(Special)
[Reveal the secret.]
1 เดือนผ่านไป“ถ้าเขาจะตามคุณมาขนาดนี้ก็เชิญมานั่งด้วยกันเลยดีไหม”
อาทิตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเหลือบสายตาไปเห็นใครบางคนซึ่งนั่งเยื้องไปสามสี่โต๊ะ ขณะดวงตาของฝ่ายนั้นจับจ้องตรงมาทางนี้ไม่วางตา
“ให้ห่างกันบ้างเถอะ เขาตามผมอย่างกับเงา” สารินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
ตั้งแต่วันนั้นรพัฒน์ก็แทบจะพิสูจน์ตัวเองทุกวินาที บทพิสูจน์ที่อีกฝ่ายทึกทักเองว่าการตามติดคือสิ่งที่จะทำให้เห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้ยุ่งกับใครและสนใจอยู่กับแค่เพียงคนเดียว
ตามติดจนแทบจะรู้อยู่แล้วว่าสารินกับอาทิตย์ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้ง
“ก็ไม่แปลกหรอก ดูท่าว่าเขาจะหึงจะหวงคุณมาก”
เห็นแล้วอาทิตย์ยังนึกอิจฉา พอตกลงกันได้คนตรงหน้าก็ดูดีขึ้นกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมามากโข
“ขอให้เป็นอย่างนี้ให้ได้ตลอด...ว่าแต่คุณเถอะ หายไปไหน ดูเหมือนคุณไม่ค่อยสบายนัก”
ท่าทางของคนตรงหน้าดูอ่อนแรง อีกทั้งใบหน้ายังซีดเผือดกว่าเคยจนต้องเอ่ยทัก หนึ่งเดือนที่ผ่านมาอาทิตย์ไม่ได้ติดต่อมาและแทบไม่ตอบข้อความ กว่าจะได้คุยและนัดออกมาได้ก็ดูไม่ค่อยสะดวกนัก
“ผะ ผมติดงานนิดหน่อย”
“งั้นเหรอ...ผมยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเรื่องวันนั้นคุณอย่างเป็นทางการสักที วันนี้เลยมีของเล็กๆน้อยๆมาตอบแทน ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือนะอาร์ต”
กล่องของขวัญเล็กๆถูกหยิบออกมายื่นให้บนโต๊ะเพื่อแทนคำขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
เรื่องวันนั้นที่ถูก‘จัดฉาก’ขึ้นและอีกฝ่ายก็ยอมช่วยเหลือจนนำพาความสัมพันธ์ระหว่างสารินและรพัฒน์มาถึงวันนี้
ใช่ มันเป็นเพียงการจัดฉาก
แม่ของรพัฒน์เข้าหาอาทิตย์และจ้างอีกฝ่ายให้พาสารินไปที่โรงแรม จากนั้นก็หลอกล่อรพัฒน์มาหวังให้เห็นภาพบาดตา จริงอยู่ที่อีกคนเห็นภาพดั่งที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการแต่เบื้องหลังมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น
เพราะรพัฒน์มัวแต่อึ้งกับภาพตรงหน้าจึงไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว‘บางอย่าง’ไม่ได้ถูกสอดเข้ามาอีกทั้งยังมีอะไรแปะไว้อย่างดี ทุกอย่างเป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัดใจ ด้วยอยากรู้ว่าถ้าเห็นแบบนั้นอีกคนจะทำอย่างไร การร้องขอโอกาสเป็นเพียงแค่ลมปากหรือเป็นความรู้สึกจากใจอย่างที่เจ้าตัวเคยพูด
ทุกอย่างจึงต้องขอบคุณคนตรงหน้าที่นำเรื่องมาบอกและยอมให้ความร่วมมือ กระทั่งตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อย เป็นไปดั่งที่ตัวเองต้องการ
“ไม่เป็นไรเลยสอง เล็กน้อย”
“รับไปเถอะ อย่าให้ผมต้องเสียน้ำใจ” อาทิตย์เหลือบมองของตรงหน้าก่อนจะยอมเอื้อมมือไปรับมันในที่สุด
“แล้วนี่คุณจะให้เขารู้เมื่อไหร่ว่า
ไม่เคยมีอะไรกับผม”
“จนกว่าผมจะมั่นใจ”
อาทิตย์ยกยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของสาริน จากวันที่ตกลงว่าจะเป็นเพื่อนกันดูเหมือนจะเกิดความสบายใจกับอีกฝ่ายได้มากกว่า ตัวเขาเองเมื่อเลิกหวังได้ก็สบายขึ้น ทั้งใจและ...กาย
ทว่าความสบายใจเป็นอันต้องอันตรธานหายไปเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินเข้ามาในร้าน เจ้าของดวงตาแสนเหี้ยมปรายสายตามามองเพียงชั่ววินาที แต่มันกลับทิ้งความเยือกเย็นเอาไว้ยาวนานจนคนมองขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว
“สะ สอง ผมต้องไปแล้ว”
“อ้าว คุณมีธุระต่อเหรอ”
“ใช่ๆ เรื่องด่วนน่ะ ไว้คุยกันนะ”
อาทิตย์เอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะลุกลี้ลุกลนเก็บของแล้วกล่าวลาอีกครั้ง จากนั้นจึงรีบเดินจนแทบกลายเป็นวิ่งออกไปจากร้าน ขณะที่ใครบางคนแวะทักทายรพัฒน์ซึ่งนั่งมองสารินอยู่ไม่วางตา
“คุณปรานต์มาทานข้าวหรือครับ” รพัฒน์ถามขึ้นเมื่ออีกคนเดินเข้ามาทัก
ปรานต์ปรายสายตาแสนเย็นเยียบไปยังคนที่รีบร้อนออกจากร้าน จนเมื่อร่างของใครคนนั้นลับจากสายตาจึงหันกลับมาตอบ
“ครับ แล้วคุณล่ะ”
“มารอคนรักน่ะครับ” คราวนี้สายตาของปรานต์เหลือบมองไปทางสารินที่กำลังจะเดินเข้ามาทักทาย
“สวัสดีครับคุณปรานต์”
“สวัสดีครับ ผมมีธุระต้องไป คงไม่รบกวนเวลาคุณสองคนแล้ว”
“ไม่ทานข้าวแล้วเหรอครับ?”
รพัฒน์เอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายบอกว่ามาทานข้าวแต่กลับจะออกไปทั้งที่ยังไม่แม้แต่จะนั่งลงดูเมนู
“คงไม่แล้ว
มีธุระด่วน”
“งั้นก็เชิญเลยครับ ไว้คุยกันที่บริษัท”
ปรานต์พยักหน้ารับก่อนจะปรายตามองทางสารินอีกครั้งจนคนถูกมองค้อมหัวลงให้พร้อมเอ่ยคำลา
“สวัสดีครับ”
อีกคนพยักหน้ารับจากนั้นจึงหมุนตัวแล้วสาวเท้ายาวๆออกไปจากร้านจนคนทั้งสองหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง
“ทำไมมันรีบกลับ แล้วคุณคุยอะไรกับหมอนั่น ทำไมต้องมีของให้ด้วย”
ยังไม่ทันได้ถามถึงเรื่องปรานต์ รพัฒน์ก็เอ่ยขึ้นแทรกเสียงขุ่น พร้อมทั้งหยัดกายขึ้นยืนประจันหน้า ขณะดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว
“อาร์ตมีธุระ คนคบกันให้ของกันมันจะแปลกตรงไหน”
คราวนี้ความไม่พอใจฉายชัดออกมายิ่งกว่าเดิม ท่าทางซึ่งทำให้สารินลอบยิ้มกับตัวเองในใจ
“คบอะไรไม่มาหาเลยสักวัน ผมยังมาหาคุณบ่อยกว่ามันเลย”
“คบกันจำเป็นต้องเจอกันบ่อยหรือไง ถึงไม่ได้เจอผมก็คุยกับอาร์ตทุกวัน”
“ก็แค่คุย จะมาสู้คนที่มาหาทุกวันได้ยังไง”
“คนอื่นเขาไม่ได้ว่างงานเหมือนคุณ”
“ไม่ว่างผมก็ต้องไปเจอหน้าคุณ”
ประโยคนี้เป็นดั่งสัญญาณสิ้นสุดบทสนทนา รพัฒน์พูดออกมารวดเร็วอย่างไม่คิดหรือตรึกตรองใดๆ ทว่ากลับส่งผลให้คนฟังรู้สึกจนประโยคที่จะตอบกลับหายเข้าไปในลำคอดื้อๆ
“คุณให้ของมันก็ต้องให้ผมด้วย”
คนตัวใหญ่กลายสภาพเป็นเด็กโข่งเอาแต่ใจ ยืนหน้าบึ้ง คิ้วขมวด จนสารินนึกอยากจะหยิบไม้แขวนเสื้อมาหวดสักทีสองที
“เรื่องอะไร คุณกับผมไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“เป็น”
“เป็นอะไร”
“เป็นผัวเก่าคุณ”
ประโยคนั้นถูกจงใจพูดให้เสียงดังลั่น จนคนซึ่งอยู่ในร้านจำนวนพอสมควรหันพรึบมามอง
“รพัฒน์!”
สารินกระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงลอดไรฟัน ขณะอยากจะฟาดคนตรงหน้าเต็มแรง
คนตั้งใจแกล้งยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นท่าทีหน้าดำหน้าแดงของคนซึ่งเรียกได้ว่าเป็น‘เมียเก่า’ก็คงไม่ผิด ดวงตาคู่สวยที่ขึงมองจ้องเขม็งถูกโต้ตอบด้วยรอยยิ้มพร่างพรายจนสารินหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ความอับอายจากคนรอบข้างพลันทำให้ไม่อาจทนอยู่ต่อได้จนต้องรีบสาวเท้าออกมาโดยไม่รั้งรอ
หมียักษ์หน้าด้าน!
ฉายาที่มักเปรียบเทียบว่ารพัฒน์คล้ายคลึงถูกเอ่ยในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่ายามจ้ำเท้าเร็วๆออกมาจากร้าน
“สอง รอผมด้วยสิ”
ได้ยินเสียงร้องเรียกดังตามมาทว่าแน่นอนว่าคนถูกเรียกไม่มีทางหยุดรอ หากแต่สารินเดินไปได้ไม่ไกลนักรพัฒน์ก็ตามมาทันด้วยช่วงขายาวๆของเจ้าตัว
“คุณงอนอะไร ผมไม่ได้พูดอะไรผิด”
“ผมไม่ได้งอน”
สารินหันมาตอบทันใด คำว่างอนมันไม่เหมาะกับอายุและคุณวุฒิของตัวเองจนต้องปฏิเสธเสียงเขียว
ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นกันแล้ว
“ไม่ได้งอนแล้วเดินหนีมาทำไม”
“ผมไม่ได้หน้าไม่อายเหมือนคุณ”
“ไม่เห็นต้องอาย เซ็กส์มันเป็นเรื่องธรรมดา เราอายุตั้งปูนนี้กันแล้ว”
ขาที่ก้าวเร็วๆหยุดลงทันใด ก่อนสารินจะหันไปพูดกับคนข้างตัว
“ใช่ มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเอามาพูดในที่สาธารณะแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา และตอนนี้อย่าลืมว่าสถานะของคุณคืออะไร ทุกการกระทำส่งผลต่ออนาคต อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้รับการให้เกียรติ”
ริมฝีปากได้รูปเม้มเป็นเส้นตรงเมื่อไม่คาดคิดว่าคำพูดของตัวเองจะส่งผลให้สารินรู้สึกอย่างนั้น ขณะที่คนพูดลอบถอนหายใจแผ่วเบา
ความจริงแล้วสารินไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น ลึกๆแล้วกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ ทว่าทุกอย่างถูกเอ่ยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจมากไปกว่านี้ เพียงเท่านี้ตลอดเวลาหนึ่งเดือนรพัฒน์ก็ขยับเข้ามาใกล้กว่าที่ขีดเส้นเอาไว้แล้ว
“ผมไม่ได้ไม่ให้เกียรติคุณ”
“แต่คำพูดของคุณมันทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น”
“ขอโทษครับ”
สารินเกือบหลุดยิ้มเมื่อหมียักษ์ตรงหน้าเอ่ยออกมาเสียงอ่อย หนึ่งในสิ่งที่รพัฒน์เวอร์ชันใหม่พัฒนาขึ้น
อีกฝ่ายมักกล่าวคำขอโทษทันใดเมื่อรู้ว่าทำผิดหรือทำในสิ่งไม่สมควร หากเป็นแต่ก่อนคำขอโทษจากใจนี้แทบจะไม่ออกจากปากร้ายๆให้ได้ยิน
คนถูกขอโทษไม่ได้ตอบรับอะไร ทำเพียงแค่หมุนตัวเดินต่อจนร่างใหญ่ต้องรีบก้าวตามมา
“คุณหายโกรธผมนะ”
“...”
“สอง”
“อย่าพูดแบบนั้นอีก” สารินเอ่ยเสียงเรียบ
“ครับ”
การรับคำที่คงหวังผลให้ใจอ่อน สารินรู้ทันว่าอีกฝ่ายจงใจพูดแบบนี้ และถึงแม้มันจะได้ผลเพียงใดก็ไม่มีทางถูกแสดงออก ภายนอกจึงมีเพียงใบหน้าเรียบนิ่งราวกับไม่สนใจ ขณะคนข้างตัวก็เดินตามไม่ห่างพลางพยายามหาเรื่องอื่นมาคุยทั้งที่ชายหนุ่มเอ่ยตอบบ้างไม่ตอบบ้าง
“สอง นั่นมันรองเท้าแบบที่คุณเคยดูไว้นี่”
ร่างสูงเอ่ยพูดก่อนจะแวะเข้าช็อปนั้นไปโดยไม่คิดจะเอ่ยถาม สารินขมวดคิ้วเมื่อนึกไม่ออกว่าตัวเองดูเอาไว้เมื่อไหร่ แต่เพราะรูปทรงโดนใจถึงได้เดินตาม ยามแอบลอบยิ้มให้กับคนที่กำลังก้มๆเงยๆดูรองเท้าอยู่ในร้าน
แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้ วันที่ความเสียใจชอกช้ำมองไม่เห็นทางออกถูกแทนที่ด้วยความสุขใจ
รพัฒน์ไม่ต้องดีขึ้นหรือพยายามเอาใจเขามากมาย...แค่ไม่มีคนอื่นและเป็นแบบในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว
“สวยกว่าในรูปอีกว่าไหม”
อีกฝ่ายหันมาถามเมื่อสารินเดินตามจนไปหยุดอยู่ตรงหน้ารองเท้าคู่เป้าหมาย
“ผมจำไม่ได้”
“แล้วนี่สวยไหม”
“ก็ดี”
เมื่อได้รับคำตอบคนถามก็พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองจากนั้นจึงส่งเสียงเรียกพนักงานที่อยู่ใกล้ตัวแล้วบอกไซซ์ที่ต้องการพร้อมทั้งส่งบัตรเครดิตให้ พลันคิ้วของสารินจะขมวดเป็นปมเมื่อจำได้ดีว่าไซซ์ที่รพัฒน์บอกไปไม่ใช่ขนาดเท้าของเจ้าตัว...แต่เป็นขนาดเท้าของเขาเอง
ขณะกำลังจะอ้าปากถามใครบางคนที่เดินเข้ามาก็หยุดคำพูดนั้นเอาไว้
“เห็นเรื่องทุเรศๆแล้วยังยุ่งอยู่กับของทุเรศแบบนี้อีกหรือไง”
ประโยคร้ายๆมาพร้อมกับคนที่เป็นดั่งคำพูดตัวเอง ปฏิกิริยาก้าวมายืนข้างหน้าราวกับปกป้องคนข้างหลังเป็นไปโดยอัตโนมัติ รพัฒน์ก้าวขึ้นมาจ้องหน้าอีกฝ่าย ส่งความรู้สึกรังเกียจไปให้อย่างเต็มเปี่ยม
“ไม่มีอะไรทุเรศไปกว่าคนอย่างคุณ”
“แก!...”
“ระวังคำพูดหน่อยสิครับคุณรริน เดี๋ยวภาพลักษณ์ที่คุณอุตสาห์ปั้นแต่งอย่างยากลำบากจะหลุดออกมา”
“แกมันโง่”
“คุณต่างหากที่โง่...อย่ามายุ่งกับเรื่องของผมกับสารินอีก ที่ผ่านมาผมไม่ทำอะไรคุณเพราะยังถือว่าเป็นคนให้กำเนิด แต่จากนี้มันไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”
“นี่แกหมายความว่ายังไง”
“ถ้าคุณมายุ่งกับสารินอีก...” ร่างซึ่งสูงกว่าผู้หญิงตรงหน้าหลายสิบเซนก้าวเท้าไปใกล้จากนั้นจึงโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหู “เรื่องสัมพันธ์สวาทกับคนขับรถของคุณคงได้หลุดไปถึงแวดวงไฮโซจอมปลอม”
เอ่ยจบก็ก้าวกลับมายืนที่เดิมด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความเหนือกว่า ขณะที่อีกฝ่ายตกใจจนเก็บอาการไว้ไม่มิด ทั้งร่างเกร็งสั่นจนคนมองสังเกตได้
“คุณรู้ดีใช่ไหมว่าสิ่งเดียวที่ผมได้รับมาจากคนอย่างคุณ...คือความเลือดเย็น”
ประโยคที่เป็นยิ่งกว่าคำยืนยันว่าพร้อมจะทำจริงทำให้รรินขนลุกซู่ด้วยความหวั่นกลัว
ใช่ เธอรู้ดี...รพัฒน์เลือดเย็นได้ไม่ต่างจากตัวเอง
“เอ่อ สินค้าของคุณลูกค้าค่ะ”
เสียงของพนักงานดังขึ้นขัดบรรยากาศมืดมัวก่อนรพัฒน์จะละสายตาจากคนตรงหน้าแล้วหยิบปากกามาตวัดเซ็นลงบนสลิปพลางรับของมาถือไว้ในมือ วินาต่อมาจึงได้ยินเสียงกล่าวขอบคุณ จากนั้นพนักงานจึงรีบเดินงุดๆออกไป
“ลานะครับ”
น้ำเสียงที่กล่าวลาเจือไปด้วยความเย้ยหยันไม่ต่างจากดวงตาคู่คม รพัฒน์หมุนตัวไปคว้ามือคนด้านหลังที่ทำเพียงยืนนิ่งมาตลอด จากนั้นจึงออกแรงรั้งให้ก้าวผ่านร่างที่ทำได้เพียงนิ่งงัน
กระทั่งเดินออกจากร้านมาไกลสารินจึงกระตุกมือที่จับอยู่แน่นเป็นสัญญาณ
“ปล่อยได้แล้ว” คนถูกรั้งเอาไว้หยุดเดินแล้วหันกลับมา
“ผู้หญิงคนนั้นจะไม่มายุ่งกับเรื่องนี้อีก”
รพัฒน์เอ่ยเสียงจริงจัง และถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามปกปิดความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน สารินก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึกๆ
แม่...ยังไงก็คือแม่ อีกฝ่ายปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้ ความรู้สึกส่วนลึกก็เช่นกัน
“เธอเป็นแม่ ไม่แปลกที่จะทำอย่างนี้”
“เธอไม่เคยเป็นแม่ผม ไม่เลยสักวินาที”
ชั่วแวบที่แววตาคู่นั้นไม่อาจเก็บความรู้สึกได้อีกจนมันเต็มไปด้วยความสั่นไหว
“ถ้าไม่สนใจก็คงไม่ตามยุ่งกับเรื่องของคุณ”
“สนใจเพราะว่าเกลียด การเกิดมาของคนอย่างผมทำให้ผู้หญิงคนนั้นสูญเสียหลายอย่าง”
ยิ่งพูดมือที่จับกันอยู่ไม่ยอมปล่อยยิ่งบีบแน่นขึ้น แน่นจนสารินรู้สึกเจ็บหากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยบอกหรือปล่อยสัมผัสนั้นออก
“ไม่มีแม่คนไหนเกลียดลูกตัวเอง”
ดวงตาคมที่มักเรียบนิ่งไม่สนใจอะไรสั่นไหวจนนัยน์ตาแดงก่ำ สารินกระชับมือที่ก่อนหน้าร้องขอให้ปล่อยแน่นขึ้น ละทิ้งการไว้ตัวของตัวเองลงชั่วครู่
“เหมือนที่ไม่มีลูกคนไหนสามารถเกลียดแม่ตัวเองได้...ใช่ไหม?”
รพัฒน์กลืนน้ำลายลงคออย่างสะกดกลั้นความรู้สึกเมื่อประโยคนี้พุ่งทะลุมากลางใจ สารินมองคนที่ปิดเปลือกตาลงราวกับอยากปิดกั้นทุกสิ่งอย่างด้วยความเป็นห่วงโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้เห็น
“กลับกันเถอะ”
มือหนาหลุดออกจากการเกาะกุมก่อนประโยคนั้นจะดังขึ้นให้ดวงตาที่ปิดลงขยับเปิด ภาพตรงหน้าที่ได้เห็นคือแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆก้าวห่างออกไป รพัฒน์จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้าลงมองปลายเท้า พลันเมื่อตั้งสติได้จึงก้าวตามสารินไปเงียบๆ
บางทีการปลอบประโลมอาจไม่ใช่จากคำพูด แต่เป็นการอยู่เคียงข้างแบบเงียบๆเท่านั้นเอง.
END.
หวังว่าจะคลายข้อสงสัยที่หลายคนสงสัยได้นะคะะะะ ส่วนเรื่องของคุณอาทิตย์ขออนุญาตยกยอดไปเฉลยในเรื่องสั้นเขาเอง
จริงๆส่วนนี้จะมาพร้อมกับตอนจบที่ลงไป แต่คิดว่าอันนั้นตั้งใจเป็นตอนจบแล้วเลยลงเท่านั้นเพื่อให้สมกับเป็นตอนจบที่ตั้งใจเอาไว้ ส่วนนี้เลยเป็นเหมือนสเปเชียลนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตาม ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
ปล.สุดท้ายแล้วโซแอลก็ขอแสดงความเสียใจกับแฟนๆของจงฮยอนและSHINEEสำหรับการสูญเสียครั้งนี้ด้วยนะคะ#RIP