Life of a superstar
(2)
เวลาเที่ยงห้าสิบนาที หลี่รุยถิงก็มาถึงคอนโดของเขา ถึงจะบอกว่ามารับเขาไปแต่งหน้าทำผม เจ้าหล่อนก็ไม่ได้มีรถเป็นของตนเอง ดังนั้นพูดให้ถูกก็คือมาหาเขาที่คอนโด ช่วยเขาเลือกเสื้อผ้า แล้วนั่งรถยนต์ของเขาไปร้านทำผมด้วยกัน รถที่หลิวเจียเย่ใช้นั้นไม่ใช่ของที่เขาซื้อมาด้วยตัวเอง แต่เป็น BMW สีดำที่อดีตคู่นอนคนหนึ่งให้ยืมใช้ คู่นอนที่ว่านี้ก็นับว่าเป็นบุคคลที่พิเศษและโดดเด่นไม่น้อย เพราะเขาเป็นถึงดาราดังระดับ S-list ชื่อเหอเทียนเหิง
เหอเทียนเหิงเคยได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมมาแล้วสองครั้ง ทั้งที่มีอายุเพียง 34 ปีเท่านั้น นอกจากหน้าตาและความสามารถแล้ว ยังมีฐานะทางบ้านดีเลิศ เรียกว่าเป็นพวก Elite อย่างแท้จริง ดังนั้นตอนที่ฝ่ายนั้นเข้ามาทำความรู้จักกับเขา หลิวเจียเย่จึงแตกตื่นยินดีมาก พวกเขามีความสัมพันธ์กันราวๆ หนึ่งสัปดาห์ หลิวเจียเย่พยายามเอาเอกเอาใจดาราใหญ่อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเหอเทียนเหิงก็เบื่อ และเลิกติดต่อกับเขา แต่ไม่ได้ขอรถคืน หลิวเจียเย่ไม่ได้พบฝ่ายนั้นอีก อย่างว่าล่ะ หากไม่ได้พบกันในคลับคราวนั้น และหากเหอเทียนเหิงไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาเขา ดาราหน้าใหม่เล็กๆ ของหลิวเจียเย่ก็เรียกว่าอยู่คนละโลกคนละชั้นอย่างสิ้นเชิง
จิวซือใช้เวลาแต่งหน้าทำผมไปราวหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นตัวเองในกระจกอีกครั้งก็ริมฝีปากก็ยกยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น มู่อินก็คือมู่อิน ขนาดช่างทำผมในซาลอนเล็กๆ แห่งหนึ่งยังมีฝีมือไม่เบา
“พี่หลิว พี่หล่อมากจริงๆ” หลี่รุยถิงพูดทันทีที่พวกเขามาถึงรถ ดวงตากลมของเธอยังคงจ้องจิวซือไม่วางตาตั้งแต่ในร้านทำผม แววตาทั้งชื่นชม ทั้งตื่นเต้นนั้นทำให้จิวซือหัวเราะออกมา
“เธอเองก็เลือกเสื้อผ้าได้ดี” เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำเข้ารูป พร้อม overcoat สีน้ำตาลอ่อน เข้ากับหลิวเจียเย่มาก ดูยังไงก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มบ้านนอกฐานะยากจน แต่เหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ที่มั่นใจในตัวเอง
“เพราะพี่หุ่นดีต่างหากล่ะคะ” หลี่รุยถิงว่า “พวกพี่สาวที่ร้านทำผมมือไม้สั่นไปหมดแล้ว โดยเฉพาะตอนที่พี่บอกขอบคุณแล้วยิ้มให้ ฮิๆ แต่ฉันเข้าใจ พี่หลิวยอดเยี่ยมที่สุดขนาดนี้”
จิวซือได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญากับอาการชื่นชมจนออกนอกหน้าของผู้จัดการส่วนตัวคนนี้
เมื่อพวกเขามาถึงสตูดิโอที่นัดหมายก็เป็นเวลา 14.45 น. แล้ว จิวซือมีท่าทางผ่อนคลาย ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไม่ได้โปรยหวานยิ้มเรี่ยราด พยายามให้โดดเด่นกว่าคนอื่นเช่นทุกที แต่การรักษาท่าทางสุภาพใจเย็นนี้กลับดึงเสน่ห์แบบคุณชายของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี กลายเป็นว่าดูโดดเด่นกว่าคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ
คนที่มาแคสติ้งในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นดาราดาวรุ่ง ไม่ก็น้องร้องที่กำลังเริ่มมีชื่อเสียง รวมแล้วเกือบยี่สิบคน บางคนมองจิวซือด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น แปลกใจ หลายคนมองอย่างดูถูกและรังเกียจ มีเพียงส่วนน้อยที่ผงกศีรษะทักทายเขา จิวซือไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากรายงานตัวแล้ว ชายหนุ่มก็เลือกนั่งรอที่เก้าอี้ติดหน้าต่าง แล้วหลับตาทำสมาธิ ไม่สนใจเรื่องราวรอบตัวอีก
อยู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น จิวซือลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าทุกคนต่างยืนทักทายคนผู้หนึ่ง เป็นผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งและสันกรามชัด ดวงตาเป็นสีน้ำตาลทองเช่นเดียวกับสีผม ประธานบริษัทมู่อินเอนเตอร์เทนเมนต์ มู่เหยียนเฉิน
อาจเพราะเป็นคนเดียวที่ยังนั่งอย่างสบายใจ มู่เหยียนเฉินจึงได้มองมาทางจิวซืว ดวงตาสองคู่ประสานกัน จิวซือที่คิดว่าอาศัยแผ่นหลังของคนข้างหน้าเป็นฉากกำบัง จึงได้แต่ลุกขึ้นยืนแต่โดยดี ก่อนจะยิ้มสุภาพและก้มศีรษะทักทายมู่เหยียนเฉิน แน่นอนว่าฝ่ายนั้นไม่สนใจ และเดินตรงเข้าไปยังสตูดิโอด้านใน
เรื่องที่หลิวเจียเย่เคยเสียมารยาทกับมู่เหยียนเฉินไม่ใช่ความลับ ดังนั้นหลายคนจึงตีความว่าจิวซือพยายามเรียกร้องความสนใจ เขาคร้านจะใส่ใจสายตาคนอื่น จึงเอนหลังในท่าสบายๆ แล้วหลับตารอถูกเรียกชื่อ
ทีมงานเชิญพวกเขาเข้าไปทีละคน ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที กระทั่งถึงลำดับสุดท้าย ก็ได้ยินเสียงเรียก “หลิวเจียเย่”
ด้านในห้องสตูดิโอ ฉากหลังเป็นผ้าสีเขียวกว้างราวห้าเมตร ด้านหน้าเป็นโต๊ะผู้กำกับ Casting director และมู่เหลียนเหลียน ซึ่งน่าจะมาถึงสตูดิโอเพื่อคุยกับผู้กำกับก่อนเวลานัดหมาย มู่เหลียนเหลียนดูไม่เหมือนคุณหนูตระกูลดัง ไม่ได้มีบุคลิกอ่อนแอน่าทะนุถนอม แต่เป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเอง และกระตือรือร้น ผมสีน้ำตาลถูกมัดรวบไว้เผยให้เห็นหน้าผากมน กับดวงตาสีดำต่างจากผู้เป็นพี่ชาย ด้านข้างและด้านหลังมีกล้องตั้งอยู่หลายมุม และบนโซฟาห่างออกไปเล็กน้อยคือมู่เหยียนเฉินที่นั่งไขว้ขามองตรงมาที่เขา
“สวัสดีครับ” จิวซือกล่าวเมื่อเดินมาหยุดอยู่บริเวณผ้าสีเขียว ด้านหน้าโต๊ะผู้กำกับ
“อืม” เถาจือเกา ผู้กำกับโฆษณาตัวนี้พยักหน้าเล็กน้อย เขาเห็นประวัติของหลิวเจียเย่แล้ว เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ใจร้อน ที่ขาดพื้นฐานการแสดง ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะเหมาะกับสินค้าอย่างมาก เถาจือเกาก็ไม่คิดจะใช้หลิวเจียเย่ นอกจากนั้นเขายังหมายตาอีกคนหนึ่งไว้แล้วในใจ รอแคสติ้งจบและไปหารือกับประธานมู่ หากฝ่ายนั้นเห็นด้วยก็ถือว่าตกลง
“ไม่ต้องทำตามบทที่ส่งไป ผมต้องการให้เลือกคุณนาฬิกา และเครื่องประดับอื่นๆ ที่คุณชอบมาใส่” เถาจือเกาชี้ไปที่โต๊ะซึ่งมีนาฬิกาและ accessories ต่างๆ วางเรียงอยู่ “จากนั้นพูดว่า Elegance, Passion, You”
จิวซือเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินไปเลือกเครื่องประดับแต่โดยดี เดิมในสคริปที่เขาได้รับมาเป็นบทโฆษณาสั้นๆ ประมาณสองหน้า หลักๆ คือชายหนุ่มเลือกสร้อยคอให้แฟนสาวในวันครบรอบ และเมื่อมอบมันให้เธอ ก็พบว่าเธอเองก็ซื้อนาฬิกาจากร้านเดียวกันให้เขา แน่นอนว่าคือแบรนด์ Passion Mu-in
การที่อยู่ๆ ผู้กำกับเถาเปลี่ยนจากการแสดงตามสคริป เป็น creative acting แบบนี้ ทำให้จิวซือรู้สึกสนุกกว่าเดิม ชายหนุ่มไล่สายตามองนาฬิกา สร้อย แหวน กำไลข้อมือรูปแบบต่างๆ ทีละชิ้น ขณะที่ความคิดเริ่มโลดแล่นในหัว ว่าควรจะตีความคำว่า Elegance, Passion, You ออกมาอย่างไรดี
ไม่นาน จิวซือก็เลือกนาฬิกาสีเงินที่ดูเรียบหรูมาเรือนหนึ่ง และสร้อยข้อมือสีเงินที่มีลักษณะคล้ายโซ่มาอีกเส้นหนึ่ง จัดการสวมทั้งสองอย่างไว้ที่ข้อมือซ้าย จากนั้นก็เดินกลับมากลางฉากสีเขียว ทันทีที่ผู้กำกับเถาให้สัญญาณ จิวซือกับหลับตาลง ชายหนุ่มค่อยๆ หมุนคอด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นก็ถอดเสื้อโค้ทออกอย่างไม่รีบเร่ง ก่อนจะโยนมันไปทางหนึ่ง ท่าทางเกียจคร้านไร้ระเบียบนี้ทำให้ผู้กำกับเถาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าหลิวเจียเย่คนนี้จะตีความคำว่า Elegance ของสินค้าออกมาอย่างไร
จิวซือดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากกางเกง ปลดกระดุมเม็ดบน ก่อนจะนอนลงกับพื้น กระทั่งตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังเหมือนอยู่ในโลกของตนเอง ไม่มองกล้องหรือแม้แต่ผู้กำกับเลยสักครั้ง เขาหลับตาลง ศีรษะราบไปกับพื้น เผยให้เห็นลำคอยาว และสันกราม เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบที่มองจากมุมด้านข้างยังทราบว่าเป็นบุรุษรูปงาม แพขนตายาวกระพือเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ แยกออกจากกัน จากนั้นเขาก็หันหน้ามามองกล้องอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ใบหน้าคมคายหันมา ทันทีที่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมอง ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนถูกเขาสะกดไว้ ถูกเขาล่อลวงวิญญาณไป ราวกับเวลาหยุดหมุน คำว่างดงามจนลืมหายใจคงเป็นเช่นนี้
Elegance
ดวงตาสีดำคู่นั้นหวานล้ำ เต็มไปด้วยความรักและความใคร่ เปี่ยมด้วยความต้องการ คิดถึง คะนึงหา อยากครอบครอง ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจละสายตาจากเขา ประหนึ่งเทพีร่ายมนต์ต่อคนรัก และเมื่อเห็นเขาลุ่มหลงในตนเอง เทพีผู้นั้นก็แย้มรอยยิ้มงดงามออกมา
Passion
จากนั้นมือเรียวขาวที่สวมนาฬิกาและสร้อยข้อมือก็ยกขึ้นมาจรดริมฝีปากสีแดงสด ขณะที่สายตาคู่นั้นยังไม่ละไปจากกล้อง ก่อนที่เรียวลิ้นสีชมพูจะขยับแลบเลียตั้งแต่สร้อยข้อมือไปจนถึงตัวเรือนนาฬิกา กริยาเชิญชวนที่ทำให้หัวใจคนมองเต้นแรง ราวกับว่าเทพีผู้นั้นกำลังเรียกหาตนเองอยู่
You
ทั้งที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เอนกายนอนราบไปกับพื้น ทั้งที่รอบตัวชายหนุ่มมีแต่ฉากสีเขียวของห้องสตูดิโอ ไม่ใช่เตียงบรรทมของเหล่าราชนิกุลสูงศักดิ์ ไม่มีโคมระย้า ไม่มีมู่ลี่สีทองประดับมุก ทั้งที่หลิวเจียเย่คนนั้นไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ แต่คำว่า Elegance, Passion, You กลับกำลังโลดแล่นอยู่ในห้วงความคิดของทุกคน
สตูดิโอใหญ่มีแต่ความเงียบ ขณะที่คำทั้งสามคำนั้นยังคงดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในความคิดของผู้กำกับเถาจือเกา เสมือนถูกสะกด ถูกใครบางคนกระซิบอยู่ข้างหู
Elegance, Passion, You
หลิวเจียเย่
การที่หลิวเจียเย่ได้รับเลือกให้เป็นนายแบบโฆษณาเป็นไปตามความคาดหมายของจิวซือ แน่นอนว่าเพื่อบันไดขั้นแรกในการปีนป่ายไปสู่ตำแหน่งดาราดังนั้น จิวซือได้ใช้ทริกคล้ายๆ กับการสะกดจิตผ่านพลังเซียนของเขา ให้หลิวเจียเย่โดดเด่น และดึงดูดต่อจิตใจของคนเหล่านั้น จนยากจะต่อต้าน มู่เหลียนเหลียนถือว่ามีจิตใจเข้มแข็ง เพราะเธอแค่แสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจที่ได้พบบุคคลที่ตรง Concept อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าผู้กำกับเถานั้นได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย ดวงตาของซึมกระทือเปลี่ยนเป็นประกายวิบวับ เขาหัวเราะเสียงดังอย่างพออกพอใจ ก่อนจะเดินเข้ามาตบบ่าจิวซือหลายครั้ง ทั้งยังให้นามบัตรและเบอร์ส่วนตัวของเขาไว้อีกด้วย จะมีก็แต่ประธานมู่ มู่เหยียนเฉินเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นอกจากมองจิวซืออย่างมีความหมายครู่หนึ่ง พร้อมสั่งให้เขามาพบที่บริษัทพรุ่งนี้
Mu-in Entertainment
เมื่อจิวซือมาถึงบริษัท ก็มีคนพาเขาไปรอพบมู่เหยียนเฉินที่ห้องรับรอง ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเลขาของมู่เหยียนเฉินจึงมาเชิญเขาเข้าไป
มู่เหยียนเฉินใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สูทนอกสีดำ ผมถูกเซ็ทอย่างดี เปิดหน้าผากได้รูป ขับเน้นโครงหน้าให้ดูคมคายขึ้นไปอีก กระทั่งเซียนยังมีชนชั้นฐานะ นับประสาอะไรกับมนุษย์โลก ย่อมต้องมีบางคนเกิดมาเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติเช่นนี้
จิวซือโค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน สบตากับมู่เหยียนเฉินซึ่งพิจารณาเขาอย่างเปิดเผย วันนี้จิวซือแต่งตัวแบบ business casual ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก เขาใส่กางเกงสแล็คสีเทาเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีอ่อน ทำให้ดูสะอาดตาและน่ามองเป็นพิเศษ
“อยากฝึกการแสดงหรือเปล่า” มู่เหยียนเฉินถาม
“ไม่ครับ ผมอยากแสดงเลยมากกว่า” จิวซือตอบพร้อมรอยยิ้มสุภาพ
“ไม่มั่นใจในตัวเองไปหน่อยหรือ” มู่เหยียนเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากกดรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ออกว่าเป็นความถูกใจ หรือดูแคลน
“ท่านประธานน่าจะลองให้โอกาสผมดู” ดวงตาของจิวซือเปล่งประกายวูบหนึ่ง กระแสจิตแข็งกล้าส่งไปยังคนฝั่งตรงข้าม ‘ให้โอกาสหลิวเจียเย่’
มู่เหยียนเฉินยังคงเอนหลังพิงเก้าอี้หนังพนักสูงสีดำในท่าทางผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าการสะกดจิตจะใช้กับเขาไม่ได้ผล
“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ”
“ประธานมู่คงไม่อยากแลกกับคนอย่างผมหรอกครับ” จิวซือยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ‘ให้โอกาสหลิวเจียเย่’ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าของมู่เหยียนเฉินคือรอยยิ้มที่ลึกขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น เซียนหนุ่มในร่างมนุษย์จึงได้ยอมแพ้ ล้มเลิกความตั้งใจแต่โดยดี
“นายเคยไปขอแคสเรื่องเซียนเมฆา?”
คำถามของมู่เหยียนเฉินทำให้จิวซือคิ้วกระตุก เคยขอไปแคสติ้ง? ถูกแล้ว แค่ ‘ขอ‘ เท่านั้น หลิวเจียเย่ไม่ได้รับกระทั่งคำอนุญาตให้เข้าร่วมการเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้เจ้าตัวยังสร้างเรื่องไว้กับผู้กำกับเจียงจนถูกด่าประจานต่อหน้าคนจำนวนไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาเกรงสายตาของคนอื่นหรอก คนที่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมาหลายชาติอย่างเขานั้น ยังต้องใส่ใจเรื่องพวกนั้นอีกหรือ เพียงแต่การที่จะได้บทในเรื่องเซียนเมฆา กระทั่งบทตัวประกอบเล็กๆ นั้นไม่ง่ายเลย เพราะหากถามนักแสดงทั่วทั้งแผ่นดินในเวลานี้ว่าอยากแสดงภาพยนตร์เรื่องใด แทบทุกคนคงตอบว่าเซียนเมฆา เช่นเดียวกันหากถามคนทั่วไปว่าคาดหวังรอคอยภาพยนตร์เรื่องใดที่สุด จิวซือเชื่อมั่นว่าเสียงส่วนใหญ่คงเลือกเรื่องเซียนเมฆา
“ถ้านายได้บทในเรื่องนี้ ถือว่าสอบผ่าน”
จิวซือจ้องหน้ามู่เหยียนเฉินอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนตอบว่า “ครับ”
แน่ล่ะ หากเขาได้บทเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่สอบผ่านหรอก ต้องเรียกว่าสอบได้คะแนนสูงจนน่าประทับใจต่างหาก จิวซือประชดในใจ ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงประทับรอยยิ้มสุภาพตามความเคยชินเมื่อตอบรับข้อเสนอของเจ้านาย ดวงตาสีหมึกของเขาทอประกายวิบวับ ความตื่นเต้น ความอยากเอาชนะ และความมั่นใจในตนเองฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น คล้ายอัญมณีที่เก็บงำประกาย ค่อยๆ เผยแสงและเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาช้าๆ โดยไม่ตั้งใจ เปล่งประกายเสียจนทำให้อีกคนที่มองอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง
เมื่อจิวซือกลับมาถึงคอนโด สิ่งแรกที่ทำคือการหาข้อมูลเรื่องเซียนเมฆาเพิ่มเติม ภาพยนตร์เรื่องเซียนเมฆา เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ กำหนดฉายเดือนกันยายนปีหน้า ต้นทุนเบื้องต้น 200 ล้าน ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่างสองค่ายใหญ่ คือ Mu-in Entertainment และค่ายจั๋วชิง เงินทุนนี้ยังไม่รวมสปอนเซอร์จากโฆษณาต่างๆ ที่แย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตอนนี้ ว่ากันว่ารัฐบาลยังอนุญาตให้ใช้พื้นที่โฆษณาช่องสาธารณะในราคาถูก และมีนักการเมืองชื่อดังสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นความรักชาติ รวมถึงใช้นโยบายชาตินิยมสมัยใหม่เพื่อเป็นแรงเสริมสำหรับการเลือกตั้งในปลายปีหน้า
เรื่องย่อ ‘เซียนเมฆา’ ที่มู่เหยียนเฉินให้เลขาส่งมาให้นั้น พูดถึงเกาจงเฉิน บัณฑิตยากจนจากหมู่บ้านห่างไกล บิดาเคยเป็นขุนนางตงฉินอนาคตไกลที่ถูกใส่ความและถูกเนรเทศมาอยู่เมืองทุรกันดาร มารดาเป็นลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน บิดาและมารดาต่างคาดหวังให้เกาจงเฉินรับราชการ กอบกู้ชื่อเสียงวงตระกูล เกาจงเฉินจึงเข้ามาสอบจอมหงวนเพื่อรับราชการในเมืองหลวง เนื่องเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากบิดาตั้งแต่เล็ก เขาถึงสอบผ่านในอันดับต้นๆ และได้ทำงานในกรมคลัง เสนาบดีในเวลานั้นคือ ‘เปาจิงจู’ ผู้ที่ใส่ความบิดาของเกาจงเฉิน เขาจึงวางแผนจะโค่นขุนนางผู้นั้นลง เริ่มจากตีสนิทคนในกรมคลัง และอาศัยความรู้ความสามารถจนได้กลายเป็นคนที่เปาจิงจูไว้ใจ ขณะเดียวกันก็ได้รู้จักกับองค์รัชทายาท ‘เสวี่ยนซื่อจวิ๋น’ โดยบังเอิญ เปาจิงจูสนับสนุนองค์ชายรอง ดังนั้นจึงถือเป็นปฏิปักษ์ของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น เกาจงเฉินจึงเสนอตัวเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับองค์รัชทายาทเพื่อกำจัดเปาจิงจู ขณะที่ทั้งสองร่วมมือกันนั้น เกาจงเฉินก็ตกหลุมรักองค์หญิงห้า น้องสาวของเสวี่ยนซื่อจวิ๋น ซึ่งหลงรักพี่ชายตนเอง เกิดเป็นปมความรักอีกหนึ่งปม สุดท้ายเมื่อกำจัดเปาจิงจูสำเร็จ และเสวี่ยนซื่อจวิ๋นได้รับการสถาปนาเป็นชื่อจงฮ่องเต้ เกาจงเฉินค่อยทราบว่าองค์หญิงห้ามีใจให้ผู้ใด เกาจงเฉินซึ่งได้เลื่อนเป็นถึงรองเสนาบดีในขณะนั้นจึงขอกลับไปรับราชการที่หัวเมืองบ้านเกิด แต่ชื่อจงฮ่องเต้ไม่ทรงอนุญาต และขอให้เขาช่วยปราบปรามทุจริต แน่นอนว่านโยบายเข้มงวดของฮ่องเต้องค์ใหม่ย่อมกระทบผลประโยชน์ของคนจำนวนไม่น้อย จึงเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ขึ้น ในฉากสุดท้ายเกาจงเฉินใช้ร่างกำบังดาบที่พุ่งแทงชื่อจงฮ่องเต้จนถึงแก่ชีวิต ชื่อจงฮ่องเต้แคล้วคลาดปลอดภัย แต่ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก และได้มีพระบัญชาให้อวยยศเกาจงเฉินเป็นอ๋อง ประกาศคุณงามความดีให้ทั่วทั้งแผ่นดินรับรู้
ฝ่ายเกาจงเฉินนั้น เมื่อเสียชีวิตก็ได้ไปจุติเป็นเซียนเมฆาด้วยคุณธรรมความซื่อสัตย์และความเสียสละของเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่เกาจงเฉินจะจากไปยังภพสวรรค์นั้น ดวงจิตของเขาได้ลงมายังโลกมนุษย์ และพบว่าชื่อจงฮ่องเต้กำลังวาดภาพเหมือนของตนเองอยู่ พระพักตร์หล่อเหลาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ซูบซีด กระทั่งพระวรกายก็ผ่ายผอมลง ดูเหี่ยวเฉา ขาดชีวิตชีวามิคล้ายเจ้าชีวิตของคนทั้งปวง เมื่อทรงวาดภาพของเขาเสร็จ ก็ยืนเหม่อมองอยู่เช่นนั้นหลายนาที ก่อนจะจรดพู่กัน เขียนกลอนบทหนึ่ง ที่ทำให้เกาจงเฉินรู้สึกคล้ายถูกสายฟ้าผ่ากลางร่าง
พลัดพราก ใจรอน จากไกล สุดหล้า
ใฝ่หา ฤาจักเห็น มิสู้ หลับเสีย ตามติด จิตคะนึง
ที่แท้ ชื่อจงฮ่องเต้หรือเสวี่ยนซื่อจวิ๋นนั้นมีใจรักต่อขุนนางของตน รักถึงขั้นอยากตายตามไป เมื่ออ่านเรื่องย่อจบ จิวซือก็ถอนหายใจยาว อดนึกถึงเรื่องของตนเองไม่ได้ ไม่ว่าจะผ่านด่านทดสอบคุณธรรมมาแล้วกี่ชาติ แต่ละชาติที่เกิดตายวนเวียนนั้นล้วนรู้สึกเหมือนเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งหาใช่ชีวิตจริงไม่ ทว่าความทรงจำของชาติที่ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดานั้นยังคงเด่นชัดอยู่เสมอ และเป็นเสมือนโซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่ทำให้การเข้าสู่วิถีเซียนของเขานั้นยากลำบากขึ้นหลายเท่า
‘อี้เทียน ได้ยินว่าเจ้าก็เองอยู่ในด่านทดสอบคุณธรรม ไม่แน่ว่าจะมีสักชาติใดชาติหนึ่งที่ข้าได้เจอเจ้าอีกครั้ง’ คิดเพียงนั้นก่อนที่รอยยิ้มบางๆ จะปรากฏบนใบหน้า พบเจอแล้วเป็นอย่างไรเล่า ใช่ว่าจะจำกันได้ หรือต่อให้จดจำได้ ก็ใช่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
จิวซือถอนหายใจ แล้วหลับตาลง เข้าใจถ่องแท้ถึงความรู้สึกยามเสวี่ยนซื่อจวิ๋นเขียนกลอนบทนั้น
ถูกแล้ว ต่อให้คะนึงหาปานขาดใจก็ไม่มีวันได้พบ มิสู้หลับตาลงเสีย ปล่อยให้ดวงจิตติดตามคนผู้นั้นไป
#วิถีเซียน3p