Chapter 2
ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง...กับคุณพ่อที่รัก 08: 24 A.M.
@Than’s House
“ธาร”
ผมที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากห้องรับแขก เมื่อหันไปก็เห็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟา ท่าทางดูเพลียๆ แถมขอบตายังดำคล้ำเหมือนพักผ่อนไม่พอ
พ่อของผมชื่อ ตะวัน อายุสามสิบเจ็ดปีแล้วแต่ยังดูดีและอ่อนกว่าวัยมาก มาดสุขุมเพราะสวมแว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยมไว้แทบตลอดเวลา จะเห็นถอดออกบ้างก็ตอนนอนเท่านั้น เส้นผมและดวงตาของพ่อเป็นสีดำสนิทต่างจากของผมที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน อันที่จริงผมดูไม่เหมือนทั้งพ่อและแม่ บรรพบุรุษก็ไม่มีใครมาจากฝั่งยุโรปเลยสักคน...
“เอ่อ...ทำไมกลับมาเร็วจังครับ ไหนบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง”
“เมื่อคืนไปไหนมา” พ่อไม่ตอบแต่กลับซักผมแทน
“ธาร...ไปนอนค้างบ้านเพื่อนมาครับ ก็ไม่มีใครอยู่บ้านนี่นา ธารก็เบื่อสิ” ปกติผมไปนอนค้างบ้านเพื่อนไม่บ่อยนัก จะมีบ้างก็ช่วงสอบหรือมีรายงานที่ต้องรีบส่ง คำแก้ตัวของผมเลยฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่
“เพื่อนคนไหน ทำไมพ่อโทรไปถามเพื่อนเราแล้วไม่มีใครรู้ว่าเราไปไหน” พ่อลุกจากโซฟาเดินมาหาด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น
“พ่อไม่ได้มีเบอร์เพื่อนของธารทุกคนสักหน่อย” ผมพยายามจ้องหน้าพ่อเพื่อให้เขาเชื่อว่าผมไม่ได้โกหก
“แล้วทำไมถึงไม่รับสายพ่อครับ”
“ธารลืมเปิดเสียงมือถือน่ะครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงเพลียๆ รู้สึกปวดหัวตุบๆ “ว่าแต่พ่อเถอะ ทำไมกลับมาเร็วจัง ไหนบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง”
“พ่อรีบกลับมาก่อน ตั้งใจจะมาเซอร์ไพร์วันเกิดเราให้ทันก่อนเที่ยงคืนไง”
นึกถึงสายไม่ได้รับร้อยกว่าสายแล้วรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ดูจากสภาพอิดโรยของพ่อ พ่อคงยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน...
“แล้ววันนี้เราไม่ไปเรียนเหรอ”
“ธารปวดหัวน่ะครับ รู้สึกตัวรุมๆ เหมือนจะเป็นไข้ เลยกะจะโดดเรียนสักหน่อย”
ผมไม่ใช่คนที่จริงจังกับการเรียนมากนัก โรงเรียนเป็นที่ๆ น่าเบื่อสำหรับผม สิ่งที่อาจารย์สอนส่วนใหญ่ผมก็อ่านเองไปล่วงหน้าก่อนแล้ว พ่อเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นและไม่เคยบังคับในเรื่องนี้
“ไม่สบายเหรอ” พ่อยกฝ่ามือทาบหน้าผากของผม มองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ตัวร้อนจริงๆ ด้วย ไปหาหมอดีไหมครับ”
“ไม่เอาดีกว่าครับ ธารอยากพัก”
“งั้นธารไปรอพ่อที่ห้องนอนนะครับ เดี๋ยวพ่อบอกแม่บ้านให้เตรียมข้าวต้มกับยาแล้วจะตามขึ้นไปเช็ดตัวให้ ห้ามอาบน้ำล่ะ เดี๋ยวจะไข้หนักกว่าเดิม” พ่อลูบหัวผมเบาๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
จริงๆ จะว่าพ่อเลี้ยงผมอย่างไข่ในหินก็ไม่เชิง แม้ว่าผมจะโตแล้วแต่พ่อก็ยังไปรับไปส่งผมที่โรงเรียนเองแทบทุกวัน โทรหาเช้าเย็นเพื่อเช็กว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่ในทางตรงกันข้ามพ่อก็ให้อิสระทางความคิด ให้ผมได้ตัดสินใจเองในทุกๆ เรื่อง พูดจากับผมด้วยเหตุผล พ่อรู้ว่าควรจะทำยังไงให้เด็กดื้ออย่างผมเชื่อฟัง เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งผมจึงสนิทกับพ่อมากกว่าแม่
“ธารขอโทษนะครับที่ไม่ได้รับสาย แล้วก็ไม่ได้กลับมาฉลองวันเกิดกับพ่อ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวไว้เย็นๆ มาเป่าเค้กกัน ช้าไปสักหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้เป่านะ”
“ครับ” ผมผละจากพ่อ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนบนชั้นสอง
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง เหนียวตัวจนอยากอาบน้ำเต็มที แต่ก็ไม่อยากโดนพ่อดุ เลยหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค Facebook พลางๆ ระหว่างรอพ่อขึ้นมาเช็ดตัวให้ บนหน้าวอลมีคนมาโพสต์อวยพรวันเกิดเต็มไปหมดทั้งที่ผมตั้งค่าวันเดือนปีเกิดแบบ Only Me และอีกหลายคนที่ส่งมาอวยพรทางข้อความ แต่ผมเลือกตอบเฉพาะเพื่อนสนิท
ผมเข้าไปอ่านข้อความที่ถูกทิ้งไว้ในแชทกลุ่ม เพื่อนสนิททั้งสามคนของผมมันพูดตัดพ้อกันทำนองว่าผมไม่ยอมพาพวกมันไปเลี้ยงวันเกิด ทำเป็นขี้งอนไปได้ไอ้พวกนี้
Thara Than : เมื่อวานอารมณ์ไม่ดีนี่ เลยอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า
ทันทีที่ผมพิมพ์ข้อความส่งไปในแชทกลุ่ม เพื่อนสนิทตัวเอ้อย่างไอ้บาส นักบาสเกตบอลของโรงเรียนที่ตัวสูงใหญ่เกินวัยก็ตอบกลับมาทันที
Thanapon Bas : ก็เป็นอย่างนี้ทุกที เวลามีเรื่องอะไรไม่สบายใจแทนที่จะมาระบายกับเพื่อน ดันเก็บไว้คนเดียวตลอด บางทีกูก็งงพวกเด็กฉลาดว่ะ
Thara Than : มึงงอนกูป่ะเนี่ย แล้วนี่แอบเล่นมือถือในห้องเรียน?
Thanapon Bas : เออ มึงเหอะทำไมไม่มาเรียน โดดบ่อยจริงนะ สงสารคนต้องปลอมใบลาป่วยให้มึงบ้างเหอะ
Thara Than : รอบนี้กูป่วยจริงๆ ขอบคุณมากที่ช่วยปลอมใบลาป่วยให้
Thanapon Bas : จริงดิ?
Thara Than : จริงๆ
Thanapon Bas : เออ งั้นเดี๋ยวเย็นนี้กูไปเยี่ยม
Thara Than : ไม่เป็นไรหรอก ลำบากเปล่าๆ พรุ่งนี้ค่อยเจอกันที่โรงเรียนทีเดียว ไว้เลิกเรียนแล้วจะพาไปเลี้ยงวันเกิดย้อนหลัง
บาสส่งสติ๊กเกอร์กระตายกำหมัดไฟลุกโชนมาให้ ยังไม่ทันที่ผมจะส่งข้อความตอบกลับ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พ่อเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอลูมิเนียมในมือ บนนั้นมีกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูสีขาวพับซ้อนทับกันสองผืน พ่อวางถาดลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม
“เล่นมือถือเดี๋ยวก็ปวดหัวหนักกว่าเดิมหรอก”
“ไม่เล่นแล้วครับ” ผมบอกยิ้มๆ แล้ววางมือถือลงบนเตียง
“จะเช็ดตัวเลยไหม หรือจะกินข้าวกินยาก่อน” จบประโยคนี้ ป้าแม่บ้านก็เข้ามาในห้องพอดี แกวางถาดที่มีทั้งน้ำ ข้าวต้ม และยาลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ
“กินข้าวก่อนดีกว่าครับ ธารหิวจะแย่” ผมลูบท้องตัวเอง ทำหน้าอ้อนๆ
พ่อยิ้มขำแล้วหันไปหยิบถ้วยข้าวต้มมาป้อน โดยไม่ลืมที่จะเป่าให้เย็นลงก่อนทุกครั้งที่จะส่งช้อนเข้าปากผม
คงไม่มีลูกชายครอบครัวไหนสนิทกับพ่อเท่านี้ ส่วนใหญ่พอเริ่มเป็นวัยรุ่น เด็กผู้ชายก็เลิกนอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ ถึงผมจะแยกห้องนอนกับพ่อแม่ตั้งแต่ประถม แต่พอผมอายุได้สิบเอ็ดปีแล้วต้องเปลี่ยนเตียงนอนเป็นเตียงขนาดคิงไซส์สำหรับผู้ใหญ่ เกือบทุกคืนหลังแม่หลับไปแล้ว พ่อก็มักจะมานอนกับผมบ่อยๆ ในห้องนี้ เข้ามาตอนกลางดึกแล้วออกไปก่อนฟ้าสว่าง
ผมกับพ่อ...เรา ‘สนิท’ กันเกินกว่าที่ใครจะคาดเดาได้
หลายๆ อย่างที่พ่อทำให้มันมากกว่าที่พ่อของครอบครัวอื่นทำให้กับลูกผู้ชาย จนบางครั้งผมก็อึดอัดและสงสัย แต่เพราะผมรักพ่อมากจึงปล่อยความสงสัยนั้นผ่านไป เพราะไม่อยากผิดหวังหรือเสียใจหากรู้คำตอบ...
หลังจากกินข้าวต้มกับยาเสร็จ พ่อก็เดินเข้าห้องน้ำไปเปิดน้ำใส่อ่างเตรียมเช็ดตัวให้ผม ระหว่างรอผมก็ถอดเสื้อยืดพลางๆ ด้วยความขี้เกียจกระดิกตัวจัดเลยวางแหมะไว้ตรงข้างเตียงรอป้าแม่บ้านมาเก็บ แต่กลายเป็นว่าพ่อเดินมาเหยียบเข้าเลยเอาไปเก็บให้
“มื้อเที่ยงอยากกินอะไรครับ พ่อจะได้บอกแม่บ้านให้” พ่อใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุมน้ำในอ่าง บิดหมาดๆ แล้วเอามาเช็ดหน้าให้ผม
“นึกไม่ออกอะ แล้วแต่พ่อเลย”
“.....” พ่อชะงักมือ มองผมด้วยสีหน้าเครียดๆ
“มีอะไรเหรอครับ” ผมขมวดคิ้วถามงงๆ
“คอกับหน้าอกไปโดนอะไรมา”
“หือ...มดหรือแมลงต่อยมั้งครับ” ผมก้มลงมองก็เห็นรอยจ้ำแดงเด่นชัดบนผิวขาวซีดของตัวเอง
“ธารโกหกพ่อมากี่ครั้งแล้ว เรื่องอื่นพ่อไม่ว่า แต่เรื่องนี้พ่อรับไม่ได้”
ผมคิดถูกจริงๆ ที่ปิดพ่อเรื่องพี่กฤษ แค่มีรอยแดงที่คอยังโดนซักขนาดนี้ ถ้าเกิดรู้ว่าผมมีแฟนแถมยังเป็นผู้ชาย พ่อคงผิดหวังในตัวผมมาก
“พ่อครับ ธารไม่ได้ทำอะไรไม่ดีมาจริงๆ นะ ตื่นมารอยพวกนี้มันก็อยู่บนตัวธารแล้ว” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเพลียๆ ยาแก้ปวดลดไข้ที่เพิ่งกินเข้าไปทำให้ผมเริ่มง่วงนอน
“เอาเถอะ ถ้าไม่มีอะไรเกินเลยก็ดีแล้ว” พ่อดึงผมเข้าไปกอด ลูบหลังผมอย่างปลอบโยน “พ่อเป็นห่วงธาร ไม่อยากให้ใครมาแตะต้องลูกของพ่อ ต่อไปอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกได้รึเปล่า”
นี่พ่อยังคิดว่ามันเป็นรอยคิสมาร์ก? แต่จะว่าไปรอยจ้ำแดงบนคอกับหน้าอกของผมก็ดูไม่เหมือนรอยแมลงต่อยจริงๆ นั่นล่ะ ตอนเมาอยู่ในผับอาจจะโดนใครจูบเอาก็ได้
“ครับ” ผมรับคำ บอกพ่อเสียงงัวเงีย “ธารง่วงแล้วครับ”
พ่อคลายอ้อมกอดออก แล้วปล่อยให้ผมนอนลงบนเตียง “ฝันดีครับคนดีของพ่อ” พ่อลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะจัดการเช็ดตัวให้ผมต่อ
ผมปิดตาลงด้วยความอ่อนล้า ฤทธิ์ยากับอาการป่วยทำให้ผมง่วงราวกับไม่ได้นอนติดกันมาสองคืน ขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมรับรู้ได้ว่ากางเกงของตัวเองถูกถอดออก รวมถึงกางเกงชั้นในด้วยเพราะมันหวิวๆ ตรงนั้นพิกล รำคาญนิดๆ กับสัมผัสเปียกชื้นจากผ้าขนหนูที่กำลังลูบไล้ไปทั่วตัว
จะว่าไปก็เขินพ่ออยู่เหมือนกันนะ เพราะไม่ได้แก้ผ้าให้พ่อเห็นตั้งแต่อายุสิบสองแล้ว แต่ก็ขี้เกียจขยับตัวลุกขึ้นทำเอง เลยหลับต่ออย่างไม่ใส่ใจ
.....
ในความรู้สึกที่ไม่แน่ชัดว่าความฝันหรือความจริง...
ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสหยาบกระด้างแต่อบอุ่นที่ลูบไล้อยู่ที่ต้นขาด้านใน สัมผัสนั้นลากไล้ขึ้นมายังกึ่งกลางร่างกาย กอบกุมส่วนสำคัญของผมไว้ แล้วรูดรั้งขึ้นลงเบาๆ สร้างความรู้สึกวาบหวิวในช่องท่อง
“พ่อรักธารนะ” เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยกระซิบบอกผมที่ข้างหู
“ผมก็รักพ่อครับ” ผมกระซิบตอบกลับ พยายามปรือตาขึ้นมอง แต่หนังตาก็หนักอึ้งจนยากที่จะลืมตื่น
ภาพพร่าเลือนในหัวเริ่มเด่นชัดมากขึ้น ผมกำลังนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ใครบางคนโอบกอดผมมาจากด้านหลัง แผงอกกำยำแหละหน้าท้องแข็งเกร็งใต้เนื้อผ้าบางเบาเบียดชิดอยู่กับแผ่นหลังบอบบางของผม กลิ่นน้ำหอมจางๆ คุ้นจมูกทำให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นซุกเข้าหาซอกคอของเขา ร่างกายของผมร้อนผ่าวจนแทบทะลาย
“ฮ...อื้อ” ผมส่งเสียงครางเครือในลำคอเมื่อฝ่ามือแข็งกระด้างรูดรั้งส่วนอ่อนไหวอย่างหนักหน่วง ผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังเสียดสีอยู่กับบางอย่างที่ร่อนรุ่มพอๆ กัน เสียงเฉอะแฉะดังเป็นจังหวะตามแรงรูดขึ้นลง ฝ่ามืออีกข้างของใครคนนั้นลูบไล้อยู่ที่หน้าอก ปัดผ่านยอดอกที่กำลังชูชันสร้างความเสียวซ่านจนผมต้องบิดตัวไปมา
“ม...ไม่ไหว...ธารไม่ไหวแล้ว” ผมบอกเสียงสั่นพร่า กำผ้าปูที่นอนจนยับยู่
ฝ่ามือที่กำลังลูบไล้แผ่นอกของผมผละอก ก่อนจะสอดเข้ามาใต้ข้อพับขา แยกขาของผมข้างหนึ่งให้อ้าออกกว้าง ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างรูดรั้งส่วนอ่อนไหวเร็วขึ้นกว่าเดิมจนผมร้องครางเสียงขาดห้วง
“ฮ...อา...อื้อ” ผมเอื้อมมือลงไปเบื้องล่างคว้าฝ่ามือข้างนั้นไว้ หวังจะให้มันผ่อนแรงลงแต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฝ่ามือข้างนั้นใหญ่โตและแข็งแกร่งจนกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมเอาไว้ในอุ้งมือทั้งหมด สัมผัสที่ได้รับบอกผมว่าบางส่วนของพวกเราทั้งสองกำลังเสียดสีกันอยู่ในอุ้งมือของเขา จังหวะเร็วแรงหนักหน่วงที่ขยับขึ้นลงทำให้ผมต้องจิกเล็บลงบนหลังมือของเขาเพื่อระบายความเสียบวาบเบื้องล่าง
“เด็กดีของพ่อ...”
“พ...พ่อ...ฮ...อื้อ” ผมบิดตัวไปมาอย่างทรมาน ซบหน้าลงกับหมอน หลับตาแน่นเมื่ออารมณ์ถูกปลุกปั่นมาถึงจุดสูงสุด “อ๊าาา...” ผมร้องครางหวานหูเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมๆ กับที่ของเหลวเหนอะหนะพุ่งออกมาจากร่างกาย ฝ่ามือข้างนั้นรูดรั้งเป็นจังหวะเนิบนาบติดกันอีกสามสี่ครั้งก่อนจะหยุดลง
ร่างกายของผมสั่นสะท้านเล็กน้อย แผ่นอกขยับขึ้นลงตามแรงหอบ รู้สึกได้ถึงความชื้นที่ขมับจากเม็ดเหงื่อที่ผุดพราย
“พ่อรักธารนะครับ”
ผมพยักหน้ารับรู้กับเสียงหอบกระเส่าที่กระซิบบอก ปล่อยให้ความมืดมิดค่อยๆ เข้ามาแทนที่ภาพความฝันวาบหวิว...
.....
ผมสะลึมสะลือตื่นแล้วพบว่าตัวเองนอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง สวมเสื้อผ้าชุดใหม่สบายตัวและถูกห่มผ้านวมถึงอก ความรู้สึกเหนอะหนะที่หน้าผากทำให้ผมต้องยกมือขึ้นไปดึงแผ่นเจลลดไข้ออกอย่างเกียจคร้าน อารมณ์คั่งค้างจากความฝันที่เลือนรางพาให้ร่างกายของผมร้อนรุ่ม
ธรรมดาของเด็กผู้ชายอายุสิบสี่ปีที่เพิ่งอย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้วอารมณ์จะพลุ่งพล่านกว่าปกติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก...ผมเริ่มทำมันตั้งแต่อายุสิบสาม เพราะพวกเพื่อนม.ปลายในแก๊งดันเอาคลิปโป๊มาเผยแพร่...
ผมสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม พริ้มตาหลับจินตนาการถึงร่างกายแข็งแกร่งไปด้วยกล้ามเนื้อที่กอดกระหวัดตัวเองจากทางด้านหลัง มือข้างหนึ่งของผมถลกเสื้อยืดของตัวเองขึ้นไปกองบนหน้าอก ลูบไล้แผงอกเปลือยเปล่าปลุกเร้าอารมณ์วาบหวิว ขณะที่มืออีกข้างล้วงเข้าไปในกางเกง กอบกุมแก่นกายของตัวเองไว้ในอุ้งมือแล้วเริ่มขยับรูดรั้ง
“ฮ...อื้อ...” ผมกัดปาก ส่งเสียงครางปนเปไปกับเสียงเปียกแฉะเป็นจังหวะที่ดังมาจากใต้ผ้านวม คิดไปว่ามือที่กำลังกอบกุมแก่นกายของตัวเองอยู่คือฝ่ามือที่ทั้งใหญ่และหยาบกระด้างอย่างในความฝัน ภาพใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ของนายแบบที่ผมชอบปรากฏขึ้นในหัว
“เร็วอีก...อา...” ผมส่งเสียเร่งเร้ากับคนในจินตนาการ ขยับฝ่ามือเป็นจังหวะที่กระชั้นขึ้น ใช้นิ้วหัวแม่มือเค้นคลึงที่ส่วนปลายเพิ่มความเสียวซ่าน
แรงยวบของที่นอนและอ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนที่รวบเอวผมเข้าไปกอดจากข้างหลัง ทำให้ฝ่ามือที่กำลังรูดรั้งส่วนนั้นของตัวเองชะงักค้าง ผมตกใจจนเกร็งไปทั้งตัว ค่อยๆ เหลียวกลับไปมองคนที่กำลังกอดผมเอาไว้แน่น
โชคดีที่พ่อยังหลับอยู่...
ผมหันกลับมา ค่อยๆ ดึงมือออกจากกางเกงอย่างระมัดระวังกลัวว่าถ้าขยับตัวมากไปจะทำให้พ่อตื่น แต่คงเพราะพ่อละเมอถึงได้จับแขนข้างนั้นของผมไว้ มันจึงยังค้างเติ่งอยู่ในกางเกง แผงอกที่เบียดชิดอยู่กับแผ่นหลังของผมขยับขึ้นลงสม่ำเสมอบ่งบอกว่าพ่อกำลังหลับสนิท
คงไม่เป็นไรมั้ง...พ่อคงไม่ตื่นขึ้นมาตอนนี้หรอก...
ผมหลับตาลงแล้วเริ่มขยับข้อมืออีกครั้ง อยากจะรีบจัดการกับอารมณ์ที่ค้างเติ่งเมื่อครู่ให้เสร็จๆ ไป ฝ่ามือของผมรูดรั้งแก่นกายขึ้นลงเร็วกว่าเดิม ผมซุกหน้าลงกับหมอน กัดปากเพื่อระบายความวาบหวิวโดยไม่ส่งเสียงร้องครางออกมาเพราะกลัวพ่อจะตื่น ขยับข้อมือถี่กระชั้น จนอารมณ์มาถึงจุดสูงสุด...ปลดปล่อยของเหลวอุ่นๆ ออกมาจากร่างกาย
ผมหอบหายใจเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าเหงื่อออกซึมไปทั่วตัว ค่อยๆ แหงนหน้ากลับไปมองทางด้านหลัง เห็นพ่อยังคงหลับสนิทอยู่ก็เบาใจ ฝ่ามือแข็งกระด้างจากการออกกำลังกายที่จับแขนของผมไว้ก่อนหน้านี้คลายออก ก่อนจะขยับขึ้นมารวบเอวของผม ดึงตัวผมเบียดชิดกับร่างกายของพ่อมากขึ้น
ว่าแต่...จะเอายังไงกับข้างล่างล่ะทีนี้ เลอะหมดแล้ว...
ผมเอื้อมมือข้างที่ไม่ ‘เลอะ’ ไปหยิบทิชชูบนโต๊ะข้างหัวเตียง แต่ติดตรงถูกพ่อกอดไว้เลยเอื้อมหยิบได้ลำบาก ขณะพยายามใช้ปลายนิ้วเกี่ยวกล่องกระดาษทิชชู ฝ่ามือแข็งแกร่งของคนที่เคยนอนหลับสนิทอยู่ทางด้านหลังก็เอื้อมไปดึงทิชชูออกมาจากกล่องสี่ห้าแผ่นก่อนจะยื่นมาตรงหน้าผม
ผมนิ่งอึ้ง...พอหันกลับไปมองทางด้านหลังก็เห็นพ่อกำลังส่งยิ้มขำๆ มาให้
“พ่อ...ต...ตื่น...ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ผมถามเสียงตะกุกตะกัก หน้าคงซีดยิ่งกว่ากระดาษ และอีกเดี๋ยวคงแดงก่ำลามไปทั้งคอทั้งหู
“สักพักแล้วครับ ตั้งแต่เราเริ่มครางนั่นล่ะ”
“พ...พ่อ” ผมเอาหน้าซุกหมอนอย่างอับอาย ไม่รู้จะกล้ามองหน้าพ่ออีกไหม
“อายทำไมครับ เรื่องธรรมชาติ” พ่อใช้แขนเท้าคร่อมตัวของผมไว้ แล้วกระซิบกระซาบบอกข้างหู “ให้พ่อช่วยเช็ดไหม เลอะผ้านวมหมดแล้วนะนั่น”
“.....”
ไม่รอให้ผมอนุญาตพ่อก็ใช้ทิชชูเช็ดมือที่เลอะเทอะของผมจนสะอาด แล้วดึงทิชชูแผ่นใหม่มาเช็ด...ตรงนั้นของผม
“เดี๋ยวผมเช็ดเองครับ” ผมบอกด้วยความตกใจ รีบจับข้อมือของพ่อไว้แต่ก็ช้าไปเพราะมือข้างนั้นล้วงเข้าไปในกางเกงแล้ว ผมจึงได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ รู้สึกแปลกๆ จนอธิบายไม่ถูก ตอนที่พ่อเช็ดตัวให้ผมอาจจะโดนส่วนนั้นด้วยก็ได้ แต่ผมไม่ได้รู้สึกอับอายเท่ากับตอนนี้
“ตัวเย็นขึ้นแล้วนะ ยังปวดหัวอยู่รึเปล่า” พ่อถามขณะลุกออกจากเตียง
“ม...ไม่แล้วครับ” ผมมองตามแผ่นหลังของพ่อที่กำลังเดินไปที่มุมห้องเพื่อทิ้งทิชชูลงในถังขยะ พอพ่อหันกลับมาผมก็รีบซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อหลบสายตา
“ยังอายอยู่อีกเหรอ” พ่อนั่งลงข้างเตียงแล้วลูบหัวผม “ทำให้ชินสิ จะได้ไม่ต้องอาย”
“ไม่ตลกนะครับ” ผมขมวดคิ้วพูด ไม่กล้ามองหน้าพ่อ “พ่อไม่คิดเหรอว่าเราสนิทกันมากเกินไป เรื่องแบบนี้ใครเขาทำกันต่อหน้าพ่อแม่ ครอบครัวอื่นๆ พ่อกับลูกชายไม่ได้สนิทกันขนาดนี้นะครับ”
“ธารไม่เห็นต้องไปสนครอบครัวอื่นเลย แต่ละครอบครัวก็มีวิธีเลี้ยงดูลูกในแบบของตัวเอง พ่อก็มีวิธีของพ่อ...พ่ออยากสนิทกับธาร อยากให้ธารไว้ใจพ่อในทุกๆ เรื่อง พ่อถึงได้พยายามเข้าหาเรา และสำหรับพ่อ...ธารยังเป็นเด็กอยู่เสมอนะ”
“สักวันธารก็ต้องโต พ่อน่าจะปรับตัวให้ชิน...”
“พ่อมีลูกคนเดียวนะธาร พ่อคงทำตัวให้ชินไม่ได้หรอก” พ่อดึงผมเข้าไปกอด
พ่อมักพูดจนติดปากว่าผมเป็นลูกชายแค่คนเดียว เพราะพี่ภูคือลูกของแม่กับแฟนเก่า แม่เคยเล่าให้ฟังว่าพ่อเป็นคนอุ้มผมคนแรกในวันที่ผมคลอด เป็นคนป้อนนมเพราะแม่ไม่ชอบให้ดื่มนมจากอก พ่อทำทุกอย่างให้ผมมาโดยตลอด ดูแลผมมาอย่างดีตั้งแต่ผมจำความได้
และเพราะผมรักพ่อมากพอๆ กับที่พ่อรักผม ผมจึงเลือกที่จะมองผ่านความสัมพันธ์ที่ ‘ลึกซึ้ง’ เกินกว่าคำว่า ‘พ่อลูก’ ของพวกเราสองคน
“บ่ายโมงแล้ว หิวรึยัง”
ผมพยักหน้าอยู่กับอกของพ่อ
“ให้แม่บ้านยกอาหารขึ้นมาบนห้อง หรือจะลงไปทานข้างล่างดีครับ”
“ลงไปทานข้างล่างดีกว่าครับ”
พ่อปล่อยผมออกจากอ้อมกอด ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วยื่นมือมาให้
ผมเอื้อมไปจับมือที่อบอุ่นข้างนั้นเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น แต่ในตอนนั้นเองที่สายตาของผมสะดุดเข้ากับรอยเล็บข่วนบนหลังมือของพ่อ...
7: 40 A.M.
@GN International School
“อย่าลืมดื่มนมหลังมื้อเที่ยงนะครับ” พ่อบอกหลังจากจอดรถเทียบฟุตปาธข้างรั้วโรงเรียน ดึงผมไปหอมแก้มแล้วปลดล็อคประตูรถให้ ถ้าเป็นพ่อคนอื่นๆ คงบอกให้ลูกตั้งใจเรียนแต่พ่อของผมมักจะย้ำเรื่องกินซะมากกว่า พ่อคงกลัวว่าผมจะไม่โต
ผมมองพ่อนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อกลับ เพราะไม่อยากให้พ่อคิดว่าผมโตแล้วจะตีตัวออกห่าง ก่อนจะยกมือไหว้ลาแล้วเปิดประตูลงจากรถ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเย็นนี้มีนัดกับเพื่อนเลยชะโงกหัวเข้าไปในรถอีกรอบ
“เย็นนี้ไม่ต้องมารับนะครับ ธารมีนัดกับเพื่อน”
“ที่ไหนครับ แล้วเสร็จกี่โมง เดี๋ยวพ่อไปรับ”
“ธารยังไม่แน่ใจครับ ไว้ธารนั่งแท็กซี่กลับเองดีกว่า ไม่อยากให้พ่อเหนื่อยอะ”
“พ่อไม่เหนื่อยหรอกครับ” พ่อยื่นมือมาขยี้หัวผม “ไว้พ่อโทรหานะ”
“ครับ” ผมปิดประตูรถ ยืนยิ้มโบกมือลาพ่อ แต่พ่อชี้นิ้วไปที่ประตูโรงเรียนเพื่อบอกให้ผมเข้าไปก่อน “โธ่ ธารไม่โดดเรียนหรอกน่า” ผมบ่นพึมพำ แต่พ่อคงอ่านปากออกถึงได้หัวเราะขำแล้วเหยียบคันเร่งขับออกไป
ผมหมุนตัวเดินเข้าไปในโรงเรียน แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงกำยำ ผิวขาวจัด รูปร่างหน้าตาดียังกับพวกบอยแบนด์เกาหลี กำลังยืนพิงประตูรถสปอร์ตสีดำด้วยท่าทางเบื่อหน่าย นักเรียนและผู้ปกครองที่อยู่หน้าโรงเรียนต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
เขาอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวคลุมทับด้วยแจ็กเก็ตสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดๆ เข้ารูป สวมแว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยมตามแฟชั่นซึ่งปกติไม่ค่อยสวมบ่อยนัก ผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นที่มักจะถูกเซ็ตอย่างดีวันนี้ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง และสุดท้าย...สิ่งที่เด่นชัดในสายตาของผม...จิลเงินที่ติ่งหูซ้ายซึ่งมีอักษรสีดำรูปตัว T สลักอยู่ด้านบน
ผมเผลอยกมือลูบต่างหูที่สวมอยู่...มันเป็นจิลเงินที่สลักรูปตัว K
“ธาร”
ผู้ชายคนนั้นร้องเรียกเมื่อเห็นผม เขารีบเดินเข้ามาหาแต่ผมกลับหันไปอีกทางแล้วเดินหนี สาวเท้าไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ถูกเขาคว้าต้นแขนอย่างแรง ก่อนจะดึงเข้าไปปะทะกับแผงอกแข็งๆ แล้วกอดผมเอาไว้ทั้งตัว
“พี่กฤษ...” ผมเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนแรง
ตั้งแต่โดนผมบอกเลิก พี่กฤษก็ไม่ได้โทรมาเลย ผมคิดว่าเขาจะลืมผมไปแล้วซะอีก...
“ยังโกรธพี่อยู่อีกเหรอ”
“ธารไม่ได้โกรธหรอกครับ ธารเข้าใจ”
“เข้าใจแล้วทำไมถึงต้องเดินหนีพี่ด้วย”
“ธารแค่เหนื่อย...ไม่อยากกลับไปอีกแล้ว” ผมผลักเขาออกห่าง “ปล่อยเถอะครับ นี่มันน่าโรงเรียน ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ มาเห็น แล้วรู้ว่าผมเคยคบกับผู้ชาย”
พี่กฤษยอมปล่อยผมออกจากอ้อมกอด แต่กลับจับแขนของผมไว้ยังกับกลัวว่าผมจะหนี “เมื่อคืนพี่ยังไม่ได้นอน” เขาเปลี่ยนเรื่อง มองผมด้วยแววตาเว้าวอน “พี่ลองคิดทบทวนเรื่องของเราพี่ถึงได้รู้ว่าพี่รักธารมากแค่ไหน...พี่ขาดเราไม่ได้...”
ผมฝืนหัวเราะ “คนอย่างพี่กฤษเหรอที่จะขาดผมไม่ได้ รบคบกันแค่ปีเดียว ยังไม่ผูกพันกันขนาดนั้นมั้งครับ”
ผมอาจจะโง่ในเรื่องความรัก รักใครแล้วยกให้ทั้งใจอย่างไม่กลัวเจ็บ แกล้งทำเป็นโง่ให้พี่กฤษหลอกซ้ำๆ ทั้งที่รู้ว่าเขาโกหก ทั้งที่รู้ว่าเขากำลังนอกใจ แต่ผมไม่ใช่คนหัวอ่อนที่จะถูกจูงจมูกได้ง่ายๆ ที่ผมยอมทนมาตลอด ยอมให้หลอกกันก็เพราะ ‘รัก’ คำเดียว
มันอาจเป็นเหตุผลที่ผมคบกับคนอย่างพี่กฤษมาจนครบปี ผมเป็นคนแรกที่เขาควงได้นานที่สุด และเป็นคนแรกที่เป็นฝ่ายบอกเลิกเขาก่อน
“นี่มันครั้งที่สามแล้วนะครับ พี่จะให้ธารทนไปจนถึงเมื่อไหร่”
ผมพยายามย้ำกับตัวเองซ้ำๆ ว่าพี่กฤษไม่เคยจริงจังกับใคร รวมถึงผมด้วย...
ถ้ากลับไปคบกับเขาอีกก็ไม่รู้ว่าต้องทนเจ็บไปถึงเมื่อไหร่...
จู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมา ร้องไห้อีกแล้ว ร้องไห้ต่อหน้าคนที่เขาไม่ได้รักผม ทำให้ตัวเองดูน่าสมเพชเข้าไปทุกที
“ธาร” พี่กฤษเรียกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่ทำให้ผมใจสั่น ถึงสมองจะสั่งให้ผมเลิกรักเขา มีเหตุผลเป็นร้อยข้อที่จะตัดผู้ชายคนนี้ออกจากชีวิต แต่มันกลับห้ามความรู้สึกที่ผมมีให้พี่กฤษไม่ได้
แค่เห็นหน้าเขา ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อของผม ผมก็ใจอ่อน...
“กลับไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวจะป่วยเอา” น้ำเสียงของผมแฝงความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด และพี่กฤษคงฟังออกเขาถึงได้หลุดยิ้มให้เห็น
“ให้พี่นอนกอดหน่อยสิ ไม่ได้กอดธารพี่คงนอนไม่หลับ”
ผมกัดปากอย่างลังเล แต่พอมืออุ่นๆ ทาบลงบนแก้มของผม ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ผมก็ยอมพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย
แค่ไปนอนเป็นเพื่อนแค่นั้น ไม่ได้จะกลับไปคืนดีด้วยซักหน่อย คงไม่เป็นไรหรอก...
“ธาร!” เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว
“บาส” ผมหันไปทักเพื่อนสนิทอายุมากกว่าที่กำลังเดินเข้ามาหา
บาสอายุแค่สิบเจ็ด แต่เขาสูงตั้งหนึ่งร้อยแปดสิบสามเซ็นฯ รูปร่างสมส่วนมีกล้ามเนื้ออย่างพวกนักกีฬาไม่ได้ดูเก้งก้าง แถมยังหน้าตาดีและป๊อปในหมูสาวๆ เพราะเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลตัวเต็งของทีมโรงเรียน
“ทำไมยังไม่เข้าโรงเรียน จะสายแล้วนะ...นี่ใครเหรอ?” บาสเดินมาหยุดข้างๆ ผม แล้วขมวดคิ้วมองพี่กฤษอย่างสงสัย พี่กฤษคอยไปรับไปส่งผมอยู่บ่อยๆ แต่เขาก็นั่งอยู่แค่ในรถ ไม่เคยมีโอกาสได้พบหน้าเพื่อนผมเลยสักคน พอลองเทียบกับพี่กฤษแล้ว บาสตัวเตี้ยกว่านิดหน่อย และพี่กฤษก็ดูโดดเด่นกว่าเพราะผิวบาสค่อนข้างคล้ำแดด
“พี่กฤษ รุ่นพี่ที่รู้จักกันน่ะ” ผมโกหกเพราะยังไม่อยากเปิดเผยให้พวกเพื่อนๆ รู้ว่าผมชอบผู้ชาย กลัวว่าพวกมันจะทำใจรับไม่ได้แล้วแขยงจนไม่กล้าเข้าใกล้ผม “พี่กฤษครับนี่บาสเพื่อนสนิทในกลุ่ม”
“หวัดดีครับ” บาสยกมือไหว้พี่กฤษ พี่กฤษก็ยกมือรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้เราคงไม่เข้าเรียนนะ พอดีมีธุระนิดหน่อย”
“เออ ดีเนอะ ลาป่วยติดกันสองวันเนียนดี” บาสถอนหายใจ “แล้วนี่แต่งตัวชุดนักเรียนมา เห็นชัดๆ ว่าจะเข้าโรงเรียนแต่ดันโดด พ่อนายรู้แล้วเหรอ”
“พ่อไม่ว่าหรอกน่า” ผมบอกปัด
บาสเขม่นมองพี่กฤษอย่างไม่ไว้ใจ “จะไปธุระกับพี่เขาเหรอ”
“อือ”
“ธุระอะไรล่ะ”
“ไม่ได้ไปมั่วเซ็กส์ สูบบุหรี่ เสพยาแล้วกันน่า” ผมชกไหล่บาสเบาๆ รู้ว่ามันเป็นห่วง ยังไงเด็กวัยนี้ก็สุ่มเสี่ยงกับอบายมุข มีสิทธิ์ออกนอกลู่นอกทางจนเสียอนาคตกันได้ง่ายๆ มันคงกลัวว่าผมจะเป็นหนึ่งในนั้น
“เออดีแล้ว แล้วเย็นนี้ยังจะไปตามนัดรึเปล่า”
“ไปดิ อยากไปกินอะไรที่ไหนก็ไลน์มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวจะให้พี่กฤษไปส่ง”
“อือ งั้นเราเข้าโรงเรียนก่อนนะ เดี๋ยวโดนเช็คสาย”
“บาย” ผมโบกมือลา
พอบาสหมุนตัวเดินไปที่ประตูโรงเรียน พี่กฤษก็หันมาจูงมือผมพาไปที่รถ ระหว่างนั้นผมเห็นจากทางหางตาว่าบาสเหลือบมองมาทางพวกเราอีกหนก่อนที่เขาจะเดินเข้าโรงเรียนไป
Pie2Na
มีคนอ่านบ้างไหมเนี่ย โคตรร้างเลย