ตอนที่10
เพทาย พาร์ท
หลังจากที่เคลียร์กันวันนั้นผมก็กลับมาอยู่กับพี่มุธเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับเข้าสู่โหมดปกติติดแค่เรื่องเดียวคือพี่มุธดูใส่ใจผมกว่าแต่ก่อนถึงจะไม่มากแต่มันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่ผมรู้สึกได้
ผมนอนกลิ้งอยู่ในห้องอย่างสบายอารมณ์ ไม่มีเรียนครับแต่พี่มุธมีสอนตั้งแต่เข้าจรดค่ำนี่อีกสักพักก็คงใกล้ได้เวลาพี่มุธกลับมาแล้ว กับข้าวกับปลานี่ไม่ต้องห่วงผมเตรียมพร้อมหมดทุกอย่างแล้วถึงจะไม่อร่อยแต่ทุกครั้งพี่มุธก็กินจนหมด
วันนี้ผมตั้งใจรอพี่มุธกลับมาเพราะมีเรื่องจะมาขออนุญาต เมื่อวานพอดีพวกไอ้เหนือไอ้ดินมันชวนไปเที่ยวจันทบุรี ซึ่งปีที่แล้วก็ชวดไปทีเพราะติดงานและติดว่าพ่อคุณเขาไม่อนุญาตแต่ปีนี้จะลองขอใหม่และคิดว่าถึงจะไม่ให้ไปผมก็จะไปให้ได้ครับเพราะผมอยากไป
แกร๊ก!
“หืม มานั่งทำอะไรตรงนี้” พี่มุธเปิดประตูเข้ามาเห็นผมนั่งอยู่ที่โซฟาก็ถามขึ้นทันที ผมมองพี่มุธทุกอากัปกิริยาเลยครับตั้งแต่ปลดกระดุม ปลดเนคไท ถอดรองเท้า วางกระเป๋าจนสุดท้ายเดินเข้ามานั่งข้างๆผม
“อ๊ะ” ผมร้องเมื่อถูกพี่มุธจุ๊บปาก ผมไม่รู้ว่าหน้าตัวเองตอนนี้เป็นยังไงนะครับแต่เดาได้ว่ามันคงจะแดงมากแน่ๆเพราะตอนนี้ผมรู้สึกร้อนหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“มารอพี่เหรอ” พี่มุธยกแขนข้างหนึ่งวางไว้บนพนักพิงก่อนจะจ้องหน้าผม ผมมองตอบกลับไปรู้สึกเคลิ้มอยู่ในใจเบาๆว่าพี่มุธนี่หล่อดีจัง
“เพทาย!” พี่มุธตะโกนจนผมต้องหลุดออกจากภวังค์
“ครับๆ”
“พี่ถามว่ามานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ” พี่มุธถามย้ำแถมยังยิ้มน้อยๆส่งมาให้ผมอีก
“พอดีผมมีเรื่องจะคุยกับพี่น่ะครับ” โดยปกติแล้วผมไม่ชอบมานั่งที่โซฟาหรอกครับ เพราะผมไม่ค่อยชอบดูโทรทัศน์สักเท่าไหร่ถ้าว่างก็จะหาเปิดอะไรในเน็ตดูหรือไม่ก็วาดรูปวิวซะมากกว่าจึงไม่แปลกที่พี่มุธจะสงสัยว่าผมมาทำอะไรตรงนี้
“เรื่องอะไร” พี่มุธถาม
“ผมขอไปเที่ยวจันทบุรีนะ” ผมพูดพยายามบีบเสียงเล็กๆจะได้ดูอ้อน
“จันทบุรี?” พี่มุธทวนชื่อจังหวัดแต่ทำไมต้องทำเสียงขุ่นด้วยวะ
“ใช่ ให้ผมไปนะแค่สามสี่วันเอง” ผมพยายามพูดยิ้มๆแถมส่งสายตาอ้อนๆให้อีกต่างหากแต่ไม่รู้ว่าพี่มุธจะใจอ่อนไหม
“ไม่อนุญาตครับ” พี่มุธตอบทันควัน ผมหน้ามุ่ยที่โดนห้าม
“ทำไมล่ะ” ผมถามหน้าเริ่มเครียด
“พี่เป็นห่วง” แต่พอเจอเหตุผลนี้ก็โอเคล่ะนะ ให้อภัยได้แต่ก็ยังไม่หมดอยู่ดี
“แต่ผมอยากไปนี่ฮะ ถือว่าเป็นการไปเที่ยวกับเพื่อนส่งท้ายก่อนจะเรียนจบด้วย”
“ครั้งต่อไปดีกว่า พี่จะหาวันหยุดแล้วไปด้วย” พี่มุธตอบแบบนั้นก็ทำเอาผมหน้างอกว่าเดิมสิครับ จู่ๆมาพูดว่าจะตามไปด้วยทำยังกะว่าจะไปได้อย่างนี้ผมก็อดไปเที่ยวตลอดชีวิตเลยรึไง
“ใจร้ายๆๆๆๆๆ” ผมลุกขึ้นโวยวายซึ่งปกติแล้วผมไม่เคยทำกิริยาแบบนี้ แต่ครั้งนี้ผมน้อยใจจากเรื่องก่อนๆที่ผ่านมาจนมันระเบิดออกมาเป็นเสียงตะโกนและน้ำตา
“เพทายหยุดร้อง” พี่มุธเบียดตัวเข้ามาหาผมก่อนจะดึงผมไปกอด มันดูงี่เง่ามากเลยใช่ไหมครับกับอีแค่ไม่ได้ไปเที่ยว แต่นี่มันเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ไปกับเพื่อนๆและน้องๆที่ผมรักนะครับ พอเรียนจบก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันแบบนี้หรือเปล่า
“ไม่!”
“ทำไมพี่พูดแล้วไม่ฟัง แต่ก่อนไม่เป็นแบบนี้นะ” พี่มุธพูดใส่ผม ผมชะงักค้างหยุดเสียงโวยวายไว้แค่นั้น หมายความว่ายังไง....
พี่มุธเบื่อผมเหรอ
“พี่รำคาญผมสินะ” ผมถามตามที่ใจคิดพี่มันส่ายหน้าเหมือนว่าผมคดอะไรไร้สาระ
“คิดมากอีกแล้ว”
“หรือไม่จริง สีหน้าพี่มันบอกกำลังว่าผมงี่เง่า” ผมกำลังดื้อแต่ให้รู้ไว้เลยว่ามันเป็นเพราะพี่มุธล้วนๆ
“แล้วมันใช่ไหมล่ะ พี่ห้ามอะไรไม่เคยฟัง ดื้อ ไม่น่ารักเลย” พี่มุธพูดตอบกลับถึงจะไม่เสียงดังแต่ก็ทำให้ผมเสียใจ
“ฮึกๆ....ผมจะกลับบ้าน!” ผมไม่รอให้พี่มันตอบผมหยิบกระเป๋าสะพายตัวเองในห้องนอนแล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที
“เดี๋ยวเพทาย!....เดี๋ยว” ผมไม่ฟังเสียงเรียกข้างหลัง ผมไม่แคร์
ผมอาจจะดูงี่เง่าเอาแต่ใจ แต่เพราะใครล่ะที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ พี่มุธอาจจะเบื่อผม รำคาญผม แต่ผมก็แค่อยากให้พี่มุธตามใจผมบ้างสักเรื่องแค่นี้ผมผิดหรือไง ถ้ามันดูน่ารำคาญนักผมก็จะไม่อยู่ให้พี่มันเห็นเสียสายตาอีก
ผมกดโทรศัพท์หาซัน แต่คิดอีกทีผมไม่อยากให้มันต้องคิดมากและเดือดร้อนเพราะผมอีกผมเลยกดตัดสายและเก็บมันกลับเข้ากระเป๋าไป
ผมลงลิฟท์มาชั้นล่างก่อนจะวิ่งออกจากคอนโดตรงไปที่ป้ายรถเมล์ ผมไม่กล้าโบกแท็กซี่นั่งไปคนเดียวแต่ก็ขึ้นรถเมล์ไม่เป็นครั้นจะโทรหาซันก็ไม่กล้า แต่จะให้กลับขึ้นไปหาก็ไม่เอาหรอกครับ แต่การที่พี่มุธไม่ยอมตามลงมาก็ทำให้ผมเสียใจอยู่ลึกๆ เพราะในใจมันก็หวังที่จะเห็นพี่มุธมันวิ่งมาง้อผมนี่ครับ หึ
“เอาไงดีวะ” ผมมองท้องฟ้าที่เริ่มดำสนิทสลับกับจราจรที่เริ่มสัญจรไปมาสะดวกบนถนน คิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไง
RRrrr
ไพลิน
“ฮัลโหล” ผมกดรับสายน้องสาวของผม
“อยู่ไหนเอ่ย”
“เอ่ออออ คอนโดพี่มุธไง” ผมไม่กล้าบอกว่าตอนนี้ผมหอบร่างตัวเองหนีออกมา ถ้าไพลินรู้มันต้องตกใจแน่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมหนีพี่มุธมาด้วยเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้
“ตรงไหนของคอนโด” มันถามอีก จะให้บอกยังไงล่ะว่ายืนอยู่ป้ายรถเมล์หน้าคอนโด
“มีอะไร” ผมถามกลับ
ปี๊นๆๆๆ
ไพลินยังไม่ได้ตอบก็มีรถคันหนึ่งบีบแตรใส่ผมเสียงดัง ผมหันไปมองอย่างรำคาญก่อนจะต้องอ้าปากค้างทำตาโตเมื่อคนนั่งอยู่บนรถคือน้องสาวผมเอง
“ไหนบอกว่าอยู่คอนโดไงคะ เฮีย” ไพลินถามเยาะเย้ยหน่อยๆก่อนจะเปิดรถลงมาหาผม
“มาได้ไง” ผมถาม
“เผอิญมาส่งเพื่อนแถวๆนี้ เพิ่งเลิกติวกันมาน่ะค่ะ” ไพลินตอบ
“แล้วนี่พ่อยอมให้เอารถออกมาขับได้ไง” ผมถามเพราะปกติไพลินยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถเพราะอายุยังทำใบขับขี่ไม่ได้เลยครับถ้าโดนตำรวจโบกนี่ตายแน่
“ใครบอกว่าพ่อยอม แม่ยอมต่างหาก อิอิ” แม่เป็นใหญ่เสมอสินะ
“ถึงว่า...”
“แล้วนี่จะไปไหน แล้วพี่มุธล่ะอย่าบอกนะว่าทะเลาะกันอีกแล้ว” น้องทำท่าทางจับผิดผม ชิยัยเด็กบ้าเอ๊ยรู้ดีซะจริง
“ไม่ได้ทะเลาะ” ผมบอกปัด
“อย่ามาโกหกน้องหน่อยเลย” ไพลินทำหน้าโหดจนผมต้องยอมตอบความจริง
“แค่งอนๆ”
“ฮ่าๆ จริงๆด้วยปกติพี่ทายไม่เคยหนีออกมาแบบนี้ไม่ใช่เหรอ อะไรกันพอกลับมาคบกันใหม่เพิ่มเลเวลความเอาแต่ใจเลยเหรอ”
“เดี๋ยวเหอะๆ เยอะไปๆ” ผมดุ ไพลินขำไม่จริงจัง แต่ก็อดคิดตามที่น้องพูดไม่ได้นะครับ นั่นสิทำไมถึงได้ขี้งอนหนักกว่าแต่ก่อนอีกวะกู
“งั้นก็กลับบ้านเถอะ ไปนอนรอให้พี่มุธมาง้อพรุ่งนี้ดีกว่าเนอะ” น้องควงแขนผมมาขึ้นรถ ก่อนที่ผมจะบอกให้น้องไปนั่งที่ข้างคนขับแล้วผมไปขับเองขืนให้น้องขับโชคร้ายเจอตำรวจมีหวังได้เป็นข่าวแน่
‘เด็กอายุสิบเจ็ดไร้ใบขับขี่ได้รับอนุญาตให้ขับรถหรูบนท้องถนนได้’
“ว่าแต่ทะเลาะเรื่องอะไรกันเหรอ” ไพลินถามตอนที่ผมขับออกมาได้สักพัก ผมเงียบก่อนจะเล่าความจริงให้ฟังทั้งหมด ผมไม่เคยปิดบังอะไรมันได้สักอย่าง
“ก็พี่อยากไปเที่ยวจริงๆนิ มันครั้งนึงในชีวิตพี่เลยนะ” ผมพูดย้ำพูดให้พี่มุธดูผิดที่ขัดใจผม
“อืมๆ ลินเข้าใจแล้วค่ะที่แท้ก็แบบนี้ แต่พี่มุธเขาก็ไม่ได้ผิดถึงขนาดที่พี่ต้องน้อยใจแล้ววิ่งหนีออกมาเลยนี่นา” ไพลินพูดเสนอแนะ ผมหน้างอที่ดูเหมือนน้องจะเข้าข้างพี่มุธมากกว่าผม
“นี่เธอเป็นน้องใครกันแน่” ผมถาม
“แหะๆ ก็น้องพี่แต่แอบเข้าข้างพี่เขยไง” น้องทำหน้าทะเล้นจนผมอดจะเขกหัวทุยๆนั้นไม่ได้
RRRrrrr
“โอะๆ พี่เขยโทรมาพอดีเลย” สายเรียกเข้าจากพี่มุธดังขึ้น หัวใจผมนี่เต้นแทบระเบิดเลยครับแต่ผมต้องวางมาดไว้จะรับไม่ได้เดี๋ยวเสียฟอร์มหมดทั้งๆที่จริงแล้วผมน่ะหายโกรธตั้งแต่เห็นชื่อโชว์บนหน้าจอแล้วครับ
“กดตัดไปเลย” ผมบอกเสียงขุ่นแต่ในนี่กระดี๊กระด๊ายิ่งกว่าปลากระดี่
“จริงๆอ่ะ เล่นตัวไปป่ะเนี่ย” น้องหัวเราะจับผิดผม
“นิอย่าให้มันมากเกินไป” ผมบอก
“ตัวเองก็อย่างอนให้มันมากเกินไป เหตุผลน่ะเหตุผลรู้จักไหม” น้องสองผมหันขวับมองตาเขียวไพลินก็ยักไหล่แบบไม่สนใจ
เสียงโทรศัพท์ยังดังอย่างต่อเนื่อง ผมแอบชำเลืองมองอยู่บ่อยๆแต่ก็ต้องรีบหันหลับเวลาที่ไพลินมองมาอย่างคนจับผิด ยัยเด็กนี่ร้ายใช่เล่น
“น่ารำคาญจริงๆเนาะ กดตัดตัดดีกว่า ติ๊ด!” มันพูดและทำอย่างรวดเร็วจนผมห้ามไว้ไม่ทัน โถ่อุตส่าใจอ่อนจะยอมคุยแล้วแท้ๆ
“โดนแน่” ผมเค้นเสียง
“ฮ่าๆๆ ก็พี่ทายเล่นตัวระวังเถอะเขาจะไม่มาง้อน่ะ” ไพลินพูดจนผมสะอึก ทำไมต้องแทงใจดำด้วยไม่รู้หรือไงว่าพี่กลัวโดนทิ้งมากแค่ไหน
“ช่างปะไร เขาก็ไม่ได้สนใจพี่อยู่แล้วนิ” ผมพูดอย่างคนน้อยใจน้ำตาก็พาลจะไหลซะดื้อๆ
“เฮ้ออ ทำไมต้องงอนกันไปมาด้วย” ผมไม่ตอบคำถามนั้นแต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าพรุ่งนี้และวันต่อๆไปพี่มุธยังคิดจะมาง้ออยู่ไหม
เอี๊ยดด
“ขึ้นห้องไปอาบน้ำเร็วๆเลยนะ” ผมไล่เมื่อรถจอดที่หน้าบ้านเรียบร้อย
“ค่าไปละ” ผมมองตามจนน้องปิดประตูห้องเรียบร้อย
ผมเดินกลับเข้ามาในห้องซึ่งไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ตั้งแต่คบกับพี่มุธ ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรงคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้และนึกถึงคำพูดของไพลินไปด้วย สรุปว่าผมงี่เง่าเองใช่ไหม ผมมันเอาแต่ใจจริงๆใช่ไหม และอีกไม่นานพี่มุธคงเบื่อผมสินะ
ใช่หรือเปล่า
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมามองอย่างน้อยใจโดนตัดสายไปแค่ครั้งเดียวก็ถอดใจไม่โทรกลับมาอีก หึ บ้าชะมัด
“ไม่ได้รักกันจริงๆสินะพี่มุธ ทำไมถึงไม่ง้อผมล่ะ” พูดจบก็รู้สึกว่าน้ำตามันมาคลอๆที่หางตา อีกแล้วอ่อนแออีกแล้ว
“ชิ ไหลอยู่ได้ไอ้น้ำบ้าเอ๊ย” ผมสบถ
“เพทาย”
ผมสะดุ้งเหมือนได้ยินเสียงคนเรียกหรือว่าผมหูฝาด แถมเสียงยังคุ้นๆเหมือนคนที่ผมเพิ่งหนีเค้ามาอีกต่างหาก
“กูเพ้อเปล่าวะ” ผมบ่น
“เพทาย” ผมสะดุ้งอีกทีก่อนจะยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาดู
“เชี่ย!” ผมสบถเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างไวในเมื่อเสียงที่เรียกผมคือเสียงที่ดังมาจากในโทรศัพท์
ใช่!
ยัยน้องตัวดีมันไม่ได้กดตัดแต่มันกดรับสินะ! แล้วผมจะทำไง
“หึหึ ร้องไห้อยู่สินะ” พี่มุธพูดลอดออกมาให้ผมได้ยินผมปิดปากเงียบไม่ตอบอะไรแต่ในมือก็ยกมือถือขึ้นแนบหูอย่างห้ามไม่ได้
เกือบยี่สิบนาทีเลยเหรอเนี่ยที่พี่มุธยอมเสียตังค่าโทรฟรีๆเพื่อฟังเสียงผมขับรถ เดินเข้าห้อง และเพ้อเจ้อคนเดียว เขาได้ยินอะไรไปบ้างหรือเปล่าเนี่ย
“ฮึก” ผมเผลอสะอื้นเสียงดังจนต้องรีบปิดปากให้แน่นไว้
“ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้อีกแล้ว” พี่มุธตอบกลับมา
“…………….”
“ถ้าการที่พี่เป็นห่วงแล้วทำให้เราเสียใจ งั้นต่อไปพี่จะไม่เป็นห่วงอีกแล้วดีไหม” ผมน้ำตาไหลเมื่อพี่มันพูดแบบนั้น
“ฮึกๆ...พะ..พี่เบื่อผะ..ผมแล้วจริงๆ..ฮึก..ด้วย” ผมยอมพูดเพราะทนไม่ไหวจริงๆ
“พี่ไม่เคยเบื่อมีแต่เราที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย”
“แต่ผมอยากไป” ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ผมคิกแล้วว่าครั้งนี้ผมจะดื้อให้ถึงที่สุด และถ้าพี่มันไม่ยอมผมก็จะงอนต่อไปเรื่อยๆ
“งั้นก็แล้วแต่” ผมร้องไห้หนักขึ้นอีก
“ฮึกๆ จะไม่สนใจกันแล้วเหรอ”
“นอกจากเรื่องครอบครัว เพทายเป็นสิ่งเดียวที่พี่สนใจเสมอยังไม่รู้ตัวอีก” ถึงจะไม่ได้เป็นคนเดียวที่พี่มันสนใจแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างน้อยพี่มุธก็เป็นผู้ชายที่รักครอบครัวนะ
“งั้นทำไมพี่ไม่มาง้อผม” ผมถามเสียงอ่อน
“ก็รู้ไงว่าถึงตามยังไงเพทายก็คงไม่หายโกรธ”
“ละ..แล้วถ้าผมนั่งคนเดียวแล้วโดนคนมาทำอะไรล่ะ พี่ไม่ห่วงเหรอ” ผมน้อยใจอีกแล้วครับ ทุกทีสิน่างอแงอีกแล้วเรา
“พี่ก็จะเข้าไปช่วยไง พี่เห็นแล้วว่าน้องลินมารับพี่เลยไม่เข้าไปหา”
“หมายความว่าไง” ผมถามอยากได้แบบชัดๆ
“เพทายอยู่ในสายตาพี่เสมอจำไม่ได้หรือไง” นี่ผมกำลังยิ้มผมรู้สึกได้ แต่นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ผมเหมือนเป็นคนที่เหนือกว่าเพราะงั้นขอเล่นตัวอีกหน่อยได้หรือเปล่าเนี่ย
“จำไม่ได้ แค่นี้นะผมจะนอนแล้ว” ผมพูดจบก็กดตัดโดยไม่รอว่าอีกฝ่ายจะพูดว่าอะไร
แต่คืนนั้นพี่มุธก็ไม่ได้โทรกลับมาอีกผิดจากที่คิดไว้นิดหน่อยแต่อย่างน้อยพี่มันก็ส่งข้อความมาบอกราตรีสวัสดิ์แทน
ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าหลังจากที่เรากลับมาคืนดีกันพี่มุธดูจะอ่อนโยนขึ้น แล้วผมก็ดูจะงี่เง่ามากขึ้นด้วยแต่ผมห้ามไม่อยู่จริงๆหรือเป็นเพราะผมมักจะคิดถึงเรื่องที่พี่มุธต้องแต่งงานอยู่ในหัวตลอดเวลาจนผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถอดทนเป็นคนรออยู่ฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป
ผมรับได้ถ้าวันหนึ่งพี่มันจะเดินเข้ามาบอกว่าเราเลิกกันเถอะเพราะพี่ต้องแต่งงานแล้วจริงๆ ถ้าถึงเวลานั้นอย่างน้อยให้ผมได้งอแง ได้งี่เง่าให้พี่มันง้อผมสักครั้งเถอะ ให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นคนสำคัญที่พี่มันต้องใส่ใจก่อนจะถึงเวลานั้นจริงๆ
.
.
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่พวกเรามารวมกันที่บ้านไอ้ดินเพื่อจะเดินทางไปจันทบุรี ถึงจะโดนห้ามแต่ผมไม่แคร์บอกตกลงกับพวกไอ้ดินในวันรุ่งขึ้นทันทีว่าตกลงจะไปด้วย พวกน้องๆก็ดูจะดีใจที่พวกผมจะไปด้วย
ผมไปเล่าให้พวกไอ้เขียนเพื่อนอีกกลุ่มของผมที่สนิทกันฟังมันก็บอกว่าจะขอตามไปด้วยแต่ขออยู่ทำงานให้เสร็จก่อนแล้วจะตามไปทีหลังสีหน้ามันดูหื่นกามอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำเอาทุกคนแปลกใจนะเพราะปกติมันไม่ใช่คนที่จะชอบไปเที่ยวต่างจังหวัดซะด้วยไม่รู้เพราะมีอะไรที่มันสนใจอยู่ในทริปนี้หรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ
หรือมันอาจจะตามไปเอาเรื่องไอ้เหนือหรือเปล่า เหตุผลนี้ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับเพราะมันเคยทะเลาะกันในผับอย่างรุนแรงจนพวกผมตกใจอยู่ครั้งหนึ่ง เกือบคิดว่าน้องที่พวกผมรักกับเพื่อนที่พวกผมรักต้องมาทะเลาะกันแต่ก็ยังดีที่เรื่องมันจบโดยที่ไม่มีฝ่ายใดเอาเรื่อง
ยืนรอขนกระเป๋าขึ้นบนรถตู้สายตาก็พลันไปเห็นวิสกี้มันส่งยิ้มทักทายมาให้ ในใจผมหน่วงทุกครั้งที่เห็นหน้ามัน รู้สึกผิดครับที่ผมต้องทำตัวเหมือนไม่มีอะไรแต่จริงๆแล้วผมแอบมีความสัมพันธ์กับพี่ชายมันไปถึงไหนต่อไหน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ามันรู้ความจริงมันจะยังรับผมให้เป็นพี่ที่สนิทได้หรือเปล่า
หลายครั้งนะครับที่ผมเผลอทำหน้าตาเศร้าๆให้มันเห็น เวลามันถามผมว่าเป็นอะไรถึงทำหน้าเหมือนคนป่วยไม่ได้กินยาผมพูดไม่ออกที่ต้องโกหกว่าเครียดเรื่องเรียนทั้งที่เครียดเรื่องพี่ชายมัน ผมไม่อยากให้มันคิดว่าผมหลอกมันเอาความหวังดีของมันมาทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก
“ครบละ หกชีวิตที่หล่อและโสด เดินทางได้เลสโก”ไอ้ดินมันพูดเมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมทั้งของทั้งคนทั้งรถที่ตรวจเช็คสภาพมาแล้วอย่างดี
“ตื่นเต้นว่ะ” ผมพูดกับไอ้ซันมันหันหน้ามามองผมงงๆนิดหน่อย
“มึงพูดว่าอะไรนะ” ผมขมวดคิ้วมันเหม่ออะไรถึงไม่ได้ยินที่ผมพูด
“จดๆจ้องๆโทรศัพท์เป็นอะไร หรือรอใครโทรมาอยู่เอ๊ย หรือว่ามึงอยากจะโทรหาใคร” ผมแกล้งถาม มันทำหน้าตกใจรีบปฏิเสธ
“เปล่าๆ บ้าแล้ว” แม่งพิรุธชัดๆกูต้องรู้ให้ได้เลย
“เออ ไม่มีก็ไม่มี” ผมยักคิ้วล้อเลียน มันหันฟน้าหนีไม่กล้าสบสายตานั่นไงนี่มันอาการของคนมีพิรุธชัดๆ
“มาเหี้ยอะไรกูไปเที่ยวกะเพื่อน ไอ้มุธมึงอย่ากวนตีนกูได้มะ มึงจะไปทำไม วันหยุดมึงแล้วเกี่ยวไรกะกู โอยไอ้เหี้ย ไอ้พี่เลวแม่งตัดสายกู”
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นรถพวกผมก็ต้องหันไปมองตามเสียงร้องของวิสกี้ ผมเห็นมันยืนแกปากคุยกับโทรศัพท์ดูแล้วคงหัวเสียอย่างบ้าคลั่ง แต่ใจผมนี่โครมครามไม่อยากคิดว่าเมื่อกี้นี้มันจะคุยกับพี่มุธแถมพูดเหมือนว่าพี่มันจะตามมาอีก
ตั้งแต่วันที่เราทะเลาะกันวันนั้นพี่มันไม่โทรมาหาผมอีกเลย ไอ้ผมก็ดันงอนไม่เลิกทิฐิสูงไม่ยอมโทรไปก่อนด้วยผมก็เลยคิดว่าพี่มันคงไม่สนใจแล้วซะอีก
“แสดงว่าพี่มุธเขากำลังจะมาที่นี่สินะ” ผมตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินประโยคที่ไอ้เหนือถามวิสกี้ ก่อนหน้านี้มันคุยอะไรกันไม่ทราบครับผมไม่ทันได้ฟัง
“เออมั้งแม่งกูโทรหาก็ปิดเครื่องหนีอีก มันนึกคึกอะไรของมันวะมึง” วิสกี้มันกำลังโวยวายแต่ผมกำลังจะหัวใจวาย
ไม่ได้เจอหน้ากันมาสองสามวันแถมยังงอนกันซะใหญ่โตอีก พูดตรงๆถ้าพี่มันมาผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่คิดๆไปผมจะทำอะไรได้นอกจากทำหน้าเหมือนว่าเราไม่เคยรู้จักกัน
“เอาน่าถ้าพี่มึงไปพวกเราอาจจะไม่ต้องจ่ายอะไรเลยนะเว้ย คิดในแง่ดีดิมึง” ไอ้เหนือพูดเหมือนจะดีนะถ้าได้เที่ยวฟรีแต่ถ้ามันทำให้ผมต้องอึดอัดใจผมขอเที่ยวแบบเสียเงินเองยังจะดีซะกว่า
แล้วสุดท้ายกำหนดการเดินทางก็ต้องเลื่อนออกไปเพื่อนั่งรอแขกคนสุดท้ายที่โทรมาปุบปับว่าจะไปด้วย ผมภาวนาว่าให้พี่มุธล้อเล่นและโทรมายกเลิกกับวิสกี้ว่าไม่ไปแล้ว ถ้าก่อนหน้านี้เราไม่ได้โกรธกันผมคงอยากให้พี่มันมา แต่ถึงจะมาเราก็ต้องต่างคนต่างอยู่ หึ ผมนี่อาภัพเกินใครจริงๆ
บรืนนนน
สิบนาทีเห็นจะได้รถบีเอ็มสีดำก็มาจอดสนิทเทียบข้างรถตู้ของบ้านไอ้ดิน ไม่ถึงสิบวินาทีเจ้าของรถเขาก็เดินลงมาพร้อมกระเป๋าใบเล็กๆหนึ่งใบ ใจผมโครมครามเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ผมคิดถึงตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะโกรธให้ตาย
พี่มุธตีเนียนดีเยี่ยมเขาไม่มีท่าทีว่าจะสนใจผมเป็นพิเศษทำเหมือนทุกครั้งที่พวกเรารวมตัวมาเจอกัน ทั้งๆที่ผมควรจะชินแต่ทำไมคราวนี้ผมกลับรู้สึกไม่ชอบใจ ผมเห็นแก่ตัวหรือเปล่าถ้าผมจะบอกว่าผมอยากได้คำพูดที่บอกว่า ‘เพทายแฟนพี่’ หรืออ้อมกอดที่พี่มุธมักจะมอบให้ผมบ่อยๆ
“นี่มุธ มึงไปหัดแต่งตัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขนาดมึงไปเที่ยวทะเลกะครอบครัวมึงยังใส่สูทรองเท้าหนังเลย” ทุกคนขำกับคำถามของวิสกี้แม้แต่ผมยังอดหัวเราะตามไม่ได้
“ชุดนี้เมียกูซื้อให้กูเลยเอามาใส่” ผมสะดุ้งรู้เลยว่าหน้าแดงขึ้นแน่ๆ ผมไม่ทันสังเกตเลยว่าชุดนี้ผมซื้อให้เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ราคาไม่ได้แพงมากหรอกครับเพียงแต่ผมเห็นว่ามันเหมาะกับพี่มุธเลยซื้อมาให้แบบยกชุด เสื้อ กางเกง รองเท้า แม้กระทั่งแว่นกันแดดผมก็เป็นคนเลือกให้
หรือว่าพี่มันตั้งใจใส่มาง้อ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามผมก็ยังจะคงงอนและน้อยใจต่อไป อย่าถามหาเหตุผลเพราะผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมผมถึงอยากจะงอน อยากจะให้พี่มันง้ออยู่ตลอดเวลา
พี่มุธ วิสกี้ และเหนือ หยอกล้อกันอย่างปกติจนเกิดเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง มีแต่ผมคนเดียวละมั้งที่ในใจเผลออิจฉาทั้งๆที่เขาเป็นพี่น้อง ผมอยากได้แบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้และไม่มีวันได้ สายตาของผมคงจะแสดงออกเกินไปจนซันต้องมาสะกิดที่ไหล่ให้ผมได้สติ
“เก็บๆไว้บ้างถ้าไม่อยากให้ใครรู้” ผมพยักหน้ารับ ขอบคุณนะที่คอยเตือนให้กูรู้ว่ากูมีสิทธิ์แค่ไหน
ในช่วงขณะนั้นผมกับพี่มุธเผลอสบตากันแวบนึงก่อนที่จะเป็นผมเองที่หันหน้าหนีและลากมือซันก้าวขึ้นไปนั่งรอบนรถ
“ใจเย็นๆ” มันกระซิบบอก
“จะพยายาม” ผมคงทำได้แค่นี้จริงๆ
TBC_________________