หลงกลับมาถึงบ้านราวห้าโมงเย็น ก่อนจะจัดการธุระของตัวเองและลงมารับประทานอาหารค่ำตามปกติ ทุกอย่างเหมือนเดิม..ยกเว้นจิตใจของเขาที่คล้ายกับมีอะไรมาเสียดอยู่ตลอดเวลา กระนั้นต้นเหตุอย่างคุณพฤทธิ์ก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนเดิม ส่งข้อความบอกราตรีสวัสดิ์และไม่มีอะไรเพิ่มเติมไปกว่านี้
‘ราตรีสวัสดิ์ครับ’
เขาเห็นหน้าจอสว่าง ใจหนึ่งก็อยากตอบให้หายคะนึงนัก แต่สุดท้ายก็เลือกไม่อ่านและไม่ตอบข้อความ เมินเฉยทุกอย่างทั้งที่อีกฝ่ายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าก่อความรู้สึกประหลาดในใจของหลง
พื้นของท้องฟ้าอาบย้อมด้วยแพรไหมสีเข้ม ประดับด้วยดวงดาวเล็ก ๆ คอยกล่อมนอนยามค่ำคืน กระนั้นหลงกลับนอนลืมตาในความมืด ทอดมองด้านนอกด้วยความรู้สึกไม่สบายใจระคนรวดร้าว เขาคิด..ว่าบางอย่างกำลังจะลอยหายไปราวกับที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเพียงภาพลวงตาที่หลงพยายามสร้างและหลงลืมชีวิตจริงไปชั่วขณะ
เด็กหนุ่มพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง สุดท้ายหนังสือที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะไม้ที่ไม่ไกลก็กลายเป็นเพื่อนรักในยามค่ำคืน
เสียงพลิกกระดาษและเสียงขีดจากปากกาเน้นข้อความดังขึ้นตลอดทั้งคืน
มันเป็นสัปดาห์ที่ภัทรต้องรับมือกับอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน จากที่พวกเขาเคยไปนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟทุกวันพุธบ่าย ในอาทิตย์ถัดมาพวกเขาก็ตัดสินใจย้ายสถานที่นั่งอ่านหนังสือเป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย
ที่ชั้นสองอากาศเย็นจัด ภัทรฟุบหลับอยู่หลายรอบ จนกระทั่งความสิ้นสุดของเขาหมดลง เขาก็เก็บของใส่กระเป๋าทันที “ขอโทษนะหลง แต่เราง่วงมาก ขอกลับไปนอนก่อนได้ไหม”
“เจอกันพรุ่งนี้”
เสียงเก้าอี้เสียสีพื้นกระเบื้อง เมื่อสายตาหลาย ๆ คู่เหลือบมองมา เพื่อนสนิทของเด็กหนุ่มก็รีบยกเก็บเข้าที่และรีบเดินออกจากห้องอ่านหนังสืออย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความเงียบ เสียงแป้นพิมพ์ที่ดังขึ้นด้วยจังหวะสม่ำเสมอ และเสียงพลิกกระดาษด้วยความร้อนใจ เหลือเพียงสิ่งเหล่านี้จริง ๆ ที่ยังอยู่ในปัจจุบันกับหลง
พระอาทิตย์ตกดินเร็วกว่าปกติ ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเหลืองนวลเจือสีฟ้าเข้ม และสิ้นสุดความสว่างเมื่อแสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้า เป็นตอนเย็นที่เคล้าด้วยเสียงพูดคุยและกระซิบกระซาบ บางครั้งก็รถเข็นของเจ้าหน้าที่ห้องสมุดและเสียงสอดหนังสือเข้าชั้นอย่างชำนาญ
ล่วงเวลากลับบ้านมาหลายชั่วโมงแล้ว เขาจึงโทรศัพท์บอกทางบ้านว่าจะกลับดึก ไม่นานนักเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ปลายสายคือคนที่แยกจากกันเมื่อเช้า
“สวัสดีครับ” หลงเดินออกมา ด้านนอกเป็นอากาศอุ่นจนร้อนชวนให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างน่าประหลาด
‘คนที่บ้านบอกว่าหลงจะกลับดึก อย่างนั้นเย็นนี้เรากลับพร้อมกันดีไหม’
“คุณกรณ์กลับดึกหรือครับ”
‘ใช่ครับ ยังประชุมไม่เสร็จ แต่รบกวนหลงมาหาพี่หน่อยได้ไหม’
“ได้ครับ”
ปลายสายคล้ายจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงที่แทรกเข้ามาก็ทำให้กรณ์รีบตัดสายด้วยความเสียดาย หลงจึงเดินกลับเข้าไปจัดการกับกระเป๋าที่อยู่บนโต๊ะด้วยความเอื่อยเฉื่อย
เขาใช้เวลาจัดการธุระสักพักแล้วเดินออกมานอกตัวอาคาร ด้านนอกมืดแล้ว ไฟที่ติดเรียงรายอยู่จึงสว่างขึ้น ส่องแสงสลัวด้วยความไม่เต็มใจและคล้ายจะดับลงอยู่รอมร่อ เมื่อเดินห่างออกมาไม่กี่สิบก้าว รอบกายก็มืดลง เงาตะคุ่มของไม้ใหญ่สาดลงมาชวนให้รู้สึกประหวั่นใจ ทว่าเด็กหนุ่มก็พยายามก้าวอย่างมั่นคงทั้งที่ในใจสั่นไหวเกินห้าม
ทางเดินใกล้ ๆ คลุมด้วยกันสาด บนเพดานติดไฟสว่างจ้าสาดส่องไปจนประตูรั้วมหาวิทยาลัยที่ติดกับถนนใหญ่ และถ้าข้ามถนนไปก็เป็นอีกฟากหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่มืดสลัวไม่แพ้กัน
เด็กหนุ่มเดินใช้เวลาร่วมสิบนาทีจึงมาอีกฝั่งหนึ่ง รากไม้ชอนไชบนฟุตบาทจนเสียรูป ปูดโปนคลายเส้นใหญ่เลือดใหญ่ที่พยายามทะลุผืนดินแข็งแรงขึ้นมา เมื่อเงยหน้ามองเท้าฟ้า เงาของใบต้นจามจุรีกีปกปิดรำไร มองไม่เห็นพระจันทร์ดวงโตที่สาดแสงอย่างนุ่มนวล
หลงเดินผ่านอาคารเรียนไปจนเกือบถึงหอนาฬิกา รถยนต์คันหนึ่งก็เคลื่อนขับเชื่องช้าราวกับต้องการถามทาง กระนั้นป้ายทะเบียนคุ้นตาก็ชวนให้ใจกระตุกวูบคล้ายกับคนซ่อนความผิด
ปลายเท้าของเด็กหนุ่มหยุดลง เขาหมายจะก้าวผ่านคล้ายกับไม่ได้สังเกตรถยนต์คันนี้ แต่กระจกที่เคลื่อนต่ำลงและแสงไฟในรถยนต์ที่สว่างขึ้นก็ไม่อาจทำให้หลงละสายตาได้
“ขอโทษนะครับ”
เขาเม้มปาก กัดริมฝีปากล่างเล็ก ๆ อย่างต้องการใช้ความคิด “อาจารย์พฤทธิ์”
“จะไปไหนหรือครับ” ถ้อยคำสุภาพชวนให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่ภาพที่พฤทธิ์และฉลองขวัญอยู่ด้วยกันทั้งที่อาจไม่มีอะไรมากกว่าการสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมงานก็ทำให้เหลงรู้สึกเจ็บแปลบคล้ายมีเหล็กแหลมทิ่มแทงอยู่ในใจ
เด็กหนุ่มหลุบตามองพื้น “ไปหาคุณกรณ์ครับ”
“ขึ้นรถมาครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ อีกนิดก็จะถึงแล้ว” หลงตอบฉายชัดถึงความดื้อดังอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาแค่อยากต่อต้าน อยากรู้สึกเหนือกว่าคุณพฤทธิ์ขึ้นมาบ้าง แต่ทุกครั้งที่เผลอสบตามอง..อีกฝ่ายก็คล้ายกำลังทำอะไรบางอย่างกับเขาให้โอนอ่อนตามได้ไม่ยาก
“คุณกรณ์ไม่ได้บอกหรือครับว่าตอนเย็นประชุมอีกที่”
หลงขมวดคิ้ว ไพล่คิดถึงเมื่อช่วงเย็นที่คุยกัน ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด..คุณกรณ์ก็ต้องประชุมอยู่ที่คณะอยู่แล้ว จะเป็นที่อื่นได้อย่างไร “คุณกรณ์บอกว่าที่คณะครับ”
“เหมือนผมจะได้ยินอีกอย่างนะ” พฤทธิ์พูดน้ำเสียงราบเรียบ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มจาง ๆ ไม่ทันให้ใครบางคนสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงทีละน้อย
“ที่ไหนครับ”
“ถ้าไม่อยากให้คุณกรณ์เป็นห่วงก็ขึ้นรถนะครับ”
หลงรู้สึกผิดพลาดอย่างน่าประหลาด กระนั้นก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ เมื่อเสียงเตือนเข็มขัดนิรภัยดังขึ้น เขาก็จำใจคาดมันไว้อย่างแน่นหนา พลางมองทัศนียภาพสีเข้มที่เปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้าราวกับคนขับรถไม่ได้เหยียบคันเร่งอย่างที่ควรจะเป็น
“ขอโทษนะครับ ผมทำผิดอะไรหรือเปล่า”
เขาหันมองคนข้างกาย แต่ไม่ยอมตอบอะไรสักประโยคเดียวจนเจ้าของรถยนต์คันงามต้องหันมาถามซ้ำอีกครั้ง “ว่าอย่างไรครับ”
“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ พลางมองไปข้างนอกที่มีเพียงตึกเรียนเท่านั้น ภาพสะท้อนคือเขาที่เสแสร้งเฉยเมยกับใครบางคนที่อยู่ในห้วงคะนึงตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา “ไม่ผิด”
“ถ้าคุณจะช่วยแจงเหตุผลของสถานการณ์พวกนี้ ผมยินดีรับฟังมาก ๆ” พฤทธิ์หยิบโทรศัพท์สีดำสนิทยื่นให้เด็กหนุ่ม มันเป็นหน้าจอที่ค้างบทสนทนาร่วมหนึ่งอาทิตย์ไว้ โดยมีใครบางคนเพียรพยายามในการส่งข้อความคล้าย ๆ กันมาร่วมหนึ่งอาทิตย์
“ผมไม่ว่างครับอาจารย์” เขาหลุบตามองหน้าจอโทรศัพท์ของอีกฝ่าย แต่ไม่ยอมรับหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“ผมอยากให้เราคุยกันด้วยเหตุผล” พฤทธิ์เงียบ เขาทอดสายตาไปข้างหน้า จากไฟเขียวเป็นไฟแดง “แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อม ผมเองก็ยินดีรอ”
ไฟแดงข้างหน้าเจิดจ้าในขณะที่นาฬิกานับถอยหลังจวนเจียนใกล้เปลี่ยนสัญญาณ เสียงของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น มันเจือด้วยความไม่แน่ใจ หวาดกลัว แต่ก็ดื้อดึงในที “เมื่ออาทิตย์ก่อน..”
“ครับ” พฤทธิ์เหยียบคันเร่ง จุดหมายปลายทางของเขาไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก
“ผมเห็นคุณคุยกับอาจารย์ฉลองขวัญ..ที่ร้านของเรา”
“ครับ..คุยกันเฉย ๆ”
“ทำไมหรือครับ”
เด็กหนุ่มหันมองข้างนอกหน้าต่าง ไม่ทันสังเกตว่าเส้นทางนั้นคุ้นเคยเพียงใด
ลานจอดรถยนต์ชั้นใต้ดินสว่างจ้า แต่เงียบจนได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้น และหยุดลงที่ประตูอีกฝั่งพร้อมกับแรงเปิดออกอย่างนุ่มนวล ก่อนเจ้าของรถยนต์คันนี้จะก้มลองมาบอกเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ถึงแล้วครับ”
“คุณกรณ์ประชุมที่นี่หรือครับ” หลงกลืนหยาดน้ำตาลงเมื่อยังไม่ได้รับคำอธิบายที่กระจ่างพอ
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็เชิญลงมานะครับ”
ประตูรถยนต์เปิดค้างไว้นานร่วมห้านาที หลงจึงยอมขยับตัว โดยไม่ลืมหยิบกระเป๋าสัมภาระมาด้วย
“ผมอยากคุยกับคุณแบบที่คนรักกันคุยกัน ไม่ได้อยากคุยเพราะผมเป็นอาจารย์และคุณเป็นศิษย์”
หลงไม่ตอบโต้อะไร เด็กหนุ่มได้แต่เดินตามแผ่นหลังที่เคยแนบชิดอย่างเงียบเชียบ ไปยังสถานที่คุ้นเคย สถานที่แห่งความรู้สึกเร้นหลับที่มีเพียงคุณพฤทธิ์และเขาเคยเยี่ยมเยือน
ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งถึงประตูบานใหญ่ ตัวเลขด้านหน้ายังเหมือนเดิม แต่ให้ความรู้สึกเนิ่นนานราวกับไม่ได้มาที่นี่หลายปี เมื่อประตูเปิดออก ไฟในห้องรับแขกค่อย ๆ ส่องแสงสว่าง “เชิญนั่งครับ”
เขาเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาสีเข้ม มันนุ่มและสบายจนอยากปล่อยตัวให้หลับลงเสียตอนนี้ แต่ผ่านคลายได้ไม่นานหลงก็เกร็งตัวขึ้นมานั่งอีกครั้ง เมื่อเจ้าของห้องวางแก้วน้ำเย็นตรงหน้าแล้วทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ
“ที่บอกว่าคุย ผมหมายถึงคุยกันอย่างไม่มีนัยสำคัญใด ๆ ระหว่างเรื่องส่วนตัว” พฤทธิ์ทอดมองเด็กหนุ่ม แล้วพูดต่อ “ถ้าเพราะเหตุนี้ทำให้คุณเข้าใจผิด ครั้งหน้าผมจะระวังตัวมากกว่าเดิม”
“คุยอะไรกับหรือครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ แต่เมื่อตระหนักได้ว่าเป็นการเสียมารยาท เขาก็เม้มปากแล้วรีบบอกขอโทษโดยไว กระนั้นใครบางคนก็ตอบคำถามราวกับไม่ใช่เรื่องเสียหายด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ผมกับฉลองขวัญเป็นเพื่อนกันมาก่อน เราเลยถามความเป็นอยู่ทั่วไปเฉย ๆ ครับ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วเงียบอีกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างค่อย ๆ ทะลายลง กลายเป็นเศษผงที่เจือจางและทดแทนด้วยความสบายใจอย่างน่าประหลาด
ไม่มีใครพูดอะไร แต่เป็นความเงียบที่ไม่น่าอึดอัด จนกระทั่งใครบางคนขยับเข้ามาใกล้ ท่อนแขนที่ยังสวมเสื้อเชิ้ตอยู่เสียดกันเล็ก ๆ จนได้ยินเสียง กระนั้นระยะที่ประชิดเข้ามาก็ยังลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดอ้อมแขนแข็งแรงก็โอบล้อมเด็กหนุ่มไว้อย่างแน่นหนา “ผมไม่ว่างพอจะคุยกับคนอื่นนะครับ”
“คุณพฤทธิ์” หลงเอ่ยเรียก ขณะกอดตอบ “ผมมีสิทธิ์หวงคุณใช่ไหมครับ”
“ผมเพิ่งทราบว่าคนรักของผมไม่ควรใช้สิทธิ์นี้” พฤทธิ์ผละออกจากหลง แล้วพูดประชิดริมฝีปากของเด็กหนุ่ม มันเสียดสีกันเล็ก ๆ คล้ายใกล้จะหมดความอดทนเต็มที
ในที่สุดทุกอย่างก็มอดไหม้ เหลือเพียงเศษซากกองไว้บนพื้นเย็นจัด มีเพียงความร้อนระอุที่บริเวณไวสัมผัส ประทับประสานกันอย่างดุดัน กอบโกยลมหายใจอย่างถวิลหา ปลายลิ้นกระหวัดพัวพันแนบแน่น พลางเบียดตัวตนเข้าใกล้กันและกันมากขึ้น ก่อนทุกอย่างจะดับลง เป็นเพียงความเฉยเมยที่พวกเขาพยายามมันขึ้นมาใหม่ “ขอโทษนะครับ แต่ผมต้องไปส่งคุณ”
ความร้อนกระจุกอยู่ในอก คล้ายใกล้ปะทุเต็มทน แต่นาฬิกาบอกเวลาว่าใกล้สองทุ่ม กรณ์น่าจะใกล้ออกจากห้องประชุมแล้ว กระนั้นเด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า ความหวามไหวทรมานอยู่ตรงกลางเกินกว่าจะระงับด้วยความเฉยเมยได้ “ไม่ครับ ผมอยากอยู่ที่นี่ คุณอนุญาตผมหรือเปล่า”
พฤทธิ์ถอนหายใจ พลางมองเด็กหนุ่มที่ผมเผ้ากระเซิงจนเสียทรง กระดุมเม็ดบนเสื้อเชิ้ตนิสิตปลดออกจนสาบเสื้อแยกออกจากกัน ภายใต้ร่มผ้านั้น..ความเยาว์วัยปรากฏแก่สายตา ทอดลึกไปยังเนินอกที่แต่งแต้มด้วยจุดเปราะบางของเด็กหนุ่ม
เขาขบกราม มองนาฬิกาที่เดินไปข้างหน้าอย่างไม่สิ้นสุดแล้วมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง สุดท้ายความอดทนเพียงเสี้ยวหนึ่งก็สูญสลาย เหลือเพียงสัญชาติญาณชักพาไปไกลแสนไกล ละทิ้งกาลเวลาไปชั่วขณะ และกระโจนสู่วังวนที่ยากจะเมินเฉย
ฝ่ามืออุ่นสอดเข้ามา สัมผัสโดยไร้อุปสรรค ลากผ่านแผ่นอกไปยังส่วนล่างที่ซุกซ่อนตนเองอย่างเขินอายใต้ร่มผ้า กระนั้นกลับยั่วเย้าจนน่าประหลาดใจ
ไม่มีส่วนใดที่เปลือยเปล่า แต่หลงกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้น “พฤทธิ์”
บนโซฟาหนังเนื้อดีถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่เข้มข้น ทั้งวาบหวามและชวนเขินอายอยากจะหลีกหนี
พฤทธิ์ไม่แตะต้องซอกคอของเด็กหนุ่ม เขาหลีกเลี่ยงบริเวณนอกร่วมผ้าเพราะเกรงว่าจะมีคนสังเกตเห็น ดังนั้นส่วนที่ถูกสัมผัสมากที่สุดจึงกลายเป็นเนินเนื้อเต่งตึงที่ปลายยอดกำลังถูกขบกัดด้วยความรัญจวนอยู่ ขณะเดียวกันปลายนิ้วก็บดขยี้ส่วนเบ่งบานที่อยู่เบื้องล่าง ความผลิตูมปริออกจนสุด ถะถั่งหยดน้ำกระจัดกระจายอย่างน่าละอาย แล้วหลบซ่อนตัวเข้าไปราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น
เด็กหนุ่มหอบหายใจ ดวงตายังชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำและหยาดอารมณ์
“คุณพฤทธิ์” เด็กหนุ่มคล้ายจะสะอื้น แต่หลงรู้ดีว่ามันไม่มีเศษเสี้ยวของความเสียใจเลย
“หลง..ความอดทนของผมที่มีให้คุณไม่ได้มีเรื่อย ๆ นะครับ”
กรณ์ก้าวฉับ ๆ ออกจากห้องประชุมทันที่ที่อาจารย์คนสุดท้ายพูดจบ เขาหลุบมองนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวายใจ เพราะกลัวว่าน้องชายจะรอนานจนสิ้นความอดทน ทว่าเมื่อเขาเดินลงมาชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีโซฟารับรองจำนวนมากก็เห็นหลงนั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนจนต้องนึกโทษตัวเอง
เขาเดินเข้ามาใกล้ ทรุดตัวนั่งข้าง ๆ เด็กหนุ่มที่นอนคอพับคออ่อนแล้วแตะเบา ๆ “หลง”
ดวงตาสีเข้มค่อย ๆ ปรือขึ้น มองเขาอย่างงุนงงสักพัก แล้วขยับปรับเปลี่ยนตัวเองให้พร้อมกลับบ้าน “ขอโทษจริง ๆ พี่ไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
“กินอะไรหรือยัง เดี๋ยวแวะกินที่ตลาดไหม”
หลงพยักหน้าพร้อมหยิบกระเป๋า “ตามใจคุณกรณ์เลยครับ”
กรณ์สงสารน้องชายจับใจ เมื่อดวงตาของหลงฉ่ำด้วยน้ำหยาดน้ำ ทว่าบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเขายิ่งกว่าเด็กหนุ่มก็เห็นจะเป็นนาฬิกาหน้าปัดสีเหลี่ยมสีเข้มที่ประดับข้อมือของใครบางคนอยู่ไม่ไกล กระนั้นอีกฝ่ายกลับยกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านปิดบังตัวตนอยู่ด้านหลังอย่างมิดชิด
นาฬิกาแบบนี้ใคร ๆ ก็มีใส่กันได้..
สวัสดีค่ะ ช่วงเดือนที่ผ่านมาค่อนข้างยุ่ง ๆ เพราะกำลังปรับตัวอยู่ค่ะ ทำให้ไม่มีเวลาและอารมณ์พอจะแต่งนิยายค่ะ พอผ่านมาได้สักพักเริ่มปรับตัวได้แล้วและพอจะสามารถเขียนนิยายต่อด้วยอารมณ์ปกติได้แล้วค่ะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ
Twitter:
https://twitter.com/itselletteFacebook:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE/