(ต่อ)
แต่สงสัยจะเดินช้าไป
เป็นหมีต้วมเตี้ยม ก้าวเท้าเทอะทะไม่ทันใจกระต่าย
“หึงที่กอดไอ้พิชญ์เหรอ”
มัวแต่ประหม่า เงอะงะจนทำให้เข้าใจผิดซะได้
“เปล่า”
ยังจะปฏิเสธ หน้าบึ้งขนาดนี้งอนไปถึงไหนแล้วนั่น
“งั้นเป็นอะไร” อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปบีบปากที่เบะไม่รู้ตัวอย่างมันเขี้ยว ขยับเข้าไปใกล้จนเจ้าตัวขยับหนี แถมยังขู่ฟ่อด้วยการกัดนิ้วผมทีหนึ่ง
กลายเป็นกระต่ายดุไปซะแล้ว
“ก็เราไม่เข้าใจ”
“หือ ไม่เข้าใจอะไร” ผมเลิกคิ้วถาม ท่าทางเจไดดูคับข้องใจมากๆ จมูกเล็กๆ ย่นยุกยิกงุ่นง่านอยู่แป๊บหนึ่งก็อธิบาย
“เจดเคยบอกว่าถ้าตื่นเต้นมากๆ จะชอบกอดใครสักคนให้สบายใจ แล้วทำไมคนคนนั้นไม่ใช่เรา”
ผมชะงัก ไม่นึกว่าเจจะคิดมาเรื่องนี้
ที่ผ่านมาผมเหมือนใช้ไอ้พิชญ์เป็นตัวแทนความเชื่อมั่น ความหวัง ความทะเยอทะยาน แค่เห็นมันผมก็รู้สึกเหมือนได้รับพลังที่จะก้าวผ่านอุปสรรคไปได้
ลืมไปว่ากับเรื่องนี้คงไม่ต้องใช้
“เจด เราถามจริงๆ ยังชอบพิชญ์อยู่ใช่ไหม” เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสมหวังโดยไม่ต้องขอเผื่อแผ่ความมั่นใจจากใครทั้งนั้น
สิ่งที่ต้องทำก็แค่เชื่อมั่นในคนตรงหน้า... เชื่อมั่นในคนตรงหน้า
ถ้าเป็นคนนี้ ยังไงก็ไม่มีทางปล่อยมือ
“ถ้าเจดยังตัดใจจากพิชญ์ไม่ได้... เราจะรอ”
ผมพยายามกลั้นยิ้ม ครั้งแรกเลยที่มีคนบอกว่าจะรอ
“อืม... งั้นขอเวลาหน่อย”
กะระยะห่างที่กระต่ายวิ่งนำหน้าไป คงไกลมากแล้ว
“สักสามวิ”
แต่แค่นั้นคงพอ หมีต้วมเตี้ยมจะรีบไปหา จะวิ่งตามให้ทัน
“สาม...” ผมอาศัยจังหวะที่เจยังงุนงงเข้าไปกอด รัดอ้อมแขนแน่นพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“สอง...”
น่ารัก ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งหน้ารัก ใบหน้าสับสน คล้ายจะโกรธแต่ก็เลิ่กลั่ก เขินจนแก้มแดงแจ๋
โคตรน่ารัก
“หนึ่ง... อ่ะตัดใจได้ละ” แตะปลายจมูกกับปลายจมูกจิ้มลิ้ม เอ่ยคำสารภาพ “ชอบเจว่ะ อยากได้”
เป็นคำเดียวกับที่เคยใช้ตอนจีบเจเข้าวง ผมนึกสงสัยว่าเจชอบผมตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือเปล่านะถึงได้ตอบตกลง
‘ครับ... ชอบเหมือนกัน’
ตอนนั้นแค่รู้สึกว่ามันฟังดูแปลกๆ ไม่ทันได้คิดอะไร แต่พอนึกขึ้นได้ก็เริ่มเขินย้อนหลัง... โดนจีบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนี่หว่า
“มุกเก่า” เหมือนเพิ่งได้สติเจ้าตัวถึงได้พยายามทำหน้าบูดบึ้งทั้งที่ตัวแดงไปถึงปลายนิ้วแล้วมั้ง
ผมยิ้มขำ ถือวิสาสะอุ้มคนน่ารักไปวางไว้บนโขดหินเพื่อให้อีกคนอยู่ในระดับสูงกว่าวางแขนคร่อมร่างไว้พลางเงยหน้าสบตา
“คราวนี้จริงจัง” จริงจังมาก ไม่ให้หนี ไม่ให้รอ ไม่ลังเลอะไรทั้งนั้น
“เลิกชอบไอ้พิชญ์ตั้งนานแล้ว ที่กอด ที่เป็นห่วงมันก็เพราะสนิทกัน แต่ถ้าเจไม่ชอบก็จะค่อยๆ เลิกทำ”
“ก็ไม่ได้ไม่ชอบ... อันที่จริงก็ไม่มีสิทธิ์ไม่ชอบสักหน่อย” คนตัวเล็กพูดงึมงำท่าทางดูไม่มั่นใจแต่ก็พยายามอธิบาย
“เราบอกให้เจดเลิกสนิทกับน้องพิชญ์ไม่ได้หรอก หวงเจดก็ไม่ได้ หึงเจดก็ไม่ได้ เราน้อยใจบ่อยๆ แต่เราก็แค่น้อยใจ เดี๋ยวก็หาย”
“...”
“อย่าเพิ่งรำคาญนะที่เรางี่เง่า เรายังอยากคุยกับเจด อยากอยู่ข้างๆ ยังไม่อยากแยกย้าย”
“...”
“เราขอจีบเจดต่อ... ได้ไหม” ยิ่งเจพูดทั้งหมดออกมายิ่งรู้ว่าเรื่องไอ้พิชญ์เป็นประเด็นที่ติดค้างในใจเจมานาน
รู้แล้วว่าความสนิทที่ใช้อ้างคงทำให้อีกคนไม่สบายใจ ถ้าปล่อยเรื้อรังคงทำให้เจคิดมากต่อไป
ผมคงเลิกสนิทกับไอ้พิชญ์ไม่ได้เพราะยังไงเราต้องพึ่งพากันและกัน แต่ผมจะพยายามทำให้เจเชื่อเองว่ามันไม่มีอะไรทั้งนั้น
“นี่ไง ถึงได้บอกว่าคราวนี้จริงจัง” สายตาผมมองแต่เจคนเดียวมาตั้งนานแล้ว ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
“ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่คิดมาก ตื่นเต้นจะแย่ อยากรอบรรยากาศดีๆ ลังเลว่าควรถามก่อนหรือหลังแสดง แต่ดันเซ่อซ่าทำเสียบรรยากาศ แต่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งอยากรีบถาม ไม่อยากรอแล้ว”
ไม่รอแม่งแล้วบรรยากาศ ดาวสวยๆ ดนตรีเพราะๆ
แค่โขดหินโง่ๆ หมีโง่ๆ กับคำถามที่อยากถามมานาน
“เจได...” ขอแค่มีตัวน่ารักตรงหน้าที่กำลังตั้งใจฟัง “จีบมาตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะขอเป็นแฟน”
“...”
แค่รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่ทีละนิดจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้างก็พอแล้ว
“ว่าไง”
“เอาตรงๆ นะ” เสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อผมแกล้งถามน้ำ มือคู่เล็กที่ยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าผม ลูบหนวดรกๆ แบบที่ชอบทำ
“ชอบเจดอ่ะ อยากได้” เจชอบบอกว่าเสียงผมเพราะ ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ
เจ้าตัวคงไม่เคยรู้ว่าเสียงตัวเองน่ารักมากแค่ไหน แค่ประโยคเดียว...แค่คำเดียว ไม่ว่าเจจะพูดอะไร ไม่มีครั้งไหนเลยที่ได้ยินแล้วจะไม่ยิ้มออกมา
ชอบ... ชอบมาก
มากจนอยากครอบครองไว้คนเดียว
“หึ มุกซ้ำ”
ทุกประโยค ทุกคำ... ทั้งริมฝีปากน่ารักที่ขยับเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา
“เจด...พักก่อน” ผมหัวเราะ แต่ไม่ยอมทำตามกดจูบย้ำๆ จนคนตัวเล็กทำท่าเหมือนหายใจไม่ทัน
ผมผละริมฝีปาก มองใบหน้าอีกคนที่ยิ่งแดงแจ๋ พยายามก้มหน้าหนีแต่หนีไปไหนไม่ได้เพราะอ้อมกอดที่กักไว้
“เจด... กอดแน่นไปแล้ว”
หึ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะกอดให้แน่นกว่านี้อีกครับ
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
แต่ถ้ากอดแน่นไปจะเป็นอะไรมั้ยนะ...
จะบุบสลาย จะหวาดกลัวจนกระโดดหนีไปหรือเปล่า
เขาว่ากระต่ายเป็นสัตว์ที่มักจะอดทนต่อความเจ็บปวดซะด้วยสิ...
ไม่ส่งเสียง... ไม่ร้องไห้
แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะรู้ได้ยังไง
“อื้อ...” เสียงร้องอึดอัดดังขึ้นในลำคอทันทีที่ถูกจู่โจมใบหู คนตัวเล็กเม้มปากแน่นกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกมา
“เจ็บไหม” แม้แต่ตอนที่ถูกถามเจ้าตัวก็ยังกัดริมฝีปากล่างตัวเองจนน่ากลัวว่ามันจะเป็นแผล
“เจ” ผมดุ หยุดนิ้วที่กำลังขยับ... ให้ค้างคาอยู่ในร่างกายจนคนตัวเล็กบิดเร่าทรมาน
“อึก... เจด...” ริมฝีปากแดงจัดเผยอออกจากกัน เปล่งเสียงเรียกปนครางฟังไม่ได้ศัพท์ น้ำตารื้นคลอดวงตาที่ปรือลงพร้อมกับหอบหนัก
“เจ็บไหม” ผมอมยิ้ม แกล้งกระซิบถามซ้ำคาดคั้นเอาคำตอบจนคนใต้ร่างยอมส่ายหน้าตอบพลันวัน
“อยากให้ขยับไหม” ผมแกล้งถามต่อ แต่คราวนี้เจไดเงียบ ทำท่าจะกัดริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง
ผมห้ามด้วยการทาบริมฝีปากลงไป แทรกเรียวลิ้นไม่ให้ฟันกระต่ายกัดลงมา
“อือ...” เสียงร้องอึดอัดงึมงำอยู่ในลำคอ คำถามของผมได้รับคำตอบเป็นรสจูบหวานโต้ตอบ พร้อมกับสะโพกเล็กที่เป็นฝ่ายบดเข้าหาขยับรูดรั้งนิ้วของผมเสียเอง
ผมหัวเราะเบาๆ ขยับตอบสนองตาม เชื่องช้า ก่อนค่อยๆ เร็วขึ้น กลายเป็นฝ่ายนำความรู้สึกอีกครั้ง
“ไม่ไหว... เราไม่ไหว...” กระทั่งเสียงหวานสารภาพอย่างไม่อาจปกปิดความรู้สึกอีกต่อไป เสียงสะอื้นปนกระเส่า ส่ายหน้าพัลวันอย่างน่ารัก
เจไดยกมือสองข้างขึ้นมาโอบรอบคอผมแน่น ร่างกายบิดเกร็ง เนื้อนุ่มบีบรัดนิ้วทั้งสามของผมแน่น... ข้างในร้อนจัด
ผมถอนนิ้วมือออก ยังไม่ยอมให้ไปถึงปลายทาง
คนใต้ร่างจึงร้องผวา ดวงตาหวานฉ่ำมองคาดโทษพร้อมน้ำตาอาบแก้ม
“เจด... อย่าแกล้ง...” เสียงนั้นกระเง้ากระงอดปากบวมเจ่อเบะบึ้ง
เห็นแบบนั้นยิ่งทั้งเอ็นดูและอยากรังแกไปพร้อมกัน ผมหัวเราะเบาๆ จูบซับหางตา ไล่ไปทั่วใบหน้า ดึงฝ่ามือเล็กๆ มาสัมผัสความอึดอัดที่ยังซุกซ่อนอยู่ในกางเกงยีน
“ตรงนี้... ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
คนน่ารักก้มมองความแข็งขึงที่ขยายดุนดันเนื้อผ้าออกมาก่อนสบตาผมอย่างเขินอาย กัดริมฝีปากตัวเองอีกครั้งขณะที่ค่อยๆ ใช้มือข้างเดิมรูดซิปลงให้ ดึงรั้งขอบกางเกงเพื่อปลดปล่อยตัวตนอึดอัดเป็นอิสระ
ผมหัวเราะแล้วทาบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ปล่อยให้มือเล็กไล้ลูบกลางลำตัวของตัวเองอยู่อย่างนั้น คล้ายทำความคุ้นเคยกับมัน
“อืม...”
ทั้งที่แววตาเต็มไปด้วยความประหม่าไร้เดียงสา แต่ปลายนิ้วที่สัมผัสลงมากลับอุกอาจ ลากไล้ราวกับรู้ว่าทำยังไงผมถึงจะรู้สึกดีจนแทบคลั่ง
แต่ผมจำเป็นต้องรอให้เจพร้อม
เจตัวเล็กกว่าผมมาก... อะไรๆ ก็มีขนาดต่างกันเป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่ถ้าต้องสอดใส่... ผมไม่มั่นใจว่าร่างกายเจจะรับมันได้แค่ไหน
ไม่อยากให้บาดเจ็บ... แต่มาถึงตรงนี้คงถอนตัวไม่ได้
“เจ... พี่เจครับ...” ผมส่งเสียงเว้าวอน พลางกดจูบซอกคอ หัวไหล่ กัดไปทั่วร่างเล็กอย่างมันเขี้ยว
ผมพรมจูบซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่มืออีกข้างควานหาของสำคัญ
...ก่อนนึกได้ว่าผมพลาด
ลืมไปเสียสนิทว่าถุงยางอนามัยอยู่ในกระเป๋าสตางค์ที่ผมโยนให้ไอ้พิชญ์ไปตั้งแต่ต้นงาน เพราะพนันกับมันไว้ว่าถ้าลากไอ้เตมาได้ผมจะเลี้ยงเหล้า
ชิบหาย...
เจไดคงรู้เหมือนกันว่าเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน มือที่กอบกุมตัวตนของผมอยู่หยุดชะงัก ดวงตาใสซื่อสบตาผม กะพริบปริบๆ พลางกัดริมฝีปาก
“ขอ...!!” แต่ก่อนจะได้เอ่ยขอโทษ ผมถูกผลักออก คิดว่าคงจบแล้วจนอีกคนตามมานั่งคร่อมตัก มือสองข้างเกาะไหล่ผม เม้มปากกระอักกระอ่วนอยู่สักพัก ก่อนเอ่ยคำที่ทำเอาผมแทบคลั่งยิ่งกว่าเก่า
“ข้างนอก... ได้ไหม...”
“...” เพราะผมมัวแต่อ้ำอึ้งชักช้า คนตัวเล็กเลยไม่รอคำตอบ เจไดยกสะโพกขึ้นพลางเอื้อมมือกอบกำตัวตนผมอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ หย่อนตัวกดทับลงมา สัมผัสของเนื้อนุ่มกลืนกินความแข็งขึงอย่างเชื่องช้า
แต่ไม่ถึงครึ่งทางก็ชะงัก ใบหน้าเขินอายกลับกลายเป็นบิดเบี้ยว น้ำตาคลอหน่วย
“ไม่... ไม่ไหว...”
ผมหัวเราะเบาๆ ยกแขนขึ้นกอดเจไว้ ลูบหลังพลางจูบซับทั่วใบหน้าปลอบประโลม
“ใจร้อนจัง”
คนงอแงเบ้ปากอย่างน่าเอ็นดูก่อนเปลี่ยนเป็นเผยอปากรับจูบ ร่างกายอ่อนปวกเปียกตามสัมผัสเล้าโลมเพื่อให้ส่วนล่างผ่อนคลายพลางค่อยๆ ดันร่างกายเข้าไปขณะที่ริมฝีปากยังไม่ผละห่าง
"ลึก... ลึกจัง..." ความรู้สึกที่เอ่อล้นทำให้คนในอ้อมกอดกักเก็บเอาไม่ไหว ไม่รู้จะระบายยังไงจนต้องเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาอย่างลืมความอาย
"เจด... เจด..." แต่ยิ่งพร่ำพูดเท่าไหร่เสียงหวานก็ยิ่งคล้ายจะปลุกอารมณ์คลุ้มคลั่งในตัวผมเช่นกัน จากที่ตั้งใจจะอ่อนโยนกว่านี้ ผมจึงเผลอปล่อยใจกดแทรกตัวตนต้านทานแรงบีบรัดที่มากขึ้นในทุกขณะ
รุนแรงจนต้องขบกรามแน่นด้วยความอึดอัดไม่แพ้กัน
“อื้อ...!!” กระทั่งรับเข้าไปจนหมด เสียงหวานหลุดครางลั่น ร่างเล็กผวากอดผมแน่น กระตุกเกร็งพร้อมสัมผัสของของเหลวที่สาดกระเซ็นทั่วหน้าท้องผมอย่างไร้หนทางอดกลั้น
“ฮึก...เสร็จ... เสร็จแล้วครับ...” เจไดดูตกใจเหมือนกันที่เผลอหลั่งออกมาก่อน เจ้าตัวเบะปากหอบสะอื้นด้วยแรงอารมณ์ หน้าแดงจัด พลางพยายามใช้มือปาดคราบน้ำขาวข้นออกจากหน้าท้องให้ ผมมองการกระทำนั้นด้วยหัวใจเต็มตื้นไปด้วยความเอ็นดู อยากทะนุถนอม แต่ก็อยากขยี้ให้เต็มไปด้วยรอยมือ กอดรัดจนร่างแหลกหลอมเข้าด้วยกันซะให้รู้แล้วรู้รอด
“เสร็จแล้วเหรอครับ” แต่สุดท้ายทำเพียงโอบกอดไว้ ยิ้มพลางจูบเบาๆ อย่างรักใคร่
ผมสบตาดวงตากลมที่ยังฉายแววตระหนก ดึงฝ่ามือเปรอะเปื้อนขึ้นมาไล้เลียชิมรสรักจนไม่เหลือก่อนบรรจงจูบปลายนิ้วทีละนิ้วแผ่วเบา กอดกระชับร่างที่ยังสั่นน้อยๆ ไว้แน่น พรมจูบทั่วใบหน้าซ้ำไปซ้ำมา แช่ตัวตนค้างไว้เพื่อให้อีกคนปรับตัวแม้ว่าแรงบีบรัดที่ทิ้งไว้จะยิ่งสุมความต้องการให้ทวีขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว
“พี่เจครับ” ผมเรียก แตะริมฝีปากค้างไว้เพื่อสบตา
“ป๊า...ป๊า...” ดวงตาสับสนคล้ายไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร ได้แต่เอ่ยเรียกผมอยู่แบบนั้น
“จะแข่งกันแก่เหรอ” ผมหัวเราะ แกล้งติดตลกพลางลูบหัวลูบหลังให้ผ่อนคลาย เจไดซบหน้าลงมากับคอผม กัดระบายซ้ำๆ
ผมกอดตอบพลางเลื่อนมือขึ้นมาลูบใบหน้า เกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่ออย่างทะนุถนอม มองดวงตาอาบรื้นด้วยน้ำตาแล้วกดจูบปลอบประโลมอีกครั้ง
“พี่เจ... อยากให้หยุดไหม...” เอ่ยถาม เพราะเห็นว่าเจไดไปถึงฝั่งฝันก่อนหน้า และกำลังเหนื่อยล้า อาจเกินกว่าจะรับความต้องการของผมไหว
ยังไงผมก็ไม่อยากให้เจเจ็บ ผมรอได้
“ไม่...ไม่เอา...” แต่กระต่ายดื้อกลับส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามขยับสะโพกทั้งที่ขายังสั่น แต่ไม่ทันไรก็อ่อนปวกเปียก ทิ้งกายยอมแพ้ในอ้อมกอดผมอีกครั้ง
“เจด... ขยับ...”
ผมยิ้มรับ ขยับร่างกายตามสั่ง
แต่คราวนี้... ต่อให้ขอร้องให้หยุดผมก็ไม่หยุดแล้วนะครับ
ผมดันร่างเจไดนอนราบอีกครั้ง เสียงหวานหลุดครางเมื่อแรงขยับส่งผลให้ร่างกายที่สอดประสานเสียดสี กดจูบพลางลูบไล้ทั่วร่างเล็กอย่างเอาแต่ใจ ใช้มือและริมฝีปากเล้าโลมจนความอ่อนนุ่มเริ่มผ่อนคลายจึงค่อยๆ ถอนสะโพกขยับตัวตนเข้าออกเชื่องช้า
ค่อยๆ สุมไฟปรารถนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกครั้ง
เร่งจังหวะเมื่อร่างกายอีกคนกลับมาตอบสนอง ตัวตนที่เพิ่งปลดปล่อยกลับมาแข็งขึงอีกครั้ง จมดิ่งสู่สัมผัสที่ผมมอบให้ ขยับตามจังหวะรักที่กลับกลายรวดเร็วและดุดันตามไฟราคะที่ลุกโหมเกินต้านทาน ยอมให้ผมเอาแต่ใจ จับเปลี่ยนท่าทางราวกับร่างกายเป็นของเหลวปรับเปลี่ยนภาชนะได้
ในเต็นท์เล็กๆ อับสายตา มีเพียงเสียงร่างกายที่สอดประสานเฉอะแฉะปะปนกับเสียงหอบหายใจ
เสียงจูบกักเก็บเสียงครางที่เริ่มดังขึ้นตามแรงปรารถนา จนน่ากลัวว่าถ้ามีใครเดินผ่านมาคงได้ยินเสียงน่าอาย
แต่ต่อให้เงียบเชียบแค่ไหน หากมีใครผ่านมาจริงๆ ก็คงไม่อาจปกปิดการกระทำอุกอาจ กลิ่นคาวราคะ เงาของสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดกระทบฉากขยับประสานเป็นรูปร่างประหลาดเล่นล้อแสงไฟจากตะเกียงเล็กๆ
เสียงกระซิบพูดคุยสลับกับเสียงบรรเลงเพลงรักดังอื้ออึงแข่งกับเสียงจากเวทีที่อยู่ห่างออกไป
เพลงแล้วเพลงเล่า
...จนรุ่งสาง
I wanna talk tonight
Until the mornin’ light
‘Bout how you saved my life
You and me see how we are…
☉ ---------------------------Side Story 14--------------------------------- ☉
เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่ามีบางอย่างสวมอยู่ที่นิ้วโป้งซ้าย
วงสีเงินขนาดใหญ่ขนาดที่สวมนิ้วโป้งแล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือพอให้ปลายนิ้วก้อยอีกข้างสวมเข้าไปได้
กระต่ายตัวสุดท้ายกลายเป็นพวงกุญแจรวมกับหมีตัวโตสีน้ำตาล และมอเตอร์ไซค์เวสป้าสีขาว
เราหลุดยิ้มเปลี่ยนมากำมันไว้ในมือก่อนลุกขึ้นนั่ง
ร่างกายปวดร้าวจนหลุดร้องเบาๆ กะพริบตาปริบๆ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วแก้มก็ร้อนฉ่าขึ้นมา
แต่พอมองไปรอบๆ สภาพเต็นท์ดูเรียบร้อยราวกับว่ามันเป็นความฝัน เจดคงจัดการทุกอย่าง แม้กระทั่งเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรา ร่างกายที่เคยเหนอะหนะหนักอึ้งถึงได้รู้สึกสะอาดผ่อนคลายกว่าเมื่อคืน
เราใช้เวลาพักใหญ่ทบทวนความทรงจำที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ทุกสัมผัส ทุกถ้อยคำย้อนกลับมาเป็นฉากๆ จนอย่างจะระเบิดตัวเองทิ้งด้วยความอาย
นึกสงสัยว่าคนอื่นๆ หายไปไหน ถึงได้ปล่อยให้พวกเราทำอะไรตามใจอยู่ได้ตลอดทั้งคืน...
แต่นึกอีกที ดีแล้วล่ะที่ไม่มีใครผ่านมา
ทำไมถึงกล้าทำเรื่องแบบนั้นได้นะ... ถ้าเพื่อนรู้ โดนฆ่าแน่
เราตัดสินใจจะปัดเรื่องยั้วเยี้ยในหัวทิ้งไป สะกดความอายจนเหลือแต่ความหิวให้แบกหน้ามุดเต็นท์ออกไปเจอแสงสว่างเดินกระย่องกระแย่งออกจากเต็นท์จนถึงลานกิจกรรม มีคนจับกลุ่มออกกำลังกายตอนเช้า บางส่วนนั่งคุยกันรอบกองไฟส่วนรวมที่ใช้คลายความหนาว กินอาหารเช้ากัน มีตลาดเล็กๆ ตั้งอยู่รอบๆ บริเวณที่จัดงาน
เดินต่ออีกไม่กี่ก้าวเราก็เห็นแผ่นหลังคุ้นตา นั่งรวมกันคนอื่นๆ ที่ริมธารน้ำเล็กๆ ในมือถือแก้วกาแฟจากร้านชั่วคราวที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
น้องพิชญ์เป็นคนหันมาเห็นเราเป็นคนแรกยิ้มทักทาย ก่อนสะกิดให้เจดรู้ตัว
คนตัวโตหันมาสบตาพลางยิ้มให้ รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำเราอดยิ้มตามไม่ได้
“เจหิวยัง” น้องพิชญ์ขยับให้เรานั่งที่ว่างข้างๆ เจดก่อนจะเอ่ยถาม เราพยักหน้า ไม่กล้าสบตาใครโดยเฉพาะคนข้างๆ
“งั้นเดี๋ยวพิชญ์ไปเอาข้าวต้มให้” ว่าจบน้องก็ดึงมือเตวิชญ์ลุกออกไป พอเห็นแบบนั้นเต๋อก็เผ่นตาม
ริมน้ำเหลือเรากับเจดตามลำพัง กับความเงียบชวนกระอึกกระอ่วน ความทรงจำน่าอายฉายวนกลับมาอีกครั้ง
ง่ะ... กลับเข้าเต็นท์ตอนนี้ทันไหม
"ลุกมาทำไม" เราแทบจะลุกขึ้นเพราะคิดว่าเจดไล่ จนได้เห็นสีหน้าเป็นห่วงปนเขินอาย "ไม่เจ็บเหรอ"
กลายเป็นว่าเราเขินตามไปด้วยเพราะรู้ความหมาย
"เจ็บ..." แทบลุกไม่ไหวด้วยซ้ำ แต่เราอยากเห็นหน้าเจด อยากยืนยันว่าทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน
"ดื้อ" พอตอบแบบนั้น เจดก็เอื้อมมือมาดึงแก้มเราจนยืดแกล้งทำเสียงดุก่อนคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ "คราวหน้า... จะทำเบาๆ นะ"
หมีทะลึ่ง... แล้วแบบนี้เราจะให้เราตอบว่าไง
"อือ"
"..."
เดดแอร์เลยอ่ะ เห็นไหม
“กระต่าย...” นานทีเดียวกว่าเจดจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ครับ?” เผลอตอบรับ เพราะคิดว่าถูกเรียก แต่เจดกลับชะงัก ก่อนหัวเราะ
“หมายถึงพวงกุญแจ เห็นไหม”
อ่อ...
“ครับ” เราพยักหน้าตอบงึมงำพลางแบมือออกอวดสิ่งที่กำเอาไว้ตลอดทาง
ที่ออกจากเต็นท์มาเพราะตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเจดเหมือนกัน
“มีเจดกับมะลิด้วย” เรากัดปาก ซุกหน้าครึ่งหนึ่งลงกับเข่าเพื่อซ่อนใบหน้าที่กำลังส่งเสียงฉ่าๆ
“ชอบไหม” เจดถามยิ้มๆ เราพยักหน้า
ไม่รู้จะแสดงออกยังไงว่าเรากำลังดีใจมาก นอกจากหัวใจที่เต้นตึกตัก
“ถ้าเจไม่รู้จะเอาไปห้อยอะไร ฝากอันนี้ด้วยได้ไหม” ต่างคนต่างเงียบไปสักพัก ก่อนเจดจะดึงมือที่มีพวงกุญแจไป แล้ววางอีกอย่างหนึ่งลงมาข้างๆ กัน
“กุญแจห้อง... แลกกัน” เจดเฉลย ทำให้เรานึกได้ว่าเจดอีกก็มีกุญแจห้องเราที่เพื่อนเคยให้ และยังไม่ได้คืนตั้งแต่วันนั้น
เราหัวเราะเบาๆ เจดหัวเราะตามคนตัวโตโน้มตัวซบหน้าลงกับเข่าตัวเองบ้าง แต่เอียงหน้ามามองเรา ดวงตาเป็นประกายล้อเลียนแถมยังเอื้อมมือมาลูบหัวเรา
“ครบแล้วนะ” เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง อวดลักยิ้มน่ารักๆ
“จีบติดแล้วเนอะ”
เราอมยิ้ม ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอีกครั้ง
"อือ"
...จีบติดแล้วครับ
☉ ---------------------------end --------------------------------- ☉
#หมีแต่รัก เป็นเรื่องที่เขียนยากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยค่ะ
คนอ่านอาจจะรู้สึกว่าเรื่องไม่มีอะไร ไม่เห็นจะดูยากตรงไหน
แต่ความไม่มีอะไรนี่แหละยากที่สุดแล้วสำหรับเรา 55555
ด้วยสำนวนที่ต้องปรับใหม่ โทนเรื่อง เสียงในหัวที่ต้องเปลี่ยนให้เข้ากับคาแร็กเตอร์เจได ทำเอาเครียดพอสมควร
ท้อจนหยุดไปหลายครั้ง ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าเขียนเรื่องนี้เพื่ออะไร มันให้อะไรกับคนอ่านไหม
เรามักได้คำตอบจากคอมเม้นต์ที่หลายๆ คนใจดีทิ้งไว้เสมอเลยค่ะ
มีกำลังใจขึ้นมาทุกครั้งที่ได้เห็นว่านิยายเรื่องนี้ช่วยเยียวยาความรู้สึกของคนอ่านได้ เป็นความสุขเล็กๆ ในชีวิตของหลายๆ คน
ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่มีทุกคนเราคงไม่สามารถเดินทางมาได้จนสุดทางแบบนี้
ขอบคุณที่เอ็นดูเจไดกับป๊ามากๆ ดีใจที่หลายๆ คนยังร่วมทางกันมาจนถึงตอนนี้
เรื่องราวจบแล้วแต่หวังว่าจะกลับมาเยี่ยมเยียนกัน
ในวันที่เหนื่อยล้ากับชีวิตข้างนอก อย่าลืมเดินเข้าป่ามาให้หมีกับกระต่ายช่วยเยียวยาเนอะ ^^
#หมีแต่รัก
-Martian-[/center]