บทที่ 25
เราคงต้องเป็นแฟนกัน
“แล้ว...หวงใครอ่า”
“หวงมึง”
บีมแม่ง...
“ขี้โม้ว่ะบีม” ผมตีไหล่บีมที่พูดอะไรไม่รู้ออกมาหน้าตาเฉย ดันแว่นขึ้นพลางหลบสายตาบีมแล้วมองไปทางอื่น ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย มุมปากกระตุกยึกๆ อยากจะยิ้มกว้างๆ แต่ทำไม่ได้เพราะคีพคูลอยู่
“เขิน ดูออก” บีมเอียงคอมอง ยิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ
“ก็ตกกะปิดีนี่”
“ปกติ”
“ตึ่งโป๊ะ!”
“เขินแล้วเล่นมุกไม่ฮาเลย” บีมกลอกตามองบนขณะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มือแกร่งจับแขนผมแล้วดึงเข้าหาตัวเองโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ผมกำลังจะอ้าปากโวยวายแต่บีมก็ยกนิ้วขึ้นทาบริมฝีปากก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้ผมหยุดพูด คิ้วเข้มขมวดเป็นปมพลางบึนปากขึ้นอย่างน่ารัก
ไอ้ตัวดี...
ไอ้ตัวดี!
“ไอ้มุ่ย! เป็นไงบ้างวะ? กูมาช่วยแล้ว” ไอ้เจ๋งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าท่าทางเป็นห่วงเหลือเกิน ตามด้วย แก๊ป โป้ แล้วก็พี่เต้
“เหี้ย มึงทำน้องร้องไห้เหรอ”
“กูเปล่าสักนิด ขู่นิดเดียวเอง ร้องดังไปนู่น อ่อนว่ะ”
“ฮึก มุ่ย”
“ไม่ต้องมาเรียกกูเลยไอ้เด็กลูกเจี๊ยบ หุบปากมุบมิบของมึงแล้วกลับไปนอนเอ่เอ๊ไป๊ รำคาญจริงๆ” เสียงอึกอักของเด็กนั่นดังมาถึงผม ฟังแล้วอยากบีบปากเล็กๆ นั่นให้บี้แบนไปเลย อะไรมันจะเป็นนุ่มนิ่ม ตะมุตะมิขนาดนั้นวะ เป็นผู้ชายมันต้องฮึกเหิม! ใจๆ กันหน่อย จะมาร้องไห้งอแงอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ เหอะ พวกมนุษย์กินพืชอ่อนแอก็งี้
“มุ่ย เราขอโทษนะ” ผมถลึงตาใส่เด็กนีออนที่ทำท่าจะโผเข้าหาผมอีกรอบ มันจึงหยุดกึกทันที แล้วเบะปากมองผมเหมือนน้อยใจที่ผมว่าเข้าให้
“ทำหน้าทำตา อยากโดนช้อนเคาะหัวรึไง” ผมชูอาวุธทำลายล้างขึ้นขู่ กะว่าจะเดินเข้าไปบีบแก้มย้วยๆ ของมันอีกด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็โดนมองแรงจากเพื่อนมันที่โอบไอ้ตัวเล็กไว้แน่น
“อย่ามาใกล้เพื่อนกู” เฮ้อ! ทำมาขู่
“อยากเข้าใกล้ตายล่ะ บอกเพื่อนมึงเถอะ” ผมเบ้ปากแลบลิ้นให้ โธ่เอ๊ย แค่ตัวใหญ่ทำมาเป็นขู่ เฮียมุ่ยคนนี้ไม่เคยกลัวใคร ชีวิตและจิตใจยกให้บีมคนเดียว มึงมันก็เป็นแค่ไก่บ้านจะมาสู้ไก่ชนอย่างกู ฝันอีกสิบชาติเถอะว่ะ
“ผม ผมขอโทษแทนก้อง”
“บอกว่าให้เงียบๆ พูดทำไม” ผมตวัดเสียงว่ากลับ ทำเด็กสะดุ้งอีกแล้ว
“ไอ้เหี้ยมุ่ยรังแกเด็ก”
“มุ่ยนี่มึงกากถึงขั้นด่าเด็กเหรอว่ะ”
“กับเด็กมึงยังไม่เว้น”
“โว้ยย! อะไรของพวกมึง” ผมมองสายตาเหยีดหยามของเดอะแก๊งแต่ละคน การที่เพื่อนกำลังรุมด่าผมคืออะไร แล้วดูหน้ามัน มองผมเหมือนเป็นไอ้เลวชาติชั่วรังแกเด็กตัวกะเปี๊ยกที่ไม่มีทางสู้ ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาเอ็นดูไปที่ไอ้เด็กหลอดไฟนั่น
กูเอง! กูเพื่อนมึงเอง
มันมาเจ๊าะแจ๊ะบีมของกูนะเว้ย
“น้องมันเด็กกว่ามึง ไปด่าเขาทำไม” ไอ้เจ๋ง ไอ้เหี้ย
“อ้ายหันตวยๆ น้องมุ่ยบ่าดียะจะอั้นก๊า เอ็นดูละอ่อนเปิ้น” พี่เต้ไม่พูด ไม่มีใครว่ามึง เชื่อกู
“พอๆ พี่ว่าเราแยกย้ายกันกลับบ้านดีกว่าไหม นี่ก็ดึกมากแล้ว” เป็นพี่รหัสไอ้โป้ที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ ตัวผมถูกบีมกอดคอไว้ บีมไม่พูดอะไรแต่สายตาแสดงออกชัดว่าให้อยู่ตรงนี้ ผมได้แต่มองไอ้ก้องพาเด็กนีออนเดินออกจากร้านไป ไม่วายยังหันมาทำหน้าเบะใส่อีก เหลือเกินจริงๆ
“ไป ไอ้มุ่ย กลับบ้าน เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมพยักหน้าหงึกหงัก กำลังจะก้าวเดินตามไอ้โป้ไป แต่บีมก็รั้งผมแถมยังทำหน้าดุใส่กันอีก อิหยังวะฮึ?
“จะกลับบ้านแล้วบีม กูแวะมาโวยวายเฉยๆ” ผมหันบอกบีม พลางยกยิ้มกว้างให้ แต่คนตัวสูงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีก
“เฉยมากไอ้สัด ทำเด็กร้องไห้”
“หุบปากสัดโป้” ผมชูนิ้วพลางแลบลิ้นให้มันอย่างกวนตีน ไอ้โป้ทำท่าจะเข้ามาเตะแต่พี่เต้ก็รั้งไว้แล้วดุมันที่ว่าให้กับผม
“กลับกับกู น้องมุ่ย” ผมหันมาสนใจบีมอีกครั้ง ที่ตอนนี้กำลังฉีกยิ้มละมุน แต่ตาเป็นประกายวาววับทำเอาผมขนลุกเกรียว
“ส่งบ้านกูใช่ไหม?”
“ห้องกูครับ”
“วิ้ว~~”
“ผิวทำเหี้ยอะไร เดี๋ยวกระหังจะมาจกตับพวกมึง” ผมหันไปตวาดใส่เพื่อนเลว ที่สุมหัวกันหัวเราะคิกคัก
“ไปดีมาดีนะไอ้มุ่ย”
“แน่นอนอยู่แล้ว เดี๋ยวเจอกูเตะเรียงตัวแน่” ผมชี้หน้าคาดโทษพวกมันไว้ แต่แม่งไม่สำนึก มองผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัย เป็นเหี้ยอะไรกันอีกอะ ไอ้พวกนี้
“จะมาได้รึเปล่าเถ้อ~”
ห้องบีม“ไอ้บูไม่อยู่เหรอ” ผมยืนเกาะขอบประตูเยี่ยมหน้ามองเข้าไปในห้องสุดหรูที่เคยย่างกรายเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งภายในห้องกว้างนั้นไม่มีวี่แววน้องชายบีมเลย แถมยังเงียบสนิท ผมไม่ได้มาห้องบีมนานเหมือนกันนะ เออ พูดเหมือนมาบ่อย เปล่ามาแค่ครั้งเดียว เสือกเมาด้วยตอนนั้น
“เข้ามาไอ้น้องมุ่ย เปลืองแอร์” บีมกวักมือเรียกให้ผมเข้าห้อง รู้สึกแปลกๆ ว่ะครับ สมองมันบอกผมว่าถ้าเข้าห้องบีมไปแล้วจะไม่ได้ออกมาอีก
คิดมากไอ้มุ่ย ไร้สาระจริงๆ มึงนี่
ผมเดินเข้าห้องพร้อมปิดประตูให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ และถอดรองเท้าแตะคีบวางไว้ข้างๆ ของบีม โห หมดนี่ซื้อกล้องผมได้หลายตัวเลยอะ จิ๊กสักคู่สองคู่บีมไม่รู้หรอก ฮ่าๆ
“มานี่เร็ว” ไอ้นี่ก็เรียกจังเลยเว้ย ผมเลยต้องผละจากร้องเท้าแบรนด์เนมของสองพี่น้อง แล้วเดินไปยังโซฟาตัวใหญ่ที่บีมนั่งอยู่ เออ เพิ่งได้สังเกตชัดๆ ว่า ห้องของบีมกว้างมาก ขนาดห้องที่อยู่สองคนแบบสบายๆ สามคนก็ยังเหลือๆ อะ แม่งลูกคนรวยนี่หว่า อิจฉาว่ะ
“บีมยังไม่ตอบกูเลย ไอ้น้องบูไม่อยู่ห้องเหรอ” ผมถาม
“มันไปเที่ยวกับเพื่อน”
“วุ้ย เดี๋ยวนี้ไม่หวงน้องมันละ?” ผมหรี่ตามองบีมยิ้มๆ ทำมาเป็นเก๊ก โธ่เอ๊ย ผมรู้หมดแหละ จริง! ว่าบีมหวงแล้วก็ติดน้องบูมันเอามากๆ ไม่งั้นคงไม่เครียดเป็นบ้าเป็นหลังเรื่องที่น้องมันจะเข้ามหา’ ลัยหรอก
เขาเรียกว่าอะไรนะ ค่อนๆ เบค่อนป๊ะ? เออ เบค่อนอะ ผมได้ยินบ่อยในการ์ตูนญี่ปุ่นที่พี่ชายมักจะติดน้องชายมากๆ
“หวงอะไร”
“เอ้า ที่ตอนนั้นมึงดุน้องไง เรื่องเรียนมันอะ” ผมทรุดตัวนั่งลงติดพนักพิงฝั่งขวา ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ โดยมีบีมนั่งอยู่อีกฝั่งมองมาที่ผมโดยไม่ละสายตา
“นั่นเรียกว่าห่วง”
“ก็เหมือนกันไหมวะ”
“ไม่เหมือน”
“ตรงไหน” บีมแม่งขี้เถียง ผมล่ะจนใจ
“ห่วงใช้กับน้องกับเพื่อน”
“เออ แล้วไงอะ”
“หวงใช้กับมึง น้องมุ่ย”
“...”
“...”
“มึงพูดหวาน แต่หน้ามึงเหี้ยมคือไรวะบีม” รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงแน่ๆ แต่ดูบีมตอนนี้ดิ ยิ้มโหดเหมือนโกรธใครมา
อะ คนๆ นั้นคือกูแน่นอน
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะน้องมุ่ย” บีมมองมาที่ผมโดยนัยน์ตาคู่คมแสดงออกมาชัดเจน จนผมกวนตีนบีมไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาเศร้าๆ กลับคืน
แววตาคู่นั้นมีทั้งความห่วงหา โกรธ โมโห อ่อนใจ และโล่งใจ ถึงผมจะโง่เรื่องรักใคร่ แต่ตอนนี้ผมกลับอ่านมันออกหมด
และเมื่อมองย้อนกลับไปก็เพิ่งจะคิดได้ว่าที่ผ่านมาบีมแสดงออกอย่างชัดเจนอยู่เสมอ เป็นผมนั่นล่ะที่เลือกจะมองข้ามเพราะกลัวใจตัวเอง
“เออ รู้น่า อย่าทำเสียงดุดิ หน้ามึงยิ้มแล้วมึงอย่าเสียงเข้มดิ กลัวแล้วโว้ย”
“ไปอาบน้ำไป ดึกแล้ว” บีมสบตาผมอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือไล่ผมในขณะที่ตัวเองหยิบมือถือขึ้นมาเล่น
“เอ้า ไหนบอกจะคุยกันอะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“อาบน้ำแล้วค่อยคุย”
“บีมก็ไปอาบก่อนดิ”
“เดี๋ยวกูรอ น้องมึงอาบก่อน แปรงสีฟันแกะใหม่ได้เลยนะ อยู่ในตู้ใต้ซิงค์” บีมว่าปัดๆ โดยไม่มองกันเลยสักนิด ผมเลยกระเถิบตัวเองเข้าหาบีมแล้วดึงแขนเสื้อบีมให้หันมาสนใจกัน
“งอนกูเปล่าเนี่ย” ผมเอียงคอ ทำหน้าตาที่คิดว่าแบ๊วสุด เรียกร้องความสนใจจากบีม
“เปล่า มันดึกแล้ว คุยเสร็จจะได้นอนเลย” บีมหันมายิ้มอ่อนโยนให้พลางลูบหัวอย่างแผ่วเบา ทำเอาผมตาพร่าไปหมด แค่กๆ รู้สึกไข้ขึ้น ตัวร้อนเฉยเลยครับทุกคน ช่วยผมด้วย
“ไม่ได้งอนแน่นะ”
“เออครับ ไปอาบน้ำได้แล้ว”
หลังจากอาบน้ำเสร็จ บีมก็เข้าไปอาบต่อ ผมแอบจิ้กเสื้อยืดของบีมมาเปลี่ยนเพราะเหม็นกลิ่นเหล้าจากในร้านที่ติดเสื้อมา บวกกับกางเกงบอลตัวเดิมที่ใส่มาอยู่แล้ว เหอะ กางเกงบีมผมลองแล้ว หลุดตูดไม่มีชิ้นดี เลยใส่มันตัวเดิมนี่แหละ
ผมขึ้นมานอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงนุ่มในระหว่างรอบีมอาบน้ำ แจ้งเตือนเยอะเหมือนกันนะครับเนี่ย ผมนอนเคลียร์ข้อความต่างๆ ที่ส่งเข้ามาไม่ว่าจะทางแชทส่วนตัวเอย ทางเพจเอย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการติดต่อจ้างงานทั้งนั้น แล้วก็พวกเพื่อนพี่น้อง ซึ่งกับงานผมก็คุยรายละเอียดและคอนเฟิร์มไปแล้วสองสามคน ช่วงนี้จนมากครับ แทบจะกินแกลบอยู่แล้วเพราะม๊ายังไม่ส่งเงินมาให้ ลืมแล้วแหงๆ
แม้ว่าผมจะมีรายได้จากการรับจ้างถ่ายภาพบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเงินของที่เตียกับม๊า
ใดๆ นั้นล้วนเป็นข้ออ้างของคนใช้เงินโดยไม่คิด ใช่ครับทุกคน ผมเพิ่งกด cf กล้องฟิล์มตัวใหม่มาสามตัวจากการป้ายยาของพี่นายนั่นเอง ก๊ากกกก
มันอดไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมพยายามหักห้ามใจตัวเองแล้ว พนมมือขึ้นแนบอกทุกครั้งก่อนนอนว่าเดือนนี้จะไม่ซื้อกล้องอีกเด็ดขาด กิเลศทั้งหลายจงออกไป แต่พอพี่นายเอาภาพจากกล้องฟิล์มมาให้ดูเท่านั้นแหละ รู้ตัวอีกที เงินไหลออกจากบัญชีเฉียดหมื่นแล้วครับ
ความจริงหมื่นกว่าครับ แหะ
ว่าแล้วก็โทรขอเงินม๊าดีกว่า
ผมถือโทรศัพท์รออยู่ซักพัก กะว่าจะรอฟังเสียงสัญญาณสุดท้ายถ้าม๊าไม่รับก็เดี๋ยวค่อยโทรพรุ่งนี้เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว แต่ขณะกำลังจะกดตัดสาย ม๊าก็กดรับพอดี
(ฮาโหล) น้ำเสียงสดใสตามประสาคนอารมณ์ดีของม๊าดังขึ้น ใจผมก็ฟูทันที คิดถึงจัง ไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว น้ำตาปริ่มแล้วครับ
“ม๊า มุ่ยเอง”
(หือ? อามุ่ย? อาตี๋เล็กเหรอคะ)
“เซอร์เยสเซอร์”
(ไอ้หยา อามุ่ยจริงๆ เหรอคะ ไม่ได้โกหกม๊านา) สำเนียงคนจีนดังชัดจนผมอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แง ผมคิดถึงม๊ากับเตียจัง สงสัยต้องหาเวลากลับบ้านจริงๆ จังๆ สักครั้งแล้ว
“มุ่ยเองหม่าม๊า สบายดีรึเปล่าคนสวย”
(ม๊าสบายดีๆ เจ้าตัวดีของม๊า คิดถึงจริงจังเลยค่ะ)
“คิดถึงเหมือนกันครับผม ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนเนี่ย แล้วอาเตียล่ะ”
(ม๊าดูหนังรอเตียกลับบ้านน่า อาเตียไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ เขา น่าจะกำลังกลับมาแล้วล่ะค่ะ)
“แล้วเตียขับรถไปคนเดียวเหรอ ต้องเมาด้วยแหงเลย”
(ม๊าให้เด็กขับรถไปส่งนา ไม่ต้องห่วงๆ)
“โอเชเลย ว่าแต่ม๊าลืมอะไรรึเปล่า”
(หือ? ลืมอะไรคะ อาตี๋รึเปล่าที่ลืมม๊า ไม่กลับบ้านกันเลยนะทั้งสามคน ม๊าเกือบงอนแหนะรู้ไหม) น้ำเสียงกระเง้ากระงอดชวนให้อยากกอด ทำเอาผมยิ้มกว้างจนปากจะฉีกอย่างอดไม่ได้ หม่าม๊าผมน่ะ เป็นสาววัยห้าสิบบวกๆ แต่ยังแจ๋วอยู่ ม๊าเป็นหญิงสาวอ่อนหวานพูดเพราะกับลูกหลานทุกคำ แถมยังสวยที่หนึ่งในใจผมกับเตียที่สุดเลยด้วย
“มุ่ยยังไม่ได้ค่าขนมเลยค้าบ”
(อุ๊ย ม๊าลืมเหรอเนี่ย ตายจริง อาตี๋มีเงินพอรึเปล่า เอ ม๊าเพิ่งฝากค่าขนมของเรากับเฮียเขาไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเองนะ น้องมุ่ย)
“มะ มุ่ยกินเยอะไงม๊า”
(ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปซื้อกล้องหมดนะคะ)
“ม๊า! รู้ได้ไงเนี่ย”
(ม๊ารู้เรื่องน้องมุ่ยทุกเรื่องค่ะ ที่อาตี๋ไปเจอเพื่อนเก่าที่โรงพยาบาลม๊าก็รู้)
“ไปเยี่ยมเฉยๆ นะม๊า ไม่มีอะไรเลย”
(ม๊ารู้เยอะมาก ก็รอว่าเมื่อไรอาตี๋น้อยของม๊าจะเล่าให้ฟังสักที เฮ้อ)
“มุ่ยมีเรื่องเยอะแยะ อยากเล่าให้ม๊ากับเตียฟังมาก เดี๋ยวอีกสองสามวันจะขึ้นไปหานะครับ”
(ม๊าจะรอเลยค่ะ อ๊ะ อาเตียของเรากลับมาแล้ว)
“ม๊า เดี๋ยวมุ่ย -”
(แค่นี้ก่อนนะคะน้องมุ่ย ม๊าออกไปรับป๊าก่อน ดูท่าจะเมากลับมา จริงๆ เลยเชียว)
“หม่าม๊า ค่าขนม -”
(อา ถ้าจะมาก็อย่าลืมชวนพ่อหนุ่มของเรามาด้วยนะอาตี๋ ฝันดีค่ะ)
“หม่าม๊า...ฮะ ฮะโหล ม๊า ค่าขนมมุ่ย ม๊า...” จู่ๆ ม๊าก็ตัดสายผมซะงั้น มีแววว่าเดือนนี้จะกินแกลบ เนื่องจากรู้ว่าผมเอาเงินไปถลุงกับกล้องหมด ฮือ เกาะเพื่อนกินละกันเดือนนี้
ม๊าจะดุผมบ่อยๆ ว่าอะไรไม่จำเป็นอย่าเพิ่งซื้อ ยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง บ้านเราก็ไม่ได้รวยอะไรมาก เวลาจะใช้จ่ายอะไรต้องคิดดีๆ ว่าคุ้มค่าไหมกับสิ่งที่เราจะซื้อ แต่กับเรื่องกล้องนี่ม๊าผมค่อนข้างตามใจเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบ และเป็นตัวที่ดึงผมออกมาจากชีวิตเด็กแว๊นในตอนนั้น ส่วนมากจะคอยเตือนอยู่ห่างๆ มากกว่า
เอาจริงๆ ผมไม่ได้มีกล้องหลายตัวอย่างที่ทุกคนคิดนะ ผมก็มีตามประสาเด็กที่ชอบถ่ายภาพทั่วไปเลย บางตัวพี่นายกับเฮียก็ซื้อให้เป็นของขวัญบ้าง
ก็เพิ่งจะมีกล้องฟิล์มที่พี่นายเอามาป้ายยากับผมนี่ล่ะ
ของมันต้องมีอะครับทุกคน เข้าใจผมนะ เค้?
ว่าแต่ม๊ารู้ได้ไงวะว่าผมไปทำอะไรมา แล้วไอ้ประโยคสุดท้ายนั่น ที่บอกให้พาพ่อหนุ่ม...
!!
นี่อย่าบอกนะว่าเรื่องบีมของผมม๊าก็รู้!?
วอท?
ม๊าเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มปะเนี่ย
แกรก
“เมื่อกี๊คุยกับใครน่ะน้องมุ่ย” ผมหันไปมองบีมที่ยืนเช็ดผมหน้าประตูห้องน้ำพลางเลิกคิ้วถาม คนตัวสูงในชุดเสื้อยืดใส่นอนกับกางเกงขาสั้น รวมกับทรงผมชี้โด่ชี้เด่ชื้นน้ำนั่น ทำไมมันดูมีออร่าจังวะ คือนึกภาพว่าผมคงไม่เท่าเท่ามันแน่ๆ อย่างมากก็ลูกหมาตกน้ำยืนสะบัดขนอยู่ อย่างว่าแหละครับ คนเท่อย่างผมก็จะมีช่วงเวลาที่ขี้เหร่บ้าง ไม่งั้นโลกมันจะไม่สมดุล เข้าใจนะครับ
“กับม๊า”
“ทำไมหน้าแดงอีกแล้ว” บีมเดินเข้ามาใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง พลางกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา
“อะไรอะ?” ผมกระถดตัวเองเข้าไปยืนเข่าซ้อนหลัง จากนั้นก็ชะโงกหน้าคุยกับบีม
“เช็ดผมให้หน่อย” บีมยื่นผ้าเช็ดผมมาให้ แต่ผมไม่รับ
“มือด้วนเหรอ ไหน ดูดิ้” ผมยกแขนหนักๆ ของบีมขึ้นมาโบกแล้วก็ปล่อยทิ้ง “ก็ไม่ด้วนนี่หว่า เช็ดเองเดะ”
“เช็ดให้ไม่ได้เหรอ”
“...”
“...”
“กะ ก็เอาผ้ามาดิ โวะ ทำมาเป็นมอง...” ผมดึงผ้าเช็ดผมออกจากมือบีมแล้วก็โยนลงคลุมศีรษะคนหน้ายิ้ม แม่ง ละเมื่อกี๊มันช้อนตามองไง ผมก็ไม่มีทางเลือกอะ
“หัวจะหลุดแล้ว เขินเบาหน่อย”
“พูดมากว่ะ เงียบไปเลย” ผมเบามือลง พยายามใช้ผ้าซับน้ำออกจากเส้นผมให้ได้มากที่สุด ขยี้แรงๆ แบบที่ผมทำมันไม่ดีหรอกนะครับ จะบอกให้ ผมเผิมเสียหมด ต้องค่อยๆ ซับทีละส่วนจนทั่วศีรษะ แล้วจากนั้นก็ใช้ลมเย็นเป่าจนกว่าจะแห้งสนิท ความจริงสระผมตอนกลางคืนก็ไม่ดีหรอก รังแคกับเชื้อราถามหาแน่
“แล้วตกลงเมื่อกี๊ทำไมหน้าแดง”
“ก็บอกว่าคุยกับม๊าไง”
“คุยกับม๊าต้องเขินด้วยเหรอ”
“ม๊าพูดอะไรไม่รู้อะดิ...อย่าถามมากได้ปะ ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็หงุดหงิดเป็นนะเว้ย” ผมโวยวายเพื่อให้บีมเลิกซักไซร้ แล้วบอกให้นั่งดีๆ เพราะบีมเริ่มจะเอนตัวพิงกับอกผมแล้ว ตัวอย่างกับยักษ์ พิงมาเหมือนกูไม่หนักเลยมั้ง
“นั่งดีๆ ดิ้บีม กูจะล้มแล้วเนี่ย”
“พิงนิดพิงหน่อย โวยวายตลอด”
“เอ๊ะ! ต่อยกันเลยปะ พูดไม่หยุดเลยบีมอะ เอ้า ไดร์อยู่ไหน เอามาเป่าจะได้แห้งไวๆ กูง่วง” ยังมีหน้ามาหัวเราะหึๆ ให้กันอีกนะ มันน่าโดนตีสักป้าป
“อะ” บีมเดินไปหยิบไดร์เป่าผมในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าจากนั้นก็เสียบปลั๊กใกล้ๆ กับที่นั่งกันอยู่ แล้วส่งให้ผมส่วนตัวเองก็นั่งไถโทรศัพท์เล่น เออดี ใช้กูเป่าผมให้แล้วตัวเองก็จะได้นั่งเล่นตามใจเฉิบ ผมย่นจมูกให้อย่างหมั่นไส้ มือข้างนึงจับไดร์ อีกข้างก็สางเส้นผมไปด้วย ใช้เวลาสักพักจากเส้นผมที่ชื้นน้ำก็แห้งสนิท
“เสร็จแล้ว เอาคืนไป แม่งปวดเข่าหมดเลยบีม” หลังจากยืนเข่ามาร่วมครึ่งชั่วโมง ขาท่อนล่างก็แสดงอาการชายุบยิบ ทำให้ผมเปลี่ยนอิริยาบถตัวเองไม่ได้ ถ้าขยับมันจะจักจี้น่ะทุกคน เหี้ยเอ้ย
“ไหนว่าเมื่อย ทำไมยังนั่งอยู่ท่านั้น” บีมยกยิ้มถาม แล้วเดินเข้ามาใกล้ พลางยื่นมือมา หมายจะคว้าแขนผมให้ลุกขึ้น
“หยุด!” ผมตะโกนห้ามเสียงดัง บีมชะงัก แล้วทำสีหน้าแปลกใจ เหี้ย.. เมื่อกี๊ขากระตุกนิดนึง โอย เมื่อไรจะหายสักทีวะ
“น้องมุ่ย”
“อย่าแม้แต่จะคิด เออะ! ไอ้บีม!” บีมพุ่งเข้ามาแล้วใช้แขนทั้งสองข้างรวบกอดบริเวณต้นขา แล้วอุ้มผมจนตัวลอยขึ้นจากเตียง
“ฮ่าๆ ซี้ด จักจี้! บีมปล่อย เหี้ย! โอย ขากู” ผมตีบ่าบีมรัวๆ ให้มันปล่อย แต่ตัวต้นเหตุก็ไม่สะทกสะท้านแถมยังเอาแต่หัวเราะชอบใจกับท่าทางของผม
“ฮึบ ตัวหนักเหมือนกันนะเราอะน้องมุ่ย”
“มึงปล่อยกูเลย!”
“ได้”
ตุ้บ!
[BEAM PART]“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! ให้ปล่อยไม่ใช่ให้โยน” ผมจับเจ้าตัวดีโยนลงเตียงแล้วคลานตามขึ้นไปนั่งข้างกัน น้องมุ่ยด่าผมกระจาย พลางลูบขาทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นลง น่าจะกำลังเช็คดูว่าหายชารึยัง ปากเล็กๆ ของน้องบ่นออกมาไม่ขาดสาย มีร้อยคำ ด่าผมไปแล้วเก้าสิบ
“จะได้หายชาไง”
“กูนั่งเฉยๆ มันก็หายเองได้ไหม! ไม่เห็นต้องเล่นพิเรนทร์แบบตะกี๊เลย บีมแม่ง” น้องทำหน้ามุ่ยสมชื่อ คิ้วขมวดเป็นปมแน่น ตาเรียวรีนั่นจ้องมาอย่างคาดโทษ มือขาวฟาดลงมาที่แขนผมอย่างแรงจนขึ้นรอยมือ
“แดงเลยน้องมุ่ย กูเจ็บนะเนี่ย” ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ ทำให้น้องมันเริ่มเลิ่กลั่กที่ทำผมเจ็บ ทำท่าเหมือนจะเข้ามาดู สองจิตสองใจอยู่อย่างนั้น และสงสัยคงตัดสินใจได้ว่าจะทำเมินผมดีกว่า จึงวางท่าสะบัดหน้าเชิดขึ้นให้รู้ว่าไม่ยอมโกรธมาก
“อะ เออ สมน้ำหน้า! ก็บีมแกล้งก่อนทำไมล่ะ” แอบเหล่ตามองด้วยแววตาเป็นห่วง แต่ก็ยังเก๊กอยู่ มันจริงๆ เลย มีใครน่ารักเท่าน้องมุ่ยอีกไหมวะ ตอบผมที คนอะไรแม่งน่ารักชิบหาย ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปซะทุกอย่าง
ใช่ว่าผมไม่เคยเจอคนที่น่ารักกว่านี้ หน้าตาดีกว่านี้ แต่กับน้องมุ่ยมันพอดี ไม่มากเกินหรือน้อยไป ทุกอย่างลงตัวกับผมเป๊ะ ราวกับจับวาง
พอดีกับใจผมมาก
“ทำไมมึงต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยวะ...” ผมขยับตัวเองให้แผ่นหลังพิงเข้ากับหัวเตียง น้องมุ่ยมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจในท่าทางของผม แต่บนใบหน้าเล็กนั่นก็ปรากฎริ้วสีแดงจางๆ ขึ้น เขินกันอีกแล้ว ใจคอจะไม่ให้กูพักเลยใช่ไหมน้องมึง
“วะ เหวอ!” ผมกางขาออกแล้วงอตัวไปข้างหน้า สอดแขนเข้ารวบเอวบาง จากนั้นก็รั้งให้ตัวน้องเขยิบเข้ามาชิดกันจนแนบอก เด็กดื้อถึงกับตัวแข็งค้างกับการกระทำของผม ตาเบิกกว้างอย่างตกใจ
“อยู่นิ่งๆ” ผมแกล้งสั่งเสียงดุ ซบหน้าลงกับบ่าเล็กนั่นพลางวางคางเกยไหล่แล้วเอียงคอเข้าหาคนเขินจัด แดงไปทั้งตัวแล้วครับ อีกนิดผมว่าระเบิดแน่
“บะ บีม”
“ว่าไง”
“กูดูไม่ปลอดภัยเลยอะ” ปากเล็กเบะลงอย่างน่าสงสาร สองมือน้อยๆ พยายามแกะมือผมออกจากเอวเขา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เลยได้แต่ฮึดฮัดออกมากับตัวเอง ใครจะปล่อยวะ คิดถึงจะตายห่าอยู่แล้ว
“อยู่อย่างนี้เถอะ กูคิดถึง”
“บีมอย่ามาใช้เสียงแปดนะ กะ กูไม่เขินหรอกจะบอกให้ ปล่อยเลย”
“จริงเหรอ”
“อะ เออ”
“ตะกุกตะกักนะ”
“กู พะ พูดอย่างนี้ ปะ ปกติเลย อื้อ เอาหน้าไปห่างๆ” น้องมันยกมือขึ้นดันหน้าผมออก แต่ผมไม่ยอมเลยกดจูบลงกับฝ่ามือนิ่มนั่น ด้วยความตกใจน้องมุ่ยเลยตีปากผมดังแปะ แล้วชักมือกลับอย่างรวดเร็วราวกับต้องของร้อน น้องฟาดมือลงกับขาผมดังป้าป เขินแล้วชอบตีว่ะ กว่าจะได้กอดได้ฟัดทีก็สุดจะยากเย็น แม่งต้องมาโดนฟาดจากเด็กขี้เขินนี่อีก
แต่ก็คุ้มนะผมว่า
“เจ็บไปหมดแล้วที่มึงตีเนี่ยน้องมุ่ย”
“มึงเล่นไม่รู้เรื่องเองนะ!”
“อยากให้รู้เรื่องกว่านี้ไหมล่ะ”
“บีม!”
“น้องมุ่ย”
“บีม!”
“น้องมุ่ย”
“บีม ไอ้บ้า!”
“น้องมุ่ย ไอ้คนน่ารักที่สุด”
“...”
“กอดเฉยๆ เลย ขอกอดหน่อยนะครับ” ผมชอบที่สุดเวลาที่น้องมุ่ยเถียงไม่ออก มันน่ามันเขี้ยวจนแปลออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เดี๋ยวก็ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้ ผ่านไปสองวิก็เปลี่ยนไปทำหน้าโกรธ ตาวาวโรธอย่างแค้นเคือง ปากเบะขึ้นแทบติดจมูก
ผมชอบทุกอิริยาบถ สีหน้า ท่าทาง การพูด
เรียกได้ว่าชอบทุกอย่าง
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชอบน้องมุ่ย
“กูจะฟ้องพี่นายให้มาจัดการมึง” มุ่ยพูดขึ้น พลางหันมามองกันด้วยใบหน้าที่เจ้าตัวคิดว่าร้ายที่สุด นิ้วเรียวจิ้มจึกลงที่แก้มผมสามครั้งจากนั้นเปลี่ยนมาบีบแก้มค้างอยู่อย่างนั้น แล้วก็หัวเราะขึ้นมาซะเองจนตาหยี
“ไปเที่ยวกับพี่นายมาเหรอ”
“ใช่ๆ พี่นายเรียกไปช่วยงานอะดิ”
“ยังไม่เคลียร์เรื่องนั้นเลยนะ”
“ขออธิบาย” น้องยกมือขึ้นขออนุญาต ผมพยักหน้าแล้วปรับท่าทางของตัวเองให้สบายจะได้ไม่เมื่อย และผมยังไม่อยากปล่อยน้องออกจากอ้อมแขนตอนนี้ด้วย
น้องมุ่ยเหมือนจะลืมสนิทว่าตัวเองอยู่ใกล้กับผมมากแค่ไหน โดยการที่เบียดเข้าหาแล้วปรับท่านั่งของตัวเองให้สบายที่สุด นั่นคือการเอนตัวลงพิงตัวและศีรษะลงกับผมนั่นเอง แถมยังเงยหน้าขึ้นมายิ้มเผล่ให้กันอีก ผมกอดกระชับเอวน้องให้อยู่ในระดับที่พอดีไม่รัดแน่นจนมุ่ยอึดอัด เดี๋ยวก็บ่นขึ้นมาอีกว่าผมเรื่องมาก เรื่องเยอะ ฟังแล้วอยากจะปิดปากเล็กๆ ที่เจื้อยแจ้วไม่หยุดด้วยปากผมชะมัด มันเขี้ยว
“คืองี้บีม...” ผมปล่อยให้น้องอธิบาย ส่วนตัวเองก็ฝังใบหน้าเข้ากับซอกคอขาวที่หอมกลิ่นครีมอาบน้ำ กดริมฝีปากแนบย้ำๆ จนทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเนื้อผ้าออกมา บางทีทนไม่ไหวจนเผลอขบแรงเกินไปก็โดนน้องมุ่ยฟาดๆ
มีใครเคยบอกไหมครับว่าเวลาที่คนที่เราชอบใช้พวกครีมอาบน้ำของเรา มันทำให้ความน่าจับกินเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“เนี่ย รอบหน้าเราไปเที่ยวดอยเสมอดาวกันบ้างมะ มันสวยมากเลยนะบีม กูอะอยากให้บีมเห็น วิวท้องฟ้านะ หูย แทบจะร้อยแปดสิบองศา กว้างยังงี้ ดาวนี่ระยิบระยับเต็มไปหมด พี่นายถ่ายทางช้างเผือกมาได้ด้วยแหละ เดี๋ยวเอาให้ดูๆ” มุ่ยหยิบโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมาจิ้มๆ แล้วยื่นมาให้ผม
“นี่ สวยป๊ะ อื้อ! เจ็บ มึงจะกัดคอกูให้ขาดเลยไหม เงยหน้ามาดูรูปก่อน” ฟาดแขนเสร็จก็กระตุกเส้นผมของผมอย่างแรง เลยต้องผละออกมาอย่างเสียดาย
อ่า แดงหมดเลย พรุ่งนี้น้องมันทุบกูแน่ๆ
“อื้ม สวย”
“อย่าเพิ่งซุก มีหลายรูป นี่ๆ มีรูปกูขี่หลังพี่นายด้วย จำได้ว่าโดนเตะกลับมาเพราะกระโดดขึ้นตอนพี่มันเผลอ ฮ่าๆ” ผมมองภาพที่มุ่ยชี้ให้ดู ก็เห็นตัวน้องมุ่ยกับผู้ชายตัวสูงอีกคน
“คนนี้ พี่นาย?”
“ใช่ พี่พระนาย โลกทั้งใบของนายฟ้ามุ่ยคนนี้”
“แล้วกูล่ะ”
“ไม่ต้องหึงนะ บีมก็เป็นโลกของนี่เหมือนกัน กูสร้างโลกสองใบไว้เองแหละ ฮิฮิ”
“เดี๋ยวจะโดน”
“ล้อเล่น มีบีมคนเดียวก็จะแย่ละ”
“ทำไม”
“แหม ทำเป็นเสียงเข้ม”
“มีกูแล้วมันยังไงน้องมุ่ย”
“ก็คือ..”
“พูดดีๆ ไม่งั้นจะโดนจับแดกวันนี้ ตอนนี้ ไม่รออะไรทั้งนั้น”
“ฮ่วย! ใจเย็นหน่อยดิ พูดแล้วๆ อย่ากัดคอกู เวร เป็นรอยหมดแล้วมั้ง”
“พูดมา”
“กูชอบบีม”
“...”
“ชอบมากเลยว่ะ ชอบมึงนะบีม กูไม่เคยชอบใครมาก่อน มึงคนแรกเลยนะ ไม่นับตอนประถมที่กูฮอตมาก แอ้ก! มึงรัดกูแน่นไป เบา ไอ้เหี้ย เบา” จู่ๆ ก็บอกชอบกัน ไอ้เด็กนี่แม่ง
“เห้ย เขินเหรอ”
“พอ...”
“กิ้วๆ ไหนเอาหน้ามาดู โห แดงเลยว่ะ อื้อ!” ผมจับมือมุ่ยที่กำลังจะเอื้อมมาแตะหน้าผมให้ออกห่าง แล้วกดจมูกลงกับแก้มนิ่มนั่นอย่างห้ามใจไม่ไหว จูบข้างแก้มซ้ำๆ จนน้องต้องร้องบอกให้พอ
มุ่ยน่ารักเกินไปจริงๆ น่ารักเหี้ย ใครมันจะทนได้วะ ผมไม่คิดว่าจะต้องมาเจอคนบ้าแบบน้องมัน ซึ่งพอได้เจอแล้ว ทำให้อยากเห็นหน้าอีก ตอนแรกคิดว่าแค่ถูกใจ แต่นานเข้ามันไม่ใช่ ไม่ใช่แล้วแม่ง
ฟ้ามุ่ยเหมือนเป็นความน่ารักของโลกใบนี้ ที่ส่งมาให้ได้พบกัน ถ้าไม่มีน้ำตาล ผมคงไม่ได้เจอคนๆ นี้ เด็กเด๋อกะโหลกกะลาที่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีที่สุด ชื่อฟ้ามุ่ย
และต่อให้ไม่มีเรื่องบู ผมว่ามุ่ยก็สามารถทำให้ผมตกหลุมรักได้ไม่ยากเลยจากความเป็นตัวตนของเขา และนั่นทำให้ผมตกหลุมรักมันซ้ำๆ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“เด็กกากเอ๊ย”
“จะร่ายความชอบของกูให้มึงฟังนะ กูอยากบอกมาก เก็บไว้คนเดียวแล้วมันอัดอั้น อยากประกาศให้โลกรู้ว่าชอบบีม”
“...”
ต่อข้างล่างจ้า