ตอนที่ 6
ผมอึ้งแดก ไอ้ตาลุงตุลย์งงแดก ส่วนไอ้นักกล้ามขนาดเท่าหัวผมสองคนกำลังจะไปแดก ผมอ้าปากพะงาบๆ พอเป็นคนที่รู้จักขึ้นมาความรู้สึกผิดบาปผมนี่พุ่งปรี๊ดจนผมชี้ พอไอ้คนที่มันกักตัวผมผละออก ผมรีบวิ่งหน้าตั้งแซงพวกมันไปคว้าข้อมือของคนดวงซวยแล้วรีบพาวิ่งทันที!
“ฮะ เฮ้ย! อะไรเนี่ย” คนที่โดนผมลากตะโกนเสียงหลงขึ้นมา พอไอ้นักกล้ามสองคนนั้นเห็นผมวิ่งหนี มันก็คงเดาได้แล้วว่าเรื่องที่ผมพูดไปเป็นเรื่องโกหก ทั้งมันทั้งผมใส่เกียร์หมาแทบจะเห็นขาที่วิ่งเป็นวงกลม ฝุ่นตลบ หัวที่ต่างคนต่างเซ็ตมาตั้งชี้ฟูโดยไม่ต้องพึ่งฟีโน่มาก่อนหน้านี้!
“อย่าเพิ่งถาม วิ่งก่อน!”
“นี่มันเรื่องอะไรอีกวะเนี่ย นายหาเรื่องซวยให้ฉันอีกแล้วใช่ไหม!” เสียงเข้มของคนที่วิ่งตามแรงลากของผมถูกกดต่ำจนผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ แต่ไอ้นักกล้ามที่วิ่งตามมาเหมือนจะกระโจนมาเหยียบผมนั่นน่ากลัวกว่าจึงยังต้องหนีก่อน
วิ่งไป พูดไปมันเหนื่อยเว๊ย! วิ่งก่อน ตอบทีหลัง
“ไอ้เหี้ยเอสสส มึง! คิดว่าจะหนีกูพ้นหรอ!” ไอ้กล้ามปูแฟนน้ำตาลตะโกนกวดอยู่ด้านหลัง
ไม่พ้น ก็ต้องพ้นแหละงานนี้ มหา’ลัยก็ยังไม่ได้เรียน แต่งงานก็ยังไม่ได้แต่ง ยังไม่มีลูก ยังไม่มีหลาน ยังไม่มีเหลน กูจะไม่ยอมตายเด็ดขาดดดด~ อ่านปากน้องเอสนะคะ ไม่-เด็ด-ขาด!
ผมหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พวกมัน พอเห็นสายตาที่ไฟลุกโชน เพิ่มความเร็วจนแทบจะกระโดดกอดคอได้ ผมก็รู้ตัวว่าคิดผิดแท้ๆ ที่ไปยังกวนตีนใส่พวกมันอีก โอ๊ยย ไอ้ตัวกระผมก็ไม่ออกกำลังกายเข้าฟิตเนสบ่อย ไม่กินเวย์เป็นอาหารหลักด้วยจะเอาอะไรไปสู้กับพวกม๊านน ไอ้พวกนั่นกำลังจะเข้าสู่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วครับ ส่วนผมกำลังจะถอยหลังลงเหลือ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล๊วววว
“นายหางานให้ฉันอีกแล้วสินะ...” ไอ้คนที่วิ่งตามแรงลากผมก็พูดเสียงเซ็งเหมือนไม่ทุกข์หนาวทุกข์ร้อนอะไร
“ก็แบบ แฮ่กๆๆ กลัวพี่ชาย แฮ่กๆ ว่างไงครับ”
“...” เขาเงียบ หันไปมองไอ้กล้ามปูสองคนที่ตามหลังมาแล้วถอนหายใจ “ไม่ได้วัดนิดเข้าวัดหน่อยทำไมถึงได้มีเจ้ากรรมนายเวรมาจองล้างจองผลาญขนาดนี้” ว่าแล้วจากฝีเท้าที่เหมือนจะวิ่งเหยาะตามผมก็เร่งสปีดมากขึ้นจนกลายเป็นผมเองที่ถูกลากซะงั้น
เราทั้งสี่วิ่งไล่จับกันอยู่สักพักใหญ่ จนรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลโทรมไปทั่วร่างกับความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อที่ปวดตุ๊บร้องประท้วง ผมชักจะเหนื่อย คิดว่าปล่อยให้พวกมันต่อยซะให้พอแล้วไปพักฟื้นต่อที่โรงพยาบาลน่าจะดี แต่ไอ้คนที่ (เปลี่ยนมา) ลากผมดูเหมือนจะไม่ยอมตายใต้ดงตีน ก็เลยยังวิ่งหน้าตั้งอยู่เหมือนเดิม
แหม ว่าแล้วก็นึกถึงตอนแรกที่เจอกันเลย ฝีเท้านี่เร็วแบบนี้แหละ ถามจริง ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นโจรปะหรืออะไร?
พรึ่บ!
“เหวออ~” ผมร้องเสียงหลงเมื่อคนที่ลากผมเปลี่ยนทิศทางกระทันหัน ทางที่เขาพาผมเข้ามา...อย่าเรียกว่าทางเลย เรียกว่าซอกเถอะ ซอกจริงๆ ครับ เพราะมันเล็กมันจนต้องเบี่ยงข้างวิ่งแบบปูไปในซอกนั้น เล็กแบบอกกับท้องนี่ชิดตึกทั้งคู่อะครับ!
“เหี้ยเอ๊ย! แม่ง เข้าไม่ได้ว่ะ ไปทางนู่นแล้วหาทางไปอีกซอยนึง!” แฟนของน้ำตาลสบถ ก่อนที่จะหันไปสั่งเพื่อนแล้ววิ่งไปอีกทาง ผมยิ้มกระหย่องในใจที่ตัวมันใหญ่เกินกว่าจะเข้ามาในซอกเล็กๆ นี่ได้
“มาเร็วๆ ดิ้” ไอ้คนที่นำผมเร่ง “รีบออกมาแล้วจะได้วิ่งออกไปที่ถนนใหญ่ ทางที่กำลังจะทะลุไปเป็นที่ระหว่างซอยสองซอยไอ้พวกมันคงหัวหมุนหาไม่เจอไปสักพัก
“รู้ที่รู้ทางโคตรดีเลยพี่”
“ก็นี่มันทางลัดที่ฉันไปที่ทำงานทุกวัน ไม่รู้สิบ้าแล้ว!” หลังจากที่หลุดออกมาจากซอกตึกได้พวกเราก็พากันวิ่งต่อไปจนถึงถนนใหญ่ ระหว่างทางวิ่งผมแอบเห็นแฟนน้ำตาลกับเพื่อนผ่านซอกอาคารพาณิชย์ด้วย ท่าทางมันคงเอาจริงแล้วไม่จบแค่นี้
ซวยอะไรของกูเนี่ย ไปจีบคนมีแฟนไม่พอ เสือกมีแฟนเป็นเดอะฮัคอีก!
“เวรเอ๊ย เข้างานสายจนได้” หลังจากที่พักหอบหายใจอยู่ตามฟุตบาทข้างถนนใหญ่ ตาแก่ตุลย์ก็บ่นขึ้นมาทันที
“ถึงจะไม่สายแต่พี่ชายไปทำงานสภาพนี้ไม่ได้หรอก คือมันเหี้ยมากอะครับ” ผมมองตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดปลายนิ้วเท้า สภาพพี่แกแบบเสื้อเชิ้ตที่ใส่มาคือชุ่มเหงื่อไปหมด สูทที่พาดไว้ที่แขนก่อนหน้านี้ก็เปรอะสีขาวๆ จากการที่ต้องเดินผ่านช่องแคบเมื่อครู่ สภาพหน้า สภาพผมคือพังยับ ไม่ต่างกับผมเช่นกัน
“มันใช่ความผิดฉันไหมละ?”
ชะอุ้ย
ผมก้มหน้า
“แบบว่า...ผมไม่ตั้งใจอะ ไม่คิดว่าจะเป็นพี่ชาย...” หูตูบ คอตก หางร่วง
“เฮ้อ ช่างมัน มันก็เป็นแบบนี้แล้ว ดีนะเพิ่งปิดรอบวางแผน เลยไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่ เดี๋ยวโทรลาหยุดเอาก็ได้” คนที่อายุมากกว่าพูดเสียงห้วนระคนเซ็งนิดๆ กับสถานการณ์ที่เจอ นั่นยิ่งทำให้ผมต้องรู้สึกผิดกว่าเดิม
คือถ้าผมไม่รีบคว้าตัวเขาวิ่งให้เร็วกว่านี้ ก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แหละครับ ไม่เขาคนเดียวก็ผมด้วยได้นอนตายอยู่แทบเท้าไอ้พวกนั้นแล้ว
“ขอโทษนะครับ” ผมพูดเสียงอ่อน
“จะบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่ได้ เพราะมันเป็น แต่ช่างมันเถอะ ยังไงฉันก็ตั้งใจจะมาหานายอยู่แล้ว ถึงจะเจอกันในสถานการณ์ที่แบบเกินคาดไปหน่อยก็เถอะ แล้วนี่นายได้เอาของมาคืนไหม?”
“เอามา” ผมพยักหน้า เมื่อวานก่อนกลับบ้านไอ้ปัน ผมนัดเจอเขาเอาไว้หลังเลิกงานที่เซเว่นตั้งใจจะเอากางเกงกับเงินค่าแท็กซี่ไปคืน “แต่...ของมันอยู่ในล็อคเกอร์ที่เซเว่นอะดิพี่ชาย” ผมพูดอู้อี้ไม่เต็มคำสักเท่าไหร่
“แล้ว?”
“ไอ้พวกนั้นต้องไปดักรอผมอยู่ที่เซเว่นแน่เลยอะ ไม่กล้ากลับไปทำงานต่อ”
“โอ๊ย ให้ตาย แล้วนี่คราวนี้อะไรอีกละ ถึงเกือบได้โดนต่อยเอาแบบนั้น”
“คือเขาหาว่าผมจีบแฟนเขาอะ แต่ผมไม่รู้ไงว่ามีแฟนแล้ว ถ้ารู้ว่ามีผมจะจีบไหมละ”
“...ปัญหาบ้าบอชะมัด” เขาพูดน้ำเสียงระอา “แต่ก็เป็นปัญหาที่วัยรุ่นโดนฆ่าบ่อยละนะ”
“นี่ไม่ได้ขู่ชะ?”
“ขู่อะไร? แล้วจะเอาไงถ้างั้น”
“พี่ชายจะไปไหนต่ออะ เห็นบอกว่าจะลางาน”
“ก็กลับบ้านดิ”
“กลับด้วยดิ”
“ก็กลับบ้านตัวเองดิ”
“เออจริง งั้นแยกย้ายกันกลับบ้าน แล้วพอพวกมันไปแล้ว ผมจะเอาของจากล็อคเกอร์แล้วเอาไปคืนให้แล้วกัน”
“อือ”
พอตกลงกันได้แล้วเราต่างคนต่างก็แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน ผมเลือกใช้ทางที่ผ่านเซเว่นที่ผมทำงานในทางกลับบ้านก่อนจะเห็นว่าไอ้นักกล้ามคนนึงอยู่แถวๆ หน้าเซเว่น ส่วนอีกคนก็น่าจะอยู่ด้านหลังตามที่ผมคาด ถอนหายใจอยู่บนรถเมล์อย่างเหนื่อยหน่ายกับปัญหาบ้าบอจุบจิบที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอ
ผมจ่ายเงินให้กับมอไซค์ที่ต่อเข้ามาถึงหน้าบ้านของไอ้ปัน แต่บ้านของมันปิดเงียบเชียบจนผมใจไม่ดี พอเลื่อนสายตามองไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านก็เห็นว่าถูกล็อคเอาไว้เป็นการบ่งบอกชัดเจนว่าคนในบ้านไม่อยู่สักคน จะโทรหาไอ้ปันก็ไม่ได้เพราะมือถือผมก็อยู่ในล็อคเกอร์ที่เซเว่นด้วย
ไปไหนของมึงเนี่ยยย เก้าโมงเช้า ยังเวลานอนของมึงอยู่ไม่ใช่หรือไงไอ้ฝัด!
ผมเท้าเอว
“เอาไงดีวะ...” ผมพึมพำกับตัวเองเสียงเบา จะรอหน้าบ้านอยู่แบบนี้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะมา กว่าจะไปที่ร้านหมูกระทะเฮียเปียวก็ห้าโมงเย็น กลับไปทำงานต่อก็ไม่ได้ จะไปเดินห้างฯ ฆ่าเวลาลูกเหรียญที่ผมแบ่งใส่ในกระเป๋ากางเกงไว้ก็ไม่พอค่ารถ
“อื้ม...”
ผมเงยหน้ามองป้ายเลขห้อง ‘B8002’ อีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ลังเลเท่าไหร่ เพราะมาพึ่งใบบุญล้วนๆ เลยจัด เคาะประตูห้าครั้งซ้อน
แอ๊ด...
“นาย..”
“แหะๆ ขอแวะมาอยู่ห้องนี้แป๊บนึงก่อนถึงเวลางานตอนห้าโมงเย็นได้เปล่าคร๊าบบ” ผมส่งสายตาปริบๆ เหมือนลูกหมาหลงทาง แววตาเว้าวอนชนิดที่ว่าไม่ช่วยเหลือนี่ ผมจะสาปแช่งและโพสลงเฟสบุ๊คประจาน
“เข้ามาสิ” แต่คุณเจ้าของห้องสุดหล่อ (สรรพนามเปลี่ยนไปตามการใช้สอย) ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง “ตอนนี้ที่หนึ่งไม่อยู่หรอก อยู่โรงเรียน มีแต่ตอนต้นกับฉัน”
“อ๋อครับ” ผมเดินเข้าไปข้างในห้องที่จะบอกว่าคุ้นเคยแล้วก็ไม่เชิง พอไม่มีไอ้เด็กที่หนึ่งให้ทะเลาะด้วย ผมก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก เลือกที่จะนั่งนิ่งๆ อยู่บนโซฟา ดูสารคดีสัตว์โลกที่เจ้าของเปิดทิ้งเอาไว้ แต่ผมก็ลืมไงว่าห้องนี้มันมีเด็ก! มันเงียบได้ไม่นานครับ สักพักเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นมาจนผมสะดุ้ง ก้มหน้ามองตามเสียงนั่นก่อนจะเห็นว่าไอ้เด็กตอนต้นมันนั่งมองหน้าผมอยู่ที่พื้นแล้วร้องไห้เสียงดัง
อะไรของเมิงงงง!
“พี่ชาย ไอ้เด็กนี่มันร้องทำไมเนี่ยยย” ผมแหกปากบอกคนที่ทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัวซ้ำยังชี้นิ้วฟ้องตัวผู้ร้ายเสร็จสรรพ
“ไม่มีอะไรหรอก หิวเฉยๆ ช่วยเล่นกับตอนต้นหน่อยสิ ฉันกำลังทำอาหารให้อยู่”
“เล่นกับไอ้เด็กอ้วนนี่เนี่ยนะ!” ผมชี้ พอหันไปหามันก็เห็นว่ามันหยุดร้องแล้วทำหน้าเอ๋อๆ ตาแดงๆ ใส่ผมแทน แล้วตัวมันก็เอนไปเอนมาเหมือนพวกทรงตัวไม่ได้ ไอ้นี่ ชาติที่แล้วเกิดเป็นตุ๊กตาล้มลุกไง อยู่นิ่งๆ! ดิ๊
“ก็แค่อุ้ม มันยากตรงไหนเนี่ย” แหม ไอ้คุณพ่อตุลย์ ตรงอุ้มเนี่ยแหละที่แม่งยาก จะไปรู้ไหมว่ากระดูกอะไรต่อกับอะไรแล้วหรือยัง เสือกจับไปคอหักกูทำไงอะ!
“ผมไม่เคยอุ้มเด็ก!”
“ก็ลองอุ้มดูสิ”
“แล้วถ้ามันตายอะ”
“นายก็จะตายตามลูกฉันไง”
“ไม่อ๊าวววว โน ไม่! ผมจะไม่แตะต้องไอ้เด็กอ้วนนี่เด็ดขาด” ผมพูดเสียงหนักแน่นดึงขาทั้งสองข้างขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟา แต่! มันครับ ไอ้เด็กอ้วนนั่นมันลุกเว้ยเฮ้ย มันยึดกับเบาะโซฟาครับแล้วก็ยืนขึ้น ดูเหมือนว่าแค่อยู่ในวัยแค่ยืนได้ เลยแค่ยืนจ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น
ไม่ต้องมองกูเลย กูเกลียดมึง รอมึงโตก่อนอายุ 14 แล้วกูจะมาเล่นด้วย!
“พี่ชายเมื่อไหร่จะทำเสร็จเนี่ย ลูกพี่น่ากลัวมากอะ”
“น่ากลัวอะไร นั่นลูกคนไม่ใช่ลูกเอเลี่ยนสักหน่อย” เจ้าของห้องพูดเสียงดุใส่ผม เสียงอะไรบางอย่างลงไปในกระทะที่ร้อนจัดดังฉู่ฉี่ และกลิ่นหอมๆ ของไข่ก็ลอยมาจนผมเผลอกลืนน้ำลาย “ถ้านายไม่กล้าอุ้มตอนต้นก็ดูเอาไว้ อย่าให้ล้ม อย่าให้สะดุด อย่าให้เผลอกลืนอะไรลงไปเข้าใจไหม?”
“แค่ดูมันก็พอใช่ไหม?”
“อือ”
“ก็พอได้” ว่าเสร็จผมก็ใช้สายตาจับจ้องตรงไปที่มัน จ้อง จ้องและจ้องชนิดที่ว่าไม่ให้ขาดตกบกพร่งต่อหน้าที่
...
ชิบหาย ตาแห้ง
“ตอนต้นข้าวเช้ามาแล้วลูก” ไอ้คุณพ่อตุลย์เดินถือถ้วยขนาดกลางเข้ามาหาลูกชายคนเล็กที่ยังยืนจ้องผมอยู่ คนเป็นพ่ออุ้มเจ้าตัวอ้วนนั่นใส่เก้าอี้ทานข้าวขนาดย่อมเยาว์ที่ยกติดมือมาด้วย แล้วเอาถ้วยวางไว้ตรงหน้า
กลิ่นหอมๆ ของไข่กวนใส่ชีส แฮมและเห็ดไม่ได้อยู่ในความสนใจของเด็กอ้วนตอนต้นนั่นเท่าไหร่ แต่อยู่ในความสนใจของผมทีไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าแบบเต็มๆ แอบสูดฟุดฟิดหวังให้กลิ่นหอมๆ ของมันเข้าอยู่ในกระเพาะของผมบ้าง
ผมนั่งมองคุณพ่อตุลย์ป้อนข้าวลูกชายคนเล็กอยู่เงียบๆ อยู่บนโซฟาพลางกลืนน้ำลายลงคอ เวลาเห็นไอ้เด็กนั่นเบี่ยงหน้าเล่นตัวไม่กินก็อยากจะกระโจนงับช้อนนั้นแทน
กูอยากกินครับ กูอยากกิน ฮืออออ
ครืด...
ผมได้ยินเสียงบางอย่างจากท้องของผม พอเสียงมาปุ๊บ อาการบิดมวนของผมก็มาได้ ความหิวที่มีอยู่เดิมเพิ่มดีกรีขึ้นอย่างหนักจนรู้ตัวอีกทีผมก็ลงจากโซฟานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เก้าอี้ทานข้าวของไอ้เด็กอ้วนตอนต้นไปแล้ว
“อะไร?” ไอ้คุณพ่อพอเห็นผมก็ขมวดคิ้วใส่ มือที่กำลังจะป้อนไข่กวนก็เป็นอันชะงักไปด้วย
“คุณพ่อครับ” ผมทำตาปริบๆ ที่เคยใช้มานับครั้งไม่ถ้วน “ขอกินบ้างดิคร๊าบบ” ผมทำปากสั่นอย่างเว้าวอนที่สุด หวังให้คุณเจ้าของห้องสุดหล่อเห็นใจผมอีกสักครั้งแล้วตักไข่กวนนั้นเข้าปากผมที
“ไม่”
เพล้ง! ใจสลาย
“ผมหิวอะะะะะ!”
“โน่น เข้าครัวไปทำเอง” อีกฝ่ายไล่ ไม่สนใจท่าทางที่กำลังจะลงไปดิ้นอยู่บนพื้นของผม ส่ายหัวอย่างระอา พลางป้อนข้าวตอนต้นไปด้วย ไอ้เด็กนั่นตอนแรกๆ ก็เล่นตัวครับ กินบ้างไม่กินบ้าง พอเห็นกูอยากกินบ้าง แดกแม่งทุกคำเลยนะมึง!
“กระผมทำเป็นแต่ไข่ดาวที่ไหม้เกรียม กับไข่เจียวที่ออกมาเป็นสีดำสนิท กระผมเองก็ยังอายุน้อย มันสมควรแล้วหรอครับที่จะให้เชื้อมะเร็งมาเข้าร่างของกระผมตอนนี้ ฮึก” ผมทำเสียงสะอื้นแถมให้ด้วยตอนท้ายเพื่อให้ดูน่าสงสาร
“ฉันซื้อไข่ไว้เยอะ ใช้ทำได้เต็มที่ ทำสักร้อยครั้งเดี๋ยวก็ออกมากินได้เองแหละ”
อื้อหือ หวงฝีมือไว้ให้เมียไง๊!?
“วันนี้ผมคงมีแววอดตาย ผมทำอาหารได้โหลยโท่ย เผลอๆ อาจทำครัวพัง ห้องนี้ไหม้ จนต้องหนีหัวซุกหัวซุน หรือไม่ผมก็ทำจานแตก ทำไข่ที่พี่ชายซื้อตุนไว้หมดเกลี้ยง จนลูกพี่ชายไม่มีอะไรจะกิน ต้องหิวท้องไส้กิ่ว หรือไม่ผมก็...”
“จะให้กินคำนึงแล้วหุบปากซะ เดี๋ยวป้อนข้าวตอนต้นเสร็จ จะทำให้กิน” อาจเพราะความรำคาญผมที่ชักแม่น้ำทั้งห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบสายเลยสรุปตัดปัญหา ผมนี่ยิ้มแก้มแทบแยก ด้วยความดีใจไปกับกระเพาะอาหารกระโจมโถมตัวใส่ไอ้คุณพ่อตุลย์เต็มแรงจนเซ ไข่กวนที่อยู่ในช้อนเกือบจะหกลงกับพื้น “ไอ้นี่!”
“ง่า อย่าดุเขา” ผมผละออกมาช้าๆ แล้วยิ้มแผ่อารมณ์ดี
“ไปเอาช้อนมา กินช้อนเดียวกับเด็กไม่ได้”
“ครับๆ” ผมเดินเข้าไปในครัว มองหาช้อน พอเห็นแล้วก็รีบหยิบแล้ววิ่งกลับมาที่เดิม “อะ ช้อน” ไอ้คุณพ่อตุลย์รับช้อนจากมือผม ตักไข่กวนในถ้วยขนาดกลางเล็กน้อยก่อนจะมาจ่อให้ที่ตรงปาก
“ไม่มีแบบ ไอ้นั่นบ้างหรอ แบบ เครื่องบินมาแล้วว~”
“คิดว่าตัวเองกี่ขวบ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วตีหน้ายุ่งใส่
“ก็อยากย้อนวัยอะไรบ้างเฉยๆ” ผมหัวเราะร่วน อ้าปากงับไข่กวนที่ถูกยื่นมาจ่อให้ตรงหน้า
“ได้กินแล้วก็ไปนั่งรอนิ่งๆ ไป”
“อะเค อย่าลืมทำอะไรให้ผมกินด้วยนะ จะอยู่นิ่งๆ แล้ว
ไม่ดื้อ~”
หลังจากที่ป้อนข้าวเช้าให้ไอ้เด็กอ้วนตอนต้นเสร็จ ผมก็ต้องมานั่งจับตาดูมันต่อบนโซฟา ตามคำสั่งของไอ้คุณพ่อตุลย์ที่กำลังเข้าครัวไปอีกรอบ ไม่นานนักกลิ่นหอมของๆ ไข่กวนก็ลอยมาปะทะจมูกพร้อมกับถ้วยไข่ขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายถือมา
“เอาโต๊ะญี่ปุ่นข้างทีวีอะ กางเข้า แล้วก็ไปเอาข้าวสวยที่อยู่ที่เคาเตอร์มาด้วย”
“ครับๆ” ผมรีบกุลีกุจอทำตามคำสั่งพวกนั้นอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ผมวางจานข้าวเปล่าทั้งสองแล้วก็รีบนั่งเตรียมพร้อมกับการกินมื้อเช้า แต่ขณะที่ผมกำลังจะตักคำแรกเข้าปากแขนของผมก็ถูกมือมารเล็กป้อมๆ คว้าเอาไว้ ผมเลื่อนสายตาไปมองมันแล้วส่งสายตาเชือดเฉือนดัง ‘ชิ้ง’ ไปเฉือดคอมัน
คือมึงอิ่มแล้วไง แต่กูยังไง อย่ามากวน เดี๋ยวก็เตะโด่งออกไปนอกห้องเลยนี่! สายโหดนะเว๊ย!
“ตอนต้นมาหาพ่อนี่มา” ไอ้เด็กนั่นหันมองตามเสียงของคุณพ่อตุลย์ ท่าทางลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมคลานเต๊าะแต๊ะกลับไปอยู่ในอ้อมแขนของพ่อ และนั่นก็ทำให้ผมกับคนอีกคนได้เริ่มกินข้าวกันสักที
“10 โมง...” ขณะที่ผมกำลังจะตักคำที่สองใส่ปาก สายตาเหลือบเห็นนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างฝา เวลาที่บ่งชี้อยู่นั่นทำให้ผมชะงักเหมือนตั้งนาฬิกาเตือนในตัวเองเอาไว้
10 โมง...
“เฮ้ย!” ผมร้อง
“อะไรอีก? นายนี่วุ่นวายจริง”
“ขอยืมคอมหน่อยฯ! มือถือก็ได้ อะไรก็ได้ที่ต่อเน็ตได้อะ!” ผมลุกขึ้นพรวดยืนทันทีด้วยความตื่นเต้นเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผมเฝ้ารอมาหลายต่อหลายวัน! “วันนี้ประกาศผลแอดมิชชั่น!”
“อา ถ้างั้นเอามือถือฉันก็ได้ วางไว้แถวๆ โซฟาแหละหาดู” สิ้นคำผมก็พลิกตัวหามือถือที่ว่านั่นทันที ไม่ช้าไม่นานผมก็เจอกับโทรศัพท์เครื่องหรู แต่การตื่นเต้นที่ได้จับไอโฟนตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสารบบความคิดของผมเลยแม้แต่น้อย รีบกดๆ จิ้มๆ จึ้กๆ เข้าดูผลประกาศแอดมิชชั่นอย่างรวดเร็ว
จะได้เรียนต่อ หรือจบสิ้นนั่งทำงานแล้วรอแอดปีหน้า!
ตึกตัก...
ตื่นเต้นกว่าตอนขอคบกับแฟนคนแรกอีก!
‘นาย อชิร โรจนรัตติกร’
ผมเลื่อนลงช้าๆ มาที่มหาวิทยาลัย...
“เยท!!” ผมร้องดังลั่นห้อง จนคนที่กำลังกินข้าวไปหยอกล้อกับลูกไปสะดุ้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจเลยสักนิด ก้มมองดูมือถืออีกรอบอ่านชื่อของตัวเองและมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ผมทำได้! พ่อ แม่! ผมทำได้! ผมได้เข้ามหาวิทยาลัยที่เลือกเอาไว้อันดับหนึ่ง!
มหาวิทยาลัยsss คณะพาณิชย์และบัญชี สาขา การเงิน โอ๊ย เหมือนได้กลิ่นเงิน เงิน เงิน เงิน! ของชอบของผมเอง~ อยากกรี๊ดครับ อยากกรี๊ดงานนี้ อยากสวมวิญญาณกระเทยแล้วกรี๊ดให้สมกับความดีใจ ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ตั้งใจไว้เลยนะเว๊ย น่าดีใจปะ ดีใจกับผมหน่อยสิครับ ฮิ้วววววววววววววววววว!!
ผมยิ้มหน้าบานไม่หุบ กดจิ้มตึ๊กๆ ที่ไอโฟนเครื่องหรูนั่นอีกหลายต่อหลายครั้ง รีบหาข้อมูล วันสัมภาษณ์ วันจองหอ วันเข้าหอ และนู่นนี่เสร็จสรรพ ผมศึกษามาแล้วครับโชคดีที่คณะนี้ของมหาวิทยาลัยนี้ค่าเทอมไม่ได้แพงสักเท่าไหร่ ผมก็เลยโล่งใจไปหน่อย
‘ภาระค่าใช้จ่ายของคณะพาณิชย์และบัญชี มหาวิทยาลัยsss’
พอเห็นหัวข้อผมก็ไม่รอช้าคลิกเข้าไปดูทันที เลื่อนดูหาสาขาของตัวเองก่อนจะยืนอ่านมันด้วยหัวใจที่เป็นสุข มีที่เรียนแล้วเว๊ย เป็นเด็กมหาวิทยาลัยแล้วเว๊ย! อนาคตอันลุกโลด ตั้งใจเรียนอีกสี่ปี ก็ไม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตแบบนี้แล้ว!
‘ถ้าเป็นหอสวัสดิการ จะมีให้ชำระ 6 เดือนกับ 1 ปี แต่ต้องจ่ายล่วงหน้า มีห้องพัดลม ห้องแอร์ และการ์เด้น เงินที่เสียส่วนนี้จะประมาณ 20,000- 30,000 โดยประมาณแล้วแต่ห้อง แต่ถ้าเป็นหอใน เดือนละ 300 เลือกได้ชำระ 6 เดือนหรือเป็นปี’
แน่นอนอย่างผม วิถีคนจริง หอในอยู่แล้วครับ ก็ 1,800 บาทละนะ แต่ค่านี้ผมดูมานานแล้ว
‘ค่าเทอมจะอยู่ที่ 18,000 บาทชำระในวันรายงานตัว พอเปิดเทอมก็อาจจะมีค่าเก็บนิดหน่อยครับสัพเพเรหะของกิจกรรมและแต่ทางคณะก็จะประมาณอยู่ 500 บาท’
ค่าเทอม 18,000 อื้ม...
...
ค่าเทอม 18,000!