บทที่ 7 : ชิงช้าสวรรค์
ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาไขประตูบ้านเข้ามาพบกับความเงียบและมืดสนิท ที่ห้องนั่งเล่นแสนเหงาไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ พินเปิดไฟเพิ่มความสว่างในบ้าน จากนั้นจึงเรียกหาใครบางคน
“มะลิ?”
มีเพียงความเงียบตอบกลับมา เขาจึงลากร่างกายอันอ่อนล้าขึ้นบันไดไป เมื่อเปิดประตูห้องออกก็พบว่า คนที่เขามองหากำลังยืนอยู่ตรงระเบียง
“คิดอะไรอยู่หรอมะลิ?”
เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นคนที่ยืนข้างๆเหม่อลอยมองท้องฟ้าพราวดาว พินเหลือบมองเสี้ยวหน้าขาวสุกสว่างของชายหนุ่ม สายตาหมองเศร้าลอยล่องทอดออกไป มะลิถอนหายใจก่อนจะตอบกลับมา
“เราคิดถึงท้องฟ้า...คิดถึงวันที่เราเคยโบยบินอย่างอิสระ”
มะลิตอบโดยที่ไม่ได้สบตาคนถาม สายตายังคงมองทอดออกไปเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด
“แล้วทำไมมะลิไม่แปลงร่างเป็นนกบ้างล่ะ? เหมือนที่นินจาแปลงร่างเป็นแมวไง”
คราวนี้มะลิหันมาสบตากับพิน เขายิ้มขึ้นจางๆก่อนจะตอบกลับไป
“เราทำไม่ได้...ร่างนกของเราถูกมนุษย์ยิงตายไปแล้ว...”
พินรู้สึกสะเทือนใจที่ได้ยินแบบนั้น จะว่าไปแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับมะลิ ถึงทำให้นกหนุ่มตัดสินใจที่จะมาอาศัยอยู่ในร่างของพี่ชายเขาเช่นนี้
“มะลิ...ชั้นถามได้รึเปล่า...ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย?”
คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเสียงเศร้า
“นกแสกอย่างเราเป็นที่รังเกียจของมนุษย์...พินก็รู้ไม่ใช่หรอ?”
พินรู้ดีเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าเมื่อนกแสกไปเกาะบ้านใคร บ้านหลังนั้นจะมีคนตาย แต่ที่รู้ดียิ่งกว่านั้นคือมันไม่ใช่เรื่องจริง
“มันเป็นแค่ความเชื่องมงาย พวกนายเป็นสัตว์ตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นตัวกาลกิณีอย่างที่เค้าว่ากันซักหน่อย”
“แต่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะคิดแบบพินนี่...”
ก็จริงอย่างที่มะลิว่า ยิ่งชาวบ้านตามต่างจังหวัดที่วิถีชีวิตยังผูกพันกับเรื่องความเชื่ออยู่มากด้วยแล้ว นกแสกอย่างมะลิคงไม่เป็นที่ต้อนรับนัก ตัวไหนโชคดีอย่างมากก็อาจจะแค่โดนไล่ไป ตัวไหนโชคร้ายหน่อยก็คงจะต้องมีจุดจบแบบมะลิไม่ต่างกัน...
“เราแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ตอนนี้เราอาจจะคิดผิด เราดิ้นรนเข้ามาใช้ชีวิตในฐานะของมนุษย์คนอื่น แต่เรากลับไม่มีปัญญารับมือกับปัญหาอย่างมนุษย์ทั่วไป...บางทีเราอาจจะสมควรตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้”
“ฟังนะมะลิ...บนโลกนี้ไม่มีใครสมควรตายหรอก ถึงแม้ว่าตอนแรกชั้นจะไม่ได้พอใจนักที่นายมาสิงร่างพี่ชายชั้น แต่จริงๆแล้วชั้นรู้สึกประทับใจมากนะ ที่มะลิพยายามจะมีชีวิตอยู่”
พินพูดขึ้นพลางสบตาคู่สนทนาอย่างจริงจัง ดวงตาสีดำงดงามมองตอบกลับมาโดยที่สะท้อนภาพคนตรงหน้าให้เห็น คำพูดของพินทำให้มะลิรู้สึกเจ็บหน่วงทว่าตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
“อย่าท้อแท้...แล้วใช้ชีวิตที่เหลือเผื่อพี่ชายชั้นด้วยเถอะนะ”
น้ำอุ่นใสๆคลอขึ้นในดวงตาจากนั้นจึงไหลอาบใบหน้าผุดผ่องของนกหนุ่มโดยไม่รู้ตัว มะลิยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของตน เขาปาดเช็ดหยดน้ำนั้นก่อนจะเอ่ยถาม
“พิน...นี่เรา...ร้องไห้งั้นหรอ?”
“อืม...ก็มะลิเป็นคนเหมือนกันนี่นา...”
สิ้นเสียงของพินน้ำตาก็ร่วงลงพรั่งพรูไม่หยุด หยดน้ำใสที่อาบใบหน้าขาวกระจ่างของชายหนุ่ม ไม่ต่างจากสายฝนในตอนกลางวัน ทั้งสว่างไสวทั้งสวยงาม พินเอื้อมมือขึ้นช่วยปาดซับน้ำตาให้กับมะลิ ในใจเศร้าสะท้อน....ทว่า
กลับเต็มไปด้วยความใหลหลง...
“พินจะพาเราไปไหนหรอ?”
พินในชุดนักศึกษากำลังเดินจูงมือนกหนุ่มให้เดินตามเขามา สถานที่แห่งนี้อยู่ติดริมแม่น้ำสายใหญ่ เป็นพื้นที่ๆเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารในบริเวณเปิดโล่ง ยามเย็นที่ตะวันคล้อยไปทำให้อากาศดีไม่ร้อนนัก สายลมโชยเอื่อยจนเห็นได้ชัดว่าเส้นผมดำสนิทของคนที่เดินนำอยู่กำลังพลิ้วไหว
คนทั้งคู่มาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนส่งกระเช้าใสตู้แล้วตู้เล่าขึ้นสู่จุดสูงสุด มะลิเงยหน้ามองตาวาวด้วยความตื่นเต้น
“เราเคยเห็นสิ่งนี้ แต่เราไม่เคยเห็นอันที่ใหญ่ขนาดนี้”
“มะลิรู้จักชิงช้าสวรรค์ด้วยหรอ?”
“เรียกว่าชิงช้าสวรรค์งั้นหรอ? เราเคยเห็นอันที่เล็กกว่านี้ในงานวัด เป็นกรงเล็กๆที่ใส่มนุษย์เข้าไปได้คนสองคน”
พินฟังคำอธิบายของมะลิก็ยิ้มขำขึ้นมา เขาเดินตรงไปซื้อตั๋วสำหรับสองคนจากนั้นจึงเดินไปต่อแถว
“ถึงมะลิจะบินไม่ได้แล้ว แต่ชั้นก็หวังว่าชิงช้าสวรรค์จะช่วยพามะลิขึ้นไปดูท้องฟ้าให้พอหายคิดถึงได้บ้างนะ”
มะลิยิ้มกว้างเมื่อได้รับรู้ว่าสิ่งที่พินพยายามทำก็เพื่อให้เขามีความสุข สำหรับมะลิทุกครั้งที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดพิน มันทำให้เขาสดชื่นอบอุ่นใจไม่ว่าพินจะเป็นวิญญาณหนูหรือไม่ก็ตาม
“ถึงตาเราแล้ว เข้าไปข้างในเร็ว”
พินดันตัวมะลิที่กำลังยืนเก้ๆกังๆเข้าไปในกระเช้าใส ครู่หนึ่งคนทั้งคู่ก็ถูกยกส่งให้ลอยขึ้น มะลิยืนเอามือแนบกระจกแน่นพลางมองชื่นชมทิวทัศน์ภายนอกดวงตาเป็นประกาย
“พิน! บ้านของพวกเราอยู่ตรงไหน?”
“ไม่รู้สิ...มันเล็กมากชั้นเองก็มองไม่เห็น แต่น่าจะเป็นแถวๆนู้นน่ะ”
พินยิ้มเอ็นดูเมื่อได้ยินคำถามไร้เดียงสาของมะลิ มือข้างหนึ่งก็ชี้ไปทางที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของบ้าน ตอนนี้ใบหน้าที่ฉายรอยยิ้มสว่างไสวของนกหนุ่มได้สะกดสายตาของพินไว้ไม่อาจละไปไหน รอยบุ๋มๆน่ารักบนแก้มขาวมองแล้วทำให้เขาคันไม้คันมืออยากจะเอานิ้วจิ้มลงไปยังไงไม่รู้
“ขอบคุณนะพิน เรามีความสุขมากเลย”
“เอ๊ะ...! อ๋อ...อื้ม มะลิชอบชั้นก็ดีใจ”
เสียงของมะลิสะกิดให้คนที่กำลังมันเขี้ยวกลับออกมาจากภวังค์ พินเขินน้อยๆเมื่อรู้สึกตัวว่าเขาเผลอเคลิ้มให้กับรอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว ยิ่งพิจารณาดูพินก็ยิ่งรู้สึกว่ามะลิดูไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะดูเพี้ยนๆไปบ้างแต่ก็คงเป็นเพราะเขาเป็นนกป่า ถ้าได้เกิดและเติบโตในเมือง มะลิก็คงรู้ประสาไม่ต่างไปจากนินจาเลยสักนิด
“นี่มะลิ...นายเคยเป็นคนมาก่อนรึเปล่า?”
“เคยสิ...เราถึงได้มีสองวิญญาณไง แต่เราจำเรื่องตอนเป็นคนไม่ได้หรอก”
“หมายความว่ายังไง?”
“เรารู้แค่ว่าอมนุษย์อย่างเราเกิดจากการที่คนและสัตว์ชนิดนั้นมีความผูกพันหรือก่อกรรมร่วมกันมาพอตายไปเลยได้มาผูกวิญญาณไว้ด้วยกัน แล้วก็ใช้กายหยาบเดียวกันแต่แปลงได้สองร่าง”
“แปลว่าร่างกายกับวิญญาณนกของมะลิไม่อยู่แล้วหรอ”
“ใช่...”
‘ถึงว่า...ก็ดูเหมือนคนปกติดี แค่สับสนนิดหน่อยเท่านั้นเอง...’
เมื่อนึกถึงพฤติกรรมเยี่ยงมนุษย์ผสมกับนกของมะลิขึ้นมา จู่ๆพินก็นึกถึงจูบของเขาทั้งสอง ใบหน้าเนียนร้อนวูบขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“พินเป็นอะไรทำไมหน้าแดงจัง?”
“ห๊ะ...? อ๋อ...ชั้นร้อนน่ะ”
คนเขินรีบพูดขึ้นมั่วซั่ว พลางสะบัดคอเสื้อให้ลมถ่ายเทเข้ามา มะลิไม่รอช้าส่งมือขาวไปแนบแก้มชายหนุ่มเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ร้อนจริงๆด้วย”
ใบหน้าที่แดงจัดอยู่แล้วยิ่งแดงไปกว่าเดิม พินผละใบหน้าออกจากมือเย็นๆของนกหนุ่มก่อนจะก้มหน้างุดไปอีกทาง
ส่วนหัวใจ...ถ้ามันพูดได้คงจะตะโกนว่า “มันเต้นรัวจนแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว”
ชายสองคนที่กำลังเดินเล่นกินลมอยู่ใกล้กับจุดขายอาหาร ถูกกลิ่นหอมๆชักนำให้คล้อยตาม คนตัวสูงกว่าชี้นิ้วไปตามทิศทางของกลิ่นพลางเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“พินเราหิว ซื้อสิ่งนั้นให้เรากินหน่อยได้มั้ย?”
พินมองตามมือที่ชี้ไปก็พบว่า “สิ่งนั้น” ของมะลิคือ “ไก่ทอด” เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม
“มะลิ...นายไม่กินไก่ไม่ใช่หรอ?”
“กินสิ! ทำไมจะไม่กินล่ะ?”
นกหนุ่มเอ่ยตอบพลางจ้องคนตรงหน้าตาแป๋ว ส่วนคนฟังแทบจะเกาหัวแกรก
‘อะไรของมันวะ? เดี๋ยวกินเดี๋ยวไม่กิน...’
“เราเองก็เป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนกินอะไร เราก็กินอย่างนั้นแหละ”
มะลิยิ้มกว้างสดใสส่งไปให้ชายหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้พินดูจะเข้าใจแล้วว่าเจ้านกก็แค่พยายามทำตัวให้เหมือนมนุษย์ปกติเท่านั้นเอง
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นมะลิรอตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวชั้นไปซื้อมาให้”
พูดจบพินก็ผละตัวไป พลันของสิ่งหนึ่งในกระเป๋ากางเกงสั่นสะเทือนขึ้นจนมะลิแทบจะสะดุ้ง เขาไม่รอช้าหยิบขึ้นมาและพบว่ามีใครคนหนึ่งโทรเข้ามา
‘สินทร?’
ชายหนุ่มอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนจะรับสาย
“สวัสดีครับ...”
[สวัสดีครับคุณพิชาธร...เรื่องคดีที่เราตกลงกันไว้ ไปถึงไหนแล้วครับ?]
‘คดี?’
มะลิได้ฟังก็เงียบไป หากพูดถึงเรื่องส่วนตัวของพิมพ์ เขามีข้อมูลเพียงน้อยนิดเท่านั้น แล้วนี่ยังจะมีใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักโผล่มา นกหนุ่มก็ปะติดปะต่ออะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
“...เอ่อ”
มะลิอึกอัก ทำให้เสียงเข้มๆปลายสายรีบพูดขึ้น
[ถ้าไม่สะดวกคุยตอนนี้ เอาเป็นว่านัดเจอกันก็ได้ครับ]
สีหน้าที่ละล้าละลังเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตัว นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รู้เรื่องราวของพิมพ์มากขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคู่สนทนาของเขาเป็นใครก็ตาม ถึงรู้ว่าต้องเสี่ยง แต่ก็ยังดีเสียกว่าใช้ชีวิตอย่างมืดบอดไร้หนทางเช่นนี้
“ได้ครับ คุณสินทรสะดวกที่ไหนเวลาไหนครับ ช่วงนี้ผมว่างตลอด”
ทางด้านพินตอนนี้ไก่กรอบๆในซอสแดงเยิ้มได้มาอยู่ในมือเขาแล้ว เขาเดินออกมาจากซุ้มพลางมองหามะลิ แล้วก็เห็นว่านกหนุ่มกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ครับ...ได้ครับ สวัสดีครับ...”
“มะลิ?”
พินเอ่ยเรียกคนที่กำลังกดวางสาย ชายหนุ่มท่าทางลุกลนหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“มะลิคุยกับใครหรอ?”
พินถามพลางส่งไก่ทอดให้กับมะลิ เห็นได้ชัดว่าเจ้านกกำลังใช้ความคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ยตอบออกไป
“อะ...อ๋อ...มีคนโทรมาชวนให้เราซื้อประกันน่ะ!”
พินตาโตเมื่อได้ยินคำว่า “ประกัน” เขาเผลอถามออกไปเสียงดัง
“ห๊ะ! แล้วมะลิตอบตกลงไปรึเปล่า? ชั้นแอบได้ยินนายพูดว่าได้ๆอะไรซักอย่าง”
“อ๋อ เปล่าหรอก เราบอกเค้าไปว่าเราไม่มีเงินน่ะ...”
“ก็แล้วไป....”
ชายหนุ่มท่าทางโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เขากลัวว่านกน้อยไม่รู้ประสาจะตกเป็นเหยื่อของพวกขายของทางโทรศัพท์ ไหนจะพวกมิจฉาชีพร้อยแปดบนโลกอันแสนโหดร้ายของมนุษย์อีก โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า พินต่างหากที่ถูกมะลิปกปิดความจริงเอาไว้ ความจริงที่ว่ามะลิกำลังจะไปพบกับใครคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพิมพ์ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าชายคนนี้จะวางใจได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้พินมาพัวพันกับเรื่องนี้
เพราะ...หากเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้ตลอดชีวิต...
“มะลิเป็นอะไรทำไมวันนี้ตื่นไวจัง?”
พินในชุดนักศึกษายืนจับลูกบิดพลางมองคนที่ยืนยิ้มระรื่นท่าทางน่าสงสัย
“ก็วันนี้พินจะไปสอบใช่มั้ยล่ะ? เราก็เลยรีบตื่นมาส่ง มาเป็นกำลังใจให้พินก่อนไป”
‘มันรู้หรอวะว่าการสอบคืออะไร...?’
พินเกาแก้มแกรกอย่างสงสัย พลางช้อนตาหรี่มองคนตรงหน้า
“เออ...ชั้นรีบไปก่อน ส่วนนาย! อย่าคิดจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆเชียวนะ”
พูดจบพินก็ขยับลูกบิดแง้มประตูออก จมูกโด่งแตะบริเวณกกหูของนักศึกษาหนุ่มผะแผ่วพลางสูดหายใจเข้าน้อยๆ เขากระซิบเสียงค่อยอ่อนหวาน
“โชคดีนะพิน”
ใบหน้าฉาบไปด้วยสีแดงร้อนฉ่า คนเขินรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากบ้านปิดประตูปัง ส่วนคนที่ทำทะเล้นอยู่เมื่อครู่นั้นรีบเดินตึงตังขึ้นไปบนชั้นสอง พลางตะโกนเสียงดังอยู่ตรงระเบียงห้อง
“นินจา!”
นกหนุ่มเหลียวซ้ายมองขวาก็ไม่มีเสียงใครตอบรับ เขาจึงไม่ยอมแพ้ตะโกนดังขึ้นอีกจนคนแถวนั้นสะดุ้งเกรียวกราวมองมาเป็นตาเดียว
“นินจา! แกอยู่ที่ไหน? ออกมาหาเราหน่อย!”
“ชู่ว...ไม่ต้องเรียกดังขนาดนี้ก็ได้ ชาวบ้านเค้าแตกตื่นกันหมด”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของชายหนุ่ม เมื่อหันกลับมาดูก็เห็นแมวดำเส้นขนเงางามกำลังนั่งเลียหน้าเลียตาอยู่
“เรียกเรามามีอะไรให้ช่วยงั้นหรือเจ้านกแสก?”
“นินจา...ช่วยพาเราไปที่ๆนึงที”
ในอาคารสูงโอ่โถงติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบายที่เต็มไปด้วยร้านค้า ช่วงเวลาหลังจากห้างเปิดได้ไม่นานแบบนี้ทำให้ภายในไม่แออัดนัก หญิงสาวตัวเล็กท่าทางคึกคักเดินควงแขนเข้ากับชายหนุ่มทีท่าสงบตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิง กั้งอิงศีรษะเข้ากับไหล่แคบๆ ของเพื่อน พลางเหลือบตามองหน้าจอมือถือที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
“พิน...แกคุยกับใครอ่ะ?”
“อ๋อ เราไลน์หาพี่พิมพ์น่ะ แต่ไม่เห็นตอบซักที”
พินสอบเสร็จแล้ว เขาส่งข้อความหามะลิเพื่อจะถามว่านกหนุ่มมีอะไรอยากกินเป็นพิเศษรึเปล่า เขาจะได้ซื้อกลับไปให้
“เราไปกินขนมกันมั้ย ฉลองสอบเสร็จ”
ม่อนที่เดินอยู่ข้างพินเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง ทำเอากั้งที่เกาะแกะเพื่อนชายอยู่หันไปยิ้มกวนก่อนจะแซว
“กินขนมอีกแล้วหรอม่อน ปกติแฟนก็ทำให้กินอยู่แล้วนี่ ตัวจะแตกอยู่ละ?”
“แล้วไง? ม่อนก็อยากจะกินของที่อื่นมั่งป่ะ ไม่ใช่กินแต่ของที่แฟนม่อนทำ”
ถึงแฟนหนุ่มหน้าตาดีประจำคณะคหกรรมศาสตร์จะขยันทำขนมหวานมาให้ม่อนกินเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความอยากน้ำตาลของสาวน้อยลดลงไปเลย
“ไปสิ ม่อนอยากกินร้านไหนล่ะ? เลือกเลย”
ท่ามกลางร้านค้าน่ารักที่เรียงราย คนทั้งสามเดินมองซ้ายมองขวา เบื้องหน้าเป็นคาเฟ่สีหวานที่ทำให้หญิงสาวทั้งสองรีบตรงรี่เข้าไป
“พินๆไปกินร้านนั้นกัน”
ม่อนรีบจูงแขนเพื่อนหนุ่มของเธอตรงไปโดยที่กั้งเองก็รีบเกาะตามไปติดๆ พลันสายตาของพินเหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาในร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามจนทำให้เขาต้องหยุดชะงัก
‘นั่นมัน...มะลิกับนินจานี่!’
พินชักไม่สบายใจที่เห็นคนทั้งสองแอบออกมาโดยไม่บอกตน เขาตัดสินใจแล้วว่าต้องไปถามให้รู้เรื่อง ว่าทั้งคู่คิดจะเล่นอะไรแผลงๆกันรึเปล่า
“กั้ง ม่อน พวกแกไปสั่งก่อนเลย เดี๋ยวเรามา”
พูดจบพินก็รีบเดินพรวดพราดออกมาโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เพื่อนตั้งคำถาม เขาเดินเข้าไปในร้านกาแฟทว่าเมื่อจะตรงดิ่งเข้าไปหาชายทั้งสอง พินก็พบว่าเบื้องหน้าของคนที่เขาคุ้นเคยดีกลับมีชายแปลกหน้านั่งอยู่ตรงข้าม พินจึงตัดสินใจนั่งลงเงียบๆที่โต๊ะว่างห่างออกไปในระยะที่ไม่เป็นที่สังเกตแทน
หนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานยกกาแฟขึ้นจิบก่อนจะสบตาคู่สนทนา เขานั่งเอนหลังพลางไขว่ห้างสบายๆจากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถาม
ความทรงจำหนึ่งฉายขึ้นอีกครั้ง เป็นพิมพ์ที่กำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน
“ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะยอมรับข้อเสนอ”
“คุณพิชาธร”
“คะ...ครับ”
นกหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อของใครอีกคน สีหน้าครุ่นคิดสับสนฉายขึ้นจนคนมองจับสังเกตได้
“ตั้งแต่ที่คุณตอบตกลงเรื่องที่เราคุยกันไว้ คุณก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว ไม่ทราบว่าเรื่องคดีไปถึงไหนแล้วครับ?”
มะลิกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ทว่าหัวสมองที่ว่างเปล่าทำให้เขาไม่สามารถที่จะตอบอะไรออกไปได้แม้แต่คำเดียว
“ผมขอโทษนะครับที่ต้องถาม แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเราเคยตกลงอะไรกันไว้...”
แววตาเกรี้ยวกราดถูกส่งมา มะลิเองก็จ้องขึงกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง
“คุณอย่ามาทำเป็นเล่นตลกกับผมนะ”
“ขอโทษนะครับที่ต้องขัดจังหวะ”
นินจาเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดี แมวหนุ่มสบตามะลิก่อนจะพูดต่อ
“คุณพิชาธรประสบอุบัติเหตุจมน้ำเมื่อสองเดือนก่อน ทำให้ความทรงจำหายไปครับ”
ได้ยินดังนั้น สินทรจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางเหยียดยิ้มให้คู่สนทนา
“พูดจริงหรอ? คงไม่ได้เปลี่ยนใจอยากจะกลับไปช่วยเพื่อนอย่างนั้นหรอกหรอ?”
“คุณพูดเรื่องอะไร?”
มะลิตอบโต้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ หากใครมองก็คงดูออกว่าเขาไม่ได้พูดโกหก
“คุณสัญญากับผมแล้วไง ว่าคุณจะทำให้เพื่อนหมอของคุณแพ้คดี”
‘พี่พิมพ์จะทำให้พี่ไหมแพ้คดี?!’
ไม่ใช่แค่ชายหนุ่มสองคนที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่พินเองที่นั่งฟังอยู่ไกลๆกลับตกใจยิ่งกว่า พี่ชายของเขาที่ทำหน้าที่เป็นทนายว่าความให้แพทย์สาวเพื่อนสนิท กลับมีความคิดที่จะหักหลังกันได้ลง ความเคลือบแคลงผิดหวังถาโถมเข้าใส่ความรู้สึกของชายหนุ่ม ที่ร้ายกว่านั้นพินกลับมีความรู้สึกว่าพี่ชายที่เขารู้จัก
อาจไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่คิด...
++++++++++++++++
พูดถึงกั้งกับม่อนกันซักนิด เพื่อนสาวคนสนิททั้งสองของพินมีคาแรคเตอร์ที่ต่างกันมากเลยนะคะ ที่สำคัญความรู้สึกที่พินมีต่อทั้งคู่ก็จะต่างกันเล็กน้อย สำหรับพินกั้งเหมือนเป็นสีสัน คอยสร้างบรรยากาศสนุกสนานในหมู่เพื่อน เป็นพลังงานกระตุ้นให้คึกคัก พร้อมลุยดะกับทุกปัญหาค่ะ พูดง่ายๆคือสู้ตายเพื่อเพื่อนได้เลย ส่วนม่อนจะเป็นเหมือนคุณแม่ที่คอยดูแลพิน ปรามยัยกั้ง มีอะไรสามารถขอคำปรึกษาให้คำแนะนำได้ หรือถ้าแค่ได้อยู่ข้างๆก็สบายใจแม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยก็ตาม เทียบแล้วก็คล้ายๆกับนักรบกับกุนซืออะไรประมาณนี้ สำหรับวันนี้คุยกันเล็กๆพอหอมปากหอมคอ ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยนะคะ