สูตรที่ 5
Thai Tea Lava Cake
: เนยจืด/แป้งสาลี/ไข่ไก่/ไข่แดง/น้ำตาล/นมข้นจืด/ใบชาไทย : เวลายามเที่ยงวันที่แดดร้อนระอุแทบจะเผาไหม้ให้ร่างกายของคนเรากลายเป็นของเหลว อากาศแบบนี่ควรจะนอนอยู่บ้านเปิดแอร์ช่ำๆ แต่กลับโดนพี่ชายตัวดีลากออกมาเพื่อจะไปห้างสรรพสินค้าเพราะอยากกินฟูจิและดูหนังเข้าใหม่ ผมแทบจะว้ากใส่เขาให้คอแตกเพราะโดนปลุกตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพื่ออะไรเนี่ย!
พี่ทาร์ตกลายเป็นสารถีไปโดยปริยายเพราะผมไม่ยอมขับรถเอง อ้างว่าง่วงบ้างล่ะ ไม่สบายตัวบ้างล่ะ แต่จริงๆ แล้วคือขี้เกียจ เขาไม่ได้ว่าอะไรกลับมาสักคำและยอมแต่โดยดีไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่ได้แกล้งกันเลย
"ต้องลงอุโมงค์ปะวะ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังผ่านอุโมงค์หน้าเทสโก้โลตัสไป ผมรีบส่ายหัวทันทีเพราะถ้าเราลงอุโมงค์หน้าโรงพยาบาลสิริโรจน์จะไปโผล่เกือบแถวๆ ตลาดนัดนาคาซึ่งมันจะเลยจุดหมายของเราซึ่งเป็นห้างเซ็นทรัล
"ไม่ๆ ชิดซ้ายเลยพี่ ค่อยไปยูเทิร์น"
ผมตอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตีนผีอย่างพี่ทาร์ตจะพารถลอดอุโมงค์ไปซะก่อน ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้คนไม่ชำนาญเส้นทางจะเหยียบซะมิดไมล์ แอบใจหายใจคว่ำอยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้บ่นอะไรออกไป ก็เราเป็นคนให้เขาขับเองนี่ ความผิดตัวเองล้วนๆ ไหมล่ะ
"อืม พี่ให้จองตั๋วหนังล้วงหน้าไว้ ปูนจองหรือยัง"
พี่ทาร์ตเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยขณะที่รอยูเทิร์นรถ ผมเบะปากลงก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ แล้วเปิดแอพพลิเคชั่นจองตั๋วหนังล่วงหน้าให้เขาดูเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง บังคับคนอื่นมาเป็นเพื่อนไม่พอยังจะเลือกเรื่องผีอีก ถามความสมัครใจกันสักคำก็ไม่มี ไม่ได้กลัวนะ แต่ไม่ค่อยชอบแนวนี้สักเท่าไหร่
"จองแล้วน่า กลัวผมเบี้ยวหรือไง"
ผมบุ้ยปากใส่เขาไปเพราะก่อนหน้านี้เถียงกันเรื่องดูหนังไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็แพ้เนื่องจากพี่ทาร์ตจะเลี้ยงฟูจิ จะบอกว่าเห็นแก่กินก็เอาเถอะ ยอมรับ ก็เงินรายอาทิตย์จากแม่มันใกล้จะหมดพอดี...
"แค่ถามไง ดูทำปากเป็ดใส่พี่ดิ"
พี่ทาร์ตเอามือมาป้ายปากกันก่อนจะยูเทิร์นรถเข้าห้างสรรพสินค้า ปล่อยให้ผมยกมือขึ้นเช็ดเป็นพัลวัน ไม่รู้เอาไปจับอะไรมาบ้าง สกปรกว่ะ!
"เล่นไรเนี่ย มือโคตรเค็มเลย"
ผมโวยเสียงดังลั่นรถแล้วเบ้ปากใส่เขาอีกรอบ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนน่าหมั่นไส้ ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ
"ลืมล้างมือว่ะ ก่อนออกจากบ้านเพิ่งเข้าห้องน้ำไป"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ กลับมาให้กัน ผมรู้ทั้งรู่ว่าเขาแกล้งแต่มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้เลยกำหมัดต่อยต้นแขนเขาไปเต็มแรง และมันส่งผลให้เขาร้องลั่นจนเกินจริง สำออยว่ะ
"โอย เจ็บ จริงจังไปได้วะ พี่แค่ล้อเล่นเอง"
พี่ทาร์ตหันมาทำหน้าเหยเกใส่กันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ผมเหล่มองเขาและไหวไหล่อย่างไม่แคร์
"ไม่รู้ไม่ชี้ รีบหาที่จอดรถเถอะครับ"
วันธรรมดาแบบนี้ผู้คนจะเบาบางกว่าวันหยุดปลายอาทิตย์ ผมกับพี่ทาร์ตเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยความหิวโหย ไม่ได้กินข้าวเช้าก็แบบนี้ล่ะ แม่ออกไปตั้งแต่เช้าส่วนแม่บ้านก็หยุด คนทำอาหารเป็นมันก็อิดออด เดี๋ยวจะถล่มให้หมดเนื้อหมดตัวเลยคอยดูเถอะ
"กินอะไรดี"
คำถามลอยๆ จากปากพี่ทาร์ตดังขึ้นในขณะที่ต่างคนต่างก้มลงอ่านเมนูอาหาร อยากกินซาซิมิ แต่อีกคนน่าจะไม่ชอบ... จำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาโวยวายเรื่องกินเนื้อสดๆ อยู่บ่อยๆ
"พี่สั่งก่อนเลย ผมขอดูเมนูก่อน"
ผมบอกไปแบบนั้นพี่ทาร์ตก็พยักหน้ารับแล้วเริ่มสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกินไปหลายอย่าง จนสุดท้ายแล้วผมเลือกปิดเมนูลงเพราะไม่แน่ใจว่าจะกินหมดหรือเปล่าในส่วนของคนพี่ ขืนสั่งเพิ่มอาจจะต้องใส่ห่อกลับบ้าน
เรากินอาหารอยู่ร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็มก่อนจะเดินไปที่โรงหนังเพราะใกล้ถึงเวลาที่จองตั๋วไว้แล้ว พี่ทาร์ตจัดการจ่ายเงินทุกอย่างเรียบร้อยโดนที่ผมไม่ต้องหยิบกระเป๋าสตางค์เลยสักครั้ง แถมที่นั่งยังเป็นแบบโซฟาอีกด้วย รู้สึกเป็นคู่รักไปอีก... แอบเพลียว่ะ
"กินป๊อปคอร์นไหม"
อาเสี่ยเฉพาะกิจหันมาถามกันอย่างเอาใจเพราะผมยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ คือไม่ชอบหนังผี ไม่อยากดู... จะนั่งรออยู่ข้างนอกเขาก็ไม่ยอมอีก เฮ้อ
"รสชีส น้ำโค้กด้วย"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะปฏิเสธดูหนังไม่ได้ก็เลยเลือกคล้อยตามและถลุงเงินพี่ทาร์ตไปดีกว่า อีกคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดใจอะไร แถมยังตามใจมากกว่าปกติด้วย... แปลกจนไม่รู้จะแปลกยังไงแต่ก็ขี้เกียจถามหาเหตุผล
"จ้าๆ น้องปูนของพี่"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วผละออกไปต่อแถวซื้อป๊อปคอร์น ปล่อยให้ผมยืนถอนหายใจด้วยความเซ็ง ไอ้คำว่าของพี่ๆ เนี่ย เมื่อไหร่จะเลิกใช้สักที กลัวว่าสักวันมันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาน่ะสิ เป็นของเขาฝ่ายเดียว แต่เขาไม่ได้เป็นของเราประมาณนั้น หมาไปอีก
ผมยืนรอสักพักพี่ทาร์ตก็กลับมาพร้อมป๊อปคอร์นและน้ำโค้กในมือ เขาพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้เข้าไปในโรงหนังได้แล้ว อยากจะอิดออดอยู่หรอกแต่เห็นความกระตือรือร้นของอีกคนก็ทำไม่ลง ทำใจไว้แล้วว่าอีกเดี๋ยวต้องโดนล้อแน่ๆ เรื่องกลัว... เอ้ย ไม่ชอบดูหนังผีเนี่ย
"พี่ทาร์ต..."
ผมกระซิบเสียงเบาเมื่อเรานั่งดูตัวอย่างหนังมาได้สักพัก ภายใต้ความมืดเรายังคงเห็นเงารางๆ ของคนข้างตัวได้ไม่ยากนัก แต่อย่าให้บรรยายสีหน้าเลย โคตรลำบาก
"อะไรครับ"
ถามกลับมาด้วยเสียงเบาไม่แพ้กัน มือหนาจ้วงหยิบป๊อปคอร์นใส่ปากไม่หยุดต่างจากผมที่นั่งจิบน้ำโค้กในมือไปเรื่อย ได้แต่สงสัยว่าซื้อมาให้ใครกินกันแน่
"ทำไมเลือกดูหนังผีวะ หนังบู๊ก็มี"
พยายามใช้น้ำเสียงปกติในการถาม ไม่อยากให้เขาจับพิรุธได้เท่าไหร่ว่าผมกลัว... เออ ยอมรับก็ได้ว่ากลัวผี ดูแล้วมันติดตานอนไม่หลับ เดี๋ยวคืนนี้รู้กันและพี่ทาร์ตต้องรับผิดชอบผลของการบังคับทั้งหมดนี่ด้วย
"ก็... มีปูนมาดูด้วยกันไง"
เขาตอบกลับมาแบบนั้นยิ่งทำให้คนฟังงงเป็นสองเท่า มันเกี่ยวอะไรกับที่ผมมาดูด้วยล่ะ อยู่อเมริกาไม่มีใครไปด้วยหรือไงวะ
"เกี่ยวอะไรกันครับ ผมไม่เห็นจะเข้าใจ"
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ แล้ววางแก้วน้ำลง ตั้งใจจะรอฟังคำตอบจากเขาแต่กลับสะดุ้งเพราะเสียงดนตรีเริ่มต้นของหนังผี ดีนะที่ไม่แหกปากลั่นโรงหลัง ถ้าไม่อย่างนั้นคงโดนไล่ออกไปแน่ๆ
"ดูกับคนอื่นแม่งโคตรเซ็งไง ไม่มีใครอิน เอาแต่งนั่งวิจารณ์หนังอย่างนั้น ต้องจบแบบนี้ บลาๆ พี่เบื่อ แต่ปูนน่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น"
เขาบอกยาวยืดก่อนจะเอื้อมมือมาโยกหัวกันอย่างถือวิสาสะ ไม่รู้จับป๊อปคอร์นแล้วแอบมาเช็ดหรือเปล่าผมเลยสะบัดหน้าหนีแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟา
"แล้วรู้ได้ไงว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นครับ รู้จักกันดีพอเหรอ"
ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนเลย แต่ระยะเวลาที่เราไม่ได้เจอกันมันนานมาก มากจนทำให้นิสัยของคนเราเปลี่ยนไป อยากรู้ว่าเขาเอาอะไรมาเป็นแนวคิดว่าน้องชายคนนี้จะไม่เป็นแบบนั้น ถ้าเกิดผมเป็นพวกชอบวิจารณ์หนังขณะดูจะไม่โดนพี่ทาร์ตเบื่อไปด้วยเหรอวะ แค่คิดก็รู้สึกหัวใจมันลีบๆ แบนๆ ชอบกล
"ก็นั่นสินะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งนาน ปูนอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ความกลัวผีคงไม่เปลี่ยน... มั้ง"
ทิ้งเสียงในปลายประโยคแบบกวนๆ ทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุก ที่แท้พี่ทาร์ตก็จำได้ว่าผมกลัวผีมากแค่ไหน รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ทำกันได้ลง แบบนี้ไม่เรียกว่าแกล้งแล้วจะเรียกว่าอะไรวะ หงุดหงิด
"ฝากไว้ก่อนเถอะพี่ทาร์ต"
ผมบ่นพึมพำในลำคอแล้วหยิบแก้วโค้กขึ้นมาดูดแรงๆ ด้วยความเจ็บใจ เกือบจะเรอแต่ปิดปากไว้ได้ทัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูพ่ายแพ้ไปซะทุกอย่าง เหนื่อยใจจริงๆ
หนังดำเนินไปอย่างลึกลับและระทึกขวัญ ผมถึงกับต้องถอดรองเท้าแล้วนั่งกอดเข่าตัวเองเอาไว้ ฉากไหนที่ผีโผล่ออกมาจะรีบเอาหน้าซุกขาทันที ไอ้คนข้างๆ ก็อินกับหนังจนไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ จะแอบลุกไปฉี่ก็ไม่กล้าอีก ชีวิตหนอชีวิต
"นี่..."
ผมเสี่ยงสะกิดแขนพี่ทาร์ตเพราะเริ่มจะทนปวดฉี่ไม่ไหวแล้ว ไม่รู้โรงหนังจะเปิดแอร์แช่แข็งกันไปถึงไหนก็ไม่รู้ เขาหันมามองกันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"ปวดฉี่"
ผมบอกเสียงแผ่วและพยายามไม่จ้องจอขนาดยักษ์ตรงหน้า พี่ทาร์ตเอียงคอใส่กันเล็กน้อยเหมือนจะงงว่ามาบอกกันทำไม ลุกไปฉี่ก็สิ้นเรื่องอะไรประมาณนั้น
"ก็ลุกไปสิครับ จะอั้นทำไม"
ว่ากันด้วยเสียงดุๆ จนผมได้แต่คอตก ไม่ได้ตั้งใจจะอั้นฉี่ปะวะ น้อยใจได้ไหมล่ะ ก็รู้ทั้งรู้ว่าผมกลัวผี ถ้าทางไปห้องน้ำมันไม่วังเวงล่ะก็ไม่ต้องมานั่งง้อคนอย่างพี่ทาร์ตหรอก
"ไม่... ไม่กล้าไป ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ปะพี่"
ผมพูดเสียงเบาจนแทบกลืนหายไปกับเสียงหนัง แต่พี่ทาร์ตกลับได้ยินซะอย่างนั้น ดูเหมือนจะตั้งใจฟังกันสุดๆ
"เอางั้นเหรอ กลัวจริงๆ เหรอเนี่ย"
ยังมีหน้าจะมาถามย้ำ ควรง้างมือขึ้นตบกบาลสักทีไหมล่ะ
"เออดิ กลัวจริง เร็วๆ ไปด้วยกันหน่อย ฉี่จะแตกแล้ว"
ผมพูดเร็วๆ ก่อนเอื้อมมือไปเขย่าแขนอีกคนก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จะเอามือกุมเป้าก็กลัวคนอื่นมองแปลกๆ
"โอเคๆ ไปครับ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะกันมาคว้าข้อมือให้เดินออกไปพร้อมกัน ในขณะนี้ผมไม่ได้สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นเลยปล่อยให้เขาทำตามใจ
สุดท้ายผมก็สะบัดมือเขาออกและรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำแบบด่วนๆ ไม่น่ากินน้ำโค้กเข้าไปเยอะเลย ทรมานตัวเองฉิบหาย พอได้ปลดปล่อยก็รู้สึกสบายตัวและไม่อยากกลับเข้าไปในโรงหนังอีกแล้ว แต่พี่ทาร์ตยืนรออยู่น่ะสิ
"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกอีกคนที่ยืนพิงกำแพงกดโทรศัพท์เล่นอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กันโดยไม่มีการล้อเลียนใดๆ อย่างที่ควรจะเป็น
"จะกลับเข้าไปอีกไหม"
เขาถามอย่างรู้ทันซึ่งผมได้แต่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ แค่ดูไปครึ่งเรื่องก็เหมือนจะนอนหลับไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์แล้ว ขืนทนดูจนจบอาจจะนอนไม่ได้เป็นเดือน
"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวผมนั่งรอข้างนอก พี่ทาร์ตไปดูให้จบเถอะ"
ผมบอกก่อนจะออกเดินไปตามเส้นทางเก่าเพื่อกลับไปยังโซนโรงหนัง พี่ทาร์ตเดินเคียงข้างกันแบบไหล่เกยไหล่ บางทีก็รู้สึกว่ามันใกล้ชิดเกินไปหรือเปล่านะ
"ขี้เกียจดูแล้วว่ะ ง่วง"
เขาตอบก่อนจะหาวออกมายืนยันคำพูดของตัวเอง ผมว่าไม่จริงหรอกที่เขาจะง่วง ก็เมื่อครู่เห็นนั่งจ้องจอตาไม่กระพริบขนาดนั้น ดูท่าทางก็รู้ว่ากำลังสนุก
"งั้นเหรอครับ"
ผมถามกลับไปแค่นั้นเพราะไม่อยากเซ้าซี้เขามากนัก
"ไปเดินเล่นกันดีกว่า"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วยกแขนขึ้นมาโอบไหล่กัน ผมเหล่มองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ ถ้าเป็นปกติแล้วการใกล้ชิดกันแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่าโคตรน่าอึดอัด แต่ครั้งนี้มันกลับตรงกันข้าม ผิดไหมที่จะบอกว่ารู้สึกดี...
แผนกรองเท้ากีฬาเป็นอะไรที่ดึงดูดความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี เพราะกำลังอยากได้คู่ใหม่ แต่วันนี้ไม่มีเงินมากพอจะซื้อเลยต้องข่มใจทั้งๆ ที่มองตาละห้อย... แม่นะแม่ลืมให้เงินรายอาทิตย์กับผมไปได้ แล้วไอ้เรื่องงบพาพี่ทาร์ตทัวร์ก็ยังเบี้ยว อยากจะร้องไห้วันละสามรอบจริงๆ
"อยากได้รองเท้าใหม่เหรอ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังจะเดินผ่านแผนกขายรองเท้ากีฬาเพื่อจะลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นล่าง ผมหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจว่ารู้ได้ยังไง เผลอแสดงความอยากได้ออกไปขนาดนั้นเลยเหรอวะ
"ก็... อยากได้ครับ แต่ตอนนี้มีเงินไม่พอ"
ผมตอบไปตามความจริงแล้วยิ้มแหยๆ ให้กับเขา ที่บ้านเป็นระบบให้ลูกใช้จ่ายเงินสดโดยไม่อนุญาตให้ใช้บัตรเครดิตเพราะจะเคยตัวเกินไป ทำแบบนี้จะได้รู้จักประมาณตนด้วย บัตรเอทีเอ็มโดนป๋ายึดเพราะเป็นช่วงปิดเทอม... โหดร้ายไหมล่ะ
"พี่ซื้อให้"
"ห๊ะ อะไรนะครับ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตกใจเพราะไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือเปล่า อยู่ๆ จะซื้อของราคาหลายพันให้เนี่ยนะ ไม่ใช่แล้วมั้ง จะเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรใกล้ๆ นี้ก็ไม่มีซะด้วย
"เอ่อ พี่ซื้อให้ก่อนไง ปูนได้เงินจากแม่พลอยเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน"
เขาพูดตะกุกตะกักแล้วเบนสายตาไปมองทางอื่น ท่าทางแปลกๆ จนอยากตั้งคำถามอะไรสักอย่างแต่คิดไม่ออกว่ะ
"อ๋อ ถ้างั้นรบกวนพี่ทาร์ตด้วย"
กลับออกมาจากแผนกด้วยการหิ้วถุงใบโตเพราะบรรจุรองเท้าสองคู่ รุ่นเดียวกันแต่คนละสี คู่หนึ่งของพี่ทาร์ต อีกคู่เป็นของผม ไม่แปลกใจหรอกที่จะซื้อเหมือนกัน ก็มันเป็น New Arrival นี่ ถ้าใส่ไปไหนมาไหนพร้อมกันคงแปลกพิลึก
"พี่ทาร์ตจะไปไหนอีกไหม"
ผมถามในขณะที่เราลงบันไดเลื่อนไปสู่ชั้นล่าง เอาจริงๆ ตอนนี้เริ่มหิวอีกรอบแล้วล่ะ อยากกินขนมหวานๆ อย่างเช่นเค้กอะไรแบบนั้น รู้ว่าพี่ทาร์ตก็ชอบ แต่ขอถามความสมัครใจก่อนแล้วกัน
"อืม... หมายถึงในห้างหรือที่อื่น"
พี่ทาร์ตถามแล้วคว้าถุงรองเท้าจากมือผมไปถือซะเฉยๆ พอทำท่าจะเอากลับก็โดนสายตาดุๆ จ้องมา เอาเป็นว่าเขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปก็แล้วกัน
"ในห้างดิ"
ผมบอกกลับไปแล้วมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ต วันนี้เขาหยิบเอาต่างหูกลมๆ สีดำออกมาใส่ยิ่งเพิ่มความแบดเข้าไปอีก ไหนจะเสื้อเชิ้ตสีดำแหวกอกจนแทบถึงสะดือ ดูๆ ไปก็น่าหมั่นไส้ว่ะ
"อ้อ ขี้เกียจเดินแล้ว ปูนล่ะ"
เขาหันมามองกันแล้วเลิกคิ้วเหมือนกำลังรอคำตอบ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปเสียงเบาและไม่ยอมสบตาเขา อยากกินอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้
"อยากกินเค้ก..."
พูดออกไปเบาจนแทบเหมือนการกระซิบ แต่พี่ทาร์ตก็ได้ยินเหมือนเคย แถมยังทำหน้าครุ่นคิดแปลกๆ อีกด้วย และไม่นานนักเขาก็บอกมันออกมาให้ผมรับรู้
"เค้กเหรอ... อืม เอางี้ เดี๋ยวเราไปเดินท็อปแล้วซื้อวัตถุดิบไปทำเองดีกว่า ที่บ้านมีอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ไหม"
พี่ทาร์ตพูดจบแล้วขยิบตาให้กัน ผมพยักหน้ารับคำของเขาเพราะที่บ้านมีอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ของแม่ รู้ว่าคนข้างๆ ทำขนมเก่งแต่ลืมไปแล้วว่ามันอร่อยแค่ไหน...
"เอางั้นเลยเหรอพี่ แต่ผมกินเป็นอย่างเดียวนะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้เขา พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่กันแล้วยกมือหนาผลักหัวผมเบาๆ ขัดใจหน่อยไม่ได้ทำร้ายร่างกายตลอด
"เออๆ เดี๋ยวจะทำให้กินจนเลี่ยนไปเลย"
ผมลากพี่ทาร์ตไปที่ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ตโซนวัตถุดิบทำเบเกอรี่ เขาหยิบของที่ต้องการด้วยความคล่องแคล่วจนผมที่แอบมองอยู่อดทึ่งไม่ได้
"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเขาเสียงเบาเพราะไม่อยากรบกวนการเลือกซื้อของ แต่ความอยากรู้ก็มีมากเหลือกเกินว่าพี่ทาร์ตจะทำเมนูอะไรให้กิน อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นผู้ชายที่เกือบจะเพอร์เฟค ทำอาหารได้ ทำขนมได้ เรียนเก่ง ฐานะดี นิสัยดีพื้นฐานดี ดูแลคนอื่นได้ ยกเว้นเรื่องเดียวคือ... เรื่องผู้หญิง ถ้าวันไนท์สแตนได้ก็ทำ แต่เวลาคบใครก็คบคนเดียวนะ
"หือ มีอะไร"
พี่ทาร์ตชะงักมือที่กำลังจะหยิบถุงไวท์ช็อกโกแลตแล้วหันมามองหน้ากันพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ผมยกมือขึ้นถูท้ายทอยก่อนจะถามเสียงอ้อมแอ้มออกไป
"จะทำอะไรให้ผมกินเหรอ"
"เค้กลาวาชาไทยครับผม"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่สามารถทำให้สาวๆ ละลายไปกองอยู่กับพื้นได้ แต่ผมไม่สะทกสะท้านอะไรหรอกน่า... ที่พูดมาทั้งหมดโกหกนะ เพราะตอนนี้ใจสั่นฉิบหาย ไม่อยากกินเค้กแล้วได้ไหม โดนตามใจหรือเอาใจบ่อยๆ มันก็มีพลั้งเผลอกันบ้าง แย่แน่ๆ
"เอ้อ... น น่ากินเนอะ เดี๋ยวผมขอไปซื้อขนมคบเคี้ยวก่อนนะครับ"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วหาทางหนีโดยอ้างว่าจะไปซื้อขนมแต่เพิ่งจะได้กันหลังยังไม่ทันก้าวขาไปไหน มืออุ่นๆ ก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่เพื่อรั้งกันเอาไว้ ได้แต่ร้องตะโกนในใจว่าปล่อยไม่ได้เหรอ อยู่ตรงนี้นานๆ มันเหนื่อยนะ เหนื่อยที่ต้องมาใจเต้นแรง ไม่อยากหวั่นไหวมากกว่าเดิมอีกแล้ว กลัวว่าสักวันจะชอบเขาในอีกความหมายเข้าให้
"ไปพร้อมกันสิ"
เข้ากระซิบใกล้ๆ แบบสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมผละตัวออกแบบเนียนๆ แล้วพยักหน้ารับทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้พี่ทาร์ตอยู่ พยายามทำตัวเป็นปกติ เพราะไม่อยากให้เขาจับได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรนอกลู่นอกทาง
"ที่บ้านมีใบชาไทยไหม"
เขาผละมือออกแล้วตั้งคำถามขึ้นก่อนจะเดินนำผมไปข้างหน้าอย่างชาๆ ใบชาแดงที่พี่ทาร์ตถามถึงนั่นอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ คงต้องถามแม่เอาแล้วล่ะ
"ขอโทรถามแม่นะครับ"
ผมบอกก่อนจะได้รับการพยักหน้าตกลงจากอีกคน มือเรียวล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาต่อสายถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้า รอไม่นานนักเธอก็กรอกเสียงใสๆ มา
'สวัสดีค่ะคุณลูกชาย มีอะไรกับแม่หืม ร้อยวันพันปีไม่เคยจะโทรหา'
แม่ว่าด้วยเสียงหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี เพราะโดยปกติแล้วผมไม่เคยโทรหาแม่ในเวลางานแบบนี่เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่ากลัวเธอจะยุ่งหรอก แต่ไม่มีอะไรจะคุยมากกว่าก็เจอหน้ากันเช้าเย็นทุกวัน
"โหย แม่อะ ไม่แซวดิครับ พอดีปูนจะถามว่าที่บ้านเรามีใบชาไทยหรือเปล่า"
ผมถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปในขณะที่เดินตามพี่ทาร์ตไปต้อยๆ พอเหลียวซ้ายแลขวาถึงได้รู้ว่าพวกเราอยู่ในแผนกครีมอาบน้ำ... มาแถวนี้เพื่ออะไรวะ
'ใบชาไทยเหรอ มีสิ อยู่ที่ห้องครัวในตู้ ลูกจะเอาไปทำอะไรเหรอ'
แม่ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมหลุดยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ของที่พี่ทาร์ตต้องการแล้ว
"พี่ทาร์ตจะทำเค้กลาวาชาไทยให้กินครับ"
ผมตอบไปแล้วเหลือบมองพี่ทาร์ตที่กำลังเลือกครีมอาบน้ำโดยการเปิดฝาออกแล้วบีบขวดเบาๆ เพื่อให้กลิ่นมันฟุ้งขึ้นมา ตกลงว่าไม่ชอบกลิ่นสบู่ที่ใช้อยู่สินะ...
'ว้าว บอกพี่ทาร์ตทำเผื่อแม่ด้วยสิ ไม่ได้กินฝีมือเขามานานม๊าก'
แม่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนผมเผลอหัวเราะออกมา ความคิดเราสองคนเกมือนกันเด๊ะเลยสินะ ไม่ได้กินฝีมือพี่ทาร์ตนานมากจริงๆ
"ได้เลยครับ ผมไม่กวนแม่แล้วนะ ตอนเย็นก็รีบๆ กลับบ้านนะครับ"
'จ้าๆ'
บทสนทนาจบลงพอดีกับพี่ทาร์ตยื่นขวดครีมอาบน้ำยี่ห้อหนึ่งมาให้กัน ผมเลิกคิ้วมองด้วยความงงก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วยื่นมือไปรับมันมา
"คืออะไร"
ผมถามออกไปสั้นๆ แล้วมองขวดครีมอาบน้ำในมือสลับกับหน้าพี่ทาร์ต อีกคนคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้กันเล็กน้อย ทำไมชอบลดระยะห่างระหว่างกันบ่อยนักนะ
"ชอบกลิ่นนี้"
เขาบอกกลับมาแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ผมยิ่งขมวดคิ้วเพิ่งขึ้นเพราะยิ่งมึนหนักกว่าเก่าอีก ยื่นขวดมาให้แล้วบอกว่าชอบกลิ่นนี้ คือหมายความว่ายังไง
"ตกลงว่าที่บ้านมีชาแดงไหม"
อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องจนผมตามไม่ทัน อะไรของเขาวะ
"มีครับ พี่ทาร์ตอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องดิ"
ผมพูดรัวๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเรื่องไปอีกรอบ ไม่ชอบอะไรค้างๆ คาๆ สักเท่าไหร่เพราะมันน่าอึดอัด
"หืม เปลี่ยนเรื่องอะไรวะ"
พี่ทาร์ตดูจะงงเล็กน้อย เพราะเขาทำหน้าตื่นๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองไปเปลี่ยนเรื่องตอนไหน
"ก็เรื่องครีมอาบน้ำนี่ไง เอามาให้ผมทำไม"
ยิงคำถามกลับไปอย่างรวดเร็ว อีกคนก็ทำหน้าเหมือนคิดได้ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส
"อ้อ... พี่ชอบกลิ่นนี้ไง อยากให้ปูนใช้เพราะเราอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมง"
เขาตอบเสร็จก็เดินไปจ่ายเงินทันทีโดยทิ้งให้ผมยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว สมองเบลอไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องรู้สึกยังไง แค่เขาบอกว่าชอบกลิ่นนี้ อยากให้ใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาหยอดเราปะวะ ไม่ได้แปลว่าเขาก็หวั่นไหวกับเราหรือเปล่า ปวดหัวเว้ย เลิกคิดแม่ง
ตอนนี้ผมกำลังยืนมองพี่ทาร์ตรื้อชามผสมแก้วออกจากที่เก็บจานเพื่อจะทำเค้กลาวาชาไทยให้กิน เขาเตรียมทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วจนน่าอิจฉา เคยคิดที่จะเรียนทำอาหารหรือขนมเหมือนกันแต่ไปไม่รอด ดีสุดก็แค่ทอดไข่ดาวกับต้มมาม่า...
"ให้ผมช่วยทำอะไรปะพี่"
ผมเสนอตัวเข้าไปช่วยเพราะจะให้นั่งรอกินอย่างเดียวมันก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ พี่ทาร์ตชะงักมือแล้วเหล่สายตามองกันก่อนจะขำออกมาเล็กน้อย
"แน่ใจว่าจะช่วยไม่ใช่ทำลาย"
พี่ทาร์ตว่าติดตลกแต่ก็ส่งเนยจืดที่ยังเป็นก้อนมาให้กันพร้อมกับถ้วยที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้
"ใครจะทำลายครัวบ้านตัวเองล่ะพี่ แล้วนี่ต้องทำยังไงบ้าง"
ผมถามก่อนจะแกะห่อเนยจืดออกทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาให้ทำอะไร ตาก็มองอีกคนอย่างรอคำตอบ รายนั้นเขากำลังจัดการกับชาไทยอยู่ คงจะเอานมร้อนใส่แล้วชงแบบปกติ
"เอาเนยใส่ถ้วยแล้วเอาไปใส่ไมโครเวฟ"
พี่ทาร์ตบอกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองกัน ผมพยักหน้ารับก่อนจะแกะเนยจืดใส่ลงในถ้วยแล้วเอาเข้าไมโครเวฟตามที่อีกคนบอก กะเวลาไว้ประมาณครึ่งถึงหนึ่งนาที ก็จะได้เนยละลายเหลวๆ
"ให้ช่วยทำอะไรต่อดี"
ผมยกถ้วยเนยจืดละลายมาตั้งไว้บนเค้าน์เตอร์เหมือนเดิมก่อนจะเริ่มมองหาสิ่งที่ตัวเองน่าจะทำได้ต่อไป พี่ทาร์ตยกชามผสมใบใหญ่มาให้พร้อมกับตะกร้าที่ใส่ไข่ไก่ประมาณหกฟอง
"ตอกไข่สามฟองลงในชาม ส่วนอีกสามฟองแยกไข่ขาวออกเอาแต่ไข่แดงใส่ลงไป"
"เอ่อ... แยกยังไงครับ"
ผมถามด้วยความงง เพราะไม่รู้วิธีการแยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกัน ก็เคยเห็นจากรายการทำอาหารอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าลอง กลัวจะเสียหายและกลายเป็นนักทำลายอย่างที่พี่ทาร์ตว่า
"งั้นเอามาให้พี่ทำ ส่วนปูนไปเตรียมพิมพ์ขนมแล้วกัน เอาเนยทาให้ทั่วแล้วโรยน้ำตาลบางๆ"
พี่ทาร์ตยกชามผสมกลับไปพร้อมกับตะกร้าไข่ไก่แล้วลงมือทำส่วนของตัวเอง ผมแอบลอบมองเขาก่อนจะอมยิ้ม ดูท่าทางเขาตอนนี้แล้วช่างเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เหลือเกิน ชักไม่อยากให้เขาไปจีบใครแล้วสิ อกหักต่อไปยาวๆ ได้ไหม คนที่อยู่ข้างๆ จะได้เป็นผม... ตอนนี้ควรจะเลิกฟุ้งซ่านแล้วกลับมาสนใจขนมมากกว่าเนอะ
ผมเตรียมพิมพ์เสร็จในเวลาถัดมา พี่ทาร์ตก็ผสมทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมจะเทใส่พิมพ์เอาเข้าเตาอบแล้ว สีสันของมันเป็นสีส้มเหมือนน้ำชานมที่เราซื้อดื่มกันทั่วไป มีความหอมเตะจมูกจนทำให้ต้องกลืนน้ำลาย อยากกินแล้ว...
"เดี๋ยวปูนตักเนื้อเค้กใส่พิมพ์ประมาณสามส่วนสี่นะ พี่จะไปวอร์มเตาอบ"
เขาพูดจบก็เดินไปทางเตาอบที่นานๆ ครั้งจะได้ใช้เพราะแม่ทำแต่อาหารง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจ ส่วนน้านวลก็ไม่ถนัดใช้เตาอบเหมือนกัน บ่นว่ามันซับซ้อนวุ่นวายอยู่บ่อยๆ
ผมตัดเนื้อเค้กใส่พิมพ์หกอันแล้วยืนรอจนพี่ทาร์ตบอกว่าให้ยกไปใส่เตาได้ หลังจากนั้นเขาก็ตั้งเวลาอบประมาณสิบห้านาทีก่อนจะผละตัวออกมาเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ไปล้าง
"ผมช่วยๆ"
ผมรีบเข้าไปช่วยพี่ทาร์ตเก็บทันที แต่โดนเขาส่ายหัวให้กัน
"ไม่ต้อง ของแค่นี้พี่เก็บเองได้ ปูนไปนั่งรอเถอะ"
เขาบอกก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันแล้วเก็บทุกอย่างไปล้างด้วยตัวเอง จริงๆ ก็แอบคิดอยู่ว่าพี่ทาร์ตอาจจะจำได้ว่าน้องชายคนนี้แพ้น้ำยาล้างจานหรือเปล่าเลยสั่งห้าม แต่ดูๆ ไป อุปกรณ์มันก็น้อยจริงๆ นั่นล่ะ... เผลอดีใจอะไรที่มโนขึ้นมาเองอีกแล้ว
เผลอนั่งมองแผ่นหลังกว้างซะเพลินเลยสะดุ้งกับเสียงริงโทนโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ตอนแรกนึกว่าเป็นของพี่ทาร์ต แต่เปล่าเลย...
"ยอโบเซโย"
ผมทักทายไอ้ไนน์ที่โทรมาหากันด้วยภาษาเกาหลี พอปิดเทอมก็ไม่ค่อยได้ใช้กลัวจะลืมซะก่อน ต้องฟื้นความจำกันหน่อย
'ฉันกลับมาแล้วนะเว้ยปูน แกว่างเข้ามาเอาของฝากที่บ้านปะ'
เสียงใสๆ พูดด้วยความร่าเริง เดาไม่ยากว่ามันคงกำลังรื้อของที่ซื้อมาจากเกาหลีอยู่แน่ๆ เผลอๆ ไอ้จองฮันก็ช่วยด้วย
"วันไหน"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วมองคนที่กำลังเดินเข้ามาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากหยักเอ่ยถามแบบไม่มีเสียงว่า 'ใคร' ผมเลยตอบกลับแบบเดียวกันว่า 'เพื่อน' พอได้คำตอบไปหัวคิ้วก็ย่นเข้าหากันแทบทันที อยากบอกนะว่า....
"ไอ้กู๊ดเหรอ"
ถามกลับมาเสียงเบาแต่มันแข็งกร้าวจนผมเผลอใจกระตุก ไม่ใช่ว่าอาการหวงน้องกำเริบอีกแล้วนะ นี่ก็ลืมถามไอ้กู๊ดไปว่าเผลอพูดอะไรสองแง่สองง่ามบ้างหรือเปล่า เพราะคำถามของพี่ทาร์ตมันทำให้ฉุกคิด 'กู๊ดชอบปูนหรือเปล่า'
'วันนี้ดิ'
ไนน์พูดอะไรมาผมไม่ได้สนใจฟังเลย
ต่อด้านล่างนะ