต้องย่นจมูกใส่แผ่นหลังกว้างก่อนจะกลับเข้าไปในห้องน้ำและลงมือชำระร่างกายในเวลาต่อมา ครีมอาบน้ำที่ได้ใช้เป็นกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ รู้สึกผ่อนคลายจนอยากจะนอนแช่น้ำในอ่าง แต่เกรงใจเจ้าของห้องที่นั่งรอกันอยู่ด้านนอก ถ้ามีโอกาสมาค้างอีกขอสัญญาว่าจะลงแช่น้ำให้ได้ แล้วจะซื้อ Bath Bomb มาโยนลงอ่าง ฟู่ ~

ผมนุ่งผ้าขนหนูสีขาวออกมาจากห้องน้ำอย่างเคอะเขิน เรื่องอะไรที่ต้องมาเปลือยท่อนบนให้เพื่อนสนิทมองไม่วางสายตาขนาดนี้ จะจ้องให้มันละลายเปื่อยยุ่ยกองลงตรงหน้าเลยหรืออย่างไร ก็ไม่ใช่ว่าหุ่นจะน่ามองอะไร ติดจะผอมจนไม่มีกล้ามเนื้อสวยๆ เสียด้วยซ้ำ

"มองอะไรนักหนาวะ?"
ผมเบี่ยงตัวหันหลังให้กับเซนที่นั่งรออยู่บนโซฟาตัวเดิม เสื้อผ้าวางกองอยู่ด้านข้าง ไม่คิดจะอำนวยความสะดวกให้กันหรือยังไง

"อยากมอง ไม่ได้หรือไง?"
คำถามกวนโอ้ยจนไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง แถมมันทำให้หน้าร้อนวูบวาบชอบกล ทำไมต้องเกิดอาการเขินขึ้นมาดื้อๆ ด้วยวะ นี่เพื่อนสนิทนะ ขอร้องอย่าหวั่นไหวจนทำให้กลัวใจตัวเองแบบนี้จะได้ไหม

"ไม่มีอะไรน่ามอง หยิบเสื้อผ้าส่งมาหน่อย?"
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อจะรอรับเสื้อผ้าจากอีกฝ่าย แต่จนแล้วจนรอดทุกอย่างกลับนิ่งสนิทจนต้องหันไปขมวดคิ้วมองเซนที่นั่งกระดิกเท้าไม่สนใจใยดีคำสั่งของผมแม้แต่นิดเดียว กวนตีนที่หนึ่งเลยคนอะไร!

"หยิบเองสิ"

"มึงนั่งขวางทางไงที่ก็แคบ หยิบมาให้มันจะตายเหรอเซน"
ผมจิ๊ปากใส่เซนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ ทำไมไม่รู้สึกรู้สาขนาดนี้นะคนเรา แถมยังยิ้มมุมปากใส่กันแสดงความเจ้าเล่ห์อีก สภาพตอนนี้ก็ใช่ว่าจะพร้อมสู้รบปรบมืออะไรกับเขา นุ่งผ้าผืนเดียวจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่อยู่แล้ว

"เซน เอาเสื้อผ้ามา"
ผมบอกเสียงแข็งแล้วหันไปเผชิญหน้ากับเซนโดยไม่สนอะไรอีก มันขัดใจจนเริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว เขาเงยหน้ามองกันแบบเต็มสายตา ก่อนจะได้ทำอะไรมือเรียวก็เอื้อมมากระตุกผ้าขนหนูกันอย่างหน้าด้านๆ ผมอ้าปากหวอด้วยความตกใจรีบคว้าไว้ทันที หมิ่นเหม่จนแทบกัดลิ้นตัวเองตายซะให้ได้ เพราะผ้าปิดบังแค่ส่วนสำคัญกับขาอีกด้านหนึ่งเท่านั้น!

"ไอ้บ้าเซน ทำอะไรของมึงเนี่ย!"
ผมรีบนุ่งผ้ากลับเหมือนเดิมแล้วถอยห่างออกมาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง เซนหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะยอมส่งเสื้อผ้าให้กัน แต่พอยื่นมือออกไปรับเขากลับดึงเข้าหาตัวอีกครั้ง ผมทนไม่ไหวเลยยกนิ้วกลางใส่พร้อมกับแยกเขี้ยวขู่

"หมาว่ะ"

"เออ จะกัดแล้วนะเว้ย ส่งมา!"
ผมแหกปากใส่แล้วกำหมัดต่อยลงบนอกแกร่งของเซน เขาทำหน้ายุ่งก่อนจะยอมส่งเสื้อผ้าให้กันดีๆ ผมรีบดึงมากอดไว้แล้วเดินดุ่มๆ ไปใส่เสื้อผ้าทันที หงุดหงิดเว้ย แกล้งอะไรนักหนานะคนเรา สนุกมากนักใช่ไหม สักวันจะเอาคืนให้สาสมเลยเซน!





--------------------------------------------------------


มาอัพบทนำให้อ่านกันไปพลางๆเนอะ 555555
ช่วงนี้ไม่ค่อนว่างเลย มาอัพนิยายถี่ๆไม่ได้ ฮือ
แต่สัญญาว่าจะพยายามาอัพให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เนอะ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << เริ่มต้น -P.1- (09.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-10-2016 21:16:29
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << เริ่มต้น -P.1- (09.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 10-10-2016 09:02:13
อ่านแล้วเคืองเซนจริงๆ  :angry2:สนุกกับการล้อเล่นกับความรู้สึกไปไหม

คอยปั่นหัวปั่นอารมณ์เทวิน ทำเหมือนคิดแล้วทำท่าไม่คิด

น่าสงสารเทวินที่ต้องยอมทนให้เขาปั่นหัวใจเล่นๆจริงๆค่ะ

รอการปรากฏตัวของอัสโมดาย ด้วยใจจดจ่อนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << เริ่มต้น -P.1- (09.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dark-soleil ที่ 10-10-2016 10:41:56
เซนไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ไม่ชอบที่เล่นกับความรู้สึกเทวินเลยอ่ะ สนุกค่ะ รออ่านตอนต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << เริ่มต้น -P.1- (09.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 10-10-2016 11:41:40
แลดูน่าสนุกอะ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << เริ่มต้น -P.1- (09.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-10-2016 22:49:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 1 -P.1- (18.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 18-10-2016 09:34:51
ตำราบทที่ 1




'And this, too, shall pass away'
แล้วมันจะผ่านพ้นไป



แสงแดดยามเช้าเป็นอุปสรรคในการนอนอย่างน่ากลัว มันลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบเปลือกตาจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไว้ ถึงแม้ว่าอุณหภูมิในห้องนอนจะร้อนขึ้นแต่เจ้าของเตียงนอนยังไม่พร้อมจะลุกไปไหน ด้วยความขี้เกียจที่เกาะกุมไปทั้งร่างกาย สมองสั่งแต่เพียงว่า หลับตา หลับตา และนอนเท่านั้น

กลิ่นหอมเย็นของมิ้นท์ที่คุ้นเคยลอยมาปะทะจมูกโด่งได้รูปทำให้จิตสำนึกและประสาทรับรู้ตื่นตัวทันทีว่าไม่ได้นอนอยู่ห้องของตัวเอง แต่เป็นห้องของเพื่อนสนิทที่ตกลงค้างด้วยไปเมื่อคืน ลองขยับตัวไปอีกนิดจะชนเข้ากับอกแกร่งขยับหายใจขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ ผมสีดำค่อยๆ โผล่พ้นผ้าห่มออกมาจนลูกตาสีน้ำตาลจ้องมองคนข้างๆ ได้ถนัด

"คนบ้าอะไรนอนหลับก็ยังหล่อ"
ผมมองสำรวจเซนตั้งแต่หน้าผากไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงปลายคางสวยได้รูป ราวกับรูปปั้นเทพเจ้ากรีกก็ว่าได้ ทุกอย่างดูดีและลงตัวไปซะหมด น่าหลงใหลอย่างที่ใครๆ เขาพูดกัน ถ้าใครได้มาสัมผัสเขาในมุมของผมคงช็อกตายไปแล้วล่ะมั้ง... ก็เจ้าตัวเล่นถอดเสื้อนอนขนาดนี้ เหมือนจะอ่อยกันกลายๆ

"คนสติดีอย่างกูนี่ล่ะ"
เสียงทุ้มตอบกลับมาทั้งๆ ที่เปลือกตายังปิดสนิท ผมผงะถอยออกมาอย่างรวดเร็วจนผ้าห่มร่นหลุดออกจากตัว ใครจะไปรู้ว่าตื่นแล้ว เห็นนอนนิ่งอย่างกับคนตาย

"ตื่นแล้วทำไมไม่บอกวะ"
ผมถามออกไปแล้วลุกขึ้นขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงกว่าเดิม ใบหน้ายับยู่ยี่เพราะเผลอหลุดปากชมเพื่อนสนิทออกไป อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน จะซุกเป้าตัวเองก็ดูอนาจารเกินไป

"เรื่องอะไรที่กูจะต้องบอกมึง"
เซนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนๆ ผมหันกลับไปก็เห็นเขานอนยักคิ้วให้กัน มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มยียวนจนอยากถีบให้กระเด็นลงจากเตียง ผมเบ้ปากใส่แล้วยกหมอนขึ้นฟาดลงไปแรงๆ เกลียดนักคนปากหมา

"มึงมันกวนตีน!"
ผมโวยเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกระทืบเท้าหนีเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน แต่อย่าคิดว่าจะได้ทำธุระอย่างสงบสุขเพราะเซนเดินตามเข้ามายืนข้างๆ กันแล้วหยิบแปรงฟันไป

"ทำอะไร"
ผมถามด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะตอนนี้ฟองของยาสีฟันเต็มปาก มันเลอะออกมาด้านนอกด้วยเถอะ เป็นภาพที่ไม่ชวนมองเท่าไหร่ เซนมองกันแล้วไหวไหล่ก่อนจะเอื้อมหยิบยาสีฟันมาบีบแล้วลงมือแปรงฟันข้างๆ กัน ผมหมั่นไส้เลยแกล้งกระแทกไหล่เขาไป เลิกสนใจแล้วกลับไปทำธุระของตัวเองให้เสร็จดีกว่า

"นี่... เหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามันเลยนะ แปรงฟันพร้อมกัน"
น้ำเสียงหยอกล้อดังมาจากคนข้างๆ ที่ตอนนี้ยืนเช็ดหน้าอยู่ ผมที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จหันขวับไปมองด้วยสายตาเอาเรื่อง มันใช่ประโยคที่ควรเอามาพูดกับผู้ชายด้วยกันหรือพูดกับเพื่อนสนิทหรือยังไง น่าตบให้หัวทิ่มอ่างล้างหน้าจริงๆ

"เลิกกวนตีนตั้งแต่เช้าสักที"
ผมว่าก่อนจะผลักไหล่มันไปไกลๆ แล้วแทรกตัวออกมาจากห้องน้ำทั้งๆที่ยังไม่ได้เช็ดหน้า แว่วเสียงหัวเราะดังขึ้นมาแล้วอยากเดินกลับไปผลักหัวสักที น่าหงุดหงิดเป็นบ้า ไม่รู้ว่าทนคบกันมาได้ยังไงเป็นปีๆ

ผมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาแล้วมองสำรวจไปรอบๆ จริงๆแล้วชอบการตกแต่งห้องของเซนนะ มันเรียบง่ายและมีสีสันไม่ฉูดฉาดจนเกินไป โทนสีเทาจะว่าสวยก็สวยจะว่าอึมครึมก็คงใช่ เสียงฝีเท้าจากด้านหลังทำให้ผมหยุดการกระทำลงแล้วเงยหน้าไปมอง มือเรียวส่งนมกล่องมาให้กัน

"เอาไปกินรองท้อง"
เขาว่าก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆกัน ผมรับนมกล่องว่าแล้วเอ่ยขอบคุณ แทนที่จะชวนกันไปกินข้าวกลับเดินไปหาของกินรองท้องมาให้เนี่ยนะ... ก็ดี คงช่วยประทังชีวิตไปอีกครึ่งชั่วโมง

ผมนั่งดูดนมจนหมดกล่องแล้วหันมองคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งอยู่สักพัก ดูเหมือนหมู่นี้เซนจะนิ่งเงียบและตกอยู่ในโลกส่วนตัวของเขามากกว่าปกติ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขาอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั่นก็ได้

"เซน"
ผมเรียกชื่อเขาไม่ดังนัก เซนหันมาสบตากันแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

"ช่วงนี้มึงดูเงียบๆ กว่าปกตินะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"

"ก็... เป็นห่วงเหรอ"
แทนที่จะตอบคำถามกลับได้คำถามมาแทน ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะผละตัวออกห่างเพราะใบหน้าของเซนเคลื่อนเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงไอร้อน อะไรที่มันใกล้เกินไปทำให้ใจสั่นทุกทีสิน่า แย่มาก อยากจะบอกให้เขาเลิกทำตัวแบบนี้อยู่หรอก แต่ผมคงเป็นโรคจิตที่เผลอชอบการกระทำแบบนั้นไปแล้ว แต่บางครั้งก็เกลียดนะ สับสนในตัวเองฉิบหาย

"ถามให้ตอบ ไม่ใช่ถามให้ถามกลับ"

"เดี๋ยวนี้ดุ"
เซนพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะใช้มือโคลงหัวกันเบาๆ ผมตวัดสายตามองเขาก่อนจะแยกเขี้ยวขู่ให้สมกับที่โดนกล่าวหา ก็ชอบแกล้งกันดีนัก ดุกลับบ้างจะเป็นไรไป แต่ก็เท่านั้น ไม่เห็นจะกลัวกันเลย เหอะ

"ดุแล้วเคยกลัวกันที่ไหน เสียแรงเปล่า"
ผมยู่ปากใส่มันแล้วสะบัดหัวแรงๆ ใส่ เซนผละมือออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะอ้าปากหาวแล้วเดินหนีไปที่ระเบียงอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก็เป็นซะแบบนี้ พูดกันไม่เคยจะจบเรื่องเดินหนีตลอด

กลิ่นบุหรี่เจือจางในอากาศทำให้ผมต้องเบ้ปาก ถึงมันจะเป็นกลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์อย่างที่ชอบก็เถอะ ทำไมไม่เลิกสูบมันสักทีทั้งๆ ที่รูปหน้าซองก็ออกจะน่ากลัวขนาดนั้น ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเดินตามอีกคนออกไปที่ระเบียง

"ติดบุหรี่หรือไง"
ผมถามออกไปเมื่อหยุดยืนอยู่ข้างๆกับเซน เขาเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยแล้วส่ายหัว ทำไมถึงปฏิเสธล่ะ ก็เห็นสูบบุหรี่บ่อยจะตายไป ไม่ติดจริงๆ น่ะเหรอ

"ไม่ได้ติด แค่อยากสูบ จะเอาด้วยไหม"
เซนถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แววตากลับเต็มไปด้วยแววทะเล้น ผมผลักมือที่ยืนซองบุหรี่มาให้แล้วเบ้ปากใส่ เขารู้ทั้งรู้ว่าผมไม่สูบยังทำแบบนี้อีก กวนประสาทชัดๆ

"กวนตีนนะมึง"
ผมว่าก่อนจะหันหลังพิงกับระเบียง ม่านสีขาวบางพริ้วไหวตามแรงลมจากด้านนอกเพราะเปิดประตูกระจกทิ้งเอาไว้ ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวเราสองคนรู้สึกกดดันแปลกๆ ถึงจะสนิทกันแค่ไหนถ้าต่างคนต่างเงียบมันก็ไม่ดีไม่ใช่เหรอ

"หิวหรือยัง"
คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยดังขึ้นจึงรับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังยืนอยู่ในรูปแบบเดียวกัน ในมือไม่มีบุหรี่อีกแล้ว ผมเหลือบมองก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เพราะท้องเริ่มประท้วงหาอาหารเช้าแบบครบชุดแล้ว

"หิวแล้ว จะให้กูทำหรือออกไปหาอะไรกิน"
ผมถามและผละตัวออกจากระเบียงแต่ต้องชะงักกึกเพราะแว๊บหนึ่งเหมือนเห็นเงาดำของอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังม่าน ครั้นจะหันไปถามเจ้าของห้องก็ไม่กล้า พอเพ่งมองดีๆ อีกครั้งเลยสรุปว่าตัวเองคงตาฝาด

"จ้องอะไร"
คำถามของเซนดึงให้ผมหลุดจากภวังค์ เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กัน ดวงตาสีเทาฉายแวววูบไหวอย่างน่าประหลาด ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผละตัวออกห่าง ทำไมช่วงนี้รู้สึกว่าเพื่อนสนิทดูแปลกไป

"เปล่า แล้วมึงจะจ้องอะไรกูเนี่ย ตอบมาได้ละว่าจะเอายังไงกับมื้อเช้า"
ผมกลบเกลื่อนความรู้สึกทุกอย่างไว้ด้วยการตั้งคำถามกลับไป รู้ว่าตัวเองคงไม่ได้คำตอบที่อยากรู้จากเขา เซนไม่เคยเอาปัญหาของเขาไปพูดหรือปรึกษากับใครทั้งนั้นและผมถือว่ามันเป็นข้อเสีย

"มึงทำแล้วจะกินได้เหรอ?"
เซนถามก่อนจะยักคิ้วกวนให้ ผมกำหมัดต่อยเข้าที่ไหล่เขาไปหนึ่งครั้งแล้วเดินหนีเข้าไปด้านใน ถ้าจะถามกันทั้งๆ ที่รู้ว่าทำอาหารเป็นมันไม่จงใจกวนตีนกันไปหน่อยเหรอ เอาสิ ผมจะไม่ทำมื้อเช้าเผื่อหรอก!

ผมย่ำเท้าตึงตังเดินเข้าไปในครัวแล้วเปิดตู้เย็นออก มันว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ขวดน้ำดื่มด้วยซ้ำ สายตาเหลือบมองไปยังเจ้าของห้องที่ยืนพิงขอบประตูแล้วขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจว่าจะเสียบปลั๊กตู้เย็นไว้ทำไมถ้าไม่คิดจะซื้ออะไรมาเติมแบบนี้ พอคิดย้อนไปกลับพบว่านมกล่องที่ยื่นให้กันเมื่อเช้าก็ไร้ความเย็นเหมือนกัน เชื่อเขาเลย

"จะเสียบปลั๊กตู้เย็นไว้ทำไม เปลืองไฟ!"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักก่อนจะปิดประตูตู้เย็นลงอย่างหมดหวัง เซนหัวเราะเบาๆ แล้วเดินมาใกล้กันแล้วพูดในสิ่งที่ทำให้ผมแทบกัดหัวเขาขาด

"จะให้บารอนเข้าไปนอนไง"
เซนพูดพร้อมกับยักคิ้วกวนๆ ให้กัน ผมแทบจะตรงไปบีบคอมัน เพราะบารอนที่ว่าคือหมาพันธุ์อลาสกันมาลามิวท์ที่ไม่สามารถยัดเข้าตู้เย็นประตูเดียวได้อย่างแน่นอน ให้ตายเถอะ ตัวใหญ่กว่าผมอีกมั้ง

"พ่อง บารอนเป็นหมานะไม่ใช่ปลาสด!"
ผมโวยเสียงดังจนเซนหลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มาเหยียบคอนโดนี้ผมไม่เคยเจอเจ้าบารอนเลยสักครั้ง ความแปลกใจเลยถาโถมมาไม่หยุด ทั้งๆ ที่ตอนเซนเล่าให้ฟังก็ดูเหมือนว่าน้องหมาจะอยู่กับเขา

"บารอนชอบอากาศหนาวๆ บางครั้งแอร์ก็ช่วยไม่ได้เลยต้องพึ่งตู้เย็นไง"
พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและทำหน้าตาย คิดว่าจริงจังมากหรือไง ใครเขาจะไปเชื่อกันว่าจะเลี้ยงหมาในตู้เย็น ประสาท! ผมเดินเข้าไปผลักหัวเซนด้วยความหมั่นไส้แล้วตรงไปที่ประตูห้องทันที เพราะหิวเลยรู้สึกว่าตัวเองขี้หงุดหงิดขึ้นเป็นสองเท่า เจอคนกวนตีนไปอีก

"จะรีบไปไหน"
เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังแต่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจและใส่รองเท้าเดินออกจากห้อง ลิฟท์กำลังเปิดรอรับคนอย่างพอดิบพอดีผมเลยรีบสาวเท้าไปโดยไม่รอเซน แต่ตอนที่ไปถึงในลิฟท์กลับว่างเปล่าจนน่าแปลกใจ ทำไมมันเปิดเองได้ล่ะ...

"มึง... กูว่าลงบันไดกันดีกว่า"
ผมหันไปพูดกับเซนที่เดินมาหยุดข้างๆ กัน ดวงตากลมสั่นไหว หัวใจเต้นตึกตักเพราะคิดว่าคงเจอดีเข้าให้แล้ว แต่หน้าเพื่อนสนิทกลับเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังจับมือแล้วดึงผมเข้าไปในลิฟท์อีก... อยากจะร้องโวยวายแต่กลัวโดนยำตีน เลยปล่อยเซนลากไปง่ายๆ

"จะกลัวอะไร กูอยู่ด้วยทั้งคน"
เซนพูดน้ำเสียงราบเรียบและไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะกุมกันอยู่ ส่วนผมก็ไม่ได้ประท้วงอะไรเพราะชอบความอบอุ่นที่กำลังแผ่ซ่าน แต่... ถ้าผีโผล่มามันจะช่วยอะไรได้ล่ะ

"มึงเป็นหมอผีหรือไงล่ะ บอกไม่ให้กูกลัวเนี่ย"
ผมว่าเสียงเบาแล้วขยับตัวไปยืนเบียดขณะที่ประตูลิฟท์ปิดลง ปุ่มชั้นหนึ่งโดนกดด้วยฝีมือของเซน มันหันมาเลิกคิ้วมองก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์

"เถอะน่า กูน่ากลัวกว่าหมอผีอีก"

"มโน!"
ผมตะโกนใส่หน้ามันและในตอนนั้นลิฟท์ดันหยุดกึก พวกเรามองไปที่ประตูหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านี้อีกแล้ว แต่มันกำลังเปิดออกและหน้าลิฟท์ว่างเปล่าจนทำให้ผมขยับเข้าไปใกล้เซนจนแทบจะสิงกัน มือของเราที่จับกันไว้เริ่มชื้นเหงื่อเพราะตื่นเต้นมากกว่าที่จะกลัว

"เซน... กูว่ามันแปลกๆ"
ผมกระซิบกระซาบข้างหูเซนเหมือนกลัวใครได้ยิน แต่เขากลับยืนนิ่งและมองออกไปที่หน้าประตูลิฟท์เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น ผมอยากกระทืบเท้ามันแล้วบอกว่าอย่าแกล้ง แต่สีหน้าของเซนกลับจริงจังมาก

"ลิฟท์คงเสีย เดินลงบันไดเถอะ"
เซนกระตุกมือและพาผมออกมาจากลิฟท์โดยที่ไม่พูดอะไรต่ออีก สองมือยังคงเกาะกุมกันเอาไว้แบบเดิม หัวใจกำลังพองโตกับความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ของเขา จะดีแค่ไหนถ้าเซนแสดงความรู้สึกต่อใครๆ ได้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นคุณชายหน้าตายเย็นชาตลอดเวลา

"เซน... บารอนไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ กูมาทีไรไม่เคยเจอ"
ผมถามในขณะที่เราก้าวลงบันไดจนถึงโถงใหญ่ของคอนโด เซนชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มมุมปากให้กันแล้วปล่อยมือออกไป ผมแอบเสียดายแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตัวให้เป็นปกติ

"ตอนนี้มันอยู่กับ... อยู่ที่บ้านใหญ่น่ะ"
เซนมีท่าทางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วและเดินนำผมออกไปจากคอนโด รู้สึกว่าคำตอบที่ได้มามันดูคลุมเครือและเป็นความจริงอยู่เพียงแค่ครึ่งเดียว สิ่งที่เขาต้องการจะบอกในตอนแรกคืออยู่กับใครแต่กลับเปลี่ยนเป็นตอบเรื่องสถานที่แทน

"รอด้วยเว้ย"
ผมรีบก้าวตามเซนไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าไอ้ขาที่ยาวไล่เลี่ยกันนี่มีอะไรผิดปกติ เขาเดินเร็วแต่ผมกลับเดินช้าทิ้งช่วงห่างจนเหมือนอีกคนวิ่งนำ... หรือผมจะกลายเป็นเต่าเชื่องช้าไปแล้วนะ งงตัวเอง

ผมกับเซนเลือกกินข้าวต้มหมูร้อนๆ ใต้หอพักเป็นอาหารมือเช้าและต่อด้วยปาท่องโก๋จิ้มนมข้นปิดท้าย หนังท้องตึงหนังตาแทบจะหย่อนในทันทีทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นนอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราตกลงว่าจะไปเดินย่อยที่สวนสาธารณะใกล้ๆ โดยการปั่นจักรยานไป แต่เรื่องของเรื่องคือ... ผมปั่นจักรยานไม่เป็น

"เซน... มึงปั่นไปนะ กูเดินก็ได้"
ผมบอกเมื่อเซนขึ้นคร่อมจักรยานคันโปรดของตัวเองที่จอดอยู่ใต้ตึก เขาหันมามองกันแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"ซ้อนดิ จะเดินให้เมื่อยทำไม"
น้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมหายใจติดขัด ให้ซ้อนจักรยานเนี่ยนะ... มันดูแปลกๆ ไปหรือเปล่า เหมือนเป็นแฟนกันยังไงก็ไม่รู้ว่ะ

"กูตัวหนัก"
ผมพูดเฉไฉแล้วออกเดินไปเรื่อยๆ ตามฟุตบาท เสียงจักรยานเคลื่อนตามมาปั่นเลียบเคียงกันไปอย่างช้าๆ เขาใช้มือข้างเดียวจับแฮนด์แล้วปั่นจักรยานด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่ผมหวาดเสียวกลัวว่าเซนจะเสียหลัก

"เขินที่จะซ้อนจักรยานกูก็บอก"
เสียงเอ่ยแซวดังมาจากข้างตัวจนผมต้องหันไปถลึงตาใส่เซนที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่บนจักรยาน อยากจะผลักให้ล้มลงแต่ก็กลัวเขาเจ็บตัว เกลียดตัวเองจริงๆ ที่คิดแคร์ทันขนาดนี้ หงุดหงิดใจเป็นบ้า

"เพ้อเจ้อฉิบหาย รีบๆ ปั่นไปเลย"
ผมผลักไหล่เซนเบาๆ จนเจ้าตัวเซไปเล็กน้อย แต่แทนที่เขาจะโกรธกันกลับยิ้มร่าซะอย่างนั้น แถมยังไม่ยอมทำตามที่บอกอีกด้วย ยังคงปั่นจักรยานไปพร้อมๆ กับการก้าวเดินที่แสนเชื่องช้าของผม จะบอกว่ารอกันคงไม่ใช่หรอก เซนไม่ได้แคร์ใครขนาดนั้น

"ขึ้นมา"
เสียงแข็งๆ สั่งขึ้นจนผมต้องชะงักเท้าในขณะที่เซนจอดรถจักรยานนิ่งเทียบฟุตบาท ดวงตาสีเทาจ้องมองกันไม่ลดละ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ยอมทำตามโดยง่ายเพราะมีลางสังหรณ์ว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี

"บังคับจังวะ"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยอมขึ้นคร่อมจักรยานแล้วกอดเอวของเซนเอาไว้ ถ้าไม่กอดคงลงไปนอนหงายหลังบนถนน ก็เขาเล่นออกแรงปั่นอย่างแรงจนรถพุ่งไปข้างหน้าไวขนาดที่ลมปะทะใบหน้าจนรู้สึกชา

"เหี้ย ช้าๆ หน่อย จะแข่งปั่นจักรยานหรือไง"
ผมโวยวายและสำลักลมที่ปะทะเข้ามาจนไอโขลก แต่เซนยังคงใช้แรงมหาศาลปั่นจักรยานต่อไปทำให้ผมต้องกอดเขาแน่นขึ้น หัวใจเต้นรัวเร็วอยู่ภายในอกด้วยความตื่นเต้น รอบๆตั วของเราเหมือนอากาศกำลังเย็นลงเพราะท้องฟ้ามืดครึ้ม ความเร็วของรถจักรยานลดลงดื้อๆ

"เซน... กลับกันปะวะ เหมือนฝนกำลังจะตก"
ผมเงยหน้ามองฟ้าในขณะที่รถจักรยานจอดสนิท เซนทำแบบเดียวกันแต่กลับส่ายหน้าเบาๆ ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยแล้วก้าวลงจากรถ ทำไมถึงไม่ยอมกลับทั้งๆ ที่เราทั้งคู่กำลังจะเปียกล่ะ

"กลับตอนนี้ไม่ได้ ฝนไม่ตกหรอกเชื่อกู"
เซนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วจูงจักรยานเข้าในลานจอดรถของสวนสาธารณะพร้อมกับใช้โซ่คล้องมันเอาไว้ ผมลอบถอนหายใจแล้วเดินตามไปติดๆ เขามักจะมีท่าทางแปลกประหลาดเสมอๆ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันคือความผิดปกติอะไร เซนอาจจะมีสัมผัสทีหกล่ะมั้ง เพราะเรื่องฝนฟ้าอากาศเชื่อถือคำพูดของเขาได้เสมอ

"ทำไมกลับตอนนี้ไม่ได้วะ นัดสาวไว้ที่ห้องหรือไง"
ผมแกล้งถามออกไป เซนหันกลับมามองผมด้วยแววตาที่อ่านยาก แต่เพียงแค่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นยกยิ้มกวนแล้วเดินเข้ามากอดคอกันซะอย่างนั้น อะไรของเขาล่ะเนี่ย

"อยากให้กูนัดสาวทั้งๆ ที่กูใช้เวลาตอนนี้อยู่กับมึงเหรอ"
คำถามที่ชวนให้ใจสั่นจนผมต้องหลบดวงตาสีเทานั่น เซนเป็นคนที่ยียวนกวนประสาทที่สุดในโลกแถมยังเป็นบุคคลที่หยอดกันได้อย่างหน้าตาเฉยอีกด้วย ผมไม่ตอบคำถามแต่กลับย่างก้าวเข้าสู่บริเวณสวนสาธารณะทันที มันเงียบสงบจนผมเริ่มรู้สึกวังเวงบวกกับบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนด้วยแล้วเหมือนปีศาจจากที่ไหนสักแห่งจะโผล่ออกมา

"วิน"
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกกันขณะที่เรายืนอยู่หน้าบึงน้ำกลางสวนสาธารณะ ผมหันกลับไปมองหน้าเขาก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้

"ว่าไง"
ผมถามกลับไปก่อนจะย่อตัวลงเก็บดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นมาถือไว้ ไม่รู้ว่ามันคือดอกอะไรแต่หน้าตาสวยงามจนผมต้องเอามาจรดกับปลายจมูก... ไร้กลิ่น




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 1 -P.1- (18.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 18-10-2016 09:35:08
"มึงเชื่อเรื่องปีศาจไหม"
เซนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังชวนคุยเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ก็ถามเรื่องความเชื่อกันแบบนี้

"ปีศาจอะไรวะ แวมไพร์อะไรงี้เหรอ"

"ทำนองนั้น เชื่อไหมว่ามันมีอยู่จริง"

"อืม... อาจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่ะ แต่กูชอบอ่านตำนานอะไรแบบนี้นะ น่าสนใจดี"
ผมตอบไปตามสิ่งที่คิด เพราะบางครั้งเวลาว่างๆ ผมก็ชอบอ่านตำนานภูติ ผี ปีศาจฆ่าเวลา

"รู้จัก... โซโลมอนไหม"
เสียงของเซนขาดห้วงไปเล็กน้อย ผมหันไปมองใบหน้าด้านข้างของเขาในขณะที่เขาก็หันมาทางนี้เช่นกัน เราสบตากัน หัวใจกำลังเต้นแรงอีกครั้ง อ่า... นั่นเพื่อนสนิทนะเว้ย พอสักทีเถอะอาการแบบนี้ น่าสมเพชว่ะ

"หา เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ"
ผมแกล้งถามย้ำแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนผืนหญ้าเขียวขจี เซนส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงตามแล้วยิ่งกว่านั้นคือเขาเอนตัวลงนอนบนตักของผมโดยไม่ขอสักคำ แต่ชินแล้วล่ะเลยทำได้แค่ส่งมือไปดีดหน้าผากสวยๆ นั่นด้วยความหมั่นไส้แทน

"ถามว่ารู้จักกษัตริย์โซโลมอนไหม"
เซนถามขึ้น ผมเลยค้นหาข้อมูลต่างๆ ในสมองอยู่ชั่วครู่แล้วก็เจอเรื่องอดีตกษัตริย์ของอิสราเอลที่ทรงมีเวทมนตร์แกร่งกล้าจนสามารถเรียกใช้ปีศาจทั้ง 72 ตนได้... เป็นคนที่เก่งขนาดนั้นคงน่ากลัวอยู่ไม่น้อย ผมพยักหน้าแทนคำตอบให้กับเซน เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มกันเบาๆ เกลียดการกระทำชวนใจเต้นของเขาจริงๆ เลยสิน่า แต่ไม่ยอมปัดออก อยากให้รู้ไว้ว่านายเทวินคนนี้สองจิตสองใจตลอดเวลา

"เป็นกษัตริย์ที่น่ากลัวมากเลยล่ะ"
เซนพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยอย่างกับเคยประสบพบเจอกับโซโลมอนอย่างนั้นล่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริงเซนคงเป็นปีศาจที่มีอายุมากกว่าพันปีแน่ๆ แล้วนี่ผมจะคิดเพ้อเจ้ออะไรวะเนี่ย ไร้สาระชะมัด

"พูดอย่างกับเคยเจอนะมึง แล้วทำไมอยู่ๆ ถามขึ้นมาเนี่ย"
ผมพูดก่อนจะใช้มือลูบหัวของเซนเล่นอย่างคุ้นเคย เขาไม่เคยว่าหรือด่าอะไรสักคำเมื่อทำแบบนี้กลับบอกว่าชอบและเคลิ้มดีอีกด้วย

"ชวนคุยเฉยๆ แล้ว... Fallen Angel ล่ะ รู้จักไหม"
คำถามยังคงดำเนินต่อไป แต่ผมกลับสะดุดกับคำถามนี้อย่างจังเพราะน้ำเสียงและแววตาของเซนยามพูดออกมากลับมีแววเจ็บปวด อาจจะอินเรื่องแบบนี้ล่ะมั้ง

"เทพตกสวรรค์... เคยอ่านเจอนะ"
ผมคิดทบทวนถึงบทความที่เคยอ่านเรื่องของเทพตกสวรรค์ บางครั้งพระเจ้าก็อาจจะใจร้ายเกินไปเพียงแค่ทำผิดครั้งเดียวไม่มีการให้อภัยใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งบุตรชายของท่านเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น

"อยากรู้ไหมทำไมเทพถึงตกสวรรค์กันเป็นว่าเล่น"
คำถามเนิบนาบทำให้ผมฉงนใจอยู่ไม่น้อย หรือว่าเซนจะสนใจเรื่องพวกนี้เหมือนๆ กับผมกันนะ แต่วิธีการพูดของเขานั้นให้ความรู้สึกว่ากำลังเล่าเรื่องของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น หรือว่าแอบไปรับบทละครเวทีของมหา'ลัยมาเล่นวะ ดูจะอินแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

"ที่กูอ่านเจอก็เป็นกบฏกับสวรรค์ปะ หรือไม่ก็หลอกลวงมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอะไรทำนองนั้น"
ผมตอบไปตามข้อมูลที่พอจะจำได้ ดวงตากลมทอดมองไปยังบึงด้านหน้าที่เงียบสงบ ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มและไม่มีทีท่าว่าจะสว่างสักที ถ้าให้อยู่คนเดียวตรงนี้คงไม่เอาด้วยหรอก เซนขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ มือข้างหนึ่งวาดไปมาบนอากาศเหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ

"อืม... สนใจเรียนวิชาปีศาจวิทยาไหม"
ผมแทบสำลักอากาศเมื่อได้ยินคำถามแปลกๆจากเซน นี่มันศตวรรษที่ 21 นะ... ยังมีคนสอนวิชาเกี่ยวกับปีศาจนี่อยู่อีกเหรอ คนทั่วไปอาจจะงงว่ามันคือวิชาบ้าอะไร แต่สำหรับผมที่ชอบอ่านตำนานปีศาจจะรู้ดีว่าในศตวรรษที่ 17 มีหนังสือที่ชื่อว่า Clavicula Salomonis (คลาวิคิวลา ซาโลมอนิส) หรืออีกชื่อคือ Lemegeton (เลเมเกทัน) เป็นหนังสือที่แพร่หลายในวิชาปีศาจวิทยามาก เป็นการศึกษาเกี่ยวกับปีศาจและความเชื่อเกี่ยวปีศาจ ส่วนมากคนที่เรียนจะเป็นบาทหลวงหรือผู้ต่อต้านปีศาจ

"เดี๋ยวๆ มึงว่าอะไรนะเซน นี่มันสมัยไหนแล้ว ใครจะมาสอนเรา"
ผมเบิกตาค้างแล้วพูดด้วยเสียงติดตลก ถึงในส่วนลึกของจิตใจจะอยากเรียน เหมือนคนอื่นๆ ที่ใฝ่ฝันอยากเรียนที่ฮอกวอตส์นั่นล่ะ

"บาทหลวงจีซัสจะสอนเป็นวิชาเลือก"

"ห๊ะ... คุณพ่อจีซัสเนี่ยนะมึง เจ๋งว่ะ"
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่ไม่ต้องทนอุดอู้เรียนวิชาเลือกที่เกี่ยวกับภาควิชาที่ตัวเองเรียน มหา'ลัยของเราอาจจะมีอะไรแปลกกว่าที่อื่นอยู่มากแต่ผมชอบแบบนี้นะ

"แต่มีกฎว่าต้องเรียนวิชานี้ไปตลอดสามปี"
เซนพูดพร้อมกับเปิดเปลือกตาขึ้นมองกัน ผมสะดุ้งเล็กน้อยที่เผลอสบตากันโดยบังเอิญ แต่พอตั้งสติได้ก็รีบเงยหน้าขึ้นแล้วละล่ำละลักถามในสิ่งที่สงสัยออกไปเป็นการกลบเกลื่อน

"แปลกฉิบหาย ปกติวิชาหลักและวิชาเลือกเขาเรียนแค่วิชาละหนึ่งเทอมไม่ใช่เหรอวะ นี่เล่นเรียนหกเทอมเลยเหรอ"
ผมเกาหัวแกรกๆ เพราะงงหนัก ดูเหมือนวิชาปีศาจวิทยาอะไรนี่จะจริงจังกว่าวิชาคณะเสียอีก... วิศวกรรมศาสตร์ไม่สู้เลยว่ะ จบไปคงหาทางเป็นบาทหลวงเพื่อขับไล่ปีศาจอาจจะรุ่งกว่า

"สงสัยมากนะมึง ตกลงจะเรียนไหม"
เซนลุกขึ้นแล้วจัดทรงผมเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะหันมาจ้องมองกันเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ผมใช้เวลาครุ่นคิดโดยมองหน้าเซนสลับกับผืนน้ำด้านหน้า แต่ไม่ได้ช่วยให้ตัดสินใจอะไรง่ายขึ้นเลยสักนิด ในหัวกำลังตีกันว่าเรียนไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ประดับความรู้เฉยๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้ามีภาคปฏิบัติอย่างลองเรียกปีศาจคงน่าสนใจดี

"มีภาคปฏิบัติด้วยปะมึง"
ผมแกล้งถามไปแบบนั้นล่ะ เพราะไม่คิดว่าจะมีภาคปฏิบัติแบบทดลองเรียกปีศาจอะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ว่าลบหลู่ แต่ถ้าพวกเขายังหลงเหลืออยู่จริงๆ ในศตวรรษนี้การทดลองแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เสี่ยงชีวิตเกินไปด้วยซ้ำ

"มีสอนขั้นตอนการเรียกเป็นทฤษฎีประดับความรู้อย่างละเอียด แต่ไม่มีปฏิบัติจริง อันตรายเกินไป"

"อ้อ... เรียนก็ได้"

หลังจากนั้นเราก็ออกจากสวนสาธารณะเพื่อไปหามื้อเที่ยงกินและกลับมาที่คอนโดอีกครั้งตอนบ่ายสองโมง หยาดฝนกำลังเทลงมาอย่างหนักทำให้ผมที่เตรียมจะกลับหอของตัวเองต้องนั่งกร่อยอยู่บนโซฟาของเซนเหมือนเดิม และที่น่าแปลกก็คือ... ไฟฟ้าในห้องเกิดดับขึ้นมาอีกแล้ว ให้ตายเถอะ

"เซน... มึงติดต่อกับไอ้อุ่นบ้างปะ ปิดเทอมแล้วหายหัวตลอด"
ผมหันไปถามคนที่นั่งเหยียดขาอยู่บนโซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่ถัดไป เซนเหลือบตามองกันเล็กน้อยแล้วกลับไปสนใจเครื่องมือสื่อสารในมือต่อ ให้เดาก็คงเล่นเกมโปรดอยู่นั่นล่ะ

"อุ่นกลับบ้าน มึงควรจะชินว่าติดต่อมันไม่ได้"
ผมพยักหน้าหงึกหงักกับคำพูดของเซน เมื่อไหร่ที่ปิดเทอมไอ้อุ่นจะเงียบหายไปเหมือนกับไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลก ไม่สามารถติดต่อได้ไม่ว่าช่องทางไหนก็ตาม และเมื่อเปิดเทอมใหม่มันจะโผล่หัวมาให้เห็นเอง

"พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้ว หวังว่าจะเจอมันนะ"
ผมพูดก่อนจะไหลลงไปตามโซฟาอย่างเกียจคร้าน ไฟดับแล้วไม่มีอะไรทำแถมบรรยากาศยังวังเวง ง่วงนะ แต่ไม่กล้านอนสักเท่าไหร่เพราะกลัวเซนจะแกล้ง...

"เจอ อุ่นไม่เกเรหรอก"

"อืม... เมื่อไหร่ฝนจะหยุดวะ อยากกลับหอแล้ว"
ผมบ่นไปตามเรื่องตามราวเพราะไม่มีอะไรทำ จะให้นั่งเล่นเกมอย่างที่เซนทำก็ไม่ใช่แนว จะให้ท่องโซเชี่ยลตอนนี้ก็เบื่อ อยากกลับหอไปหาหนังดูมากกว่า

"เทวิน"
เสียงทุ้มขัดความคิดเรื่อยเปื่อยของผมให้กระจัดกระจาย ใบหน้าคมจ้องมองกันจนทำให้รู้สึกขัดเขิน ประกอบด้วยที่เซนเรียกชื่อผมเต็มยศแล้วด้วยยิ่งทำให้รู้สึกเกร็งไปใหญ่ มีเรื่องเครียดอะไรจะคุยกับกูอีกแล้ววะ

"อะ อะไร เรียกชื่อกูเต็มยศทำไม"
เสียงพูดตะกุกตะกักเพราะควบคุมไม่ได้ดังขึ้น ไม่เคยชินเลยสักครั้งที่ต้องโดนเซนจ้องกันแบบนี้ ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมดวงตาสีเทาถึงมีเสน่ห์เหลือล้นจนทำให้รู้สึกเคลิ้มตามอยู่บ่อยๆ

"คืนนี้ค้างด้วยกัน พรุ่งนี้ใส่ชุดนักศึกษากูไปมอก่อนแล้วกัน"
เซนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและดวงตาสีเทาจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ ผมได้แต่สำลักลมหายใจจนทำอะไรไม่ถูก เพิ่งได้รู้ว่าอาการน้ำท่วมปากเป็นยังไงก็วันนี้ล่ะ แต่เมื่อหาคำพูดตัวเองเจอก็รีบรัวออกไปจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์

"เฮ้ย เดี๋ยวนะเซน มึงกินยาลืมเขย่าขวดปะวะ วันนี้วันจันทร์นะ มึงจะให้กูค้างยังไง ไม่ได้นัดใครไว้เหรอ"
ผมละล่ำละลักถามออกไปแล้วขยับตัวออกห่างจากเซน เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะคลี่ยิ้มบาง สายตาที่มองกันฉายแววสนุกสนานจนอยากวิ่งหนีไปไกลๆ

"นัด แต่กูไม่ให้มึงกลับหอ ถ้าไม่อยากได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ก็เปิดเพลงกลบเสียงเอา"

"มึงโรคจิตหรือไง กูนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้"
ผมว่าด้วยเสียงหงุดหงิด จะให้มานั่งอยู่ในห้องที่เขากำลังมีอะไรกันแบบนั้นน่ะเหรอ ผมไม่ใช่คนหน้าด้านหน้าทนนะ แล้วอีกอย่าง... ความรู้สึกมันหน่วงแปลกๆ จนอยากหายตัวไปจากตรงนี้

"ไม่ได้ อย่าขัดใจกูเลยเทวิน มึงก็รู้ว่ามันไม่ดี"
เซนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมไม่กล้าเถียงอะไรอีก เพราะมีครั้งหนึ่งเคยขัดใจเซนจนทะเลาะกันใหญ่โตแล้วไม่ได้คุยกันเป็นเดือนๆ เบื้องหน้าของผลนั้นอาจจะร้ายแต่ผมเชื่อว่าเซนต้องมีเหตุผลที่ไม่ยอมให้กลับหอแน่ๆ

"โอเคๆ แต่ตอนผู้หญิงของมึงมากูลงไปรอที่สวนด้านล่างคอนโดก็ได้"
ผมหาทางรอดให้ตัวเองไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัด เซนเหมือนจะไม่ยอมในทีแรกแต่สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง

"ได้ แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติก็กลับมาที่ห้องแล้วกัน"
เซนพูดแล้วลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำปล่อยให้ผมนั่งอ้าปากหวอเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด อะไรคือสิ่งผิดปกติวะ แต่จะให้ลุกตามไปถามก็คงไม่ได้คำตอบหรอก  ชอบทำให้ค้างคาใจได้ตลอดเวลา

สองทุ่ม... ผมลงมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงสวนหย่อมของคอนโดเพราะผู้หญิงที่เซนนัดไว้มาเยือน ก่อนจะก้าวออกมาจากห้อง เขามีท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป ช่างมันเถอะ อย่ากังวลอะไรกับคนอย่างผมแล้วมีความสุขกับเธอเถอะ

"วิน!"
ผมตาลีตาเหลือกหันมองไปรอบตัว ใครจะรู้จักเขานอกจากเซนไม่มีอีกแล้ว แต่สายตากลับไปสะดุดที่ชายร่างสูงหุ่นกำยำหน้าตาคุ้นเคย พยายามเพ่งมองผ่านความมืดจนแน่ใจว่าเป็น 'อุ่น' เลยถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วก้าวเข้าไปหาเจ้าตัว

"ตกใจหมดไอ้อุ่น แล้วนี่มาไงวะ"
ผมยกแขนขึ้นพาดบ่าของอุ่นอย่างสนิทสนม เขายิ้มกว้างให้กันก่อนจะชูถุงขนมแกว่งไปมาบอกให้รู้ว่าเป็นของฝากจากที่บ้านแน่ๆ

"ว่าจะเอาขนมมาฝากเซนน่ะ แล้วมึงทำไมอยู่ที่นี่"
อุ่นถามขึ้นแต่แววตาไม่ได้แสดงออกว่าสงสัยอย่างที่ถามกัน เหมือนเขารู้ล่วงหน้าว่าผมอยู่ที่นี่ แต่คิดอะไรมากไปก็ปวดหัวเปล่าๆ

"เซนให้กูค้างที่นี่น่ะ"
ผมตอบก่อนจะดึงอุ่นไปนั่งที่ม้าหินอ่อนตรงกลางสวน ขนมมากมายถูกตั้งกองบนโต๊ะ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของหวานๆ ที่ผมไม่ค่อยปรารถนาเท่าไหร่แต่เซนกลับชอบมันมาก

"อ๋อ... แล้วทำไมมึงมาเดินชมสวนมืดๆ คนเดียว เซนหายไปไหนวะ"
ผมถึงกับจุกเมื่อได้ยินคำถามของไอ้อุ่น ความรู้สึกหน่วงกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งทั้งๆ ที่ผมพยายามสลัดมันทิ้งแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะหงุดหงิดที่เพื่อนทำให้ตัวเองลำบากหรือเผลอใจชอบมันกันแน่

"หาความสุขใส่ตัวกับผู้หญิงของมันน่ะ"
ผมตอบเสียงอ่อยแล้วฟุบหน้าลงซบกับแขนที่เหยียดยาวของตัวเอง ไอ้อุ่นไม่ปริปากอะไรสักคำแต่ยื่นมือใหญ่มาลูบหัวกันเบาๆ คงต้องการปลอบล่ะมั้ง แต่ปลอบในความหมายไหนอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

"เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนจนเซนเสร็จภารกิจแล้วกัน"

"อือ"




----------------------------------------------------------------

ตอนที่ 1 มาแล้วนะ .... มีคนเกลียดเซน เราก็เกลียดเหมือนกัน 555555555
เซนไม่ได้แย่อะไรหรอก แค่ไม่สนใจใครเลยต่างหาก แต่กับเทวินถือว่าเป็นคนพิเศษสำหรับเขาแล้วนะ
ที่ชอบแกล้งทุกวันๆ ก็มีเหตุผลของตัวเอง ไม่ใช่แกล้งเพื่อความสนุกอย่างเดียวหรอก


ปล. อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 1 -P.1- (18.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-10-2016 13:04:56
เซนนนนนน :beat: :beat: :beat: :beat: :beat:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 1 -P.1- (18.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 18-10-2016 16:05:40
แอบมีความรู้สึกว่าเทวินมีความพิเศษอะไรบ้างอย่างในตัวแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 1 -P.1- (18.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 18-10-2016 20:24:48
อยากให้เซนมีความเกี่ยวข้องอะไรกับอัสโมดายซักอย่าง (แอบอยากให้เป็นคนเดียวกัน)

คือความเป็นเซนนี่ดูจะมีเหตุผลที่ยังเปิดเผยไม่ได้รองรับอยู่บางอย่าง ลึกลับชวนให้อยากค้นหา แต่แฝงความน่าจะดราม่าถ้าไม่ระวังหัวใจ

เอาใจช่วยเทวิน ขอให้เจ็บไม่เยอะนักนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 1 -P.1- (18.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-10-2016 22:10:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 2 -P.1- (21.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 21-10-2016 19:23:02
ตำราบทที่ 2


'I smell the mint scented in the air'
ผมได้กลิ่นของมินท์หอมตลบอบอวลในอากาศ



การเปิดเทอมวันแรกเต็มไปด้วยความยากลำบาก ไม่ใช่จากวิชาเรียนแต่เป็นสภาพฝนฟ้าอากาศต่างหาก สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ จนตอนนี้เลิกเรียนคาบแรกในเวลาเที่ยงวันก็ยังไม่หยุดตก แถมยังมีทีท่าว่าจะหนักกว่าเดิมอีกด้วย

ตอนนี้ใต้อาคารเรียนเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ออกไปไหนไม่ได้เพราะติดฝน ลานจอดรถออกจะอยู่ไกลไปจนไม่สามารถพาตัวเองไปที่นั่นได้ เสื้อนักศึกษาสีชาวสะอาดเริ่มชื้นละอองฝนโดนลมพัดเข้ามากระทบ จะหลีกหนีก็ทำไม่ได้เพราะแทบไม่เหลือที่ว่างให้ขยับตัว คนที่ยืนข้างกันมีสีหน้าเรียบเฉยมาตั้งแต่เมื่อครู่ ไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายกับสภาพอากาศอันแปรปรวนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีเทาจ้องมองท้องฟ้าราวกับกำลังตำหนิใครบางคนที่ทำให้เกิดสายฝนแบบนี้ อุ่นที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของผมกำลังยืนกดโทรศัพท์มือถือด้วยท่วงท่าสบายไม่ได้แคร์ว่าจะเปียกเลยด้วยซ้ำ ช่างมีความเป็นตัวของตัวเองกันทั้งนั้น

"วิน รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวกูขับรถมารับ"
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมต้องหันไปมองเซนอย่างห้ามไม่ได้ เจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถอะไรแม้แต่น้อย เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าด้วยสายตาแบบเดิม

"หือ จะตากฝนไปลานจอดรถเหรอวะ"
ผมถามพลางขมวดคิ้วจนเกือบจะเป็นปม แค่เดินออกไปก้าวเดียวก็ดูเหมือนจะเปียกชุ่มทั้งตัว ให้เดินผ่าฝนไปถึงลานจอดรถคงบิดน้ำออกจากเสื้อผ้าได้เป็นกะละมังแน่ๆ เซนหันมามองกันก่อนจะชูร่มสีดำสนิทในมือให้ดู ยิ่งทำให้สมองประมวลผลหนักกว่าเดิม มันมาจากไหน มาได้ยังไง ก็จำได้ว่าเราทั้งสามคนไม่มีใครพกร่มมานี่ แปลกมาก

"มีร่ม"
คำพูดสั้นๆ ไม่ได้ไขความกระจ่างให้ผมแม้แต่นิดเดียว ท้องฟ้าคำรามเสียงกึกก้องจนผมสะดุ้งเผลอขยับเข้าไปเบียดอุ่นที่ยังไม่เลิกเล่นโทรศัพท์ ร่างกำยำกระตุกเล็กน้อยก่อนจะหันมามองกันแล้วยิ้มให้

"กลัวเหรอวะ"
คำถามจากปากอุ่นดังขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาอย่างห่วงใย แต่ทำไมเวลาถามไถ่กันต้องมองผมสลับกับเซนด้วยวะ เหมือนมีความเกรงใจเล็กๆ ในแววตาคู่นั้น

"ตกใจเฉยๆ เอ้อเซน มึงอย่าเพิ่งไปเลยฝนตกหนักขนาดนี้"
ประโยคหลังผมหันไปพูดกับเซนที่เตรียมจะกางร่ม เขาชะงักมือแล้วมองกันนิ่งก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ อะไรของเขาอีกล่ะนั่น อากาศเย็นจะตายยังทำให้หน้าผมร้อนวูบขนาดนี้ จะเก่งเกินไปแล้ว

"เป็นห่วงเหรอ"
คำถามตรงๆ ทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ เซนล่วงรู้ความคิดจริงๆ ของผมแทบทุกอย่างจนแปลกใจว่าเขาสามารถอ่านใจคนได้อย่างนั้นเหรอ

"เออ รู้ทันตลอด คราวนี้ก็ยืนรอฝนซาไปนะ"
ผมตอบรับไปอย่างว่าง่ายเพราะไม่อยากเสียแรงสรรหาคำมาแก้ตัว ดวงตาสีเทาเป็นประกายจนผมต้องเบนหน้าหนีแล้วทำเป็นสนใจต้นไม้ใบหญ้าตรงลานเกียร์แทน ขนาดอยู่กลางผู้คนมากมายยังสามารถทำให้เขินได้ ความสามารถสูงจริงๆ

"แหม... เขินเซนเหรอวะ"
อุ่นก้มลงมากระซิบข้างหูกันด้วยน้ำเสียงทะเล้น ผมสะดุ้งเฮือกไม่ใช่เพราะตกใจแต่อึ้งในคำถามของเขามากกว่า ทำไมถึงรู้ว่าผมกำลังเขินสายตาของเซนกันล่ะ แล้วมันจะรู้ไหมว่าผมคิดยังไงกับเพื่อนสนิทอีกคน แย่แน่ๆ

"อะ อะไรของมึงไอ้อุ่น เพ้อเจ้อละ"
ผมตอบเสียงตะกุกตะกักจนผิดสังเกต อุ่นทำเพียงแค่เลิกคิ้วแล้วหัวเราะเบาๆ เท่านั้ย ไม่ได้เอ่ยแซวหรือถามอะไรต่ออีก อาจจะเป็นเพราะโดนสายตาดุๆ ของเซนเบรกเอาไว้

"โอเค๊ ไม่ยุ่งก็ได้"
อุ่นขยับตัวยืนตรงเหมือนเดิมและเริ่มกดโทรศัพท์ในมืออีกครั้งหลังจากพูดกับเซนจบ ผมมองพวกเขาสลับกันเพราะไม่เข้าใจทั้งการกระทำและคำพูดที่ผ่านไปเมื่อครู่ ผมสังเกตตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ อุ่นจะชอบให้ความเคารพกับเซนแบบทีเล่นทีจริงเหมือนเป็นเจ้านายและลูกน้องในบางที

"ถ้ารอฝนหยุดเราจะสาย"
เซนยื่นมือออกไปรับน้ำฝนด้านนอกชายคา ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วพบว่าอีกยี่สิบนาทีจะเข้าเรียนคาบวิชาเลือก 'ปีศาจวิทยา' แล้ว แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก แล้วสถานที่เรียนอย่างโบสถ์กลับอยู่คนละฟากฝั่งกับคณะวิศวกรรมศาสตร์โดยสิ้นเชิง

"คุณพ่อจีซัสคงเข้าใจนักศึกษาล่ะมั้ง"
ผมพูดทำนองเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่เซนกลับชะงักไปแล้วดึงมือกลับมาไว้ข้างตัว ดวงตาสีเทาจ้องมองกันอีกครั้งแต่ผมไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำลังรู้สึกอะไร บางครั้งเซนก็ดูเป็นคนที่เก็บซ่อนความลับเอาไว้มากมาย ส่วนผมเป็นประเภทชอบค้นหาด้วยสิ

"ไม่หรอก บาทหลวงจีซัสเข้มงวดเรื่องเวลามาก สายไปแค่หนึ่งนาทีอาจจะโดนทำโทษทั้งคาบ"
เซนว่าแบบนั้นก่อนจะแกว่งร่มในมือไปมาเหมือนกำลังกดดันให้ผมใช้ความคิดและตัดสินใจยอมปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเอง แต่ก่อนจะได้วิเคราะห์อะไรนั้น อุ่นกลับพูดขึ้นมาซะก่อน

"เออจริง กูเคยถูกทำโทษกับบาทหลวงจีซัส ไปพบสายแค่สามสิบวิโดนทำความสะอาดโบสถ์ทั้งหลัง วันนั้นกูกลับบ้านเกือบเที่ยงคืน คิดแล้วสยองชะมัด"
อุ่นทำหน้าหวาดกลัวจนผมเผลอหลุดหัวเราะออกมา ถ้าทุกคนยืนยันแบบนั้นผมคงต้องปล่อยเซนไปสินะ... รู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

"เออ เซนไปเอารถเถอะ เดี๋ยวกูกับอุ่นรอตรงนี้"
ผมบอกก่อนจะตบบ่าเซนเบาๆ เป็นสัญญาณ เขาหันมาคลี่ยิ้มให้กันแล้วกางร่มออกเดินจากไป แผ่นหลังกว้างค่อยๆเล็กลงกลางสายฝนกระหน่ำ ผมรู้สึกภาพข้างหน้าพร่าเบลอจนรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา อุ่นขยับเข้ามาพยุงกันไว้ได้ทันท่วงทีและเอ่ยปากถามอย่างร้อนรน

"เป็นอะไรวะวิน อยู่ๆ ก็เซ"

"เวียนหัวนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมาก"
ผมตอบเสียงแหบแห้ง จริงๆ แล้วที่พูดไปนั้นเป็นเรื่องจริงแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเพราะแสงเงาที่ทำให้เกิดภาพน่ากลัวขึ้น... รังสีบางอย่างที่แผ่มารอบตัวของเซน ในจังหวะที่มองแผ่นหลังกว้างนั้นหัวใจของผมแทบหยุดเต้น รู้สึกถึงความหนาวเกาะกุมไปทั้งร่างกาย แต่เพียงเสี้ยวนาทีทุกอย่างก็จางหายไปเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

"เออๆ ถ้าไม่ไหวก็บอก"
อุ่นบอกก่อนจะประคองผมไว้แบบนั้นจนเซนขับรถมาจอดเทียบฟุตบาทและเดินลงมาพร้อมร่มคันใหญ่กว่าเดิม เอามาจากที่ไหนกันนะ ก็เมื่อเช้าตอนนั่งรถมากับเขาผมมองสำรวจไปซะทั่วแล้ว เจอแต่กล่องถุงยางอนามัยทุกรสทุกกลิ่นทุกพื้นผิวอีกต่างหาก สักวันเป็นเอดส์ตายจะสมน้ำหน้าให้

"ทำไมต้องประคอง"
น้ำเสียงแข็งๆ เอ่ยถามอุ่นที่ทำตาหลุกหลิกแล้วรีบปล่อยให้ผมยืนเองทันที ท่าทางเกรงกลัวคนตรงหน้าเวลาเข้าใกล้ผมคืออะไรกันวะ ยิ่งเห็นยิ่งไม่เข้าใจ

"ไอ้วินเวียนหัว ไปกันได้ยัง"
อุ่นแบมือขอร่มคันเล็กในมืออีกข้างของเซน เจ้าตัวนิ่งอยู่สักครู่ก่อนจะส่งให้แล้วดึงแขนผมเข้าภายใต้ร่มคันใหญ่ของเขา เราออกเดินไปด้วยกันอย่างไม่เร่งรีบเพราะกลัวรองเท้าผ้าใบที่ใส่จะเกิดอาการน้ำขัง ไอ้เปียกน่ะมันเปียกอยู่แล้วแต่ต้องระวังกันหน่อย

ผมนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับในสภาพที่ไม่ค่อยต่างจากลูกหมาตกน้ำสักเท่าไหร่ ดีหน่อยที่เบาะเป็นหนังเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ไอ้อุ่นที่นั่งอยู่ด้านหลังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจิ้มหน้าจอสี่เหลี่ยมอยู่แบบนั้นจนผมสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ดูติดโทรศัพท์จังวะ ส่วนเซนขยี้ผมตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว

"อุ่น"
ผมลองเรียกเขา แต่กลับไม่ได้สัญญาณตอบรับเลยหันไปมองแล้วพบว่าอุ่นยังคงจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมแบบตาไม่กระพริบ

"ไอ้อุ่น!"
ผมกระแทกเสียงลงไปหวังจะให้มันตกใจแล้วสนใจสิ่งรอบข้าง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเงียบสงบจนผมเริ่มหงุดหงิด นี่ตั้งใจจะเมินกันใช่ไหม ขนมก็ไม่หิ้วมาฝากเหมือนกับเซนยังพอให้อภัยอยู่นะ แต่ทำแบบนี้มันจะเกินไปแล้วเว้ย

"เซน อุ่นแม่งกวนตีนกูแล้ว ตะโกนคอจะแตกยังไม่สนใจกันอีก"
ผมหันไปฟ้องเซนต่อหน้าต่อตา แต่อุ่นยังไม่มีปฏิกิริยาว่าจะสนใจเลยด้วยซ้ำ ในโทรศัพท์มันมีอะไรสำคัญขนาดนั้นวะ เหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไรรอบข้าง

"ปล่อยมันไปเถอะ อาจจะมีธุระคุยกับที่บ้าน"
เซนเอื้อมมือมาโคลงหัวผมเบาๆ ให้คลายความหงุดหงิดลง ดวงตาสีเทาเหลือบมองกันเล็กน้อยในตอนที่รถจอดสนิทที่หน้าโบสถ์คริสต์ที่อยู่ประตูหลังของมหา'ลัย

"อุ่น"
เซนเรียกคนด้านหลังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนผมเองที่นั่งด้านข้างยังแทบไม่ได้ยินเพราะเสียงฝนกลบ แต่อุ่นกลับเงยหน้าขึ้นแล้วรีบเก็บโทรศัพท์ในทันที

"ว่าไง"

"ถึงแล้ว"

"อ้อ... เดี๋ยวกูลงไปก่อนนะ พวกมึงค่อยตามมา"
อุ่นหันมาแลบลิ้นใส่กันก่อนจะเปิดประตูรถแล้วกางร่มลงไป ผมได้แต่เบ้ปากใส่แล้วบ่นงุบงิบอยู่คนเดียว และได้คำตอบแล้วว่าทำไมถึงโดนเมิน เพราะอุ่นอยากแกล้งกันนี่เอง นิสัยไม่ดี!

"เกลียดอุ่นฉิบ แกล้งกู"
ผมทำเสียงฟึดฟัดแล้วจ้องไอ้อุ่นที่ยืนคุยกับคุณพ่อจีซัสที่หน้าประตูโบสถ์เหมือนรู้จักสนิทสนมกันเป็นอย่างดี จะว่าไปบาทหลวงคนนี้ก็มีใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยจนใครๆ หลายคนแปลกใจ โครงหน้าสวยหวานราวกับหญิงสาว ถ้าจับใส่วิกผู้หญิงทั้งหลายต้องยอมแพ้ราบคาบแน่ๆ

"เด็กน้อยโดนขัดใจแล้วอารมณ์เสียสินะ"
เซนว่าเสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ผมถึงกับต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปเพราะต้องรีบลงจากรถ อุ่นเดินมารับกันถึงที่ ส่วนเซนใช้ร่มคันเล็กเดินตรงไปที่คุณพ่อจีซัสล่วงหน้า

"กลับบ้านบ้างนะครับ... เขาฝากมาบอก"
ประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากคุณพ่อจีซัสทำให้สมองเบลอไปชั่วขณะ หมายความว่าเขาสนิทกับเซนเหรอถึงได้รู้เรื่องของครอบครัวกันด้วย แต่จะให้ถามออกไปก็ดูจะเสียมารยาทเลยได้แต่เงียบแล้วโค้งตัวทักทายไป

"เซน... วันเกิดกลับ 'บ้าน' ไหม"
อุ่นถามเซนด้วยน้ำเสียงที่เครียดเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดจนแทบจะเป็นปม ส่วนผมได้แต่นั่งเงียบๆ แอบฟังบทสนทนานั้นอย่างตั้งใจ เพราะไม่เคยรู้ว่ารูปแบบครอบครัวของเพื่อนสนิทเป็นยังไงบ้าง มีพี่น้องไหม ทำอาชีพอะไร  ดูไปดูมาเหมือนเราคบกันแค่ผิวเผิน เหมือนคนรู้จักทั่วๆ ไปยังไงก็ไม่รู้ว่ะ

"ไม่กลับ"
เซนตอบกลับอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องคิด น้ำเสียงนั้นแฝงความแข็งกระด้างจนน่ากลัวว่าสายสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาจะแย่ คนที่ได้รับคำตอบอย่างอุ่นกลับทำหน้าเครียดเหมือนกำลังหนักใจที่เพื่อนไม่ยอมกลับบ้านซะอย่างนั้น แต่ผมถือว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเลยไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร

"ไม่กลัว 'เขา' โกรธเหรอวะ"
เขานี่คือใคร... ผมอยากรู้เหลือเกิน ถึงจะรู้ว่าอุ่นกับเซนสนิทกันมาก่อนจะเจอผมแต่การพูดจาเรื่องที่รู้กันแค่สองคนมันส่งผลให้ผมดูเหมือนคนนอก อาการน้อยเนื้อต่ำใจเกิดขึ้นจนอยากจะร้องไห้

"หยุดพูดเรื่องนี้ น่าเบื่อ"
เซนตัดบทสนทนาแล้วหันมามองผมที่นั่งหงอยอยู่ข้างๆ มือเรียวเอื้อมมาดึงแก้มกันเบาๆ ก่อนที่คุณพ่อจีซัสจะเดินมายืนด้านหน้าเก้าอี้ตัวยาวแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องวิชาเรียนแปลกประหลาด ถ้าหากสังเกตโดยรอบแล้วนักศึกษาในคลาสนี้มีไม่เกินยี่สิบคน อาจจะเป็นเพราะต้องใช้ความเชื่อและความสนใจอยู่มากเลยต้องคัดคนที่เหมาะสมเพื่อเรียนเท่านั้น

"วิชานี้จะเรียนโดยใช้เอกสารอ้างอิงหรือหนังสือที่มีชื่อว่า คลาวิคิวลาซาโลโมนิส หรืออีกชื่อคือ เลเมเกทัน... เดี๋ยวจะให้อุ่นเป็นคนไปเอาหนังสือมาแจกเพื่อนๆ นะ ทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าหนังสือ ทางมหา'ลัยให้ฟรี"
คุณพ่อจีซัสส่งยิ้มให้กับนักศึกษาทุกคนแล้วกวักมือเรียกไอ้อุ่นออกไปใช้งาน ผมเลยได้จังหวะที่จะแอบถามเรื่องเพื่อนสนิทกับคุณพ่อจีซัสคนนั้นว่าเป็นยังไงกันแน่

"เซน... กูถามอะไรหน่อยดิ"
ผมสะกิดแขนคนด้านข้างเบาๆ เซนหันมาพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร และในเสี้ยววินาทีผมเห็นรอยสักเล็กๆ ด้านหลังใบหู... ไม่เคยสังเกตมาก่อนด้วยซ้ำ เอาไว้จะถามเซนเรื่องรอยสักทีหลัง ตอนนี้เรื่องไอ้หล่ออุ่นสำคัญกว่า

"ว่าไง"

"อุ่นสนิทกับคุณพ่อจีซัสเหรอ"

"อืม ไม่รู้สิ ถามมันเอง"

"โห ไม่ช่วยกันเลยนะเซน"

"พอดีกูไม่ใช่คนขี้เสือกอะนะ"

"เอ้อ กูมันเสือก ชิ"
ผมสะบัดหน้าใส่เซนแต่ก็ยังยอมรับหนังสือเรียนมาจากเขา หน้าปกสีดำสนิทจนรู้สึกว่าหนังสือมีความขลังแบบน่าขนลุก สันหน้าเกือบๆ หนึ่งนิ้วเลยก็ว่าได้ แต่ที่ทำให้ผมตะลึงอ้าปากค้างคือเนื้อหาภายในเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ยิ่งกว่า Text Book ของนักศึกษาแพทย์อีก เพราะศัพท์บางคำที่ใช้เป็นภาษาอังกฤษโบราณเช่น Thou คือคำว่า You ในปัจจุบัน

"เซน... กูขอถอนวิชานี้ตอนนี้เลยได้ปะวะ เชี่ย ภาษาอังกฤษล้วนๆ ขนาดนี้"
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่ใช่ว่าไม่อยากเรียนแต่ไม่สันทัดภาษามันเป็นเรื่องใหญ่ ถึงเซนกับอุ่นจะเก่งแค่ไหน แต่จะมานั่งแปลทุกคำให้กันคงไม่ไหว

"บาทหลวงจีซัสสอนเป็นภาษาไทย แล้วเรื่องเนื้อหาในหนังสือมึงต้องเตรียมตัวมาล่วงหน้า เดี๋ยวอุ่นจะช่วย"
คำพูดของเซนทำให้ผมผ่อนคลายลงไปเยอะ การเตรียมบทเรียนและแปลเอกสารล่วงหน้าไม่ลำบากกับผมเท่าไหร่ ยิ่งมีอุ่นช่วยยิ่งสบาย แล้วทำไมคนข้างกายผมไม่เสนอตัวเองช่วยล่ะวะ โยนให้คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวหน้าตายเฉย

"ทำไมมึงไม่ช่วยกูเองอะ"
ผมถามออกไปด้วยความสงสัย แต่เซนกลับมองกันด้วยสายตาว่างเปล่าและไม่ยอมตอบอะไรกลับมา อยากจะทวงถามอีกครั้งแต่อุ่นเดินกลับมานั่งด้านข้างเซนพอดิบพอดี เจ้าตัวเหมือนจะรู้หน้าที่ดีเลยหันมาชวนคุยข้ามหัวคนตรงกลางซะอย่างนั้น

"เรื่องหนังสือไม่ต้องห่วงนะเว้ย กูช่วยแปลเอง"
อุ่นขยิบตาให้กันอย่างเจ้าชู้ ผมเบ้ปากใส่มันแต่ก็ยอมพยักหน้ารับน้ำใจนั่นไป เซนที่ไม่คิดจะร่วมวงสนทนากลับเปิดหนังสือไปที่หน้าแรกเพื่อเตรียมพร้อมจะฟังคุณพ่อจีซัสเริ่มบทเรียนที่หนึ่งทันที นี่ล่ะคือความลำบากของนักศึกษาที่โดนอาจารย์ตะบี้ตะบันสอนตั้งแต่คาบแรกที่เจอกันในช่วงเปิดเทอมใหม่

"หนังสือที่ทุกคนถืออยู่จะมีทั้งหมดห้าบทด้วยกัน บทแรกชื่อว่า Ars Goetia (อาร์ส โกเอเทีย) จะกล่าวถึงปีศาจทั้งเจ็ดสิบสองตนที่ราชาโซโลมอนเคยเรียกใช้ รวมทั้งมีคาถาการอัญเชิญเพื่อใช้งาน วงเวทย์ที่จำเป็นต้องใช้ในพิธี..."
คุณพ่อจีซัสเริ่มอธิบายส่วนประกอบภายในหนังสือคร่าวๆ ด้วยท่าทางสบายๆ จากที่ฟังแล้วสรุปได้คือ หนังสือมีทั้งหมดห้าบท บทแรกจะกล่าวถึงปีศาจทั้งเจ็ดสิบสองตน บทที่สองกล่าวถึงพวกภูติอากาศสามสิบเอ็ดตนที่โซโลมอนเคยเรียกใช้ บทที่สามจะแบ่งย่อยเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกอธิบายถึงเทวทูตที่เรียกใช้ได้ พาร์ทที่สองกล่าวถึงเทวทูตผู้ปกครองจักรราศี บทที่สี่กล่าวถึงการทำอัลมาเดลซึ่งเป็นแผ่นขี้ผึ้งมีตราผู้พิทักษ์ใช้อัญเชิญเทวทูต และบทสุดท้ายจะรวบรวมมนตร์และเวทมนตร์ในภาษาต่างๆ

ยอมรับว่าสมองเออเร่อไปชั่วขณะหลังจากฟังอธิบายคร่าวๆ จบ และความลำบากกำลังมาเยือนเมื่อนายเทวินจำชื่อเรียกของแต่ละบทในหนังสือไม่ได้เลยเพราะคุณพ่อจีซัสกำลังสุ่มถามพวกเราอยู่

"เทวิน"
น้ำเสียงทุ้มหวานเอ่ยเรียกชื่อกันอย่างชัดเจน ผมยังไม่ทันได้โอดครวญหรือขอความช่วยเหลือจากเซนเลยสักนิด เหมือนคุณพ่อจีซัสจะแอบยกยิ้มมุมปากที่ได้เห็นอาการลุกลี้ลุกลนของผมเข้า มือไม้กำแน่นเริ่มชื้นเหงื่อ

"คะ ครับคุณพ่อจีซัส"
เสียงเบาหวิวไร้น้ำหนักดังขึ้น ผมหลุบตาลงต่ำเมื่อคุณพ่อจีซัสมองตรงมา นักศึกษาหลายคนที่ให้ความสนใจในความซวยของผม อยากจะเข้าไปกราบเรียงตัวเลยเถอะที่ตั้งใจเสือกเรื่องคนอื่นได้ขนาดนี้

"ได้ลองเปิดหนังสือดูบ้างหรือยัง"
คุณพ่อจีซัสคลี่รอยยิ้มเยือกเย็นส่งมาให้กัน ผมเหลือบมองคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งไม่ยอมช่วยเหลือกันแล้วอยากจะง้างมือตบหัวนัก

"เอ่อ... เปิดดูคร่าวๆ แล้วครับ"
ผมตอบไปตามความจริง คร่าวๆ นี่คือเปิดผ่านๆ พอให้รู้ว่าหนังสือแม่งเป็นภาษาอังกฤษล้วน อย่าถามถึงเนื้อหานะ บรรลัยแน่ๆ

"อืม... ไหนบอกพ่อหน่อยว่าบทที่สามชื่ออะไรและกล่าวถึงเรื่องอะไร"
รอยยิ้มเย็นยังคงอยู่ทำให้ผมกำมือแน่นขึ้นจนชื้นเหงื่อ จำชื่อบทไม่ได้เว้ยคุณพ่อจีซัส สุดท้ายก็เลยตัดสินใจที่จะตอบแค่ส่วนที่รู้ไป และไอ้คนที่ผมไม่คิดว่ามันจะช่วยกลับกระซิบเสียงเบาบอกกันซะอย่างนั้น คาบเรียนครั้งแรกเลยผ่านไปได้ด้วยดี

หลังเลิกเรียนเซนไปส่งอุ่นที่ลาดจอดรถของคณะก่อนจะพาผมไปกินข้าวเย็นด้วยกัน การกระทำของเขาดูแปลกไปอย่างสิ้นเชิงเพราะเมื่อก่อนไม่เคยจะชวนกันไปไหนมาไหนด้วยช่วงเวลาพลบค่ำแบบนี้ เขามักจะนัดคนของเขาตลอดเวลา จะติดต่อกันทางโทรศัพท์ยังยาก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่



มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 2 -P.1- (21.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 21-10-2016 19:26:01
"เซน... มึงแปลกๆ ไปนะช่วงนี้ มีอะไรหรือเปล่า"
ผมถามในขณะที่กำลังนั่งรออาหารที่สั่งไปมาเสิร์ฟ เซนชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็คลี่ยิ้มบางส่งมาให้กันก่อนจะกลับไปสนใจเกมในจอสี่เหลี่ยมต่อ ท่าทางแบบนี้เดาได้ง่ายๆ ว่าคำคอบต่อไปคงไม่ได้ไขความกระจ่างในสิ่งที่ผมสงสัยมาตลอดอย่างแน่นอน

"มึงคิดมาก กูแค่ว่าง เบื่อๆ ผู้หญิงด้วย"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยตอบกัน ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตากลมมองเปลวเทียนในตะเกียงใสอย่างเลื่อนลอย บรรยากาศร้านอาหารที่เซนเลือกดูสลัวๆ แต่โรแมนติกอยู่ในที คล้ายกับจะพากันมาเดท แต่คงไม่ใช่ และผมเกลียดคำตอบที่ได้รับ เบื่อผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ โกหกทั้งเพ

"คนอย่างมึงเนี่ยนะเบื่อผู้หญิง แล้วเอาเวลาว่างมาอยู่กับกูไม่น่าเบื่อกว่าเหรอไง"
ผมเลื่อนสายตาไปมองเขาที่ยังเล่นเกมอย่างเมามัน เซนเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ พยายามจะเสาะหาความผิดปกติจากเขาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เคยได้คำตอบที่ชัดเจนเลยสักครั้ง และเหมือนกับว่าวันนี้เซนจะไม่ยอมไปส่งผมกลับหออีกตามเคย เพราะตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยเข้าช่วงสองทุ่มไปแล้วเพราะรถติดก่อนหน้านี้

"เซน... ถามจริงๆ เหอะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า คุยกับกูได้นะเว้ย เพื่อนกัน"
ผมยังคงพยายามคาดคั้นอย่างจริงจังเพราะทนเก็บความสงสัยมาร่วมอาทิตย์ไว้ไม่ไหว จากที่เคยพิงพนักเก้าอี้ปล่อยตัวตามสบายกลับขยับตัวมาเท้าแขนลงบนโต๊ะแล้วจ้องคนตรงข้ามอย่างจริงจัง เซนยอมวางโทรศัพท์ลงแล้วใช้ดวงตาสีเทาจ้องมองกันเห็นเปลวเทียนวูบไหวอยู่ในนั้นอย่างชัดเจนจนผมเผลอกลั้นหายใจเพราะมันดูลึกลับและแฝงไปด้วยความน่ากลัว

"ใกล้จะวันเกิดกูแล้วไง อยากให้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เหรอครับ"
หัวใจกระตุกวูบจนลืมจุดประสงค์มี่แท้จริงของตัวเองไปจนหมดหลังจากฟังประโยคเมื่อครู่จบ น้ำเสียงราวกับจะอ้อนวอนนั่นคืออะไร แล้วสายตาหวานเยิ้มที่ส่งมาให้กันนั่นอีก ผมรีบขยับตัวพิงพนักเก้าอี้ตามเดิมแล้วเบนสายตาหนีมองไปทางอื่น ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเซนแล้วอดที่จะย่นจมูกใส่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ ชอบทำให้สับสนอยู่เรื่อย

"ทำไมชอบล้อเล่นจังวะเซน"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะคิดว่าคงโดนแกล้งให้ใจเต้นเหมือนทุกครั้ง แต่ผิดคาดไปเยอะเพราะเขาหยุดหัวเราะแล้วเปลี่ยนสายตาหวานเยิ้มเป็นจริงจังขึ้นทันทีจนผมต้องเหลือบสายตามอง

"ไม่ได้ล้อเล่น กูพูดจริง"
เขายืนยันด้วยคำพูดและท่าทางที่แสดงออก ทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจเพราะความรู้สึกมีความสุขเล็กๆ กำลังก่อตัวขึ้น แต่แล้วความสงสัยบางอย่างกับผุดขึ้นในสมองอีกครั้ง แล้วอุ่นล่ะ เซนไม่อยากอยู่ด้วยหรือยังไง นั่นก็เพื่อนสนิทเหมือนกันนะ

"แล้วไอ้อุ่นล่ะ ไม่อยากอยู่กับมันบ้างเหรอวะ"
ผมถามด้วยความสงสัยจนเผลอขมวดคิ้วแน่น เซนมองกันก่อนจะเอื้อมมือมานวดระหว่างคิ้วให้เพื่อผ่อนคลาย ความอุ่นจากปลายนิ้วมือทำให้ผมรู้สึกดี กลิ่นมิ้นท์จางๆ ลอยมาปะทะจมูกอีกครั้ง ชอบจัง...

"เบื่อหน้าอุ่นแล้ว"
เขาตอบทั้งๆ ที่สายตายังมองผมอยู่แบบนั้น ปลายนิ้วยังคงคลึงที่เดิมไม่เคลื่อนไปไหน รู้สึกว่าบรรยากาศจะชวนให้ผมเพ้อฝันได้โดยง่าย ถ้าแอบคิดว่าเซนมีใจให้กันจะดีแค่ไหนนะ แล้วผมจะอมยิ้มทำซากอะไรเนี่ย ยังไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าคิดยังไงกับเขากันแน่

"ถ้าวันหนึ่งมึงเกิดเบื่อหน้ากูขึ้นมาคงไม่ทิ้งกูแบบที่มึงทิ้งอุ่นใช่ปะ"
ผมถามก่อนจะปัดมือเซนทิ้งแบบไม่จริงจังนักแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบระหว่างรอคำตอบ เซนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวไปด้านหลังเพื่อพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม พูดกันตามตรงคือเขาดูดีเสมอไม่ว่าจะทำอะไร จะขยับท่าไหน

"ไม่หรอก... กินข้าวเถอะ"
พอเหมาะพอเจาะกับอาหารที่มาเสิร์ฟทำให้เราจบบทสนทนาไว้เพียงแค่นั้น กลิ่นหอมของสปาเก็ตตี้คาโบนาล่า พิซซ่าหน้าฮาวาเอียนแบบอิตาเลี่ยนแท้ ลาซาญญ่าผักโขม ซุปเห็ดร้อนๆ และริซอตโต้จานใหญ่

"แน่ใจเหรอว่าจะกินริซอตโต้"
ผมชะงักมือที่ถือช้อนไว้ ริซอตโต้ตรงหน้าอยู่แค่เอื้อมแต่โดนขัดจังหวะเสียอย่างนั้น หน้าตาของมันดูเละๆ คล้ายกับโจ๊กบ้านเราแต่มีการปรุงรสที่แตกต่างกันมาก แต่เมล็ดข้าวของเขาจะมีลักษณะแข็งกว่าข้าวของไทย มีรูปร่างกลมๆ สั้นๆ คล้ายข้าวญี่ปุ่น

"ก็มันน่ากินดี งกเหรอ"
ผมเบ้ปากใส่ก่อนจะใช้ช้อนตักริซอตโต้ขึ้นมาดม กลิ่นหอมของเครื่องเทศลอยมาปะทะจมูกเข้าเต็มๆ ผมอ้าปากกำลังจะเคลื่อนช้อนเข้าไปแต่แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเซนพูดออกมา

"มึงไม่เคยกิน ระวังอ้วกแล้วกัน บอกไว้ก่อนว่าสัมผัสไม่เหมือนโจ๊กแน่ๆ"
เซนเหมือนจะเตือนด้วยความหวังดี แต่แววตาที่ใช้มองกันกลับฉายแววสนุกสนาน เขารู้ว่าผมไม่ชอบกินอาหารเลี่ยนๆ แต่ก็ยังเลิกพามาร้านอาหาอิตาเลี่ยน อยากจะฆ่ามันทิ้งแต่ยอมได้เพราะมื้อนี้เซนเลี้ยงไง

"หยุดพูดแล้วกินไปเลย"
ผมว่าก่อนจะงับริซอตโตเข้าปาก... อืม ไม่ไหวว่ะ รสชาติก็ดีอยู่หรอกแต่มันรู้สึกหยึ๋ยๆ ในปากยังไงก็ไม่รู้ คำเดียวรู้เรื่องเลยจนต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มล้างคอ

"เป็นไง อร่อยไหม"
เซนถามในขณะที่เขากำลังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจาน ผมกรอกตาไปมาก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ มันอร่อยจริงนะ แต่ไม่ใช่แนวผมว่ะ

"อร่อย แต่เลี่ยน"
ผมตอบแล้วตักลาซาญญ่าผักโขมใส่ปาก รสชาติกลมกล่อมจนลืมความเลี่ยนของชีสที่ใส่มาเลย บางอย่างก็กินได้ง่ายๆ บางอย่างแค่นิดหน่อยก็พอแล้ว

"อืม งั้นกินพิซซ่ากับสลัดไปก่อนแล้วกัน จะสั่งอะไรเพิ่มไหม มีแต่ของเลี่ยนๆ"
เซนวางอุปกรณ์ในมือลงแล้วเรียกพนักงานให้นำเมนูมาอีกรอบ ผมอยากจะปฏิเสธแต่ทำได้แค่รับเมนูมาเปิดดูอีกครั้ง จะสั่งเพิ่มก็กลัวอาหารบนโต๊ะจะเหลือ แต่ถ้าไม่สั่งผมเองจะไม่อิ่ม

"ขอไก่นิวออลีนกับเฟรนฟรายเพิ่มแล้วกัน"
ผมสั่งแล้วยื่นเมนูคืนให้กับพนักงาน เซนยกยิ้มเล็กน้อยแล้วเริ่มกินอาหารตรงหน้าต่อไป

สรุปแล้ววันนี้กินอาหารไปทั้งหมดทั้งสิ้นรวมแล้วเจ็ดอย่าง ท้องแทบจะแตกตาย และไม่อยากจะเชื่อว่าเซนคนเดียวฟาดทั้งคาโบนาล่าและริซอตโต้เลี่ยนๆคนเดียวจนหมด นับถือเขาเลยจริงๆ ที่กินพวกมันด้วยหน้าตาเฉยเมย และตามคาดคือผมไม่ได้กลับไปที่หอเพราะโดนเขาลากขึ้นคอนโดเหมือนเดิมด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจขับรถไปส่งแล้วมันไกล ทั้งๆ ที่ผมบอกจะนั่งรถกลับเองก็ไม่ยอม เลยจำใจต้องมาค้างที่นี่อีกจนได้

"ไปอาบน้ำ เดี๋ยวเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้"
และเหมือนเดิมที่ผมโดนไล่ให้ไปอาบน้ำโดยมีผ้าขนหนูสีขาวสะอาดผืนเดิมติดตัวแค่อย่างเดียว ส่วนเสื้อผ้าและกางเกงชั้นในที่แวะซื้อที่มินิมาร์ทใกล้ๆ คอนโดนั้นอยู่ด้านนอกห้องน้ำ ให้ออกไปแต่งตัวข้างนอกเพราะจะแกล้งกันตามเคยผมควรทำใจ

เสื้อผ้าชุดนักศึกษาของเซนมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ผมคุ้นเคยติดอยู่ หาคำตอบไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมกลิ่นมิ้นท์ถึงแทรกซึมอยู่ในทุกสิ่งอย่างของเขา คำตอบที่ว่าใช้ครีมอาบน้ำกลิ่นนี้ก็ไม่น่าจะส่งผลมาถึงเสื้อผ้าสิ แล้วเวลาเหงื่อออกนั่นอีก กลิ่นหอมจะไม่จางหายไปเลยมันใช่เหรอวะ แต่สงสัยไปก็รกสมองเปล่าๆ เลยเลือกที่จะเมินเฉยแล้วค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกาย

ผิวขาวเนียนสะท้อนในกระจกเงาเผยให้เห็นรูปร่างสมส่วนของตัวเองแบบเต็มตา ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมเซนต้องติดกระจกเงาบานมโหฬารไว้ตรงข้ามกับฝักบัวด้วย... เวลาอาบน้ำเห็นท่วงท่าตัวเองแล้วรู้สึกอายยังไงก็ไม่รู้ว่ะ บางจังหวะที่เผลอหันหน้าไปทางนั้น ฟองสบู่กับร่างกายขาวเนียนดูยั่วเย้าจนพลอยทำให้หน้าแดงระเรื่อ เผลอคิดไปว่าถ้าคนด้านนอกเข้ามาอาบน้ำด้วยกันจะรู้สึกยังไง... ฟุ้งซ่านฉิบหาย

ผมไล่ความคิดบ้าๆ ด้วยการเปิดฝักบัวชำระล้างคราบฟองสบู่ให้ไหลลงไปตามช่องระบายน้ำ สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเพราะกลิ่นหอมหวนของครีมอาบน้ำทำให้รู้สึกสดชื่น เส้นผมสีดำเปียกลู่ไปตามศีรษะ หยาดน้ำเกาะพราวไปตามทุกส่วนของร่างกาย ผมเอื้อมมือไปปิดฝักบัวก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตามร่างกายแล้วนุ่งมันปกปิดส่วนล่างไว้

ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกในขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือจับลูกบิด ดวงตากลมเบิกค้างเมื่อคนที่ปรากฏตรงหน้าเหลือบ็อกเซอร์ติดตัวแค่ผืนเดียว และที่ตกใจยิ่งกว่าคือผมลืมล็อกประตูเหรอ!

"ทะ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้วะ"
ผมถามเสียงตะกุกตะกักก่อนที่สายตาจะมองสำรวจคนตรงหน้าไปทั่ว อยากจะห้ามตัวเองใจจะขาดแต่เหมือนร่างกายจะไม่สัมพันธ์กับสมองแล้ว

"มึงอาบน้ำนาน เลยจะเข้าไปตาม"
ดวงตาสีเทาดูมีแววกังวลจนผมอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยว่าทำไมหมู่นี้เซนมีท่าทางเป็นห่วงกันมากกว่าปกติ เมื่อก่อนเขาแทบจะไม่สนใจใยดีกันเลยด้วยซ้ำ แต่จะถามเอาคำตอบก็อย่างที่รู้กัน...

"เซน... ทำไมดูเป็นห่วงกูจังวะช่วงนี้"
ผมเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าโดนบ่ายเบี่ยงอีกแน่ๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อความสงสัยมันล้นจนเก็บไปคิดมากอยู่ทุกวัน ทำเป็นเฉยเมยนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะวนกลับมาคิดเรื่องเดิมซ้ำๆ ทุกที

"หลงรักมึงมั้ง"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ และขยับเข้ามาเท้าแขนไว้กับกรอบประตู นั่นทำให้ระยะห่างของเรามันน้อยลงจนน่าใจหาย ผมขยับถอยหลังจนลืมไปว่าพื้นมันลื่นเลยเสียหลัก แต่เซนเข้ามาเกี่ยวเอวแล้วกอดกันไว้ได้ทันท่วงที แทนที่ผมจะตกใจเพราะลื่นแต่ตกใจเพราะท่าทางของเราสองคนมากกว่า... เนื้อแนบเนื้อจนรู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนระอุ เสียงหัวใจที่เต้นดังสนั่นในอกจนกลัวว่าอีกคนจะได้ยิน กอปรกับลมหายใจอุ่นๆ ที่กำลังเป่ารดต้นคอกันตอนนี้ ทำให้ผมไร้เรี่ยวแรงจะผลักไสเขาออกไป

"ซะ เซน มึงก็พูดไปเรื่อย แม่ง"
ผมเค้นเสียงพูดอย่างยากลำบากและรู้สึกว่าอ้อมแขนของเขาจะกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม หัวใจทำงานหนักจนแทบจะหยุดเต้น ไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าคนที่กอดกันอยู่จะผละออกไป... ถ้าบอกว่าอยากให้กอดไปนานๆ จะผิดไหมนะ

"หึ ไม่มีอะไรหรอก ไปแต่งตัวเถอะ"
เซนเป็นฝ่ายผละผมออกจากอ้อมกอดแล้วเบียดตัวเข้าไปในห้องน้ำแทน ผมยกยิ้มบางสมเพชตัวเองแล้วเดินออกมาก่อนจะปิดประตูห้องน้ำให้เขา ได้แต่บอกตัวเองด้วยหัวใจที่เหี่ยวเฉาว่าควรถอยออกมาจากความรู้สึกคลุมเครือก่อนจะถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่... จะใช้วิธีไหนในการถอนตัว ในเมื่อเขาเข้ามาสร้างความใกล้ชิดขึ้นเรื่อยๆ เฮ้อ

ผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มๆ ปล่อยอารมณ์และความรู้สึกและหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราแสนหวาน โดยไม่รู้เลยว่าใครคนหนึ่งกำลังมองอยู่จากมุมมืดภายในห้องแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ




----------------------------------------------------------------


ตอนที่ 2 มาแล้ว เขาไปเริ่มเรียนวิชาเลือกกันแล้วนะ
แถมเซนยังทำตัวแปลกๆไม่ยอมให้เทวินอยู่ห่างจากตัวเองด้วย
ตอนต่อไปจะได้เจาะลึกเนื้อหาในหนังสือแบบเต็มๆ เทวินจะเริ่มมีความสนใจลองอัญเชิญปีศาจ

อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 2 -P.1- (21.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-10-2016 21:50:18
เซนทำตัวน่าสงสัยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 2 -P.1- (21.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 21-10-2016 22:08:17
เซนเป็นพระเอกใช่มั้ย?
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 2 -P.1- (21.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-10-2016 15:51:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-10-2016 17:17:11
ตำราบทที่ 3


'Where is the inferno?
Under the ground or in my mind'
นรกอยู่ที่ไหน? ใต้ดินหรือในใจของผม



อุณหภูมิยามเที่ยงวันแทบจะทำให้เกิดอาการฮีทสโตรก เม็ดเหงื่อไหลย้อนตามไรผมและซอกคอจนรู้สึกคันยุบยิบไปทั้งร่างกาย สงสัยว่าตอนนี้อยู่บนโลกหรือนรกกันแน่ เพราะร้อนแทบตับแตกอยู่แล้ว จะหลบไปไหนก็ไม่ได้เพราะต้องตากผ้าทั้งตะกร้าใหญ่ ถ้าเหลียวกลับเข้าไปมองคนในห้องที่นั่งกินไอศกรีมแท่งหน้าตาเฉยแล้วก็อยากพุ่งเข้าไปกระชากหัวสักครั้งโทษฐานไม่ช่วยงานกันทั้งๆ ที่ก็มีเสื้อผ้าของตัวเองรวมอยู่ด้วย

"เซน! ไม่คิดจะช่วยบ้างหรือไงวะ"
ผมโวยเสียงดังลอดรอยแยกของประตูกระจกตรงระเบียง ดวงตาสีเทาเหลือบมองกันก่อนจะคลี่ยิ้มกวนตีนส่งมาให้ เขาลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วก้าวขายาวๆ มาหา เซนหยุดอยู่หน้าประตูกระจกและยกไอศกรีมในมือขึ้นมาเลียยั่วน้ำลายกัน

"โอ้ย ไปไกลๆ เลย ไม่คิดจะช่วยแล้วยังทำนิสัยแย่อีก"
ผมบ่นก่อนจะเอื้อมมือไปปิดประตูกระจกกั้นระหว่างเราสองคนเอาไว้แล้วสะบัดหน้าหนีกลับมารีบตากผ้าในตะกร้าให้เสร็จๆ ไป แทนที่มันจะซักอบรีดที่ร้านให้เรียบร้อยไม่ต้องลำบากคนอื่น กลับบอกว่าซักเองตากเองรีดเองสบายใจกว่า... เออ มันสิสบาย ผมนี่ลำบาก

"วิน"
เสียงเรียกชื่อดังขึ้นหลังจากเสียงประตูกระจกเปิดออก มือเรียวยื่นกระป๋องน้ำอัดลมเย็นๆ มาแตะแก้มกันจนผมสะดุ้งโหยงแทบจะปล่อยมือออกจากกางเกงยีนส์ ดวงตาสีเทาจ้องมองกันในขณะที่ผมหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับเขา ปากเบะลงจนเป็นเส้นโค้ง เซนเล่นบ้าอะไรเนี่ย

"ทำอะไรของมึงเนี่ย"
ผมโวยใส่เซนแล้วทิ้งกางเกงยีนส์ตัวละครึ่งหมื่นของมันลงในตะกร้าผ้าก่อนจะยกมือคนเท้าเอวมองด้วยสายตาหงุดหงิด เซนไหวไหล่เล็กน้อย มือเรียวยื่นกระป๋องน้ำอัดลมมาให้

"ร้อนไม่ใช่เหรอ เอาน้ำมาให้"

"อือ ช่วยตากผ้าด้วยก็ดีนะ"
ผมรับน้ำกระป๋องมาเปิดแล้วยกขึ้นกระดกด้วยความกระหาย ความซ่าของมันทำให้ผมสำลักเบาๆ เซนเลยขยับเข้ามาช่วยลูบหลังกัน

"มึงตากไปเถอะ กูเกรงใจ"
คำพูดยียวนทำให้ผมถลึงตาใส่แล้วผลักอกเซนออกไปไกลๆ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ฉายแววโกรธเกรียวแต่กลับคลี่ยิ้มอย่างพอใจที่สามารถยั่วโมโหกันได้ จิตใจทำด้วยอะไรทำไมชอบกวนประสาทกันนักนะคนเรา

"กวนตีน ออกไปไกลๆ เกะกะ"
สุดท้ายต้องออกปากไล่ให้เขาออกไปจากระเบียงคอนโดแทน ไม่ช่วยกันก็อย่ายืนขวางทางก็พอ ผมใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาทีตากผ้าในตะกร้าจนหมดแล้วกลับเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแผ่รับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เซนที่นั่งอยู่ด้านข้างหันมามองแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาผมเลยเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเขาแทน

"วันนี้จะให้กูกลับหอได้หรือยัง"
ผมนั่งตะแคงข้างมองเซนด้วยสายตาจริงจัง หวังว่าเขาคงอนุญาตให้ผมกลับไปอยู่ที่ของตัวเองได้สักที สองสามวันมานี้เวลาจะข่มตาหลับนั้นยากลำบากเพราะสมองเอาแต่คิดถึงคนที่นอนอยู่ข้างๆ กัน เวลาตื่นยังพบหน้ากันเป็นคนแรกทำให้หัวใจอ่อนแอเกินจะต้านทานความรู้สึกที่ก่อตัวมากขึ้นทุกวัน กลัวตัวเองจะเจ็บเลยอยากถอยออกมา แต่เหมือนยิ่งพยายามห่างจะยิ่งใกล้ชิด

"เรียนภาคค่ำเสร็จค่อยว่ากัน"
คำตอบแบบขอไปทีทำให้สรุปได้ว่าวันนี้คงไม่ยอมให้ผมกลับหออีกตามเคย เค้นให้ตายก็ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงที่ว่าทำไมต้องตัวติดกันแทบตลอดเวลาแบบนี้ด้วย ขี้เกียจจะถามซ้ำหลายๆ ครั้งให้เปลืองน้ำลาย อยู่ที่นี่ก็สะดวกสบายดี แค่ใจสั่นเท่านั้นเอง

"เหอะ กว่าจะเรียนเสร็จก็สองทุ่มอะ มึงคงไม่ขับรถไปส่งกูที่หอตามเคย"
ผมพูดอย่างรู้ทันแล้วเบนสายตาหนีก่อนจะทิ้งตัวนอนราบไปกับโซฟาอย่างเหนื่อยล้า อยากจะเอาขาพาดตักเซนอยู่หรอกแต่เกรงใจเลยได้แต่ห้อยขาไว้ตำแหน่งเดิม เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนเอื้อมมือมาขยี้ผมกันอย่างอ่อนโยน ผมขี้เกียจจะปัดออกเลยปล่อยไปแบบนั้น สนุกเขาล่ะ

"เก่งนี่ รู้ทัน"
ยังจะมีหน้ายักคิ้วหลิ่วตาแบบกวนๆ ให้กันอีก มันน่าหมั่นไส้จนอดไม่ไหวที่จะกำหมัดแล้วต่อยไปที่ท้องของเขาเบาๆ แต่มีหรือคนที่เคลื่อนไหวเร็วอย่างเซนจะพลาดท่าง่ายๆ ผมเองล่ะที่เป็นฝ่ายวืดจนใบหน้าร้อนวาบด้วยความหงุดหงิด

"แม่ง นิสัยเสีย"
ผมว่าก่อนจะปัดมือที่ยังคงวางไว้บนหัวออก เซนผละมือหลบได้ทันแล้วขยับถอยห่างออกไป ดวงตาสีเทาจ้องมองไปที่มุมมืดในห้องครัว มีอะไรอยู่ตรงนั้นเหรอ...

"บารอน"
เสียงเรียกชื่อนั้นไม่ดังนักแต่ทำให้เจ้าของเรือนร่างกำยำ ขนฟูฟ่องสีดำขาวก้าวขาออกมาเผชิญแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง เจ้าหมาสายพันธุ์อลาสกันมาลามิวท์เยื้องย่างมาหาผู้เป็นนายอย่างสง่างาม ผมตะลึงที่ได้เห็นเจ้าบารอนเป็นครั้งแรก และเกิดความสงสัยว่า... มันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่รู้หรือไม่ได้ยินเสียงมาก่อนเลยนะ ประหลาดมาก

"มันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง"
ผมถามเซนที่ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าบารอนแล้วใช้มือลูบขนมันอย่างทะนุถนอม ดวงตาเรียวคล้ายเม็ดอัลมอนปรือลงอย่างเคลิบเคลิ้มเพราะสัมผัสที่ได้รับจากเจ้านาย

"ตั้งแต่เมื่อคืนน่ะ มึงไม่สังเกตเอง"
คำตอบของเซนยิ่งทำให้ผมเหมือนคนโง่ มีหมาตัวใหญ่อยู่ในห้องยังไม่รู้เรื่อง ให้ตายเถอะ สงสัยเมื่อคืนเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจสิ่งรอบข้าง และเมื่อเช้ายังวุ่นวานกับง่ายบ้านจนลืมสังเกตไปเองล่ะมั้ง ช่างมันเถอะ คิดมากไปจะปวดหัวเปล่าๆ

"มันดุไหม"
ผมขยับลุกขึ้นนั่งแล้วจ้องมองบารอนอย่างไม่วางตา อยากเข้าไปเล่นด้วย อยากเข้าไปลูบขน แต่กลัวว่าจะโดนกัดเลยได้แต่ลองหยั่งเชิงและถามอุปนิสัยจากเจ้านายของมันแทน

"อลาสกันมาลามิวท์ไม่ดุ นิสัยคล้ายๆ ไซบีเรียนฮัสกี้นั่นล่ะ แค่ตัวโตกว่า"
เซนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิและมีหัวโตๆ ของบารอนนอนเกยตัก ผมตัดสินใจขยับลงไปนั่งข้างๆ กับเซนแล้วจ้องมองเจ้าหมาด้วยความสนใจ เคยคิดอยากจะเลี้ยงเหมือนกันแต่ครอบครัวไม่ให้เลี้ยงทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันสักหน่อย เหอะ

"อยากเล่นด้วยอะ"
ผมกำลังจะเอื้อมมือไปลูบขนของบารอนแต่เซนกลับขัดไว้ ดวงตาสีเทามองจ้องมาคล้ายจะห้ามปรามกัน ผมดึงมือกลับแล้วเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย

"ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะพาไปกินอาหารญี่ปุ่น"
เซนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สายตาเชิญชวนจนยากจะปฏิเสธน้ำใจงามๆ ของเพื่อนสนิท ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบลุกขึ้นออกจากตรงนั้นในทันที โดยลืมเรื่ออยากเล่นกับบารอนไปเลย พอกลับออกมาจากห้องน้ำเซนบอกว่าที่บ้านมารับบารอนกลับไปแล้ว... ลึกลับเกินไปแต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไร

"ทำไมเรียนวิชาเลือกตอนเย็นวะเซน"
ผมถามในขณะที่เราอยู่บนรถ BMW 235i สีดำที่กำลังพุ่งทะยานไปยังศูนย์การค้าใกล้ๆ กับคอนโด ผมสงสัยเวลาและจำนวนครั้งที่เรียนต่อสัปดาห์ด้วย วิชาเลือกที่ไหนเขาเรียนสัปดาห์ละสองวัน แปลกประหลาดสุดๆ

"สงบ ไม่มีใครวุ่นวาย"
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมร้องอ๋อออกมาเบาๆ ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อมาพบว่าพวกเราเรียนวิชาที่ซุ่มเสี่ยงต่อการงมงายคงเป็นข่าวดังทั้งมหา'ลัย เพราะน้อยคนนักจะรู้ว่ามีวิชาเลือกแปลกประหลาดแบบนี้เปิดสอน ลงเรียนโดยตรงกับคุณพ่อจีซัสเท่านั้น

"แต่บรรยากาศคงน่าขนลุกว่ะ"
ผมพูดก่อนจะยกแขนขึ้นมาลูบ เซนหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาโคลงหัวกันก่อนจะใช้ดวงตาสีเทาเหลือบมอง

"ไม่กลัวผีไม่ใช่หรือไง"

"เออ ก็ไม่กลัวผี แต่ปีศาจมันคนละอย่างกันนะ"

"เรียนทฤษฎีไม่ใช่ปฏิบัติ จะกลัวอะไร"

"เออๆ เอามือออกไปได้แล้ว ผมยุ่งหมด"
ผมย่นจมูกใส่ก่อนจะใช่มือปัดๆ มืออีกคนออก เซนส่ายหน้าและคลี่ยิ้มบางมาให้กัน ทำอย่างกับผมเป็นเด็กน้อยขี้โวยวายไปได้ ไม่เห็นต้องทำท่าทางปลงขนาดนั้นเลย

เรามาถึงห้างสรรพสินค้าในเวลาเกือบบ่ายสองเนื่องจากจราจรติดขัดอย่างหนัก เซนเป็นคนเลือกร้านอาหารให้กันซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธเพราะกินร้านไหนก็เมนูคล้ายๆ กันไปหมด มุมที่เลือกนั่งเงียบสงบและปราศจากผู้คนอยู่พอตัวเนื่องจากเขาไม่ชอบความวุ่นวายเท่าไหร่ เมนูเล่มหนาถูกส่งมาให้จากมือพนักงาน รูปอาหารหลากสีสันปรากฏสู่สายตาจนเลือกไม่ได้ว่าจะสั่งอะไรดี อยากกินไปซะทุกอย่าง

"ขอข้าวหน้าปลาไหล ซาซิมิเซ็ตใหญ่ ทงคัตสึครับ"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วในขณะที่ผมยังพลิกเมนูไปมา สายตาเหลือบมองพนักงานที่รับออเดอร์แล้วส่งยิ้มแหยไปให้ กลัวว่าจะรอนานเลยตัดสินใจเลือกส่งๆ ไปสองเมนู

"ชุดข้าวปลาหิมะย่างซีอิ๊วครับ"
ผมสั่งจบพนักงานก็ทวนรายการอาหารและเก็บเมนูแล้วเดินออกไป เซนนั่งกดโทรศัพท์มือถือรัวๆ จนผมเดาว่าเขาคงคุยแชทกับใครบางคนอยู่แน่ๆ ไม่รู้ว่าแอบนัดสาวอีกหรือเปล่า พอคิดแล้วก็แอบรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ ขึ้นมาไม่ได้

"มองอะไร"
คนตรงข้ามเอ่ยถามทั้งๆ ที่นิ้วเรียวยังจิ้มหน้าขอสี่เหลี่ยมอยู่ สงสัยผมจะจ้องเขามาไปเลยทำให้รู้ตัว เมื่อไหร่จะเลิกสนใจเรื่องส่วนตัวของเซนสักทีก็ยังไม่รู้ ทั้งๆ ที่สถานะความเป็นเพื่อนมันก็มากพออยู่แล้ว อยากได้มากกว่านั้นคงต้องตายแล้วเกิดใหม่เป็นผู้หญิงล่ะมั้ง

"มองไปเรื่อย ทำไม มองไม่ได้หรือไง"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ไม่อยากจะหาเรื่องอะไร แต่มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเพราะโดนรู้ทันตลอดว่าแอบมองเขาอยู่บ่อยๆ

"มองมากๆ ระวังจะตกหลุมรักกูนะ"
เซนส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้กันพร้อมกับยกยิ้มที่ทำให้คนมองใจสั่น ผมย่นจมูกใส่แล้วเอากระดาษทิชชู่ในจานปาใส่หน้ามันไปด้วยความหมั่นไส้ จริงๆ แล้วที่ทำไปทั้งหมดเพราะอยากกลบเกลื่อนอาการหัวใจเต้นแรง กลัวว่าอีกคนจะหูดีและเผลอได้ยินเข้า

"พูดมากจริง ใครเขาจะหลงรักคนนิสัยเสียอย่างมึงอะ"
ผมแสร้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อหลบเลี่ยงการสบตา แต่เหมือนเซนจะรู้เลยแกล้งยืนมือเข้ามาจับแก้มกัน มือเขาเย็นมากจนผมสะดุ้งเกือบจะปล่อยเครื่องมือสื่อสาร

"เล่นบ้าอะไรวะ มือเย็นอย่างกับศพ"
ผมผงะถอยหลังจนชนพนักเก้าอี้ด้านหลัง เซนเหลือบมองฝ่ามือตัวเองก่อนจะกระตุกยิ้มเล็กน้อยแล้วดึงมือกลับไป ดวงตาสีเทาฉายแววเจ็บปวดขึ้นมาชั่วขณะก่อนจะจางหายไปและกลับมาสดใสดังเดิม

"ศพอะไรจะหล่อขนาดนี้ครับคุณเทวิน กินข้าวกันเถอะ"
เขาปิดบทสนทนาโดยการคีบหมูทงคัตสึที่เพิ่งมาเสิร์ฟใส่จานให้กัน ผมลอบถอนหายใจแล้วกลืนคำถามลงไปก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอย่างเงียบๆ ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างบนโต๊ะก็หาบวับไปกับตา เซนยังตบท้ายมื้ออาหารด้วยพุดดิ้งนมราดสตรอเบอร์รี่เป็นของหวานที่เขาชอบ ส่วนผมสั่งแค่ไอศกรีมชาเขียวราดถั่วแดงมากินเป็นเพื่อน จะให้นั่งว่างๆ มองเขาก็คงไม่ดีเท่าไหร่

หลังจากที่เซนจัดการค่าอาหารเรียบร้อยพวกเราก็เดินย่อยอาหารจนกระทั่งสี่โมงกว่าๆ จึงกลับเข้ามหา'ลัยเพื่อไปเรียนวิชาเลือกสุดแสนจะแปลกนั่น BMW 325i แล่นตรงเข้าไปที่ลาดจอดรถของโบสถ์ อุ่นยืนโบกไม้โบกมือและส่งยิ้มมาให้ แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาส่อแววล้อเลียนมาอย่างปิดไม่มิด ทำให้ผมที่กำลังลงจากรถทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ

"แหม... เดี๋ยวนี้มาพร้อมเซนทุกวันเลยน้า ~"
เสียงทะเล้นเอ่ยแซวกันแบบไม่ไว้หน้า จำนวนคนที่เดินขวักไขว่ไม่ได้ทำให้ไอ้อุ่นอายเลยสักนิด แต่กลับเป็นผมที่รีบสาวเท้าเข้าไปปิดปากมันอย่างรวดเร็วก่อนจะถลึงตาใส่

"จะเสียงดังหาพ่องเหรอไงห๊ะ!"
ผมพูดเสียงลอดไรฟันก่อนจะบีบปากอุ่นเป็นการลงโทษแล้วปล่อยมือออก ถ้าช้าเพียงวินาทีเดียวคงโดนลิ้นเปียกชื้นของมันเลียเข้าให้ คิดแล้วก็ขยะแขยงจนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่างกาย

"แค่พูด ทำไมต้องร้อนตัวด้วย"
ไอ้อุ่นทำตาแป๋วพร้อมกับพูดประโยคนั้นด้วยเสียงงึมงำคล้ายกับเด็กโดนรังแก ไม่ได้มีความน่าสงสารเลยสักนิดกลับน่าหมั่นไส้จนอยากง้างเท้าถีบให้กระเด็น เซนที่เพิ่งเดินมาถึงยกมือขึ้นผลักหัวอุ่นแรงๆ ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเรื่องก่อนหน้านี้หรือแค่แกล้งไปตามประสา

"โหย อะไรวะเซน รุนแรงฉิบหาย"
อุ่นบ่นอุบอิบแต่ไม่โต้ตอบใดๆ กลับไป มันเป็นเรื่องชินตาที่เขามักจะยอมให้เซนมาตลอด เหมือนเกรงใจกัน ผมอยากรู้แต่ไม่อยากถามอะไรมาก ถึงจะเป็นเพื่อนกันแต่บางเรื่องอาจจะละเอียดอ่อนเกินไปที่จะให้คนอื่นรับรู้ก็เป็นได้

"เสียงดัง เข้าไปข้างในได้แล้ว"
เซนเอ่ยเสียงดุแล้วยกเท้าขึ้นเตะก้นอุ่นเบาๆ ให้เดินนำเข้าไป ส่วนเขายกมือขึ้นมาพาดบ่าของผมแล้วกระชับให้ใกล้กันมากขึ้นก่อนจะพากันก้าวเดินตามไป ผมอยากสะบัดตัวหนีแต่สัมผัสแนบชิดผ่านเนื้อผ้าก็ให้ความรู้สึกดีเกินกว่าจะปฏิเสธ แย่ที่เขาหรือผมกันแน่ที่ใจแข็งปฏิเสธการกระทำพวกนั้นไม่ได้

วันนี้ภายในโบสถ์ดูอึมครึมกว่าปกติเพราะเป็นเวลาช่วงพลบค่ำ แทนที่จะเปิดไฟนีออนให้สว่างไสว คุณพ่อจีซัสกลับเลือกจุดเทียนนับสิบๆ เล่มแทน ส่งผลให้บรรยากาศดูลึกลับชวนให้ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เรียนเรื่องเกี่ยวกับปีศาจจำเป็นต้องบิ้วอารมณ์กันขนาดนี้เลยเหรอไง เริ่มหวั่นใจแล้วสิ




มีต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-10-2016 17:18:47
"ชอบบรรยากาศแบบนี้จัง"
เสียงอุ่นสดใสมาก ใบหน้าหล่อเหลาดูจะพอใจกับบรรยากาศของชั้นเรียนพิเศษแห่งนี้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกระทบกับแสงเทียนแล้วมีประกายระยิบระยับอย่างบอกไม่ถูก เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน โดยมีเซนนั่งขนาบข้างผมอีกด้าน รู้สึกเหมือนตัวเองมีองครักษ์รูปหล่อสองคนคอยคุ้มกัน

"สลัวๆ น่ากลัวๆ แบบนี้อะนะ"
ผมถามก่อนจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่อุ่นกลับหันมามองกันก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวแทบครบสามสิบสองซี่

"เหมือนได้กลับบ้า..."

"อุ่น ขอยืมปากกาหน่อย"
เซนพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้อุ่นหยุดชะงักคำพูดของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วรีบก้มหน้าก้มตารื้อกระเป๋าเป้ตัวเองก่อนจะหยิบปากกาส่งให้ ผมเลิกคิ้วมองทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจเพราะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวกดดันแปลกๆ

"สวัสดีนักศึกษาทุกคน วันนี้พ่อจะเริ่มเข้าสู่บทเรียนบทแรก ขอให้นำหนังสือขึ้นมาและเปิดหน้าที่หนึ่ง"
คุณพ่อจีซัสปรากฏตัวอย่างกะทันหันพร้อมด้วยเสียงทุ้มหวานของเขา เสียงเปิดหนังสือดังขึ้นจนเงียบสงบลงเมื่อทุกคนเจอบทเรียนที่ต้องการ ผมก้มลงมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วพบว่ามันคือบทความแนะนำตัวของปีศาจแต่ละตนเพียงสั้นๆ เท่านั้น

"ถ้าทุกคนได้ก้มหน้าลงไปมองแล้วจะพบว่าข้อมูลข้อปีศาจแต่ละตนในหนังสือนั้นให้มาเพียงน้อยนิดเท่านั้น และงานแรกของนักศึกษาก็คือหาข้อมูลเพิ่มเติม..."
เกิดเสียงฮือฮาของคนในคลาสดังขึ้นเพราะแต่ละคนคิดว่าข้อมูลเพิ่มเติมเหล่านั้นที่คุณพ่อจีซัสกล่าวถึงต้องไปงมหามาจากที่ไหน แต่ผมคิดว่ากูเกิ้ลอาจจะช่วยได้ ก็ชื่อปีศาจบางตนเคยปรากฏอยู่ในการ์ตูนเยอะแยะไปหมดนี่นา

"อย่าเพิ่งโวยวาย นักศึกษาในคลาสมีทั้งหมดยี่สิบสี่คน คำนวณคร่าวๆ แล้วทุกคนจะต้องรับผิดชอบหาข้อมูลเพิ่มเติมของปีศาจคนละสี่ตน พ่อจะเป็นคนกำหนดให้เอง"
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกระลอกแต่คราวนี้เบากว่าครั้งแรกอยู่มาก ผมเป็นคนหนึ่งที่เอาแต่นิ่งเงียบเพราะไม่เดือดร้อนอะไรกับงานชิ้นแรกนี้ การหาข้อมูลไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่การแปลนี่สิ... ลำบากสุดๆ

"เริ่มจากจิน รับปีศาจสามลำดับแรกไป และคนถัดไปรับลำดับที่สี่ถึงหก แบบนี้เข้าใจวิธีการแบ่งงานกันหรือยัง?"
ผมคิดว่าทุกคนในคลาสน่าจะเข้าใจ ตามลำดับการนั่งของเราเริ่มจากคนที่ชื่อจินนั่งอยู่แถวแรกทางซ้ายมือต้องหาข้อมูลของปีศาจสามลำดับแรก คนถัดมาจากเขาก็ต้องหาข้อมูลของปีศาจลำดับถัดมาอีกสามตน แบ่งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนครบทุกคน อุ่นได้ลำดับที่ยี่สิบแปดถึงสามสิบ ผมนั่งเป็นคนที่สิบเอ็ดเลยได้รับผิดชอบปีศาจลำดับที่สามสิบเอ็ดถึงสามสิบสาม เซนได้ลำดับสามสิบสี่ถึงสามสิบหก

"มีใครบ้างวะของกู"
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเปิดหน้าหนังสืออย่างรวดเร็วเพื่อหาชื่อของปีศาจที่ต้องรับผิดชอบ แต่ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงของเซนเอ่ยบอกกัน

"มีฟอราส อัสโมดาย กาป"

"หือ... มึงรู้จักเหรอ"
ผมถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยที่เซนดูจะเชี่ยวชาญในการจำชื่อและลำดับของปีศาจ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับผมแล้วคงจำไม่ได้ขนาดนี้หรอก อย่างมากคงจำได้แค่ชื่อแต่ลืมลำดับ

"ยิ่งกว่ารู้จักอีก"
คำตอบของเซนทำให้ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไปเสียงของคุณพ่อจีซัสก็ดึงความสนใจไปเสียหมด บทเรียนเริ่มขึ้นโดยการที่เขาแปลบทความของปีศาจลำดับที่หนึ่ง มีนามว่าบาเอล มียศเป็นราชา... อืม แม้แต่ในนรก แม้แต่ในหมู่มวลปีศาจยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ เฮ้อ

การบรรยายเรื่องลำดับ ชื่อ ยศ รูปลักษณ์ พลังความสามารถของปีศาจยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตามแบบที่ในหนังสือให้มาแบบคร่าวๆ จนมาถึงปีศาจลำดับที่สามสิบสองซึ่งก็คือ 'อัสโมดาย' ความสนใจของผมเริ่มทวีคูณขึ้นเพราะในหน้าหนังสือ ข้อมูลของปีศาจตนนี้ยาวยืดจนเกินครึ่งหน้ากระดาษในขณะที่ตนอื่นๆ สามารถจุข้อมูลในหน้ากระดาษเดียวกันได้ถึงสามตน

"มาถึงปีศาจลำดับที่สามสิบสอง... ราชาอัสโมดาย"
น้ำเสียงของคุณพ่อจีซัสคล้ายจะแผ่วเบาลง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมาทางพวกเราและหยุดชะงักแว๊บหนึ่งก่อนจะกวาดมองไปรอบๆ ตามปกติ ผมเหลียวซ้ายและขวาคนข้างตัวกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร ทุกคนดูจะตั้งใจฟังมากกว่าผมจะกวน ไม่กล้าชวนคุยเลยให้ตายเถอะ

"ราชาอัสโมดายเป็นปีศาจที่ถือว่าดีที่สุดในปีศาจทั้งเจ็ดสิบสองตน รูปลักษณ์จะมีสามหัวประกอบด้วย กระทิง คน และแกะ มีหางเป็นงูพิษ มีไฟออกจากปาก มีขาเหมือนห่าน ในมือมีอาวุธทวนและขี่มังกรจากนรก"
คุณพ่อจีซัสพูดถึงแค่นั้นแล้วเงียบไป ปล่อยให้พวกเราได้พิจารณารูปร่างของปีศาจอัสโมดายที่ปรากฏในหน้าหนังสือ ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้วเพ่งภาพนั้นอยู่นาน มันน่ากลัวจนไม่อยากคิดว่าถ้าเจอกันจริงๆ สักครั้งจะเป็นยังไง

"เซน... อัสโมดายน่ากลัวว่ะ"
ผมหันไปสะกิดแขนเซนที่นั่งด้วยท่วงท่าสบายๆ ไม่ได้เดือดร้อนในรูปลักษณ์ของปีศาจที่เพิ่งได้ฟังบรรยายจบไป เขาหันมามองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"น่ากลัวเหรอ ก็เหมือนๆ ตนอื่นนั่นล่ะ"

"ก็ใช่ว่ะ... แล้วปีศาจมีร่างเป็นมนุษย์ธรรมดาปะ"

"มีสิ ร่างปีศาจก็แค่อยากทำให้ผู้พบเห็นกลัวเกรงเท่านั้นล่ะ ร่างมนุษย์คือร่างที่แท้จริงต่างหาก"
ผมพยักหน้าหงึกหงักกับความรู้ที่ได้รับมาจากเพื่อนสนิท แต่ต้องหรี่ตามองแล้วเอ่ยแซวอย่างอดใจไม่ไหว ก็รู้ไปซะทุกอย่างจนเหมือนเป็นปีศาจซะเอง

"พูดอย่างกับตัวเองเป็นปีศาจเลยนะพ่อคนเก่ง"
ผมเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงทะเล้น แต่เซนกับไหวไหล่แล้วหันกลับไปขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างลงในหนังสือ ผมเหลือบมองแต่ก็พบว่าตัวเองอ่านไม่ออก ช่างมันเถอะ

"กูเหมือนปีศาจเหรอ"
เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ใช้ดวงตาสีเงินจ้องมองกัน วูบหนึ่งผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นปีศาจจริงๆ แต่คิดถึงความสมเหตุสมผลแล้วคงไม่ใช่หรอก

"มึงมันเย็นชาเกินไป ไม่ใช่ปีศาจหรอก"
ผมตอบพร้อมกับยกมือขึ้นผลักหัวมันเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ เซนไม่ได้ตอบโต้กลับมาทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากให้กันเท่านั้น

"หึ ก็ตามนั้น"
บทสนทนาเราจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อคุณพ่อจีซัสเริ่มพูดถึงราชาอัสโมดายต่อไปว่า เขาอยู่ภายใต้อำนาจของปีศาจอเมมอนเพียงผู้เดียวเท่านั้น เวลาอัญเชิญจะต้องใส่แหวนเงินที่นิ้วกลางด้านซ้าย ห้ามใส่หมวกหรือสิ่งใดๆ ที่ปิดบังศีรษะเพื่อเป็นการเคารพ

"ราชาอัสโมดายมีความสามารถ... อืม เรื่องนี้ให้เซนอธิบายแทนพ่อแล้วกัน"
คุณพ่อจีซัสหันมามองเซนด้วยแววตาเรียบนิ่ง แต่มุมปากกลับกระตุกยิ้มที่ผมคิดว่าน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ เพื่อนสนิททำแค่หลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นและเอ่ยความสามารถของราชาอัสโมดายด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเล็กๆ

"มอบแหวนแห่งคุณธรรม สอนศิลปะ ดาราศาสตร์ เรขาคณิต หัตถกรรม ตอบทุกอย่างที่ผู้เป็นนายสั่งอย่างถูกต้อง เผยที่ซ่อนสมบัติและทำให้คนเป็น 'อมตะ' ได้"
เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้นทันทีที่คำว่าเป็น 'อมตะ' หลุดจากปากของเซน ดูเหมือนราชาอัสโมดายจะถูกสนใจเป็นอย่างมากในความสามารถข้อนี้ คุณพ่อจีซัสปรบมือสามแปะให้อย่างพึงพอใจในคำตอบที่ไม่มีสะดุด ส่วนเซนยังคงสีหน้าเรียบเฉยไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น

"วันนี้พอแค่นี้ เลิกเรียนได้ และอย่าลืมทำงานที่สั่งไปด้วยนะ ส่งอังคารหน้า สวัสดี"
คุณพ่อจีซัสพูดจบก็เดินออกไปจากโบสถ์ นักศึกษาคนอื่นๆเริ่มทยอยออกไปตามๆ กันเลยเหลือแค่ผม เซน และไอ้อุ่นที่ยังนอนฟุบโต๊ะเสริมหลับเป็นตาย ดีแค่ไหนที่ไม่โดนทำโทษ

"นี่ๆ เซน ถ้าลองอัญเชิญปีศาจออกมาเจอกันสักครั้งมึงว่าจะเป็นไปได้ไหม"
ผมว่าด้วยความกระตือรือร้นเพราะอยากเจอปีศาจตัวเป็นๆ ดูสักครั้ง แต่ขอเจอในร่างมนุษย์นะ ถ้าเป็นร่างปีศาจผมคงช็อคตายไปซะก่อนแน่ๆ เซนเหลือบสายตามามองกันแทบจะในทันทีแล้วยกหนังสือวางแปะไว้บนหัวผม

"อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์นะเด็กน้อย ถ้ามึงตายขึ้นมากูจะหัวเราะให้"
เซนพูดติดตลกแต่น้ำเสียงไม่ได้ตลกไปด้วยเลย แถมดวงตาสีเทายังฉายแววดุดันห้ามปรามอยู่ในทีจนไม่กล้างอแงอะไรออกไปทั้งสิ้น แต่ไม่วายขอบ่นหน่อย

"ทำไมแช่งกันวะ"

"ไม่ได้แช่ง แต่การอัญเชิญปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ามึงพลาดเพียงนิดเดียวอาจจะตายแบบไม่รู้ตัว"

"โห... แต่มันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้วนะ ปีศาจคงไม่มีอยู่แล้วมั้ง"

"หึ ปีศาจเป็นอมตะ อยากลองดูก็ตามใจ"
เซนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วดึงหนังสือเก็บใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไปจากโบสถ์โดยไม่รอกัน เดือดร้อนผมต้องตบหัวไอ้อุ่นเป็นการปลุกแล้วรีบวิ่งตามอีกคนออกไป ดูเหมือนจะโดนงอนยังไงไม่รู้...

"เซน! รอด้วยดิ"
ผมวิ่งจนดักหน้าของเขาทันแล้วโค้งตัวลงหอบหายใจแรงๆ เพราะเหนื่อย เซนยื่นนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้เอ่ยอะไรออหมาจนผมต้องหายใจเข้าลึกๆ เพื่อพยายามเปล่งเสียงแทน

"โกรธเหรอ...วะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วงเพราะยังควบคุมลมหายใจตัวเองไม่ได้ เซนก้าวเท้าเข้ามาใกล้กันและวางมือลงบนไหล่ก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ

"เปล่า เรื่องของมึง ชีวิตของมึง"
คำตอบที่แสนโหดร้ายทำให้ลมหายใจสะดุดกึก ผมยืดตัวขึ้นอย่างหมดแรง แต่เขาเดินผ่านไปขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ควรจะชินกับการไม่แคร์อะไรของเขาได้สักที แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้และเก็บเอาคำพูดทำร้ายจิตใจไปขบคิดตามเคย

"จะกลับไหม ทำไมไม่ขึ้นรถ มันดึกแล้ว"
เซนลงทุนถอยรถมารับกันถึงที่ในขณะที่ผมยังมึนๆ งงๆ กับคำพูดเหล่านั้น พอได้สติเลยรีบรนรานเปิดประตูรถแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งทันที เซนออกตัวรถไปอย่างเงียบๆ บรรยากาศภายในรถอึดอัดจนอยากหนี แต่ทำอะไรไม่ได้ผมเลยต้องหาประโยคสนทนากับเขา

"ไปส่งที่หอไหมวันนี้"
ผมถามเขาแต่สายตากลับไม่กล้ามองไปทางนั้น กลัวว่าเซนจะแสดงท่าทางไม่สนใจออกมาให้ปวดใจเล่น แต่ผิดคาดอยู่เล็กน้อยเมื่อเขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มไร้อารมณ์ร้าย

"อืม ไปส่ง"

"ยอมให้กลับไปนอนหอแล้วเหรอ"

"เปล่า จะส่งไปเก็บของจากหอแล้วย้ายไปอยู่ด้วยกัน"
คำตอบของเขาทำให้ผมเบิกตาค้างและหันขวับไปมองเจ้าของคำพูดในทันที อะไรคือมัดมือชกให้ผมย้ายออกจากหอไปอยู่คอนโดด้วยกัน เหตุผลล่ะ ช่วยคุยกันก่อนทำอะไรไม่ได้หรือยังไง

"เดี๋ยวเซน มันเรื่องอะไรกัน ทำไมกูต้องย้ายไปอยู่กับมึงด้วย ไม่เข้าใจ"
ผมถามจบเซนก็ตีไฟเลี้ยวและจอดรถข้างทางในทันที เขาปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วโน้มตัวเข้ามาหาจนผมต้องขยับหลังติดกระจกรถ ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนมาใกล้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ ตกกระทบบนใบหน้าอย่างชัดเจน หัวใจเต้นโครมครามแทบจะหลุดออกจากอก ระยะแบบนี้อันตรายเกินไปแล้ว

"จ จะทำอะไร"
ผมพูดเสียงสั่นแล้วใช้มือดันหน้าอกเซนเอาไว้ไม่ให้เข้มาใกล้กว่านี้ ดีหน่อยที่ไฟถนนไม่สว่างสักเท่าไหร่เขาเลยไม่เห็นสีหน้ากันชัดเจนนัก

"อยากให้ไปอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เหรอวะ"
น้ำเสียงของเซนฟังดูออดอ้อนจนใจผมอ่อนยวบตามไปติดๆ ไม่ใช่ว่ามีปัญหาในการย้ายไปอยู่ด้วยกัน แค่ขอเหตุผลหน่อย ไม่อย่างนั้นจะให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาชอบกันอย่างนั้นเหรอ

"ไอ้ย้ายน่ะย้ายได้ แต่ขอเหตุผลหน่อย"
ผมมองดวงตาสีเทาที่สะท้อนแสงไฟสลัว มันแวววาวเหมือนลูกแก้วคริสตัล สวยจนอย่างครอบครองเอาไว้เพียงผู้เดียว เซนเม้มปากเข้าหากันก่อนจะผละตัวไปนั่งที่เดิมอย่างปกติ ผมขยับตัวตรงแล้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก

"อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ... ญาติเขาก็ไม่สนใจมึงนิ พ่อแม่ก็..."
อืม... พ่อแม่ผมประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อต้นปี เหลือไว้แค่สมบัติมากมายที่พอกินพอใช้ไปตลอดชาติ ญาติพี่น้องไม่ได้สนใจใยดีมี่จะดูแลกันเลย เพราะระบบครอบครัวนี้เป็นแบบต่างคนต่างอยู่ไม่ได้สนิทกันอย่างครอบครัวใหญ่ทั่วไป

"อืม... ถ้ากูย้ายไปมึงจะพาผู้หญิงขึ้นห้องอีกไหม"
ผมจ้องตาเขาแบบไม่กระพริบ สิ่งที่ทำให้อึดอัดที่สุดคือการที่เซนเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น ไอ้เรื่องเขาจะหยอดผมมากแค่ไหนผมรับได้ แต่ถ้าเขาพาผู้หญิงขึ้นมาทำเรื่องอย่างว่าตอนอยู่ด้วยกันอีกผมรับไม่ได้จริงๆ

"ไม่... กูเลิกนิสัยแบบนั้นแล้ว"
คำตอบจริงจังจนผมรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ ถ้าเขาเลิกได้จริงๆ ผมก็พร้อมจะไปอยู่ด้วยกัน ถึงจะเจ็บแปลบทุกครั้งที่เซนแกล้งให้ความหวัง แต่การที่ได้อยู่ ใกล้ๆ คงทำให้อะไรๆ ชัดเจนขึ้น จากที่เคยอยากหนีไปไกลสุดท้ายกลับทำไม่ได้

"แน่ใจเหรอวะ"

"กูอายุจะครบยี่สิบอยู่แล้ว เลิกจริงๆ"

"เออๆ ช่วยขนของด้วย"

"โอเค"

หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงพวกเราก็ถึงหอพักที่ผมไม่ได้เหยียบมาเป็นเวลาสามวันติดแล้ว เกือบจะลืมว่าเอากุญแจห้องซุกไว้ในกระเป๋าเป้เพราะยืนล้วงอยู่เกือบห้านาที พอเปิดประตูเข้าไปกลับรู้สึกว่าด้านในบรรยากาศวังเวงชอบกล แถมรู้สึกถึงไอเย็นแผ่กระจายออกมา... ความคิดแรกคือ กูลืมปิดแอร์เหรอวะ ตายห่าแน่ๆ ค่าไฟบาน

"เหี้ย กูลืมปิดแอร์เหรอวะ"
ผมกำลังคลำๆ ผนังเพื่อหาสวิตซ์ไฟแต่มันกลับสว่างโล่ขึ้นมาซะก่อนเพราะฝีมือของเซน ไม่รู้ว่ามันเดินไปเปิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ดีนะที่มือของผมยังไม่เคลื่อนไปจนถึงตัวเซน ไม่อย่างนั้นคงสะดุ้งโวยวายเสียงดังแน่ๆ

"ห้องชื้น ไม่ใช่ลืมปิดแอร์"
เซนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเดินไปกลางห้อง หันซ้ายหันขวาอยู่สักพักแล้วกวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้

"มานี่"

"เออๆ ขอถอดรองเท้าก่อน"
ผมตอบกลับไปแล้วรีบสะบัดรองเท้าผ้าไปทิ้งไว้ตรงหน้าประตูแล้วเดินเข้าไปหาเซน

"ว่าไง"
ผมถามเมื่อหยุดยืนข้างๆ เขา เซนมองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนจะตั้งคำถาม

"มึงต้องเก็บอะไรบ้าง"

"ก็เสื้อผ้า หนังสือ ของใช้บลาๆ"
ผมบอกเซนพร้อมกับชี้นิ้วไปตามสิ่งของต่างๆ ที่ต้องเก็บ เขาพยักหน้ารับก่อนจะทิ้งตัวลงที่ปลายเตียงใกล้ๆ

"งั้นคืนนี้เก็บของแล้วค้างที่นี่ ตอนเช้ามึงก็ไปเคลียร์เรื่องหอกับเจ้าของ ส่วนเรื่องย้ายของเดี๋ยวให้คนที่บ้านมาช่วย"

"เออๆ โอเค งั้นมึงไปอาบน้ำ เดี๋ยวกูเตรียมเสื้อผ้าให้"
ผมไล่เซนพร้อมกับหยิบผ้าขนหนูยัดใส่มือเขาไปและรื้อตู้เสื้อผ้าหาชุดนอนเตรียมไว้ให้ก่อนจะเริ่มลงมือเก็บของใส่ลังไปพลางๆ หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นเมื่อคิดไปถึงการอยู่ร่วมกันอย่างจริงจัง มันอาจจะทุกข์ไปหน่อยกับความรู้สึกคลุมเครือของตัวเองและการปฏิบัติตัวของเซน แต่ได้อยู่ใกล้ๆ กันคงดีไม่น้อยล่ะเนอะ



--------------------------------------------------------

ตอนที่ 3 มาไวไปไหม.. 55555555
ดูเซนทำตัวเถอะ ใครเขาจะไม่หวั่นไหวบ้างล่ะ
เทวินเริ่มจะหาเรื่องใส่ตัวแล้วนะนั่น...

อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 24-10-2016 21:07:15
สรุปเซนเป็นพระเอกแล้วมีร่างปีศาจเป็นอัสโมดาย.......ใช่มั้ย?
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-10-2016 21:33:22
เซนก็น่าจะพอรู้นิสัยเทวินนะว่าเป็นยังไงแต่ก็ยังชวนมาเรียนเกี่ยวกับปีศาจ
อยากรู้จริงๆว่าเซนคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าเซนคืออัสโมดายแล้วถูกเทวินปลุกขึ้นมาจะเป็นยังไง :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-10-2016 23:57:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 25-10-2016 00:33:30
ไม่ไว ชอบ เชียร์ให้เซนคืออัสโมดาย
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ignite ที่ 25-10-2016 07:45:04
จากที่อ่านมารู้สึกเซนไม่น่าจะใช่แอสโมดายเเหะ แต่น่าจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกัน เช่นพ่อ-ลูกมากกว่านะ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 25-10-2016 08:40:18
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 3 -P.1- (24.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 25-10-2016 10:28:16
วันเกิดปีที่20ของเซนน่าจะเป็นวันเปิดเผยตัวตนภาคเดวิลที่คนอ่านลุ้นรอ  :katai2-1:
ที่ต้องคอยเฝ้าวินไม่ให้คลาดสายตาเพราะจะมีอันตรายจากคน?ในครอบครัวหรือบรรดาปีศาจที่ปองร้ายเซนรึเปล่า???
ที่เลิกเที่ยวหญิงได้เพราะถึงเวลาที่วินจะต้องถวายตัวแล้วใช่มั้ย :z1:

แนวเรื่องถูกใจ สนุกน่าติดตามค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะขอบคุณมากๆค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-10-2016 15:38:32
ตำราบทที่ 4



'Your story and my story. Maybe it' s the same story.'
เรื่องราวของคุณและเรื่องราวของผม อาจจะเป็นเรื่องราวเดียวกัน



เช้าวันเสาร์ที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนก้อนโต ส่งผลให้ท้องฟ้ามืดสนิทถึงแม้จะเป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้วก็ตาม เสียงสายฝนกระทบระเบียงห้องดังลอดประตูกระจกเข้ามาบ่งบอกให้รู้ว่าสภาพอากาศวันนี้เลวร้ายและไม่เหมาะที่จะออกไปไหน ร่างกายเย็นเยียบราวกับมีน้ำแข็งเกาะจนต้องลุกขึ้นจากเตียงในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นไปควานหารีโมทเครื่องปรับอากาศมาเพิ่มอุณหภูมิภายในห้อง

"หาว ~"
ผมอ้าปากกว้างก่อนจะหาวออกมา มือเรียวหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศมาถือค้างเอาไว้แล้วจามออกมาเสียงดังอย่างไม่ตั้งใจ มันกะทันหันจนยกมือขึ้นปิดปากไม่ทัน ดวงตากลมรีบเหลือบไปมองคนบนเตียงแล้วพบว่ารายนั้นยังนอนนิ่งทำให้โล่งใจไปเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่น

"คันจมูกฉิบหาย"
ผมบ่นพึมพำก่อนจะยกรีโมทในมือขึ้นมาปรับองศาแล้วเก็บไว้ที่เดิมและเดินโซซัดโซเซกลับขึ้นเตียงนอนขนาดคิงไซส์ซุกตัวในผ้าห่มผืนเดียวกันกับเซนอย่างมีความสุข... อ๋อ ลืมบอกไปว่าตอนนี้ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดของเขาเรียบร้อยแล้วล่ะ

ผมกำลังจะหลับตาเพื่อเข้าสู่นิทราแสนหวานอีกรอบ แต่เสียงทุ้มนุ่มของคนที่นอนข้างๆ กันกลับดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อนทำให้ต้องใช้ดวงตากลมมองใบหน้าคมนั่นอย่างสงสัย

"วิน"

"อะไร"

"หนาว"

"ลุกไปใส่เสื้อดิวะ ใครใช้ให้เปลือยอกนอนล่ะ"
ผมบอกเสียงอู้อี้ก่อนจะผลักหน้าอกแข็งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา เซนเปิดเปลือกตาขึ้นในขณะที่นอนตะแคงเลยทำให้พวกเราสบตากันด้วยความบังเอิญ ถึงแสงภายในห้องจะสลัวแต่หัวใจกลับเต้นแรงอย่างชัดเจน ใกล้เกินไปอีกแล้ว

"ไม่เอา"
คำตอบแสนเอาแต่ใจทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ไหนบอกว่าหนาวไง ขนาดห่มผ้าอยู่ยังบ่นขนาดนี้ สรุปว่าต้องการอะไรกันแน่

"แล้วจะให้ทำยังไง"

"กอด"

"อะไรนะ"
ผมถามซ้ำเพราะกลัวว่าตัวเองจะหูฝาดไป นับวันยิ่งหน้าด้านหน้าทนขออะไรที่ชวนทำให้ใจสั่นหนักขึ้นทุกทีๆ วันไหนทนสภาพแบบนี้ไม่ได้จะด่าแม่งให้ลืมเลขห้องเลยคอยดู

"ขยับเข้ามากอดกันหน่อย"
ไม่พูดเปล่าแต่ยังอ้าแขนพร้อมรับอ้อมกอดจากผมอย่างเต็มที่ รู้สึกว่าช่วงที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันนิสัยของเซนเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด อย่างเช่น ขี้อ้อน... มันอ้อนแบบไม่โจ่งแจ้งแต่ก็รู้ว่ากำลังอ้อน แล้วหัวใจผมล่ะ จะพังเมื่อไหร่

"แดกยาลืมเขย่าขวดเหรอ"
ผมเบ้ปากใส่มันแล้วขยับถอยหลัง แต่มือเรียวกลับคว้าตัวเองไว้แล้วดึงไปกอดอย่างหน้าตาเฉย กลิ่นมิ้นท์จากตัวเซนทำให้ผมที่พยายามดิ้นหนีสงบลงอย่างน่าประหลาด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะแก้มแนบอยู่บนอกแกร่งของเขา แต่น่าแปลกที่ฟังเท่าไหร่ก็แทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น... หรือว่าเนื้อหนาเกินไปวะ

"ตัวมึงอุ่นดี"
คำตอบไม่ตรงคำถามแต่แทนที่ผมจะหงุดหงิดกับไม่ว่าอะไรออกไป แถมยังขยับตัวแนบชิดกับเซนอย่างไม่ตั้งใจอีก ร่างกายไม่เคยฟังสมองแบบนี้ก็แย่สิ แต่วันนี้ทำไมเขาตัวเย็นจัง

"แต่ตัวมึงเย็น ไม่สบายหรือเปล่า"
ผมช้อนตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาในความมืดสลัว ไม่แน่ใจว่าสีหน้าเป็นยังไง รู้แค่เพียงว่าดวงตาสีเทาจ้องกันอยู่เพียงเท่านั้น ราวกับมีพายุเกิดขึ้นในช่องอกปั่นป่วนหัวใจให้วูบไหวจนน่ากลัว ความรู้สึกที่เรียกว่าชอบนั้นได้ก่อตัวจนเป็นรูปร่างแล้ว สัญญาณบางอย่างกำลังเตือนว่าตกอยู่ในอันตรายแต่ขนกลับไม่ยอมก้าวหนี

"เป็นห่วงเหรอ"
เขาโน้มหน้าเข้ามาจนหน้าผากของเราสัมผัสกัน หัวใจเต้นโครมครามจนกลัวว่าอีกคนจะได้ยินเลยต้องผลักเขาออกไปแล้วรีบลุกขึ้นนั่งทันที ความง่วงที่เคยมีมลายหายไปในพริบตา เล่นอะไรไม่เคยเกรงใจคนอื่นเลยหรือไง

"เล่นอะไรน่าขนลุก"
ผมหยิบหมอนฟาดใส่คนที่นอนยักคิ้วให้กันแต่มีหรือที่คนอย่างเซนจะยอมอยู่นิ่งๆ เขาหลบจากรัศมีของหมอนแล้วรวบเอวผมไปกอดจากด้านหลัง มือชะงักค้างกลางอากาศเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ประทับลงบนต้นคออย่างจาบจ้วง ครั้นจะโวยวายให้อีกคนหูแตกกลับต้องหุบปากสนิทเมื่อโดนประโยคทำลายล้างกระทบโสตประสาทการได้ยิน

"กูจองแล้ว"

"อะ ไอ้เซน จองบ้าอะไรของมึง ไปไกลๆ เลยนะ"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วปาหมอนทิ้งไปโดยไม่สนใจว่ามันจะกลิ้งลุนๆ ไปทางไหน เมื่อแขนแกร่งคลายอ้อมกอดออกผมรีบตะเกียกตะกายคลานลงจากเตียงแทบจะทันที เกือบเสียหนักหน้าทิ่มพื้นให้ใจหายอีกรอบ

"ชอบก็บอก ทำไมต้องหนี"

"อะไร ใครชอบ! กูไปอาบน้ำละ คุยกับมึงแล้วเหนื่อย"
ผมจ้ำอ้าวออกมาจากห้องนอนอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าร้อนฉ่า ไม่รู้ทำไมถึงต้องเขินกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของมันด้วย และดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสหรืออะไรก็ตามของเซนที่จับความรู้สึกของคนอื่นได้มันทำงานเร็วจนน่าใจหาย เขารู้แล้วว่าผมคิดไม่ซื่อ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเซน... เขาอาจจะเฉยชาต่อเรื่องพวกนี้เหมือนที่เคย

ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติเกือบหนึ่งเท่าตัว เวลาหนึ่งชั่วโมงกับการแช่น้ำในอ่างทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ย พูดง่ายๆ คือขี้ไคลหลุดนั่นเอง วันนี้แปลกที่คนด้านนอกไม่ได้ดูห่วงใยเรื่องผมหมกตัวอยู่ในห้องน้ำนานเหมือนคราวที่แล้ว แต่ก็ดีไปอีกแบบเพราะไม่ต้องกังวลว่าประตูจะถูกเคาะตอนไหน

"เทวิน ตายไปยัง"
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังลอดเข้ามาในขณะที่กำลังเช็ดตัว มือหยุดชะงักค้างกลางอากาศทันทีด้วยความตกใจ เท้ารีบหมุนกลับไปทางด้านประตูห้องน้ำแล้วพบว่ามันเปิดแง้มอยู่และมีใบหน้าเพียงเสี้ยวเดียวของเซนโผล่เข้ามา

"ไอ้เหี้ยเซน มึงเปิดประตูทำไม ปิดเลยนะ!"
ผมรีบนุ่งผ้าเช็ดตัวอย่างรีบร้อน ดีนะที่ยืนอยู่ในมุมอับสายตา ไม่อย่างนั้นคงได้โชว์น้องชายต่อหน้าต่อตาเพื่อนสนิทไปแล้วเชียว

"ก็มึงอาบน้ำนาน"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแถมยังแทรกตัวเข้ามาในห้องน้ำแทนที่จะถอยออกไปด้วย บานประตูปิดลงพร้อมกับผมออกจากมุมอับไปเผชิญหน้ากับมัน... สายตาเจ้ากรรมหยุดอยู่ที่เหนือยอดยกของเขา รอยสักที่เพิ่งสังเกตเห็นทำให้แปลกใจอยู่ไม่น้อย

"เซน... ไปสักมาเหรอ"
ผมถามเสียงเบาหวิวในขณะที่เดินเข้าไปใกล้เขา เซนเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองผมสลับกับร่างกายตัวเองก่อนจะใช้มือลูบตรงรอยสักนั่น

"อืม ทำไม อยากสักเหรอ"
น้ำเสียงราบเรียบถามกลับมาก่อนที่เจ้าของจะหันหน้าเข้าหากระจกเงาบานใหญ่ ผมที่หยุดยืนข้างๆ เขาพยายามเพ่งรอยสักนั่นอีกครั้งอย่างสนใจ แต่ความรู้สึกแว๊บแรกที่เห็นกับในตอนนี้ไม่ใช่รอยสักแบบเดียวกัน แต่จะเป็นไปได้ไง หรือผมจะตาฝาดไปเอง

"เปล่า กูกลัวเข็มจะตาย มังกรสวยดีนะ"
ผมเอ่ยชมแล้วละสายตาออกจากจุดนั้น แต่กลับโดนเซนจ้องผ่านกระจก การสบตากันในสถานการณ์นี้ทรมานหัวใจกว่ามองตากันตรงๆ ซะอีก แถมยังเปลือยท่อนบนทั้งคู่

"เทวิน... การชอบใครสักคนความรู้สึกเป็นยังไง"
ดวงตาสีเทายังคงจ้องมองกันผ่านกระจกเงาบานโต สองแขนแกร่งเท้ากับเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้า ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าเซนถามเรื่องแบบนี้ไปทำไม เพราะรู้ว่าผมชอบเขาอย่างนั้นเหรอ

"ถามทำไม แอบชอบใครหรือไง"
แทนที่จะตอบ ผมกลับเลือกตั้งคำถามกับเขาไปแทน เซนกรอกตาไปมาก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วหยิบแปรงฟันและบีบยาสีฟันใส่ ทำเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกไปปล่อยให้เขาแปรงฟันไปเงียบๆ ส่วนตัวเองเบียดตัวออกจากห้องน้ำเพื่อไปแต่งตัว

วันนี้แปลกที่อุ่นบุกขึ้นมาถึงบนห้องพร้อมกับอาหารเช้าเต็มมือ มีทั้งข้าวต้มหมูร้อนๆ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ติ่มซำอีกเล็กน้อย ผมรับมาด้วยความงงก่อนจะถามกลับไปว่า 'เซนฝากซื้อเหรอ' แต่คำตอบที่ได้มาคือ 'กูซื้อมาฝาก' แล้วมันก็เดินจากไปปล่อยให้ผมเคว้งคว้างอยู่คนเดียว

"วิน ปิดประตู"
เสียงทุ้มเรียกสติของผมให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ผมรวบถุงอาหารเช้าไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วดึงประตูปิดลง เซนยื่นมือมาช่วยรับของไปถือแล้วพวกเราก็เดินเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน

"อุ่นซื้อมาฝาก"
ผมบอกในขณะที่แกะถุงข้าวต้มหมูใส่ชาม เซนพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อเอาน้ำเปล่าออกมา อยากจะบอกว่าตอนนี้ตู้เย็นไม่ได้ว่างเปล่าอีกแล้วนะ ผมซื้อพวกของสด ขนม ผลไม้ ผัก นม น้ำ บลาๆ มาใส่ไว้เต็มไปหมด รับรองว่าไม่อดตายแน่นอน

"วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า"
ผมถามก่อนจะนั่งลงแล้วเลื่อนชามข้าวต้มให้เซนหนึ่งชาม ปกติแล้วทุกวันเสาร์เขาจะออกไปห้างสรรพสินค้า เพื่อไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายที่ฟิตเนส แต่ด้วยสภาพอากาศแบบนี้เลยไม่มั่นใจว่ายังจะไปอยู่อีกไหม

"อืม... ถ้าฝนหยุดอาจจะออกไป"
เขาตอบก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้า ผมพยักหน้ารับรู้แล้วตักข้าวต้มใส่ปากบ้าง รสชาติที่สัมผัสโดนปลายลิ้นในครั้งแรกทำให้หยุดกินไม่ได้ มันอร่อยจนอยากกระโดดจูบปากไอ้อุ่นจริงๆ

"เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมวิชาปีศาจวิทยาหรือยัง"
เซนถามขึ้นในขณะที่ผมเอื้อมมือไปจิ้มติ่มซำยัดใส่ปาก เขาลอบมองกันก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นผมเคี้ยวจนแก้มตุ่ย ก็มันชิ้นใหญ่นี่หว่า

"อังไอ้อำเอย (ยังไม่ทำเลย)"
ผมตอบทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวติ่มซำอยู่จนโดนสายตาดุๆ ของเซนมองมาจึงหุบปากทันที มือเรียวหยิบทิชชู่แล้วเอื้อมมาเช็ดปากให้กันอย่างอ่อนโยน คนถูกกระทำได้แต่นั่งนิ่งตาเบิกกว้างเพราะตกใจกับบางที่กำลังได้รับ... ความอ่อนโยนจากเซน

"ใครสอนให้พูดตอนกิน ปากเลอะ"

"อือ... กินๆ ไปน่า เลอะเดี๋ยวเช็ดเอง"
ผมบอกปัดๆ แล้วรีบกินให้หมดเพราะไม่อยากนั่งเป็นเป้าสายตาให้โดนจ้องนานๆ

หลังจากที่ลงมือล้างจานเรียบร้อยก็พาตัวเองมามานั่งลงที่โต๊ะทำงาน เพื่อจะหาข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจที่ได้รับมอบหมายมา ฟอราส อัสโมดาย กาป... ในบรรดาทั้งสามตนผมชอบ 'อัสโมดาย' นะ ชื่อเขาเท่ดี

"กูยืมใช้เครื่อง Mac หน่อยนะ"
ผมเอ่ยขอคนที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาไม่ใกล้ไม่ไกลกัน เซนเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าอนุญาตในที่สุด เหตุผลที่ไม่ใช้ Mac Book ของตัวเองก็เพราะอยากรู้ว่าเซนใช้คอมพิวเตอร์ทำอะไรบ้างนั่นเอง อย่าหามาผมเสือกเลยนะ...

"อย่าทำพัง"
เซนพูดเสียงกลั้วหัวเราะเพื่อหยอกล้อกัน ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่และหยิบแอปเปิ้ลที่หั่นเป็นชิ้นดีแล้วปาใส่เขา แต่ด้วยดวงหรือความเก่งของเซนทำให้เขารับมันได้อย่างง่ายดาย แถมเอาใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับอีกต่างหาก คนอะไรน่าหมั่นไส้ฉิบหาย

"กวนตีน Mac ก็ใช้เหมือน Mac Book นั่นล่ะ จะพังได้ไง"

"ไม่รู้ไม่ชี้"

"ฮึ่ย แล้วไม่ทำงานหรือไง"
ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดกับความกวนบาทาของเซนแต่ก็อดห่วงเรื่องงานของเขาไม่ได้ ก็เห็นยังนั่งชิวดูทีวีไม่สนใจอะไร แถมยังเปิดเสียงดังแข่งกับเสียงฝนไปอีก... เฮ้อ

"ของกล้วยๆ ทำแป๊ปเดียวก็เสร็จ"
เซนพูดเสียงราบเรียบเหมือนกับตัวเขารู้จักปีศาจทุกตนดี ผมได้แต่เบะปากใส่แล้วเลิกสนใจคนอวดเก่ง หน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ของเครื่อง Mac เผยภาพวอร์เปเปอร์ที่ทำให้ลมหายใจผมสะดุดค้าง ถ้าจำไม่ผิดรูปที่เห็นในตอนนี้คือรูปถ่ายรูปแรกของผมกับเซนในงานประกวดดาวเดือนมหา'ลัย

"เซน... มึงใช้วอลเปเปอร์นี้ตลอดเลยเหรอวะ"
น้ำเสียงของผมสั่นเล็กน้อยตอนพูดประโยคนั้นออกมา ดวงตากลมเหลือบมองคนที่นั่งบนโซฟาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เซนยกยิ้มมุมปากก่อนจะลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเขามาหากันอย่างเชื่องช้า

"ก็นะ... แบ็คกราวน์สวยดี"
เซนยักคิ้วให้กันอย่างกวนๆ ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ข้างหูจนผมต้องต้องผละตัวออกห่าง ในรูปนั้นฉากด้านหลังคืออาคารหอประชุมที่ใช้ในการจัดงานประกวดดาวเดือน ไฟหลากสีถูกประดับประดารอบๆ ให้ความรู้สึกครึกครื้นและความสนุกสนาน ถึงแม้จะเห็นหน้าพวกเราไม่ชัด แต่ความรู้สึกในตอนนั้นบ่งบอกว่าเรามีความสุข อุ่นคือตากล้องเลยไม่ได้เข้าร่วมเฟรมด้วยกัน

"อ่าฮะ... ขยับออกไปได้แล้ว จะทำงาน"
ผมว่าเสียงเบาแล้วผลักไหล่เซนออกไป เขาเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยอมทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย กำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่ต้องชะงักเพราะเซนดันไปลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างกันซะอย่างนั้น

"อะไรของมึงเนี่ย เกะกะนะ"
ผมว่าออกไปแบบนั้นแต่กลับต้องพยายามกลั้นยิ้มแทบตายเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นใจที่มีเขาอยู่ข้างๆ กันตลอดเวลาแบบนี้

"ทำงานด้วย"
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมไปต่อไม่ถูก ถ้าอยากทำงานทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรกผมจะได้ย้ายลงไปนั่งที่พื้นใช้ Mac Book ของตัวเองไป

"รอกูทำเสร็จก่อนดิ"

"ไม่เอา"

"เซน ทำไมเอาแต่ใจจังวะ"
ผมหันไปมองเขาแบบเอาเรื่อง เซนดูจะมีนิสัยดื้อรั้นขึ้นมาจนผมแปลกใจ แต่ก่อนเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่ว่าผมจะทำอะไร เขาไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ ไม่มาเกาะแกะแบบนี้ด้วย เซนไม่ยอมแพ้โดยการใช้ดวงตาสีเทาจ้องมองกะนอย่างไม่ลดละ มือเรียวคว้าปลายคางของผมเอาไว้หลวมๆ ใจหนึ่งจากจะปัดทิ้งแต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป

"มึงก็เอาใจกูบ้างสิ"
เซนขยับหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อในหัวเริ่มคิดอกุศลว่าถ้าโดนเขาจูบจะรู้สึกยังไง เพื่อเป็นการตัดขาดทุกอย่างและเพื่อการสงบจิตสงบใจของตัวเองเลยปิดเปลือกตาลง

"อะ เอาใจบ้าอะไรของมึง"
ทั้งๆ ที่หลับตาแล้วแต่ยังไม่สามารถควบคุมเสียงของตัวเองได้ เพราะรับรู้ได้ถึงแขนแกร่งสอดเข้ามาประคองเอวกันไว้ ท่าทางมันชักจะล่อแหลมเกินไปแล้วนะ หัวใจเต้นจนปวดร้าวหน้าอกไปหมด กลัวจะช็อกตายก่อนเรียนจบฉิบหาย

"จูบหน่อย"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนฟังไม่ถนัด ผมลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพบว่า เซนเลื่อนหน้าเขามาใกล้จนปลายจมูกของเราแตะกันแล้ว จะให้เบือนหน้าหนีก็ทำไม่ได้ในเมื่อปลายคางถูกล็อกขนาดนี้

"ห๊ะ เมื่อกี้ว่าอะไรนะ!"
ผมถามย้ำเสียงดัง เพราะถ้าฟังไม่ผิดจะได้ยินว่าเซนบอกให้ 'จูบ' แต่ด้วยความไม่เชื่อมั่นในตนเองเลยไม่ปักใจเชื่อ

"ล้อเล่นน่ะ ทำงานไปเถอะ ไม่กวนแล้ว"
คำตอบที่ไม่กระจ่างชัดดังขึ้นพร้อมกับร่างของเซนผละออกไปก่อนจะลุกกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิม ผมยังคงงุนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย มือถูกยกขึ้นมาลูบใบหน้าไปมาเพื่อเรียกสติตัวเองและคอยย้ำเตือนสมองและความรู้สึกตัวเองว่าเรื่องที่ได้ยินมาคงหูฝาดไปเอง

ผมพยายามใช้คำทุกแบบไม่ว่าจะเป็น 'อัสโมดาย' หรือ 'Asmoday' หรือ 'ปีศาจทั้ง 72 ตน' หรือ 'Lesser key of solomon หรือ 'กุญแจย่อยของโซโลมอน' ในการค้นหาจากกูเกิ้ล กลับได้ข้อมูลซ้ำกับในหนังสือ จนปัญญาหาต่อเลยยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ ทำไมมันหายากหาเย็นขนาดนี้ แล้วที่เซนพูดว่าเป็นเรื่องกล้วยๆ สำหรับเขาหมายความว่าไงวะ

"เซน!"
ผมเรียกเขาเสียงดังเมื่อคิดจะให้ช่วย เซนสะดุ้งเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วมองตรงมาที่ผมด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม

"อะไร เสียงดังฉิบ"
เขาเอ่ยปากว่ากันแต่ก็ยอมเดินมานั่งข้างๆ โดยที่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากร้องขอเลยสักนิด

"หาข้อมูลอัสโมดายไม่เจอเลยว่ะ"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วชี้นิ้วให้ดูผลลัพธ์ของการค้นหาในหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เซนไหวไหล่เป็นเชิงว่า 'แล้วไง' ไม่ได้เดือดร้อนกับการทำงานไม่ได้ของผมเลยให้ตายสิ แอบหงุดหงิดเล็กๆ แต่ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวเขาจะไม่ช่วยทำงาน

"ทำไมไม่หาข้อมูลฟอราสก่อนล่ะ"

"ก็ชอบอัสโมดายอะ จะทำไม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงกวนแต่มันคือสิ่งที่คิดจริงๆ ชอบใครเราก็ควรหาข้อมูลของคนนั้นก่อนไม่ใช่หรือไง แต่เซนไม่ได้ดูโมโหที่ถูกกวนกลับยกยิ้มมุมปากคล้ายกับว่าพอใจในคำตอบกันอย่างนั้นล่ะ แปลกคนจริงๆ

"ทำไมถึงชอบ"
คำถามต่อมาทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดไปว่าคนเราชอบอะไรสักอย่างมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ แต่ก็ตระหนักได้ว่ามีเพียงการชอบคนๆ หนึ่งเท่านั้นที่ไร้เหตุผลได้ ไม่ใช่กับความชอบดาษดื่นทั่วไปที่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้

"อืม.. ชื่อเท่มั้ง แล้วก็ชอบความสามารถของเขาด้วย ทำให้คนเป็นอมตะได้"
ผมตอบไปตามสิ่งที่คิด ในใจลึกๆ ถ้าผมสามารถอัญเชิญอัสโมดายได้จริงๆ ก็อยากใจกล้าบ้าบิ่นขอให้ตัวเองเป็นอมตะเหมือนกัน เพราะความตายมันเกิดขึ้นกับทุกๆ คนได้เสมอไม่ว่าอยู่ที่ใด เวลาไหน อย่างเช่นพ่อกับแม่ของผม...

"เหตุผลเด็กน้อยว่ะ"

"ไม่เถียงด้วยแล้ว ช่วยกันหาข้อมูลหน่อย"
ผมเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นออดอ้อนพร้อมกับยอมทำเรื่องน่าอายโดยการเกาะแขนเซนแล้วใช้แก้มถูไถกับต้นแขนแกร่ง ถ้าไม่ยอมใจอ่อนให้กันผมคงมองหน้ามันไม่ติดไปตลอดชีวิต รับตัวเองในสภาพนี้ไม่ได้จริงๆ

"วินหยุด"
น้ำเสียงแข็งๆ ของเขาทำให้ผมหยุดชะงักแล้วรีบผละมือออกจากแขนแกร่งทันที คงเผลอไปทำให้รำคาญไปแล้วล่ะมั้งถึงได้ทำเสียงดุและสายตาดุแบบนั้น

"ขอโทษที่ทำให้รำคาญ"
ผมว่าเสียงอ่อยแล้วเอื้อมมือไปจับเม้าส์ไว้เพื่อจะหางานต่อ แต่เซนดึงกลับจับแขนแล้วดึงผมไปกอดอย่างหน้าตาเฉย มือเรียวลูบไปตามเส้นผมอย่างปลอบประโลม การกระทำทั้งหมดทำให้สมองมึนงงไปชั่วขณะ

"ไม่ได้รำคาญ คิดมากน่า ทำงานกันเถอะ เดี๋ยวเอาข้อมูลให้"
เซนผละออกแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน คงจะไปหาเอกสารข้อมูลงานให้ ผมได้แต่นั่งใจเต้นไม่เป็นส่ำจนตกยกมือขึ้นมากุมหน้าอกเอาไว้ กลิ่นมินท์ประจำตัวของเขายังคงติดปลายจมูกอยู่ แค่คิดย้อนกลับถึงสัมผัสเมื่อครู่ก็พาลทำให้หน้าร้อนวูบวาบอย่างห้ามไม่ได้ ทำไมถึงอ่อนโยน... หรือต้องการแกล้งให้ตายใจแล้วค่อยเหยียบย่ำหัวใจกันนะ

"เอาไป"
เซนยื่นเอกสารปึกหนึ่งมาให้กันก่อนจะนั่งลงข้างตัวกันเหมือนเดิม ผมยื่นมือไปรับมาอย่างงงๆ แล้วเปิดดูทีละแผ่นจนเจอข้อมูลปีศาจที่ต้องการ





ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-10-2016 15:38:48
'32nd Asmodeus/ Asmoday or Sydonay
Strong Power : Aug 28th - Sep 1st
Candle Color : Black or Blue
Plant : Mint
Animal : Whale
Planet : Nepture
Element : Water
Rank : King
Asmodeus is a day demon. He is a very busy demon.
Asmodeus has a human mother and his Father is god. He has jet black hair with a braid down his back, an olive complexion.'


ผมอ่านข้อมูลจบแล้วต้องขมวดคิ้วแน่น เทียนสีฟ้ากับมิ้นท์นั่นคือความบังเอิญที่เซนมีเหมือนกับอัสโมดายอย่างนั้นเหรอ หรือเซนอาจจะเป็นสาวกของปีศาจตนนี้เหมือนกันนะ คิดแล้วก็ได้แต่สงสัย ไม่กล้าถามออกไปเลยเลี่ยงที่จะถามเกี่ยวกับรูปลักษณ์แทน

"เซน... คิดว่าข้อมูลนี้ถูกทุกอย่างปะวะ ไอ้ที่บอกว่าอัสโมดายมีผมสีดำเงา ถักเปียยาวไว้ด้านหลัง มีผิวสีมะกอกนี่เป็นงั้นจริงๆ เหรอ"
ผมชี้มือไล่ไปตามเนื้อหาในกระดาษให้เซนอ่านตาม เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนกระตุกยิ้มมุมปากแล้วใช้แขนหนักๆ พาดไหล่กัน ผมหันขวับไปมองแล้วแยกเขี้ยวให้แต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร ท่านี้ก็ดีเหมือนกันยามฝนตกแบบนี้ อุ่นไปทั้งกายและใจ

"จริงล่ะมั้ง อยากรู้ก็ลองอัญเชิญดูไหมล่ะ ร่างมนุษย์อาจจะหล่อเร้าใจก็ได้"
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ตอบกันมานั้นทำให้ผมคิ้วกระตุก อะไรคือการที่เซนบอกว่าปีศาจหล่อเร้าใจกันนะ ไม่ได้จะอัญเชิญปีศาจมานั่งมองสักหน่อย

"เซนแม่ง... ไม่ได้อยากรู้ว่าปีศาจจะหล่อหรือเปล่า แค่อยากเห็นตัวเป็นๆ ก็แค่นั้น"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งเล็กน้อยแล้วดันแขนของเขาออกจากบ่าเพื่อกลับไปเขียนข้อมูลลงในกระดาษรายงาน วิชานี้คลาสสิคนะ ไม่มีพิมพ์ต้องเขียนมือตลอด ความรู้สึกเหมือนกลับไปเรียนชั้นประถมอีกครั้ง ผมกำลังจรดปลายปากกาลงบนกระดาษแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อคนข้างกายพูดอะไรบางอย่างออกมา

"ปีศาจทุกตนมีเสน่ห์ และหน้าตาดี"

"พูดอย่างกับเคยเจอ"
ผมพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยับปากกาเขียนงานต่อ เซนหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วใช้นิ้วเรียวไล้ไปตามกรอบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา... หัวใจเต้นตึกตัก ตัวหนังสือในกระดาษขยุกขยิกไปตามแรงสั่นของตัว เซนเล่นอะไรของมันอีกล่ะเนี่ย

"อาจจะเคยหรืออาจจะไม่เคย ทำงานไปเถอะ ไม่กวนแล้ว"
แล้วเขาก็ผละออกไปโดยปล่อยให้ผมงงเป็นไก่ตาแตกอีกรอบ จะให้มีสติและสมาธิการทำงานได้ยังไง ในเมื่อโดนจู่โจมจนหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปซะแล้ว และคำพูดกำกวมนั้นทำให้ผมเผลอคิดไปว่าเซนอาจจะเป็นปีศาจจำแลงหรือเปล่าแต่จะใช่เหรอ ที่ผ่านมาเขาก็ดูเหมือนคนปกติทุกอย่าง มีแค่นิสัยและคำพูดที่ดูลึกลับก็แค่นั้น ไม่เคยแสดงสิ่งเหนือธรรมชาติให้เห็นสักหน่อย ผมคงมโนไปเองแหงๆ

นั่งปั่นงานจนมือแทบหงิกก็ได้เวลาอาหารเที่ยงซึ่งฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยแม้แต่วินาทีเดียว ให้เดาถนนหน้าคอนโดคงเจิ่งนองไปด้วยน้ำอย่างแน่นอน และเพิ่งได้สังเกตบรรยากาศรอบตัวเองแล้วพบว่ามันเงียบจนผิดปกติ... เซนหายไปไหน

ผมเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ทันทีแล้วหยิบโทรศัพท์ติดมือไปด้วย พยายามหาเจ้าของห้องทุกซอกทุกมุมแต่กลับไม่เจอ  แต่ที่แห่งเดียวที่ผมยังไม่ได้หาคือริมระเบียง แต่ปัญหามันอยู่ที่ตอนนี้ฝนตกหนักมากแล้วเซนจะไปโผล่ตรงนั้นได้ยังไง แม้แต่เงายังไม่เห็นเลย... ผ้าม่านสีขาวบางพัดปลิวจนผมรู้สึกแปลกใจ ใครแง้มประตูเอาไว้เหรอ ขายาวก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูกระจก หัวใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อพบว่ามันถูกแง้มเอาไว้จริงๆ บรรยากาศตอนนี้อย่างกับหนังสยองขวัญเลยว่ะ กำลังจะเอื้อมมือออกไปจับประตูแต่กลับโดนเสียงของเซนเรียกไว้จากทางด้านหลัง

"ทำอะไร"
เสียงของเขาฟังดูเย็นชาเล็กน้อย แต่ผมชินแล้วจึงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร หันกลับไปเผชิญหน้ากันพลางขมวดคิ้วยุ่ง

"มึงแง้มประตูกระจกไว้เหรอ"
ผมยังยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิมและเอ่ยถามเขาออกไป เซนไม่พูดอะไรแต่กลับเดินตรงเข้ามาแล้วรีบปิดประตูกระจกในทันทีก่อนจะจับมือผมลากไปนั่งที่โซฟา

"ยังไม่ตอบคำถามกูเลยนะ"
ผมลอบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาเหลือบสายตามามองกันเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าเสื้อผ้าของเซนชื้นฝนเล็กน้อย หายไปทำอะไรมากันนะ

"คงลืมปิด"

"อ๋อ แล้วหายไปไหนมา ทำไมเสื้อผ้าชื้นแบบนี้"
ผมมองสำรวจเขาอย่างจริงจังตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัย เซนขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะดันหน้าผมที่เผลอขยับเข้าไปใกล้ออก... มองเพลินไปหน่อยเลยลืมตัว

"คนจากที่... 'บ้าน' มาหาน่ะ รีบลงไปเลยไม่ได้บอก"

"อ่าว แล้วทำไมไม่ชวนขึ้นมาบนห้องก่อนล่ะ ฝนกำลังตกเลย กลับลำบากแย่"

"หึ... ไม่ชวนขึ้นมาจะดีกว่า"

"อ่า... โอเคๆ"
ผมไม่รู้จะตอบออกไปยังไงจริงๆ เพราะไม่รู้ความสัมพันธ์ของที่บ้านเซนว่าเป็นลักษณะแบบไหน ญาติดีหรือต่างคนต่างอยู่เหมือนของผม

เราทั้งสองคนจบมื้อเที่ยงด้วยมาม่าคนละสองห่อเพราะขี้เกียจจะลากสังขารไปตากฝนที่ด้านล่างคอนโด ร่างสูงของเซนนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา โดยในมือถือโทรศัพท์เอาไว้ คงกำลังตั้งใจเล่นเกมโปรดตามเคย ส่วนผมนั่งอยู่ที่พื้นแล้วใช้หลังพิงกับโซฟาที่เขานอนอยู่เพื่อเล่นเกมเพลย์สเตชั่นสี่

"เล่นด้วย"
อยู่ๆ เซนก็ไถลตัวลงมานั่งข้างๆ กันแล้วหยิบจอยเกมอีกอันขึ้นมาเป็นสัญญาณให้ผมเลิกเล่นคนเดียว แต่เข้าใจหัวอกคนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม... เอ่อ กำลังมันกับเกมอยู่ไหม จะให้เปลี่ยนกันง่ายๆ ได้ยังไงกัน

"รอไปดิ ให้จบด่านนี้ก่อน"

"ไม่รอได้ปะ"

"เซนอย่ากวนตีน"

"โอ๋นะวิน กูจะออกไปข้างนอก มึงจะไปด้วยไหม"
ผมหันขวับไปมองหน้าเขาแล้วลืมกดหยุดเกม ทำให้อักษรตัวโตปรากฏบนหน้าจอทีวีว่า 'GAME OVER'

"ห๊ะ ฝนตกหนักขนาดนี้อะนะ"
ผมวางจอยเกมลงอย่างไม่ใส่ใจ จะโมโหไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเพราะเป็นคนลืมหยุดเกมเอง เซนเหลือบไปมองทางประตูกระจกเพียงครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าให้กัน

"จะไปฟิตเนส"
เขาตอบจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วโยนจอยเกมไว้บนโซฟา ผมรีบลุกไปปิดเครื่องเกมและทีวีแทบจะทันที ไม่ต้องถามเลยว่าจะไปด้วยหรือเปล่าเพราะการกระทำมันฟ้องมากพออยู่แล้ว

การจราจรยามฝนตกแทบเป็นอัมพาตก็ว่าได้ แค่เลี้ยวออกจากคอนโดตรงสู่ถนนใหญ่ก็ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปได้มากกว่ายี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง คือลงเดินทางเท้ายังไวกว่าอีก เสียงเพลงจากวิทยุดังคลอเบาๆ จนทำให้รู้สึกหนักหนังตาชอบกล ความง่วงเริ่มคืบคลานเข้ามาแต่พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลับ เพราะสงสารเซนที่ต้องอยู่ขับรถคนเดียว

"ง่วงก็นอน จะถ่างตาทำไม"
เสียงนุ่มดังขึ้นทำให้ผมที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นสะดุ้ง มือไม้ปัดป่ายไปมาบนหน้าเพื่อไล่ความง่วงงุนที่เกิดขึ้นก่อนจะส่ายหัวไปมา

"ไม่ๆ หายง่วงแล้ว"
พูดจบก็ขยับตัวนั่งให้เข้าที่เพราะตอนเคลิ้มดันไหลแทบจะลงไปกองที่พื้น เซนหัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาโคลงหัวกันเล่น

"อือ หัวยุ่ง"
ผมบอกก่อนจะปัดมือเขาออก แทนที่จะช่วยจัดทรงกลับทำให้มันยุ่งมากกว่าเดิม แบบนี้เขาเรียกทำลายเพื่อนทางอ้อม หน้าตาไม่ดีอยู่แล้วหัวยังไม่เป็นทรงอีก เฮ้อ

"กลัวไม่หล่อเหรอ"
ถามกันด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แถมยังคลี่ยิ้มสดใสจนน่าหมั่นไส้ ผมทำเสียงเหอะขึ้นจมูกแล้วสะบัดหน้าใส่เพราะไม่อยากสนใจคนที่หล่อตลอดเวลาอย่างเซน

"เออ กูมันไม่หล่ออยู่แล้วนี่ ไม่ต้องพูดอะไรตอกย้ำอีกนะ ตั้งใจขับรถไป"
ผมพูดยาวเหยียดก่อนจะหลับหูหลับตาปิดกันการรับรู้ทุกอย่างจนเผลอหลับไปจริงๆ ตอนไหนไม่รู้ ตื่นอีกครั้งก็ตอนเซนเอื้อมมือมาสะกิดแขนกันให้ลงจากรถนั่นล่ะ...

ผมเดินเคียงข้างไปกับเซนด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ เพราะไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหนก็มักมีสายตาของทั้งผู้หญิงและผู้ชายคอยมองมาและซุบซิบเสมอ บางคนถึงขนาดส่งยิ้มมาให้ แต่คนอย่างเขาหรือจะอัธยาศัยดีกับคนอื่น โดนตีสีหน้านิ่งๆ ใส่จนอึ้งไปหลายรายแล้ว

"ทำหน้าบูดอีกแล้ว หึงหรือไง"
เซนพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินตรงไปยังฟิตเนส ผมเหลือบสายตามองเขาก่อนจะเบ้ปากไส้ด้วยความหมั่นไส้ ชอบคิดเองเออเองตลอด ใครจะไปหึงคนแบบนั้นกันล่ะ แต่จะพูดไป ขนาดเย็นชาแบบนี้ยังมีสาวๆ หนุ่มๆ พร้อมใจแจกขนมจีบให้เลย ใครเป็นแฟนมันคงน่าหนักใจเป็นบ้า แต่คงไม่ใช่ผมหรอก คำว่าเพื่อนมันค้ำคอ

"อย่าหลงตัวเอง"

"ถ้าไม่หึงแล้วทำไมหน้าบูดแบบนั้นล่ะ"

"ก็ไม่อยากไปนั่งเฝ้าที่ฟิตเนส น่าเบื่อจะตาย"
ปกติแล้วเซนจะมาเข้าฟิตเนสแค่คนเดียวเป็นประจำทุกเสาร์ แต่เผอิญว่าเสาร์นี้เป็นเสาร์แรกที่ผมย้ายไปอยู่กับเขาอย่างเป็นทางการ ครั้นจะให้เฝ้าห้องคนเดียวตอนฝนตกมันก็เหงาแปลกๆ เลยตามมาด้วยและไม่ทันคิดว่าตัวเองไม่ชอบออกกำลังกาย

"เดี๋ยวโทรตามอุ่นให้"
เซนบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบเมื่อเราเดินมาถึงหน้าฟิตเนส ผมเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ พูดอย่างกับว่าโทรหาไอ้อุ่นปุ๊ปเจ้าตัวจะโผล่มาทันที คนอะไรจะสั่งได้ดั่งใจขนาดนั้น แล้วที่สำคัญถ้ามันติดธุระอยู่จะมาหาผมเหรอ

"มันจะว่างเหรอวะ ไม่ได้บอกล่วงหน้า"
ผมพูดด้วยความกังวล ซึ่งจริงๆ แล้วก็แอบเกรงใจเพื่อนอยู่เหมือนกัน เดินเที่ยวเล่นคนเดียวคงได้หรอกมั้ง เมื่อครู่ไม่น่าบ่นออกไปเลย...

"มันว่างเสมอถ้ากูต้องการ"
จบคำนั้นเซนก็ต่อสายหาอุ่นทันทีโดยไม่ฟังข้อโต้แย้งใดๆ ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะด่าอะไรออกไปกับความเผด็จการของเซน

"อีกสิบนาทีอุ่นจะมาถึง ยืนรอตรงนี้แล้วกัน กูไปล่ะ"
เขาวางสายแล้วหันมาบอกกันก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในฟิตเนส... รวดเร็วจนตั้งตัวและสติไม่ทันเลยทีเดียว ผมเลยทำได้แค่ยืนมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยจนครบสิบนาทีเป๊ะอุ่นก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดตรงหน้า เหลือเชื่อมาก!

"สิบนาทีพอดีปะวิน"
เสียงแหบแห้งถามกันอย่างรีบร้อน ผมพยักหน้ารัวๆ แทนคำตอบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นห่วงเรื่องเวลาขนาดนั้น จะเลทอีกสักสิบนาทีก็รอได้ ในเมื่อเพื่อนอุตส่าห์ปลีกตัวมาหากันแบบนี้

"สิบนาทีเป๊ะ ไปหาอะไรเย็นๆ กินกันปะ"
ผมเข้าไปแตะไหล่ไอ้อุ่นเบาๆ มันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้กัน

"ไป เหนื่อยฉิบหาย"

"เออ แล้วมึงมาจากที่ไหนเนี่ย โคตรไวเลย"
ผมถามในขณะที่เราออกเดินไปร้านไอศกรีมยอดฮิต เมนูที่คิดไว้ในใจคือไอศกรีมรสมิ้นท์ช็อกโกแลตชิพอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นของโปรด ไอ้อุ่นชะงักเท่าเล็กน้อยก่อนจะกรอกตาไปมา มีพิรุธจนน่าสงสัยว่ะ

"เอ่อ... ก็อยู่แถวๆ นี้พอดีนั่นล่ะ"
มันตอบก่อนจะออกเดินนำผมไปอย่างหน้าตาเฉย แถมยังเดินไวอย่างกับตามล่าหาควายที่หาย ทำให้ต้องวิ่งตามจนหอบแฮ่กซะอย่างนั้น

ผมรู้สึกมาตลอดว่าทั้งเซนและอุ่นเป็นคนแปลกประหลาด ไม่ว่าพยายามมองข้ามสักเท่าไหร่ ก็ยังพบเห็นว่าพวกเขาดูลึกลับน่าค้นหา สักวันความลับที่พยายามเก็บซ่อนไว้ผมอาจจะได้ล่วงรู้เมื่อถึงเวลาอันสมควร




------------------------------------------------------


หนูเทวินของเราหลงกลย้ายไปอยู่กับเซนแล้วนะเออ... หัวใจยังดีอยู่ไหม?
อะไรที่เคยเป็นความลับจะเริ่มถูกเปิดเผยออกมาทีละนิดๆ อีกไม่นานเทวินจะได้ยลโฉมปีศาจจริงๆ แล้ว
แต่ต้องผ่านบทเรียนในหนังสือก่อนนะ ถึงจะอัญเชิญได้

อ่านให้สนุกน้า

หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 26-10-2016 17:28:10
วินกำลังได้รับการเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นชายาปีศาจใช่มั้ยเซน :hao3:
วินสู้ๆจ้า เป็นเมียเซนต้องstrongมากๆทำให้หัวใจทำงานหนักตลอดเวลา :กอด1:ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 4 -P.2- (26.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-10-2016 22:23:06
เซนก็ชอบหยอดชอบเต๊าะเทวินก็ไม่กล้าเพราะคำว่าเพื่อนขวางอยู่ :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 28-10-2016 14:55:27
ตำราบทที่ 5



'Time is precious, but truth is more precious than time.'
เวลาเป็นของมีค่าแต่ความจริงมีค่ามากกว่าเวลา




เครื่องปรับอากาศในห้องเรียนครางหึ่งๆ สู้กับอากาศร้อนภายนอกอย่างหนักหน่วง เสียงอาจารย์หน้าคลาสคล้ายกำลังกล่อมนักศึกษาทุกคนเข้าสู่นิทรา ดวงตากลมปรือปรอยจนแทบจะปิดถ้าไม่ได้คนด้านข้างค่อยสะกิดกันคงฟุบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว

"เดี๋ยวมึงจะโดนทำโทษนะวิน"
อุ่นบอกเสียงกระซิบกระซาบโดยที่ดวงตาคมยังจดจ้องไปด้านหน้า แม้แต่จะหันหน้ามาคุยกันดีๆ ยังไม่กล้า เพราะอาจารย์ที่กำลังสอนวิชากลศาสตร์อยู่นั้นดุยิ่งกว่าร็อตไวเลอร์ซะอีก ผมพยักหน้าแสดงความเข้าใจกลับไปก่อนจะใช้มือถ่างตาไว้ ง่วงแบบหาวน้ำตาไหลมันทรมานจริงๆ นะ

"โอย ง่วง"
ครวญครางได้แค่นั้นก็ต้องหุบปากฉับเมื่ออาจารย์หันมาสบสายตากันพอดิบพอดี จากที่เคยเอามือถ่างตาค้างไว้จำเป็นต้องเอาลงแทบจะทันที ความง่วงที่เคยมีจางหายไปในชั่วพริบตา

"เทวิน ถ้าไม่ไหวก็ไปล้างหน้า"
น้ำเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นอนุญาตให้ไปล้างหน้าได้จากอาจารย์ดังขึ้น ผมรีบยกมือไหว้แล้วลุกออกจากห้องเรียนทันที แต่ไม่ลืมที่จะชวนเซนไปด้วยกัน ก็จำได้ว่าบ่นปวดฉี่ตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

"ไปห้องน้ำด้วยกันปะ"
ผมก้มลงไปกระซิบข้างหู เซนเหลือบมองกันเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้ก่อนจะหันไปขออนุญาตอาจารย์แล้วเดินตามผมออกมา

เราเดินทอดน่องกันไปเรื่อยๆ ตามทางเดินบนตึก มีนักศึกษาหลายคนมองมาด้วยสายตาหวานหยดย้อย ต้องโทษความหล่อของเซนคนเดียวเลยที่ทำให้ต้องตกเป็นเป้าสายตาขนาดนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าเลิกวันไนท์สแตนด์กับผู้หญิงแล้วจริงๆ เหรอ

"ฮอตจังนะเพื่อนกู"
ผมเอ่ยแซวเมื่อเราเลี้ยวเข้าห้องน้ำชายที่ปราศจากผู้คน เซนปรายหางตามามองกันก่อนจะเดินไปปลดทุกข์หน้าตาเฉยโดนไม่ตอบอะไรกลับมา ปล่อยให้ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วเปิดน้ำล้างหน้าแก้ความรู้สึกโดนเมิน

"ล้างให้มันดีๆ เสื้อเปียกหมดแล้ว"
เซนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ กันร้องเตือนแล้วเอื้อมมือมาปิดก๊อกน้ำให้ ผมใช้ฝ่ามือลูบหน้าลูบตาไล่หยดน้ำออกแล้วเงยหน้าขึ้นมองกระจกเงาและได้สบสายตากับเขาผ่านกระจก เหตุการณ์คล้ายเดจาวูเหมือนกับที่เกิดขึ้นในห้องน้ำคอนโด หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาสีเทาช่างแวววาวและยั่วยวนให้หลงใหลเหลือเกิน

"วิน ได้ยินที่บอกหรือเปล่า"
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ผมดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เสื้อนักศึกษาตรงช่วงอกเปียกชื้นไปด้วยน้ำจนต้องใช้มือจับแล้วสะบัดไปมาเบาๆ เมื่อครู่คงวักน้ำใส่หน้าแรงไปหน่อย ก็หมั่นไส้คนที่ลอยหน้าลอยตาใส่กันนี่หว่า

"เดี๋ยวก็แห้ง กลับห้องเรียนกัน"
ผมบอกก่อนจะเดินออกมาโดยไม่รอเซน ขายาวก้าวไปตามทางเดินของอาคารเรียนเพื่อนกลับห้อง เสียงฝีเท้าแผ่วเบากำลังก้าวตามกันมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

การเรียนวิชากลศาสตร์จบลงอย่างสมบูรณ์ นักศึกษาทั้งคลาสแทบจะโห่ร้องด้วยความดีใจหลังจากเหมือนตกนรกทั้งเป็นร่วมสองชั่วโมง ผมยกแขนขึ้นยืดเส้นยืดสายแต่โดนไอ้อุ่นแกล้งจิ้มรักแร้กันจนต้องหุบแขนลงอย่างกะทันหัน ดวงตากลมถลึงใส่คนปองร้ายก่อนจะเอื้อมมือไปตบหัวมันให้หลาบจำ เล่นบ้าบอกอะไรก็ไม่รู้

"ไอ้อุ่น เล่นบ้าไรของมึง!"
ผมโวยเสียงไม่ดังมากนักเพราะนักศึกษาคนอื่นๆ ยังคงนั่งกันอยู่ในห้องบางส่วน มันบ่นอุบอิบอยู่คนเดียวแต่ไม่กล้าโต้ตอบกลับมา ก็ดีจะได้ไม่เหนื่อยเถียงกัน

"ไปกินข้าวกัน"
เสียงของเซนดังแทรกขึ้นมาในขณะที่ผมเก็บของใส่กระเป๋าสะพาย ไอ้อุ่นรีบดีดตัวลุกขึ้นทันทีทันใด คงจะหิวมากล่ะมั้งเพราะได้ยินเสียงท้องมันร้องโครกครากทั้งคาบ

"เออๆ ไปกัน"
ผมว่าก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าสะพายไปด้านหลังแล้วเดินตามไอ้อุ่นออกไปโดยมีเซนรั้งท้าย แต่ด้วยความที่อยู่ๆ เพื่อนสนิทก็หยุดเดินกะทันหันทำให้ผมที่ไม่ได้ระวังตัวชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างจัง โคตรเจ็บจมูกเลยแม่ง!

"หยุดทำไมวะอุ่น"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะมีจับจมูกตัวเองอยู่ พอมองข้ามไหล่คนตรงหน้าไปก็พบเจอเข้ากับเจ้าของใบหน้าตี๋ๆ ถ้าหากจำไม่ผิดน่าจะชื่อ 'เพลย์' มั้ง

"ไอ้นี่เดินมาขวาง"
อุ่นหันมากระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่ ซึ่งผมก็พยักหน้ารับแกนๆ เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าใจจุดประสงค์ที่เขาเดินมาขวางพวกเราเอาไว้... ช่อดอกไม้ในมือนั่นล่ะที่บ่งบอกความต้องการของเพลย์ได้อย่างแม่นยำ อยากจะหนีไปไกลๆ จริงๆ เลยเว้ย คนที่ชอบเสือกไม่ชอบเรา ไอ้คนที่เราไม่ชอบดันชอบเราซะอย่างนั้น ปวดหัว

"วิน ~"
อ่า... น้ำเสียงชวนอ้วกนั่นเรียกชื่อผมซะหวานหยดย้อย รู้สึกขนอ่อนในกายลุกชันไปหมด ไม่ใช่ว่าขยะแขยงอะไร แต่พฤติกรรมของเพลย์ทำให้ผมกลัว เขาหายไปจากชีวิตผมเกือบหกเดือนแล้ว ตอนแรกๆ ที่เข้ามาเรียนเจอมันตามตื้อแทบทุกวันแต่อุ่นกับเซนไม่รู้เรื่องด้วย เพราะเพลย์ชอบมาหากันหลังเลิกเรียนที่ทั้งคู่กลับบ้านไปก่อน แล้วทำไมวันนี้ถึงโผล่มาได้ล่ะ ที่สำคัญกว่านั้นคือรู้ตารางเรียนกันได้ยังไง! เพลียใจกับมันจริงๆ นะ ถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นสโมสรนักศึกษาของเพลย์ ผมคงลงมือกระทืบมันไปแล้ว

อุ่นกับเซนพร้อมใจกันส่งสายตาแฝงความสงสัยมาที่ผม ถึงจะไม่ได้เปิดปากอธิบายอะไรออกไปก็เชื่อว่าพวกเขาน่าจะเข้าใจและช่วยเหลือกันได้ แต่ตอนนี้ขอออกไปรับหน้าก่อนแล้วกัน ขืนชักช้ากลัวเพลย์จะทำอะไรแปลกๆ ตรงนี้ ได้อายคนอื่นแน่ๆ

"เออ หวัดดี มาได้ไงเนี่ย"
ผมพยายามทำตัวห่ามๆ ใส่เพลย์ให้ได้มากที่สุดทั้งๆ ที่ไม่ใช่นิสัยที่ใช้กับคนไม่สนิท อยากให้มันเห็นความเถื่อนแล้วเลิกล้มความตั้งใจในการตามตื้อกันสักที

"คิดถึงวินไงครับ เลยเอาดอกไม้มาให้"
ผมแอบกรอกตามองบนแล้วกลบเกลื่อนด้วยการส่งยิ้มให้แต่ไม่ยอมรับช่อดอกไม้นั่น... ไฮเดรนเยีย นี่มันกำลังตัดพ้อว่าผมเป็นคนหัวใจด้นชาใช่ไหม เออ เฉพาะกับมึงไงเพลย์ ไอ้เชี่ย!

"ตั้งใจจะเอาดอกนี้มาให้กูจริงดิ มึงรู้ความหมายของมันปะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ไอ้เพลย์ทำตาแป๋วมองกันแล้วส่ายหน้าช้าๆ จะให้ดอกไม้กับใครสักคนทำไมไม่รู้จักศึกษาหาความหมายบ้างวะ

"แค่เห็นมันสวยเหมือนวินเลยเอามาให้"

"สวยพ่อง! มึงเลิกตื้อกูเหอะเพลย์ บอกไปกี่หนแล้วว่ากูไม่ได้ชอบมึง ไม่มีวันชอบด้วย"
ผมพูดอย่างเหนื่อยใจอย่างที่สุดแล้ว ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ จะไม่ยอมใช้คำทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้เด็ดขาด เพลย์ดูตกใจมากจนเผลอทำช่อไฮเดนเยียสีม่วงตกพื้น จริงๆ ก็แอบเสียดายนะ แต่ปล่อยให้มันกระจายตรงพื้นห้องคงดีกว่า ถ้าเผลอเก็บขึ้นมาเจ้าของมันคงคิดว่าผมมีใจให้อีก

"ก็วินยังไม่มีแฟน ผมก็ยังมีสิทธิ์นี่ครับ"
โอ้โห... พูดแบบนี้อารมณ์ที่พยายามสะกดกลั้นไว้กลับระเบิดออกมา ผมแทบกระชากคอเสื้อแล้วส่งกำปั้นลุนๆ ไปที่หน้าของเพลย์ เอาให้ยับคามือกันไปเลย แต่เซนกลับเดินเข้ามากอดคอกันไว้แล้วดันหัวผมให้ซุกลงที่ซอกคอเขา ที่แรกก็แอบตกใจแต่พอคิดได้ว่ากำลังได้รับความช่วยเหลือเลยคล้อยตามอย่าง่ายได้ ที่จริงมันเป็นโอกาสหากำไรด้วยล่ะ หอมกลิ่นมิ้นท์จัง...

"ใครบอก ผมเป็นแฟนวิน เพราะงั้นเลิกยุ่งกับเขาจะดีกว่า... นะ"
เสียงของเซนดูเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ก็ว่าจะไม่รู้สึกอะไรแล้วเพราะรู้ว่าเป็นแค่การช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ห้ามตัวเองไม่ได้ หัวใจเต้นโครมครามอย่างกับโดนเขาสารภาพรักต่อหน้าอย่างนั้นล่ะ เผลอหน้าร้อนอีก จบเถอะชีวิต เห็นไอ้อุ่นส่งสายตาล้อเลียนมาให้กันยิ่งทำให้แน่ใจว่าเพื่อนสนิททุกคนรู้แล้วว่าผมคิดไม่ซื่อ หึหึ ฆ่าตัวตายตอนนี้ทันไหม!

"วะ ว่าไงนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ก็เซนกับวินเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอครับ พวกนายโกหกผมไม่ได้หรอก"
ถึงเสียงเพลย์จะสั่นแค่ไหนแต่แววตายังฉายแววว่าไม่เชื่อกันอยู่ดี ผมแทบจะกัดลิ้นแล้วส่งตัวเองไปนรกสักที ต้องทำยังไงถึงจะสลัดไอ้จอมตื้อนี่ทิ้งได้วะ เชื่อยากเชื่อเย็นอีก หงุดหงิดใจเป็นบ้า เซนสอดมือมากอดเอวกันไว้หลวมๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นไปอีกก่อนจะเอ่ยถามอีกคนด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น

"เพื่อนกันก็รักกันได้ ไม่มีกฎข้อไหนห้าม ต้องให้จูบโชว์ต่อหน้าไหมถึงจะเชื่อ"
ผมรีบผละตัวจากอ้อมกอดของเขาทันทีแล้วมองหน้าคนที่พูดประโยคนี้เขม็ง ถ้าไอ้เพลย์มันให้ทำจริงๆ ขึ้นมาล่ะ เซนจะกล้าหรือไง ไอ้ผมน่ะชอบเขาไง ยอมได้อยู่แล้ว... ทำไมรู้สึกตัวเองใจง่ายจังวะ

"ถ้าทำได้ก็เอาสิครับ แล้วผมจะไม่ยุ่งกับวินอีกเลย"
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำท้าจากเพลย์ ไอ้อุ่นถึงกับผิวปากแซวกันทันที เซนกระตกยิ้มมุมปากก่อนจะใช้นิ้วเรียวเฉยคางกัน ดวงตาประสานกันจนยากจะหลบหนี... หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก มือของผมกำชายเสื้อช็อปของคนตรงหน้าไว้แน่น โอย จะตายอยู่แล้ว หัวใจจะวาย

"เอาจริงเหรอวะ"
ผมถามเสียงเบาหวิว ใบหน้าร้อนวูบวาบเมื่ออีกคนไม่ตอบแต่กลับเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน ลมหายใจสะดุดกึกด้วยความตื่นเต้นจนมือไม้อ่อนแรงไปหมด ดวงตาพร่าเบลอเพราะไม่สามารถปรับโฟกัสมองสิ่งที่อยู่ใกล้เกินไปได้ ไม่ไหวแล้วหัวใจ... มันจะพังอยู่แล้ว

"จูบนะ"
สิ้นเสียงนั้นริมฝีปากหยักก็เคลื่อนเข้ามาประทับลงที่ตำแหน่งเดียวกันบนใบหน้าของผม มือเรียวอีกข้างสอดเข้าไปที่ท้ายทอยเพื่อประคองแล้วกดให้ปากเราแนบสนิทกันยิ่งขึ้น ดวงตาของเราทั้งคู่ปิดลงและมันทำให้สัมผัสชัดเจนขึ้นอีกหลายเท่าตัว ความนุ่มหยุ่นทำให้หัวใจสั่นไหว ความคิดอกุศลเริ่มผุดขึ้นทีละน้อยๆ แค่นี้มันไม่พอ อยากได้มากกว่านี้อีก... แต่สุดท้ายเซนก็ผละออกไปแต่ไม่วายใช้ลิ้นสีแดงเลียรอบริมฝีปากตัวเอง คำนิยามผุดขึ้นในสมองกันแทบจะทันที 'เซ็กซี่และหื่นกระหาย'

"เชื่อได้หรือยังครับ ต้อง Deep kiss อีกไหม"
ผมถึงกับเซไปชนไอ้อุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของเซน แค่จูบธรรมดาสติยังขาดหายขนาดนี้ ถ้า Deep kiss ขึ้นมาผมคงตายจริงๆ

"ขอบคุณครับที่ทำให้ตาสว่าง"
เพลย์เอ่ยจบก็รีบวิ่งออกไปจากห้องทันที ปล่อยให้เราทั้งสามคนยืนงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคือพูดเหมือนผมไปหลอกลวงมันวะ ทั้งๆ ที่ปฏิเสธชัดเจนทุกครั้ง ทำไมกลายเป็นคนผิดไปได้วะ ไม่เข้าใจ

"วิน... มึงเมาจูบเซนเหรอ"
เสียงทุ้มกระซิบข้างหูทำให้ผมสะดุ้งแล้วรีบผละตัวออกจากไอ้อุ่นที่ประคองกันอยู่ทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นก็แทบอยากจะยกเท้าถีบให้กระเด็นไปไกลๆ จริงๆ

"หุบปากไปเลยอุ่น"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วรีบเดินหนีทั้งสองคนออกมา แต่ก้าวได้แค่สองก้าวกลับโดนมือใครบ้างคนรั้งคอเสื้อแล้วกระตุกให้ถอยหลังไปปะทะกับอกแกร่ง โดยไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้จากกลิ่นหอมที่โชยมา... เซนนั่นเอง

"รีบหนีไปไหนครับแฟน จะไม่ขอบคุณกันหน่อยเหรอ"
เซนว่าด้วยน้ำเสียงล้อเลียนจนผมรู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง อยากโวยวายใส่อยู่หรอกแต่กลัวหลุดพูดอะไรออกไปมากกว่าที่คิดไว้ เลยได้แต่แสร้งทำเสียงหงุดหงิดใส่

"ตอนแรกว่าจะเลี้ยงข้าวอยู่หรอก ตอนนี้ยกเลิกแม่ง ล้ออยู่ได้!"
พูดจบก็จัดการปัดมือเซนออกแล้วเดินนำออกมา ได้ยินสองคนด้านหลังคุยกันแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะตอนนี้ทั้งเขินทั้งอาย ฮือ

"เซนจะแกล้งวินมากไปแล้วนะ"

"ทำไม มีปัญหาเหรอ"

"เอ่อ... ไม่มีครับ ขอโทษครับ"

หลังจากที่พวกเราถล่มโรงอาหารของคณะกันเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งรอเวลาเรียนวิชาเลือกกันที่หน้าโบสถ์ หนังสือวิชาปีศาจวิทยาถูกกางออกบนโต๊ะ ใบงานขาวสะอาดไร้รอยปากกาถูกหยิบจากแฟ้มงาน...

"ทำไมคุณพ่อจีซัสทำแบบนี้วะ ใบงานแต่ละคนเสือกคำถามไม่เหมือนกันอะ จะร้องไห้"
ผมโอดครวญเมื่อเหลือบอ่านคำถามในใบงานของไอ้อุ่นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ของเซนก็ไปอีกทางหนึ่ง สรุปแล้วจะลอกของใครก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่เหนือกว่าทุกอย่างนั้นคือความรู้สึกขัดเขินไม่กล้ามองหน้ากันนี่ล่ะ พอคิดถึงจูบนั้นก็ทำให้รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง อุณหภูมิในร่างกายพุ่งสูง อ่า... จะระเบิดตัวตายอยู่แล้ว

"ป้องกันการลอก ของมึงถามว่าอะไรเดี๋ยวกูช่วย"
อุ่นยื่นหน้าเข้ามาอ่านใบงานของผมที่มีแค่คำถามสั้นๆ อย่าง 'จงบอกช่วงเวลาที่เหมาะสมของการอัญเชิญปีศาจ' คือ... บทความนี้มันอยู่ส่วนไหนของหนังสือยังไม่รู้เลย เพราะเปิดอ่านทีไรมีอันต้องพับเก็บทุกที ก็มันภาษาอังกฤษที่ไม่ถนัดนี่นา

"อ๋อ เอาหนังสือมึงมา เดี๋ยวกูเอาดินสอขีดให้"
อุ่นส่งยิ้มมาให้กัน ผมเลยรีบรวบหนังสือของตัวเองส่งให้ทันทีทันใดด้วยความกระตือรือร้น ส่วนเซนเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะก้มทำงานของตัวเองต่อ คำถามของเขาดูยากอยู่พอตัวเพราะต้องอธิบายเกี่ยวกับ 'วงเวทย์ดาวหกแฉกและดาวห้าแฉกของโซโลมอน' ไม่นานนักอุ่นก็ส่งหนังสือกลับมาให้แล้วใช้มือชี้บอกตำแหน่งบทความไปด้วย

"ทั้งหมดนี้เลย เขียนไป"
ผมเหลือบมองก่อนจะพยักหน้ารับ อุ่นเห็นแบบนั้นก็หันไปทำงานของตัวเองต่อในหัวข้อ 'ภาชนะทองเหลือง' ซึ่งไว้ผนึกปีศาจ

'Chief king may be bound from 9 till 12 o' clock at Noon, and from 3 till sunset; Marquises may be bound from 3 in the afternoon till 9 at Night, and from 9 at Night till Sunrise;...'

ผมอ่านบทความไปขมวดคิ้วไป ไม่ใช่ว่าแปลไม่ออกแต่แปลกใจอยู่นิดหน่อยที่การอัญเชิญปีศาจนั้นมีเวลาที่เหมาะสมทั้งกลางวันและกลางคืน แถมยังแบ่งตามลำดับยศถาบรรดาศักดิ์อีกด้วย ปากกาในมือเคาะลงบนหนังสือเป็นจังหวะเพราะยังสงสัย อยากตั้งคำถามกับเพื่อนสนิทแต่เห็นตั้งอกตั้งใจทำงานอยู่เลยไม่อยากขัดเท่าไหร่ ตัดสินใจเขียนคำตอบไปก่อนค่อยถามเอาทีหลังก็แล้วกัน

"เสร็จหรือยัง"
เสียงทุ้มนุ่มอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูทำให้รู้โดยทันทีว่าเขาขยับมานั่งข้างๆ กันแล้ว ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบขยับให้เหลือช่องว่างระหว่างกันให้มากที่สุด อยู่ใกล้กันทั้งๆ ที่เพิ่งจูบกันไปมันไม่ดีเท่าไหร่ ถึงเขาจะไม่รู้สึกอะไรแต่ผมนี่สิแย่

"กะ ใกล้แล้ว เหลือบรรทัดสุดท้าย"
ผมตอบเสียงตะกุกตะกักแล้วรีบเขียนคำตอบบรรทัดสุดท้ายจนเสร็จก่อนจะส่งกระดาษคำตอบให้อุ่นที่รอกันอยู่ พอเก็บอุปกรณ์และหนังสือลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับสายตาของเซนที่จ้องมองมาแบบไม่วางตา ผมประหม่าเล็กน้อยเพราะยังรู้สึกขัดเขิน อยากร้องเรียกให้ไอ้อุ่นช่วยแต่มันดันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้พร้อมกับใบงาน...

"วิน..."
น้ำเสียงแหบพร่าเรียกกันทำให้หัวใจกระตุกวาบ ครั้นจะขยับตัวหนีก็เหมือนมีอะไรบางอย่างคอยตรึงไว้กับที่จนเซนเข้ามาประชิดตัวกันอย่างไร้ช่องว่าง ใบหน้าก็พลันร้อนวูบขึ้นมาทันที เขาจะทำอะไรล่ะเนี่ย ผมไม่พร้อมกับสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้นะ

"ระ เรียกทำไม"
อยากจะตบปากตัวเองให้หายสั่นสักที พยายามควบคุมน้ำเสียงแทบตายแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ แขนที่โผล่พ้นเสื้อออกมากำลังสัมผัสกันอย่างแนบชิด อุณหภูมิร่างกายอุ่นๆ นั้นทำให้ผมอยากดึงเขาเข้ามากอด... ทำไมต้องทำเหมือนมีใจให้กันทั้งๆ ที่ทำตัวคลุมเครือเดี๋ยวสนใจเดี๋ยวไม่สนใจ อยากรู้จริงๆ ว่าคนอย่างเซนมีความรู้สึกหรือหัวใจบ้างหรือเปล่า

"อยากจูบอีก"

"ห๊ะ เป็นบ้าอะไรเนี่ย"
ผมผละตัวออกห่างจากเขาได้ในที่สุดแต่ก็เกือบตกเก้าอี้อยู่เหมือนกัน ดีหน่อยที่การทรงตัวไม่ได้แย่เกินไปไม่อย่างนั้นคงลงไปนอนเล่นบนพื้นตัวหนอนเรียบร้อยแล้ว ดวงตากลมมองเซนด้วยความไม่เข้าใจทั้งตกใจและตื่นเต้นที่ได้ยินประโยคนั้น สมองกำลังทำงานหนักเพราะความคิดกำลังตีรวนว่าเขาพูดจริงหรือแค่แกล้งกัน

"ไม่ได้ล้อเล่น"
เซนยืนยันน้ำเสียงหนักแน่นจนผมเผลอเม้มปากเข้าหากันด้วยความชั่งใจ ดวงตากลมเบนหลบดวงตาสีเทานั่นเพราะไม่อยากสบตาให้หัวใจเต้นหนักไปกว่าเดิมอีกแล้ว เมื่อไหร่อุ่นจะกลับมาช่วยกันวะ

"อดอยากขนาดติดใจจูบกูเลยหรือไง"
ผมแกล้งแซะเรื่องนั้นออกไปทั้งๆ ที่รู้สึกปวดหัวใจแปลบๆ เมื่อคิดถึงพฤติกรรมเก่าๆ ของเซน ใบหน้าหล่อเหลานั่นขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบเป็นปมก่อนจะเอื้อมมือมาวางลงบนหัวกันแล้วขยี้เบาๆ ผมเหลือบตามองเขาเพียงครู่เดียวแล้วก้มหน้าลง กลัวว่าคำตอบที่ได้มาจะทำให้เจ็บ

"ทำไมต้องคิดแบบนั้น ถึงกูจะขึ้นเตียงกับใครมาหลายคนแต่กูก็ไม่เคยจูบกับผู้หญิงคนไหน"

"ทำไมไม่จู..."

"พวกมึง เข้าเรียนได้แล้วเว้ย!"
กำลังจะถามเซนว่า 'ทำไมไม่จูบเขาล่ะ' แต่ยังไม่ทันจบประโยคไอ้อุ่นก็ตะโกนมาจากทางประตูโบสถ์ทำให้เราทั้งสองคนรีบสะพายกระเป๋าแล้วเดินไปทันที ถ้าไม่รีบอาจจะโดนทำโทษโดยคุณพ่อจีซัสก็ได้ ความอยากรู้จำเป็นต้องพับเก็บชั่วคราวทั้งๆ ที่ในใจอยากรู้จะแย่ เฮ้อ

วันนี้บทเรียนแรกของคาบเป็นเวลาที่เหมาะสมในการอัญเชิญปีศาจ ที่ต้องกำหนดช่วงเวลานั้นก็เพราะว่าความแข็งแกร่งของพลังในแต่ละขั้นยศของปีศาจแต่ละตนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน

สมมติว่าถ้าผมจะลองอัญเชิญปีศาจสักตนก็ต้องศึกษาเรื่องเวลาที่พลังแข็งแกร่งของปีศาจตนนั้นๆ ไปด้วย ไม่ใช่ว่าพอใจจะทำพีธีตอนไหนก็ทำได้ ฟังดูแล้วยุ่งยากหลายขั้นตอนจนแอบมึนไปตามๆ กัน

"เทวิน"
น้ำเสียงหวานเรียกชื่อกันจนผมสะดุ้งเพราะมัวแต่เหม่อคิดถึงเรื่องของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง คุณพ่อจีซัสคลี่ยิ้มส่งให้กันก่อนจะเอ่ยคำถามออกมา

"ปีศาจยศราชาควรอัญเชิญช่วงเวลาไหน"

"อ่า... ช่วงเวลาเก้าโมงเช้าถึงเที่ยงวันและจากตีสามถึงดวงอาทิตย์ขึ้นครับ"
ผมตอบอย่างมั่นใจเพราะยังจำได้ถึงงานของตัวเองที่เพิ่งเขียนส่งไป คุณพ่อจีซัสพยักหน้ารับคำแล้วหันไปหาเป้าหมายคนต่อไป

"ไม่สบายหรือเปล่าไอ้วิน เหม่อๆ นะมึงอะ"
อุ่นขยับเข้ามากระซิบกระซาบกัน ผมทำแค่เพียงส่ายหน้าแทนคำตอบเท่านั้น ถ้าจะให้พูดความจริงออกไปว่าคิดมากเรื่องเซนอยู่คงดูไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วอุ่นคิดยังไงกับเรื่องนี้กันแน่

"ถ้าไม่ไหวก็บอก อย่าฝืน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร"
ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่อุ่นบอก ความหมายของมันคืออะไรกันแน่ ถ้าให้เดาเองคงคิดว่าอุ่นอาจจะหมายถึงเรื่องที่ผมแอบชอบเซนหรือเปล่า

"ไม่มีอะไรหรอก ตั้งใจเรียนเถอะ"
ผมบอกปัดไปแล้วทำเป็นสนใจคุณพ่อจีซัสโดยที่ในสมองนั้นคิดแต่เรื่องของเซนจนตีกันวุ่นวายไปหมด เนื้อหาของบทเรียนลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจนเป็นห่วงตัวเองว่าถ้าโดนเรียกถามอีกคราวนี้คงตอบไม่ได้และโดนทำโทษแน่ๆ ให้ตายเถอะชีวิต ก่อนที่สติจะหายลับเข้ากลีบเมฆไปผมก็ดึงกลับมาโดยการกัดปากตัวเองจนห่อเลือด เซนที่เห็นการกระทำนั้นใช้นิ้วตีแก้มกันเบาๆ แล้วส่งสายตาดุมาให้

"กัดปากทำไม ห้อเลือดแล้ว"
ผมเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วพบว่ามันแสบ คงไม่ใช่ห้อเลือดธรรมดาแต่มันเป็นแผลแล้วต่างหาก ดวงตากลมเบนหลบสายตาที่มองมาแล้วทำเป็นจดอะไรยุกยิกลงในหนังสือเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าตรงๆ

"ไม่ได้ตั้งใจ แค่คิดอะไรเพลินๆ"
ผมตอบกลับไปแต่ต้องชะงักเมื่อเซนเอื้อมมือมากุมมือกันไว้ ผมเหลือบสายตามองที่ตำแหน่งนั้นแต่กลับไม่กล้าขยับหนีปล่อยให้เขาเกาะกุมตามใจชอบ

"กลับไปมีเรื่องต้องคุยกัน เข้าใจไหม"

"ไม่เข้าใจได้ปะ"
ผมสวนกลับไปทันทีอย่างกวนๆ แต่เซนกลับนิ่งเงียบแล้วส่งแรงกดดันมาให้กันจนผมยอมแพ้ในที่สุด ไม่เล่นแล้วก็ได้ แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายเครียดทำไมกลับกลายเป็นเซนเล่า ไม่ยุติธรรมเลย

"เออๆ"

หลังเลิกเรียนเซนก็ขับรถไปส่งอุ่นที่ลาดจอดรถคณะเช่นเคย BMW 325i สีดำแล่นไปตามถนนสายหลักของย่านมหา'ลัย บรรยากาศรอบตัวเงียบจนน่าอึดอัดเพราะแม้แต่วิทยุก็ไม่ได้เปิด ครั้นจะถือวิสาสะทำลายความเงียบด้วยการฟังเพลงก็ไม่กล้าเลยได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมเล่นโทรศัพท์ไปเงียบๆ แม้กระทั่งเสียงหายใจยังได้ยิน... โคตรวิกฤติ

"จะแวะกินอะไรก่อนไหม"
เซนถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบทำให้บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อครู่คลายลงเล็กน้อย ผมเหลือบมองข้างทางแล้วพบว่าพวกเรากำลังอยู่ในย่านร้านอาหาร

"อือ แวะกินก่อนก็ได้"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หางตาเห็นเซนพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะตีไฟเลี้ยวเข้าจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง มันคือภัตตาคารอาหารจีนชื่อดังที่ล่ำลือกันว่าแพงสุดๆ มื้อหนึ่งคงไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท

"จะกินร้านนี้เหรอ"
ผมถามก่อนจะเหลือบมองป้ายร้านสีแดงสดใสสไตล์แบบฉบับจีนแท้ๆ จริงๆ ไม่ได้กลัวกระเป๋าเงินใครจะฉีก แต่อาหารจีนมันมีแต่รสจืดชืด...

"อืม"
คำตอบสั้นๆ ดังขึ้นอย่างไร้อารมณ์ ให้เดาคงเลือกสุ่มไปอย่างนั้นล่ะเจ้าตัวเขาไม่ได้อยากกินจริงๆ หรอก ผมเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิดก่อนจะเสนอทางเลือกที่ดีกว่าให้กับเซน

"กินอย่างอื่นได้ปะ อาหารเวียดนามอะไรงี้"
พอดีว่าสายตาเหลือบไปเห็นร้านอาหารเวียดนามในคูหาที่อยู่ถัดไปพอดีและสารภาพแบบไม่อายใครว่าชีวิตนี้ไม่เคยแตะอาหารสัญชาตินี้เลย อยากลองดูสักครั้งว่าเป็นยังไง เซนเงียบนิ่งไปจนผมเริ่มร้อนรนกลัวว่าตัวเองจะเอาแต่ใจเกินไปหรือเปล่า แต่ไม่นานนักใบหน้าหล่อนั่นก็กระตุกยิ้มมุมปากให้คลายกังวล

"โอเค ตามนั้น"

"นี่กำลังตามใจกูอยู่ปะ"

"ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็คิดไป"
เซนยักคิ้วให้ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยที่ไม่รอกัน ผมรีบลงตามแล้วเดินไปเคียงข้างเขาในตอนที่เสียงสัญญาณล็อกประตูดังขึ้น จะรีบเดินไปไหน ร้านอาหารมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 28-10-2016 14:56:49
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยโทนสีอบอุ่น โต๊ะอาหารและเก้าอี้ทำจากไม้ให้ความรู้สึกสบายๆ เมนูอาหารเล่มหนาถูกวางลงโดยฝีมือของพนักงานสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม หางตาของเธอเหล่มองใบหน้าหล่อเหลาของเซนเป็นระยะๆ ผมอดที่จะขำไม่ได้เมื่อหน้าตาจิ้มลิ้มนั้นแดงขึ้นทีละนิดๆ เพราะเขิน

"กินอะไรดี"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นในขณะที่ดวงตาสีเทากวาดมองเมนูอาหารอย่างสนใจ ดูท่าทางเซนก็คงไม่เคยกินอาหารเวียดนามหรือถ้าเคยก็คงนานๆ ครั้ง พนักงานสาวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนใบหน้าของเธอจะแดงก่ำมากกว่าเดิม ดูท่าทางการรับออเดอร์คงมีปัญหาแล้วล่ะ ถ้าสั่งอย่างแต่ได้กินอีกอย่างนี่ไม่ต้องสงสัยเลย มาจากความเขินของเธอล้วนๆ

"กินแหนมเนืองปะ"
ผมเอ่ยถามก่อนจะเหลือบตามองคนตรงข้าม ดูเหมือนเขารู้แล้วว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานสาวแต่เลือกเมินเฉยมากกว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงส่งสายตาเจ้าชู้ใส่ไปแล้ว

"อะไรก็ได้ตามใจมึงเลย"
น้ำเสียงสบายๆ เอ่ยขึ้นพร้อมส่งรอยยิ้มมาให้กัน หัวใจสั่นไหวเมื่อประโยคที่ได้ยินคือสรุปได้ว่าวันนี้เซนตามใจผมจริงๆ

"อือ อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม"
ผมถามขึ้นอีกครั้งแล้วเลี่ยงสบสายตากับเขา เมนูในมือเซนถูกวางลงก่อนจะรู้สึกได้ว่าเขาขยับเข้ามาใกล้กัน

"กินมึงได้ไหมล่ะ"
ผมผงะถอยหลังทันทีแถมยังยกเมนูมาปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้เหลือแต่ลูกกะตา คำพูดของเขาทำให้ผมหน้าร้อนวูบทันทีทันใดด้วยความตกใจ แต่รู้สึกว่าพนักงานสาวเธอช็อกไปแล้ว

"พูดเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะยังมีเมนูอาหารปิดหน้าอยู่ เซนยักคิ้วกวนให้กันแล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าบ่งบอกความสนุก แกล้งกันอีกแล้วคนเรา!

"ล้อเล่น สั่งอาหารเลย"
ผมจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งเมนูกับพนักงานสาว เธอสะดุ้งเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาจดรายการอาหารโดยไม่เหลือบมองเซนอีกเลย...

ในขณะที่นั่งรออาหารกันนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อย แต่สายตาไม่รักดีคอยเอาแต่จะเหลือบมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ ในตอนแรกเขาก็นิ่งเงียบเล่นเกมของตัวเองไป แต่ครั้งล่าสุดผมกลับประสานสายตากับเซนจนได้ และดูเหมือนจะรู้มาตลอดว่าโดนแอบมอง เพราะมุมปากยกขึ้นคล้ายรอยยิ้มล้อเลียนกัน อยากมุดโต๊ะหนีฉิบหาย วันนี้พลาดท่าไปกี่รอบแล้วเนี่ย

"มองบ่อยๆ อยากจูบอีกหรือไง"
คำถามชวนใจสั่นดังขึ้น ผมแทบจะเอาโทรศัพท์ในมือปาใส่หน้าหล่อๆ นั่น คิดได้ไงว่าคนเขาอยากจูบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มานั่งในใจกันหรือได้ถึงได้รู้ไปหมดซะทุกเรื่องแบบนี้

"คิดดีแล้วหรือไงที่พูดออกมาน่ะ"
ผมถามกลับไปทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าดูจอสี่เหลี่ยม อยากจะบอกว่าสมาธิไม่ได้จดจ่ออยู่กับของในมือเลย แย่แน่ๆ

"เออ คิดดีแล้วถึงได้พูดไง จริงไหมล่ะหืม"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มทำให้ผมมือไม้สั่นจนต้องวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แสร้งหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อเบี่ยงเบนการมองหน้าเซนตรงๆ

"มะ ไม่จริงเว้ย"
พยายามควบคุมเสียงแล้วแต่สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่าจนได้

"ถ้าไม่จริงทำไมถึงเสียงสั่น"
ถามเฉยๆ ไม่ได้หรือไง ทำไมต้องโน้มตัวมาด้านหน้าจนอยู่ในระยะมองเห็นรูขุมขนกันขนาดนี้ ผมผละตัวออกมาจนจะหงายหลังล้มตึงไปกับเก้าอี้อยู่แล้ว ถ้าไม่เกรงใจกันเกรงใจลูกค้าคนอื่นในร้านก็ยังดี ผู้ชายสองคนทำท่าใกล้ชิดกันมันคงดูแปลกไม่น้อย

"เรื่องของกู"
คราวนี้ผมตอบเสียงดังฟังชัดเพราะอยากแก้ตัวที่ทำผิดพลาดไปเมื่อครู่ แสร้งทำเป็นกล้าสบดวงตาสีเทาไปอีก แต่คำพูดถัดมาของเซนทำให้ผมมือไม้อ่อน... ไม่สิ อ่อนยวบทั้งตัวทั้งใจเลยต่างหาก

"กูอยากจูบมึงอีกครั้ง โดยที่ไม่โดนท้าทาย"
ตายโดยไม่ต้องสืบหาสาเหตุกันเลยทีเดียว หัวใจเต้นโครมครามจนปวดหนึบในช่องอกไปหมด ร่างกายร้อนวูบวาบจนน่าแปลก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้วจนต้องเม้มปากเพื่อกลั้นอารมณ์ต่างๆ เอาไว้อย่างยากลำบาก

"อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ"
ระฆังช่วยชีวิตมาพร้อมกับอาหารหน้าตาน่ากิน กลิ่นหอมของมันชวนให้น้ำลายแตกฟอง น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน

ไม่มีใครพูดอะไรอีกเมื่อลงมือกินอาหาร อาจจะมีเล็กน้อยเมื่อกล่าวชมรสชาติ หรือแลกเปลี่ยนของกินกันไปมาเท่านั้น มื้อนี้อย่างที่ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่าเซนจะจ่ายทั้งหมด ซึ่งมันก็จริงเพราะเขาไม่ยอมให้ผมควักเงินสักบาท นี่ถ้าคิดแบบตื้นๆ ได้ คงคิดว่าเซนชอบกันไปแล้วล่ะ เปย์ขนาดนี้

คอนโดในเวลาสองทุ่มวันนี้เงียบสงบจนผิดปกติ อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฝนตกลงมาบ่อยทำให้อากาศเย็นกว่าปกติ การเข้านอนอาจเลื่อนเวลาเร็วขึ้นด้วย ผมนั่งวาดรูปเล่นใน iPad Pro ของเซนไปเรื่อย ส่วนเจ้าของห้องนั่งดูหนังอยู่ตรงปลายเตียง เราคุยกันแทบนับประโยคได้หลังกลับมาจากร้านอาหาร ไม่รู้ว่าเพราะเหตุการณ์ที่จูบกันหรือคำพูดในร้านอาหารกันแน่ที่ทำให้บรรยากาศดูขมุกขมัวแบบนี้ ไม่ชอบเลย... น่าอึดอัดชะมัด

"เซน"
ผมเรียกเขาแล้ววางดินสอในมือลง เขาหันมามองกันพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่านั่นทำให้ขายาวๆ ก้าวไปหาเซนจนได้ เมื่อถึงตัวก็ใช้มือวางลงบนไหล่ ใบหน้าหล่อเหงาเงยขึ้นมามองกัน ดวงตาสีเทานั้นจ้องมองมาจนทำให้รู้สึกหวั่นไหว ผมไม่ได้หลบตาแต่กลับโน้มตัวลงไปจนปลายจมูกแตะกัน

"จะจูบเหรอ"
น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยถามกันโดยไม่มีแววล้อเลียน มันทุ้มนุ่มจนชวนให้เคลิบเคลิ้ม ผมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้จะจูบแต่จะสารภาพ

"กูชอบมึง รู้ใช่ไหม"
ตัดสินใจพูดออกไปแล้วเพราะไม่อยากทนอึดอัดอีกต่อไป ตั้งใจไว้แล้วว่าจะรับผลที่ตามมาได้อย่างแน่นอน ถึงมันจะแย่แค่ไหนก็จะพยายามยิ้ม

"รู้... รู้มานานแล้ว"
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน เพราะหลังจากนั้นท้ายทอยถูกรั้งด้วยฝ่ามือเย็นเยียบจนปากของเราแตะกัน สัมผัสนุ่มหยุ่นทำให้หัวใจกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จูบในตอนนี้กลับมีการรุกล้ำอย่างเชื่องช้าด้วยความอ่อนโยน ปลายลิ้นเปียกชื้นไล่ละเลียดชิมความหวานจากริมฝีปากของผม อยากจะขัดขืนแต่ร่างกายไม่เคยเชื่อฟังก่อนจะเผยอปากเป็นการเชิญชวนให้เข้ามาสำรวจภายใน ความรู้สึกวาบหวามเกิดขึ้นช้าๆ จนกลัวว่าจะเลยเถิด พยายามจะหยุดแต่อีกฝ่ายกลับรั้งให้แนบชิดกันมากยิ่งขึ้น

ค่ำคืนนี้คงอีกยาวไกลจนไม่อาจคิดเป็นเวลาจริงๆ ได้ ในเมื่อทั้งเขาและผมต่างเมามายในรสจูบของกันและกันโดยทิ้งสถานะคำว่าเพื่อนไปชั่วคราว... แต่บางทีมันอาจจะตลอดไป




------------------------------------------------------

ตอนนี้แอบละมุนละไมแปลกๆ ? จูบกันถึงขั้นเมาเลยฮะ -..-
น้องเทวินเขาก็ใจกล้าไม่เบานะที่สารภาพออกไป
ความเป็นเซนคนช่างสังเกตเลยไม่ได้ตกใจอะไรเมื่อโดนสารภาพตรงๆ
แถมไม่พูดพร่ำทำเพลง จับจูบอย่างเดียวเลย... หึ
ตอนต่อไปเทวินเขาจะลองอัญเชิญปีศาจแล้วนะ

ปล. อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-10-2016 22:36:35
ลุ้นกับความรู้สึกเซนมากอยากรู้จริงๆว่าคิดอะไรอยู่บ้าง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 5 -P.2- (28.10.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 28-10-2016 22:51:19
อยากรู้แต่ความรู้สึกของเซนมากกว่า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-11-2016 10:00:23
ตำราบทที่ 6



'You have a secret, But i don' t know'
คุณมีความลับแต่ผมไม่รู้



ในช่วงนี้ฟ้าฝนดูจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ในการออกไปเที่ยวเตร่เดินตลาดนัดกลางแจ้งเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนว่าจะมีพายุเข้าติดต่อกันถึงหนึ่งอาทิตย์ วันหยุดที่แสนน่าเบื่อเลยเต็มไปด้วยขนมนมเนยและการดูหนังฆ่าเวลารอจรกว่าฝนจะหยุดตกแล้วออกไปหาอะไรใส่ท้องกัน จริงๆ จะพึ่งมาม่าในตู้ก็ได้แต่เกิดอินดี้อยากกินปิ้งอย่างสไตล์เกาหลีกันขึ้นมา

"ไอ้อุ่น เอาตีนออกไปจะโดนหัวกูแล้วนะ"
ผมบ่นเมื่อเห็นคนที่นั่งขัดสมาธิบนโซฟาขยับตัวเข้ามาใกล้กัน อุตส่าห์เลือกนั่งที่พื้นระหว่างไอ้อุ่นกับเซนแล้วเชียว ที่ไม่ขึ้นไปร่วมแออัดเพราะว่ายังติดพันกับงานใน Mac Book ด้วย

"ไม่โดนหรอกน่า แค่ปลายนิ้วโป้งสะกิดผมมึงได้เอง"
ไอ้อุ่นพูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมต้องหันขวับขึ้นไปมองหน้าอย่างเหลืออด มีอย่างที่ไหนรู้ว่าเท้าจะโดนหัวเพื่อนยังนั่งลอยหน้าลอยตาไม่สนใจกันอยู่อีก นี่หัวคนนะไม่ใช่พรมเช็ดเท้า!

"ไอ้สกปรก ถอยไปเลยนะ ไม่งั้นกูจะเอาโกโก้ราดเป้ามึง"
ผมแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วโกโก้ที่ยังมีควันสีขาวลอยกรุ่นอยู่ ไม่อยากจะอวดว่าเซนเพิ่งไปชงมาให้กันล่ะ ยังไม่ได้ชิมเลย... จะว่าไปก็เสียดายแต่โมโหไอ้อุ่นมากกว่า

"หูย... กล้าเทเหรอวะ เซนอุตส่าห์ชงให้กินนะมึง ร้อยวันพันปีคุณชายเขาจะยอมบริการใครสักคน"
ไอ้อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับเหลือบมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน แต่เซนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากความนิ่งเงียบจนน่าใจหาย ผมหันตามไปก็พบว่าเจ้าตัวเข้าสู่นิทราทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่านั่งหลับโดยไม่สัปหงกได้ยังไง ถ้าเป็นผมคงหัวทิ่มลงจากโซฟาแล้ว

"โห... หลับง่ายฉิบ เมื่อกี้ยังบ่นกูทำงานผิดอยู่เลย"
ผมบ่นพึมพำเสียงเบาเพราะกลัวว่าจะปลุกคนที่นั่งหลับ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าไม่เมื่อยบ้างหรือไงเลยหันไปขอความคิดเห็นจากไอ้อุ่น

"มึง... เซนจะเมื่อยปะวะ เราควรจัดท่าให้นอนดีๆ ไหม"

"อือ มึงจัดให้เซนนอนบนโซฟานี่ล่ะ เดี๋ยวกูนั่งพื้นกับมึงเอง"
อุ่นบอกจบก็ขยับมานั่งลงข้างๆ กันที่พื้นแทบจะทันที จะช่วยกันหน่อยก็ไม่ได้ ขืนพลาดปล่อยตัวเซนลงบนโซฟาแรงผมไม่โดนฆ่าอยู่คนเดียวเหรอวะ แต่ก็ช่างมันเถอะ สิ่งที่รบกวนใจกันมากกว่านั้นคือตลอดเวลาที่ผ่านมาอุ่นไม่เคยใช้คำหยายกับเซนเลยสักครั้ง ง่ายๆ ก็คือไม่เคยขึ้นมึงขึ้นกู นับว่าแปลกอยู่มากแต่ไม่เคยถามออกไปเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องปกติของเขาสองคนก็ได้

ผมจัดการลุกขึ้นจากพื้นแล้วจับไหล่เซนเพื่อดันให้นอนราบลงบนโซฟา แต่พอจะถึงที่หมายเอวสอบก็โดนรั้งให้ลงไปนอนทาบทับอยู่บนตัวเขาซะอย่างนั้น อยากจะดิ้นหนีแต่ความตกใจทำให้ร่างกายแข็งทื่อไม่กล้าขยับ ที่น่าแปลกคือไอ้อุ่นไม่เอ่ยแซวสักคำ ปิดปากเงียบจนผิดปกติเลยก็ว่าได้ไม่ใช่ว่าหลับคอพับคออ่อนไปอีกคนนะ

"ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"
ผมถามเสียงอู้อี้กับอกของเขาเพราะหน้าแนบอยู่ตรงตำแหน่งนั้นอย่างพอดิบพอดี กลิ่นกายอ่อนๆ ชวนเคลิ้มจนเผลอหลับตาลงเพื่อให้ประสาทสัมผัสทำงานได้ดีกว่าเดิม ตั้งแต่วันนั้นที่ผมสารภาพความรู้สึกกับเซนไป ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ แต่มันไม่ได้น่าอึดอัดเหมือนที่แล้วๆ มา ออกจะพอใจด้วยซ้ำ แต่ก็แอบหวังว่าเขาจะตอบความรู้สึกที่มีกลับมาบ้างหรือบอกปฏิเสธก็ยังดี

"ใครตื่น กูไม่ได้หลับ"
เสียงราบเรียบตอบไขความกระจ่างจนผมถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ อ้อมแขนแกร่งกอดกระชับกันมากขึ้นรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นเช่นกัน ไม่อยากอยู่ในท่านี้นานๆ เลยว่ะ แต่จะให้ดิ้นไปมาก็กลัวว่าอะไรต่อมิอะไรจะตื่นขึ้น

"อ่าว กูหน้าแตกอะดิแบบนี้"
ผมบ่นอีกครั้งก่อนจะหุบปากฉับเมื่อรับรู้ถึงแรงกดกลางกระหม่อม ดวงตากลมปิดแน่นและย่นคออย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนใต้ร่าง ทำไมชอบเล่นอะไรแบบนี้อยู่เรื่อยเลยวะ ยิ่งสารภาพออกไปยิ่งโดนปั่นหัวมากยิ่งขึ้น แต่แปลกใจตัวเองที่ไม่สามารถหนีเรื่องบ้าๆ นี่ไปได้เลยสักครั้ง เคยคิดจะหนีไปอยู่กับไอ้อุ่นหลังจากสารภาพความรู้สึกไปแล้วสักพักแต่กลับทำไม่ได้เมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากเซน ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่ะ

"อยากปากแตกแทนไหม"
เขาพูดจบก็รั้งผมตรงท้ายทอยเบาๆ เป็นสัญญาณให้ผมผงกหัวขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลานั่นในระยะประชิด ดวงตาสีเทาฉายแววทะเล้นอย่างไม่ปิดบัง และนั่นก็สามมารถเขย่าหัวใจคนมองได้อย่างง่ายดาย

"ปากแตกอะไรวะ"
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เซนหมายถึงคืออะไร แต่ยังทำมึนถามไปเพราะจะฉวยโอกาสหลบสายตา แต่สุดท้ายกลับโดนนิ้วเรียวจะประคองใต้คางเอาไว้จนไม่กล้าขยับไปไหน  เกลียดการรู้ทันจริงๆ ให้ตายสิ

"ถ้าไม่รู้ เดี๋ยวสาธิตให้ดูดีปะ"
แววตาเจ้าเล่ห์นั่นพร้อมกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ทำให้ผมส่ายหน้าพรืดแล้วรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นทันทีโดยไม่สนว่าตัวเองจะถูกรั้งเอวอยู่หรือเปล่า ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าปากผมประกบเข้ากับปากของเซนโดยไม่ต้องใจเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ไปไม่พ้นอ้อมแขนของคนใต้ร่าง ดวงตากลมเบิกค้างพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นแต่กลับโดนมือเรียวกดท้ายทอยลงให้แนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากแนบชิดจนไร้ช่องว่างให้อากาศผ่านความอุ่นร้อนเริ่มทวีคูณเมื่อปลายลิ้นเปียกชื้นไล่เลียอย่างอ้อยอิ่งไปตามกลีบปากนุ่ม ครั้นจะเม้มปากลงกั้นการแทรกแซงกลับโดนปลายลิ้นดุนดันเข้ามาจนได้ ผมครางอื้อเมื่อถูกไล่ต้อนอย่างหนักจนหัวสมองขาวโพลน ลืมไปแล้วว่าไอ้เพื่อนทรยศอย่างอุ่นยังอยู่ด้วยกันอีกหรือเปล่า

"หวาน"
คำๆ เดียวหลุดออกจากปากคนใต้ร่างเมื่อริมฝีปากผละออกจากกัน ผมได้แต่หอบหายใจแล้วพยายามเบนสายตาหนีจากเขา ไม่มีเรี่ยวแรงจะดันตัวให้ลุกขึ้นด้วยซ้ำ อยากจะบ้าตาย เขินจนตัวแทบแตกอยู่แล้ว ไอ้อุ่นไม่คิดจะช่วยกันบ้างหรือยังไงนะ

"อะ อีกแล้วนะมึง ถ้าไม่คิดอะไรด้วยอย่าทำแบบนี้ได้ไหม"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักพยายามบอกทุกอย่างที่คิดให้เขาฟัง ไม่ใช่ว่าอึดอัดอะไรกับการถูกหยอกไปวันๆ แต่กลัวว่าตัวเองจะถลำลึกอยู่ฝ่ายเดียวจนไปไหนไม่ได้... แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้คงเป็นไปแล้วเกือบครึ่งทางเลยล่ะมั้ง

"อาจจะคิดหรืออาจจะไม่คิด"
คำตอบแบบนี้ออกจากปากเซนมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนประสาทกันหรือไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงกันแน่ ผมดันตัวลุกขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่เดิม และในตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าเพื่อนสนิทอีกคนหายตัวไปแล้ว ท่ามกลางฝนตกหนักเนี่ยนะ... ไปได้ยังไงกัน

"เกลียดคำตอบของมึงว่ะ ไม่เคยชัดเจนสักครั้ง"
ผมบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะวางคางลงบนขาที่ชันไว้ ดวงตากลมเหม่อลอยมองทีวีที่กำลังฉายหนังเรื่องเดิมอยู่ ไม่นานนักสัมผัสตรงไหล่ก็ทำให้รู้ว่าเซนไม่ได้นอนอยู่เหมือนเดิมอีกแล้ว

"วิน... กูไม่เข้าใจหรอกว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง ตลอดชีวิตที่ผ่านมากูรู้จักแค่คำว่าภักดี"
น้ำเสียงเซนอ่อนลงจนผมต้องถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มต่ำลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ตักแข็งแกร่งรองรับศีรษะของผมอย่างพอดิบพอดีเป็นบรรยากาศที่คนนอกอ่านจะคิดว่าหวาน แต่ความจริงแล้วกำลังหน่วงจนอยากร้องไห้

"ไม่เคยรักพ่อแม่เหรอวะ"
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย มนุษย์ทุกคนบนโลกอย่างน้อยก็ต้องรักครอบครัวของตัวเองเป็นสิ พ่อแม่ที่ไหนจะสอนให้รู้จักแค่คำว่าซื่อสัตย์และภักดีกัน... ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนายบ่าวสักหน่อย

"พ่อแม่เหรอ... กูลืมไปแล้วว่าเคยมี"
คำตอบของเซนทำให้ผมต้องหุบปากเงียบแล้วไม่สงสัยอะไรอีกเลย ไม่ว่าเขาจะรู้จักความรักหรือไม่รู้จักก็ไม่ได้สำคัญอะไร ความรู้สึกต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ

"เซน... ถ้ากูขอให้มึงหยุดทำอะไรเกินเลยคำว่าเพื่อนได้ไหม กูไม่อยากถลำลึกไปกว่านี้"
ผมผละตัวออกห่างจากเขาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหมุนตัวหนีดวงตาสีเทาที่กำลังจ้องมาอย่างเอาเรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องคิดว่าเขามีความรู้สึกเจ็บปวดแฝงอยู่ภายใน

"ถ้ากูขอให้มึงเลิกชอบกู มึงทำได้ไหมล่ะ"
เสียงแข็งกร้าวเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังพร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบเมื่อเจ้าของคำพูดลุกขึ้นยืนซ้อนหลังกัน ลมหายใจอุ่นกำลังเป่ารดต้นคอจนผมต้องขยับหนีไปอีกหนึ่งก้าวโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง

"ตะ แต่มันไม่เหมือนกันนะเว้ย ความรู้สึกของกูกับการกระทำของมึงน่ะ"
นำเสียงสั่นๆ มาพร้อมกับการยกมือขึ้นกุมตำแหน่งหัวใจที่กำลังทำงานอย่างหนักหน่วง ไม่รู้ว่าควรเจ็บหรือตื่นเต้นกับคำพูดกำกวมไร้ความแน่ชัดนั้นดี

"มึงรู้เหรอว่ากูคิดอะไร กูรู้สึกยังไงตอนอยู่ใกล้มึง จะหาว่าเห็นแก่ตัวหรืออยากด่าอะไรก็ได้ แต่กูบอกมึงตอนนี้ไม่ได้มันยังไม่ถึงเวลา"
ประโยคนั้นทำให้ผมนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ไม่มีคำกล่าวห้ามคนที่เดินหนีออกไปจากห้อง สมองกำลังมึนงงและความคิดกำลังตีกันไปมาจรเริ่มรู้สึกปวดหัวตุบๆ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากไปนักคงแปลประโยคนั้นได้ประมาณว่า 'รู้สึกอะไรบางอย่างด้วย แต่บอกไม่ได้' ทำไมล่ะ หรือเขามีเจ้าของไปแล้ว... แค่คิดยังปวดหัวใจหนึบๆ ขนาดนี้ ถ้าได้ยินจากปากยืนยันผมคงหัวใจแหลกสลาย

ผมไม่รู้จะไปตามเซนกับอุ่นได้จากที่ไหนเพราะทั้งคู่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย เลยได้แต่นั่งจดๆ จ้องๆ จอสี่เหลี่ยมดำสนิทที่ฉายหนังจบไปแล้วด้วยหัวใจที่ว้าวุ่นพอตัว กลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเพราะคำพูดของตัวเองในคราวนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ร้องขออะไรแบบนั้นเด็ดขาด

Rrrrr

เบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคย... แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับเผื่อว่าจะเป็นใครสักคนที่หายออกไปจากห้องนี้ และแล้วก็เป็นอุ่นที่ใช้โทรศัพท์ส่วนกลางของคอนโดโทรขึ้นมา

"มึงเห็นเซนไหมอุ่น"
หลังจากที่ถามไถ่กันเรื่องที่มันหายไปไหนมาเรียบร้อยแล้วผมก็ถามหาเพื่อนสนิทอีกคนทันที เพราะรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาจับใจ หายไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แปลกมาก

'หือ เซนหายไปไหน'
เสียงที่ถามกลับมาดูแปลกใจไม่น้อยจนผมเริ่มกังวลเพราะอุ่นไม่ได้เจอเซนระหว่างทางแน่ๆ

"มันเดินออกจากห้องไปไหนก็ไม่รู้ ไม่หยิบโทรศัพท์ไปด้วย"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรนแล้วลุกขึ้นไปหยิบกุญแจห้องและรวบโทรศัพท์มือถืออีกสองเครื่องมาด้วย

'เชี่ย มึงลงมาหากูเร็วๆ'
อุ่นพูดอย่างรีบร้อนก่อนสายจะตัดไปทำให้ผมรีบออกจากห้องโดนเร็ว ไม่ถึงห้านาทีผมก็วิ่งมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าอุ่น ไม่เคยคิดว่าการที่เซนออกไปข้างนอกจะเกิดเรื่องอะไรแย่ๆ ขึ้นได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเพื่อนอีกคนแล้วเหมือนมีความลับบางอย่างปิดบังกันอยู่

"แฮ่ก อุ่น... มีอะไรหรือเปล่าวะ"
ผมพูดไปพลางหอบไป ใบหน้าชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อทั้งๆที่อากาศเย็นแทบจะขาดใจ เสียงเม็ดฝนตกกระทบถนนดังสนั่นหวั่นไหวจนไม่กล้าย่างเท้าออกไปนอกอาคารทั้งๆ ที่ถือร่มกันอยู่ ทัศนียภาพด้านหน้าขาวโพลนยากแก่การมองเห็นทำให้เราทั้งคู่ยื่นชั่งใจอยู่นาน

"ไปตามหาเซนกัน ช่วงนี้มันไม่ค่อยสบาย"
น้ำเสียงเรียบนิ่งต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมใส่ใจอะไรมากมาย แต่ความหมายของประโยคที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่นี่สิ ผมที่อยู่กับเซนทุกวันทำไมไม่รู้ว่าเขาป่วยกันล่ะ

"ทำไมกูไม่รู้เรื่องวะอุ่น"
ผมถามกลับไปด้วยความงุนงงแต่อุ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับจับข้อมือกันแล้วออกเดินไปตามทางที่คาดว่าเซนจะไป ตลอดทางที่เราทั้งคู่ผ่านมาเงียบสนิทราวกับที่นี่เป็นเมืองร้าง ผู้คนหายเข้าไปหลบฝนในตัวอาคารกันส่วนใหญ่เลยทำให้ริมทางเท้าเงียบเชียบ ละอองฝนทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เริ่มชื้นจนแนบเนื้อ อุณหภูมิที่ต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ต้องยกมือข้างที่ว่างขึ้นกอดตัวเองเอาไว้

"หนาวเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามกันด้วยความห่วงใย ผมพยักหน้ารับอย่างง่ายดายเพราะรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ ร่างกายชอบอ่อนแอเวลาเจอกับละอองฝนปริมาณมาก มือเย็นชืดที่จับข้อมือกันเลื่อนลงไปจนกลายเป็นประสานในที่สุด ความอุ่นกำลังแผ่ซ่านแต่หัวใจกลับหนาวเหน็บ เซนหายไปไหนกันแน่

"จะกลับก่อนไหม เดี๋ยวกูไปส่ง"

"ไม่เอา ยังหาเซนไม่เจอเลย"

"กูไปหาคนเดียวก็ได้ ห่วงว่ามึงจะป่วยมากกว่า เดี๋ยวเซนจะมาฆ่ากู"

"ทำไมต้องพูดจาอะไรแปลกๆ วะ อะไรๆ ก็เซน มันไม่เป็นห่วงกูขนาดจะทำร้ายมึงหรอกอุ่น คนที่อยู่ข้างมันมานานคือมึง ไม่ใช่กู เพราะฉะนั้น มึงสำคัญกว่ากูแน่นอน"
ผมพูดสิ่งที่คิดออกไปจนหมดเพราะไม่คิดว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดที่เซนจะทำร้ายเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างอุ่นได้ลงเพียงแค่ดูแลเพื่อนใหม่อย่างผมไม่ดี เขาชะงักเท้ากึกแล้วหันมาสบสายตากัน ในวินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่ว่าเรารู้สึกใจเต้นแรงต่อกัน แต่มันคือแววตาวาววับน่ากลัว

"วิน... มึงสำคัญกับเซนมากกว่าที่มึงคิด เอาร่มเดินกลับคอนโดไปได้แล้ว กูจะไปหาเซนคนเดียว ถ้ามึงยังดื้อกูจะจัดการขั้นเด็ดขาด"
ผมไม่ได้เปิดปากพูดอะไรสักคำอุ่นก็ยัดเยียดร่มในมือของเขาให้กันแล้วเดินจากไปท่ามกลางสายฝน อยากวิ่งตามไปแต่รู้ว่าเมื่อครู่เขาดูจริงจังและเกรี้ยวกราดมากแค่ไหน ถึงจะเป็นห่วงก็คงช่วยอะไรไม่ได้เลยต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำเท่าไหร่นัก

ผมจัดการเปิดประตูห้องแล้วถอดรองเท้าแตะที่เปียกชื้นน้ำตั้งเอาไว้แล้วลากเนื้อตัวที่เปียกชื้นเข้าห้องน้ำ สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายจนกลัวว่าใครอีกสองคนจะมีสภาพเปียกปอนไม่ต่างกัน ยิ่งคำที่บอกว่า 'เซนไม่สบาย' ยิ่งทำให้กังวลเป็นสองเท่า แต่คนอย่างผมซึ่งทำอะไรไม่ได้คงต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเอาไว้ก่อน

หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยก็พบว่าไฟฟ้าของคอนโดดับลงอีกแล้ว ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้วเดินไปหาเทียนที่ชั้นวางทีวี เพราะจำได้ว่าครั้งล่าสุดเซนเอามันเก็บไว้ตรงนั้น ลิ้นชักเปิดออกทำให้ผมตะลึงเล็กน้อยเมื่อเจอเข้ากับสิ่งที่เรียกว่า 'อุปกรณ์ในการอัญเชิญปีศาจ' ไม่ว่าจะเป็นเทียน ถ้วยเงิน ผืนผ้าที่เขียนวงเวทย์ กำยานเครื่องหอม แหวนเงิน ผ้าลินินสีขาว แก้วไวน์ที่ทำจากเงิน น้ำมัน ตราผนึกเวทย์ของปีศาจ และมีดสั้นลายสลักสวยงาม ทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำให้มือสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ ความคิดมากมายกำลังประเดประดังเข้ามา 'เซนเคยอัญเชิญปีศาจอย่างนั้นเหรอ' ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงสมเหตุสมผลที่ว่าทำไมรู้จักพวกปีศาจดีขนาดนั้น

"วิน!"
เสียงทุ้มที่จำได้ดีว่าเป็นของอุ่นดังขึ้น ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบหยิบเทียนสีฟ้าออกมาจากลิ้นชักทันที เมื่อหันกลับไปก็เจอสภาพเปียกชุ่มของทั้งสองคน แต่เซนดูอ่อนปวกเปียกจนผมรีบลุกขึ้นไปดูอาการ

"ทะ ทำไมเซนเป็นแบบนี้วะ แล้วนี่รอยช้ำอะไร"
น้ำเสียงที่ถามออกไปสั่นจนควบคุมไม่ได้ ผมมองสำรวจร่างกายของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพบว่าบนตัวมีรอยฟกช้ำจนน่ากลัว บางที่เลือดไหลซึมออกจากแผล หายไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะเนี่ย

"เอ่อ ยังไงดีวะ"
อุ่นมีท่าทางลังเลจะตอบคำถามกลับมา ส่วนเซนจ้องเขม็งจนผมนึกยากควักลูกตาสีสวยนั่นทิ้ง สภาพยับเยินขนาดนี้ยังจะขู่คนอื่นเขาอีกเหรอไง

"ตอบมาดิอุ่น เกิดอะไรขึ้น!"
ผมเริ่มโมโหจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ มือเรียวของเซนแตะลงบนบ่าเพื่อช่วยปลอบโยนให้ใจเย็นลง แต่รอยช้ำที่เห็นยิ่งตอกย้ำว่าไม่ควรปล่อยเรื่องผ่านไป ใครทำกับเขาขนาดนี้

"คือว่า... มีเรื่องกับ..."

"มีเรื่องกับคน 'ที่บ้าน' นิดหน่อย"
เซนแย่งอุ่นตอบในที่สุด แต่นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจว่าที่บ้านของเขาทำไมเป็นแบบนี้ คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือยังไง

"อะไรนะ มีเรื่องกับคนที่บ้าน คือบ้าอะไร พูดกันดีๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำร้ายร่างกาย"
ผมพูดด้วยอารมณ์โมโหและมองสำรวจร่างกายของเซนอีกครั้งอย่างละเอียด อุ่นเดินหายไปและกลับมาพร้อมชุดปฐมพยาบาล เซนไม่ได้ตอบคำถามกลับมาแต่ถอดเสื้อเปียกชุ่มส่งให้อุ่นแทน

"ทำแผลให้หน่อย"
เสียงทุ้มร้องขอกัน ผมได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ แล้วรับกล่องปฐมพยาบาลมาจากมืออุ่นแล้วเริ่มทำแผลอย่างช้าๆ เพราะกลัวเซนจะเจ็บ มีบางจังหวะที่สายตาของเราประสานกัน ดวงตาสีเทามักจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างมาเสมอ แต่เสียดายที่คนอย่างผมโง่ดักดานอ่านสายตาของใครไม่เป็นเลยทำได้แค่หลบเลี่ยงเท่านั้น

"เสร็จแล้ว ที่จริงน่าจะอาบน้ำก่อนทำแผลปะ เปียกมาขนาดนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"
ผมบ่นกระปอดกระแปดให้ขณะที่เซนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยหลังจากทำแผล เส้นผมสีดำสนิทยังเปียกลู่แนบใบหน้าจนนึกรำคาญแทนเลยเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กไปวางไว้บนหัวเขา เซนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วใช้มือเรียวจับผ้า... แต่ไม่ยอมเช็ดวะ รออะไรอยู่

"เช็ดให้หน่อย"
อีกแล้ว... น้ำเสียงออดอ้อนชวนใจสั่นนั่นทำให้ผมยอมทุกทีสิน่า อยากใจแข็งแต่ทำไม่ได้สุดท้ายก็ลงเอยที่มานั่งเช็ดผมและสบตากันไปด้วย โคตรโรแมนติกเลยถ้าไม่มีไอ้อุ่นนั่งอยู่ที่พื้นแล้วส่งสายตาล้อเลียนมาให้

"แหม... เซนจะอ้อนมากไปแล้วมั้ง ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่า"
อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะมองผมสลับกับเซนไปมา ยอมรับอย่างไม่อายใครว่าประโยคนั้นสั่นหัวใจกันได้ทันทีเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่เคยอ่อนโยนแบบนี้ แต่ช่วงหลังๆ มานี่ดูนิสัยจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจริงๆ

"หุบปากแล้วนั่งไปเงียบๆ ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปจากห้องซะ"
เซนส่งสายตาดุๆ ไปให้กับอุ่นที่รีบหุบปากฉับแล้วเดินหนีเข้าห้องครัวไปเงียบๆ ผมได้แต่มองเขาแล้วลอบถอนหายใจ สองคนดูเหมือนจะรักกันแต่ก็มีเรื่องขัดกันไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ

"นี่... ขอถามอะไรหน่อยได้ปะ"
ผมตัดสินใจถามถึงสิ่งที่อยากรู้แล้วเหลือบไปมองลิ้นชักใต้ทีวี... สิ่งของทุกอย่างในนั้นมันคืออะไรกันแน่ เซนเคยอัญเชิญปีศาจตนไหนอย่างนั้นเหรอ

"อืม ถามมาสิ"
คำอนุญาตราบเรียบทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อาจเพราะกลัวที่จะถามออกไปหรือกลัวคำตอบที่กำลังจะได้กลับมา ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่

"คือ... อุปกรณ์ในลิ้นชักนั่น"
ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะเหมือนมีอะไรที่มองไม่เห็นปิดปากกันไว้ เซนใช้ดวงตาสีเทาจ้องมาก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากซะเอง

"ของสะสมเฉยๆ"
เซนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมจับไม่ได้ว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่ แต่ดวงตาสีเทานั่นไม่ได้มีความสั่นไหวแต่อย่างใด สุดท้ายเลยทำได้แค่พยักหน้ารับคำตอบนั้นเอาไว้และปิดประเด็นเรื่องนี้ไป

"ฝนเริ่มซาแล้วล่ะ"
ผมบอกในขณะที่เดินตรงไปยังประตูกระจกเพื่อดูสถานการณ์ฟ้าฝนที่ด้านนอก นาฬิกาข้อมือแสดงเวลาสี่โมงเย็นแต่ท้องฟ้ากลับมืดอย่างกับหกโมงไปซะอย่างนั้น ไม่ค่อยชอบความเปียกชื้นสักเท่าไหร่แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอากาศตอนฝนตกมันดีเพียงใด

"เออว่ะ งั้นออกไปหาอะไรกินกันปะ"
เสียงทุ้มของอุ่นดังขึ้นข้างๆ ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สมควรชินได้แล้วเพราะเขาเป็นแบบนี้เสมอ ไปมาไม่เคยให้ซุ่มให้เสียงเลยสักครั้ง

"แล้วแต่ กูยังไงก็ได้ ไปถามเซนนู่น"
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางที่ร่างสูงของเซนนั่งอยู่ ดูเหมือนเขากำลังจะยุ่งกับแผลบนร่างกายจนอุ่นตรงเข้าไปห้ามและพูดคุยอะไรกันอยู่สักพักโดยที่ผมไม่เข้าไปมีส่วนร่วม รู้สึกว่าควรยืนอยู่ตรงนี้มากกว่า มองสายฝนบางครั้งก็เพลินดีเหมือนกันนะ

"ไปกินข้าวกันไอ้วิน"
เสียงอุ่นเรียกอยู่ไกลๆ ทำให้ผมละสายตาจากสายฝนแล้วหมุนตัวไปพยักหน้าก่อนจะก้าวขาตามพวกเขาออกจากห้องไป

หน้าที่พลขับตกเป็นของอุ่นไปโดยปริยายและมีเซนนั่งด้านข้าง ส่วนผมเนรเทศตัวเองมานั่งส่วนหลังของรถ Audi A4 สีแดงสดใส ไม่รู้ว่าตอนซื้อรถอุ่นคิดอะไรอยู่ถึงได้ซื้อสีแบบนี้ โคตรจะเด่น ขับไปไหนมาไหนมีแต่คนมอง

"วิน"
เสียงทุ้มนุ่มเรียกกันจากด้านหน้าทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมที่กำลังมองอยู่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเจ้าของเสียงไม่ได้หันมามองเลยสักนิด ช่วยกรุณามองคู่สนทนาหน่อยไม่ได้หรือไง แบบนี้เหมือนกำลังพูดคนเดียวเลยว่ะ

"มีอะไร"
ผมถามกลับไปและเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อก่อนจะขยับก้นไปนั่งปลายเบาะเพื่อจะได้คุยกับคนด้านหน้าถนัดขึ้น อยากเห็นสีหน้าเขาด้วย ไม่ใช่อะไรหรอก

"พรุ่งนี้อยู่คนเดียวได้ไหม"

"หือ มึงจะไปไหนอะ"

"ธุระนิดหน่อย อยู่ได้ไหม"

"อือ... อยู่ได้ดิวะ พูดอย่างกับกูเป็นเด็กน้อยที่ต้องมีเพื่อนอยู่ด้วยตลอดเวลา"
ผมตอบกลับไปแต่ในใจก็แอบหวั่นเล็กๆ เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกันไม่เคยห่างกันนานๆ เลย

"ถ้าอยู่ไม่ได้โทรหากูนะครับ จะรีบไปหาที่คอนโด"
อุ่นพูดขึ้นมาแถมยังขยิบตาผ่านกระจกมองหลังมาให้กันจนผมต้องเบ้ปากในความหยอดเล็กหยอดน้อยของมัน เซนถึงกับเอื้อมมือไปผลักหัวอุ่นเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้

"กูไม่อยากลำบากมึงหรอก"
ผมตอบปัดๆ ก่อนจะขยับเข้าที่เหมือนเดิม กลัวอุ่นมันแกล้งเบรกแล้วหัวจะทิ่มไปด้านหน้า

"จริงๆ มันก็เป็นหน้าที่ของกูนะ"
อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เป็นผมเองที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หน้าที่อะไรของเขากันล่ะ ยิ่งเซนส่งสายตาดุๆ ไปให้คนข้างๆ ยิ่งทำให้ผมอยากรู้จนต้องขยับไปนั่งปลายเบาะอีกครั้งแล้วแนบแก้มลงบนเบาะหน้า

"หน้าที่อะไรวะ"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับโดนเซนผลักหัวออก ก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้กันจนผมต้องจิ๊ปากด้วยความขัดใจ

"หน้าที่ของเพื่อนที่ต้องดูแลเพื่อนไง สงสัยจังนะมึง"
อุ่นตอบด้วยน้ำเสียงทะเล้นนิดหน่อย ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่เลยครางอือรับไปเบาๆ ในตอนนั้นเองหางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวิ่งไล่รถอยู่ด้านข้าง พอเพ่งดูดีๆ ก็พบว่าเป็นหมาขนาดใหญ่ดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เหมือน... บารอน!

"ไอ้อุ่นๆ จอดรถก่อน"
ผมบอกอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้เท้าความถึงเหตุผลใดๆ อุ่นดูงงๆ แต่ก็ยอมจอดรถให้กัน ส่วนเซนเขาน่าจะรู้แล้วว่าทำไมผมถึงบอกให้อุ่นจอดรถ

"อะไรของมึงวะ"

"บารอน"
เซนตอบแทนก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวหมายักษ์ที่ยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างรถ อุ่นชะโงกหน้ามองก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นราวกับตกใจ

"เฮ้ย... มาได้ไงวะเนี่ย"
อุ่นอุทานออกมาด้วยความแปลกใจแล้วหันมามองกัน ผมไหวไหล่เพราะตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด บารอนมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน เป็นคำถามที่ตอบได้ยากที่สุดแม้แต่เซนเองก็ไม่อาจตอบได้เช่นกัน

ก๊อกๆ

เสียงเคาะกระจกดึงสติของผมกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เซนบอกให้ผมเปิดประตูในขณะที่เขาจับปลอกคอของบารอนเอาไว้

"เอามันเข้าไปนั่งกับมึงด้วย"
เขาบอกก่อนจะดันบารอนให้ขึ้นมาด้านหลัง ส่วนผมขยับที่ขยับทางให้พอสำหรับหมาตัวโตนั่ง ดูจะคับแคบไปหน่อยแต่ก็ดี เซนปิดประตูแล้วกลับไปนั่งที่เดิมอย่างเงียบเชียบและไม่มีใครกล้าถามอะไรทั้งนั้น



มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-11-2016 10:01:42
ผมเหลือบสายตามองบารอนที่นั่งชูคอมองทางด้านหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของมันตลกน่าดู หางเป็นพวงส่ายไปมาจาผมนึกอยากลองจับ แต่แค่เอื้อมมือไปเจ้าตัวใหญ่ก็หันขวับมามองกัน ลมหายใจสะดุดกึกแทบทันทีเพราะไม่รู้ว่าบารอนจะกัดไหม แต่ไม่นานหัวโตๆ กลับซุกลงมาบนไหล่แล้วไหลลงไปที่ตักอย่างหน้าตาเฉย แอบตกใจอยู่เหมือนกันแต่ดีใจมากกว่าที่บารอนไม่คิดว่าผมเป็นศัตรู

"ทำไมขี้อ้อนวะบารอน ปกติหยิ่งฉิบหาย กับกูนี่แทบกระโดดงับคอ"
พลขับบ่นพึมพำเมื่อเหลือบสายตามามองผมกับบารอนสลับกันไปมาในขณะที่รถติดไฟแดง มือเรียวไล่ลูบขนหนาไปเรื่อยอย่างเพลิดเพลินก่อนจะยักคิ้วกวนให้เพื่อนสนิท

"มึงไม่เป็นมิตรกับสัตว์ไง"

"ทำไมวะ กูก็เป็นสะ... เอ่อ กูก็รักสัตว์นะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นเพราะประโยคเมื่อครู่ฟังดูแปลกๆ แต่สุดท้ายก็เลิกสนใจไปเมื่อบารอนขยับหัวถูไถกับตักผมเบาๆ ตัวใหญ่แต่ขี้อ้อนต่างกับครั้งแรกที่เจอกันแล้วเอาแต่มองจริงๆ

"แต่สัตว์คงไม่รักมึงมั้ง"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะใช้มือลูบหูแหลมๆ ของบารอนเล่น ดูท่าทางมันจะชอบเพราะเคลิ้มจนตาปรือและในที่สุดก็ปิดสนิทลง

"บารอนจะมาอยู่กับเราจนถึงวันเกิดกูนะ"
เมื่อรถจอดสนิทหน้าร้านอาหารเกาหลีแห่งหนึ่ง เซนก็พูดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความงุนงง ทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรก หรือว่าเพิ่งคุยกับคนที่บ้านกันล่ะ

"อ๋อ... โอเค แล้วนี่จะทำยังไงกับมัน จะเอาเข้าไปในร้านก็ไม่ได้"
ผมบอกก่อนจะก้มลงมองเจ้าบารอนที่ยังหลับอุตุหนุนตักกันอยู่ อุ่นเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยไม่ออกความเห็นใดๆ และเซนเพียงแค่เหลือบมองสัตว์หน้าขนก่อนระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

"เดี๋ยวเอาลงไปฝากเจ้าของร้าน"
พูดจบเขาก็เดินลงจากรถไปซะดื้อๆ ปล่อยให้ผมงุนงงและปลุกเจ้าบารอนให้ขยับตัวใหญ่ๆ ลงจากรถ ในขณะที่อุ่นเดินเช้ามาใกล้กันกลับโดนเจ้ายักษ์แยกเขี้ยวใส่ซะอย่างนั้น ตลกดี

"ไรวะ ขู่กูอีกแล้วนะ"
อุ่นถลึงตาใส่บารอนจนผมหลุดขำออกมา คนบ้าอะไรทะเลาะกับหมาวะนั่น หน้าตาหล่อๆ ตอนมันบึ้งตึงเพราะโดนสัตว์ขัดใจก็ดูตลกไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย

"มึงหยุดทะเลาะกับบารอนสักที"
เซนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะดึงปลอกคอให้บารอนเดินตามไปทางประตูร้าน เขาเอ่ยฝากฝังเจ้ายักษ์เอาไว้และเพิ่งได้รู้กันตอนนั้นว่าเขารู้จักกับเจ้าของร้านนั่นเอง

หลังจากพวกเราฝ่าฟันควันจากเตาย่างเนื้อสไตล์เกาหลีมาได้ก็ตรงกลับไปส่งผมกับบารอนที่คอนโดทันที จากที่บอกกันว่าเซนมีธุระพรุ่งนี้กลายเป็นว่าต้องไปตั้งแต่คืนนี้... อยู่กับหมาก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกมั้ง

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงหลังจากที่จัดการอาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อยไปแล้ว บารอนกระโดดขึ้นเตียงมานอนข้างๆ กันอย่างรู้งานโดยไม่ต้องเรียก เห็นมันแล้วคิดถึงเจ้าของว่ะ ไม่รู้ว่าไปทำธุระอะไรกันตั้งแต่ตอนนี้

"บารอน... เจ้านายแกนี่ดูลึกลับเนอะ มีเรื่องปิดบังเราเยอะแยะแน่เลย"
ผมพูดก่อนจะเอื้อมือมือไปลูบตัวบารอนไปตามความยาวของลำตัว และเหมือนว่าฟังกันเข้าใจเจ้ายักษ์เลยส่งเสียงครางรับราวกับเห็นด้วย

"บู้ว ~"

"เห็นด้วยเหรอ ฮ่า นั่นสินะ แม้แต่หมายังดูออก"
ผมพึมพำก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วมองเพดานที่มีโคมไฟระย้าประดับอยู่ สมองกำลังเรียบเรียงความคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวตนของเซนและอุ่น แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนกลับหาข้อสรุปอะไรไม่ได้กับพฤติกรรมมีลับลมคมในของเขาทั้งสองเลย เกิดเป็นคนไม่ฉลาดก็แย่แบบนี้ล่ะ

ความเงียบและอุณหภูมิหนาวเหน็บของเครื่องปรับอากาศกำลังโรยตัวและย่างกรายเข้ามาสัมผัสผิว มือเรียวเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งมีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าไปเมื่อครู่ขึ้นมาดู เมื่อหน้าจอถูกปลดล็อกแล้วแอพพลิเคชั่นแชทสีเขียวมะนาวก็บ่งบอกชื่อของบุคคลนั้นต่อสายตาทันที 'เซน' ผมกดอ่านอย่างไม่ลังเลก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า หัวใจอุ่นวาบเหมือนมีใครกำลังโอบกอดมัน นี่สินะที่เขาเรียกว่า 'มีอิทธิพลต่อหัวใจ'

'ฝันดีครับเทวิน - เซน'

รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้าแม้เวลาจะล่วงเลยมาจวบจนเกือบครึ่งชั่วโมง ด้วยความที่นอนคนเดียวเลยทำให้ข่มตาหลับได้ยากเย็น อยากจะชวนหมาคุยแต่พบว่ามันชิ่งหลับไปก่อนอีก... ทิ้งกันเห็นๆ เลยเจ้าหมาทรยศ แต่เรื่องที่คิดว่าร้ายแรงที่สุดแล้วก็คือ ผมคิดจะอัญเชิญปีศาจในวันพรุ่งนี้เพราะทางสะดวก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นในครั้งนี้อาจจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล




--------------------------------------------------------

ตอนหน้าเทวินมีอุปกรณ์ครบมือแล้ว... คอยดูเนอะว่าจะทุลักทุเลขนาดไหน 55555

หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-11-2016 10:21:03
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

เซนไม่อยู่เทวินซนจนได้ซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-11-2016 21:00:54
นั่นไง เซนไม่อยู่นี่หาเรื่องซนแล้วสินะ

ปล. อยากฟัดบารอนบ้างอ่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 6 -P.2- (02.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 03-11-2016 09:24:53
อยากอ่านต่อแล้วค่าาา มาต่อน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-11-2016 12:02:16
ตำราบทที่ 7



‘Can i invocate and conjure demons?’
ผมสามารถอ้อนวอนและอัญเชิญปีศาจได้หรือไม่?



การอยู่ในห้องที่กว้างขวางเพียงคนเดียวทำให้รู้สึกเงียบเหงาจนนอนไม่หลับ เสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของเจ้าหมายักษ์ที่นอนอยู่ข้างๆ ทำให้หลุดยิ้มได้ไม่ยาก อยากสะกิดปลุกให้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อนกัน แต่ก็กลัวว่าบารอนจะหงุดหงิดใส่แล้วเลิกญาติดีด้วย

มือเรียวควานหาโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงมากดเล่นฆ่าเวลา หวังว่าตัวเองจะง่วงและหลับไปเอง แต่นั่นทำให้รู้ว่าคิดผิดถนัด ยิ่งดึกยิ่งตาสว่างจนรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมา จะพิมพ์ข้อความส่งแชทไปหาใครก็กลัวจะโดนด่ากลับมาเมื่อพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว ไม่เคยนอนดึกขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ นี่ครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้แต่ไม่นับรวมช่วงปั่นงานนะ

"กินยานอนหลับดีปะวะ"
ผมพึมพำกับตัวเองแล้ววางโทรศัพท์มือถือไว้บนหน้าท้องก่อนจะจ้องมองเพดานที่มีโคมไฟระย้า มันเกิดแสงวิบวับเมื่อกระทบกับแสงของดวงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามา สวยจนไม่สามารถละสายตาได้ แต่อะไรบางอย่างกลับดึงสติของผมกลับอย่างรวดเร็ว บารอนแทบจะขึ้นมาเกยกันทั้งตัว สงสัยมันจะหนาวเพราะอยู่นอกผ้าห่ม

"หนาวหรือไงไอ้ยักษ์"
ผมเอื้อมมือไปลูบขนมันเบาๆ แล้วตักสินใจลุกจากเตียงไปหยิบผ้าห่มอีกผืนมาคลุมตัวบารอน แต่แทนที่จะคลานกลับขึ้นเตียงเลยเลือกเดินไปที่ระเบียงห้องนอนและเปิดประตูกระจกออกไปรับสายลมเย็นที่พัดพาละอองฝนเล็กๆ มาด้วย

Rrrrr

เสียงริงโทนทำให้ผมสะดุ้งตกใจก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องและหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา พบว่าสายเรียกเข้าเป็นของอุ่น แต่เมื่อเหลือบมองเวลาที่มุมหน้าจอโทรศัพท์กลับพบว่าเวลานี้ตีหนึ่งกว่าเข้าไปแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอ

"ว่าไงมึง"
ผมกรอกเสียงลงไปด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มเปี่ยมก่อนจะนั่งลงข้างๆ บารอนที่ปรือตามองกันอยู่ พอจะมีเพื่อนก็ดันมีมากกว่าหนึ่งซะอย่างนั้น

'ยังไมนอนอีกเหรอ'
อุ่นถามกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมจับอารมณ์ของเขาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันมาทำไมโทรมาดึกดื่นขนาดนี้

"ถ้านอนแล้วจะรับสายมึงได้ไง แล้วทำไมโทรมาดึกขนาดนี้"
ผมเอื้อมมือไปลูบขนบารอนเล่นเพื่อฆ่าเวลารอคำตอบจากอุ่นที่เงียบไปชั่วอึดใจ ตอนแรกนึกว่าสายหลุดแต่ฟังดีๆ จะได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบาดังลอดออกมาเป็นระยะๆ

"อุ่น... มึงเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็เงียบ"
ถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะต้องชะงักเมื่อหางตาเห็นเงาสีดำเคลื่อนไหวไปมา แต่เมื่อตั้งสติได้กลับพบว่าตัวเองลืมปิดประตูกระจกเลยทำให้ลมพัดผ้าม่านจนปลิวไปมา เฮ้อ บรรยากาศฝนตก วังเวงแบบนี้เหมือนจะมีผีโผล่ออกมาเลยว่ะ

'เปล่าๆ พอดีเพิ่งกลับมาจากไปส่งเซนทำธุระน่ะ ยังไม่ง่วงเลยโทรกวนมึง'
ปลายสายปรับน้ำเสียงให้ดูยียวนขึ้นเป็นพิเศษแต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของผมดีขึ้นตามเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะยังรู้สึกตะขิดตะขวงในใจแปลกๆ แต่ต้องเก็บความสงสัยไว้เมื่อลมพัดแรงขึ้นจนต้องรีบลุกไปปิดประตูกระจกโดยมีบารอนกระโดดลงจากเตียงเดินตามกันไม่ห่างเหมือนคอยคุ้มกันภัย... รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชาย

"มึงนี่นะ กวนประสาท"
ผมตอบกลับไปแต่มือยังพยายามจับผ้าม่านสีขาวเอาไว้เพราะไม่สามารถปิดประตูกระจกลงได้ในเมื่อมันยังพลิ้วไหวออกไปด้านนอก บารอนช่วยอีกแรงโดนการคาบแล้วดึงผ้าม่านเข้าไปในห้อง ทุลักทุเลจนต้องขอเวลานอกกันเลยทีเดียว

"อุ่นๆ แป๊ปนึงนะ"
ผมบอกก่อนจะรีบวางโทรศัพท์ลงที่ชั้นวางของใกล้ๆ แล้วจัดการปิดประตูกระจกให้เรียบร้อย บารอนหอนเบาๆ จนผมรู้สึกขนลุกขนชันไปหมด ความกลัวทำให้ต้องรีบคว้าโทรศัพท์แล้วสาวเท้าไปเปิดสวิตซ์ไฟทันที แสงสว่างวาบทำให้ใจชื้นขึ้น

"ฮัลโหล ยังอยู่ปะวะ"

'อยู่ หายไปไหนมา'

"เมื่อกี้ไปปิดประตูระเบียงมาเว้ย ลมพัดโคตรแรง ไอ้บารอนก็หอนอีก ขนลุกฉิบ"
ผมบอกก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว ถึงจะเปิดไฟแต่การอยู่คนเดียวยังไงๆ มันก็วังเวงอยู่แล้ว บารอนกระโดดขึ้นเตียงมานอนซบตักกันแล้วหลับตาพริ้มอีกครั้ง... สรุปว่าจะให้ผมนั่งเป็นหมอนแบบนี้ทั้งคืนเลยหรือไง

'กลัวผีเหรอมึง'
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะถามกลับมาทำให้ผมทำเสียงฟึดฟัดกลับไป ไม่ใช่ว่ากลัวแต่อดผวาไม่ได้ ก็ในชีวิตไม่เคยเจอผีสักครั้ง ถ้าโผล่มาให้เห็นตัวเป็นๆ ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงเหมือนกัน

"ไม่ได้กลัวเว้ย ไปนอนเลยไป อย่ามากวนตีนคนอื่น"

'โอ๋ๆ อยู่คนเดียวอย่าซนนะวิน... ถ้าเจ็บตัวขึ้นมาจะแย่นะ'
ดูเหมือนจะเตือนเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่น้ำเสียงเขากลับจริงจังจนผมไม่กล้าเอ่ยปากต่อว่าใดๆ

"โตแล้ว เลิกซนละ"
ผมตอบกลับไปก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพราะเมื่อยขา ก็ไอ้บารอนตัวเล็กซะที่ไหนกันล่ะ แทบจะขึ้นมานอนบนตักกันเต็มๆ อยู่แล้ว หมาอะไรขี้อ้อนฉิบหาย

'กูเตือนนะวิน อย่าทำอะไรแผลงๆ ตอนเซนไม่อยู่'
อุ่นพูดเหมือนจะรู้ความคิดของผม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเนื่องจากกังวลกับเรื่องที่ตั้งใจจะทำ สำเร็จหรือไม่สำเร็จนั่นไม่กลัวหรอก แต่ผลที่ตามมาหลังจากนั้นล่ะ... แต่มันเสี่ยงแค่ไหนก็ยังอยากลอง นี่คือข้อเสียงของบุคคลที่ชื่อเทวินอีกหนึ่งข้อ

"เออน่า เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย ไปๆ แยกย้ายกันนอนได้แล้ว"
ผมเอ่ยปัดๆ แล้ววางสายทันทีโดยไม่รอคำทักท้วงจากอุ่น หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น กลัวเหมือนกันนะว่าเขาจะจับได้ว่าแอบทำอะไรอันตรายเสี่ยงต่อชีวิต บารอนผงกหัวขึ้นมามองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะย้ายร่างกายใหญ่ๆ ไปนอนที่เดิม หางเป็นพวงปัดป่ายไปมาช้าๆ เหมือนเป็นสัญญาณให้ผมเข้านอนสักที

"โอเคๆ ปิดไฟเนอะ"
ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียงก่อนจะลุกขึ้นไปปิดสวิตซ์ไฟแล้วคลานกลับมาซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนหนา ดวงตากลมหลับพริ้มเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย เหมือนโดนอุ่นปล่อยยานอนหลับมาตามสายยังไงก็ไม่รู้

แสงแดดยามเช้าทำให้ผมปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก มือเรียวขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสให้ชัดเจนขึ้นอีกหนึ่งระดับ ปากบางอ้ากว้างและหาวออกมาจนรู้สึกปวดกรามไปหมด เมื่อเหลือบมองนาฬิกาติดผนังจึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้าเข้าไปแล้ว นั่นทำให้ผมรีบดีดตัวขึ้นจากเตียงและตรงดิ่งไปยังลิ้นชักใต้ทีวีทันที ถ้าหากว่าใครจำได้ เวลาดีที่ใช้อัญเชิญปีศาจยศราชาคือ 'เก้าโมงเช้าถึงเที่ยงวัน'

"ตื่นสายจนได้"
ผมพึมพำกับตัวเองขณะที่รื้ออุปกรณ์ต่างๆ ออกจากลิ้นชักอย่างทุลักทุเลโดยมีบารอนยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่เข้ามาวุ่นวายอย่างกับรู้กันว่าจะทำอะไร บนโต๊ะกระจกใสเต็มไปด้วยเทียนสีฟ้า ถ้วยเงิน ผืนผ้าวงเวทย์ ไม้กำยาน แหวนเงิน ผ้าลินินสีขาว แก้วไวน์ทำจากเงิน น้ำมัน และวงเวทย์ผนึกปีศาจ ถ้าจะให้อธิบายถึงความสำคัญของอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่โดนรื้อออกมาคงยาวเกินไป แต่สรุปง่ายๆ คือ ทุกอย่างสำคัญต่อการอัญเชิญปีศาจทั้งสิ้น

ผมจัดเรียงอุปกรณ์ทุกอย่างตามที่ได้รับการสอนมาจากคุณพ่อจีซัส กำยานถูกจุดขึ้นทันทีอย่างไม่รอช้า กลิ่นของมันค่อยๆ หอมขึ้นจนรู้สึกหนักอึ้งไปทุกส่วน แทนสีฟ้าสว่างไสวเมื่อถูกเปลวไฟเผาไหม้ ขายาวก้าวไปหยิบหนังสือเรียนมากางเปิดออกในหน้าที่ว่าด้วยเรื่องคาถาอัญเชิญซึ่งเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ได้รับการแปลมาอย่างเรียบร้อยในชั้นเรียน จริงๆ แล้วชั่งใจอยู่นานว่าควรวิ่งไปอาบน้ำก่อนดีไหม แต่กลัวจะไม่ทันการเลยตัดสินใจก้าวขากลับไปยืนกลางวงเวทแล้วหยิบแหวนเงินมาใส่ เมื่อทุกอย่างพร้อมใจพร้อมการอัญเชิญปีศาจจะเริ่มตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะดูดีกว่านี้ถ้าไม่ได้ใส่เสื้อบอลกางเกงบอลสีแดง

"ข้าขออ้อนวอนและอัญเชิญราชาอัสโมดายผู้มาพร้อมกับอาวุธอันทรงพลังจากอำนาจอันทรงเกียรติ..."
ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไปเรื่อยๆ แบบไม่มีขาดตอนทั้งๆ ที่ในใจเต็มไปด้วยความกังวลแต่พยายามไม่แสดงออก ความตื่นเต้นและความกลัวกำลังตีรวนไปทั้งร่างกาย หากให้หยุดตอนนี้คงทำไม่ได้

"ผู้ซึ่งทุกสรรพสิ่งเชื่อฟังครั้นเมื่อพระองค์สดับฟัง ธาตุทั้งหลายจักถูกลบล้าง อากาศจักสั่นคลอน ทะเลจักเป็นสีดำ ไฟจักมอดไหม้ พื้นดินจักสั่นไหว..."
ผมท่องคาถาอัญเชิญบทแรกไปจนจบแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเงียบสงบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศที่โดนเปิดทิ้งไว้ภายในห้องนั่งเล่นก่อนจะรื้ออุปกรณ์ออกมา หัวคิ้วที่เคยขมวดแน่นคลายออกพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ จริงๆ แล้วตื่นเต้นจนกลัวไปหมด มือไม้ที่ถือหนังสือก็สั่นจนแทบจะทำหล่นไปหลายรอบ

"เรียกยากเรียกเย็นวะ"
ผมบ่นพึมพำก่อนจะตั้งสมาธิและท่องคาถาอัญเชิญบทเดิมซ้ำอีกรอบด้วยความตั้งใจ แต่พอถึงช่วงหนึ่งของประโยคกลับสะอึกทำให้ติดๆ ขัดๆ สุดท้ายก็พยายามท่องต่อจนจบ พลันพื้นห้องสั่นไหวเบาๆ แล้วมีแสงปรากฏขึ้นที่ด้านหน้า อะไรบางอย่างกำลังผุดขึ้นมากลางวงเวทย์อีกอันอย่างเชื่องช้า จากภาพเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ดวงตากลมเบิกค้างเพราะไม่คิดว่าปีศาจตรงหน้าจะมาในรูปแบบน่าเกลียดน่ากลัวได้ขนาดนี้

"เฮ้ย! ทะ ทำไมออกมาเป็นแบบนี้"
เสียงตะกุกตะกักดังลอดออกมาจากริมฝีปากในขณะที่มือไม้สั่นเทาไปหมด ยอมรับว่ากลัวมากกว่าตื่นเต้นเพราะระยะห่างระหว่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตร หัวเต้นเต้นรัวแรงเมื่อหัวปีศาจทั้งสามใช้สายตาจ้องตรงมาหากันอย่างสนอกสนใจ ผมแทบจะลืมหายใจแต่ขั้นตอนต่อไปกลับผุดขึ้นมาในหัวทันที

"Art Thou Asmoday?" อาร์ตเธาว์อัสโมดายมีความหมายตรงกับคุณคืออัสโมดายใช่หรือไม่ เป็นการถามเพื่อให้ปีศาจอย่างเขาทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ความเงียบกำลังโรยตัวลงมา ทำไม่เงียบล่ะ... เงียบจนผมเริ่มหวั่นใจแล้ว

"Yes เจ้าพูดภาษาของเจ้าเถอะ เราเข้าใจ"
ผมอึ้งเมื่อได้ยินประโยคภาษาไทยหลุดออกจากปากของเขา จริงๆ แล้วตอนอัญเชิญผมก็ใช้ภาษาบ้านเกิดของตัวเอง... ลืมไปเลยว่าปีศาจมีความสามารถในการสื่อสารทุกภาษาในจักรวาลนี้ แต่ความกล้าหาญที่จะมองหน้า... เอ่อ จะเรียกว่าอะไรดี ก็ราชาอัสโมดายมีตั้งสามหัว แกะ คน กระทิง มังกรที่เป็นสัตว์ขี่ของเขาก็ดูน่าเกรงขาม แววตาสีเหลืองแวววาวของมันฉายความขี้เล่นคล้ายกับอุ่นไม่มีผิด

"เอ่อ คะ ครับ แต่ว่าทำไมท่าน เอ่อ เรียกแบบนี้ได้ไหม"
ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตากลมมองจรดเท้าของตัวเอง ไม่กล้ามองภาพลักษณ์ตรงหน้าจริงๆ มันพิลึกพิลั่นจนคิดว่าคืนนี้คงนอนฝันเป็นแน่

"เรียกชื่อก็พอ แต่ก่อนที่เจ้าจะถามอะไรช่วยเงยหน้ามองกันได้หรือไม่ ท่าทางแบบนั้นเสียมารยาทที่สุด"
น้ำเสียงขรึมแต่ฟังดูแล้วคุ้นเคยในทีดังขึ้น ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นมังกรตัวนั้นมองจ้องเขม็งราวกับจะพุ่งเข้ามาหา ใบหน้าค่อยๆ เงยขึ้นตามคำทักท้วงของราชาปีศาจจนสบสายตากัน... น่ากลัวเป็นบ้า

"อะ เอ่อ จะให้ผมมองตะ ตรงไหนดีครับ"
ที่ถามออกไปแบบนั้นคือไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะโฟกัสที่หัวไหนดี เพราะไม่ว่าจะใบหน้าแบบไหนก็ล้วนน่ากลัวด้วยกันทั้งสิ้น

"หึ เจ้ากวนประสาทเก่งใช่เล่นเลยนะ"

"ปะ เปล่านะครับ ผมไม่รู้จริงๆ"
ผมรีบละล่ำละลักแก้ตัวทันทีเพราะกลัวปีศาจตรงหน้าจะโกรธแล้วคิดฆ่ากันขึ้นมา ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำอะไรเมื่อไหร่

"เจ้าถามคำถามของเจ้ามา"
ปีศาจบอกก่อนจะก้าวขาคล้ายกับห่านออกวงเวทย์สีทองสว่างตรงหน้า ร่างกายอัปลักษณ์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยท่วงท่าสบาย มังกรตัวนั้นเมื่อเป็นอิสระจากผู้เป็นนายก็ค่อยเดินวนไปวนมารอบตัวของผมจนรู้สึกหวาดระแวงหมุนตามมันไปด้วย

"เอ่อ... คำตอบต้องแลกกับบรรณาการไหมครับ?"
ถึงจะกลัวปีศาจตรงหน้ามากแค่ไหนแต่เรื่องผลประโยชน์ซึ่งกันและกันต้องถามให้ละเอียดเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดผมตั้งคำถามไปแล้วเขาต้องการบรรณาการเป็นชีวิตของผมจะทำยังไงล่ะ...

"ไม่ต้อง ข้าให้เจ้าฟรีๆ หนึ่งคำถาม"
ศัพท์วัยรุ่นก็มา... บางทีผมคงคิดมากไปว่าต้องใช้ภาษาย้อนไปสักห้าร้อยปีหรือเปล่าถึงจะสื่อสารกันรู้เรื่อง

"เอ่อ... งั้นขอถามว่า ทำไมอัสโมดายถึงไม่ปรากฏตัวในร่างมนุษย์ล่ะครับ ในบทคาถาอัญเชิญผมก็ท่องไปแล้วนะ"
ผมเหลือบสายตามองเขาทั้งๆ ที่ตัวเองไม่กล้าก้าวออกจากวงเวทย์ป้องกัน เจ้ามังกรก็เดินป้วนเปี้ยนไปมาจนระแวงไม่เป็นอันทำอะไร เริ่มเวียนหัวแล้ว ทำไมต้องเดินวนเป็นวงกลมแบบนี้ด้วยวะเนี่ย บวกกับกลิ่นกำยานที่หอมจนรู้สึกเอียนยิ่งทำให้รู้สึกมึนหนักขึ้นไปอีก สภาพร่างกายที่ผ่านการโดนละอองฝนมาเมื่อวานก็ดูจะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่

"เจ้าจะหมุนตัวตามมันทำไมหืม ไม่เวียนหัวหรือยังไง"
แทนที่เขาจะตอบคำถามกันกลับต่อว่าเรื่องที่ผมหมุนตัวตามเจ้ามังกรตัวเขื่องซะอย่างนั้น ก็ไม่น่าไว้ใจนี่หว่า ดูดวงตาสีเหลืองวาบวับที่มองกันมาสิเหมือนอยากเขมือบเต็มทน ถ้าเผลอแม้แต่เสี้ยววินาทีอาจจะลงไปนอนเล่นในท้องมังกรก็ได้

"ก็... น่ากลัว อัสโมดายบอกให้มันหยุดเดินวนรอบตัวผมได้ไหม"
ผมร้องขอเสียงเบาหวิว แต่เขาไม่ตอบอะไรและทำเพียงแค่ดีดนิ้วเบาๆ เจ้ามังกรยักษ์หยุดชะงักอยู่กับที่ก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาราวกับหายตัวได้ ลมหายใจร้อนๆถูพ่นออกมาด้วยความอุ่นใจ รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อความระแวงส่วนหนึ่งหายไป ผมหันกลับมาสบสายตากับราชาปีศาจอีกครั้งเพื่อรอคำตอบจากคำถามที่ผมเอ่ยไปก่อนหน้านี้

"ที่เราปรากฏตัวร่างนี้เพราะเจ้าท่องคาถาพลาดในช่วง 'ขอท่านปรากฏกายเบื้องหน้าข้าภายในวงเวทย์นี้ ในร่างมะ...' แล้วเจ้าก็สะอึก แถมไอออกมา ดีเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ออกมาในร่าง มะนาว มะพร้าว หรืออะไรก็ช่างที่เจ้าท่องเพี้ยนไป"
หลังจากได้คำตอบผมถึงกับเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นขำ ไม่นึกว่าปีศาจอย่างราชาอัสโมดายจะมีอารมณ์ขันแบบนั้น ดูท่าทางเขาใจดีอย่างที่หนังสือบอกไว้จริงๆ

"ถ้าหลุดขำ ข้าจะเก็บบรรณาการจากเจ้า"
ดวงตาสีแดงก่ำของทั้งสามหัวมองจ้องมาทำให้ผมเปลี่ยนอารมณ์แทบจะทันทีจากกลั้นขำกลายเป็นจะร้องไห้ เริ่มเห็นความโหดของปีศาจขึ้นมาแล้วเชียว หัวใจจะวาย

"ขอโทษครับ"
ผมกล่าวเสียงเบาก่อนจะโค้งตัวให้เล็กน้อย เขาส่งเสียงหึเบาๆ เหมือนเด็กโดนขัดใจก้อนที่ร่างนั้นจะขยับลุกขึ้นและเดินมาหยุดตรงหน้าวงเวทย์ป้องกันของผม จะทำอะไรกันหรือเปล่า และไม่มีใครรู้ว่าวงเวทย์นี้มีความสามารถในการป้องกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นหรือเปล่า ยังไม่อยากตายนะเว้ย ยังไม่รู้ความรู้สึกจริงๆ ของเซนเลย

"เจ้าอัญเชิญเรามามีความปรารถนาในสิ่งใด โปรดเอ่ยขอ"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังกี่ครั้งก็รู้สึกคุ้นเคยแต่นึกไม่ออกสักทีว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหนก่อนหน้านี้ ผมชะงักไปเล็กน้อยเพราะเหตุผลที่อัญเชิญปีศาจออกมาจริงๆ ก็คืออยากเห็นเขาแบบตัวเป็นๆ ว่าจะมีรูปร่างเป็นแบบไหนและได้คำตอบแล้วว่าหน้าตาเหมือนในหนังสือเป๊ะๆ คือไม่ได้ต้องการแบบนี้เว้ย น่ากลัวเกินไป!

"คือว่า..."
ความฉิบหายมาเยือนและไม่มีท่าทีว่าจะกลับออกไปง่ายๆ ในเมื่อสมองกลวงโบ๋ไร้ซึ่งความคิดใดๆ ทั้งสิ้น พยายามเค้นความคิดอย่างหนักจนหัวแทบระเบิดก็คิดไม่ออกสักที ตายแน่ๆ ยิ่งโดยดวงตาสีแดงกดดันยิ่งตันกันไปใหญ่ กลัวนะเว้ยอย่าขยับเข้ามาใกล้นักได้ไหม... แต่กลิ่นกายของราชาอัสโมดายมันเป็นกลิ่นมินท์ที่ผมหลงใหล แว๊บหนึ่งแอบคิดว่าเขาคือเซนหรือเปล่า แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก เพื่อนสนิทก็แค่มนุษย์รูปหล่อคนหนึ่งเท่านั้นเอง

"จะคืออีกนานแค่ไหน เราจะได้หลับรอ"
อีกแล้ว ขำขันอีกแล้วชีวิต แล้วแบบนี้จะให้กลั้นหัวเราะยังไงไหววะ ทำไม่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนแกล้ง บรรยากาศโคตรเหมือนตอนอยู่กับเซนและอุ่นยังไงไม่รู้ แล้วนี่บารอนจะนอนหมอบอยู่หน้าประตูห้องนอนอีกนานไหมวะ ถ้าเป็นปกติหมาเห็นอะไรที่ดูแปลกประหลาดแบบนี้ต้องเห่าสิ หรือว่าบารอนมองไม่เห็นเขากันนะ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย กว่าจะดึงสติกลับมาสู่โลกปัจจุบันได้ก็ตอนที่โดนเสียงทุ้มนั่นทักขึ้น

"เจ้าเป็นคนคิดไม่ตกหรือ เอาแต่เงียบ"
โดนไปอีกหนึ่งดอก บอกเลยว่ายังกลัวๆ ปีศาจตนนี้อยู่ ถึงจะดูขี้เล่นและเป็นกันเองแค่ไหนแต่รูปลักษณ์ภายนอกกลับดูน่าเกรงขามอย่างมาก แต่ก่อนจะได้ตอบอะไร บารอนที่เอาแต่นิ่งเงียบมานานอยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนและเห่าแบบจะเป็นจะตาย และนั่นก็คือเสียงสุดท้ายที่ได้ยินขณะที่ประคองสติอยู่

ผมตื่นมาอีกครั้งเพราะโดนเสียงพูดคุยของใครบางคนดังขึ้น เปลือกตาขยับเปิดออกอย่างยากลำบากเพราะมันหนักอึ้งไปหมด ความรู้สึกปวดหัวกำลังเล่นงานกันอย่างหนักจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ ทำไมรู้สึกแย่ขนาดนี้วะ

"ตื่นได้สักที"
น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับแรงที่ตบกระทบลงมาบนแก้มเบาๆ หลายๆ ครั้งเหมือนพยายามเรียกสติกัน ผมปรือตามองเจ้าของมือก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้

"มะ มาได้ยังไง"
ผมละล่ำละลักถามเซนที่มองมาด้วยดวงตาดุๆ เขาถอนหายใจแล้วประคองกันให้นั่งพิงหัวเตียงอย่างอ่อนโยน

"เป็นห่วงมึงเลยกลับมาดู... หึ เป็นไงล่ะ เล่นซนจนได้"
เซนหัวเราะหึออกมาแล้วผลักหัวกันไม่แรงมากนัก ผมก้มหน้าลงมองตักตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ในตอนนั้นที่สติดับวูบลงอาจจะเป็นเพราะพิษไข้ที่เริ่มก่อตัวขึ้นก็เป็นได้ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าบนหน้าผากจะมีแผ่นเจลลดไข้แปะอยู่ด้วย

"ก็... ขอโทษ แต่ราชาอัสโมดายดูท่าทางใจดีนะ"
ผมพูดเสียงอ้อมแอ้มไม่กล้ายืนยันหนักแน่นอะไรมากนักเพราะโดนเซนมองด้วยสายตาตำหนิอยู่ตลอดเวลา และผมเพิ่งเห็นว่าอุ่นนั่งตบตีกับบารอนอยู่ปลายเตียง ตัวหนึ่งแยกเขี้ยวขู่ ส่วนอีกคนก็เอาของเล่นแหย่ เจริญจริงๆ คนกับหมาทะเลาะกัน

"ไว้ใจปีศาจขนาดนั้นเลยหรือยังไง"
เขาถามกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้เลยทำให้ผมคลายมือที่กำผ้าปูที่นอนเอาไว้ลง ถามว่าไว้ใจไหม ตอบได้เลยว่าไม่ไว้ใจ แต่ราชาอัสโมดายมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกวางใจและเชื่อว่าเขาจะไม่ทำอันตรายอะไรให้กัน ไม่รู้จะตอบออกไปยังไงให้เซนไม่โมโหเลยเลือกที่จะเงียบแล้วตั้งคำถามขึ้นใหม่ซะเอง

"แต่ว่าก่อนจะเป็นลมกูยังไม่ได้ท่องคาถาเชิญกลับเลย"

"กูจัดการเรียบร้อยแล้ว ควรเป็นห่วงตัวเองก่อนไหม ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้"
เซนว่าก่อนจะดีดหน้าผากกันตรงตำแหน่งที่มีเจลลดไข้แปะไว้ มันไม่ได้เจ็บเลยด้วยซ้ำและรู้ว่าเขาก็ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายกัน ผมยู่ปากเข้าหากันเล็กน้อยแล้วหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นสายตาตัดพ้อนั่น แค่โดนดุตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวมากพออยู่แล้ว

"อือ บ่นเป็นพ่อเลยนะ"

"เป็นพ่อได้นะ แต่เป็นพ่อทูนหัวได้ปะครับ"
เซนพูดเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุก แต่ผมกลับตกใจแล้วเบิกตากว้าง หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบจะหลุดจากอก อยากจะถามเหลือเกินว่าอยากเป็นพ่อทูนหัวของผมจริงๆ หรือยังไง ทำไมชอบเล่นกับความรู้สึกกันแบบนี้ ส่วนอุ่นชะงักมือที่แกว่งของเล่นไปมาก่อนจะส่งสายตาล้อเลียนมาให้กัน ทำไมดูมีลับลมคมในตลอดวะสองคนนี้ คิดแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว ฮึ่ย

"ถ้าให้เป็นจริงๆ มึงจะเป็นไหมล่ะ เลิกพูดเล่นได้แล้ว"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะไถลตัวลงไปนอนบนเตียงเหมือนเดิมก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ เซนไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอย่างที่ได้คาดเดาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ บารอนตามเจ้านายมันไปติดๆ เลยเหลือแค่อุ่นที่ขยับขึ้นมานั่งข้างๆ กัน

"มึงอย่าไปใส่ใจคำพูดของเซนมากเลย นอนพักเหอะ"
อุ่นเอื้อมมือมาลูบหัวกันอย่างแผ่วเบา ผมรับสัมผัสนั้นเงียบๆ โดยไม่ปัดป้องใดๆ แต่จะให้ทำตามที่ได้ฟังมามันก็ยาก เพราะความหวังที่อยากให้เซนหันมารักกันมีมากเกินไป ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าไม่อาจถอยหลังกลับได้ ถึงจะรู้ตัวว่าอุ่นอาจจะมีใจให้ผมก็ตาม แต่เขาไม่บอกออกมาตรงๆ จะให้แน่ใจเต็มร้อยคงไม่ใช่ บางทีก็คิดว่าเขาอาจเพียงแค่อ่อนโยนกับทุกคนแบบนี้ก็ได้

"ถ้าทำได้ง่ายๆ อย่างที่มึงพูดก็ดีนะอุ่น"
ผมบอกก่อนจะหลับตาลงเพื่อหลีกหนีสายตาเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนสนิท ไม่อยากให้ใครรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนอ่อนแอมากแค่ไหน มืออุ่นๆ ยังคงลูบหัวกันอย่างแผ่วเบาอย่างปลอบประโลม

"สักวันมันจะง่าย เชื่อดิ"

"ขอถามอะไรสักอย่างได้ปะอุ่น"

"ว่ามา"

"เซนเคยมีแฟนปะ หรือว่าเคยรักใครไหม"
ผมถามก่อนจะลืมตาขึ้นมองอีกคนที่ตอนนี้ชะงักมือไป แต่เพียงครู่เดียวก็เริ่มขยับเหมือนเดิม รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อ เขามีเสน่ห์แต่ไม่น่าดึงดูดเท่าเซน

"ไม่เคย เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้รักใคร"
อุ่นตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผมไม่เข้าใจว่าใครกันที่สามารถบังคับหัวใจและความรู้สึกของคนอื่นได้ถึงขนาดนี้ มันแย่นะ... แย่มากๆ ที่อยากทำอะไรแต่กลับโดนห้ามไว้ทั้งๆ ที่เรามีสิทธิ์ ผมเงยหน้ามองคนที่กำลังถือถ้วยข้าวต้มร้อนๆ เข้ามาในห้อง ที่หายไปคือไปเตรียมอาหารให้อย่างนั้นเหรอ ควรดีใจสินะ




มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-11-2016 12:02:51
"ออกไปไกลๆ"
มาถึงก็ไล่อุ่นซะอย่างนั้น แถมยังส่งสายตาดุๆ มาให้กันอีก ผมทำอะไรผิดล่ะ แค่เพื่อนเข้ามาปลอบก็ไม่ได้หรือยังไง ดูท่าทางจะหวงก้าง แต่เหตุผลที่หวงไม่มีใครรู้หรอก

"โห... ใกล้ไม่ได้เลยหรือไงครับคุณชาย"
อุ่นพูดน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะแกล้งก้มหน้าลงมาใกล้กัน เซนวางถ้วยข้าวต้มลงและใช้มือบีบไหล่อุ่นไว้แน่นราวกับย้ำคำสั่งเดิม

"โอย ไปแล้วๆ ขี้หวงจริงนะ"
อุ่นเบ้หน้าก่อนจะปัดมือเซนทิ้งแล้วเดินออกไปจากห้อง ได้ยินเสียงบารอนขู่อีกแล้ว... หนึ่งคนกับหนึ่งตัวอยู่ด้วยกันทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีให้ตายสิ ไม่รู้ว่าเป็นอริกันมาแต่ชาติปางไหน

"ทำไมต้องไล่อุ่นด้วยวะ"
ผมถามด้วยความสงสัยก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นพิงหัวเตียงเพื่อกินอาหารที่เซนอุตส่าห์ยกมาให้กัน เขายักไหล่กวนๆ และไม่ยอมตอบอะไรเหมือนอย่างเคย ถ้าให้นับเรื่องน่าขัดใจที่ไม่ได้คำตอบจากเขาคงเป็นร้อยๆ ครั้งเห็นจะได้

"กินข้าวเถอะ มื้อเช้ารวบมื้อเที่ยงเลยนะ"
เขาว่าก่อนจะยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจับช้อนคนไปมาแล้วตักข้าวเป่าให้กันเรียบร้อย ผมเอื้อมมือจะไปจับช้อนกินเองแต่กลับโดนส่งสายตาดุๆ มาห้ามกันไว้ ตกลงจะให้กินหรือไม่ให้กินกันแน่

"เดี๋ยวป้อน อ้าปากกินก็พอ"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วส่งช้อนมาจ่อปากกัน ผมเหล่มองเซนเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วยอมอ้าปากรับของกินแต่โดยดี ถ้าขืนเถียงกันไปมาคงได้ทะเลาะกันแน่ๆ เพราะยังมีคดีติดตัวเลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

"อร่อยไหม"

"อือ อร่อยดี ซื้อมาจากที่ไหน"
ผมก่อนก่อนจะอ้าปากรับข้าวต้มอีกคำเข้าไป รสชาติดีจนอยากกินต่อเรื่อยๆ เนื้อหมูหอมเครื่องเทศเนื้อเด้งๆ เคี้ยวแล้วนุ่มละมุนในปาก ยอมรับว่าโคตรฟินกับอาหารมื้อนี้ทั้งคนป้อนทั้งรสชาติ

"ไม่ได้ซื้อ กูทำเอง"
เซนยกยิ้มมุมปากก่อนจะยักคิ้วให้กัน ผมถึงกับสำลักจนต้องรีบคว้าแก้วน้ำมาดื่มทันที ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างเซนจะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ และไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาทำเป็น มหัศจรรย์เกินไปปะวะ

"จริงดิ ไม่ได้โกหกแน่เหรอ"
ผมถามย้ำอย่างไม่เชื่อ เซนผลักหัวกันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้ายืนยันไปด้วย ต่อไปคงไม่ต้องพยายามทำอาหารให้กินแล้วก็เจ้าตัวเขาเก่งขนาดนี้นี่นา

"เออ กำลังคิดว่าไม่อยากพยายามทำอาหารแล้วใช่ไหม"
เขาถามก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกระปุกยาพาราเซตามอลมาโยนใส่ตักกัน ผมรีบคว้ามาแล้วเปิดฝาเทมัยออกมาไว้ในมือก่อนจะเก็บกระปุกไว้หัวเตียง

"จะรู้ทันกันเกินไปแล้ว"
ผมบ่นอุบอิบก่อนจะรับข้าวต้มมากินอีกจนหมดถ้วยแล้วกินน้ำกินยาตามลงไปอย่างว่าง่าย เซนยกถ้วยไปเก็บแล้วเดินกลับเข้ามาหากันอีกรอบพร้อมกับเจลลดไข้แผ่นใหม่

"แกะออกมาแล้วติดแผ่นใหม่เข้าไป"
เซนสั่งกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะส่งแผ่นเจลลดไข้ในมือให้กันแล้วเดินไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อุ่นขึ้น ผมทำตามที่เข้าบอกเสร็จเรียบร้อยและไอเป็นการปิดท้ายจนโดนดวงตาสีเทาหันมาจ้องมองกัน... ดูท่าทางอาจจะโดนลากไปโรงพยาบาลหรือคลีนิกเร็วๆ นี้แน่นอน

"ถ้านอนพักแล้วยังไม่ดีขึ้น ต้องไปโรงพยาบาล"
เขาพูดในขณะที่ยืนมองผมอยู่ที่ปลายเตียง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนเป็นเรื่องเครียด ก็แค่ป่วยทำไมต้องดุขนาดนี้ด้วย ไม่เข้าใจเลย

"แค่ไปร้านยาไม่ได้เหรอวะ"
ผมงอแงตามประสาคนป่วย แต่เซนไม่ได้เห็นใจกันเลยสักนิดเพราะเจ้าตัวเหลือบหางตามองกันเท่านั้นก่อนจะเดินไปหยิบ Mac Book ของตัวเองมานั่งทำงานบนเตียงข้างๆ กัน โดยมีผมนอนมองเขาตาแป๋ว คือ... ไม่อยากนอนเพราะไม่ได้เจอเซนมาหลายชั่วโมง

"ทำไมไม่นอน มองกันอยู่ได้"
เขาละสายตาจากหน้าจอมามองกันครู่หนึ่งแล้วกลับไปสนใจมันต่อ ผมกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะตอบคำถามกลับไปอย่างไม่ปิดบัง

"ยังไม่อยากนอน แล้วนี่ไม่ไปทำธุระแล้วเหรอ"

"หึ ไม่ เดี๋ยวมึงซนขึ้นมาอีก"

"โห กูไม่ใช่เด็กแล้วนะเซน"

"ยิ่งกว่าเด็กอีกมึงน่ะ"
ว่ากันแบบนั้นแต่ก็ยังใจดีเอื้อมมือมาลูบหัวกันอย่างเอ็นดู ผมเลือกที่จะเงียบและหลับตาลงก่อนทุกอย่างจะดับวูบเข้าสู่ห้วงนิทราสีดำ

ในความฝันมีหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณทุ่งหญ้าเขียวขจีแสนกว้างใหญ่ สายลมอ่อนโชยพัดอยู่ครู่หนึ่งและนำพาสิ่งกีดขวางออกไปจากสายตา พลันปรากฏภาพเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มผิวสีแทนในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรบนสวรรค์ กลางหลังประดับด้วยปีกสีขาวบริสุทธิ์หกปีก นั่นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวทำให้ผมก้าวย่างอย่างช้าๆ ไปหาเขาผู้นั้น หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นทุกขณะที่ระยะห่างระหว่างเราเหลือน้อยลงทุกทีๆ แต่เมื่อครั้นจะถึงตัวเขากลับมีดอกกุหลาบสีแดงเต็มไปด้วยหนามผุดขึ้นมาจากผืนดินกั้นเราออกจากกัน ผมถอยหลังด้วยความตกใจไปหลายก้าว ส่วนเขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

"คุณเป็นใครเหรอ"
ผมถามออกไปน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังถามตัวเอง ดวงตากลมจ้องมองดวงจาสีทองพิสุทธิ์นั่นอย่างหลงใหล เขาคลี่ยิ้มแต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา แขนเรียวยาวยกขึ้นโบกไปในอากาศ แค่เพียงชั่วพริบตาบรรยากาศรอบข้างกลับหนักอึ้ง และภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากท้องฟ้าสีสดใส ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตากลายเป็น พื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยสีแดงและสีดำสลับกันไป อุณหภูมิร้อนจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามผิวหนัง ราวกับกำลังหลอมละลายร่างกายนี้ ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นขุมนรก

"ที่นี่... นรกงั้นเหรอ"
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว อากาศที่ใช้หายใจนั้นไม่ได้สะอาดเลยสักนิด ยิ่งนานไปยิ่งรู้สึกอึดอัดแทบจะตายตรงนี้ แต่คนตรงหน้ากลับยื่นมือมาช่วยกัน ผมมองเข้าด้วยดวงตาเบิกกว้างเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาสีแดงก่ำ ปีกด้านหลังกลายเป็นสีดำทะมึน เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูอลังการแต่กลับน้อยชิ้นจนน่าใจหาย อกเปลือยเปล่ามีโซ่ทองพาดทับซ้ายขวา กางเกงสีขาวบริสุทธิ์มีทรงพองๆ ประดับด้วยอัญมณีหรูหรา ผมสีดำแวววาวถูกถักเปียยาวทิ้งไว้ด้านหลังส่วนด้านหน้าหากมองผิวเผินจะคล้ายทรงผมอันเดอร์คัตทั่วไป ใบหูประดับไปด้วยห่วงมากมาย โดยรวมแล้วช่างมีเสน่ห์เหลือล้นอย่างจะทานทน

ผมจับมือของเขาไว้และได้รู้ตอนนั้นว่า... มันร้อนยิ่งกว่าถูกไฟเผาไหม้ซะอีก แต่ไม่ลำบากที่จะเกาะกุมมือนั้นสักเท่าไหร่

"นามของข้าคือ... อัสโมดาย"

แล้วความฝันทุกอย่างก็จางสลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วผมไม่สามารถจำอะไรได้เลย




------------------------------------------------


เล่นซนจนได้เรื่องเลยไหมล่ะ.... โดนเซนดุเลย
แต่เซนมาได้ทันเวลาได้ยังไงหนอ หึหึ

อัสโมดายหล่อนะ เผลอๆหล่อกว่าเซนอีก มีความแบดสุดๆ อยากได้ #เดี๋ยวๆ

ปล. อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-11-2016 12:09:25
 :L1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 04-11-2016 12:19:14
แอบสงสารความสัมพันธ์ของเซนกับแอสโมดาย แอบรู้สึกว่าเป็นตัวตนเดียวกัน
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 04-11-2016 15:19:00
บารอนไม่โวยวายเพราะรู้จักอัสโมดายหรือเปล่า
คืออาการมันไม่ใช่ความหวาดกลัวแต่เหมือนหมอบดูเจ้าของเล่นอะไรกันเฉยๆ เลยยังคิดว่าเซน=อัสโมดาย
แต่ก็มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้คิดว่า หรือจะไม่ใช่ เดาว่าวันที่เซนอายุ20คงจะได้คำตอบ ใช่ปะคะ^^  :hao3:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 04-11-2016 19:59:41
เซน เป็นอัสโมดายเถอะ เค้าขอ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-11-2016 21:38:36
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: QmanBaaa ที่ 05-11-2016 12:13:28
โอย ลุ้นมากๆ เลยค่ะ
อ่านเพลิน สนุกมากค่ะ
ติดตามอย่างใจจดใจจ่อ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-11-2016 12:57:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 7 -P.2- (04.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: keekie ที่ 06-11-2016 12:59:28
thnak a lot
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-11-2016 12:05:19
ตำราบทที่ 8


‘I dream of you’
ผมฝันถึงคุณ



ท้องฟ้าสลัวยามตีห้าเกือบหกโมงเช้าทำให้ผมขยี้ตาเล็กน้อยหลังจากหลับอย่างยาวนานมาเกือบหกชั่วโมง สายตาเหลือบไปเห็นคนที่นอนอยู่ข้างกันตลอดทั้งคืน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าแทบจะทันที ยามหลับเซนดูเป็นเด็กหนุ่มวัยย่างยี่สิบปีธรรมดาทั่วไปไร้ซึ่งความเย็นชา หรือขี้แกล้ง จากที่เคยคิดหักห้ามตัวเองไม่ให้ถลำลึก สุดท้ายไม่อาจทำได้และปล่อยใจจนกลายเป็นความชอบมากขึ้นทุกทีๆ

"มองกันขนาดนั้น จูบเลยไหม"
อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นจนผมผงะถอยหลังทันที ใครจะคิดว่าคนที่นอนหายใจสม่ำเสมอจะรู้สึกตัวแล้ว ดวงตาสีเทายังปิดสนิทอยู่เลยทำไมถึงสัมผัสได้ไวขนาดนั้น

"บ้า ใครเขาอยากจูบมึง"
ผมพูดเสียงเบาหวิวและพลิกตัวนอนหงายมองเพดานแทนในขณะที่เซนเปิดดวงตาสีเทาขึ้นมองกัน ยอมรับว่าบรรยากาศตอนนี้ชวนใจหวิวใช่เล่น ถึงจะมองอะไรไม่ชัดแต่เสียงหัวใจกลับดังชัดเจน แพ้เขาทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นอะไร ให้ตายเถอะ

"ก็มึงไม่ใช่หรือไง"
เซนขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วแกล้งพาดแขนยาวลงบนหน้าท้อง ผมขยับตัวหนีแต่ก็โดนเขาใช้แรงรั้งเอาไว้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะอ้อมกอดนั้นก็อุ่นดี ใจง่ายจังเนอะ

"โมเมฉิบหาย หลงตัวเองมากว่างั้น"
ผมเบ้ปากใส่เขาทั้งๆ ที่ยังคงมองเพดานอยู่แบบนั้น ใครจะกล้าหันหน้าไปหาล่ะ ในเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดคอกัน มันใกล้จนผมเผลอหยุดหายใจเลยทีเดียว

"ไม่เคยหลงตัวเอง มีแต่คนอื่นมาหลง"
พูดได้อย่างหน้าตาเฉยแถมยังกดจมูกลงบนซอกคอกันก่อนจะผละออกไปแล้วเขาก็ลงจากเตียงไปซะเฉยๆ ปล่อยให้ผมนอนแก้มร้อนใจเค้นตึกตักอยู่เพียงลำพัง บ้าเอ้ย อีกแล้วนะ วันไหนทนไม่ไหวจับปล้ำแม่ง

ผมลุกจากเตียงแล้วขยี้ผมจนยุ่งเหยิงตั้งแต่วันที่ป่วยจนถึงวันนี้ล่วงเลยมาสามวันแล้วที่ไม่ได้สระผม ใบหน้าเหยเกอย่างหนักเมื่อมือเปื้อนน้ำมันจากบนหัว สกปรกและเน่าแสนเน่าแต่เซนไม่บ่นสักคำได้ยังไงกัน พอคิดได้แบบนั้นก็หลุดยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว จนโดนคนที่ยืนพิงกรอบประตูทักขึ้นเสียงทะเล้น

"นั่งยิ้มกับลมหรือไง ไปอาบน้ำสระผมได้แล้ว โคตรเหม็นเลย"
ผมหุบยิ้มฉับ เพิ่งคิดว่าเซนน่ารักไปเมื่อครู่เอง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าปีศาจร้ายบดบังซะอย่างนั้น ดวงตาสีเทาฉายแววเจ้าเล่ห์และยักคิ้วกวนให้กันก่อนจะเดินหนีไปเฉยๆ อะไรของเขาวะไปๆ มาๆ หึ!

"ไอ้เซนบ้า!"
ผมตะโกนไล่หลังมันไปอย่างฉุนเฉียวแล้วลุกขึ้นเดินโงนเงนไปตามทางเพราะยังมีอาการเวียนหัวเล็กน้อย บารอนรีบวิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาอย่างกับไม่เจอกันมาเป็นชาติ ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวัน จริงๆ เกือบล้มไปหลายครั้งแต่พยายามทรงตัวและหาจังหวะนั่งยองๆ เพื่อเล่นกับมัน

"อ้อนอะไรตั้งแต่เช้าวะบารอน"
ผมเอื้อมมือไปขยี้ขนมันอย่างสนุกสนานแต่กลับโดนคนที่เดินเข้ามายืนค้ำหัวกันส่งสายตาดุๆ มาให้ แถมยังโบกมือไล่บารอนออกไปจากห้องนอนด้วย ดูมันจะเชื่อฟังเซนมากแม้เขาจะไม่พูดอะไรออกมา คนๆ นี้ช่างมีต่ออิทธิพลต่อทุกสรรพสิ่งในโลกจริงๆ

"อะไรวะ"
ผมบ่นพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ใช้ดวงตากลมมองเขาเขม็งก่อนจะลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากัน เซนยกมือขึ้นมาตบหัวกันเบาๆ เหมือนการลงโทษ เจ็บนะเว้ย รังแกคนยังไม่หายป่วยได้ยังไงกัน เพราะได้แต่โวยวายในใจเลยแสดงออกแค่การเบ้หน้าใส่เขา

"ยังไม่หายป่วย เดี๋ยวขนบารอนก็ทำมึงจามอีก"
ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบรับว่าเข้าใจ ที่แท้ก็เป็นหาวงกันนั่นเอง นึกว่าหวงหมาไม่ให้เล่นด้วยซะอีก ก่อนเขาจะเดินออกไปเตรียมอาหารเช้าต่อก็สั่งให้ผมไปอาบน้ำสระผมได้แล้ว ถ้าไข้ยังไม่ลดอย่าหวังจะได้แตะต้องน้ำอย่างตอนนี้ ก่อนหน้าโดนบังคับให้นอนนิ่งๆ แล้วจับเช็ดตัวอยู่ตลอด... เปลือยต่อหน้าคนที่ชอบคิดว่าผมรู้สึกยังไงล่ะ โคตรเขินเลย พอคิดถึงก็หน้าร้อนเห่อขึ้นมาจนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อก่อนจะตรงไปหยิบผ้าขนหนูและเข้าห้องน้ำไป

กลิ่นหอมของอาหารเช้าง่ายๆ อย่างข้าวต้มทะเลพร้อมเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะอาหารขนาดกลาง พ่อครัวหัวป่าประจำห้องกำลังถอดผ้ากันเปื้อนสีดำสนิทแขวนไว้ที่เดิมแล้วเดินดุ่มๆ มาดึงแขนผมให้นั่งลง ส่วนตัวเองกลับเดินผ่านไปซะเฉยๆ อะไรของเขาวะนั่น

"เดี๋ยวๆ จะไปไหน"
ผมรั้งแขนแกร่งนั่นเอาไว้แล้วมองด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ เซนเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าพยายามสื่อว่าตัวเขายังอยู่ในชุดนอนสีน้ำเงินกรมท่า

"อาบน้ำไง มึงก็ไปเป่าผมด้วย เดี๋ยวไข้จะกลับ"
เขาเฉลยได้ตรงกับที่ผมคิดไว้ มือเรียวปล่อยแขนนั่นก่อนพยักหน้าหงึกหงักรับคำและปล่อยให้อีกคนเดินหายเข้าไปในห้องนอน

ผมลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่โซนแต่งตัวภายในห้องนอนแล้วหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเสียบปลั๊กและนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง กระจกบานใหญ่ฉายภาพเด็กหนุ่มหน้าตาซีดเซียว เส้นผมสีดำฟูฟ่องเพราะผ่านการเช็ดหมาดๆ มาแล้ว ปากบางที่ปกติจะเป็นสีชมพูอ่อนตอนนี้กลับขาวตามอาการป่วยซะอย่างนั้น ดูรวมๆ แล้วเหมือนศพเดินได้

นั่งพิจารณาตัวเองได้ไม่นานก่อนจะปลงตกแล้วหยิบไดร์เป่าผมเปิดสวิตซ์ให้ทำงาน ลมร้อนๆ เป่าลงบนเส้นผมทำให้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา เมื่อมันแห้งเรียบร้อยก็จัดการเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่เข้าทางและเดินไปนั่งรอเจ้าของห้องที่โต๊ะอาหารตามเดิม ไม่นานหลังจากนั้นร่างสูงเดินออกจากห้องน้ำด้วยชุดลำลองสบายๆ เสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วน เขานั่งลงตรงข้ามกันก่อนจะส่งสายตาให้กัน

"ทำไมไม่กินล่ะ"
เขาถามในขณะที่ผมยังนั่งมองถ้วยข้าวต้มตรงหน้า ก็เซนไม่ตักของตัวเองมากินด้วยกันล่ะวะ ก็รอมันอยู่เนี่ย

"รอมึงไง ไม่กินด้วยกันเหรอ"

"ไม่ แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอ"
เขาว่าก่อนจะลุกขึ้นไปทำตามที่ได้บอกไว้ เครื่องชงกาแฟขนาดเล็กเริ่มทำงาน ควันสีขาวพวยพลุ่งออกมาทำให้อุณหภูมิใกล้ๆ สูงขึ้นเล็กน้อย กลิ่นของกาแฟคั่วบดคุณภาพดีลอยวนไปในอากาศเมื่อน้ำร้อนตกกระทบมัน น้ำกาแฟไหลเอื่อยลงในแก้วขนาดเล็ก ผมคิดว่ารสชาติมันคงขมน่าดูเชียวล่ะ ก็เอสเพรสโซ่นี่นะ

"กินแค่นั้นจะอิ่มเหรอ"
ผมถามในขณะที่เขากลับมานั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมแก้วเอสเพรสโซ่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นในมือ ดวงตาสีเทาเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะเมินแล้วเลื่อนแก้วในมือจรดริมฝีปาก ลมเบาๆ ทำให้น้ำสีเข้มกระเพื่อม ไม่นานนักเขาก็ดื่มมันเข้าไปแล้วตามมาด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างพอใจ สุดท้ายผมก็ไม่ได้คำตอบอะไร

ผมลงมือตักข้าวต้มตรงหน้าขึ้นมากินแบบเงียบๆ ดวงตากลมก็คอบเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่หยิบติดมาด้วยเป็นระยะๆ เพราะว่านัดกับอุ่นให้มารับไปห้างสรรพสินค้า จะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เซนน่ะเลยชวนเจ้าตัวไปไม่ได้

"หกเลอะเทอะแล้ว"
เซนเอื้อมมือมาตีกันเบาๆ ทำให้ผมสะดุ้งและหันขวับไปมองทันที เขาพยักพเยิดหน้าไปข้างๆ ถ้วยข้าวต้มพอมองตามไปพบว่ามันหกเลอะเทอะ เพราะมัวแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์เลยไม่ทันระวัง ผมยิ้มแหย่ส่งไปให้ก่อนจะวางช้อนในมือลงแล้วเอื้อมหยิบกระดาษทิชชู่มาทำความสะอาด

"มัวแต่จ้องโทรศัพท์ นัดใครเอาไว้หรือไง"
ถามเหมือนรู้ทันแถมยังเอนหลังพิงพนักด้วยท่วงท่าสง่างามมองกันอีก ผมทำเพียงแค่ไหวไหล่และไม่ยอมตอบคำถามของเขา ถ้าบอกว่านัดอุ่นไว้ไม่วายโดนซักถามใหญ่โต เผลอๆ อาจจะโดนตัดพ้อประมาณว่า 'อยากไปไหนทำไมไม่บอกคนใกล้ตัวก่อนล่ะ' โธ่... ไม่อยากจะเชื่อว่าคนเย็นชาจะน้อยใจเป็นกับเขาด้วย

Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ผมรีบวางช้อนแล้วตะครุบมันทันที เมื่อปลายสายบอกว่ามาถึงแล้วเลยรีบกระเด้งตัวลุกออกจากเก้าอี้และโบกมือลาเจ้าของห้องอย่างรีบร้อน วิ่งไปหยิบกระเป๋าเงินได้ก็รีบเผ่นไปใส่รองเท้าออกจากห้องทันที ได้ยินเสียงโวยวายไล่หลังมาอย่างเกรี้ยวกราด แต่เอาไว้ค่อยเคลียร์ก็แล้วกัน

ตอนนี้ผมนั่งหอบตัวโยนอยู่ในรถคันหรูของอุ่น ดวงตาคมหันมองกันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ กับสภาพตอนนี้ เสื้อตัวบางสีขาวชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะรีบวิ่งมาด้วยความเร็ว แถมผมยังชี้ฟูไม่เป็นทรงอีกด้วย

"รีบอะไรขนาดนั้นวะวิน"
อุ่นว่าก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแก้มกันอย่างหยอกล้อ ผมหันขวับไปจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องแล้วปัดมือที่แสนยุ่มย่ามนั้นทิ้ง คนเหนื่อยจะขาดใจตายยังจะหัวเราะใส่อีก เป็นบ้าหรือไง

"หึ ก็เซนอะดิ โวยวายว่ากูแอบนัดใครแล้วไม่ยอมบอก กลับถึงห้องเมื่อไหร่โดนทำโทษแน่"
ผมพูดไปก็หอบไป กว่าจะปรับลมหายใจเป็นปกติได้ก็ตอนที่รถเคลื่อนไปแล้วเกือบสิบนาที อุ่นเลิกคิ้วมองกันก่อนที่มันจะขมวดเป็นปมราวกับเครียดอะไร

"ไม่ได้บอกเซนเหรอว่านัดกูไว้"
อุ่นถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความกังวล ผมพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ไม่โทรมาตามว่ะ คงรอดแล้วล่ะ

"หาเรื่องให้กูแล้วไหมละครับเทวิน"
ผมกำลังจะถามว่าตัวเองไปหาเรื่องอะไรมาให้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูกลับดังขึ้นก่อน เจ้าของหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาดูก่อนจะเบ้ปากแล้วยื่นมันมาตรงหน้าผม และเมื่อสายตาเห็นรายชื่อบุคคลโทรเข้ามาถึงกับอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะทำยังไง ฉิบหายแล้วไหมล่ะ เซนโทรมาหาอุ่น!

"มึงรับสายแทนกูเลยนะวิน กูยังไม่อยากถูกบ่นจนหูชา"
อุ่นทำหน้าอยากตายเต็มทน ส่วนผมได้แต่มองหน้าจอที่สว่างวาบนั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ มือไม้สั่นยิ่งกว่าเจ้าเข้าซะอีก ถ้ารับสายไม่เท่ากับว่าการเซอร์ไพร์สพังไปด้วยเหรอวะ

"แต่ว่า..."
ผมยังลังเล แต่อุ่นกลับส่งสายตาดุๆ มาให้กัน

"ถ้าสายตัดก่อนมึงตายแน่"
คำขู่ของเขาได้ผลเพราะผมรีบเลื่อนเครื่องหมายสีเขียวบนหน้าจอทันทีแล้วแนบมันเข้าที่ใบหูด้านขวาเพื่อให้คนข้างๆ สามารถได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูดมาด้วย

"ฮะ ฮัลโหล"
ผมกรอกน้ำเสียงสั่นๆ ลงไป หัวใจเต้นแทบจะไม่เป็นส่ำเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจแรงๆ จากปลายสาย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโล่งใจหรือเตรียมจะด่ากันแน่

'ทำไมไม่บอกดีๆ ว่าไปกับอุ่น ต้องให้หงุดหงิดอยู่เรื่อย'
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น มันไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวหรือโมโหเลยสักนิด เหมือนเขาโล่งใจมากกว่าที่ตามหาตัวผมเจอ อุ่นมองกันก่อนจะยักคิ้วกวนส่งมาให้ เจ้าตัวคงรู้อยู่แล้วว่าเซนโทรมาตามหาผมแน่ๆ เลยให้รับสายแทนแบบพอเหมาะพอเจาะ

"ก็... ขอโทษ"
ไม่มีเหตุผลอะไรจะแก้ตัวเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาขอโทษไป แต่ดูเหมือนปลายสายไม่พอใจสักเท่าไหร่ เพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึดังลอดออกมาก่อนประโยคต่อมาจะดังขึ้น

'ไม่อยากได้คำขอโทษ อยากรู้ว่าทำไมต้องนัดอุ่น'
ผมเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำถามนั้น มันตอบยากที่สุดในชีวิตของคนที่คิดจะเซอร์ไพร์สวันเกิด เงียบไปนานนับนาทีปลายสายเลยพูดขึ้นมาอีกครั้งและนั่นทำให้ผมต้องเบะปากเพราะอยากร้องไห้จริงๆ

'เงียบทำไม กูไม่สำคัญพอใช่ไหมถึงไม่ยอมบอก'
โดนคำถามนี้เข้าไปถึงกับจุกจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่อุ่นที่ได้ยินแค่เบาๆ ยังถึงกับสำลักอากาศ ความฉิบหายกำลังคุกคามความรู้สึกของผมอยากหนัก จากเรื่องเซอร์ไพร์สกลายเป็นเรื่องดราม่าไปได้ยังไงกันวะ

"ไม่ใช่ๆ แค่อยากไปซื้อของขวัญวันเกิดเซอร์ไพร์สมึงเฉยๆ เอง"
สุดท้ายก็ต้องบอกความจริงออกไปอย่างหมดเปลือก อุ่นมองหน้ากันแล้วคลี่ยิ้มบางออกมา มือเรียวเอื้อมมาโคลงหัวผมเพื่อปลอบใจ แผนที่อุตส่าห์วางไว้พังทลายเพราะน้ำมือเจ้าของวันเกิดซะเอง มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ เฮ้อ

'ทำตัวน่ารักเกินไปไหมครับเทวิน'
น้ำเสียงทุ้มนุ่มตามแบบฉบับเซนถูกส่งมาตามสายชวนให้หัวใจกระตุกเล่น ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็นหลังจากได้รับฟังความจริงไป แต่ผมนี่สิวางตัวไม่ถูกจนเผลอเล่นมุกควายๆ ออกไป

"ถ้ากูน่ารัก ทำไมมึงไม่รักกูสักทีวะ"
กว่าจะรู้ตัวว่าทำเรื่องดราม่าลงไปก็ตอนที่เกิดเดตแอร์ทั้งในสายและในรถ ผมอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายซะเดี๋ยวนี้เพราะทำให้บรรยากาศที่กำลังดีขึ้นกลับหม่นลงโดยไม่ตั้งใจ ขอโทษจากหัวใจจริงๆ ว่ะทุกคน

"เอ่อ... ล้อเล่นนะ อย่าเงียบดิวะ"
ผมหันไปมองคนข้างตัวและกลับมามองตักตัวเอง ได้ยินเสียงอุ่นถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ไม่กล้าถามออกไปว่าเป็นอะไร ส่วนคนในสายตอบกลับมาด้วยเสียงกุกกักๆ

'จะกลับมากี่โมง'

"เอ่อ... คงไม่เกินบ่ายสามอะ ทำไมเหรอ"
ผมถามกลับไปก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังติดไฟแดงและอุ่นกำลังมองกันอยู่

'จะไปรับ'

"เฮ้ย เดี๋ยวให้อุ่นไปส่งไง"

'ไม่ จะไปรับ'

"ทำไมดื้อวะ จะมาให้เสียเวลาทำไม"

'เรื่องของกู'

"เออ ตามใจมึงเลย จะทำอะไรก็ทำ"
หมดปัญญาที่จะเถียงเซนโหมดเอาแต่ใจเลยทำได้แค่บอกชื่อห้างกับเขาก่อนจะวางสายไป แล้วไอ้ของขวัญที่จะซื้อให้สำหรับวันเกิดเขาในวันพรุ่งนี้ไม่ต้องฝากอุ่นเอาไว้หรือยังไงวะ แค่คิดก็รู้สึกถึงความวุ่นวายขึ้นมาแล้ว

"เซนขี้หวงชะมัด"
อุ่นบ่นขณะที่เหยียบคันเร่งออกรถทันทีที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน แต่ผมได้ยินไม่ถนัดว่าเขาพูดอะไรเลยถามย้ำอีกครั้ง

"มึงว่าอะไรนะอุ่น"

"เปล่าๆ ตกลงเซนจะมารับมึงเหรอ"
อุ่นถามกลับมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างไม่ปิดบัง เห็นแล้วก็คิดถึงมังกรของอัสโมดายชะมัดเหมือนกันอย่างกับแกะ อันตรายแต่แฝงไว้ด้วยความขี้เล่น

"เออ อะไรของเขาวะ ทำเหมือนกูเป็นเด็กไปได้"
ผมบ่นงุ้งงิ้งพลางกอดอกตัวเองเอาไว้แน่น ใบหน้างอง้ำเพราะโดนขัดใจ แผนพังไม่พอยังโดนตามติดอีก อะไรของเขากันนะ

"กลัวมึงมาตกหลุมรักกูมั้ง"
อุ่นพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่ผมนี่สิไม่ขำด้วย เพราะสังเกตได้ว่าดวงตาคมคู่นั้นหมองลง ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ๆ อุ่นอาจจะชอบเซนหรือไม่ก็ผมอย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว

"ตกหลุมรักมึงก็บ้าแล้ว"
ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปผลักหัวคนที่เอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่แบบนั้นราวกับเป็นเรื่องน่าขำ แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็เงียบสนิทเมื่อเราจอดรถที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง คิดว่าบทสนทนาคงจบลงแค่นั้น แต่ไม่ใช่ ผมคิดผิดถนัด

"ถ้ากูบอกว่ากูชอบมึงจะเชื่อไหม"
น้ำเสียงของอุ่นจริงจังจนผมเผลอหัวใจกระตุก กำลังจะเอื้อมมือตบหัวมันอยู่แล้วเชียวว่าอย่าแกล้งกัน แต่สายตานั้นกลับบอกว่าไม่ได้โกหก ที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

"ไม่สนุกนะเว้ยอุ่น"
ผมบอกเสียงเครียดก่อนจะเบนหน้าหนี อุ่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือหนามาโคลงหัวกัน สรุปนี่แกล้งกันเนียนเกินไปหรือยังไงกันแน่ เริ่มสับสนแล้ว

"เรื่องจริง กูชอบมึงนะวิน"
สะอึกไปกับคำพูดของอุ่นอีกครั้ง ชอบอย่างนั้นเหรอ ชอบแบบไหนกันล่ะ ผมเชื่อว่าทั้งเขาและเซนไม่เข้าใจความหมายคำว่ารักและคำว่าชอบในแบบต่างๆ สักเท่าไหร่ ก็ในเมื่อทั้งคู่ดูเป็นคนไม่สนใจโลกและไม่เคยแสดงความรู้สึกรักใคร่ใครออกมาแบบจริงๆ จังๆ สักที สมแล้วที่เป็นเพื่อนรักกัน นิสัยแบบเดียวกันไม่มีผิด

"ชอบแบบไหนวะ"
ผมถามกลับไปและคราวนี้กล้าที่จะสบตากัน อุ่นเอียงคอเล็กน้อยราวกับสงสัยคำถามที่ได้ยิน และจริงอย่างที่ผมคิดเพราะประโยคที่ได้ฟังถัดมา

"ชอบมีหลายแบบเหรอวะ"
นั่นไง... ฉิบหายแล้ว นี่มีเพื่อนหรือมีลูกกันแน่ที่ผมต้องมานั่งอธิบายความชอบในลักษณะต่างๆ ให้มันฟังเนี่ย ปวดหัวเว้ย น่าจะเอาอุ่นกับเซนไปมัดรวมกันแล้วส่งกลับไปเกิดใหม่จริงๆ

"เออ มีเยอะ ชอบแบบเพื่อน แบบพี่น้อง แบบคนรัก"

"อ้อ... ทำไมยากจังวะ ช่างมันเหอะ แต่กูไม่อยากได้มึงเป็นเมียแน่ๆ อะ"
มันว่าก่อนจะหนีลงจากรถ ผมรีบมุดออกตามมาอย่างรวดเร็วแล้วเดินไปเขกกบาลมันด้วยความหมั่นไส้ พูดอะไรช่วยเห็นใจกันหน่อย ผมแย่ขนาดที่ไม่มีใครอยากเอาทำเมีย... แต่เดี๋ยวนะ อะไรคือเมียวะ!!

"ไอ้เชี่ยอุ่น!!"
ผมตะโกนตามหลังไอ้อุ่นไปเพราะเจ้าตัวมันเดินหนีไปนู้นแล้ว คงรู้ตัวว่าจะโดนเตะเลยออกตัวเร็ว ขนาดล็อกรถยังใช้รีโมทจากระยะไกลเลย น่าหมั่นไส้เว้ย

สุดท้ายผมก็ได้เตะก้นมันไปหนึ่งครั้งก่อนจะเดินเคียงข้างกันไปที่แผนกขายนาฬิกา ตั้งใจจะแงะกระปุกหมูซื้อให้เซนเป็นของขวัญวันเกิด แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขาชอบใส่แบบไหน สไตล์ไหนเลยให้อุ่นมาช่วยเลือก

"เซนชอบแบบไหนวะอุ่น"
ดวงตากลมจ้องมองนาฬิกาข้อมือในตู้กระจกไปเรื่อย แต่ละเรือนราคาก็แพงเอาเรื่องอยู่เพราะอยู่ในโซนนาฬิกาสายเหล็ก ถ้าซื้อไปให้คงโดนด่ายับ... ราคาครึ่งหมื่นทั้งนั้น

"นาฬิกาพก"

"ห๊ะ มึงว่าอะไรนะอุ่น"

"เซนชอบนาฬิกาพก มึงเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ"
ผมแทบจะหงายหลังลงหน้าตู้โชว์นาฬิกา ไม่เคยรู้เลยว่าเซนจะชอบพวกนาฬิกาพกอะไรแบบนั้น เพราะไม่เคยเห็นเขาใส่นาฬิกาข้อมือเลยอยากซื้อให้ แต่เรื่องกลับกลายเป็นแบบนี้ควรเลิกล้มความตั้งใจจริงๆ

"คิดไม่ออกว่ะ"
ผมกับอุ่นเดินออกจากโซนขายนาฬิกาอย่างเรื่อยเปื่อย แต่ดูท่าทางอุ่นจะมีคำตอบสำหรับเรื่องที่ผมอยากรู้อยู่แล้ว แต่กั๊กไว้เพื่อจะให้ถาม... ทำไมเจ้าเล่ห์ได้ถึงขนาดนี้นะคนเรา

"มึงช่วยคิดหน่อย"
ยอมตกหลุมพรางของเพื่อนสนิทอีกสักครั้งคงไม่ทำให้ชีวิตพังล่ะมั้ง

"ไม่ต้องให้อะไรเซนหรอก แค่ตัวมึงก็พอ"

"อะ ไอ้... !!"
พูดได้แค่นั้นก่อนจะรู้สึกว่าหน้าตัวเองเห่อร้อนอย่างหนัก ไม่รู้ทำไมต้องเขินกับคำพูดล้อเล่นของไอ้อุ่นจนตัวจะระเบิดแบบนี้ หัวใจเต้นแรงราวกับโดนเจ้าตัวมาบอกความต้องการข้างหูซะเอง โอย จะตายแล้ว บ้าเอ้ย ผมทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ถูแก้มตัวเองไปมา ถูจนเจ็บไปหมดแล้ว ฮือ

"เฮ้ย จะถูทำไมวะแดงหมดแล้ว"
อุ่นร้องอย่างตกใจแล้วรีบดึงมือของผมไปเกาะกุมไว้แน่น ไม่กล้าสะบัดออกไม่กล้ามองหน้าเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้เขาลากไปตามใจชอบจนหยุดอยู่หน้าร้านขายน้ำหอมแบรนด์หนึ่ง ผมช้อนตามองเพื่อนสนิทด้วยความฉงนว่าทำไมถึงพากันมาที่นี่ และคำตอบที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มและการกระตุกมือเบาๆ เพื่อให้เดินต่อ

"เดี๋ยวๆ จะพาไปไหน"
ผมร้องถามแต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร อุ่นหันมายิ้มให้กันอีกครั้งด้วยรอยยิ้มละมุนจนสาวๆ พนักงานรอบด้านต่างมองตาเป็นมัน บางคนถึงกับแอบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บรูปกันเลยทีเดียว หมั่นไส้ว่ะ

"เลือกน้ำหอม"

"ให้ใคร"

"ให้มึง"

"เฮ้ย ให้กูทำไม กูไม่ใช้นะ"

"มึงเลือกกลิ่นที่ตัวเองชอบแล้วฉีด หลังจากนั้นก็ผูกโบว์ตัวเองให้เซน เป็นอันจบพิธี"

"ตลก!!"

สุดท้ายผมก็ได้กระเป๋าตังค์หนังมาหนึ่งใบราคาไม่ถูกไม่แพงจนเกินไปพอจ่ายไหว เซนมารับผมกลับตอนประมาณเที่ยงตรงและพาไปกินข้าวต่อโดยทิ้งอุ่นเอาไว้ที่ห้างสรรพสินค้าอย่างไม่ใยดี เชื่อว่าผมต้องเลี้ยงขนมอุ่นเป็นการไถ่โทษนิสัยเสียของเซนแล้วล่ะ เฮ้อ แล้วรู้อะไรไหม ของขวัญที่จะทำเซอร์ไพร์สผมรีบจับมันยัดลงถุงขนมเค้กที่ซื้อติดมือมาด้วยแทบจะทันที กลัวโดนจับได้ว่าซื้ออะไรมาให้ ลำบากลำบนจริงๆ




มีต่อน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-11-2016 12:05:56
"ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ"
ผมถามทำลายความเงียบภายในรถ เพราะตั้งแต่เจอหน้ากันที่ห้างยันตอนนี้เซนยังไม่ปริปากพูดสักคำ ทำเหมือนกับโกรธกันมาเป็นชาติอย่างนั้นล่ะ แต่มีหรือที่ผมจะทนรับความเฉยชาของเขาได้ เป็นฝ่ายอยู่ไม่สุขซะเองอย่างที่เห็น

"จะให้พูดอะไรล่ะ"
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นโดยที่ดวงตาสีเทาไม่ได้เหลือบมองกันแม้แต่นิดเดียวทั้งๆ ที่รถกำลังติดไฟแดง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเซนยังไม่หายโกรธเรื่องที่ผมหนีออกมากับอุ่น... ต้องง้อยังไงล่ะคราวนี้

"ยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอวะ"

"เออ"
ตอบตรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อมองใบหน้าด้านข้างที่แสนเฉยชานั่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเจ็บปวดขนาดนี้เมื่อโดนเซนโกรธ อาจจะเป็นเพราะชอบเขา เลยไม่อยากให้เขารู้สึกแย่ๆ กับเรา

"จะให้ง้อยังไงถึงจะหายโกรธ"
ผมถามออกไปตรงๆ เพราะเป็นคนที่ง้อใครไม่เป็น ทำได้มากสุดก็แค่เอ่ยคำขอโทษ แต่นั่นคือสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้วแต่อีกฝ่ายดันไม่หายโกรธกันซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้นิสัยกันดีอยู่แล้วก็ยังเป็นแบบนี้... เรียกว่าแกล้งกันได้หรือเปล่า

"ขอคิดก่อน"
เซนบอกก่อนจะเหยียบคันเร่งออกรถไปตามเส้นทางมุ่งสู่ร้านอาหารใกล้ๆ สวนสาธารณะแถวคอนโด มันเป็นร้านอาหารไทยที่ร่มรื่นเพราะมีต้นไม้เยอะ แถมยังติดริมน้ำถือได้ว่าเป็นร้านที่มีบรรยากาศดีแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้

ผมลงจากรถเดินตามเซนไปโดยไม่ปริปากสักคำเพราะรู้ว่าคนที่มาด้วยไม่พร้อมจะคุยกันเท่าไหร่และตอนสั่งอาหารเขากลับจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพด้วยตัวเองโดยไม่ถามความคิดเห็นกัน แต่รายการที่สั่งไปเป็นของโปรดผมทั้งนั้น ควรแอบดีใจไหมที่ได้รับการเอาใจใส่ทั้งๆ ที่กำลังโกรธกัน โคตรบ้าเลย

ระหว่างมื้ออาหารมีเพียงแค่เสียงช้อนกระทบจานและเสียงใบ้ไม้พลิ้วไหวตามสายลมเท่านั้น ปราศจากเสียงพูดคุยบนโต๊ะ แตกต่างจากที่เคยเป็นมากเลยทีเดียว เพราะปกติเราจะถามกันว่าอันนี้เป็นไงอร่อยหรือเปล่า เอาอันนี้ไหม หรือทำปากเลอะก็ต้องโดนทัก แต่นี่ผมทำเสื้อเลอะอีกฝ่ายยังคงเงียบ ผมไม่รู้จะทำยังไงกับรอยเปื้อนดวงใหญ่บนเสื้อสีขาวเลยจะลุกไปห้องน้ำ แต่เซนกลับจับข้อมือกันไว้แล้วเอ่ยถาม

"จะไปไหน"

"ไปห้องน้ำ"

"ไม่ต้อง นั่งลง"
น้ำเสียงแข็งๆ กับสายตาดุถูกส่งมาให้เป็นเชิงบังคับทำให้ผมยอมนั่งลงโดยไม่มีปากเสียง เขาปล่อยมือออกแล้วมองมาตรงจุดเปื้อนบนเสื้อ ไม่อยากจะบอกแต่จุดที่เปื้อนนะมันตรงท้องน้อยนู่น รู้สึกแปลกๆ ฉิบหายเหมือนโดนจ้องเป้าเลย

"จ้องอะไรของมึงเนี่ย"
ผมรีบเอามือปิดตรงจุดนั้นทำให้เซนยกยิ้มมุมปากเพราะเดาได้ว่าผมคิดเรื่องอกุศลอยู่ ดวงตาสีเทาเลื่อนตำแหน่งขึ้นมามองใบหน้ากัน

"จ้องรอยเปื้อน หรือมึงคิดว่า..."
น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้นจนผมรู้สึกหน้าร้อนวูบแล้วโบกมือตรงหน้าไปมา ทำอะไรไม่ถูกเลยว่ะ โดนจับได้ขนาดนี้ ใต้โต๊ะนี่เหมาะจะเอาหน้าไปซุกไหม อายเหลือเกิน

"พอๆ กินๆ ไป"

"อืม"
ผมสะอึกกับคำตอบแสนสั้นของเซน เมื่อครู่เหมือนจะหายโกรธกันแต่ทำไมกลับมาตีสีหน้านิ่งพูดสั้นๆ อีกล่ะ ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า ปวดใจแปลกๆ

"นี่..."

"....."
โอ้โห... เหลือบสายตามองกันแค่แว๊บเดียวแล้วกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ปล่อยให้ผมน้ำท่วมปากพะงาบๆเหมือนปลาใกล้ตาย ไม่อยากคุยด้วยขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ยังโดนแกล้งทั้งๆ ที่โกรธเนี่ยนะ ประหลาดคนฉิบหาย

"เซน... คุยกันก่อน"

"กิน"
จบ... เงียบกริบโดยไม่ต้องสั่งด้วยคำอื่น สุดท้ายจำใจกินข้าวไปเงียบๆ จนอิ่มหนำแต่ไม่สำราญ เพราะเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ อยากอ้วกคงไม่ใช่แต่น่าจะเป็นความรู้สึกอึดอัดมากกว่า แต่ดีนะ โกรธก็ยังเลี้ยงข้าว ไม่เข้าใจความคิดมันจริงๆ

ภายในรถน่าอึดอัดจนแทบหยุดหายใจ แม้แต่เพลงยังไม่กล้าเอื้อมมือไปเปิด ได้แต่นั่งกรอกตาไปมาเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ทำไมถึงได้โกรธขนาดนี้วะคนเรา แค่ไปกับอุ่นเนี่ยมันจะตายเหรอ ก็เพื่อนสนิทกันทั้งนั้น

"เซน ทำไมมึงโกรธกูขนาดนี้วะ ไม่เข้าใจ"
จากที่เข้าใจกลายเป็นไม่เข้าใจขึ้นมาดื้อๆ เซนเหลือบสายตามองกันแล้วหักพวงมาลัยเข้าลานจอดรถของคอนโด

"จูบกูก่อนแล้วจะหายโกรธ"
พูดจบก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจปะทะกับข้างแก้ม ผมตัวแข็งทื่อเพราะไม่ทันตั้งตัว แล้วไอ้น้ำเสียงจริงจังกับไอ้แววตาบังคับนั่นคืออะไร ตกลงว่าโกรธกันจริงหรือหาเรื่องจะจูบ...

"บ้า... ตกลงมึงโกรธกูจริงๆ ปะวะ"
ผมพูดเสียงเบาหวิวและพยายามขยับตัวออกห่างจนไหล่ชนกระจกรถ ไม่วายคนข้างๆ ดันขยับตามมาถึงขนาดได้ยินเสียงหายใจกันเลยทีเดียว ใกล้จนใจสั่น ใกล้จนกลัวว่าตัวเองจะหันไปจูบเขาจริงๆ บ้าบอฉิบหายเลยเว้ย

"จูบก่อนแล้วจะบอก"

"คือเหี้ยไรเนี่ย ตกลงอยากจูบใช่ไหม"

"ส่วนหนึ่ง เร็วๆ"
คือมีเร่ง คือมีความขยับเข้ามาใกล้จนจมูกเฉียดกับแก้ม ผมเม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจหันไปประกบปากกับคนช่างบังคับก่อนจะรีบผละออกอย่างรวดเร็ว ไม่รู้จะเรียกว่าจูบได้หรือเปล่า แต่ดูสีหน้าของเซนแล้วคงไม่ผ่าน ไอ้ฉิบหาย หัวใจจะวายแล้ว หน้านี่ร้อนจนจะแตก

"นั่นเรียกว่าจูบเหรอ"
ดวงตาสีเทาจ้องเขม็งจนผมเผลอกันหายใจแล้วเม้มปากเข้าหากัน ให้ตายเถอะ จะให้เป็นฝ่ายเริ่มจูบแบบดูดดื่มได้ยังไง หัวใจเต้นจนเหนื่อยแล้วเนี่ย

"เออน่า ก็ปากแตะปากแล้ว ถ้ายังไม่หายโกรธจะไม่ง้อแล้วนะ"
ผมว่าก่อนจะผลักเขาออกไปห่างๆ แล้วคว้าถุงขนมเดินลงจากรถโดยไม่รอ พอถึงห้องก็เอาแต่นั่งหน้าง้ำอยู่บนโซฟา คราวนี้เป็นฝ่ายหงุดหงิดและงอนเขาเอง แต่สุดท้ายโดนเซนหอมแก้มเข้าหน่อยกลับอ่อนระทวยยอมกันง่ายๆ เกลียดตัวเองว่ะเฮ้ย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้ฟังเหตุผลว่าทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้ก็เพราะว่า 'เป็นห่วง' คำเดียว แต่หัวใจโคตรพองโตจนคับอก

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วนั่นก็แสดงว่าจะถึงวันเกิดเซนแล้วเช่นกัน เราทั้งคู่ยังคงนั่งจ้องหน้าจอทีวีที่กำลังฉายหนังโปรดอย่างทรานฟอร์เมอร์ ขนมขบเคี้ยวตรงหน้ายังคงถูกยกมาเติมเรื่อยๆ โดยฝีมือของผมเอง ส่วนบารอนนอนหมอบอยู่แทบเท้าของเซนอย่างสบายอารมณ์ ดูรักและเคารพเจ้านายเหลือเกิน น่าหมั่นไส้

"ไปเอาขนมมาเพิ่มนะ"
ผมบอกก่อนจะทำท่าลุกขึ้นแต่เซนกลับรั้งแขนกันให้นั่งลงที่เดิมแล้วส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกให้หยุดกินได้แล้ว จริงๆ ไม่กินก็ได้แต่มันเหงาปากอะ จะพูดอะไรตอนตั้งใจดูหนังก็กลัวจะรบกวนไปอีก

"หยุดกินได้แล้ว"
เขาบอกก่อนจะปล่อยมือและเอนตัวลงบนตักผมอย่างหน้าตาเฉย คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยได้แต่นั่งเงียบ ลมหายใจติดๆ ขัดๆ ก็ดูบรรยากาศดิ ปิดไฟดูหนังกันแบบนี้ โรแมนติกไปอีก

"ห้ามกูจังวะ"
ผมบ่นเสียงไม่จริงจังนักแล้วเหลือบดูนาฬิกาติดพนังเป็นครั้งคราว อีกสิบห้านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว ตื่นเต้นว่ะ นี่เป็นวันเกิดครั้งแรกของเขาที่ผมอยู่ด้วย และจะเป็นคนแรกที่อวยพรเขาเช่นกัน คิดได้แบบนั้นก็เผลอหลุดยิ้มโดยไม่รู้ตัวจนคนที่นอนบนตักเอ่ยแซว

"ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความสุขอะไรหื้ม"
ถ้ากันไม่พอยังส่งสายตาระยิบระยับมาอีก มือเรียวยกขึ้นมาแตะแก้มเบาๆ เป็นการแถมอีกด้วย ผมเบือนหน้าหนีแล้วแกล้งปัดมือนั่นทิ้งอย่างไม่จริงจังนัก ถึงไฟจะสลัวแต่ก็กลัวเขาจะเห็นความรู้สึกที่ผมกำลังสื่อออกทางสีหน้า

"พูดมากน่า"
ผมบอกก่อนจะดีดหน้าผากมนนั่น เซนไม่โต้ตอบอะไรทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้และเบนสายตากลับไปสนใจทีวีต่อ ผมลอบถอนหายใจเบาๆ และดูหนังต่อไปเงียบๆ ดวงตาเผลอเหลือบมองนาฬิกาติดพนังก็ต้องตกใจเมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวกำลังจะทาบทับกันที่เลขสิบสอง กำลังจะอ้าปากบอกให้เซนลุกขึ้น แต่สติทั้งหมดก็ดับวูบลงทันที

ในความฝันสีขาวผุดผ่องด้วยม่านหมอกหนาทึบ ตัวผมกำลังยืนอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจีขนาดใหญ่ มันดูช่างคุ้นเคยแต่กลับคิดไม่ออกว่าเคยมาเยือนเมื่อไหร่ ดอกไม้หลากสีสันกำลังผลิบานส่งกลิ่นหอมหวนชวนเคลิ้มมาให้ สายลมโชยอ่อนพัดพาสิ่งบดบังสายตาออกไป ในตอนนั้นเองที่ร่างอันคุ้นเคยในความทรงจำปรากฏสู่สายตา แม้จะเป็นแค่เพียงแผ่นหลัง 'เซน'

"เซน!"
ผมเรียกและก้าวขายาวๆ ไปหาเขาอย่างรีบเร่ง กลัวเหลือเกินว่าคนตรงหน้าจะกลายเป็นแค่มโนภาพก่อนจะจางหายไปเหมือนกับหมอพวกนั้น เซนหันกลับมาทำให้ผมชะงักเท้าทันที บนใบหน้าคาดด้วยหน้ากากอนามัยสีขาวสะอาด ดวงตาสีเทาไร้แววเหมือนคนตายไปแล้ว น่ากลัวจนผมเผลอถอยหลัง

"ซ เซน..."
ผมเอ่ยเรียกชื่อเขาอีกครั้งด้วยเสียงอันสั่นเทา มือไม้เย็นชืดเพราะคนที่ปรากฏด้านหลังของเซนคือปีศาจในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ฉับพลันที่ความทรงจำไหลเข้ามาในหัว มันเป็นความฝันเมื่อครั้งก่อนที่เคยลืมเลือนไปแล้ว 'อัสโมดาย' โผล่ออกมาได้ยังไง

"เจอกันอีกแล้ว"
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปากของปีศาจ ในตาสีแดงก่ำจับจ้องมาที่ผมด้วยแววตาซุกซน มือเรียวยาวกำลังคืบคลานขึ้นมาจับช่วงลำคอของเซนไว้แล้วออกแรงบีบจนผมเผลอกันหายใจและก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว ในหัวโอดครวญเพียงแค่ 'อย่าทำร้ายเซน' แต่ไม่สามารถปริปากออกไปได้ เพื่อนสนิทของผมไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ราวกับเป็นเพียงแค่หุ่นไรชีวิตจิตใจ

"อะ อัสโมดาย อย่าทำอะไรเซนเลยนะ"
ผมเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แข้งขาอ่อนจนไร้เรี่ยวแรงจะเดินต่อและทรุดตัวลงนั่งบนผืนหญ้าเขียวขจี ดอกกุหลาบที่ขึ้นอยู่รายรอบตัวเริ่มโอนเอนไปมาก่อนจะมีหนามแหลมพุ่งออกมาจากลำต้นและปักไปตามเนื้อตัวของผม ใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดแต่พยายามกัดฟันทนไม่ร้องแม้สักนิด เจ็บเหมือนตัวจะแตกเป็นเสี่ยง กลิ่นคาวเลือดโชยแตะจมูกจนเริ่มรู้สึกเวียนหัว ไม่ไหว ทำไมน่ากลัวแบบนี้ อัสโมดายกำลังเล่นอะไร ดูเหมือนเขากำลังสนุกเลยนะ

"หึหึ รักเขาเหรอ"

"ผ ผม..."
ผมไม่สามารถให้คำตอบนั้นได้ แต่ถ้าถามว่าชอบไหมจะตอบได้ทันทีว่าชอบ ความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก ไม่กล้ายืนยันหรอกว่าความรู้สึกที่มีให้ตอนนี้คือความรักหรือเปล่า อย่าลืมว่าปีศาจรู้ความคิดคุณดีกว่าตัวคุณเองเสียอีก

"ไม่ต้องตอบหรอก เพราะเรารู้คำตอบอยู่แล้ว"
ปีศาจบอกแบบนั้นก่อนจะขย้ำมือเรียวลงบนคอของเซนเต็มแรงจนทุกอย่างแหลกสลายลงคามือ ผมได้แต่อ้าปากค้างและปล่อยน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างเพราะไม่สามารถทำอะไรได้ มันไม่ได้น่าสยดสยองแต่อย่างใดเพราะร่างกายนั้นกลายเป็นหมอกควันสีจางราวกับเซนไม่เคยมีตัวตน

ผมสะดุ้งเฮือกและลืมตาตื่นขึ้นมาให้ห้องนอนของตัวเอง ดวงตากลมรีบมองหาเซนแทบจะในทันที เขายังคงนั่งทำอะไรอยู่หน้าจอ Mac Book ทุกอย่างปกติดีและเรื่องราวในความฝันก็ค่อยๆ เลือนหายลงไปอีกครั้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้น




------------------------------------------------------

ฝันอีกแล้ว แต่ก็ลืมอีกแล้ว.... อัสโมดายกำลังเล่นอะไรหนอ
จริงมีคนเดาถูกนะว่าอะไรยังไง แต่เฉลยของเราจะค่อยๆแง้มไปเรื่อยๆ

ปล. อ่านให้สนุกน้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้ความสนใจ ~
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-11-2016 13:43:57
ลุ้นให้เซนคือร่างมนุษย์ของอัสโมดาย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 07-11-2016 13:50:24
เพิ่งได้ตามอ่าน สนุกมากเลยค่าาาาา :katai5:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-11-2016 18:20:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 08-11-2016 20:50:23
ไม่แน่ใจว่าอัสโมดายใช่เซนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเราว่านะ อัสโมดายต้องน่าจะเป็นคนในครอบครัว(?) คนรู้จักไรงี้
 เซนชอบล้อเล่นอยู่เรื่อย :katai1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dark-soleil ที่ 08-11-2016 21:26:55
คิดว่าเซนคือตัวตนที่อัสโมดายสร้างขึ้นมารึเปล่า...งือ อยากรู้  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 08-11-2016 22:38:59
ตื่นเต้นอะ น่าติดตามมาก
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 8 -P.2- (07.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 08-11-2016 23:21:23
สมมติว่าอัสโมดายคือเซน มังกรคือพาหนะคืออุ่น...แล้วบารอนคือใครล่ะ?
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-11-2016 16:31:13
ตำราบทที่ 9


'Loving you was my favorite mistake'
การได้รักคุณเป็นความผิดพลาดที่ผมชื่นชอบ




"กูเผลอหลับไปตอนไหนวะ"
คำแรกที่ถามออกไปหลังจากลุกขึ้นจากเตียงและเดินโซเซไปหาเซนที่นั่งอยู่โต๊ะทำงาน ระหว่างทางเกือบสะดุดเจ้าบารอนที่นอนแผ่ไม่เกรงใจว่าคนจะเหยียบเลยแม้แต่น้อย ดีนะที่ยังมีสติดีพอไม่คิดว่ามันเป็นพรมเช็ดเท้าเลยก้าวข้ามไป

"เที่ยงคืน"
คำตอบสั้นๆ ดังขึ้นโดยที่เจ้าของเสียงไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมามองหน้ากันเลยสักนิด นิ้วเรียวยังคงสัมผัสแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่ว บนหน้าจอสี่เหลี่ยมปรากฏตัวอักษรภาษาอังกฤษมากมาย ทีแรกว่าจะแอบอ่านสักหน่อยแต่เปลี่ยนใจแล้ว แม่ง ไม่รู้เรื่องสักตัว

"หาว ~ อะ สุขสันต์วันเกิดนะ"
ผมยื่นของขวัญที่หยิบติดมือมาด้วยให้เซน เขาเหลือบมองก่อนจะรับไปแล้วแกะออกดู จริงๆ ก็คาดหวังว่าเขาจะชอบ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะดุกันมากกว่าเพราะผมลืมเอาบิลออกมา เฮ้อ พลาดกี่รอบแล้ววะเนี่ย

"ซื้อของแพงให้ทำไม"
นั่นไง... โดนดุแน่ๆ ผมได้แต่พยายามฉีกยิ้มกว้างและลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งใกล้ๆ กันก่อนจะเอาหัวทุยๆ ถูต้นแขนนั้นอย่างออดอ้อน นี่วันเกิดตัวเองนะเว้ย ควรจะยิ้มดีใจที่ได้ของขวัญสิวะ ทำไมทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นเล่า

"ไม่แพงหรอกน่า ของขวัญวันเกิดเชียวนะเว้ย"
ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะกำลังกดจมูกลงบนต้นแขน เซนถอนหายใจออกมาก่อนจะยกมือขึ้นโคลงหัวกันเบาๆ อย่างยอมแพ้

"อือ ขอบคุณนะ แต่ทีหลังไม่ต้องซื้อแล้ว กูไม่อยากได้อะไรหรอก"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยโทนราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงใจ ผมเบะปากลงเพราะรู้สึกขัดใจเล็กน้อย คนมันเต็มใจให้นี่นา อยากให้จดจำไว้

"แต่กูอยากให้"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจแล้วใช้มือปัดป่ายมือเซนออก เขาผละออกและมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ลางยอกเหตุกำลังเตือนว่าเหตุการณ์ต่อไปอันตรายต่อ... หัวใจ

"งั้นปีหน้าขอเป็นร่างกายมึงแล้วกัน โอเคปะ"
ผมสะอึกกับคำพูดของเซนจนตาแทบเหลือก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าของขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ดวงตาสีเทาจับจ้องอย่างไม่ลดละจนต้องเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยง ยามเมื่อปลายจมูกแตะลงมาเพียงแผ่วเบาบนแก้มผมจึงหลุดปากสบถออกไปทันที

"ไอ้... อุบ!!"
ด่าได้แค่นั้นเรียวปากหยักสีส้มอ่อนก็ประกบลงมาแนบชิดอย่างเอาแต่ใจ ผมเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิมและพยายามใช้มือผลักไหล่เซนออก แต่ดูเหมือนจะไร้ผลเพราะรู้สึกว่าตัวเขาหนักเหลือเกิน ไม่นานนักจากที่เคยขัดขืนกลับอ่อนโอนตามแถมยังเอียงหน้าเพื่อให้เขาบดจูบได้ง่ายดายอีกด้วย รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ใครใช้ให้เซนจูบเก่งนักล่ะวะ

"อืม ~"
เสียงครางในลำคอเบาๆ บ่งบอกว่าเขากำลังพอใจที่ไม่ได้ขัดขืน ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสนั้น ปากหยักยังคงอ้อยอิ่งและละเลียดขมเม้มไปช้าๆ ลิ้นร้อนแลบเลียอย่างแผ่วเบาแต่ชวนวาบหวามไปทั้งร่างกาย จะขาดหายใจอยู่แล้ว ไม่ไหว

"อื้อ!"
ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีอีกครั้งพยายามดันเซนให้ถอยออกไปและเหมือนเขาจะรับรู้ว่าผมกำลังขาดอากาศเลยยอมผละออกไปโดยง่าย เสียงหอบหายใจดังขึ้นทันทีที่ปากถูกปล่อยเป็นอิสระ ดวงตาคมจ้องใบหน้าหล่อเหลาเขม็งอย่างคาดโทษ

"อ่อนจัง"
คำแซวกวนโอ๊ยทำให้ผมฟาดฝ่ามือลงบนต้นแขนแกร่งแบบไม่ยั้งมือ เซนเพียงแค่เบ้ปากเล็กน้อยแต่ไม่ยอมส่งเสียงอะไรออกมา ช่างรักษาความเยือกเย็นของตัวเองได้ดีเหลือเกิน หมั่นไส้ อย่าขย้ำให้แหลกคามือจริงๆ

"หึ! ใครจะไปเชี่ยวชาญเหมือนมึงล่ะ"
ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นแล้วกระทืบเท้าเดินกลับไปที่เตียงนอน ง่วงก็ง่วงแต่โดนจูบไปขนาดนั้นจนใจเต้นหนัก จะข่มตาหลับก็ทำได้ยากเหลือเกินเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นโซเชี่ยลฆ่าเวลาซะอย่างนั้น แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ ของเซนยิ่งทำให้หงุดหงิด แต่ไม่อยากหันไปมองเพราะกลัวว่าใจที่เริ่มสงบแล้วจะว้าวุ่นอีกครั้ง

ผมใช้เวลาเล่นโซเชี่ยลต่างๆ อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนจะรับรู้ว่าเตียงด้านข้างยวบลงเพราะเซนย้ายตัวเองมานอนด้วยกันแล้ว โทรศัพท์ในมือถูกวางลงบนหัวเตียงเพราเตรียมตัวเข้าสู่นิทราเหมือนกัน

"เซน... เลี้ยงวันเกิดปะวะ"
ผมหันไปถามเมื่อนึกขึ้นได้ เพราะเมื่อปีที่แล้วเขาลากไปร้านอาหารกึ่งบาร์เพื่อฉลองตามปกติ แต่ปีนี้ดูท่าทางไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เหมือนกับว่าปีนี้เป็นวันเกิดที่แย่

"อือ เลี้ยง ร้านเดิมหลังเลิกเรียน"
เขาตอบน้ำเสียงราบเรียบ หลังเลิกเรียนของวันนี้ก็เวลาสองทุ่ม เพราะมีเรียนวิชาปีศาจวิทยา ผมพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ก่อนจะหลับตาลงทิ้งดิ่งสู่ห้วงนิทราแสนหวาน

หลับไปได้ไม่นานกลับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับตรงกลางอก ดวงตากลมพยายามลืมขึ้นก็พบว่าบารอนขึ้นมานอนเอาหัวเกยกัน ผมเบ้ปากแล้วพยายามดันเจ้ายักษ์ลงไปแต่ในขณะที่กำลังพยายามทำเรื่องบ้าบออยู่นั้นกลับได้ยินเสียงใครกำลังพูดคุยกันอยู่ด้านนอกและพบว่าเซนหายไปจากเตียง

ผมดันบารอนลงจากตัวได้สำเร็จโดยไม่ทำให้มันตื่นแล้วก้าวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบเอาหูไปแนบกับประตูเพื่อแอบฟัง หัวใจเต้นระรัวเมื่อเสียงของอีกฝ่ายเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย แต่อีกเสียงจำได้ดีว่าเป็นของเซน

"ครบกำหนดที่ขอไว้แล้ว"
เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น มันทั้งแหบทั้งต่ำจนผมจินตนาการหน้าคนพูดเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ หน้าเข้มๆ บางทีเขาอาจจะตรงกันข้ามทุกอย่างก็ได้

"ยังไม่อยากกลับ"
เสียงของเซนตอบกลับราบเรียบเหมือนปกติ

"จะดื้อดึงไปถึงเมื่อไหร่ จะให้เขามาตามเองอย่างนั้นหรือ"
อีกคนพูดต่อ 'เขา' ในความหมายนั้นคือใคร จะเป็นเขาคนเดียวกับที่อุ่นและคุณพ่อจีซัสเคยพูดถึงหรือเปล่า ยิ่งฟังยิ่งสงสัย ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ

"เขาไม่ได้สนใจเราขนาดนั้นหรอก"
รูปประโยคแฝงไปด้วยความน้อยใจแต่น้ำเสียงกลับนิ่งจนคาดเดาอารมณ์ที่แท้จริงไม่ออก ผมขยับตัวแนบชิดกับประตูมากขึ้น ก็ไม่รู้จะทำไปทำไมในเมื่อการได้ยินก็เหมือนเดิม ถ้าประตูห้องนอนมีตาแมวบ้างก็ดี

"เพราะอะไรถึงไม่ยอมกลับไปในที่ที่ควรอยู่"
ผมได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ที่ที่ควรอยู่ของเซนมันที่ไหนกันล่ะ บ้านเหรอ... แต่เซนไม่เคยพูดถึงเรื่องที่บ้าน ไม่เคยแม้แต่จะบอกว่าบ้านของเขาอยู่ส่วนไหนของโลกนี้ด้วยซ้ำ

"เบื่อ"

"โฮ่ง!"
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อบารอนเห่าขึ้นมา ไม่รู่มันตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่แต่พอหันไปก็เจอยืนมองกันตาใสแจ๋วอยู่ เสียงพูดคุยด้านนอกเงียบลงและผมก็รีบผละตัวออกจากบานประตูทันที แสร้งทำเป็นว่าหลับอยู่บนเตียงเช่นเคยในตอนที่แสงสว่างสาดเข้ามา เกือบไปแล้วไหมล่ะ เสียมารยาทแอบฟังคนอื่นแบบนี้ เฮ้อ

"กลับไปได้แล้ว"
เสียงของเซนดังขึ้นในขณะที่เสียงประตูปิดลง ผมถอนหายใจเฮือกแล้วลืมตาขึ้น บารอนยืนมองกันอยู่ข้างเตียงอย่างไร้เดียงสา ผมเอื้อมมือไปโคลงหัวเจ้ายักษ์ด้วยความหมั่นไส้ เป็นสายลับให้เจ้านายดีนักนะ ตอนเช้าจะงดอาหารคอยดูเถอะ

"แสบนักนะไอ้บารอน"
ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วโคลงหัวมันไปมาอีกครั้ง เจ้ายักษ์ใช้สายตาอ้อนๆ มองกันทำให้ผมหลุดยิ้มจนได้ หมาอะไรวะ ทำตัวน่ารักจนคนผ่ายแพ้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เรื่องสกิลการอ้อนนี่ยกให้เป็นอันดับหนึ่งเลย เจ้าของมันไม่ได้ครึ่งหรอก

"ตื่นเหรอ"
คำถามนุ่มนวลแต่ทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ละมือจากเจ้ายักษ์แล้วใช้ดวงตากลมมองคนที่เดินมานั่งบนเตียง สีหน้าเขาดูย่ำแย่จนเห็นได้ชัด ผมอยากจะถามออกไปว่าเมื่อครู่ใครมาแต่ดูท่าทางจะไม่สมควรเลยเก็บเงียบไว้ดีกว่า

"อือ สะดุ้งตื่นว่ะ"
ผมตอบตามความจริงแค่เพียงครึ่งเดียว เพราะจริงๆ แล้วสาเหตุคือฝันร้าย ฝันที่คล้ายกับความจริง ฝันที่พรากทุกความสัมพันธ์ของผมจากทุกๆ คน แม้แต่เพื่อนสนิทที่อยู่ข้างกันมาตลอดยังลืมเลือน มันน่ากลัวจนหัวใจเต้นรัวไม่หยุด ดีแค่ไหนที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ ไม่อย่างนั้นคงเจ็บปวดอีกนาน

"กูเสียงดังไปหรือเปล่า"

"หา ปะ เปล่า นอนเถอะ"
ผมบอกปักก่อนจะหลับตาลง ไม่รู้ว่ากลัวอะไรกันแน่ระหว่างผมแอบฟังหรือคำบอกเล่าจากปากเซน การหนีความจริงอาจจะเป็นเรื่องดีที่สุดในเวลานี้ก็เป็นได้

ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาของใครคนหนึ่ง น่ารำคาญจนต้องลุกขึ้นมานั่งทึ้งหัวตัวเองก่อนจะเดินกระทืบเท้าตึงตังไปดึงประตูห้องนอนให้เปิดออก

"โวย หัวเราะบ้าบออะไรของมึงเนี่ยอุ่น!"
ผมตวาดลั่นแล้วจ้องมองมันเขม็ง อุ่นหุบปากฉับทันทีแล้วเดินตรงมาหากันพร้อมกับกอดเอาไว้จนแทบหายใจไม่ออก เป็นบ้าอะไรของมันเนี่ย

"อะไรของมึงเนี่ย ออกไป อึดอัด!"
ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแกร่ง น่ารำคาญ คนยิ่งง่วงๆ อยู่ด้วยทำไมต้องทำตัวรุ่มร่ามแบบนี้วะ แต่มีหรือจะสู้แรงที่ต่างกันมากได้ ดิ้นไปก็เหนื่อยเปล่าแต่ดีที่ทำให้ตื่นเต็มตา

"อุ่น ปล่อยวิน"
น้ำเสียงเย็นเยียบดังมาจากคนที่นั่งละเลียดกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร ดวงตาสีเทาจ้องมองหนังสือในมืออย่างตั้งใจ อุ่นคลายอ้อมกอดทันทีเหมือนกับกลัวว่าเซนจะโกรธ ส่วนผมรีบเดินดุ่มๆ เข้าไปหาเขาเพื่อจะหนีอีกคนที่ยังยืนหน้าสลดอยู่ที่เดิม

"อุ่นเป็นบ้าอะไรวะ เดินเข้ามากอดกูหน้าตาเฉย"
ผมทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเซน เขาเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจหนังสือเล่มเดิม... นิยายฆาตกรรม ไอ้เชี่ย โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย

"ไปแปรงฟันไป เหม็นน้ำลายบูด"
คำพูดเชือดเฉือนจิตใจดังขึ้นจนผมต้องกระฟัดกระเฟียดลุกขึ้นไปแปรงฟัน ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนที่เอาแต่สนใจหนังสือนิยายฆาตกรรมแล้วไม่สนใจกันขนาดนั้นหรอก

ผมเดินเข้าห้องน้ำด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง กระจกบานใหญ่ตรงหน้าสะท้อนภาพเด็กผู้ชายวัยกำลังโตหัวฟู ปากบางเบะลงเพราะถูกขัดใจ ขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้า นี่ถ้าในปากคาบใบไผ่ด้วยผมสามารถไปนอนกลิ้งลุนๆ ในสวนสัตว์ได้เลย

ผมหยิบแปรงพร้อมกับบีบยาสีฟันลงไป แก้วน้ำถูกยกขึ้นมากลั้วปากแล้วตามด้วยการทำความสะอาดฟันอย่างเชื่องช้า เพราะเคยรีบจนโดนทิ่มเหงือกบวมมาแล้วไม่คุ้มเท่าไหร่ ดวงตากลมมองสำรวจตัวเองไปทั่วและสะดุดเข้ากับรอยแดงเล็กๆที่ต้นคอ จะว่าไปก็ไม่ได้คันอะไรนะ แปลกมาก ถูๆ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลุดออก หรือว่าโดนเซนขย้ำคอตอนหลับวะ แค่คิดก็หน้าร้อนวูบแล้ว บ้าจริง

ผมเดินออกจากห้องน้ำในขณะที่เห็นอุ่นกำลังทะเลาะกับบารอนอีกแล้ว ทุกครั้งที่เจอกันไม่เคยสงบศึกได้สักที คนก็ยั่วหมาก็บ้า อยู่ด้วยกันก็ดูจะลงตัวดี ว่าไหม

"กัดกันอีกแล้ว"
ผมนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเซน เขาคงยังอ่านนิยายเล่มเดิมอยู่ แต่ที่เปลี่ยนไปคือบนโต๊ะมีอาหารเช้าเพิ่มขึ้นหนึ่งที่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของผม วันนี้เป็นเมนูติ่มซำเกือบสิบอย่างและซาลาเปาไส้หมูสองลูก กะจะขุนให้กลิ้งได้จริงๆ ใช่ไหม

"เซน... ให้กูกินหมดนี่เลยเหรอวะ เยอะไปไหม"
ผมหยิบส้อมขึ้นจิ้มไข่นกกะทาใส่ปากแล้วเคี้ยวหงุบหงับ มันอร่อยแต่แคลลอรี่โคตรจะสูง เซนเหลือบมองกันก่อนพยักหน้าแทนคำตอบและกลับไปสนใจหนังสือ... อีกแล้ว

"ช่วยกินหน่อยดิ"
ผมว่าก่อนจะจิ้มติ่มซำชิ้นหนึ่งยื่นไปตรงหน้า เขาเหลือบมองอีกครั้งแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนพยักพเยิดไปทางอุ่นที่นอนแผ่อยู่บนพื้นโดยมีบารอนนอนทับ ศึกครั้งนี้ตัดสินแล้วว่าหมายักษ์เป็นฝ่ายชนะ

"อุ่น ช่วยกินติ่มซำกับซาลาเปาหน่อย กินไม่หมด"
ผมตะโกนบอกอุ่น แต่บารอนกับลุกและวิ่งหน้าตั้งมาหาทันที ลิ้นสีแดงห้อยจนทำให้น้ำลายหยดติ๋งลงพื้นห้อง มองแล้วก็ได้แต่หลุดขำออกมาก่อนจะส่งติ่มซำหอมๆ ไปให้เจ้ายักษ์ได้ลิ้มลองสักหนึ่งชิ้น กินมากไม่ดีหรอก... มันเปลือง

"ตกลงว่าให้ใครกินกันแน่วะ"
อุ่นพูดเสียงงอนๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างกันแล้วฉวยส้อมไปจากมือ ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจแล้วหยิบซาลาเปาขึ้นมากัดกิน อืม... นานๆ ได้กินแล้วมันฟินยังไงก็ไม่รู้

"วันนี้เลี้ยงใช่ปะเซน"
อุ่นถามในขณะที่คนฝั่งตรงข้ามวางหนังสือลงบนโต๊ะ เซนพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะยืดแขนแล้วบิดขี้เกียจไปมา

"จะเมาให้หัวทิ่มเลย!"
อุ่นว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังและแววตามุ่งมั่นแต่กลับต้องห่อเหี่ยวเพราะประโยคถัดมาของเจ้าภาพในค่ำคืนนี้

"ถ้าเมากูจะให้นอนหน้าประตูห้อง"
ผมแทบสำลักซาลาเปาแต่ดีหน่อยดียั้งตัวเองไว้ทัน มือเรียวเอื้อมหยิบแก้มน้ำส้มที่ถูกเตรียมไว้มาดื่มอย่างรวดเร็ว ไอ้อุ่นถึงกับทิ้งส้อมลงในจานด้วยใบหน้างอง้ำเพราะโดนขัดใจ เซนยังคงให้ความนิ่งสยบทุกอย่างได้อยู่หมัดเหมือนเดิม

"ใจร้ายว่ะ ใจร้าย วันนี้กูเป็นสารถีขับรถให้นะ"
ไอ้อุ่นบ่นพึมพำตามประสาของมันแต่ไม่มีใครคิดจะสนใจ เพราะเจ้าตัวอาสาเองโดยไม่มีคำร้องขอใดๆ ดีซะอีก นั่งสบายค่าน้ำมันก็ไม่ต้องจ่าย

หลังจากจัดการมื้อเช้าเรียบร้อยสารถีจำเป็นก็พาพวกเราพุ่งทะยานสู่มาหา'ลัยในเวลาประมาณเก้าโมงกว่าๆ เพราะมีเรียนวิชาคณะตอนสิบโมง รถจอดเทียบฟุตบาทปล่อยให้ผมกับเซนลงที่หน้าตึกส่วนเจ้าของก็เอารถไปจอด

"ทำไมวันนี้ตึกคณะคนเยอะจังวะ"
ผมหันไปถามคนที่เดินเคียงข้างกัน เหมือนจะลืมอะไรไปบางอย่างแต่คิดไม่ออกสักที

"โอเพ่นเฮ้าส์ ลืมเหรอ"
น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับมาทำให้ผมถึงบางอ้อและรู้ทันทีว่าลืมอะไรไป ที่แท้ก็งานโอเพ่นเฮ้าส์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์นั่นเอง เด็กวัยมัธยมทั้งชายทั้งหญิงส่งเสียงอื้ออึงเมื่อเจ้าอดีตเดือนเป็นคนแนะนำหลักสูตร

"ลืมสนิทเลยว่ะ สงสัยต้องกินแปะก๊วย"

"อย่างมึงต้องกินทั้งผล ใบ ต้น รากถึงจะเอาอยู่"

"ไอ้เซน! กูไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้นนะเว้ย"

"สักวันกลัวว่าจะลืมกูไปด้วย"

"บ้า... ใครจะลืมวะ"

"หึ"

บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้นเมื่อมาถึงห้องเรียน ไอ้อุ่นที่เดินจ้ำอ้าวตามมาบ่นเสียงงุ้งงิ้งว่าไม่ยอมรอกัน จริงๆ แล้วขอสารภาพว่าลืมมันไปสนิท การเรียนเริ่มต้นขึ้น และเหมือนอย่างเคยที่เซนดูไม่ค่อยสนใจสิ่งที่อาจารย์สอนสักเท่าไหร่ส่วนอุ่นนั่งหาวหวอดและพยายามใช้นิ้วเรียวถ่างตาตัวเองไว้ มีผมแค่คนเดียวที่ตั้งใจเรียนแทบจะได้โล่เพราะโง่เลยต้องขยันกว่าคนอื่นเป็นหลายเท่า

นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง อาจารย์ก็เลิกคลาสทันที ผมชื่นชมนะเพราะเป็นบุคคลที่โคตรตรงเวลามากๆ ไอ้อุ่นผงกหัวขึ้นจากโต๊ะด้วยสีหน้างัวเงียเพราะหลังจากที่มันพยายามถ่างตาตัวเอง สุดท้ายก็ไปไม่รอดฟุบหน้าลงหลับไปซะอย่างนั้น ส่วนคุณชายเอาแต่นั่งวาดรูปนั่นนี่ลงในชีท... อยากถามมันว่านั่นชีทหรือกระดาษวาดรูปกันแน่แต่สำเหนียกได้ว่าเก็บปากไว้กินข้าวน่าจะดีกว่า

"จะกลับไปนอนหรือเดินห้างก่อนเรียนวิชาเลือก"
คนถามลุกขึ้นแล้วบิดตัวไปมาแล้วเดินนำออกไปจากห้อง ผมกับเซนตามไปติดๆ แต่ไม่มีใครตอบคำถามอุ่นเลยสักคน ไม่ใช่ว่าอยากกวนตีนแต่กำลังคิดไม่ตก เวลาที่เหลือมันนานเกินไปเดินห้างคนขาลากตายแน่ๆ แต่ถ้าให้กลับไปนอนที่คอนโดก็ต้องย้อนกลับไปกลับมาหลายรอบเพราะเลิกเรียนยังต้องไปฉลองวันเกิดเซนต่ออีก

"เงียบ... กูต้องตัดสินใจเหรอ"
อุ่นหันกลับมาเผชิญหน้ากับพวกผมแต่แทนที่จะแสดงความหนักใจกลับยิ้มร่า เดาง่ายๆ ว่าอุ่นคงมีสถานที่ที่อยากไปอยู่ก่อนหน้าแล้ว

"เชิญ"
เซนตอบด้วยท่าทางสบายๆ แล้วพาดแขนยาวลงบนช่วงไหล่ของผม ตอนแรกนึกว่าทำไปตามปกติ แต่ที่ไหนได้ในระยะสายตาไกลๆ จะเห็นเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันนามว่าเพลย์กำลังสาวเท้าเข้ามา หายไปได้ไม่เท่าไหร่ทำไมเวียนกลับมาอีกวะ พระเจ้า โอย ปวดหัวเว้ย

"อุย... นึกว่าแม่งตายไปแล้ว"
ไอ้อุ่นพูดเสียงเบาหวิวแล้วเดินมายืนบังผมเอาไว้ในขณะที่เซนออกแรงกระชับไหล่กันมาขึ้น ถ้าจะทำกันถึงขนาดนี้แล้วเพลย์ยังไม่ถอยอีกผมว่าจะลงไม่ลงมือยำมันให้เละคาตีนแบบจริงๆ จังๆ แล้วทนไม่ได้ จูบโชว์ยังไม่พออีกเหรอวะ แต่นี่กลางลานเกียร์คงทำอะไรมากไม่ได้ อย่างน้อยก็ลากไปกระทืบในห้องน้ำหลังอาคาร...

"ถอยหน่อยสิครับ"
น้ำเสียงสุภาพดังขึ้นตรงหน้าอุ่นและไม่มีท่าทีว่าเจ้าตัวจะทำตามเลยสักนิด การปกป้องเพื่อนของเขาพัฒนาสกิลขึ้นมากเพราะรู้ความจริงแล้ว

"มาถึงก็สั่งคนอื่น ใหญ่มาจากไหนวะ"
น้ำเสียงแข็งเอ่ยขึ้นจนผมยังนึกกลัวเพราะอุ่นไม่เคยแสดงด้านแข็งกร้าวให้เห็นเลยสักครั้ง อยากย้ายตำแหน่งไปยืนข้างหน้าจังวะ อยากเห็นท่าทางเพื่อนสนิทว่าขึงขังขนาดไหน

"ผมเปล่า แค่อยากคุยกับวิน"

"คุยอะไรอีกวะ เทวินก็มีแฟนแล้วมึงจะตื้ออะไรนักหนา"

"คบคนอย่างเซนมันไม่รุ่งหรอก เย็นชาขนาดนั้น เลิกกันแล้วมาคบกับผมเถอะนะเทวิน"
ไอ้อุ่นถึงกับเงียบกริบในขณะที่เซนขมวดคิ้วแน่นแต่ไม่แสดงอาการฉุนเฉียวมากกว่านั้น แต่เป็นผมเองที่ก้าวออกไปด้านหน้าแล้วผลักไหล่เพลย์จนเซไปด้านหลัง มีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาคนอื่นเสียๆ หายๆ เป็นใครมาจากไหนถึงทำเป็นรู้เรื่องคนอื่นดีทั้งๆ ที่ตัวเองไม่สนิท!

"ที่บ้านสอนให้ปากหมาแบบนี้เหรอวะเพลย์ มึงรู้จักเซนดีเหรอถึงมากล่าวหาแบบนี้ แล้วอีกอย่างนะ กูจะรักจะชอบใครมันก็เรื่องของกู ขอร้องอย่าเสือก อย่ายุ่งกับชีวิตกูอีก ถ้าครั้งนี้เรื่องยังไม่จบ ครั้งต่อไปกูกระทืบมึงแน่ จำไว้!"
คำสุดท้ายผมตะโกนใส่หน้ามันอย่างไม่อายใคร คนทั้งลานเกียร์หันพรึบมองพวกผมกันเป็นตาเดียวแต่ใครจะสนใจ ตอนนี้กำลังอารมณ์เสียสุดๆ มีอย่างที่ไหนมาว่าคนอื่นที่ตัวเองไม่เคยรู้จักมักจี่ด้วยจนเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ แถมยังเป็นบุคคลที่ผมชอบและสนิทด้วย

เพลย์ถอยหลังออกไปแต่มือของเขากำแน่น ไหล่หนาสั่นจนเกินจะควบคุม น้ำตาหยดลงบนแก้มโดยไร้เสียงสะอื้น ไม่ได้อยากทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจขนาดนี้ แต่เขารนหาที่ก่อนเองผมช่วยอะไรไม่ได้

"เทวินคนโง่ โง่ที่สุด!"
อยู่ๆ เพลย์ก็ตะโกนเสียงดังลั่นแล้วเหวี่ยงกำปั้นลุนๆ ตรงใส่หน้าผม ความคิดในหัวพุ่งวาบว่าตรงเจ็บแน่ๆ แต่เปล่าเลย พอลืมตาขึ้นกลับพบว่าคนที่ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าที่พื้นเป็นเพลย์เอง ส่วนเซนขยับมายืนกันไว้

"กลับไป"
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นให้ความรู้สึกว่าอากาศรอบด้านกดดันยังไงชอบกล เพลย์ที่มุมปากเปื้อนเลือดลุกขึ้นยืนโซเซแต่ไม่ยอมขยับไปไหน ยังคงยืนจ้องเขม็งมาที่ผมสลับกับเซนก่อนจะแสยะยิ้มออกมา

"จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ"
เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ผมแทบจะวิ่งไล่กระทืบมันให้จมดิน ถึงขนาดนี้แล้วยังมาบอกว่าจะไม่ยอมแพ้ห่าเหวอะไรอีก ด่าผมว่าโง่ยังพอทน แต่ด่าคนที่ผมชอบด้วยมันไม่ใช่ว่ะ เซนรั้งแขนกันไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ให้ตามเพลย์ไป

"กูรำคาญแม่ง จะให้ทำยังไงถึงจะเลิกยุ่งวุ่นวายสักทีวะ"
ผมสบถอย่างหัวเสียและทึ้งผมด้วยความหงุดหงิด เซนเอื้อมมือมาดึงกันไว้แล้วลากผมไปที่ลานจอดรถพร้อมกับอุ่นที่เดินตามมาเงียบๆ

เซนจับผมยัดเข้าเบาะหลังก่อนตัวเองจะตามมานั่งข้างๆ กันปล่อยให้อุ่นทำหน้าที่สารถีแบบเต็มตัว ตลอดทางไปที่ตรงไปร้านอาหารนอกมหา'ลัยทุกอย่างเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจ

"เทวิน"
เสียงทุ้มนุ่มเรียกชื่อกันทำให้ผมละสายตาจากวิวทิวทัศน์ข้างทางกลับมามองเจ้าของเสียง เขามองกันก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบแผ่นหลังเบาๆ เป็นการปลอบ

"ขอโทษ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะซุกหน้าลงบนอกของเซน มือเรียวยกขึ้นลูบหัวกันอย่างแผ่วเบาโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่นั่นคือการตอบรับที่ดีที่สุดของเขาแล้วในเวลานี้

"วันนี้บรรยากาศแปลกๆ ว่ะเซน อยู่ๆ ฟ้าครึ้ม"
อุ่นเหลือบมามองเราและบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองเห็น ตอนแรกแดดจ้าจนแสบตาแต่มาตอนนี้กลับอึมครึมและอากาศเย็นลงจนทุกคนเริ่มตื่นตัว ผมผละออกจากอ้อมกอดอุ่นแล้วมองออกไปด้านนอก มันน่ากลัวราวกับว่าจะมีปีศาจโผล่ขึ้นมาจากขุมนรก

"กลับคอนโดเดี๋ยวนี้"
เสียงดุๆ เอ่ยสั่งอุ่นทันทีที่สังเกตการณ์รอบด้านเรียบร้อยแล้ว ผมไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อุ่นพยักหน้ารับและรีบหาที่กลับรถ แต่ดูเหมือนว่าอะไรบางอย่างจะสายไปเมื่อสารถีพูดเสียงเย็น

"ไม่ทันแล้วเซน"
สิ้นสุดคำของอุ่น วิวทิวทัศน์รอบด้านกลับหมุนคว้างจนมองไม่เห็นเป็นรูปร่าง ผมช็อกจนไม่สามารถร้องออกมาได้ รถกำลังพลิกคว่ำจากอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกสุดท้ายก่อนสติจะดับวูบคือเจ็บจนจุก เจ็บเหมือนกระดูกทั้งร่างหักไม่มีชิ้นดี ผมต้องตายแน่ๆ

"เทวิน อย่าหลับ เทวิน!!"
นั่นคือเสียงเรียกร้องชื่อของผมครั้งสุดท้ายที่ได้ยินก่อนสติจะดับวูบลง




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-11-2016 16:31:43
ผมตื่น... ไม่ใช่สิ ผมกำลังฝันว่าอยู่ในสถานที่ที่มีแต่สีขาว มันคล้ายกับห้องสีเหลี่ยมให้โรงพยาบาลจิตเวชสักแห่ง ไร้หน้าต่างไร้บานประตูจนดูน่าอึดอัดแต่แปลกที่ยังสามารถหายใจได้อยู่ ไม่สิ ผมไม่ได้หายใจแม่แต่เสียงเต้นตึกตักในอกยังไม่ได้ยิน มันเงียบมาก หน้าอกไม่ได้กระเพื่อมขึ้นลงอีกแล้ว นี่สรุปว่าผมตายด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำจริงๆ เหรอวะ

ไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนหรือมีกลไกที่ใดบ้าง ผมตัดสินใจนั่งขัดสมาธิลงกลางห้องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวไร้ทางไป ไม่รู้ว่าต้องติดในห้องสีขาวนี้ไปอีกนานแค่ไหน ครั้นจะทอดกายนอนเหยียดยาวก็กลัวว่าอะไรบางอย่างจะโผล่ออกมา ลองก้มมองชุดที่ใส่ในตอนนี้ถึงกับเผลอกลั้นลมหายใจ เมื่อมันคือชุดสีขาวสะอาดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจำนวนมหาศาล มือเรียวสั่นเทาไล่จับตามเนื้อตัวอย่างรนรานราวกับจะหาบาดแผล แต่กลับไม่มีของพวกนั้นอยู่เลย

"อะไรวะ"
ผมพึมพำกับตัวเองเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ แต่แค่เพียงอึดใจกล่องสีเหลี่ยมสีขาวขนาดใหญ่ก็เปิดออกทั้งสี่ด้าน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือทุ่งหญ้าเขียวขจีในก้นบึ้งความทรงจำ สถานที่ที่เคยเจอกับอัสโมดายร่างมนุษย์เป็นครั้งแรก ดอกกุหลาบหลากสีสันยังคงบานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมอบอวลเหมือนเดิม

ผมลุกขึ้นและมองสำรวจไปรอบตัวเองก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าทุ่งหญ้านี้กินพื้นที่ขนาดเท่าไหร่แต่มันไกลสุดลูกหูลูกตาเสมือนว่าไม่มีที่สิ้นสุด ขายาวหยุดชะงักเมื่อพื้นดินกำลังสั่นไหว ไม่นานนักร่างที่คุ้นตาในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยก็โผล่ขึ้นมา... คาดว่าคงมาจากนรก

"อะ อัสโม ดะ ดาย"
เสียงของผมขาดหายเมื่อเห็นบางอย่างที่อยู่ในมือของเขา มันมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อสีแดงและเต้นตุบๆ รู้ได้ทันทีว่าคือหัวใจ แต่ของใครกันล่ะ หรือว่า... ลองก้มลงมองตัวเองอีกครั้งและพบว่าหน้าอกกลวงโบ๋ปราศจากสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต

"เจอกันอีกแล้ว"
คำทักทายเดิมเมื่อเจอกันครั้งที่สองดังผ่านริมฝีปากแดงสดราวกับเลือดออกมา เขาย่างก้าวช้าๆ มาหากันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมเผลอถอยหลังเพราะรู้สึกได้ว่าหายนะกำลังมาเยือน

"อะ เอาหัวใจของผมไปทำไมครับ"
ผมถามเสียงตะกุกตะกักเมื่อเริ่มหายใจลำบากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะคนตรงหน้าหรือเพราะผมขาดหัวใจของตัวเองไปกันแน่ถึงได้เป็นแบบนี้ เขาใช้ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองมาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่มุมปากกลับกระตุกยิ้มน่าขนลุก

"ยังคิดว่ามันคือของเจ้าอีกอย่างนั้นหรือเทวิน"

"มะ มันเป็นของผม"
ผมทรุดลงนั่งคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจถี่กระชั้นจนน่ากลัว เขาย่อตัวลงในระดับเดียวกันก่อนจะแลบลิ้นเลียก้อนเนื้อในมืออย่างยั่วยวน... ผมอยากเอื้อมมือไปดึงรั้งมันกลับมาแต่ไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ทั้งสิ้น แค่จะช้อนสายตามองคนตรงหน้ายังทำได้อย่างยากลำบาก

"เจ้ากำลังจะตายเทวิน"
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับนิ้วเรียวขย้ำลงบนก้อนเนื้อสีแดง ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกปวดร้าวไปทั้งทรวงอก หัวใจยังคงเชื่อมกับร่างกายจนน่าแปลกใจ อัสโมดายกำลังเล่นสนุกอะไรกันนะ เลือดสีแดงคล้ำข้นคลั่กพุ่งออกมาจากปากยามเมื่อเขาเพิ่มแรงบีบรัดลงไป เจ็บทุรนทุรายแทบขาดใจจนไถลลงไปนอนราบกับพื้นหญ้า

"ยัง ยังไม่อยาก ตะ ตาย อึก"
ผมสำลักจนลิ่มเลือดไหลออกมาตรงมุมปาก พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีดันกายขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับปีศาจแสนเจ้าเล่ห์แต่ไม่สำเร็จ ร่างกายหนักอึ้งจนไม่สามารถขยับเขยื้อน ได้แต่นอนหายใจรวยระรินสัมผัสกลิ่นเหม็นเขียวของต้นหญ้า

"ไม่อยากตายหรือ ทำพันธะสัญญากับเราสิ"

"ทะ ทำ... ทำครับ"
ตอบไปโดยไม่รู้ว่าตัวเองมีบรรณาการสิ่งใดควรค่าแก่การร้องขอชีวิตกับปีศาจที่สามารถดลบันดาลให้มนุษย์เป็นอมตะ แต่นี่เป็นเพียงข้อเสนอเดียวที่ผมจะได้กลับไปใช้ชีวิตที่เหลือกับคนที่รักได้ ถึงแม้ต้องแลกด้วยชีวิตหรือวิญญาณก็พร้อม

"เจ้าจะได้รับความเป็นอมตะจากเรา แต่บรรณาการตอบแทนช่างสูงนัก จะให้ข้าได้หรือ"
น้ำเสียงของเขาทุ้มนุ่มจนเผลอคิดไปว่ามันคล้ายกับใครคนหนึ่งที่ผมเฝ้าฝันถึงอยู่ตลอดเวลา กลิ่นมิ้นท์อ่อนๆ ที่ลอยวนในอากาศช่างคุ้นเคยจนรู้สึกอุ่นใจ บางครั้งเซนอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเช่นกัน

"อะ อัสโม ดะ ดาย ต้องการอะไรครับ"

"ความรู้สึกทั้งหมดที่เจ้ามีต่อมนุษย์ที่ชื่อเซน"

"...."
ผมนิ่งค้างกับบรรณาการที่มีค่าสูงลิบลิ่ว ความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อเซนอย่างนั้นหรือ ถ้าเขาให้ปีศาจไปก็แสดงว่าจะไม่หลงเหลือความชอบความรักใดๆ เลยสินะ แต่พอหักล้างกับการมีชีวิตอยู่เคียงข้างเขาต่อไปมันก็คุ้ม... ใช่ไหม

"ครับ ผม... ตกลง"

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนกึกลอยมาแตะจมูกจนต้องยู่หน้าด้วยความขัดใจ ดวงตากลมปรือขึ้นอย่างยากลำบากเมื่อเจอกับแสงไฟนีออนที่สาดกระทบลงมา ร่างกายหนักอึ้งและปวดเมื่อยไปหมด จำไม่ได้เลยว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

"ฟื้นแล้วหรือ"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามกัน ผมพยายามปรือตามองหาเจ้าของเสียงอย่างยากลำบาก แต่เมื่อโฟกัสชัดขึ้นกลับต้องตกใจหนักเพราะอัสโมดาย... ปีศาจตนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงด้วยท่วงท่าสบายๆ แถมชุดที่ใส่ยังเหมือนในความฝันเป๊ะๆ ผมสีดำสลวยที่ด้านหลังถักเป็นเปียยาว ด้านหน้าดูเผินๆ คล้ายทรงอันเดอร์คัตที่กำลังฮิตในยุคนี้ บนศีรษะมีเขาเล็กๆ บ่งบอกความเป็นปีศาจ ปีกสีดำกลางแผ่นหลังย้ำเตือนว่าเขาเคยเป็นเทวทูตมาก่อน เสื้อผ้ายังคงนุ่งน้อยห่มน้อยจนน่าใจหาย กล้ามหน้าท้องเป็นลอนๆ จนน่าอิจฉา ถ้ามองเลยไปด้านหลังจะพบกับชายหนุ่มรูปร่างสมส่วนในชุดที่ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ตามแขน ใบหน้า หรือแม้กระทั่งเท้า มีเกล็ดแวววาวคล้ายๆ เกล็ดมังกรในภาพยนตร์ประดับอยู่เป็นช่วง ดวงตาเฉี่ยวคมสีเหลืองเหมือนสัตว์ร้าย นี่ผมยังฝันอยู่หรือเปล่าวะ!

"นะ นี่ยังฝันอยู่เหรอวะ"
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วขยับลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ตามองไปรอบๆ ห้องก็ได้รู้ว่าตัวเองอยู่โรงพยาบาล ครั้นจะถามเอาจากใครว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นก็ยากไปหน่อย แล้วนี่เพื่อนของผมหายไปไหนกันหมดล่ะ

"ตื่นแล้ว ไม่ได้ฝัน"
เสียงทุ้มต่ำบอกกัน ผมหันขวับไปมองเขาอีกรอบก็เจอรอยยิ้มทะเล้น จำได้แค่ว่าเขาคืออัสโมดายแค่นั้น นอกเหนือจากนั้นความทรงจำแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย

"ละ แล้วอัสโมดายโผล่มาได้ยังไง ผมไม่ได้อัญเชิญนะ"

"สิทธิพิเศษสำหรับเจ้า นายของเราเลยมาหาโดยไม่ต้องอัญเชิญไง"
ดวงตาสีเหลืองราวสัตว์จ้องมองกันด้วยแววทะเล้น ยอมรับว่าแอบกลัวแต่ไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ

"อ่า... เหรอครับ แล้วเซนกับอุ่นล่ะ"
ผมถามขึ้นเมื่อนึกได้ว่าตัวเองก็มีเพื่อนอยู่กับเขาด้วยเหมือนกัน ถ้าเข้าโรงพยาบาลขนาดนี้แล้วยังไม่มาเยี่ยมก็แปลกเกินไปหน่อยแล้วมั้ง

"ต่อจากนี้ไปพวกเราจะเป็นเพื่อนของเจ้าเอง... ตลอดไป"




-----------------------------------------------------

เอ้ะ อะไรยังไง ใครสงสัยบ้าง?

ปล. อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 09-11-2016 17:40:30
ชอบเรื่องนี้น่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 09-11-2016 20:03:17
อะไรยังไงกัน
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 09-11-2016 20:13:09
อ่าว แล้วคือไม่ต้องมีเซนกับอุ่นแล้วหรอ? แล้วบารอนล่ะ (นี่ก็ห่วงหมาอีก) แล้วทำไมต้องพายุล่ะ แล้วเกี่ยวกับ "เขา" คนนั้นไหมอะ? แล้วๆๆๆๆ???

อื้ออออ ช่วยเทวินงง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: dark-soleil ที่ 09-11-2016 20:40:27
อ่าวว...งงเลยตรู...หรือเซนกับอุ่นคือคนที่อัสโมดายให้มาเฝ้าวิน? แบบพอทำสัญญากันแล้วก็เลยหมดประโยชน์ไรงี้? หรือทั้งหมดนั่นคืออัสโมดาย? โอ๊ยยย งง :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-11-2016 21:42:45
 :m28: :m28: :m28: :m28: :m28:

 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 9 -P.3- (09.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 11-11-2016 05:08:26
ซับซ้อนเหลือเกิน  :katai1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 13-11-2016 16:42:08
ตำราบทที่ 10


'A fool believes everything'
คนโง่เชื่อทุกอย่าง




การได้กลับมาอยู่ในที่ที่คุ้นเคยทำให้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวพองโตขึ้น แต่ความรู้สึกกับใครบางคนได้สูญเสียไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ว่าทำไมทุกครั้งที่คิดถึงเพื่อนสนิทที่ชื่อ 'เซน' ถึงได้รู้สึกว่างเปล่า ไม่ยินดียินร้ายอะไรกับตัวตนนั้นเลย แต่กับคนอื่นทุกอย่างยังปกติ ทำให้พาลคิดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของผมจริงๆ นะเหรอ

ประตูกระจกถูกเปิดออกโดยน้ำมือของผม สายลมอ่อนๆ โชยพัดเข้ามาปะทะหน้าทำให้รู้สึกว่าเช้าวันนี้อากาศดีกว่าทุกวัน อาจเพราะย่างเช้าช่วงปลายปีก็เป็นได้ คนที่ยืนอยู่ข้างกัน... ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าอะไรดีล่ะ มังกรของอัสโมดายตัวนั้นสามารถอยู่ในร่างมนุษย์ที่ปราศจากเกล็ดได้อย่างไม่มีที่ติ หล่อมีเสน่ห์จนเผลอคิดว่าดันไปเป็นนายแบบได้คงดี

"คาอิน..."
ผมเรียกชื่อเขาที่รู้มาจากอัสโมดายเมื่อวานนี้ก่อนจะโดนนำตัวออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนหน้านั้นผมร้องโวยวายว่าพวกเขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยลักษณะรูปร่างหน้าตาและเครื่องแต่งกายสามัญของพวกเขาได้จะทำให้คนอื่นตื่นตกใจ ปีศาจเลยดลบันดาลเปลี่ยนทุกอย่างให้เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปทุกกระเบียดนิ้ว

"หื้ม มีอะไร หรืออยากกินไก่ในมือเรา"
เขาถามก่อนจะมองหน้าผมสลับกับน่องไก่ทอดที่อยู่ในมือ ดวงตาสีเหลืองดูน่ากลัวแต่ชวนหลงใหลอยู่ไม่น้อย ถ้าใครได้พบเจอปีศาจในร่างมนุษย์แบบนี้คงชมว่างดงามแน่ๆ

"เปล่า... ผมแค่อยากรู้ว่าเพื่อนหายไปไหนกันหมด"
ดวงตากลมทอดมองก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าสีคราม คำถามนี้ถูกเอ่ยตั้งแต่โรงพยาบาลยันคอนโดก็ไม่มีใครตอบอะไรออกมา ทำราวกับว่าเสียงของผมมันดังไม่พอ ตอนนี้อัสโมดายหายไปทำภารกิจอะไรบางอย่างเลยมีโอกาสให้ผมลอบถามสัตว์พาหนะของเขาแทน

"อืม... นายท่านบอกว่าเซนกับอุ่นมีธุระต้องไปทำด่วนที่ต่างประเทศน่ะ อาจจะกลับมาเร็วๆ นี้ หรืออาจจะอยู่ที่นั่นยาวเลยก็ได้"
คำตอบของคาอินทำให้ผมขมวดคิ้วยุ่ง ปีศาจล่วงรู้ทุกเรื่องของมนุษย์ได้ยังไงกันนะ อยากทำได้แบบนั้นบ้างจังคงจะดีไม่น้อย แต่มันก็น่าแปลกที่ทั้งอุ่นและเซนไม่ยอมบอกผมด้วยตัวเองสักคำ แถมยังหนีหายโดยไม่ติดต่อกลับมาอีกด้วย ตกใจมากแค่ไหนที่ลืมตาตื่นมาเจอปีศาจกับสัตว์พาหนะยืนจ้องกันอยู่ ถ้าเป็นคนจิตอ่อนคงเป็นบ้าไปแล้ว

"เหรอ... จะติดต่อได้ยังไงครับ ทิ้งกันแบบนี้ผมก็ไปเรียนคนเดียวอะดิ"
ผมบ่นงุ้งงิ้งเพราะไม่สนิทกับเพื่อนร่วมภาคคนอื่นๆ สักเท่าไหร่ ไปเรียนคนเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมายหรอก แต่มีเพื่อนก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ

"เจ้านี่งอแงเก่งใช่เล่นเลยนะ"
คาอินพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะกัดไก่ทอดในมือเข้าไปอีกคำ ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วโน้มตัววางคางลงบนขอบระเบียงอย่างหมดแรง จริงๆ ก็คิดจะโกรธเพื่อนสนิทเหมือนกัน แต่เพราะคำว่าธุระสำคัญมันค้ำคอเลยทำอะไรไม่ได้ แถมไอ้ความรู้สึกที่ว่างเปล่ากับเซนนี่มันอะไรกันแน่นะ

"เปล่าสักหน่อย คาอินนี่กินเก่งเนอะ ไก่ทอดหมดไปหลายกิโลแล้วนะ"
ผมเหลือบมองคนข้างๆ ตัวแล้วยิ้มออกมานิดๆ มังกรตัวนี้มีความขี้เล่นสูงกว่าจะดุร้ายเลยทำให้คิดว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งได้อย่างสบายๆ อัสโมดายก็เป็นคนอารมณ์ดีนะ ขี้แกล้ง แต่เหมือนเขาจะใช้เสน่ห์ที่มีทำให้ผมเผลอเคลิ้มอยู่เรื่อย... อยูด้วยกันยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่รู้ว่าหลงใหลได้ปลื้มในตัวปีศาจไปกี่ครั้งแล้ว ไม่อยากจะนับเลย

"เจ้าอย่าลืมว่าเราเป็นมังกร..."
ดวงตาสีเหลืองเหลือบมองกัน ปากบางสวนนั่นเบะลงเพราะโดนทักเรื่องจำนวนอาหาร ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มหัวขอโทษเจ้ามังกรขี้น้อยใจ

"ขอโทษครับ คราวหลังจะไม่ทักเรื่องกินอีกแล้ว"

"ดีมาก กลับเข้าไปข้างในเถอะ เมฆฝนกำลังมา"
คาอินบอกก่อนจะชี้ไปที่เมฆสีดำทะมึนกำลังเคลื่อนเข้ามาปรกคลุมน่านฟ้าบริเวณคอนโด ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำเขากลับเข้าห้อง ได้ยินเสียงปิดประตูกระจกไล่หลังมาทำให้รู้ว่าเจ้ามังกรก็เดินตามมาแล้วเช่นกัน

ภายในห้องดูอึมครึมกว่าทุกครั้งเพราะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าปีศาจนั่นมีไอสีดำแผ่อยู่รอบตัวบางเบาแต่ก็มองด้วยตาเปล่าได้ จริงๆ แล้วผมควรจะกลัวแต่กลับรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด จะมีคนดีที่ไหนอยู่ร่วมชายคากับปีศาจได้บ้างล่ะ คงไม่มีหรอก

"เทวิน... เจ้าไม่รู้สึกอะไรกับเซนแล้วจริงๆ เหรอ"
อยู่ๆ เจ้ามังกรตัวโตหน้าหล่อก็ถามขึ้นในขณะที่ผมหย่อนก้นลงบนโซฟา การกระทำทุกอย่างชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวคิ้วจะขมวดเข้าหากัน ผมยังคิดไม่ออกว่าควรรู้สึกยังไงกับบุคคลคนนี้ ว่างเปล่าเหมือนความจำส่วนที่เกี่ยวกับเขาหายไป

"ผม... ควรรู้สึกยังไงกับเขาเหรอคาอิน"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงตากลมมองไปด้านหน้าอย่างไรจุดหมาย มังกรที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันหายใจเข้าออกฟืดฟาดจนเผลอกลัวว่าจะมีไฟออกมาทางจมูกไหม ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่

"ร้ายกาจ"
คาอินพึมพำเบาๆ ซึ่งผมได้ยินไม่ถนัดเลยถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงสัย

"ว่าอะไรนะ"

"เปล่า แล้วเจ้าจะออกไปไหนหรือเปล่า เราสามารถไปเป็นเพื่อนได้นะ"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง ผมส่ายหัวเบาๆ แทนคำตอบเพราะรู้สึกว่าร่างกายยังล้ากับการตกบันได... อัสโมดายกับคาอินบอกว่าผมพลาดตกบันไดจนต้องเข้าโรงพยาบาลนะ จริงๆ ไม่มีความทรงจำส่วนนั้นเลยด้วยซ้ำ

"อัสโมดายจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ"
ผมถามขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดไปถึงปีศาจหน้าหล่อที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่ร่ำลากันแม้แต่น้อย ตื่นขึ้นมาก็เจอกับเจ้ามังกรนั่งอยู่บนเตียงข้างๆ กันพร้อมกับไก่ทอดในมือแล้ว เขาบอกว่าเจ้านายลงมือทำให้ด้วยตัวเอง ซึ่งอดแปลกใจไม่ได้ว่าปีศาจก็ทำอาหารเป็นเหมือนกันเหรอ ชวนให้คิดถึงเซนจริงๆ

"คิดถึงหรือ"
คาอินถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นเล็กน้อย แต่ผมไม่สนุกด้วยเลยสักนิดจนต้องปั้นหน้ายุ่งใส่ ใครเขาจะคิดถึงกันล่ะ ไม่ได้หลงรักสักหน่อยถึงได้คิดถึงตอนไม่ได้เจอน่ะ

"เปล่านะ อย่ายัดเยียดดิ คาอินคิดถึงเองก็บอก"
ผมโบ้ยข้อกล่าวหากลับไปให้เจ้าตัวง่ายๆ เพราะไม่อยากยอมรับว่าอัสโมดายมีเสน่ห์ดึงดูดมากเกินไป และมีลางสังหรณ์ว่าถ้าวันไหนเกิดปล่อยตัวปล่อยขึ้นมาจะไม่สามารถถอนคืนได้อีก เรื่องที่มนุษย์หลงใหลในตัวปีศาจนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไปอยู่แล้ว แต่กับผมคิดว่าไม่ถลำลึกจะดีที่สุด

คาอินถึงกับเบ้ปากเมื่อฟังคำพูดของผมจบ มีหลายครั้งที่เผลอคิดว่าสัตว์พาหนะตัวนี้ไม่เคยให้ความยำเกรงเจ้านายของตัวเองเลยสักครั้ง ราวกับว่ายศถาบรรดาศักดิ์เทียบเท่ากัน ไม่อยากจะสอดเรื่องคนอื่นหรอกแต่มันน่าสงสัยจริงๆ

"เจอหน้ากันทุกวันจนเบื่อแล้ว จะให้เราคิดถึงอีกทำไม"

"อ่าว... เป็นงั้นไปเนอะ"
ผมว่าเสียงเบาก่อนจะยิ้มออกมา จริงๆ แล้วการอยู่ร่วมกับปีศาจคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่หรอกมั้ง

เช้าวันใหม่ส่งแสงตะวันเรืองรองมาทักทายกันตั้งแต่หกโมงเช้า ผมดึงผ้าห่มคลุมหัวเพราะรู้สึกไม่อยากตื่นทั้งๆ ที่มีเรียนตอนเช้า คาอินที่นอนข้างๆ กันคงตื่นแล้วเพราะรู้สึกถึงแรงสะเทือนของเตียง อัสโมดายไม่ได้กลับมาที่คอนโด ไม่รู้ว่าเขาต้องจัดการธุระอีกนานแค่ไหนกัน

"เทวิน เจ้าไม่ไปเรียนหรือไง รีบตื่นได้แล้ว"
เสียงที่เกือบจะคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูพร้อมกับแรงกระชากผ้าห่มออกจากตัว ภาพเบื้องหน้าทำให้ผมอ้าปากค้างเพราะคาอินกำลังยืนเปลือยอยู่ข้างเตียงไร้ซึ่งเสื้อผ้าปกปิด

"เฮ้ย แก้ผ้าทำไมเนี่ยคาอิน"
ผมร้องลั่นก่อนรีบดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้วเบนสายตาหนีไปทางอื่น ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่ไม่โรคจิตพอจะจ้องร่างกายคนอื่นนะ ด้วยท่าทางที่แสดงออกเพราะตื่นตกใจทำให้เจ้ามังกรขี้เล่นหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ไม่รู้สนุกอะไรของเขานักหนา จะหั่นไปต่อว่าก็กลัวเผชิญหน้ากับเจ้ามังกรน้อยอีกหน โอย จะบ้าตาย

"แกล้งเจ้านี่สนุกจริงๆ เลย"
พูดจบยังเอื้อมมือมาโคลงหัวกันก่อนจะเดินโทงๆ ไปทางห้องน้ำและหยิบผ้าขนหนูเข้าไปด้วย... มังกรอาบน้ำด้วยเหรอ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยก่อนจะย้ายตัวเองมาจัดชุดนักศึกษาเตรียมไปเรียน ระหว่างที่รอคาอินเล่นน้ำผมก็เตรียมอาหารง่ายๆ อย่างไส้กรอกทอด ไข่ดาว ขนมปังปิ้งเอาไว้สองชุด ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากินได้หรือเปล่า แต่มีปัญญาทำแค่นี้ล่ะ ก็อัสโมดายทิ้งภาระไว้ให้นี่!

หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จก็ย้ายตัวเองมานั่งกดโทรศัพท์เล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย โซเชี่ยลต่างๆ ของเซนกับอุ่นไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือเป็นห่วงอะไร แต่ที่น่าแปลกคือใครบางคนแอดไลน์กันมา นิ้วเรียวแตะลงบนแจ้งเตือนนั่นก่อนคิ้วจะขมวดแน่น เพลย์ไปได้ไอดีมาจากไหนกัน!

"เชี่ย..."
ผมอุทานเบาๆ แล้ววางโทรศัพท์ลงเหมือนเป็นของร้อนในขณะที่คาอินก้าวออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดนักศึกษา เอ๊ะ แต่เดี๋ยวนะ ไปเอาชุดใครมาใส่แล้วเขาจะไปเรียนกับผมหรือยังไงกันนะ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม หน้าตาหล่อๆ กับดวงตาสีเหลืองก็ยื่นเข้าไปมองหน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างสนใจ ก่อนที่คิ้วเรียวนั่นจะขมวดจนเป็นปม

"เพลย์... แอดไลน์มาหาเจ้าเหรอ"
เข้าถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแต่ผมกลับได้ยินชัดเจน ไอ้เรื่องที่รู้ชื่ออีกคนไม่สงสัยเท่าไหร่หรอก แต่แปลกใจมากกว่าที่มังกรนรกอย่างคาอินรู้จักแอพพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือแถมยังไม่ตื่นตกใจกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

"คาอินรู้จักไลน์ด้วยเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อจนได้ค้อนวงใหญ่กระแทกหน้าหงาย ผิดตรงไหนเล่าที่จะสงสัยเรื่องนี้ ก็ปีศาจอยู่มานานเป็นพันๆ ปีไม่ใช่หรือ จะทันยุคทันสมัยขนาดนี้เลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ

"มันใช่ประเด็นที่เราคุยกันอยู่หรือ เจ้ากดรับไปหรือยัง"
แทนที่จะคลายข้อสงสัยให้กันก่อนกลับโดนซักถามกลับซะอย่างนั้น ผมส่ายหน้าวืดแทนการปฏิเสธแล้วแอบเบ้ปากเมื่อเห็นแจ้งเตือนแชทเด้งขึ้นมา ไม่รับแอดก็ใช่ว่าจะคุยไม่ได้ โอย จะทักมาทำไมวะเนี่ย ไม้กันหมาก็ไม่อยู่แล้วด้วย ประสาทจะแดกแล้วเว้ย เมื่อวานเพิ่งมีเรื่องกันไปวันนี้แม่งจะตื้อกันแล้วเหรอ โอยตาย ชีวิตเทวินทำไมวุ่นวายแบบนี้วะ

"ยัง... โอย จะทำไงดีวะ นี่ผมเพิ่งมีเรื่องกับมันไปเมื่อวานเองนะ แล้วนี่ไปเอาไอดีไลน์มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ จะบ้าตาย"
ผมบ่นยาวเหยียดก่อนจะทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ใช่ว่ากลัวอะไรแต่มันน่ารำคาญ คนเขาไม่ชอบยังจะตามตอแยกันอยู่ได้ คนที่ไม่ใช่ พยายามแค่ไหนก็ไม่ใช่มันรู้จักประโยคนี้ไหมนะ

"เจ้าอย่าเพิ่งรน ไปอาบน้ำซะ"
ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะยอมทำตามที่คาอินบอกอย่างว่าง่าย กว่าจะจัดการตัวเองเรียบร้อยก็เกือบสามสืบนาทีกลับมาหยิบโทรศัพท์มือถืออีกครั้งแทบช็อก ในเมื่อแจ้งเตือนไลน์ขึ้นมาเกือบร้อยข้อความและล้วนส่งมาจากคนๆ เดียว อยากขว้างโทรศัพท์ทิ้งแต่เสียดายเงินที่ซื้อมันมาได้ทำได้แค่กดแชทของเพลย์แล้วลบทิ้งโดยที่ไม่อ่าน จะเป็นจะตายอะไรขึ้นมาก็ช่างเขาเถอะ อย่าหาว่าใจร้ายใจดำเลยแต่ผมไม่สงสารใครหรอกนะในเรื่องความรักนอกจากตัวเองเท่านั้น แต่ไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยรักใครหรือเปล่า แปลกเนอะ

"เสียงโทรศัพท์เจ้าน่ารำคาญมาก"
เสียงคาอินดังมาจากในครัว ผมรีบสาวเท้าไปหาเขาและต้องหลุดหัวเราะเมื่อรอบปากมังกรเลอะไปด้วยคราบน้ำมันจากของทอดทั้งหลาย ดูๆ ไปเหมือนกับเด็กน้อยวัยสองสามขวบที่เพิ่งหัดกินข้าวเอง

"ขอโทษๆ แล้วนี่กินอิ่มหรือเปล่า"
ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขาก่อนจะมองจานว่างเปล่าที่โดนกวาดอาหารออกไปจนเรียบ เจ้ามังกรใช้ดวงตาสีเหลืองมองกันก่อนจะส่ายหน้าไปมาและส่งยิ้มแห้งมาให้กัน นี่อุตส่าห์ทำให้มากกว่าของตัวเองเป็นสามเท่าแล้วนะ เขาไม่อิ่มทิพย์เหมือนอัสโมดายหรือยังไง รู้สึกเปลืองทรัพยากรในการดำรงชีวิตชะมัด

"ยังไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย แต่เจ้านายสั่งไว้ว่าห้ามกินเยอะ เดี๋ยวเจ้าจะหมดตัวเสียก่อน"
คาอินพูดเสียงอ่อยและมองผมด้วยดวงตาละห้อย ความสงสารตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่อกจนเกือบจะยกอาหารเช้าของตัวเองไปให้ แต่กลับได้ยินเสียงอัสโมดายจากที่ไกลๆ สั่งห้ามเอาไว้ผมเลยทำได้แค่เลื่อนแก้วนมของตัวเองให้เจ้ามังกรตัวโตดื่มประทังชีวิต ส่วนตัวเองก็จัดการอาหารตรงหน้าไป

"เอ้อ แล้วนี่ใส่ชุดนักศึกษาทำไม"
ผมถามเมื่อคิดได้ว่าคนตรงหน้าอยู่ในเครื่องแบบนักศึกษา มือเรียวที่ถือแก้วนมอยู่ชะงักค้างก่อนจะลดลงแล้วส่งยิ้มหกว้างมาให้กัน

"ไปเรียนกับเจ้าไง จะได้มีเพื่อน"
คำตอบที่แสนเรียบง่ายแต่ทำให้ผมอึ้งไปนานับนาที จะเป็นยังไงกันนะถ้าพามังกรเข้าไปนั่งในห้องเรียน แถมหน้าตาแบบนี้อาจารย์ยังไม่คุ้นเคยอีกด้วย... บ้าไปแล้ว ถ้าเรื่องมันจะลำบากต้องอธิบายอะไรมากมายสู้ไปนั่งเรียนเงียบๆ คนเดียวดีกว่าไหมเนี่ย

"ผมไม่ได้ขอให้คาอินไปเรียนด้วยเลยนะ แล้วไม่มีใครรู้จักด้วย จะโดนอาจารย์ด่าเอาได้"

"เจ้าช่างเป็นคนวิตกกังวลเสียจริง เรื่องนั้นเราจัดการเองล่ะน่า"
มังกรพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และไปยืนรอกันที่หน้าประตูห้องเรียบร้อย ผมได้แต่ส่าบหน้าอย่างอ่อนใจก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูและรีบหยิบไส้กรอกในจานมาคาบไว้และรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋า คือจะสายแล้ว ไม่อยากคิดสภาพรถติดตอนเช้าเลย

หลังจากนั่งรถคนอื่นมานานและไม่เคยเอารถตัวเองที่จอดหลบมุมในตึกออกมาใช้เลย เจ้า Mini Cooper คันน้อยก็เหมือนจะงอแงเล็กน้อยเพราะปล่อยให้เจ้าของอย่างผมสตาร์ทอยู่นาน ในตอนแรกนึกว่ามังกรแสนขี้เล่นจะขอขับรถเองแต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวจะนั่งข้างๆ และมองทิวทัศน์ของเมืองหลวงเล่นแทน

ผมเคลื่อนรถออกจากตัวอาคารด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อยเพราห่างหายจากสกิลการขับรถมานานพอตัว ตอนแรกๆ ยังตะกุกตะกักเล็กน้อยแต่ออกถนนใหญ่ได้สักพักก็ลื่นไหลดี ไม่มีอะไรน่ากังวล

"เทวิน... โทรศัพท์เจ้าดังอีกแล้ว"
คาอินพูดโดยไม่หันมามองกัน ผมเหลือบทองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่สว่างวาบก่อนจะเบ้ปากใส่ ไอ้เพลย์มันจะอะไรนักหนา แบตเตอร์รี่โทรศัพท์ลดฮวบเพราะมึงเลยไอ้เลว ไอ้ขี้ตื้อ รำคาญเว้ย!

"เพลย์อีกแล้ว ผมควรจะทำยังไงดีวะคาอิน"

"เรากินมันเข้าไปเลยดีไหม จะได้เลิกทำนิสัยแบบนั้นสักที"
ผมเบิกตาโพลงเพราะไม่คิดว่าคาอินจะพูดแบบนั้น บางครั้งก็ผวากลัวว่าเขาจะทำจริง ในเมื่อมังกรเป็นสัตว์กินเนื้อแม้แต่มนุษย์ก็คงไม่ละเว้นเช่นกัน

"ไม่ได้ๆ กินเข้าไปเดี๋ยวก็เรื่องใหญ่โต"
ผมบอกเสียงรัวจนลิ้นแทบจะพันกันเหยียบเบรกเหยียบคันเร่งสลับกันมั่วไปหมดเพราะเผลอสติแตกกลัวว่าวันใดวันหนึ่งคาอินเกิดโมโหกันขึ้นมาจะจับผมกินด้วยไหม... ยังไม่อยากเป็นอาหารมังกร ฮือ

"แค่คนหายสาบสูญ เจ้าอย่าคิดมาก"

"เฮ้ย คาอินนั่นล่ะคิดน้อย นี่โลกมนุษย์นะเว้ย"
ผมโวยเสียงดังเพราะยังตกใจจนควบคุมน้ำเสียงไม่ได้ มือที่จับพวงมาลัยก็สั่นขึ้นมาซะดื้อๆ ให้ตายเถอะ กลัวจนลนลานไปหมดแล้ว นี่คิดผิดหรือคิดถูกที่ปรึกษาเรื่องเพลย์กับเจ้ามังกรตัวนี้วะ

"เราล้อเล่นหรอกน่า เจ้านี่เหมือนกระต่ายตื่นตูม"

"ไม่ตกใจก็แปลกแล้ว"
ผมบ่นอุบอิบก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามหา'ลัย

การเข้าเรียนครั้งแรกของคาอินผ่านไปด้วยดีเพราะเจ้าตัวทำอะไรบางอย่างกับความทรงจำของคนทั้งคลาสให้รู้จักตัวเอง และพฤติกรรมของเขาทำให้ผมนึกถึงเพื่อนสนิทที่ชื่ออุ่นขึ้นมาจับใจ หน้าตาเบื่อหน่าย ปากอ้ากว้างเพราะหาว ดวงตาสีเหลืองปรือปรอยเมื่อบทเรียนเริ่มขึ้น เหมือนอย่างกับพิมพ์เดียวกัน แต่มีอย่างเดียวที่ไม่เหมือนกันคือคาอินไม่ฟุบโต๊ะหลับแต่กลับใช้ฝ่ามือเท้าคางไว้ มีความเนียนขั้นแอดวานซ์จริงๆ เชื่อเขาเลย

"คาอิน... หลังเลิกเรียนไปเดินห้างกันไหม"
ผมออกปากชวนในขณะที่คาอินปรือตาขึ้น รอจังหวะนี้เกือบสิบนาที มีความพยายามไหมล่ะ ดวงตาสีเหลืองเหลือบมองกันก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มกว้าง คำพูดที่ว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปของพวกเขาคงจริงนั่นล่ะ

หลังเลิกเรียนผมก็พามังกรตัวโตเข้าร้านบุฟเฟ่ต์เพราะคิดว่ามันคุ้มเกินคุ้มเสียอีกแต่กลัวว่าเขาจะไล่เราออกจากร้านนี่สิถ้าหากว่าคาอินกวาดอาหารหมดร้าน กลัวใจเขาจริงๆ นะเว้ย

"คาอิน... อย่ากินหมดทั้งร้านนะ"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะคีบเนื้อวัวขึ้นบนเตาย่างทีละชิ้น เจ้ามังกรมองตาวาวและนั่งรอด้วยใจจดจ่อ เอาจริงๆ มีคำถามหนึ่งที่ผมอยากรู้มาตลอดคือเขาอายุเท่าไหร่ ทำไมยังดูมีนิสัยเด็กน้อยติดตัวอยู่กันนะ




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 13-11-2016 16:42:45
"ผมถามอะไรบางอย่างได้ปะ"
คาอินเงยหน้าจากเตาขึ้นมองกันด้วยความสงสัย หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ถามได้ แต่ไอ้ตะเกียบในมือที่เคาะลงบนจานนั่น... หิวมากสินะ

"อ่า... ถามออกไปแล้วอย่าโกรธกันนะ"
ผมลองเชิงอีกครั้งก่อนจะได้รับสีหน้าหงุดหงิดกลับมา สงสัยจะทำให้มังกรโมโหหิวรำคาญเข้าแล้วล่ะ

"กลับด้านเนื้อย่างให้เราก่อนค่อยถาม!"
คาอินพูดด้วยเสียงจริงจัง ดวงตาสีเหลืองจ้องเขม็งราวกับบังคับกันจนผมรีบลนลานกลับด้านเนื้อย่างให้เขาอย่างรวดเร็ว จริงๆ เขาจะกินแบบดิบเลยก็ได้แต่มันประเจิดประเจ้อเกินไปเลยต้องใช้วิธีแบบมนุษย์พึงกระทำ

"ถามจริง... คาอินอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย"

"เราเหรอ... ขอคิดก่อนนะ"

"เอ่อ มันนานจนจำไม่ได้เลยเหรอ"

"ไม่ขนาดนั้นหรอกแค่ประมาณสี่ร้อยปีเอง"
ผมสำลักน้ำค่อกแค่กจนแสบคอไปหมด คาอินยังอุตส่าห์มีน้ำใจยื่นกระดาษทิชชู่มาให้โดยไม่โกรธสักนิดที่ทำน้ำกระเด็นใส่หน้าหล่อๆ ของเขา ก็ดีแล้ว กลัวว่าตัวเองจะเป็นอาหารมังกรจะตายอยู่แล้ว โฮ

"ตกใจอะไรขนาดนั้น เราแก่หรือไง"
น้ำเสียงถามกันสบายๆ เหมือนไม่เครียดเรื่องอายุสักเท่าไหร่ ก็คงจะอย่างนั้นล่ะ สามสี่ร้อยปีของพวกปีศาจนี่อาจจะเป็นเพียงแค่เด็กประถมก็เป็นได้ แล้วอย่างผมที่เกิดมาแค่ยี่สิบปีคงเทียบเท่าเด็กทารกของโลกเขาล่ะมั้ง...

"ถ้าเทียบกับอายุมนุษย์คงเทียบไม่ได้เพราะไม่มีใครอยู่ได้นานขนาดนั้นหรอก"
ผมว่าก่อนจะจัดการคีบเนื้อบนเตาย่างใส่จานของคาอิน เขายิ้มระรื่นก่อนจะใช้ตะเกียบคีบมันเข้าปากโดยไม่มีการเป่าใดๆ ทั้งสิ้นและดูเหมือนจะถูกใจกับรสชาติอยู่ไม่น้อยด้วย

"มนุษย์ที่ทำพันธะสัญญากับเจ้านายก็อยู่ได้นี่"
เขาพูดเสียงอุดอู้เพราะในปากเต็มไปด้วยเนื้อย่างจำนวนมาก ผมไม่ได้ว่าเขาเรื่องกินมูมมามเพราะคิดว่ามันไม่ได้น่าเกลียดอะไรสำหรับเด็กผู้ชายวัยกำลังเจริญเติบโตคนหนึ่ง ดูเขามีความสุขกับโลกมนุษย์ผมก็ดีใจ

"เช่นผมสินะ... แล้วปกติเขาต้องอยู่เป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปตลอดหรือเปล่า"
ผมถามด้วยความสงสัย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงอัสโมดายต้องมีร่างแยกสิ เพราะผมเชื่อว่าจักรวาลนี้คงอยากมีคนเป็นอมตะอยู่นับไม่ถ้วนแน่ๆ แต่ท่าทางที่คาอินกำลังแสดงออกกลับทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ เขาส่ายหน้า... หมายความว่ายังไงวะ

"เมื่อไหร่ที่ความปรารถนาเป็นจริงและมนุษย์ได้จ่ายบรรณาการที่เหมาะสม เมื่อนั้นพันธะสัญญาจะสิ้นสุดลงหรือพูดง่ายๆ ก็คือหมดหน้าที่ของปีศาจ แต่กับเจ้านั่นคือความต้องการของเจ้านายเอง ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษก็แล้วกัน"
เขาอธิบายกันด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมกลับอ้าปากค้างเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองได้รับสิทธิพิเศษแบบนั้นจากปีศาจหรือว่าเห็นผมเป็นของเล่นที่ไม่รู้จักเบื่อกันแน่ กำลังจะเปล่งเสียงถามออกไปแต่กลับโดนเจ้ามังกรยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เงียบซะอย่างนั้น

"อย่าถามต่อ เพราะเราไม่รู้ หรือถ้ารู้เราก็ตอบเจ้าไม่ได้หรอก"
เขาบอกก่อนจะผละนิ้วออกไปแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อ ผมได้แต่ลอบถอนหายใจยอมรับสภาพที่เป็นอยู่อย่างปลงตก ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตชั่วนิรันดร์จะเป็นอย่างไร แต่ถ้ามีคนที่เป็นอมตะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว

มื้ออาหารเที่ยงจบลง คาอินถึงกับบ่นว่าอิ่มทำให้ผมได้แต่ยิ้มแหย่เพราะพนักงานมองเราอย่างกับจะตามมากระทืบกันเพราะกินเยอะเกินกว่าคนสิบคนกินเสียอีก พยายามเตือนเจ้ามังกรหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ฟังกันเลยขี้เกียจจะห้ามเพราะคิดว่าเปลืองน้ำลายเปล่า ถ้าอัสโมดายอยู่ด้วยคงคุมสัตว์พาหนะของตัวเองได้อยู่หมัดแน่ๆ ว่าไปแล้วก็คิดถึงว่ะ... หายไปเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนะ ถ้าเป็นคนธรรมดาผมคงวิ่งไปแจ้งความแล้ว

เรากำลังเดินทอดน่องในส่วนของซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของไปเติมในตู้เย็นที่กำลังจะหมด มังกรตัวโตตาลุกวาวเมื่อเห็นตู้แช่เนื้อขนาดใหญ่ ผมต้องถลาเข้าไปดึงแขนเขาเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเผลอทำอะไรประหลาดๆ จนคนรอบข้างหวาดกลัว

"อย่าทำหน้าประหลาดๆ ตอนเจอของกินดิ"
ผมขยับตัวเข้าไปกระซิบข้างหูทั้งๆ ที่ยังเกี่ยวแขนเขาไว้แน่น คนอื่นจะมองว่าเราเป็นคู่รักก็ช่างในเวลานี้ต้องหยุดยั้งมังกรเจ้าปัญหาไว้ก่อน และเหมือนเขาไม่เข้าใจที่ผมบอกสักเท่าไหร่เพราเอาแต่เอียงคอและใช้ดวงตาสีเหลืองมองกันด้วยความใสสี อยากจะจับมาเขกหัวนักแต่ไม่กล้าพอ กลัวโดนเขมือบซะก่อน ยังไม่อยากนอนในท้องมังกร

"เราทำหน้าประหลาดยังไงหรือ"

"เอ่อ... จะบอกว่ายังไงดีวะ ขอคิดก่อนนะ"
ผมลากเขาออกจากแผนกเนื้อสดแล้วตรงไปยังผัก ในหัวพยายามสรรหาคำพูดที่ทำให้เจ้ามังกรตัวนี้เข้าใจในสีหน้าที่แสดงออกมาของตัวเอง จะเสียเวลาลากเขาไปส่องกระจกก็กลัวว่าจะเดินไกลเกินไปหน่อย ถ้าให้พูดกันตามตรงหน้าเขาตอนนั้นเหมือน...

"ทำหน้าเหมือนคนหื่นกามเจอผู้หญิงสวย!"
เออใช่ แบบนั้นเลย ผมหันไปบอกเจ้ามังกรแบบนั้น เขาทำตาเหลือกก่อนจะไอค่อกแค่กเพราะสำลักอากาศเดือดร้อนผมต้องค่อยลูบหลังให้อีก สายตาคนรอบข้างก็มองเราแบบเหยียดๆ บางคนกรี๊ดออกมาเบาๆ หลากหลายความรู้สึกเหลือเกิน

"เราไม่ได้มีอารมณ์กับเนื้อสดพวกนั้นนะ!"
พอตั้งสติได้ก็แหกปากโวยวายจนผมใช้มือตะครุบแทบไม่ทัน กว่าจะทำให้สงบลงได้ก็แทบลงไปนอนกลิ้งกับพื้น อยากอ้อนวอนให้อัสโมดายกลับมาดูแลลูกอ่อนของตัวเองสักที นี่แค่วันเดียวนะ ถ้าเขาหายไปทำธุระสักอาทิตย์นึงผมคงตายซ้ำตายซากแน่ๆ

"ผมแค่เปรียบเทียบเว้ย ใครจะวิปริตมีอารมณ์กับเนื้อสดวะ"
ผมบ่นกระปอดกระแปดในขณะที่คาอินพ่นลมหายใจฟืดฟาดใส่กันและไม่ยอมให้จับแขนกันอีก นี่มังกรกำลังงอนมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างผมอย่างนั้นเหรอ ควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่

"นี่คาอิน... ไม่งอนกันนะ"
ผมพยายามทำเสียงให้น่ารักและแตะมือลงบนหัวไหล่มน เขาเหลือบดวงตาสีเหลืองมองกันเล็กน้อยแล้วเมินใส่ แต่ดีหน่อยที่ไม่ปัดมือทิ้ง คงเริ่มอารมณ์เย็นลงแล้วล่ะมั้ง

"เจ้านี่มัน... ขยันทำตัวน่ารักเสียจริงๆ"
เสียงพึมพำเบาๆ นั่นผมได้ยินไม่ค่อยถนัด น่ารัดๆ อะไรสักอย่างฟังแล้วขนลุกเป็นบ้า

"คาอินว่าอะไรนะ"
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่ดึงมือไปประสานกันก่อนจะเป็นคนนำเดินไปซะอย่างนั้น ทำไมนิสัยเสียชอบตัดบทสนทนาดื้อๆ แบบนี้เนี่ย

"รีบเดินหน่อย"
เขาหันมาเร่งกันด้วยน้ำเสียงรีบร้อน ผมไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่แต่ก็ยอมซอยเท้าให้เร็วขึ้น สรุปในตะกร้าที่ถือมาด้วยยังคงว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น สงสัยจะอดซื้อของอีกแน่ๆ

"ทำไมต้องรีบด้วยล่ะ นี่เรายังไม่ได้ซื้อของกันเลยนะคาอิน"

"เจ้าอยากเจอเพลย์อย่างนั้นหรือ"

"หา อะไรนะ เพลย์อยู่ที่นี่เหรอ"
ผมร้องออกมาด้วยความประหลาดใจก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาแต่กลับไม่เจอเพลย์ เริ่มกังวลว่าตัวเองอาจจะโดนสะกดรอยตามอยู่ก็เป็นได้

"อยู่ เรารับรู้ได้และอีกไม่นานเขาจะตามเรามา"
คำพูดของคาอินยิ่งทำให้ผมงงอย่างหนักแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพราะต้องรีบเดินออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตและรีบตรงดิ่งกลับไปที่ลาดจอดรถ แต่เหมือนทุกสิ่งผิดคาดเมื่อร่างสูงของคนที่เราหนีมาตลอดกำลังยืนพิง Mini Cooper ของผมอยู่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง วันนี้ดูลักษณะภายนอกของเขาเปลี่ยนไป แถมยังรู้สึกว่ารอบตัวมีรังสีอะไรบางอย่าง....

"หนีผมไม่พ้นหรอกน่าเทวิน"
เขาขยับตัวยืนตรงแต่ไม่ได้ย่างก้าวเข้ามาหา ดวงตาคมจับจ้องที่มังกรตัวโตแทน ริมฝีปากหยักแสยะยิ้มจนผมนึกกลัวท่าทางไม่คุ้นเคยของเพลย์ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ

"กูบอกมึงไปแล้วนะเพลย์ว่าถ้ามีอีกครั้งผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง"
ผมบอกเขาเพื่อทวนความจำอีกครั้ง แต่ดูเหมือนมันจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเสียหมดเพราะเพลย์ยังคงยื่นนิ่งแถมยังทำท่ากวนด้วยการใช้นิ้วแคะหูอีกด้วย

"แล้วยังไงเหรอครับ คิดว่าผมกลัวเหรอเทวิน"
เพลย์ขยับเท้าเข้ามาหาเป็นจังหวะกันที่คาอินขยับมาขวางไว้ ผมไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าสักเท่าไหร่ว่าทำไมมังกรต้องออกโรงปกป้องกันแบบนี้

"ถอยออกไปเดี๋ยวนี้"
คาอินพูดเสียงเด็ดขาดจนผมได้แต่เม้มปากแน่น เริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์กำลังตึงเครียด รังสีแปลกประหลาดทยอยหลั่งไหลออกจากตัวของเพลย์มาขึ้นจนผมสังเกตเห็นได้... ไม่จริงน่า เขาเป็นปีศาจเหมือนกันเหรอ

"ว้าว ออกโรงปกป้องแทนเจ้านายเหรอครับ น่าซาบซึ้งจัง"
คำพูดของเพลย์ไร้ความเกรงกลัวใดๆ ผมไม่อาจเปิดปากถามอะไรออกไปได้เมื่อความจริงของเขาปรากฏ ปีศาจในคราบมนุษย์ที่แสนแยบยล ดวงตาคมเปลี่ยนเป็นสีแดงวาบวับจนน่ากลัวว่าเลือดจะไหลออกมา

"อเมมอนส่งเจ้ามาสินะคาส"
อเมมอน... คาส... ชื่อหลังพอจะเดาได้ว่าเป็นใครแต่ชื่อแรกนั้นคงไม่ได้หมายถึงนายเหนือหัวของอัสโมดายใช่ไหม บอกทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง และผมไม่ใช่เหยื่อของปีศาจพวกนี้ ร่างกายสั่งการให้จับชายเสื้อของมังกรตรงหน้าไว้แน่นเพราสมองเริ่มสับสนและหวาดกลัวไปซะทุกอย่าง บริเวณนี้เงียบเชียบและไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตอย่างอื่นเข้ามารบกวน

"ว้า ทำไมคาอินเก่งขนาดนี้น้า ~ ราชามังกรแห่งนรก"

"เจ้าอย่าทำเสียงกวนประสาท"

"โอ่... แค่แหย่เล่นนิดหน่อยอย่าโกรธสิครับ"

"ต้องการอะไร"

"เทวินครับ ผมต้องการเขา"
ลมหายใจสะดุดกึกเพราะมีลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่า 'คาส' ไม่ได้ต้องการตัวผมในรูปแบบความรักใคร่ แต่อาจเป็นเพราะรับคำสั่งจากใครบางคนมาเอาตัวไป อัสโมดายอยู่ที่ไหนกันนะเวลานี้ จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่างนั้นเหรอ หรือเป็นแผนการมอบผมให้กับอเมมอนเพื่อเป็นของบรรณาการกันนะ

"เพราะอะไรคาส ทำไมเจ้าต้องการเทวิน"
คาอินยังคงถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง มือเรียวเลื่อนมากอบกุมมือผมไว้ราวกับปลอบประโลมให้เชื่อใจกัน ในใจภาวนาให้อัสโมดายรับรู้ถึงสถานการณ์ตอนนี้แล้วโผล่ออกมาสักที ผมเชื่อว่าราชามังกรตรงหน้าอาจจะสู้คาสไม่ได้

"อเมมอนไม่ชอบครับ ที่ดูเหมือนว่า 'สมบัติ' ของตัวเองกำลังนอกใจเลยให้ผมจัดการกับเทวิน"
เรี่ยวแรงที่เหนี่ยวรั้งชายเสื้อหลุดลุ่ยของคนตรงหน้าหล่นลงข้างตัว ผมเหมือนคนที่กำลังจมน้ำและไม่สามารถเอาชีวิตรอดขึ้นมาหายใจได้ ความคิดทุกอย่างกำลังตีรวนในสมองไปหมด อะไรคือกลัวว่าคนใต้บังคับบัญชาจะนอกใจ อะไรคือคำว่าจัดการกับผม... ฆ่าทิ้งอย่างนั้นเหรอ

"จะฆ่าเทวินหรือคาส อัสโมดายแหกอกเจ้าแน่ๆ"

"มิกล้าๆ แค่อยากสัมผัสเรือนร่างที่แสนบริสุทธิ์นั่นสักครั้งก็พอ"
คำตอบของคาสทำให้หัวใจผมกระตุกวูบ ความขยะแขยงกำลังแล่นริ้วไปทั่วร่างกายจนขนลุกชัน ความหวาดกลัวทำให้ขาเริ่มก้าวถอยหลังแต่ต้องสะดุ้งอย่างหนักเพราะชนเข้ากับใครบางคน

"เจ้าซุ่มซ่าม"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบข้างหู ผมหันขวับกลับไปมองอย่างรวดเร็วและได้เจอเข้ากับอัสโมดายที่หายตัวไปเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง หัวใจดวงน้อยกำลังเต้นรัวเพราะความตื่นเต้นและรู้สึกปลอดภัยเมื่อเจอเขา รอยยิ้มบางเบาบนริมฝีปากนั่นช่างงดงามเหลือเกิน

"อ อัสโมดาย"
ผมเรียกชื่อเขาเสียงตะกุกตะกักพยายามที่จะไม่หลีกหนีดวงตาสีแดงที่จ้องมองมา อัสโมดายดึงตัวผมเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแกร่งและประคองใบหน้าให้ซุกลงบนอกโดยไม่สามารถมองเห็นภาพรอบข้างได้อีก และไม่นานนักเสียงร้องโหยหวนของคาสก็ดังขึ้นและเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว... เขาคงจัดการปีศาจตนนั้นไปแล้ว





----------------------------------------------------------------------


ตอนนี้เหมือนรวมความเปิ่นของคาอินไว้ยังไงไม่รู้ 555555 ทำตัวเป็นเด็กน้อยมาก
อัสโมดายกลับมาแบบทันเวลาพอดีเล้ย... ไม่งั้นคาสคงลากเทวินไปแล้ว?

อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 13-11-2016 16:50:08
พระเอกคือใครกันนน  ปีศาจเมื่อกี้ลูกน้องเซนหรือ :katai1: :mew5: เปล่า
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 13-11-2016 17:28:15
ยังคงมั่นใจว่าแอสโมดายคือเซน คาอินคืออุ่น
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 13-11-2016 17:39:42
 :katai1:   ตกลงแล้ว เซน คือ เซน  หรือ คือ อัสโมดาย  แล้วยิ่งคาอินอีก  ให้ความรู้สึกที่เหมือน อุ่นเวอร์ชั่นเด็กน้อยมากอ่ะ  (ปล.แอบคิดว่าเป็นบาลอนรึเปล่า 555)
ส่วนเพลย์  สมน้ำหน้าาาาาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-11-2016 19:22:33
เซนคืออัสโมดายเถอะ :call: :call:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 13-11-2016 21:53:57
ยิ่งอ่านยิ่งเดาไม่ถูก........ แต่มั่นใจว่าอัสโมดายคือเซนแล้วอุ่นก็คือคาอิน
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 10 -P.3- (13.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 13-11-2016 22:32:14
จำได้ว่าคาอินเพิ่งบอกว่าอิ่มก่อนไปเดินซื้อของ...ทำไมตาวาวอีกแล้วล่ะ? ฮาาาาา

และ...นอกจากคาสแล้วรอบตัวเทวินยังมีปีศาจอีกไหมเนี่ย? ชีวิตมีสีสันละเกินนนน
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 11 -P.3- (18.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 18-11-2016 16:58:10
ตำราบทที่ 11


'I need you only one'
ผมต้องการคุณเพียงคนเดียว




หลังจากวันที่เพลย์โผล่มาแสดงตัวว่าเป็นปีศาจนามว่าคาสนั้น อัสโมดายแทบไม่ห่างกายผมไปไหนเลยด้วยซ้ำ เหมือนว่าเขามีความระแวงอะไรบางอย่าง จะว่าเป็นห่วงกันคงไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะเจ้าตัวไม่ได้แสดงอาการแบบนั้นสักเท่าไหร่ ในตอนนี้ผมกำลังนั่งเหยียดขาอยู่ตรงสวนสาธารณะแถวๆ คอนโดเพื่อรับลมในตอนเย็นโดยมีปีศาจกับสัตว์พาหนะตามมาด้วย... ยิ่งกว่าตังเมซะอีก

"นี่... ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"
ผมหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ กัน อัสโมดายเพียงแค่เลิกคิ้วแล้วพยักหน้าอนุญาตก่อนจะเบนสายตาไปจับจ้องบึงน้ำกลางสวนสาธารณะอีกรอบ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีอะไรดี ส่วนเจ้ามังกรเด็กน้อยวิ่งเล่นตะครุบแมลงไปเรื่อย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเอาแต่หัวเราะ ส่วนสาวๆ กลับกรี๊ดกร๊าดในความน่ารัก อืม... หนุ่มหล่อทำแบบนั้นก็น่ารักนั่นล่ะ ผมไม่เถียง

"อเมมอน... ตามตัวอัสโมดายกลับนรกเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เพราะไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองคนอยู่ในรูปแบบไหน แต่ภายนอกคือนายกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วที่มันลึกลงไปกว่านั้นล่ะ ที่คิดมากเพราะคำว่า 'นอกใจ' จากปากคาสนั่นล่ะ

"ก็... ตามนั้น"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะถือวิสาสะทิ้งตัวลงบนตักของผมโดยไม่ขออนุญาต ซึ่งก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่ปีศาจจะเอาแต่ใจแบบนี้ ดวงตากลมลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยามนี้หลับตาพริ้มเหมือนต้องการพักผ่อน และนี่เป็นโอกาสดีสำหรับคนที่เผลอหลงใหลเขาจริงๆ ได้มองโดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ

"อ่า ไม่อยากกลับไปเหรอครับ"
ผมยังคงถามต่อไปเพราะความอยากรู้ มือเรียวเผลอยกขึ้นลูบเส้นผมสีดำเงางามนั้นเพียงแผ่วเบา ตอนแรกๆ ก็กลัวว่าการทำแบบนี้จะเล่นของสูงไปหรือเปล่า แต่ปีศาจกลับบอกกันว่า 'เจ้าสามารถลูบหัวเราได้ตามใจชอบ' แปลกดี ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวผมดูเหมือนจะมีอภิสิทธิ์เหนือใครๆ ทั้งนั้น

"ถ้าอยากกลับไปคงไม่อยู่กับเจ้าเหมือนทุกวันนี้หรอก"
คำตอบแสนเอาแต่ใจจนผมต้องย่นจมูกใส่ เกลียดความรู้สึกตัวเองที่เหมือนหัวใจพองโตอย่างน่าประหลาด หรือจะเรียกว่าหลงใหลปีศาจจนโงหัวไม่ขึ้นกันนะ ทั้งๆ ที่สมองร้องตะโกนอย่างหนักว่าห้ามตกหลุมพราง แต่สุดท้ายความรู้สึกก็ห้ามกันไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันคงเสียใจ เพราะปีศาจไร้หัวใจและไร้รัก

"เลือกอยู่กับคนอื่นได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องเป็นผมเลย"
ดวงตาสีแดงเรืองรองเปิดขึ้นเพื่อมองสบตากันในขณะที่ผมยังก้มหน้ามองเขาอยู่ อยากหลบสายตานั่นแทบแย่แต่เหมือนมีแรงดึงดูดที่ยากจะจัดขวาง อีกแล้ว...

"วันนี้หมดสิทธิ์สงสัยแล้ว"
ปีศาจพูดจบก็ยกมือขึ้นมาดีดกลางหน้าผากกันเบาๆ แล้วยกยิ้มมุมปากที่แทบทำให้ใจละลาย ผมเบนหน้าหนีแล้วแสร้งทำเสียงฮึดฮัดราวกับไม่พอใจ ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นรัวจนเจ็บอกไปหมด อยู่ด้วยกันไม่กี่วันยังเป็นได้ถึงขนาดนี้ อีกไม่นานผมคงไม่สามารถถอนตัวไปรักใครได้อีกแน่ๆ บ้าจริง

"งก คนจะสงสัยห้ามได้ด้วยหรือไง"
ผมบ่นพึมพำโดยไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายที่ยังไม่ยอมเคลื่อนตัวออกไปไหน คาอินกำลังสาวเท้าเข้ามาหากันด้วยใบหน้าระรื่นแววตาสีเหลืองสดใสส่อแววล้อเลียรอย่างไม่ปิดบัง อยากตะโกนไล่คนบนตักแต่กลัวว่าจะโดนฆ่าซะก่อน ทำไมทรมานกันแบบนี้วะเนี่ย

"หึ"
อัสโมดายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งท่วงท่าเดิมก่อนที่เจ้ามังกรตัวยุ่งจะถลาลงมานอนกลิ้งตรงหน้าพวกเรา แล้วหันมาจ้องผมตาเป็นมัน แทนที่จะล้อเลียนเจ้านายตัวเองกลับเบนเข็มมาเป็นคนที่โดนกระทำซะอย่างนั้น

"นี่... เกรงใจมนุษย์คนอื่นบ้างสิ พลอดรักกันกลางที่แจ้งไม่ดีนา ~"
มังกรเจ้าเล่ห์พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นจนผมหันกลับไปถลึงตาใส่ก่อนจะผลักไหล่แรงๆ ไปเพราะความว้าวุ่นในใจ ดวงตากลมเหลือบมองผู้ถูกพาดพิงอีกคนไปด้วย แต่เขากลับนิ่งเงียบไม่รับรู้สิ่งใดๆ ลักษณะนิสัยคล้ายๆ กับเซนไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ แต่ติดจะขี้เล่นมากกว่าเท่านั้นเอง

"ใครพลอดรัก คิดไปเองทั้งนั้นล่ะคาอิน!"
ผมพูดเสียงลอดไรฟันแล้วเสมองไปทางอื่นอีกครั้ง ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงสักเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายคนที่แพ้ก็คือคนที่คิดจริงและหวั่นไหวจริง ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองใจง่าย แต่ความใกล้ชิดค่อยๆ เพิ่มความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจแทบทุกวินาทีโดยที่ปีศาจไม่ต้องทำอะไร ลำเอียงเนอะ

"หวั่นไหวกับปีศาจไม่ดีนะ..."
คาอินขยับขึ้นมานั่งข้างๆ กันและผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าอัสโมดายย้ายไปยืนอยู่ริมบึงที่ห่างออกไปเป็นสิบๆ ก้าวแล้ว พระอาทิตย์ยามเย็นยังคงส่องแสงสีส้มอ่อนเรืองรองไปทั่วท้องฟ้า มันใกล้ลาลับโลกนี้เต็มทน ถ้าสังเกตสักหน่อยจะพบว่าพระจันทร์คอยท่าอยู่แล้ว

"ก็นะ... มีวิธีถอนตัวให้ผมไหมล่ะคาอิน"
ผมถามก่อนจะทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างของปีศาจ บางครั้งเขาก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับใครบางคนที่ผมเคยรัก แต่จำไม่ได้ซะแล้วว่าคนๆ นั้นคือใคร คิดเท่าไหร่ก็เจอแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น

"ไม่มีหรอก วิธีไร้สาระแบบนั้น คู่พันธะสัญญาจะหลงรักกันก็ไม่แปลก... ไม่สิ มีแค่มนุษย์เท่านั้นล่ะ"
ผมถึงกับอ้าปากค้างกับคำตอบของคาอิน อะไรมันจะโคตรลำเอียงขนาดนี้ไม่ทราบ มีคนที่ต้องรู้สึกและจมปรักอยู่แค่ฝ่ายเดียวอย่างนั้นเหรอ ผมควรยกเลิกพันธะสัญญาไหม... แต่มันต้องแลกกับอะไรอีกเท่าไหร่กันล่ะ บางครั้งอาจจะหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตทั้งชีวิตที่พยายามยื้อไว้ก็เป็นได้

"ลำเอียงเนอะ"
ผมพึมพำออกมาเบาๆ สายตายังคงจับจ้องปีศาจที่ในขณะนี้กางแขนออกกว้างราวกับโอบกอดธรรมชาติและพยายามซึมซับมันเอาไว้ ถึงจะบอกไปว่าโลกนี้ลำเอียงมากแค่ไหนแต่ต้องยอมรับว่าถึงหวั่นไหวแค่เพียงคนเดียวก็เต็มใจ

"เราไม่คิดว่าลำเอียงหรอกนะ ปีศาจทุกตนเกิดมาพร้อมรูปโฉมงดงามเพียงเพื่อหลอกลวงให้ทุกสรรพสิ่งลุ่มหลงแล้วล่วงหล่นลงสู่นรก บางครั้งแม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่เว้น"
ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ฟังเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ ปีศาจมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับคนที่อยู่นอกเหนือจากนรกด้วยอย่างนั้นเหรอ... และเหมือนว่าคาอินจะเดาสิ่งที่ผมสงสัยออกเขาเลยอธิบายต่อ

"บางครั้ง ปีศาจก็เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นมนุษย์ได้เหมือนกัน นานวันไปเจ้าอาจจะได้รู้เรื่องพวกนี้เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ ฮ่า... แต่ตอนนี้เรากลับห้องกันเถอะ พระอาทิตย์ตกดินแล้ว"
เขาตัดบทก่อนจะลุกขึ้นปัดเศษหญ้าออกจากก้นแล้วตะโกนเรียกอัสโมดายที่ไม่มีท่าทีจะขยับไปไหนให้กลับพร้อมกัน ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นอย่างไม่อิดออดเดินตามพวกเขาไปเงียบๆ

ภายในรถเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจดังสลับกัน ชวนให้รู้สึกอึดอัดยังไงชอบกล แต่ก่อนจะออกรถผมเหลือบสายตาไปเห็นที่ปัดน้ำฝนยังไม่ได้เอาลง ใครดึงขึ้นเนี่ย

"ผมลงไปจัดการที่ปัดน้ำฝนก่อนนะ"
ผมบอกก่อนจะทำท่าลงจากรถแต่มือเรียวของอัสโมดายกลับรั้งไหล่กันไว้แล้วส่งสัญญาณให้คาอินลงไปแทน ด้วยความสงสัยทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นเชิงถามอีกคนว่าทำไมไม่ยอมให้เจ้าของรถลงไปเอง แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้ผมต้องตัวแข็งทื่อแทบทันที

"คาส..."
แค่ชื่อที่ได้ยินออกจากปากของเขาเพียงเท่านั้นก็ตอบทุกอย่างได้โดยง่ายไม่ต้องอธิบายขยายความอะไรทั้งนั้น ผมหวาดระแวงและเริ่มหันมองไปรอบๆ ตัว ทั้งที่ถนนสายนี้เปิดไฟสว่างแต่กลับเงียบเชียบผิดปกติ เวลาเพิ่งจะหนึ่งทุ่มทำไมผู้คนถึงหายไปหมด มันพิสดารเกินไปแล้ว

"อีกแล้วเหรอ... คาสจะตามผมไปถึงไหนกัน"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงสั่นๆ บอกตามตรงว่าแค่ไล่อัสโมดายกลับไปในที่ที่เขาควรอยู่เรื่องมันจะจบด้วยดี แต่เชื่อไหมว่าคนที่เกิดปัญหากลับปากหนักและไม่ออกปากไล่ กลัวว่าถ้าเขากลับไปแล้วจะหายไปตลอดกาล ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นผมตายแน่ๆ หัวใจน่ะนะที่ตาย

"ถึงเราจะยอมกลับไปกับคาส เจ้าก็คงไม่รอดอยู่ดีล่ะเทวิน รู้ตัวหรือเปล่าว่าวิญญาณของเจ้ามันช่างหอมหวนและดึงดูดปีศาจตนอื่นมาแค่ไหน"
คำบอกเล่ากึ่งคำถามทำให้ผมตัวแข็งทื่อ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองจะมีอะไรดึงดูดปีศาจพวกนั้นได้เลย ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่รอดตายหวุดหวิดมาได้ครั้งหนึ่งก็เท่านั้นเอง อุบัติเหตุรถชนเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนสามคนตายผมรอดคนเดียว...

ผมกำลังจะอ้าปากตอบอัสโมดายแต่เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นทำให้สะดุ้งสุดตัว เหลือบหางตาไปเห็นว่าเป็นคาอินจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะยอมกดปุ่มลดกระจกลง

"ขยับไปนั่งด้านหลัง เดี๋ยวเราขับรถเอง"
คาอินพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนจนผมที่ยังสงสัยอดถามกลับไปไม่ได้ แต่พอจะอ้าปากกลับโดนอัสโมดายดึงคอเสื้อด้านหลังไว้ แค่ก... เกือบหายใจไม่ออกแล้วนะเว้ย

"อย่าเพิ่งถาม รีบข้ามไปเร็วเข้า"
เขาละมือออกจากคอเสื้อในขณะที่ผมหันไปจ้อง เจอดวงตาสีแดงเข้าให้เลยรีบสงบปากสงบคำแล้วปีนจากเบาะหน้าไปสู่ด้านหลังแทบจะทันที คาสอดตัวเข้ามาและเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว คือเกรงใจคนที่ยังตั้งหลักไม่ได้บ้างสิเว้ย หัวโหม่งเบาะด้านหลังจนมึนไปหมดเแล้วเนี่ย ดีแค่ไหนที่ไม่ชนเข้ากับกระจก

"โอย เบาๆ ไม่ได้หรือไงวะ ผมยังไม่นั่งเลยนะเว้ย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะพาร่างกายที่กระแทกเข้ากับเบาะหลังนั่งประจำที่ดีๆ บิดซ้ายบิดขวาเพื่อไล่ความปวดเมื่อยทั้งหมดออกไป ใบหน้าบูดบึ้งเมื่อไม่มีใครเห็นใจสักคน เอาแต่ทำหน้าตึงไม่พูดไม่จาแถมยังขับรถไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางกลับคอนโดอีก

"นี่... จะไปไหนกัน พูดอะไรบ้างดิ"
ผมว่าก่อนจะยื่นหน้าไประหว่างเบาะทั้งสอง คาอินยังคงตั้งหน้าตั้งตาเหยียบคันเร่งที่ไมล์ทะลุไปร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เห็นตัวเลขแล้วหัวใจหล่นอยู่แทบเท้า ถ้ามีอะไรทะเล่อทะล่าออกมาตอนนี้คือเบรกไม่ทันแน่นอน

"บะ เบาๆ หน่อย มันอันตราย"
ผมพูดเสียงสั่น ไม่กล้าใช้อารมณ์รุนแรงเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ช่างอึมครึมและเต็มไปด้วยความเครียดมหาศาล ทำตัวไม่ถูกจนต้องมองออกไปนอกรถก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นอะไรบางอย่างวิ่งตามมา ไอ้เหี้ย! ตัวบ้าอะไรยั้วเยี้ยคล้ายโครงกระดูกคนแต่มีน้ำสีดำๆ แดงๆ ไหลเยิ้มจนน่าขยะแขยง กะคร่าวๆ ด้วยสายตาน่าจะประมาณสิบตัว

"เฮ้ย ตัวอะไรเนี่ย!!"
ผมแหกปากลั่นขยับไปด้านหน้าจนแทบจะปีนเบาะไปนั่งตักอัสโมดาย เขาหันมามองกันก่อนจะใช้มือเรียวลูบหัว ไม่เอาความอ่อนโยนตอนนี้ได้ไหมวะ มันไม่เข้ากับสถานการณ์เลยไง แต่ต้องยอมรับว่ามันทำให้ความตื่นตะหนกเมื่อครู่คลายลงไปมากจริงๆ

"แค่ลูกสมุนชั้นต่ำที่อเมมอนส่งมาเล่นกับเราก็เท่านั้นล่ะ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกลัวอะไร แต่ถ้าเขาจัดการได้ทำไมเราต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้ด้วยล่ะ

"ทำไมเราต้องหนี..."
ผมถามเสียงสั่นและเผลอจับมือของอัสโมดายเอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเอามือเขามาแนบแก้มไว้แบบนี้ บ้าไปแล้ว ทำไมต้องอยากอ้อนเขาขนาดนี้ด้วยวะ

"ก็แค่เล่นด้วยเท่านั้นเอง อีกไม่นานเรื่องก็จบ"
เขาตอบแบบกั๊กสุดตัวจนทำให้ผมไปต่อไม่ถูก รู้อยู่แก่ใจว่าถามอะไรไปคงไม่ได้อะไรไปมากกว่านั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อยเลยตามเลย และเรื่องก็จบง่ายอย่างที่อัสโมดายว่าจริงๆ แค่พริบตาเดี๋ยวที่เขาลงจากรถแล้วโบกมือแค่ครั้งเดียว ทุกอย่างก็หายวับไปกับตาเหมือนไม่เคยมีตัวประหลาดนั่นอยู่บนโลกนี้มาก่อน

เรากลับไปที่คอนโดตอนเกือบสามทุ่มเล่นเอาคาอินที่ออกลวดลายขับรถถึงกับนอนแผ่บนโซฟาอย่างหมดสภาพ ผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปแซวเจ้ามังกรยักษ์นั่นว่าเหนื่อยเป็นกับเขาด้วยหรือไง

"เหนื่อยเหรอคาอิน"
ผมทักก่อนจะวางอาหารมื้อดึกลงที่โต๊ะตัวเล็ก เขาดีดตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อได้กลิ่นอาหาร สเต็กเนื้อมีเดียมแรร์ชิ้นโตทำให้เจ้ามังกรทำตาเป็นประกายวาววับ และยิ่งเป็นฝีมือของอัสโมดายด้วยแล้วทุกอย่างจึงออกมาดีมาก

"เหนื่อยมาก แทบจะกินวัวได้ทั้งตัว!"
เขาว่าเสียงดังและพอดีกับที่อัสโมดายวางจานผักสลัดลงบนโต๊ะ ดวงตาสีเหลืองฉายแววขยะแขยงแทบจะทันที เดาว่าไอ้มังกรเกลียดผักแน่ๆ

"วันนี้เจ้าต้องกินผัก"
จานผักถูกเลื่อนไปตรงหน้าคาอิน เขาเบ้ปากแล้วใช้มือเลื่อนจานมาให้ผมแทน สรุปว่าขัดคำสั่งอัสโมดายแถมให้คนอื่นจัดการแทนอีก คืออะไรวะ ไม่กลัวโดนทำโทษบ้างหรือไง

"หึ ท่านก็รู้ว่าเราไม่กินผัก ทำไมต้องยัดเยียด"
คาอินบ่นงุ้งงิ้งเหมือนเด็กน้อยที่กำลังโดนพ่อแม่บังคับให้กินผัก ใบหน้าหล่อบูดเบี้ยวไปหมดจนผมเผลอขำออกมาเบาๆ ทั้งตลกทั้งน่ารัก โอย... อยากจับบีบแก้ม เกือบจะเอื้อมมือออกไปแล้วถ้าไม่โดนดวงตาสีแดงก่ำจ้องมา หวงเหรอ ไม่จับก็ได้วะ

"อย่าดื้อ บอกให้กินก็กินเข้าไป อย่าให้เราต้องใจร้าย"
อัสโมดายว่าด้วยน้ำเสียงเย็นแล้วเลื่อนจานผักสลัดกลับไปให้คาอินอีกครั้ง และเลื่อนจานสเต็กเนื้อมาให้ผมแทนอีก กลิ่นหอมหวนของเนื้อชั้นดีเกือบทำให้น้ำลายหยด อาวุธส้อมมีดโดนยื่นมาให้อีกครั้งด้วยรอยยิ้มบางๆ

"กินซะ"
เขาบอกเพียงสั้นๆ แล้วยัดอาวุธลงในมือของผมแล้วเดินออกไปที่ริมระเบียง สงสัยหลายต่อหลายครั้งว่าเขาทำอาหารให้พวกเรากินแต่เขากลับไม่แตะมัน พอจะรู้ว่าอิ่มทิพย์แต่... รสชาติที่ได้ลิ้มลองมันโคตรมหัศจรรย์จริงๆ

"ขอเนื้อหน่อย"
เสียงของคาอินทำลายความคิดฟุ้งซ่านของผมแทบจะทันที ดวงตาสีเหลืองมองชิ้นเนื้อหอมกรุ่นอย่างอ้อนวอน เกือบจะใจอ่อนอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงอัสโมดายดุออกมา...

"ห้ามทำตามที่คาอินบอก ไม่อย่างนั้นทั้งมนุษย์ทั้งมังกรจะโดนงดอาหาร"
ผมรีบยกจานสเต็กของตัวเองหนีทันที ไอ้การโดนงดอาหารทุกมื้อมันแย่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ไอ้ครั้นจะลงมือทำเองก็ไม่อร่อยเท่าที่อยากกิน จะให้ไปซื้อมากินเองก็ไม่อยากทำเท่าไหร่ สรุปง่ายๆ คือติดใจฝีมือการทำอาหารของปีศาจแล้วนั่นเอง และเขาก็รู้ตัวเลยใช้คำขู่นี่ได้ผล เกลียดชะมัด!

"ฮือ! ทำไมท่านชอบขัดใจเราตลอด เอาใจแต่เทวินๆ"
ผมอ้าปากหวอเมื่อคาอินงอแงเป็นเด็ก แถมยังลงไปชักดิ้นชักงอจนผมกลัวว่าโต๊ะจะพังอีก... ถ้าสลัดหกขึ้นมาคงมีการลงโทษครั้งยิ่งใหญ่แน่ๆ

อัสโมดายไม่ได้ตอบในทันทีแต่กลับเดินเข้ามายืนข้างๆ แล้วใช้สายตาเรียบเฉยมองคาอินที่ยังไม่ยอมหยุดดิ้นสักที เขาไม่ได้ดุด่าต่อว่ากับพฤติกรรมไม่ควรอะไรทั้งนั้น เงียบสงบแบบนี้น่ากลัวกว่าโดนถูกด่าอีก

"เทวินเป็นคู่พันธะสัญญาของเรา ส่วนเจ้าเป็นแค่สัตว์พาหนะ"
เพียงแค่นั้นก็ไม่ต้องอธิบายความสำคัญอะไรต่ออีกแล้ว ถึงจะรู้สึกดีนิดหน่อยที่เขาดูแลผมดี แต่สงสารเจ้ามังกรนี่สิ มีเจ้านายใจดำชะมัดเลย...

"ใช่สิ ท่านไม่ได้รักเราเหมือนที่ท่าน... อุบ"
คาอินหยุดพูดไปทันทีเมื่อเท้าสวยๆ ของอัสโมดายเตะเข้าที่สีข้างไม่เบาไม่แรงมากนัก ใบหน้าหล่อเหล่าเหยเกจนผมต้องรีบวางจานสเต็กแล้วเข้าไปพยุง ปีศาจทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วเดินผ่านเข้าห้องนอนไปซะอย่างนั้น ถ้าเป็นคนเหมือนๆ กันผมคงด่าเขาไปแล้ว

"เจ็บมากปะเนี่ย"
ผมถามในขณะที่คาอินยังชักสีหน้ายุ่งเหยิงไม่เปลี่ยน ดูเหมือนเขาไม่ได้เจ็บอะไรสักเท่าไหร่แต่แค้นเคืองในใจมากกว่า เพราะสายตาที่มองไปตรงประตูห้องนอนแข็งกร้าวจนน่ากลัว

"ไม่เจ็บ เจ้าระวังตัวไว้เถอะเทวิน สักวันเราจะลักพาตัวเจ้า"
ดวงตาสีเหลืองตวัดกลับมามองผมด้วยท่าทางจริงจัง ไม่เข้าใจว่าไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะเนี่ย แค้นอัสโมดายก็ไปลงที่เขาสิมาลงที่ผมทำไมล่ะเนี่ย

"เกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย"
ผมขมวดคิ้วแน่นมองเขาแล้วผละตัวออกมาตั้งหลัก คาอินยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แล้วขยับเข้ามาใกล้กันก่อนจะออกแรงผลักให้ผมนอนราบลงกับพื้นแล้วเขาคร่อมไว้... เชี่ยอะไรอีกเนี่ย

ดวงตากลมเบิกกว้างพยายามผลักมังกรตัวยักษ์ออกไป แต่คาอินกลับโน้มหน้าลงมาต่ำจนผมหลับตาปี๋ไม่กล้ามองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้นข้างหู

"ขอแกล้งอัสโมดายหน่อยนะ"

"ละ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ"

"หืม เกี่ยวกับเจ้าเต็มๆ เลย ยังไม่รู้ตัวอีก"

"อะ อะไรนะ หมายความว่ายังไง"

"หมดเวลาจะถามแล้ว"
สิ้นคำพูดนั้นเขาก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราชนกัน ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบใบหน้าจนผมได้แต่หลับตาแน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่กล้ากระดุกกระดิกไปไหนเลยสักนิดเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรมากกว่านั้น หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา... อัสโมดายออกมาจากห้องแล้วแน่ๆ

"คาอิน"
เสียงเรียกชื่อมังกรบนร่างผมย้ำเตือนได้เป็นอบ่างดีว่าอัสโมดายอยู่ใกล้กันแค่ไหน ใกล้จนหายใจรดใบหน้าผมอีกคนแล้วเนี่ย โอย อยากเห็นสภาพตรงหน้าใจจะขาดแต่ไม่กล้าลืมตาอะ ทำยังไงดี กลัวจะตายไปซะก่อนที่เห็นพวกเขาอยู่ใกล้ขนาดนี้

"หืม... ท่านมาขัดจังหวะน้า เรากำลังแสดงความรักกับเทวินอยู่"
เจ้ามังกรว่าเสียงติดทะเล้นอย่างไม่กลัวเกรงเท่าไหร่ ผมพยายามปรือตาขึ้นมองแล้วพบว่าเขากำลังจ้องมิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปมาด้วยล่ะ... จะลงมือฆ่ากันเสือดสาดไหมเนี่ยผมกลัวใจเขาจริงๆ นะเว้ย

"เจ้าไม่มีสิทธิ์จะพูดหรือทำแบบนี้"
น้ำเสียงเย็นยังคงเอ่ยต่อ เขายังสงบนิ่งไม่เอะอะโวยวายหรือทำร้ายร่างกายคาอินแต่อย่างใด นั่นไม่ได้ทำใจผมเบาใจเลยแม้แต่นิดเดียวในเมื่อหางตาดันเหลือบไปเห็นว่าอัสโมดายกำหมัดแน่นแค่ไหน นี่เขาหวงผมหรือหวงเจ้าคาอินกันแน่นะ

"ท่านก็แค่คู่พันธะสัญญาน้า ไม่ได้เป็นเจ้าของหัวใจเทวินสักหน่อย"
น้ำเสียงคาอินยังยียวนไม่เลิก ผมไม่ได้ห้ามปรามเพราะในใจกลับอยากรู้เหมือนกันว่าอัสโมดายจะตอบอะไรกลับมา เขาไม่ใช่เจ้าของหัวใจก็จริง แต่จิตใต้สำนึกกำลังส่งเสียงบางอย่างเตือนว่าบางครั้งเขาอาจจะใช่ในอีกไม่นานนี้ และมีบางอย่างทำให้คุ้นเคยและเผลอนึกไปถึงเซนเวลาที่อุ่นเข้าใกล้ผมแบบนี้ จะเรียกว่าหวงได้หรือเปล่านะ แต่กับเซนผมไม่รู้สึกอะไรกับเขานี่... ใช่ไหม สับสนว่ะ เหมือนอะไรบางอย่างถูกขโมยอาจจะเป็นความรู้สึกบางส่วนต่อคนบางคน

"เลิกเล่นได้แล้วคาอิน อย่าให้เราต้องใช้กำลัง"
ผมเริ่มหายใจติดขัดเมื่อได้ยินคำขู่ รู้แน่ๆ ว่าเขาต้องทำจริงๆ อยากจะบอกว่าคาอินแค่แกล้ง แต่ปากหนักพูดไม่ออกซะอย่างนั้น ไอ้แต่นอนหายใจแรงแล้วกรอกตาไปมาด้วยความหวาดระแวง ถ้าจะต่อยกันก็ถอยห่างผมไปก่อนได้ไหมครับคุณ...

"ไม่เล่น กำลังเอาจริง ถ้าท่านไม่ได้ชอบเทวินก็ปล่อยเขาให้ผม"

"คาอิน... เจ้ากำลังพูดไม่รู้เรื่อง"

"เราพูดในสิ่งที่ท่านก็รู้อยู่แก่ใจนะอัสโมดาย"

"ออกไปคุยกับเราข้างนอก"

"หึ"
จบประโยคทั้งปีศาจทั้งมังกรก็พากันเดินไปที่ระเบียง อยากจะแอบฟังสักหน่อยแต่ดูเหมือนเขาจะรู้ทันเลยเอื้อมมือเลื่อนประตูกระจกปิดลง ผมลุกขึ้นนั่งพลางจัดเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่ ว่าจะเลิกสนใจแต่ทำไม่ได้ในเมื่อคำถามของคาอินยังวนเวียนอยู่ในความคิด อัสโมดายจะชอบผมเหรอ เขาอาจจะชอบก็ได้ แต่ชอบเพราะดวงวิญญาณอันหอมหวาน ไม่ใช่พิศวาสจะรักอะไรแบบนั้น

ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวเลยละสายตาจากทั้งคู่แล้วเลือกเดินไปอาบน้ำ เผื่อจะทำให้ความคิดฟุ้งซ่านจางหายไป แต่เมื่อยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่กลับเห็นใบหน้าอิดโรยของตัวเอง ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นแต่เซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด ผมยกมือขึ้นลูบแก้มอย่างแผ่วเบาพยายามถ่ายทอดความอบอุ่นให้ถึงหัวใจ แต่มันกลับไม่เป็นผลในเมื่อถอนตัวจากการหลงใหลปีศาจไม่ได้

"ปล่อยตัวเองตายๆ ไปตั้งแต่วันนั้นคงไม่เป็นคนบ้าแบบทุกวันนี้มั้ง"
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะยิ้มเยาะให้กับความผิดพลาด การไขว่คว้าจะมีชีวิตโดนการแลกเปลี่ยนกับปีศาจมันไม่คุ้มเลยแม้แต่นิดเดียว ผลที่ตามมามันน่ากลัวทั้งความโดดเดี่ยว ความสัมพันธ์ หรืออะไรหลายๆ อย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น ตอนนี้มันก็ดีที่อัสโมดายยังอยู่เคียงข้างกัน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาตัดสินใจจะทิ้งผมเอาไว้ล่ะ... ในตอนนั้นผมคงไม่เหลือใครที่เคยรู้จักบนโลกนี้อีกแล้ว

"เฮ้อ ฟุ้งซ่านว่ะ อาบน้ำดีกว่า"
ผมบอกกับตัวเองก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้วก้าวลงในอ่างน้ำขนาดใหญ่ก่อนจะคว้า Bath Bomb ทิ้งลงในอ่าง กลิ่นหอมของดอกไม้กระจายฟุ้งจนผมเผลอปิดเปลือกตาสนิทเพื่อผ่อนคลาย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าสติสัมปชัญญะจางหายไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนโดนฝ่ามือนุ่มๆ ตบลงบนแก้มนั่นล่ะ

ผมปรือตาขึ้นแล้วไอโขลกออกมา ทำให้อัสโมดายรีบพยุงให้นั่งพิงหัวเตียงแทบจะทันที ดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้วเหมือนเพิ่งเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นเลย ผมแค่หายไปอาบน้ำเองนะ พลาดเรื่องอะไรไปหว่า

"เป็นยังไงบ้าง"
คำถามแรกจากคาอินทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น งงไปหมดกับสถานการณ์นี้ ก็จำได้ว่ากำลังอาบน้ำอยู่แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยู่บนเตียงและมีเสื้อผ้าอยู่บนตัวเรียบร้อยขนาดนี้ ผมย่นคิ้วและเอียงคอมองพวกเขาสลับกันไปมาก่อนจะตั้งคำถามที่สงสัยออกไป

"เกิดอะไรขึ้นเหรอ"
ผมถามด้วยความงุนงงแต่ได้ท่าทางประหลาดใจของอัสโมดายและคาอินกลับมา ผ่ามือนุ่มประทับลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบาก่นที่ริมฝีปากนั้นจะขยับเอ่ยถามกัน อัสโมดายนี่เสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ ให้ตายเถอะ

"เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่า... จมน้ำ"

"ห๊ะ ผมเนี่ยนะจมน้ำ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"
ผมตอบด้วยเสียงตื่นตกใจ ก็จำได้ว่าหลับตาไปแต่หลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรจริงๆ นั่นล่ะ แต่คนจมน้ำมันต้องตื่นสิวะถ้าไม่ถูกวางยา ยิ่งคิดยิ่งงงหนักเข้าไปอีก และคำตอบก็ทำให้อัสโมดายตีสีหน้าเครียดมากว่าเดิมอีก คาอินเม้มปากเข้าหากันแล้วถอนหายใจแรงออกมา

"ชักจะรุกล้ำกันมากไปแล้ว"
คาอินบ่นพร้อมกับเบ้ปาก ผมเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน อะไรคือการรุกล้ำมากไป เขาหมายถึงอะไรกันล่ะ

"เดี๋ยวๆ ตอบผมก่อน ผมแค่ไปอาบน้ำแล้วหลับตาพักเท่านั้นเอง จะกลายเป็นจมน้ำโดยที่ไม่รู้ตัวได้ยังไง"

"ได้สิ ถ้าถูกควบคุมโดยปีศาจ"
คำตอบของอัสโมดายทำให้ผมนิ่งเงียบไป คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ในห้องของตัวเองยังไม่ปลอดภัยทั้งๆ ที่มีปีศาจยศราชาอยู่ข้างกาย แต่นั่นคงสู้อำนาจคนที่อยู่เหนือเขาไม่ได้หรอก ก็ 'อเมมอน' น่ะเป็นคนคุมเขาอีกทีหนึ่งนี่

"กลับไปหาเขาไหมครับ ดูอเมมอนจะห่วงอัสโมดายมากนะ"
ผมบอกเขาเสียงเบาหวิว ไม่ได้อยากไล่แต่กลัวว่าการกระทำหลายๆ อย่างของอเมมอนจะส่งผลร้ายต่อคนที่อยู่รอบตัว

"ไม่ได้ ถ้าเรากลับไปเจ้าจะได้รับผลกระทบมากกว่านี้ อเมมอนจะฉุดเจ้าลงนรก"
ขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเขาเป็นห่วงผม... แต่ก็เพียงความคิดชั่วครู่ที่ทำให้ใจชื้น เพราะในความจริงแล้วเขาก็แค่กลัวว่าคู่สัญญาจะยอมถวายหัวให้คนอื่นก็เท่านั้น

"ยังไงๆ การที่ทำพันธะสัญญากับปีศาจก็ทำให้ผมตกนรกอยู่แล้วนี่ แล้วจะกลัวอะไรกับการถูกฉุดลงนรกล่ะครับ"

"เราไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามกับคนของเรา เจ้าเข้าใจไหม"

"ผมไม่เข้าใจว่ะ.... และไม่อยากเข้าใจด้วย"
สุดท้ายผมก็ตัดบทสนทนานั้นแล้วทิ้งตัวลงนอนคลุมโปงโดยไม่สนว่าปีศาจจะรู้สึกยังไง... แต่คงไม่รู้สึกอะไรหรอก ปีศาจไม่มีหัวใจสักหน่อย จริงไหม





------------------------------------------------------------

ถ้าใครคิดว่าอัสโมดายขี้หวง... อเมมอนก็ขี้หวงไม่แพ้กันหรอก
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 11 -P.3- (18.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 18-11-2016 18:04:07
เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 11 -P.3- (18.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 18-11-2016 20:26:35
อเมมอนนี่เป็นไม่ได้เป็นแค่หัวหน้า(หรือเจ้านาย)ของ อัสโมดาย ใช่ไหมเนี่ย?

มันต้องมีอะไรมากกว่านี้อีกใช่ไหมเนี่ย? เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 11 -P.3- (18.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 19-11-2016 11:28:28
อเมมอนแค่หวงหรือ รัก อัสโมดายกันคะ
ในความคิดเราอัสโมดายให้ความรู้สึกเหมือนเซน คาอินก็เหมือนอุ่น ยิ่งรวมกับเหตุการณ์รอบตัวแล้ว เราว่าใช่เลยนะ
ที่ว่าสองคนนั้นไปต่างประเทศแล้วอาจจะไม่กลับนี่เพราะต้องการลองใจวินหรือเปล่า
จากที่เคยศึกษาประวัติกุญแจย่อยของโซโลม่อน คิดอีกมุมก็น่าสงสารนะคะ มีชีวิตที่ยาวนานขนาดนั้น จะพูดว่าไม่รู้จักความรักก็คงไม่เกินจริงหรอกค่ะ เศร้า
เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ
ติดตามนะคะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 11 -P.3- (18.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 20-11-2016 00:02:47
 :ling1: :ling1: อิรุงตุงนังมาก ใครเป็นใครกันล่ะเนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 11 -P.3- (18.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 20-11-2016 02:19:59
เชียร์ให้เป็นตามที่ทุกคนว่ามา แต่ขอบารอนกลับมาได้ไหมอะ หายไปเลย คิดถึงหมายักษ์><
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 12 -P.3- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-11-2016 17:15:06
ตำราบทที่ 12



‘You don't know a thing about me’
คุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับผมเลย




วิชาปีศาจวิทยาเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มน้อยลงเพราะทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่กับอัสโมดาย อยากรู้อะไรก็แค่เอ่ยปากถามออกไป แต่บรรณาการที่ต้องจ่ายโคตรจะเปลืองตัวอยู่เล็กน้อย โดนจูบบ้างล่ะ หอมแก้มบ้างล่ะ หรือแม้แต่โดนลูบไล้ตามส่วนต่างๆ แต่ผมก็เป็นฝ่ายเต็มใจเองล่ะนะ จะหาว่าใจง่ายก็เอาเถอะ ยังไงชีวิตก็กลายเป็นของเขาไปแล้ว

ผมกลับมาจากเรียนภาคเช้าอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะวันนี้อากาศร้อนอบอ้าวสุดๆ แถมห้องเรียนดันแอร์เสียอีก โคตรแจ็กพอตจริงๆ อัสโมดายกำลังนั่งพักผ่อนหย่อนใจอยู่ริมระเบียง ในขณะที่คาอินนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟา เห็นแบบนั้นก็นึกหมั่นไส้เลยเอาแก้วน้ำที่ถืออยู่แอบนาบแก้มมังกรตัวโต เขาสะดุ้งแล้วหันมองเลิ่กลั่ก ตลกชะมัด

"เจ้าเล่นอะไรเนี่ยเทวิน"
คาอินโวยวายทันทีเมื่อหันมาเจอคนที่ถือวิสาสะปลุกกัน ดวงตาสีเหลืองแวววาวจับจ้องกันอย่างเอาเรื่อง ดูท่าทางผมจะซวยเลยส่งยิ้มแหยไปให้

"เห็นนอนหลับสบายเลยอยากแกล้ง"
ผมตอบไปตามความจริงเพราะไม่อยากโกหกอะไร ถ้าโดนจับได้ทีหลังเรื่องมันจะแย่กว่าเดิมหลายเท่าแน่ๆ

"ไม่แกล้งอัสโมดายบ้างล่ะ นั่งกินลมชมวิวสบายจะตาย"
คาอินบุ้ยใบ้ปากไปทางปีศาจที่ยังนั่งนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมได้แต่ส่ายหน้ารัวเพราะตั้งแต่วันที่ตัดจบเรื่องความหวงของเขา เรายังไม่ได้คุยกันดีๆ เลยสักครั้ง จะบอกว่าไม่กล้าเริ่มต้นหาคำพูดมาลบล้างความรู้สึกค้างคาก็คงใช่ล่ะมั้ง ตัวอัสโมดายเองก็ดูจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไหร่ ใช้ชีวิตได้ปกติดี ก็อย่างว่าล่ะนะ ปีศาจไม่ค่อยมีความรู้สึกกับเรื่องหยุมหยิมนักหรอก

“ไม่เอาด้วยหรอก”

“ยังไม่คุยกันอีกหรือ”

“ก็คุยนี่... แล้วกินอะไรหรือยัง”
ผมเปลี่ยนเรื่องซะดื้อๆ เพราะไม่อยากรื้อฟื้นความรู้สึกในตอนนั้นอีก คาอินส่ายหัววืดแล้วมองไปทางห้องครัวตาละห้อย สงสัยว่าอัสโมดายคงไม่ยอมลงมือทำมื้อเที่ยงแน่ๆ

“อัสโมดายไม่ยอมทำให้เหรอ”
ผมถามกลับไปอย่างอยากรู้ เพราะปกติแล้วเขาไม่เคยทิ้งมังกรคู่ใจให้หิวจนงอแงขนาดนี้ จะตรงเวลาเสมอเหมือนตัวเขาเป็นนาฬิกาซะเอง แต่สงสัยว่าวันนี้คงมีเรื่องอะไรให้คิดล่ะมั้ง... หรือทำใจกลับไปหาอเมมอนได้แล้วกันนะ แค่คิดแบบนั้นผมก็รู้สึกห่อเหี่ยวยังไงก็ไม่รู้ แย่ว่ะ แย่จริงๆ

“ก็อย่างที่เจ้าเห็น อัสโมดายนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เจ้าออกไปเรียนแล้วล่ะ ไม่ยอมขยับไปไหนเลย เราจะงอแงใส่ก็ไม่ได้ กลัวถูกส่งไปเกิดใหม่...”
คาอินว่าด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขาถูกปล่อยให้ท้องว่างมาตั้งแต่มื้อเช้าแล้ว ดวงตากลมเหลือบมองแผ่นหลังปีศาจอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาเพื่อจะถามไถ่สักหน่อยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่เจ้ามังกรยักษ์กลับคว้าข้อมือกันเอาไว้แล้วส่งสายตาห้ามปราม

“ทำอะไรให้เรากินก่อนเถอะ... ปวดท้องจะตายอยู่แล้ว”

“อ่า... ก็ได้ๆ งั้นรอแป๊ปนึงก็แล้วกัน”

สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเข้าครัวแล้วทำอาหารง่ายๆ อย่างข้าวไข่เจียวในปริมาณห้าคนกินให้กับมังกร ส่วนของตัวเองต้มมาม่าแทน เพราะเบื่อเมนูไข่ๆ ที่เพิ่งกินไปเมื่อเช้า ไม่นานนักกลิ่นหอมก็ลอยตลบอบอวลจนคาอินรีบวิ่งเข้ามาในครัวโดยไม่ต้องเรียก สีหน้าหงอยๆ กลายเป็นยิ้มแย้มทันทีเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า ผมรีบส่งช้อนส้อมให้เขาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม แต่ดวงตาสีเหลืองกลับจ้องมองมาจนต้องถามออกไป

“อยากกินไอ้นี่เหรอ”
ผมชี้มาม่าของตัวเองสลับกับเงยหน้ามองคนฝั่งตรงข้าม คาอินพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งแววตาเป็นประกายมาให้ ถ้าให้พูดกันจริงๆ เจ้ามังกรยักษ์เนี่ยน่ารักมากเลยนะ ขี้อ้อนเป็นบางเวลา ขี้เล่นอีกต่างหาก

“ให้เรากินได้ไหม เดี๋ยวเราแบ่งไข่เจียวให้”
คาอินยิ้มกว้างก่อนจะตัดไข่เจียวใส่ช้อนแล้วส่งมาจ่อปากกัน ผมหลุดขำเล็กน้อยแล้วยอมงับอาหารเข้าปากก่อนจะเลื่อนชามมาม่าให้กับเขา สรุปแล้วมื้อนี้เราแบ่งกันกินจนอิ่มแปล้เลยทีเดียว จะว่าไปแล้วอัสโมดายไม่ยอมขยับไปไหนจริงๆ ด้วย อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องให้คิดหรือนั่งหลับกันแน่ แต่ว่าแดดร้อนขนาดนั้นทนได้ยังไงกันนะ

“ขอออกไปดูอัสโมดายหน่อยนะ”
ผมบอกคนที่ยังนั่งกินขนมต่อ คาอินพยักหน้าหงึกหงักให้กันแล้วส่งแก้วน้ำดื่มใหม่เอี่ยมมาให้

“หือ เอามาทำไมเนี่ย”
ผมรับมาถือไว้ด้วยความงงจนหัวคิ้วขมวดเป็นปม จะบอกว่าให้ดื่มก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าฝากไปให้อัสโมดายล่ะไม่แน่ ก็เล่นนั่งตากแดดตากลมนานซะขนาดนั้น

“เอาไปสาดใส่อัสโมดายหน่อย เห็นท่าทางซึมกะทือแบบนั้นแล้วน่าหมั่นไส้”
คาอินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาฉายแววเป็นห่วงอีกคนอย่างเห็นได้ชัด นี่จะเรียกว่าปากไม่ตรงกับใจก็คงได้ล่ะมั้ง แต่ผมจะไปกล้าทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน อุตส่าห์ขอชีวิตอมตะมาจากเขาแล้วหาเรื่องทำให้ตัวเองตายเนี่ยนะ ขอปฏิเสธหัวชนฝาเลย น่ากลัวเกินไปแล้ว

“เฮ้ย จะบ้าหรือไง ทำแบบนั้นผมคงได้ไปเกิดใหม่ก่อนคาอินอะ”
ผมว่าด้วยน้ำเสียงตกใจ ก่อนจะรีบวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว คาอินเบ้ปากใส่กันแล้วบ่นเสียงงุ้งงิ้งๆ แต่กลับได้ยินชัดเจนราวกับจงใจ

“อัสโมดายหวงเจ้าอย่างกับอะไรดี ไม่ทำให้เจ้าไปเกิดใหม่หรอก”

“ตลกน่า เขาจะหวงผมไว้ทำไมล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แค่คู่พันธะสัญญาไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก”
ขณะที่พูดออกไปแบบนั้นในใจก็ประท้วงว่าไอ้ที่ว่าออกไปทั้งหมดนั้นกำลังทำให้หัวใจเจ็บแปลบอย่างควบคุมไม่ได้ มีอะไรบางอย่างในจิตใต้สำนึกกำลังร้องเตือนว่าที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันเป็นเหตุการณ์เดจาวู... มันเคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อนแต่จำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นกับใคร ผมพยายามฝืนยิ้มส่งไปให้เจ้ามังกรที่มองมาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

“ก็จริงนะที่ปีศาจไม่มีหัวใจ แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยมีความรัก แต่มันอาจจะนานเกินไปจนลืมความรู้สึกแบบนั้นก็ได้”

“ห๊ะ หมายความว่ายังไงนะ”
ไม่ใช่ไม่เข้าใจความหมายที่เขาพยายามสื่อสารกับผม แต่ที่ต้องถามก็เพราะไม่เข้าใจว่าจะมาพูดเรื่องความรักของปีศาจทำไมล่ะ อย่างกับว่าอัสโมดายตกหลุมรักนายเทวินอย่างนั้นล่ะ เพ้อเจ้อชะมัด

“ไม่มีอะไรๆ ไปหาอัสโมดายเถอะ เราจะกินขนมต่อ”
ไม่ยอมตอบคำถามกันแถมยังโบกมือไล่อีก อะไรของเขากันล่ะ แต่ผมก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อและเดินออกมาจากห้องครัวตรงไปที่ระเบียงห้องแทบจะทันที จังหวะที่มือกำลังจะเลื่อนประตูดวงตาสีแดงก็หันมาจ้องกัน เขาพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าสามารถให้ผมล้วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวเฉพาะกิจของเขาได้ ตอนแรกไม่ได้คิดจะขออนุญาตกันสักหน่อย... นิสัยเสียเนอะ

ผมเปิดประตูกระจกที่ระเบียงออกไปแล้วปิดมันลงก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกตัวอย่างเงียบเชียบ ความจริงข้อหนึ่งคือผมเป็นห่วงเขาแต่ไม่รู้จะถามยังไงดีเลยกลายเป็นว่าเราทั้งคู่เริ่มต้นด้วยความเงียบ นั่งอึดอัดกันอยู่นานนับนาทีอีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายทำลายมันลง

“วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวนะ เจ้าคิดแบบนั้นไหม”
คำถามแสนธรรมดาแต่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นอัสโมดายก็ยังคงใช้ดวงตาสีแดงของตัวเองเหม่อมองออกไปยังฟ้าเบื้องบน เหมือนคล้ายกำลังคำนึงถึงบางคนที่อยู่บนนั้น

“อื้อ ร้อนมากเลยล่ะ แทบจะไหม้”
ผมพูดติดตลกเพื่อหวังว่าอีกคนจะละสายตาจากท้องฟ้าบ้าง แต่เปล่าเลยเพราะว่าเขายังคงทำแบบเดิม ก็มีเพียงแต่มุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

“นี่... อัสโมดายนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”
ผมถามสิ่งที่คาใจตัวเองออกไปแล้วเหม่อมองท้องฟ้าบ้าง ตอนนี้มันไม่ได้สดใสอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมฆฝนก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ เขาเลิกมองมันก่อนจะเปลี่ยนโฟกัสมาเป็นใบหน้าของผมแทน สารภาพเลยว่าแอบใจเต้นอยู่เหมือนกันแต่ทำได้แค่พยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ ก็สถานการณ์มันดูเครียดๆ ยังไงชอบกล

“ตามที่เจ้ารู้มา”
เขาตอบน้ำเสียงราบเรียบแต่ยังคงจ้องกันอยู่แบบนั้น จนผมเป็นฝ่ายขยับตัวไปมาแก้เขิน

“อ่า... มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”
ผมถามออกไปและพยายามหาที่วางสายตาของตัวเอง สุดท้ายก็จบตรงต้นไม้ริมระเบียงที่แห้งเหี่ยวตายไปนานแล้ว ตั้งแต่ที่เซนกับอุ่นไปต่างประเทศผมก็ลืมดูแลมันซะสนิท ขอโทษด้วยนะ...

“ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องของหัวใจ เจ้าจะเชื่อเราไหม”
ผมถึงกับสะดุดลมหายใจของตัวเอง เรื่องของหัวใจนี่เกี่ยวกับความรักหรือเปล่านะ แล้วทำไมต้องคิดมากเกี่ยวกับมันด้วยล่ะ... ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก แต่ก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจจะเริ่มมีความรู้สึกที่เรียกว่ารักขึ้นมาอีกครั้งก็ได้

“อ่า...”
ไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนเลยทำได้แค่หุบปากลงอีกครั้งแล้วนั่งบดริมฝีปากตัวเองไปมาจนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ เลยตัดสินใจเงยหน้ามองเขาให้เต็มตาแล้วพบว่าดวงตาสีแดงกำลังสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ที่น่าสงสัยคือ ใครเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนั้นกันล่ะ ผม อเมมอน หรือใครอื่น

“เย็นนี้เราจะไปเรียนกับเจ้า ไปพักผ่อนเถอะ”
อยู่ๆ ก็โดนไล่จนได้ แต่จะฝืนอยู่ไปก็คงไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านั้น นิสัยอัสโมดายน่าจะคล้ายๆ กับเซนอย่างที่เคยบอกไปนั่นล่ะ ผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินกลับเข้าห้องด้วยความรู้สึกที่ตีรวนกันไปหมด หัวใจเริ่มปวดหนึบเพราะเผลอคิดไปว่าปีศาจอาจจะหลงรักใครเข้าให้แล้ว และอีกไม่นานเขาอาจจะทิ้งผมไป... ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมขอลู่ทางติดต่อเพื่อนสนิทเถอะ ยังไม่เคยบอกใช่ไหมว่าผมเคยขอหนทางการติดต่อพวกเขาจากอัสโมดายครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขาจะบ่ายเบี่ยงตลอดจนเลิกถามไปเอง แปลกมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ช่วงห้าโมงเย็นผมขับรถพาอัสโมดายกับคาอินมาที่โบสถ์ของมหา’ลัยเพื่อเตรียมตัวเรียนวิชาปีศาจวิทยา ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่พวกเขายอมเข้าเรียนวิชานี้ทั้งๆ ที่ปฏิเสธมาตลอดเพราะไม่ถูกโฉลกกับบาทหลวงและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้สักเท่าไหร่ แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะก่อนหน้านั้นกำลังมึนๆ เบลอๆ กับเรื่องอัสโมดายอยู่

“มาตัวเปล่าแบบนี้ไม่น่าสงสัยไปหน่อยเหรอครับ”
ผมเอ่ยทักทันทีที่พวกเราลงมาจากรถเพราะไม่เห็นจะถือหนังสือที่เตรียมไว้ให้มาด้วย คาอินฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่ทุกข์ร้อนแล้วดึงแขนผมให้นั่งลงที่โต๊ะม้าหินหน้าโบสถ์ ส่วนอัสโมดายเดินตามกันมาเงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะดุเจ้ามังกรที่ทำตัวร่าเริงเลยสักนิด

“ถึงจะเอามาเราก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี”
อัสโมดายตอบความสงสัยของผมด้วยประโยคสั้นๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ส่วนคาอินนั่งเบียดที่เก้าอี้ตัวเดียวกันกับผม ทำไมไม่ไปนั่งตัวอื่นล่ะวะ ที่ว่างตั้งเยอะแยะ

“คาอิน ไปนั่งตรงอื่นสิครับ ที่ว่างตั้งเยอะแยะ”
ผมพยายามดันไหล่คนข้างๆ ให้ลุกออกไป แต่เขากลับขืนตัวนั่งแข็งทื่อแถมยังตวัดแขนโอบกอดรอบเอวผมเอาไว้ซะแน่นหนา จะร้องโวยวายหรือดิ้นหนีคงเป็นเรื่องที่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่ที่น่าแปลกคืออัสโมดายทำหน้าตึงขึ้นมาทันที

“จะนั่งตรงนี้ กอดเทวินแล้วอุ่นจะตาย”
คาอินพูดเสียงทะเล้นแล้วส่งสายตาเป็นเชิงหยอกล้อมาให้กัน ผมถึงกับเบ้ปากแล้วพยายามดันหน้าที่กำลังซบลงมาบนไหล่ออกไปห่างๆ นั่งกอดกันแบบนี้คนอื่นก็เข้าใจผิดแย่ ยิ่งคนตรงหน้าผมนี่สิ มองอย่างกับจะลากพวกผมไปฆ่า

“แต่อากาศมันร้อนนะ อย่าแกล้งผมดิวะคาอิน”
ผมพยายามอย่างหนักที่จะดันเขาออก แต่เหมือนอ้อมแขนจะยิ่งรัดกันแน่นขึ้น สร้างสงครามกันไม่นานคนตรงข้ามก็ลุกขึ้นแล้วกระชากคอเสื้อด้านหลังของคาอินออกอย่างแรง จนเจ้ามังกรคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็วพร้อมกับร้องโอดโอยจนผมต้องเอื้อมมือไปปิดปาก เสียงดังรบกวนคนอื่นๆ เขามากเกินไปแล้ว

“เลิกเล่นเป็นเด็กๆ เสียทีคาอิน”
อัสโมดายกลับไปนั่งที่ก่อนจะส่งสายตาดุๆ มาให้กัน แว๊บหนึ่งผมเผลอคิดว่าเขาคงหงุดหงิดเพราะคาอินทำตัวไม่เหมาะสมกับช่วงอายุ แต่ผิดคาดไปหน่อยเมื่อเจ้ามังกรเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา

“ว่าเราเป็นเด็ก แต่จริงๆ แล้วท่านหวงเทวินใช่ไหม”

“.....”
ทำไมเกิดเดตแอร์ขึ้นเฉยๆ ล่ะ ทั้งผมและคาอินรอคำตอบใจจดจ่อจะตายอยู่แล้ว สายตาจ้องอัสโมดายที่เป็นเป้าหมายเขม็ง ไม่ว่ายังไงตอนนี้เวลานี้จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

“กดดันให้เราตอบให้ได้สินะ...”
น้ำเสียงราบเรียบถามขึ้นทำให้ผมกับคาอินรีบพยักหน้าหงึกหงักแทบจะในทันที อัสโมดายหลุดหัวเราะเล็กน้อยแล้วยื่นมือเรียวมายีหัวกันอย่างน่าตาเฉยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“เสียใจด้วยที่เราไม่สนใจความกดดันนั้นหรอก ไปเถอะ ได้เวลาเรียนแล้ว”
แล้วเขาก็เดินจากไปทิ้งให้ผมกับคาอินส่งเสียงฟึดฟัดเพราะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ถึงแม้ว่าจะได้คำตอบว่าเขาหวงผมก็เถอะ ทำไมรู้สึกว่าไม่ดีใจเลยสักนิด อาจจะเพราะความคิดที่ว่า เขาก็แค่หวงดวงวิญญาณกลิ่นหอมหวานเท่านั้นเอง เฮ้อ สภาพมนุษย์หลงรักปีศาจโคตรแย่เลยเนอะว่าไหม

ผมไม่ค่อยมีสมาธิเรียนเท่าไหร่เพราะสายตาดันปะทะเข้ากับบาทหลวงคนใหม่เข้าอย่างจังแล้วรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แปลกๆ บรรยากาศรอบตัวของเขาไม่ได้ต่างจากอัสโมดายเลยสักนิด... แต่จะมีปีศาจที่ไหนกล้าหาญสอนวิชาเกี่ยวกับตัวเองบ้างวะ และด้วยความที่ทนสงสัยไม่ไหวทำให้ผมต้องสะกิดคนข้างๆ เพื่อถามไถ่สิ่งที่อยากรู้

“นี่... อัสโมดายรู้หรือเปล่าครับว่าคุณพ่อจีซัสหายไปไหน”
ก็ในหนังสือประกอบการเรียนของผมบอกเอาไว้ว่าอัสโมดายสามารถตอบทุกสิ่งที่เราอยากรู้ได้ การถามแค่ว่าบาทหลวงสักคนหายไปไหนคงเป็นคำถามที่ไม่ได้ยากเย็นสักเท่าไหร่

“หืม บาทหลวงที่สอนวิชานี้กับเจ้างั้นหรือ”
เขาถามกลับด้วยแววตาเป็นเชิงสงสัยอย่างหนัก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนยุ่งเหยิงไปหมด ผมพยักหน้าหงึกหงักเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาพูดออกมาว่ามันใช่แล้ว

“บาทหลวงงี่เง่านั่นก็กำลังสอนเจ้าอยู่นะ”

“ห๊ะ คนนั้นไม่ใช่คุณพ่อจี... เฮ้ย!”
ผมอุทานเสียงดังเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างที่คุ้นตา ไม่ใช่สิ ก่อนหน้านี้เขามั่นใจแน่ๆ ว่าไม่ใช่บาทหลวงจีซัส แต่ทำไมตอนนี้ เขามาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ หรือว่าที่เห็นก่อนหน้านี้... มันต้องมีคำอธิบายสิ ไม่คิดว่าตัวเองตาฝาดได้ขนาดนั้นแน่ๆ

“เจ้าเห็นเขาเป็นคนอื่นหรือ”

“อื้อ! เมื่อกี้ไม่ใช่เขาแน่ๆ อะ”
ผมยืนยันคำของอัสโมดายอีกครั้งด้วยเสียงหนักแน่น เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนน้อยจนภาพเบลอขนาดนั้นหรอก สติก็ไม่ได้ขาดหายไปไหนด้วยสิ ผมขยี้ตาครั้งแล้วครั้งเล่าก็เห็นว่าคุณพ่อจีซัสกำลังยิ้มแย้มส่งมาให้ แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่จริงใจเอาเสียเลย เหมือนเขากำลังขู่กัน หรือผมบังเอิญไปล่วงรู้ความลับของเขาเข้ากันแน่

“เจ้าเห็น... แอนเดรียฟัส”
อัสโมดายพึมพำเสียงเบาแต่ผมกับได้ยินชัดเจน ‘แอนเดรียฟัส’ ถ้าจำไม่ผิดเขาเป็นหนึ่งในปีศาจเจ็ดสิบสองตนที่ผมเพิ่งเรียนผ่านไป เขาอยู่ในลำดับที่หกสิบห้า มียศขั้นมาควิสและเป็นปีศาจใต้อาณัติของอเมมอนเช่นเดียวกันกับอัสโมดาย แต่... ขนาดบาทหลวงยังโดนปีศาจปลอมแปลงได้อย่างนั้นเหรอ! ทำเบิกตากว้างแล้วเพิ่งมองไปที่คุณพ่อจีซัสอีกครั้งแล้วผมก็เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เขาแหลมๆ บนหัว หางนกยูงแผ่กระจายอยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีเทาส่องประกายทอแสงแวววาวน่าประหลาด วูบหนึ่งมันทำให้คิดถึงคนในความทรงจำ... เซน

“เขา...เอ่อ บาทหลวงจีซัสเป็นปีศาจมาตั้งแต่ต้นแล้วหรือครับ”

“ใช่ แต่ที่เจ้าเพิ่งรู้สึกหรือเห็นร่างที่แท้จริงของเขาก็เพราะว่ามีเราอยู่ข้างกายด้วยในวันนี้”
สรุปง่ายๆ คือผมได้รับพลังอะไรบางอย่างจากคนข้างตัวในการมองทะลุสิ่งจำแลงทั้งหลายอย่างนั้นล่ะมั้ง ทั้งที่อยากรู้แต่ก็ไม่อยากถามอะไรให้มากความไปมากกว่านั้นเพราะยังตะลึงเรื่องของบาทหลวง... นี่จะมีปีศาจอีกสักกี่ตนวนเวียนอยู่รอบตัวล่ะเนี่ย

“อ่า...”
ไม่รู้จะถามอะไรออกไปดี แต่มีสัญญาณบางอย่างกำลังร้องเตือนว่า อีกไม่ช้าจะเกิดเรื่องสะเทือนใจขึ้นแน่ๆ ไม่ใช่ใครที่ไหนได้รับผลกระทบนั้นหรอก เป็นตัวผมเอง

“เขามาตามเรากลับ ตามคำสั่งของอเมมอน”
เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นไม่ได้บอกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ เป็นผมเองที่เผลอสะดุดลมหายใจแล้วหันมองหน้าคนด้านข้างอย่างไม่ยอมละสายตา กลัวเหลือเกินว่าถ้าเผลอไปแค่วินาทีเดียวเขาจะหายไปตลอดกาล ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คนที่เป็นอมตะจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร... ไม่มีคนคอยเคียงข้างก็เหมือนตายทั้งเป็น

“อเมมอนดูท่าทางจะหวงอัสโมดายมากเลยนะครับ”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองพูดประโยคนั้นออกมา ไม่ได้ตั้งใจจะหลุดถาม หากแต่บางทีมันอาจจะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ความสงสัยที่ก่อตัวมานานวันนี้อาจจะได้รับการเปิดเผยห่างเขายอมปริปากพูดถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยกว่าปีศาจใต้อาณัติของอเมมอน

“อเมมอนหวงทุกอย่างที่คิดว่าเขาเป็นเจ้าของ... ซึ่งเราถือเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุด ทั้งตัวและ... หัวใจ”

“หมาย คะ ความว่า... รักอย่างนั้นเหรอครับ”
ผมถามออกไปเสียงเบาหวิว ดวงตากลมสั่นไหวพยายามกลั้นความรู้สึกทุกอย่างและใช้เท้าเหยียบมันให้จมดินลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลัวคำตอบที่จะได้รับกลับมาถึงขนาดเบือนหน้าหนีแถมยังยกมือขึ้นปิดหูไว้หลวมๆ ถ้าลุกหนีกลางครันได้ผมคงไม่อยู่ตรงนี้อีก

“ไม่รู้สิ เรารู้จักแค่คำว่าจงรักภักดีมาตลอดชีวิตนิรันดร์”

“อัสโมดาย... ทำไมพูดเหมือนเซนล่ะครับ ผมจำได้ว่าเซนเคยพูดประโยคนี้ คุณเป็นอะไรกับเขากันแน่”
ผมถามอย่างร้อนรนเมื่อคำพูดเมื่อครู่ของอัสโมดายสะกิดต่อมความทรงจำบางส่วนเข้าให้ ถ้าจะว่ากันตามตรงเค้าโครงหน้าตาของเขากับเซนแทบจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วด้วยซ้ำ แต่ผมไม่เคยทักเพราะคิดว่าเพื่อนสนิทของตัวเองคงไม่มีทางเป็นปีศาจจำแลงมาแน่ๆ แต่อะไรหลายๆ อย่างดันผลักผมให้สงสัย... หรือแม้แต่ตัวคาอินเองที่มีนิสัยคล้ายๆ อุ่นนั่นด้วย

“เรา...”

“พวกเจ้าหวานชื่นกันมามากพอแล้ว ถึงเวลาต้องแยกจากกันสักทีล่ะนะ”
เสียงของใครคนหนึ่งขัดจังหวะการสนทนาของเราสองคนได้อย่างฉับพลัน อัสโมดายรีบลุกขึ้นมายืนขวางผมระหว่างคุณพ่อจีซัส... ไม่ใช่สิ เขาคือแอนเดรียฟัสต่างหาก รอยยิ้มเคลือบยาพิษของคนตรงหน้าช่าง.... น่ากลัว

“เจ้าควรกลับไปในที่ของเจ้านะแอนเดรียฟัส แล้วส่งคาอินคืนมาให้เรา”
น้ำเสียงเยียบเย็นนั่นทำให้ผมเกร็งตัวขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ดวงตากลมสอดส่องหาคาอินที่ไม่รู้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาอยู่ตรงนั้น... บนไม้กางเขนอันใหญ่ ถูกตรึงด้วยบางอย่างที่มองไม่เห็น ท่าทางทุรนทุรายทำให้ผมอยากยื่นมือเข้าไปช่วยใจจะขาด แต่ไม่สามารถขยับออกไปไหนได้ ก็ในเมื่อแอนเดรียฟัสยืนอยู่ด้านหน้าและกำลังจ้องมาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เราจะกลับก็ต่อเมื่อท่านกลับพร้อมกับเรา อัสโมดาย”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยยืนยันสิ่งที่ตนเองต้องกระทำให้สำเร็จ ดวงตาสีเทาไม่ฉายแววล้อเล่นแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เขาพูดมานั้นย่อมต้องเป็นไปตามที่วางแผนไว้ แต่อัสโมดายเคยดื้อมาแล้วหลายรอบ ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

“ถ้าเรากลับไป... เทวินจะตาย”

“ท่านให้ความสำคัญกับมนุษย์มากกว่าอเมมอนงั้นหรือ”

“เทวินเป็นสมบัติของเรา”

“แต่ท่านเป็นสมบัติของอเมมอน”

“เราไม่ต้องการแบบนั้น”

“แต่หัวใจของท่านอยู่ที่เขา”

“หัวใจของเจ้าก็ไม่ต่างกันแอนเดรียฟัส”
ทุกคำพูดนั้นทำให้คนฟังอย่างผมงงไปชั่วขณะ อะไรคือการที่หัวใจของปีศาจใต้อาณัติไปรวมอยู่ที่อเมมอน แล้วไอ้หัวใจเนี่ย เปรียบเปรยถึงความรักหรือเป็นก้อนเนื้อที่สามารถเต้นได้จริงๆ กันแน่ ผมพยายามรวบรวมความกล้าที่จะลุกขึ้นแล้วพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ทุกอย่างกลับหมุนติ้วและผมก็หมดสติลงไปซะดื้อๆ

ผมตื่นมาในห้องโถงที่ไม่คุ้นตา มันโล่งโจ้งแต่ประดับไปด้วยสีแดงเลือดหมูและเครื่องเรือนจากทองคำ บนบัลลังก์ปรากฏร่างสูงใหญ่ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่ผมคิดว่าคุ้นเคยและจำได้เป็นอย่างดี เพราะมันเป็นเอกลักษณ์ของปีศาจ... เขาดูน่าเกรงขาม บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกกดดันและอึดอัดเป็นอย่างมาก เขายาวโค้งแหลมดูน่ากลัว ถ้าหากว่าโดนแทงคงตายอย่างไม่ต้องสืบ

สภาพของผมตอนนี้ปกติดีทุกอย่าง แต่เสื้อนักศึกษาสีขาวที่ใส่อยู่กลับปรากฏรอยสีแดงจางๆ ตรงหน้าอกเยื้องไปทางด้านซ้าย ตำแหน่งของหัวใจ... ผมพยายามลูบคลำและวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบคร่าวๆ อย่างที่เคยทำมาตลอด แต่มันกลับนิ่งเงียบไร้สัญญาณชีพใดๆ เหมือนคนที่ตายไปแล้ว หรือว่า...

“เจ้ายังไม่ตาย”
เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว จากที่เคยนอนราบกับพื้นจึงต้องดันตัวลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับดวงตาสีทองแวววาว มันไม่ได้สวยอย่างเครื่องเรือน แต่กลับน่ากลัวคล้ายกับขุมนรกที่หลอกล่อมนุษย์ให้เขาไปหาด้วยความสมัครใจ

“ผ ผมอยู่ที่ไหน”
อย่าว่าแต่จะพูดเลย หายใจยังลำบาก ด้วยอุณหภูมิเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนนี่น่ากลัวเหลือเกิน กลัวว่าร่างกายจะช็อกไปเสียก่อนได้รู้อะไร

“อยู่ที่ไหนไม่สำคัญ แต่เจ้าควรรู้ไว้อย่างหนึ่งว่าอัสโมดายเป็นของใคร”

“เขาเป็นของ...”

“ข้าเป็นของเทวิน ท่านไม่มีสิทธ์ทำแบบนี้กับคู่พันธะสัญญาของข้า”



--------------------------------------------------

อ้าวเฮ้ย.... เกิดอะไรขึ้น ทำไมอัสโมดายบอกว่าตัวเองเป็นของเทวินกันน้อ คึคึ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 12 -P.3- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 23-11-2016 18:26:46
สนุกสนาน เริ่มเปิดเผยมาทีละนิดทีละนิดละ

เรื่องยศของพวกปีศาจนี้แลดูเป็นงง ๆ เนาะ แต่ละตำราก็บอกไม่เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 12 -P.3- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 23-11-2016 20:20:33
ลุ้นจังๆ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 12 -P.3- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-11-2016 22:31:32
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 12 -P.3- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 23-11-2016 23:04:55
อ่าววววววว

อะไรคือหัวใจอยู่ที่อเมมอนกันหมด

แล้วนี่คืออัสโมดายเป็นของเทวินแล้ว? อุ้ย งงนะ แต่ดูเหมือนความจริงกำลังเปิดเผย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 12 -P.3- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 24-11-2016 05:26:27
เซนหายยยย  :katai1: :katai1: อเมมอนคือใคร ทำไมดูมีอิทธิพลกับทุกคนจัง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 12 -P.3- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 24-11-2016 14:02:15
กำลังลุ้นเลย   :ling1:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 13 -P.4- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-11-2016 14:39:56
ตำราบทที่ 13



‘My Sweet lies’
คำโกหกที่แสนหวานของผม


-Asmoday Part-




‘ข้าเป็นของเทวิน ท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับคู่พันธะสัญญาของข้า’

   พูดมันออกไปแล้ว... คำต้องห้ามที่ไม่ควรให้อเมมอนได้ยิน แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องรู้อยู่ดีในเมื่อเราไม่คิดผูกมัดตัวเองไว้กับปีศาจที่ไร้หัวใจแบบนั้น ความรักทำให้ทุกอย่างดูละมุน แต่อเมมอนเป็นข้อยกเว้น ที่เขาบอกว่ารักนั่นคือบังคับให้พวกเราชาวปีศาจยอมสิโรราบและจงรักภักดีต่อเขาผู้เป็นนายเหนือหัวเพียงแค่หนึ่งเดียว หัวใจที่เราพร่ำบอกว่าอยู่กับเขา แท้จริงแล้วมันคือก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่ในอก มันโดนแย่งชิงไปตั้งแต่ร่วงหล่นลงสู่นรก... นานจนจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเคยมีหัวใจ

   อเมมอนมองมาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร ไม่สามารถเดาอะไรได้จากปฏิกิริยานิ่งเฉยแบบนั้น แต่เทวินนั้นแสดงออกว่าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมเต็มไปด้วยความสงสัยที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่วันแรกที่การทำพันธะสัญญาจบลง เราช่วงชิงความรู้สึกที่เขามีให้กับเซนมาจนหมด เพราะไม่อยากให้จดจำสิ่งที่เคยให้กับตัวแทนของเรา ใช่ เซนเป็นตัวแทนของเรา

   “เจ้ากล้าพูดแบบนี้เหรออัสโมดายที่รัก”
   น้ำเสียงเรียบนิ่งถูกเปล่งออกมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เราสบตากับเขาอย่างไม่ลดละ ไม่มีความกลัวใดๆ ทั้งสิ้นเมื่อตัดสินใจจะทำการใหญ่ไปแล้ว... ช่วงชิงหัวใจแล้วหลบหนีพันธะที่อเมมอนมอบให้ไปไกลแสนไกล ถึงแม้ว่าแค่เพียงเสี้ยววินาทีปีศาจผู้ยิ่งใหญ่อาจจะทำให้เรากลายเป็นแค่หมอกควันไร้ตัวตนได้ แต่ก็ยังกล้า กล้าที่จะเสี่ยงเพื่อชีวิตของเราและเทวิน

   “ข้าไม่กลัวท่านอยู่แล้ว”
   เราพูดจบก็ใช้วงเวทย์ของตัวเองพาเทวินกลับสู่โลกมนุษย์ทันที... อเมมอนจะไม่ตามรังควาญจนกว่าเขาจะรู้สึกอยากสนุก เทวินกลับมาในสภาพสลบไสลไม่ได้สติจนต้องวางลงบนเตียงนอนอย่างเบามือ แล้วปล่อยให้ร่างกายนั้นพักผ่อน ส่วนตัวเราเองได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันแล้วใช่เวลาทั้งหมดที่มีจ้องมองใบหน้าที่หลงรัก... ใช่แล้ว เราหลงรักเทวิน

   เราแทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้รับความรักและมอบความรักให้ใครสักคนมันนานเท่าไหร่มาแล้ว อาจจะเป็นช่วงที่ยังมีความสุขดีกับมารดามนุษย์ผู้นั้น หัวใจเคยอบอุ่นเมื่ออยู่ในความดูแลและใกล้ชิดกับเธอมาตลอดเวลาตั้งแต่เกิด ผู้เป็นบิดาไม่เคยโผล่หน้ามาหาและไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใครจนกระทั้งวันเกิดครอบรอบยี่สิบปีเวียนมาถึง

   ในยามเที่ยงคืนที่ถนนหนทางมืดสนิท ผู้คนต่างเข้าสู้ห้วงนิทราไปนานมากแล้วไม่เว้นแต่ผู้เป็นแม่ ตอนนี้ล่วงเลยเข้าวันเกิดปีที่ยี่สิบ นั่นก็แสดงว่าผมโตเป็นผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้วแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเรื่องพ่อจะถูกเปิดเผย เขาไม่เคยนึกโกรธเกลียดอะไรกับคนๆ นั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะแม่เฝ้าแต่บอกว่า... พ่อรักเรา แต่เขาไม่สามารถอยู่กับเราได้แค่นั้นเอง เพราะด้วยหน้าที่อันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเราจะคาดถึง

   ผมนั่งพิงหัวเตียงอมยิ้มกับความคิดที่ผุดขึ้นในสมอง บ่อยครั้งที่ผมเห็นเธอนั่งหลังขดหลังแข็งเสียสละเวลาพักผ่อนแอบถักผ้าพันคอผืนสวยเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้กัน อยากจะห้ามแต่เธอยิ้มอย่างมีความสุขเลยได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ แม่เคยบอกว่าชื่อของผมนั้นพ่อเป็นคนตั้งให้ ชื่อที่แปลว่าของขวัญจากพระเจ้า... ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทำไมถึงถูกทิ้งแบบนี้ล่ะ รอยยิ้มที่เคยมีหุบลงทันทีพร้อมกับที่แสงสว่างสีทองจางๆ จะปรากฏอยู่เบื้องหน้า บุรุษที่สวมชุดขาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวกับเด็กหนุ่ม แผ่นหลังกว้างประดับไปด้วยปีกคู่สีขาว... เทวดา เทพนิยายที่เคยได้รับฟังในวัยเด็กร้องบอกแบบนั้น ที่จริงคิดว่าเป็นความฝัน แต่อย่าลืมว่าตัวเองไม่ได้กำลังนอนหลับ

   “คะ คุณเป็นใคร”
   คำถามงี่เง่าถูกเปล่งออกจากริมฝีปากสีส้มอ่อนน้ำเสียงสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ หวาดกลัว กำลังผสมปนเปกันจนไม่อาจควบคุมตัวเองให้ปกติได้เลย ยิ่งเขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้กันยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูก

   “เราคือพระเจ้า... บิดาของเจ้า”
   เขาย่างกรายเข้ามาใกล้แล้วฉุดข้อมือของผมให้ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง คำพูดนั้นยังคงดังก้องในประสาทรับรู้ที่มึนงง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คนแปลกหน้าพูด แต่เมื่อโดนอ้อมแขนนั้นกอดรัดทำให้ความสงสัยมลายหายสิ้น ความรู้สึกอบอุ่นที่เคยโหยหามานาน รับรู้ได้โดยการถ่ายทอดผ่านภาษากาย นี่สินะ... หน้าที่อันยิ่งใหญ่ของพ่อที่แม่เคยพูดไว้

   “เรามารับเจ้า”
   เขาผละออกแล้วมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มที่ชวนหลงใหลเหมือนเดิม มันช่างสว่างจ้าจนทำให้ดวงตาพร่ามัว ประโยคที่เปล่งออกมาทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุก มันกำลังเต้นระรัวเพราะความตื่นเต้น นี่ผมกำลังจะไปอยู่บนสวรรค์อย่างนั้นหรือ บนท้องฟ้าที่จ้องมองทุกวันน่ะนะ วิเศษไปเลย ต้องรีบไปปลุกแม่

   “ขอไปปลุกแม่นะครับ”
   ผมบอกอย่างกระตือรือร้นก่อนจะเตรียมวิ่งออกจากห้องนอน แต่แล้วการะกระทำกลับหยุดนิ่งเมื่อคนที่อยู่ด้านหลังนั้นเอื้อนเอ่ยบางประโยคออกมา

   “แค่เจ้าเท่านั้น”
   ผมหันขวับกลับไปมองผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อทันทีทันใด หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่พาแม่ไปอยู่ด้วยกัน ถ้าต้องทิ้งเธอเอาไว้ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น

   “แล้วแม่จะอยู่กับใครครับ ผมทิ้งเธอไม่ได้”

   “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับรองว่าแม่ของเจ้าจะสุขสบาย”

   ผมมันโง่ที่หลงเชื่อคำหลอกลวงจากบุรุษที่ได้ชื่อว่าพระเจ้า แม่ถูกปลิดชีวิตหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่ปี โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือการคุ้มครองใดๆ จากบุรุษที่เป็นข้ารับใช้จากพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว คำพูดทิ้งท้ายมีแค่... ตามเวรกรรมของใครของมัน พวกเราไม่อาจผืนกฎของธรรมชาติได้ และที่สำคัญคือแม่ตกนรก ความผิดคือยุ่งเกี่ยวกับบุคคลที่ไม่ควรอย่างเช่นพระเจ้า... ผมอยากจะถามจริงๆ ว่ามนุษย์ธรรมดามีดีอะไรไปหลอกลวงพระเจ้าอย่างนั้นเหรอ คนที่สูงส่งขนาดนั้นไม่ยอมลดตัวลงมาคลุกคลีด้วยหรอก ถ้าไม่ใช่คนที่สูงส่งจะเต็มใจเอง

   “ท่านปล่อยให้แม่ของข้าตายได้ยังไง!”
   ผมรีบก้าวเท้ายาวๆ เขามาด้านในที่พำนักของพระเจ้าอย่างไม่สนว่าใครจะห้ามปรามเพียงใด เขาที่นั่งอยู่บนบรรลังก์ทำแค่ปรายตามองกันแล้วสั่งให้ทุกคนถอยออกไป ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าหรือแววตาว่าโศกเศร้าแม้แต่เพียงเล็กน้อย มันเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ใช่ ความตายมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่แม่ที่เป็นคนดีกลับตกนรกมันหมายความว่ายังไง

   “สมควรแก่เวลามนุษย์ทุกคนต้องละสังขาร”
   เขาตอบด้วยน้ำเสียงเนิบนาบอย่างที่ไม่ควรเป็น ผมคงลืมคิดไปว่า ‘พ่อ’ มีเมียเป็นพันเป็นหมื่น มีลูกๆ อีกนับไม่ถ้วน บางครั้งเขาอาจจะจำหน้าแม่ของผมไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่ได้ขึ้นมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้คงเป็นเพราะพลังในตัวเองเด่นชัดกลบร่องรอยแห่งความเป็นมนุษย์จนหมดสิ้น

   “ท่านไม่เสียใจเลยหรือ... ครั้งหนึ่งท่านก็เคยมอบความรักให้แม่นี่”

   “เราควรมีอารมณ์แบบนั้นด้วยหรือ ความเสียใจไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าควรมี”

   “แล้วท่านมีหัวใจหรือไม่”

   “.....”
   ไร้ซึ่งคำตอบ เพราะผมรู้ดีอยู่แล้วว่าพระเจ้ามีหัวใจหรือไม่ ท่านมีหัวใจแต่ไม่ใช้รักใคร เพราะความรักไม่ใช่สิ่งสำเป็นตาอหน้าที่ของเขา ความรักไม่ได้หล่อเลี้ยงงานของเขาให้เจริญเติบโต ความสัมพันธ์ไม่ได้ส่งผลให้เขามีความสุข ดังนั้นการนั่งอยู่บนบรรลังก์แล้วสั่งการทุกสรรพชีวิตบนที่แห่งนี้ใช้เพียงความซื่อตรงต่อหน้าที่เท่านั้น

   คุณเคยอ้อนวอนต่อพระเจ้าหรือไม่ เขาเคยตอบรับคำขอนั้นแล้วดลบันดาลในสิ่งที่ทุกคนปรารถนาได้หรือเปล่า ถ้าไม่เคยนั่นคือสิ่งที่ไม่แปลก เพราะคำขอของมนุษย์เหล่านั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลยสำหรับผู้สูงส่งอย่างเขา พระเจ้าเลือดเย็นกว่าที่ใครๆ คิด มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่พร้อมจะรับฟังและมอบความปรารถนาให้มนุษย์

   “การที่แม่ต้องตกนรกมันเป็นความผิดของท่าน!”

   “หึ มันเป็นความผิดของเราอย่างนั้นหรือ ก็คงใช่”

   “ท่านไม่คิดจะช่วยเธอบ้างหรือ”

   “มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา”

   “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยแม่เอง”

   “ไม่ได้”

   “ข้าจะทำ!”

   ไม่รู้ว่าหลังจากคำพูดนั้นเกิดอะไรขึ้นบางแต่ทุกอย่างตรงหน้ากลับดำมืด หลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นใต้เท้ามันมีแรงดึงดูดให้ร่างกายร่วงหล่นสู่อนธการ มันคือนรก... ปีกสีขาวที่เคยมีแปลเปลี่ยนเป็นสีดำ ผมถูกทิ้งไม่ต่างจากแม่ ร่างกายบอบช้ำไม่เท่ากับหัวใจที่แหลกสลาย แล้วใครคนหนึ่งก็ยื่นมือเข้ามาช่วย

   ‘ส่งหัวใจของเจ้ามาให้ข้า มันจะไม่แหลกสลายอีกต่อไป’

   โกหก

   ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก อเมมอนไม่ได้รักษาเยียวยาหัวใจบอบช้ำนั้นเลยแม้แต่น้อย แค่ลวงคนที่โง่กว่าให้ยอมมอบสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อแลกกับการโดนใช้งานและถวายความจงรักภักดีต่อเข้เท่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้นอกจาก... หาทางขโมยสมบัติล้ำค่าของตัวเองแล้วหนีไปซะ หนีเท่าที่มีแรงเหลืออยู่จนจะขาดใจตาย...


   เทวินเริ่มขยับร่างกายเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวันเต็ม ซึ่งเราเองก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายตัวเองไปไหนเลย มีแต่คาอินเท่านั้นที่ถูกปล่อยกลับมาในสภาพสะบักสะบอมไม่ต่างจากตอนที่หมาหรือแมวกัดกัน ถ้าเดาไม่ผิด อเมมอนคงหมดความสนุกในการทารุณกรรมสัตว์ที่แข็งแรงที่สุดและเป็นอมตะอย่างมังกรเข้าให้แล้วเลยปล่อยกลับมาออย่างง่ายดายขนาดนี้

   “เทวินจะตื่นไหม...”
   คำถามที่ดังออกมาจากริมฝีปากซีดนั่นทั้งแหบแห้งไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา คาอินที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ กันได้แต่ทอดสายตามองมนุษย์เพียงคนเดียวอยู่อย่างนั้น เรารู้ว่ามันเป็นห่วงไม่ต่างกัน

   “ยังหรอก คาดว่าน่าจะอีกหนึ่งชั่วโมง”

   “ท่านไปยืดเส้นยืดสายก่อนไหม เดี๋ยวเราดูแลให้เอง”

   “ไม่เป็นไร เจ้าไปพักเถอะคาอิน เราอยู่ได้”

   “แต่ว่า...”

   “ไปสิ”

   “อืม...”

   คาอินเดินลงจากเตียงแล้วหอบสังขารของตัวเองเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างเชื่องช้า  เราไม่ได้จนใจมันอีกเพราะกลับมาใจจดใจจ่อกับร่างตรงหน้า มือเรียวเอื้อมจับพวงแก้มซีดขาวก่อนจะไล้ไปตามโครงหน้าอย่างแผ่วเบา อยากทะนุถนอมทั้งร่างกายและจิตใจของคนๆ นี้ แต่ที่แสดงออกไปกลับทำร้ายเขาอย่างไม่น่าให้อภัย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกไปได้ กลัวว่าความสัมพันธ์ของเทวินและเซนจะกลับมาอีกครั้ง ถึงจะเป็นดวงวิญญาณเดียวกัน แต่เรากับเซนมีกายเนื้อแยกกัน ความคิดต่างกัน แต่เรื่องความรู้สึกนั้นเหมือนกัน ไม่แปลกที่เราจะหลงรักเทวินเพราะเซนรัก ไม่ใช่สิ เพราะเรารักต่างหาก เฝ้ามองมาเป็นเวลายี่สิบปีเต็ม ตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิด

   “เจ้าเป็นตัวยุ่งสำหรับเราจริงๆ เทวิน”
   มือเรียววางทาบบนแก้มเนียนใสก่อนจะโน้มตัวลงมอบจุมพิตปีศาจให้คนที่ยังไม่ได้สติ อยากมอบทุกอย่างให้มากกว่านี้ แต่ยังทำไม่ได้ ในเมื่อคนที่นอนอยู่ยังไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เราคงคาดการณ์ผิดไปหน่อยเพราะตอนนี้ดวงตากลมกลับปรือขึ้นแล้วมองจ้องกันด้วยความตกใจ เขาผลักเราออกด้วยแรงทั้งหมดแล้วขยับตัวถอนหนีไปจนเกือบตกเตียงอีกด้าน นี่มันผิดปกติ...

   “อัสโมดายจะทำอะไรผม”
   น้ำเสียงสั่นเครือถามกลับมา แววตาดูหวาดกลัวจนผิดสังเกต ถ้าเดาไม่ผิดอเมมอนน่าจะฝังความทรงจำอะไรบางอย่างให้กับเขาไปแล้วแน่ๆ และเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันคือเรื่องอะไรถ้าเทวินไม่ยอมเล่าออกมา

   “แค่จุมพิต... ไม่ได้หรือ”
   เราถามกลับไปด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มและยังใช้สายตาอ่อนโยนมองหน้าเขา เผื่อว่าเทวินจะคลายความตึงเครียดลงบ้าง แต่เปล่าเลยเพราะเขาเอาแต่กอดตัวเองแล้วส่ายหน้าไปมาราวกับหวาดกลัวการกระทำอันแสนอ่อนโยนนั่น... ทำไมกัน

   “อย่าเข้ามาใกล้ผมอีกเลย ผมกลัว ฮึก”
   เทวินกอดตัวเองแน่นก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยที่เราได้แต่ขมวดคิ้วแน่น พอขยับตัวจะเข้าไปหาเขาก็ถอยหลังจนกลัวว่าจะตกเตียง ทำไมถึงได้กลัวกันซะได้ อเมมอนกำลังเล่นตลกอะไรอยู่

   “กลัวอะไร เจ้าบอกเราได้ไหมเทวิน”

   “ฮึก ไม่เอา”

   “เทวิน เจ้าควรตั้งสติ”

   “ฮือ กลัว อัสโมดายอย่าเข้ามา”

   “.....”
   เราไม่รู้ว่าควรทำยังไงเลยกระชากแขนเทวินให้เข้าหาอ้อมกอดของตัวเอง ถึงเขาจะพยายามดิ้นรนขัดขืนสักแค่ไหนก็ไม่มีทางหนีรอดไปไหนได้ จนฝนที่สุดพายุอารมณ์ถึงได้สงบลง แต่เสียงสะอื้นยังคงหลงเหลืออยู่ในขณะที่มือเรียวลูบเส้นผมสีดำอย่างอ่อนโยน

   “ไหนลองบอกมาสิว่าเจ้ากลัวอะไร”
   เราถามอีกครั้งเพื่อว่าจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดอะไรบางอย่างที่เทวินกำลังถูกปั่นหัว เขาผละตัวออกจากอ้อมกอดแล้วช้อนตากลมที่แดงก่ำขึ้นมองกัน ปากบางเม้มแน่นเหมือนกำลังชั่งใจและในที่สุดเขาก็ยอมพยักหน้าและเล่าทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกกลัว

   “ผม... อเมมอนจะฆ่าเซน ถ้าหากว่าผมเข้าใกล้อัสโมดาย”

   “เจ้า...”

   “ผมรักเซน ผมไม่อยากให้เซนตาย ขอร้องล่ะครับ อย่าเข้าใกล้ผมอีกเลยนะ”

   “เจ้า... จำได้อย่างนั้นหรือ”
   อเมมอนกำลังฝืนกฎของปีศาจในการคือบรรณาการที่เรารับมาแล้วให้กับคู่พันธะสัญญา แต่ใครจะลงโทษเขาได้ในเมื่อผู้คุมกฎก็คือตัวเขา... เทวินมองมาด้วยแววตาสั่นไหว น้ำตาไหลลงมาอีกแล้ว เขาพยักหน้ารัวราวกับคนเสียสติ

   “ถ้าเราบอกว่า... เซนคือเราและเราคือเซนเจ้าจะเชื่อไหม”

   “ยอมรับง่ายขนาดนี้เลยเหรอ อ่อนหัดจังเลยน้า” 
   น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้เรารู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เทวินแต่เป็น ‘กาป’ ปีศาจลำดับที่สามสิบสาม และเป็นปีศาจใต้อาณัติของอเมมอนเช่นเดียวกัน แล้วเทวินล่ะ... ทำไมต้องเป็นแบบนี้!

   “เจ้า... เอาเทวินไปไว้ที่ไหน”
   เราถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งที่ในใจร้อนรุ่มจนแทบบ้า รู้ดีว่ากาปไม่ได้เข้าข้างอเมมอนแต่อย่างใด ปีศาจตนนี้ได้ถูกยกย่องเป็นผู้คุมกฎเช่นกัน

   “ที่ที่ปลอดภัยน่า”
   เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายแล้วเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองให้กลายเป็นร่างปีศาจอันคุ้นตา เรากับกาปถือว่าเป็นมิตรต่อกัน... แต่เป็นมิตรที่พร้อมจะหักหลังตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

   “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องการอะไรจากเรา”

   “เกลียดปีศาจรู้ทันจังเลยน้า”
   กาปขยับเข้ามาใกล้เราแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายนั่น เขาเป็นปีศาจที่มีเสน่ห์ บางครั้งพวกเดียวกันยังหลงมัวเมาได้ แต่ไม่ใช่สำหรับเราที่เป็นถึงราชา

   “เกลียดเราก็อยู่ห่างๆ จากเรา”
   เราเบือนหน้าหนีแววตาขี้เล่นของกาป ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวแต่มันน่ารำคาญที่ต้องคอยรับรู้ความรู้สึกบางอย่างจากเขา... ความรู้สึกที่ปีศาจไม่พึงมี ‘ความรัก’ เรารู้มานานแสนนานว่ากาปคิดอะไรอยู่ แต่การสนองความต้องการของเขานั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้

   “ถ้าบอกว่าเรารักเจ้าล่ะอัสโมดาย เจ้าจะไล่เราอีกหรือเปล่า”
   เสียงของเขาดูจริงจังขึ้น แต่เรารู้ว่าในความเป็นจริงแล้วปีศาจตนนี้ไม่ได้คิดอะไรมากอย่างที่แสดงออก อยากได้อะไรแต่ไม่ได้ก็แค่ช่างมันไปก็เท่านั้นเอง ไม่ขวนขวายหรือเจ้าแผนการเหมือนบุคคลอื่นหรอก

   “เจ้าบอกรักเรามากี่ครั้งกี่หนกัน จำได้บ้างหรือไม่”
   เราลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินนำเขาออกไปที่ระเบียงด้านนอก ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าคาอินสัมผัสได้ถึงกาปมาสักครู่แล้ว เพราะเจ้าตัวนั่งแยกเขี้ยวขู่ปีศาจอีกตนอยู่บนโซฟา

   “ทั้งเจ้าทั้งคาอินนี่ใจร้ายกับเราจังเลยน้า ไม่มีใครรักเราสักคน เฮ้อ”
   น้ำเสียงเสแสร้งแต่ใบหน้าแย้มยิ้มช่างน่าหมั่นไส้จนอยากกระทืบให้จมดิน แต่เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ตราบใดที่เทวินยังอยู่ในความดูแลของกาป

   “เจ้าบอกรักเราทุกปี นี่ก็ผ่านมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ไม่คิดว่ามันนานเกินไปหน่อยหรือ”
   มันเนิ่นนานมาแล้วจริงๆ ที่ปีศาจตนข้างๆ เผยความรู้สึกที่ไม่ควรมีออกมา ทั้งๆ ที่หัวใจของตัวเองโดนครอบครองโดยอเมมอน... และเขานี่ล่ะที่อเมมอนมอบความรักให้อย่างแท้จริง

   “ก็เรารักของเรา เจ้าจะห้ามได้หรือ”

   “ไม่ได้ห้าม แค่อยากให้ตัดใจ”

   “ยาก เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า”

   “ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงบอกความปรารถนามา”

   “ร่วมมือกันแย่งชิงหัวใจของพวกเราจากอเมมอน”




-------------------------------------------------

นี่ล่ะหนาคือความรัก...


หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 13 -P.4- (23.11.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 30-11-2016 14:53:51
ได้เวลาสู้กับอเมมอนแล้ว

แต่ว่าแล้วล่ะว่าเซนเป็นตัวตนเดียวกับอัสโมดาย
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 13-12-2016 16:49:01
ตำราบทที่ 14


‘Love is power granted to those strong enough to weaken’
ความรักเป็นพลังที่ยอมให้ความเข้มแข็ง อ่อนแอลงได้




   ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้เพียงแค่ว่ามันเป็นห้องสี่เหลี่ยมสีขาวโพลนที่มีแค่เพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นไม่กี่ชิ้น อย่างโต๊ะ เตียง เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า ร่างกายเบาราวกับนุ่นเพราะนอนราบอยู่กับฟูกนุ่มนิ่ม ดวงตากลมกระพริบปรับโฟกัสอยู่ไม่นานทุกอย่างก็ชัดเจน สิ่งที่สะดุดตาคือลูกแก้วขนาดเท่าลูกโบว์ลิ่งที่วางอยู่ข้างเตียง มันไม่ใช่ลูกแก้วธรรมดาเพราะภายในนั้นปรากฏรูปเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง

   ผมใช้แขนดันตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเพ่งมันอย่างเอาเป็นเอาตาย ขยับเข้าไปใกล้จนเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน อัสโมดายที่รู้จักกันดีกับปีศาจอีกตนที่เหมือนเคยเห็นในฝันก่อนตื่นนอนเมื่อครู่... คิดว่าลูกแก้วอันนี้น่าจะแสดงเหตุการณ์จากที่ใดที่หนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลาปัจจุบัน จะให้เฝ้ามองอยู่แบบนี้ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอ สัมผัส จับต้องไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน บนโลก ในนรก หรือสวรรค์

   “เทวิน!”
   เสียงเรียกทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวจนล้มลงกับพื้น ต้นเสียงรีบขยับร่างกายเข้ามาประคองกันอย่างทันท่วงที เมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยถึงกับรู้สึกจุกขึ้นมาอยู่ในอก คาอิน...

   “เจ้าเป็นยังไงบ้าง ลุกขึ้นก่อน”
   น้ำเสียงส่อแววเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบังดังขึ้น เขาช่วยพยุงร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของผมให้นั่งลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ไม่รู้ว่าควรใช้ประโยคไหนพูดคุยกับคนตรงหน้าดี เพราะครั้งสุดท้ายที่พอจะจำได้คือคาอินถูกอเมมอนทรมาน แต่ดูเหมือนตอนนี้ร่างกายนั้นจะกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว อยากถามหาอัสโมดายที่ไม่ปรากฏกายต่อหน้าพร้อมกัน แต่ก็กลัวคำตอบเพราะลูกแก้วยังคงฉายภาพต่างๆ ไปเรื่อยๆ พวกเขาสองคนกำลังเดินทางไปที่ไหนกันแน่ ทำไมมันช่างดูรกร้างและน่ากลัวได้ขนาดนั้น พื้นดินแตกระแหง ต้นไม้เหลือแค่กิ่งก้านที่ตายแล้ว

   “คาอิน... เขากำลังไปที่ไหนกันเหรอ”
   ถามออกไปคล้ายคนกำลังละเมอ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ลูกแก้วไม่หยุดจนคาอินเดินมาขวางทางเอาไว้ หัวคิ้วจึงย่นจนแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียว เกะกะ...

   “ไม่ต้องรู้หรอกน่า แค่รออัสโมดายกับกาปกลับมาก็พอ”
   คาอินตอบด้วยเสียงที่พยายามทำให้ปกติแล้วดันตัวผมให้นอนราบลงกับเตียงก่อนที่เขาจะดึงผ้าห่มสีขาวสะอาดตามาคลุมถึงคอให้กัน แต่ความพยายามที่อยากรู้เรื่องราวยังไม่หมดแค่นั้น เพราะสายตายังคอยสอดส่องหาช่องทางเพื่อจะได้มองลูกแก้ว มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของใครอีกคน ได้โปรด...

   “ผมอยาก...”

   “ถ้าเจ้ายังดื้อดึงจะดูลูกแก้ว เราจะขว้างมันลงกับพื้นให้แตกละเอียด”
   คาอินใช้ดวงตาสีเหลืองจ้องมองมาและมันไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย ผมได้แต่ส่งสายตาละห้อยแล้วรีบส่ายหน้ารัว มีมันเอาไว้ดีกว่าไม่มีอะไรเลย... เขาเผลอเมื่อไหร่ก็เป็นทีของผมบ้างล่ะ

   “คาอิน... เราอยู่ที่ไหนกันเหรอ”

   “เรื่องนั้น... เราก็ไม่รู้เหมือนกัน กาปส่งเรามาที่นี่เหมือนๆ กับเจ้า”

   “แล้วเมื่อไหร่... ถึงจะได้ออกไปจากที่นี่”

   “คงหลังจากที่ทั้งคู่เสร็จภารกิจล่ะนะ เจ้านอนพักผ่อนเถอะ เราจะนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ... เพราะเราก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน”

   หลังจากนั้นเปลือกตาของผมก็ปิดลงอย่างไม่มีทางเลือกเพราะความเหนื่อยล้า และไม่เห็นผลดีที่จะเกิดขึ้นเมื่อลืมตาไว้แบบนั้น ความดำมืดกำลังคืบคลานและฉุดดึงผมลงในหลุมอันเวิ้งว้างอย่างเงียบเชียบ เสียงหายใจของเจ้ามังกรนรกค่อยๆ เบาแผ่วลงทุกขณะจนเงียบหายไป

   ไม่มีความฝันใดๆ โผล่ขึ้นมาอีก แต่ตัวผมกลับตื่นขึ้นด้วยอากาศที่ร้อนจนแสบผิว ในความทรงจำมันไม่ใช่แบบนี้เพราะให้ห้องสีขาวสะอาดนั่นมีอุณหภูมิที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย แต่ตอนนี้มันกลับหนักอึ้งและครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับใครเอาไฟมาเผา...

   “เฮ้ย!!”
   เมื่อดวงตากลมเปิดขึ้นแล้วต้องตะลึงกับสภาพรอบด้าน มันเต็มไปด้วยความแห้งแล้งของต้นไม้ที่ยืนต้นตาย พื้นดินแตกระแหงอย่างน่ากลัว ความร้อนระอุมาจากเปลวเพลิงที่ล้อมกรอบพวกเราจนเป็นวงกลม ทำไมผมถึงมาอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกันกับอัสโมดายและกาป จำได้ว่าแค่หลับพักผ่อนตามที่คาอินบอกก็เท่านั้นเอง ใครทำแบบนี้กัน

   ผมทะลึ่งพรวดขึ้นจากพื้นดินแห้งแล้งแล้วคว้าตัวอัสโมดายที่นั่งยองอยู่ใกล้ๆ มากอดไว้ทันที เขาเซวูบเล็กน้อยแต่ก็ทรงตัวและโอบกอดกลับมาแนบแน่นไม่แพ้กัน ผมไม่รู้ว่าเวลาที่เราห่างกันนั้นนานแค่ไหน เพราะแทบไม่รู้เลยว่าตัวเองหลับอยู่ในห้องสีขาวนั่นผ่านไปนานแค่ไหน รู้แค่เพียงว่าความคิดถึงมันล้นอก แค่การกอดบางครั้งคงไม่เพียงพอ ถึงจะรู้สึกอยู่แค่ฝ่ายเดียวก็เถอะ

   “เจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมเทวิน”
   น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามกันชิดริมใบหู ผมพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบแล้วฝังจมูกลงบนลาดไหล่กว้างที่คุ้นเคย กลิ่นมิ้นท์ยังคงหลอกล่อและตราตรึงความรู้สึกกันได้อยู่เสมอ ผมรู้ว่าอัสโมดายคือเซน... คือดวงวิญญาณดวงเดียวที่ผมจะรักตลอดไป ผมได้รับความรู้สึกที่มีต่อเซนกลับคืนพร้อมทั้งความรู้ใหม่ที่ยัดเข้ามาใส่หัวโดยอเมมอน เขาคงหวังให้เราแตกแยกกัน แต่ไม่เลย ผมรู้ว่าคนที่ผมรักต้องมีเหตุผลที่ไม่ยอมบอกความจริง

   “เซน...”
   ผมหลุดปากเรียกชื่อเขาในแบบที่คุ้นเคยมานาน อัสโมดายสะดุ้งเล็กน้อยแล้วผละตัวออกจากกันก่อนจะส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายมาให้

   “เจ้า... รู้แล้วหรือ”
   เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ แต่ผมกลับพยักหน้าหนักแน่นแล้วมองตาเขากลับอย่างไม่ลดละ อีกสองชีวิตที่ยืนอยู่ในวงล้อมเปลวเพลิงเช่นกันถอนหายใจเฮือกออกมาจนพวกเราต้องหันไปมอง

   “อเมมอนช่างร้ายกาจ แต่เทวินร้ายมากกว่า”
   คาอินพูดออกมาพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันทั้งที่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะแก่การแสดงออกแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว กาปที่ผมเพิ่งรู้จักไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนทำหน้าไม่สบอารมร์สักเท่าไหร่ แววตาสวยคู่นั้นบ่งบอกออกมาโต้งๆ ว่าเขารู้สึกยังไงกับอัสโมดาย รัก อาจจะรักมากกว่าที่ผมรักปีศาจตนนั้นด้วยซ้ำ

   “ร้ายกว่าตรงไหนอุ่น... ไม่ใช่สิ คาอิน”
   และอีกสิ่งหนึ่งคือมังกรนิสัยเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขามีนิสัยคล้ายกับเพื่อนสนิทนั้นก็กระจ่าง เขาคืออุ่นนั่นเอง

   “อเมมอนจะขายพวกเราทุกอย่างเลยหรือยังไง แบบนี้เขาเรียกว่ารักเหรอ”
   แทนที่เขาจะตอบคำถามผมแต่กลับตัดพ้ออเมมอนด้วยใบหน้าบึ้งตึง บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้มันร้ายแรงพอจะทำให้ปีศาจทั้งสามตนกลัวหรือไม่ มีแต่ผมหรือเปล่าที่กลัววงล้อมเพลิงจะลุกไหม้ใกล้พวกเราเข้ามาเรื่อยๆ

   “ใครก็พูดได้ว่ารัก ถ้าอยากจะพูด ไม่ต้องรู้สึกก็ได้”
   กาปพูดขึ้นก่อนจะมองไปด้านหน้าที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง ทุกคนดูไม่เดือดร้อนอะไรเลย ทำไมกันนะ

   “โห... แต่ที่อเมมอนบอกว่ารักกาปนั่นก็โกหกหรือ”
   เจ้ามังกรขี้สงสัยยังยิงคำถามไปเรื่อยๆ ส่วนผมพยุงตัวลุกขึ้นโดยมีอัสโมดายคอยประคองอยู่ไม่ห่าง

   “เทวิน... เจ้าโกรธเราหรือเปล่า”

   “อ่า เรื่องที่เป็นเซนน่ะเหรอ ไม่หรอก ผมรู้ว่าอัสโมดายมีเหตุผล”

   “เจ้ารัก...เซนสินะ”

   “อื้อ ผมรักเซน”

   “....”

   “แต่ผมรักคนตรงหน้ามากกว่า”





------------------------------------------------

50%
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 13-12-2016 17:41:20
จะรักใครก็เหมือนกันเพราะเป็นคน ๆ เดียวกันนี้นา
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-12-2016 20:48:12
 :katai1: :katai1: :katai1:
แล้วจะจัดการยังไงกัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 17-12-2016 21:08:17
 :serius2: ค้างงงงงง
หัวข้อ: Re: >> Demon' s Contract << ตำราบทที่ 14 -P.4- (13.12.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-08-2018 01:52:28
 :ling1: :ling1: :ling1: