[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 6# Plerng แลกเกียร์
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส ไม่สิ ตอนนี้ 9 โมงกว่าแล้วต้องเรียกว่าสายมากกว่า อา...ร่างกายที่ได้ปลดปล่อยออกไปอย่างเต็มที่นี่มันช่างเบาสบาย กระชุ่มกระชวยแล้วก็มีชีวิตชีวาโคตรๆ
เมื่อคืนผมเสร็จไปกี่รอบกันนะ? ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 2 ล่ะมั้ง บวกกับตอนเช้ามืดที่จัดไปอีก 2 ก็รวมกันเป็น 4 ถือว่าทำรอบได้ดี คุ้มค่าที่เปิดห้อง Deluxe โดยเฉพาะรอบสุดท้ายที่จัดกันตรงกระจกพร้อมชมวิวตอนพระอาทิตย์ขึ้น
เนี่ย...น้ำสีขาวขุ่นยังเลอะตรงกระจกอยู่เลย หึหึ
ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินผิวปากลงจากเตียงไปอาบน้ำ ผมใช้เวลาไม่นานก็สวมชุดคลุมออกมา ก่อนจะพบว่าพายที่ก่อนหน้านี้กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
“พึ่ง 9 โมงกว่าเองนะ ไม่นอนต่ออีกหน่อยหรอ” ที่ผมถามแบบนี้เพราะพายมีเรียนแค่ช่วงบ่ายเหมือนกันกับผม เป็นวิชาเรียนรวมของสาขาผมกับพาย
“ไม่ล่ะ เราหิว ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยงเมื่อวาน”
“หา! งั้นมึงอยากกินอะไรเดี๋ยวกูโทรสั่งให้” ผมค่อนข้างตกใจเพราะนี่มันก็จะ 24 ชม. แล้ว ส่วนผมเมื่อวานตอนเย็นก่อนจะมาหาพายผมกินอะไรรองท้องมานิดหน่อย ตอนเที่ยงก็กินซะเต็มคราบ เพราะงั้นพลังงานเลยเหลือเฟือถึงได้กินพายแบบจุใจขนาดนี้
“เรากินอะไรก็ได้” แม่ง คำตอบแบบนี้นี่มันปัญหาโลกแตกชัดๆ ถ้าไม่ติดว่ารู้สึกผิด (นิดนึง) ที่มัวแต่ทำจนไม่ได้ถามพายเรื่องกินข้าว ผมคงระเบิดลงไปแล้วว่าช่วยระบุให้มันชัดเจนหน่อย
“มึงมีอะไรที่แพ้หรือกินไม่ได้มั้ย” ที่ถามอย่างนี้ไม่ได้แปลว่าผมใส่ใจพายหรอกนะ แค่น้องชายคนสุดท้องที่บ้านของผมแพ้กุ้งอย่างรุนแรง เลยถามไว้ก่อนจะได้ป้องกันเอาไว้ เกิดได้หามส่งโรงพยาบาลก็ยุ่งยากบรรลัยพอดี
“ไม่มี เรากินได้ทุกอย่าง”
“โอเค งั้นระหว่างรอมึงไปอาบน้ำไป ว่าแต่เดินไหวมั้ยนั่น” ผมถามเพราะเห็นพายลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินอย่างทุลักทุเล แต่บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ได้เป็นห่วง ก็แค่กลัวขาไม่มีแรงจนล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ ตายหรือพิการมาผมก็ซวยน่ะสิ
“ไหวอยู่ ขาเราสั่นนิดหน่อยเฉยๆ”
“อีกนิดจะเหมือนร่างทรงเจ้าเนี่ยนะที่ว่าไหว? ไม่ต้องพูดอะไรเลย อยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูพามึงเดินไปเอง” พูดจบผมก็เดินเข้าไปจะประคองตัวพายไปห้องน้ำ แต่แม่งถ้าทำอย่างนั้นคงช้าตายห่า ผมเลยตัดสินใจช้อนตัวพายขึ้นมาอุ้ม แล้วพาไปวางไว้ที่อ่างอาบน้ำซะเลย
“แช่ซะจะได้หายเมื่อย เดี๋ยวกูจะไปโทรสั่งข้าวให้ อ้อ...แต่กูไม่ปิดห้องน้ำนะ เผื่อเกิดอะไรขึ้นกูจะได้ช่วยทัน”
“ช่วย?” พายทำหน้างง แต่ผมขี้เกียจอธิบายไปว่าเผื่อมึงวูบหลับจนจมน้ำ เลยทำหน้าเบื่อหน่ายผสมรำคาญแล้วเดินออกมา จากนั้นผมก็ยกหูโทรศัพท์ไปสั่งชุดอาหารเช้า มีกี่ชุดก็เอามาให้หมดเพราะผมเป็นคนกินล้างผลาญ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเอามาเผื่อให้พายเลือกกินอาหารที่ชอบ
ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงอาหารก็ขึ้นมาส่งพร้อมกับเสื้อผ้าเมื่อวานที่ผมส่งไปซักรีด ผมเลยเปลี่ยนชุดแล้วตามพายออกมากินข้าว ซึ่งตอนแรกพายก็ว่าจะเปลี่ยนเหมือนกัน แต่ผมกลัวว่าถ้าทำอย่างนั้นจะหิวตายไปซะก่อนเลยบังคับให้รีบเดินมา
“โห ทำไมถึงมีหลายอย่างขนาดนี้ล่ะเพลิง”
“อย่าเข้าใจผิดนะเว่ย กูสั่งมาเพราะกูจะกินไม่ได้สั่งมาให้มึงเลือกของที่ชอบ” ผมรีบแก้ตัว ส่วนพายก็ทำหน้างงๆ
“เราก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย”
“เออ ดีแล้วที่ไม่คิด ว่าแต่มึงอยากกินอะไรก็เลือกไปก่อนเลย เลือกไปเยอะๆ ด้วยนะเดี๋ยวจะไม่มีแรงเดิน กูว่าจะลงไปเอาของที่รถก่อน” ผมพูดจบก็เดินออกจากห้องมาเลย มันรู้สึกแปลกๆ กับสายตากลมโตที่มองมาทางนี้ยังไงไม่รู้
ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าจะไปเอาของที่รถ ความจริงแล้วผมไม่มีอะไรจะต้องไปเอาหรอก แต่ผมกลัวว่าถ้าผมอยู่พายจะเกร็งจนไม่กล้าเลือกกินอาหารที่ชอบ เพราะงั้นไหนๆ ก็ได้โกหกไปแล้ว ผมเลยต้องลงไปที่รถเพื่อหยิบของอะไรสักชิ้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
พอเปิดประตูเข้าไป อย่างแรกที่ผมเห็นเลยก็คือเสื้อช็อปสีแดงเลือดหมูที่ถูกแขวนอยู่ เลยว่าจะเอาขึ้นไปเปลี่ยนด้านบนเพราะวิชานี้จะใส่ช็อปหรือไม่ใส่ก็ได้ แต่คิดไปคิดมาผมก็เสียดายค่าซักรีดชุดนักศึกษา สายตาเลยมองหาไปรอบๆ ก่อนจะเจอของสิ่งหนึ่งเข้า ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ก่อนจะพบว่าตอนนี้พายกำลังนั่งกินข้าวอยู่
“ขอโทษนะที่ไม่ได้รอ” สีหน้าของพายดูรู้สึกผิดนิดหน่อย
“ไม่เป็นไร ถ้ามึงหิวก็กินไปเถอะ” ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้อยู่แล้ว อีกอย่างพายก็ท่าทางจะหิวเอามากๆ ถ้าหากรอจนผมขึ้นมาผมจะด่าเข้าให้
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไร ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเพราะพายก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเดียวไม่พูดไม่จา ผมที่ถึงอยากจะชวนคุยแต่ก็คิดเรื่องไม่ออกเลยได้แต่ตักข้าวเข้าปาก จนกระทั่งอิ่มพายก็ขอตัวลุกขึ้นไปแต่งตัว
ผมปิดหน้าปิดตา แว่นตาหนาเตอะ ส่วนเสื้อผ้าก็เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ให้ตายเถอะแม่งขัดหูขัดตาเป็นบ้า ผมจะไม่ยอมให้พายในสภาพเนิร์ดแตกเดินลงจากรถแล้วขึ้นห้องเรียนไปพร้อมกับผมแน่ เพราะงั้นแม่งต้องปฏิวัติ!
“อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะเพลิง” พายอุทานด้วยความตกใจ เมื่อผมเดินไปกระชากแว่นเชยๆ ออกแล้วโยนมันลงไปบนเตียง
“ตั้งแต่วันนี้ไปมึงห้ามใส่แว่นอีกเด็ดขาด”
“หา? แต่เราสายตาสั้นนะเพลิง”
“ก็ใส่คอนแทคเลนส์ไปสิเดี๋ยวกูพาแวะซื้อ ส่วนทรงผมก็เลิกเอามาปิดหน้าปิดตาด้วย หัดเซตให้ดูเป็นผู้เป็นคนซะบ้าง” ดีนะที่ผมหยิบสเปรย์แต่งผมติดมือมาด้วย เลยฉีดใส่ทรงผมเห่ยๆ แล้วจัดการกับทรงผมของพายให้ใหม่ โดยที่ผมปัดหน้าม้าไปข้างๆ แล้วเอาอีกด้านทัดหูเอาไว้
ความจริงแล้วพายเป็นคนหน้าสวยสไตล์พี่ธาร เพราะงั้นผมเลยคิดว่าถ้าทำทรงคล้ายๆ กันก็น่าจะเหมาะ ซึ่งพอได้ลองทำมันก็ดูเหมาะกับพายจริงๆ ตอนนี้พายดูดีต่างจากเมื่อกี้ราวฟ้ากับเหว
อ้อ แต่ถ้าจะดีกว่านี้ก็ต้องจัดการกับเสื้อผ้าที่ถูกระเบียบเป๊ะๆ นั่นด้วย เพราะงั้นผมเลยจัดการดึงไทด์ที่พายใส่อยู่ให้ลงมานิดหน่อย ส่วนกระดุมเม็ดบนสุดก็ปลดออก เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ลบภาพเนิร์ดแตกเป็นสวยมีเสน่ห์อย่างสมบูรณ์
“ยังมีอะไรที่นายจะทำอีกมั้ย” สีหน้าของพายดูเรียบเฉย ติดจะเซ็งหน่อยๆ ด้วยซ้ำ ไม่ได้ยินดีมีความสุขที่ผมจับเปลี่ยนลุคให้เลยสักนิด
“ไม่มีอะไรจะทำ แต่มีอะไรจะให้” ตอนแรกพายก็ทำหน้างงเล็กน้อย แต่พอผมยื่นของที่อยู่ในมือให้เท่านั้นแหละก็ทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม
“เกียร์? ของนายหรอ?”
“เออ มึงเอาไปสิ แล้วก็ไม่ต้องขอบคุณกูหรอกนะ” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ โดยที่มั่นหน้าว่าพายต้องรีบรับไปด้วยความปลาบปลื้มอย่างแน่นอน
แต่...
“เอามาให้เราทำไม เราไม่เอาหรอก เกียร์ของเราก็มี” พายตอบแบบนี้ผมก็หน้าแหกไปเลยน่ะสิ!
“นี่มันเกียร์ของตัวท็อปอย่างกูเลยนะ! มึงไม่คิดอยากจะได้สักหน่อยเลยรึไง!” ให้ตายสิ! คนอยากได้เกียร์ของผมมีเป็นร้อยๆ ผมยื่นให้โดยไม่ต้องขอถือว่าโชคดีสุดๆ แล้ว!
“ทำไมเราต้องอยากได้ด้วยล่ะ”
“ก็เพราะ...” เพราะอะไรวะ? ปกติก็มีแต่คนอยากได้กัน แต่ผมก็ไม่เคยเห็นความสำคัญของมันอยู่แล้ว
“จะว่าไปนี่มันไม่ใช่ตรามหา’ลัยนี่นา ส่วนชื่อน่ะใช่ แต่รหัสนักศึกษาไม่น่าขึ้นต้นด้วยเลขนี้ นี่มันคือเกียร์ของนายแน่หรอ” พายขมวดคิ้วในขณะที่พลิกเกียร์ในมือไปมา
ที่พายพูดอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนั่นมันเกียร์เลียนแบบไม่ใช่ของแท้ ผมเคยโดนรบเร้าจากคู่ขาบ่อยๆ เลยสั่งร้านทำมาร่วมครึ่งร้อย นี่ก็แจกจ่ายไปเยอะจนเหลือแค่ 10 กว่าอันเองมั้ง แต่ละคนที่เคยได้เกียร์นี่ไปก็ปลาบปลื้มมากแถมยังเอาไปโม้อีก 3 วัน 8 วัน มีพายคนแรกนี่แหละที่ไม่เป็นอย่างนั้น นอกจากจะไม่อยากได้แล้วยังดูออกอีกต่างหากว่าเป็นของปลอม
“เอ...แล้วถ้าเราจำไม่ผิด เหมือนเคยได้ยินว่ามีนักศึกษาคณะอื่นทะเลาะกันเพราะเรื่องเกียร์ของนายด้วยนี่นา ต่างคนต่างบอกว่าเป็นของแท้ที่ได้มาจากนาย นี่นายคงจะมีหลายอันแล้วแจกจ่ายไปทั่วเลยล่ะสิ” โอ้โห วิเคราะห์ได้ถูกต้องและแม่นยำขนาดนี้สมแล้วที่เก่งจนเป็นนักเรียนทุน
เจอแบบนี้ก็จุกน่ะสิผม!
“เราไม่รู้นะว่าสำหรับนายเกียร์มีค่าแค่ไหน แต่สำหรับเราเกียร์มันมีค่ามาก กว่าจะได้มาต้องเข้าร่วมกิจกรรมโหดๆ ตั้งหลายอย่าง เพราะงั้นเกียร์เลยเป็นของสำคัญ จะเรียกว่าเป็นหัวใจของเราเลยก็ได้”
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมหลายๆ คนถึงอยากได้เกียร์ของผมกันนัก คือคิดว่าถ้าได้เกียร์ของผมไปก็เหมือนกับว่าได้หัวใจของผมว่างั้น? เฮอะ! โคตรน้ำเน่า ปัญญาอ่อน แล้วก็ไร้สาระสิ้นดี!
สำหรับผมเกียร์มันได้มาโคตรง่ายไม่มีค่าอะไรเลย ผมไม่ต้องถูกรับน้อง ไม่ต้องเข้าร่วมกิจกรรม แล้วก็ไม่ต้องผ่านบททดสอบอะไรสักอย่าง เพราะคู่ขาของผมเป็นพี่ว้ากที่ตอนนี้จบไปแล้ว ที่พกติดตัวทุกวันนี้ก็เพราะมีชื่อ รหัสนักศึกษา แล้วก็ตราสถาบันเท่านั้นเอง
“ถ้าเกียร์มันสำคัญกับมึงขนาดนั้น งั้นกูจะขอรับฝากเอาไว้ให้ก็แล้วกัน” พูดจบผมก็ถอดสร้อยเกียร์จากคอของพายออกมา ถึงจะถอดยากหน่อยเพราะพายขัดขืนไม่ยอมง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม
“เอาเกียร์ของเรามานะเพลิง!” นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่พายขึ้นเสียงใส่ผม คงจะนึกโมโหอยู่นั่นแหละ แต่ผมสนใจที่ไหน พายอยากมาหักหน้าผมก่อนเพราะงั้นผมก็ต้องเอาคืน!
“กูไม่ให้ ก็บอกแล้วนี่ว่าจะขอรับฝากเอาไว้”
“แต่เกียร์มันเหมือนเครื่องรางสำหรับเราเลยนะเพลิง” พายลดเสียงให้เบาลงแล้วช้อนตาขึ้นมามองอย่างเว้าวอน พอเห็นแบบนี้ผมก็ชักใจอ่อน แต่ผมจะไม่ยอมคืนเกียร์ให้พายแน่นอน
เพราะงั้น...
“มึงเอาเกียร์ของกูไปแทนแล้วกัน” คราวนี้ผมเอาเกียร์ของแท้ให้พายไป แถมไม่ได้ให้แบบธรรมดา ยังบริการ (บังคับ) สวมเข้าที่คอให้อีกด้วย
“มึงห้ามถอดออกเด็ดขาด ถ้าหากกูเห็นคอมึงโล่งหรือแอบเปลี่ยนอัน รูปกับคลิปของมึงได้หลุดว่อนเน็ตแน่”
“นายนี่มันชอบบังคับจริงๆ เลย” พายพูดอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเดียว ผิดกับผมที่กำลังอารมณ์ดีจนต้องอมยิ้มที่มุมปาก เพราะนอกจากจะได้เอาคืนพายที่ไม่อยากได้เกียร์ผมนักหนา ผมยังจะได้ประกาศให้แมลงน่ารำคาญอย่างไอ้กวีรู้ว่า พายมีความสัมพันธ์ยังไงกับผม!
“อ้อ แล้วอย่าคิดล่ะว่า การที่กูเอาเกียร์ของจริงให้จะหมายความว่ากูเอาหัวใจให้กับมึง” ผมพูดดักไว้ก่อน เกิดพายหลงคิดเข้าข้างตัวเองว่าผมชอบก็แย่น่ะสิ
“เรื่องแบบนั้นเราไม่มีทางคิดอยู่แล้ว” รีบตอบจริงนะ ไม่มีแอบคิดสักนิดเลยรึไง
“เออ ไม่คิดก็ดีแล้ว จำเอาไว้แล้วกันว่ามึงไม่ใช่แฟนแต่เป็นเซ็กส์เฟรนด์ของกู”
“อืม”
“ห้ามหึง ห้ามหวง ห้ามทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเด็ดขาด”
“อืม”
“ห้ามโทรจิก ห้ามส่งไลน์หา ต่างคนต่างมีอิสระ อยากไปไหนทำอะไรกับใครก็ได้”
“อืม”
“มึงช่วยพูดอะไรสักอย่างนอกจากคำว่า ‘อืม’ ได้มั้ย!” แม่งหงุดหงิดฉิบหาย ถึงจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองหงุดหงิดอะไรก็เถอะ
“งั้นโอเคก็ได้” แต่คำตอบที่เปลี่ยนใหม่ของพายก็ไม่ได้ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นเลยสักนิด นี่ถ้าไม่ติดว่าพายหน้าซื่อตาใสดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจกวนตีนจริงๆ ผมคงจะเกรี้ยวกราดอาละวาดให้ห้องพังไปแล้ว!
แม่ง! ทำไมผมมึงได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้กันวะ! หงุดหงิดจริงโว้ยยยยยยยยยยยย!
Pie ผมอยากเพิ่มฉายาให้เพลิงใหม่เป็น ‘อัณฑะพาลจอมเผด็จการ’ ชะมัด!
คนอะไรไม่รู้ทั้งชอบบังคับ เอาแต่ใจ แล้วก็ไม่เคยฟังที่คนอื่นพูดเลย ตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้ที่กำลังนั่งรถไปเรียน ไม่มีเรื่องไหนที่ผมทำตามใจตัวเองได้เลยสักอย่าง มิหนำซ้ำเพลิงยังถือวิสาสะบังคับแลกเกียร์ของเราสองคนอีกด้วย พูดเลยนะว่าผมโมโหจนไม่รู้จะโมโหยังไงแล้ว!
แต่ก็นะ...โมโหแล้วยังไง เพลิงสนใจที่ไหนกันล่ะ เพราะงั้นผมที่ทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่ปลงแล้วพยายามทำใจให้ชินซะ คนเกรี้ยวกราดแถมยังเอาแต่ใจขนาดนั้นคงจะยอมอ่อนข้อลงให้ผมหรอก ยิ่งแรงไปก็ยิ่งจะแรงกลับเป็น 2 เท่ามากกว่า
“ลงรถไปแล้วก็เดินห่างๆ อย่ามาใกล้กูนักล่ะ” เพลิงพูดขึ้นเมื่อเลี้ยวรถเข้าไปในมหา’ลัย คงจะไม่อยากให้เด็กเนิร์ดแบบผมเดินใกล้ๆ ล่ะมั้ง เพราะปกติจะมีแต่คนเด่นคนดังเดินอยู่ข้างๆ มากกว่า
“โอเค” ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ดีซะอีกที่ไม่ต้องเดินกับเพลิงจะได้ไม่เป็นที่สนใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าคำตอบของผมจะทำให้เพลิงไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ อะไรของเพลิงก็ไม่รู้
“งั้นเราไปแล้วนะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เพลิงจอดรถตรงที่จอดของคณะ เพลิงคงจะไม่พอใจอะไรผมสักอย่าง เพราะงั้นผมเลยคิดว่าถ้ารีบออกห่างไปให้ไกลก็น่าจะดี
แต่น่าแปลก ตลอดระยะทางที่ผมเดินไปยังตึกคณะ ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมองมา ผมรู้สึกกังวลและประหม่าเป็นอย่างมาก เพราะปกติผมจะจืดจางจนแทบไม่มีใครมองเห็น แล้วทำไมวันนี้ถึงเป็นที่สนใจไปได้?
จริงสิ จะว่าไปวันนี้เพลิงเปลี่ยนลุคให้ผมนี่นา ตอนแรกผมก็คิดอยู่หรอกว่ามันออกมาดูดีมาก แต่ความจริงแล้วคงจะประหลาดสินะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกคนหลายสิบคนมองมาถึงขนาดนี้
“จะรีบเดินไปไหนทำไมถึงไม่ยอมรอกู!” เสียงของเพลิงตะโกนขึ้นอยู่ทางด้านหลัง คำพูดนั้นทำเอาผมถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แต่ที่งงมากกว่าก็คือการที่เพลิงรีบก้าวยาวๆ มาเดินข้างๆ ผม แถมยังใช้มือข้างหนึ่งโอบเข้าที่ไหล่ของผมเอาไว้อีกต่างหาก
“ก็ไหนนายบอกว่าให้เราเดินห่างๆ อย่าเข้าใกล้ไง” พอได้ยินแบบนี้เพลิงก็ชะงักไปนิดหนึ่ง
“ตอนนี้กูเปลี่ยนใจแล้ว ต่อไปมึงห้ามอยู่ไกลกูเกินระยะ 1 เมตร”
“หา?” อะไรของเพลิงกันเนี่ย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนผมงงไปหมดแล้วนะ
“มึงไม่ต้องมาหา แล้วก็ไม่ต้องมองหน้าใครด้วย ถ้าวันนี้ใครยิ้มให้หรือเข้ามาทักก็ไม่ต้องสนใจเข้าใจมั้ย” บ้าไปกันใหญ่แล้ว นี่เพลิงผีเข้ารึไง ไปอารมณ์เสียอะไรถึงได้เอามาพาลใส่ผมแบบนี้ก็ไม่รู้
“ว่ายังไง ได้ยินที่กูสั่งมั้ย” เพลิงหันมาทางนี้เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมตอบ หน้านี่จะบูดไปไหน ถึงจะไม่อยากทำตามแต่ให้ทำไงได้ล่ะ ผมเป็นคนไม่สู้คนแถมยังรักสงบจึงไม่อยากมีปากเสียง
“ได้ยิน”
“เออ แล้วก็อย่าลืมทำตามด้วย” พอเห็นผมพยักหน้าเพลิงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย จากนั้นก็กระชับโอบไหล่ของผมให้แน่นขึ้นแล้วเดินไปบนตึกพร้อมกัน ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าเพลิงดูยืดอกหน่อยๆ ยังไงก็ไม่รู้
“ถึงห้องเรียนแล้ว แยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน” ผมพูดจบก็พยายามจะเบี่ยงตัวออกมาจากการเกาะกุมของเพลิง แต่เพลิงก็ไม่ยอมแถมยังเปิดประตูเข้าไปในห้องทั้งๆ ที่กำลังโอบผมอยู่อีกต่างหาก
ทันทีที่เพลิงเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละทุกสายตาต่างก็จ้องมองมา ตามด้วยเสียงซุบซิบประมาณว่าผมเป็นใคร แทบทุกคนดูสนใจกันมากว่าใครคือคู่ขาคนใหม่ของเพลิง ก็ไม่รู้จะดีใจดีมั้ยที่ไม่มีใครจำผมได้เลย
“อ๊ะ! นั่นพายนี่นา!” แต่ผมก็ลืมคิดไปว่ายังมีใครคนหนึ่งที่จำผมลุคนี้ได้ ซึ่งเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อินน์เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมนั่นเอง
“หวัดดีอินน์” ผมยิ้มแห้งๆ แล้วยกมือโบกทักทายเล็กน้อย หลังจากนี้ผมคิดว่าตัวเองต้องถูกซักไซ้จนหมดเปลือกแน่ๆ แต่ก่อนอื่นผมต้องรับมือกับสายตาหลายคู่ และเสียงฮือฮาที่ทวีคูณมากขึ้นหลังจากที่เพื่อนในห้องรู้กันหมดแล้วว่าผมเป็นใคร
“ล้อเล่นปะ? นี่มันใช่ไอ้แว่นคนนั้นแน่หรอวะ!”
“บ้าไปแล้ว! ไอ้เนิร์ดไร้ตัวตนจะเป็นคนสวยแบบนี้ได้ยังไง!”
“ฉิบหาย! แว่นแม่งสวยกว่ากูอีกอะมึง!”
แล้วก็อีกสารพัดคำพูดอีกมากมายที่ผมจับใจความไม่ได้ แต่พูดจากใจเลยนะ ผมไม่ได้ดีใจที่ถูกชมแบบนี้เลยสักนิด ถ้าเลือกได้ผมอยากเป็นคนจืดจางแบบเดิมมากกว่า ผมไม่อยากเป็นจุดสนใจหรือเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา ผมอยากได้ชีวิตแบบสงบสุขและไม่วุ่นวายของผมคืน
“ปล่อยเราได้แล้ว” ผมพยายามแกะมือของเพลิงออก แต่ก็เหมือนเดิม เพลิงยังคงโอบไหล่ผมอยู่แบบนั้น ทั้งยังพาผมเดินไปหาอินน์ที่จองที่ด้านหน้าสุดมุมขวาไว้เหมือนเดิม
“วะ...หวัดดี” อินน์ยิ้มให้แล้วกล่าวทักทายเพลิงอย่างเกร็งๆ นิดหน่อย แต่เพลิงก็แค่ตอบสั้นๆ ว่า ‘อือ’ แล้วปรายตาไปมองเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้ากลับมามองที่ผม
“ปกติมึงนั่งตรงนี้สินะ”
“อืม” ผมตอบโดยที่ก้มหน้าลง เพราะไม่กล้าสู้สายตาของเพื่อนในห้องที่กำลังมองมาทางนี้อย่างสนอกสนใจ
“โอเค งั้นวันนี้เดี๋ยวกูนั่งตรงนี้ด้วย”
“หา!” ปกติเพลิงจะนั่งที่มุมซ้ายด้านหลังสุดของห้องนี่นา แล้วทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะนั่งตรงนี้ได้ล่ะเนี่ย!
“มัวยืนทำอะไร นั่งลงสิหรือว่าอยากยืนเรียนทั้งคาบ” ท่าทางเพลิงจะเอาจริงเพราะได้นั่งลงที่เก้าอี้ก่อนผมแล้ว ส่วนอินน์ที่อยู่อีกข้างก็นั่งลงด้วยเช่นกัน เพราะงั้นผมเลยต้องยอมนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้
ยังดีที่หลังจากนั้นเพลิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น ผมเห็นแว้บๆ ว่ากำลังคุยไลน์กับเพื่อนในกลุ่มที่นั่งด้านหลัง คงจะตอบคำถามเรื่องผมล่ะมั้ง แต่ผมก็ไม่มีเวลาสนใจตรงนั้น เพราะผมก็คงต้องตอบคำถามของอินน์ที่เอามือสะกิดผมเช่นกัน
“เล่ามาเลย เรื่องของพายกับเพลิงนี่มันยังไง ไปรู้จักกันตอนไหน แล้วตอนนี้กำลังคบกันอยู่หรอ” อินน์กระซิบถาม
“คือ...เรื่องมันยาวน่ะอินน์ เดี๋ยวเอาไว้เลิกเรียนเราจะเล่าให้ฟังนะ”
“โหย อีกตั้งนาน เราใจจะขาดเรียนไม่รู้เรื่องกันพอดี” อินน์ทำท่าดิ้นเร่าๆ ราวกับจะขาดใจ ผมที่เห็นอย่างนั้นเลยหลุดขำออกมานิดหน่อย
“อะไรกันเล่า นี่เราอยากรู้จริงๆ นะ”
“เอาเป็นว่าเรากับเพลิงไม่ได้คบกัน แค่มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเฉยๆ” ถ้าจะให้พูดว่าเซ็กส์เฟรนด์ท่ามกลางคนร่วมร้อยมันก็ยังไงๆ อยู่ ถึงคนที่ได้ยินจะมีแค่อินน์คนเดียวก็เถอะ แต่ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นที่กำลังเงี่ยหูฟังอาจจะได้ยินด้วยก็ได้
“ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน? ยิ่งคิดเรายิ่งงงนะเนี่ยพาย” ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแห้งๆ โชคดีที่อาจารย์เดินเข้าห้องมาพอดีอินน์ถึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ ทุกสายตาที่กำลังจับจ้องมองผมก็เปลี่ยนไปที่อาจารย์ ผมเลยสามารถหายใจหายคอได้อย่างทั่วท้องสักที
ถึงแม้ตลอดคาบเรียนเพลิงจะนั่งอยู่ข้างๆ แต่ว่าผมก็สามารถเรียนได้อย่างสบายใจ เพราะเพลิงไม่ได้ก่อกวนหรือทำผมเสียสมาธิเลยแม้แต่น้อย
ถามว่าเพลิงตั้งใจเรียน?
เปล่าหรอก มัวแต่เล่นเกมในโทรศัพท์อย่างเดียวเท่านั้น ที่น่าแปลกคือถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่พออาจารย์ถามเพลิงกลับตอบได้อย่างถูกต้อง ทั้งที่ยังตีป้อมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
“คุณเพลิงกัลป์ ในมาตรฐาน IEEE 802.11g มีอัตราการส่งข้อมูลมากที่สุดเท่าไหร่ และใช้งานที่ความถี่เท่าไหร่ไหนลองบอกหน่อยซิ”
“54 Mbps และความถี่ 2.4 GHz”
“อืม ถูกต้อง แล้วในระบบ IEEE 802.3 ใช้การตรวจสอบความผิดพลาดแบบไหน”
“อ่า... CRC 32” เห็นตอบอย่างสะดุดๆ นี่ไม่ใช่เพราะอะไร ดูเหมือนว่าตัวละครกำลังถูกรุมอยู่เลยกำลังเคร่งเครียดมากกว่า
“แล้ว IEEE 802.5 มีชื่อเรียกว่า?”
“Token Ring ส่วนถ้าอาจารย์จะถามถึงมาตรฐาน IEEE 802.15 น่ะมีชื่อเรียกว่า Bluetooth” เพลิงตอบคำถามถูกอย่างเดียวไม่พอ ยังเล่นตอบล่วงหน้าทั้งที่อาจารย์ยังไม่ได้ถามอีกต่างหาก ทำเอาอาจารย์ถึงกับยอมยกธงขาว แล้วปล่อยให้เพลิงเล่นเกมต่อตามสบาย
สารภาพความจริงจากใจ ผมเคยคิดนะว่าเพลิงได้ใช้เงินซื้อเกรด โกงข้อสอบ หรือว่านอนกับอาจารย์เพื่อแลกเกรดรึเปล่า แต่วันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้วล่ะว่าเพลิงไม่ได้ทำ เกรดที่ได้มาเป็นเพราะความสามารถทั้งนั้น นี่ถ้าขยันกว่านี้อีกนิดคงได้เกรด 4.00 ทุกวิชาไปแล้ว
“งานที่สั่งไปต้องส่งที่โต๊ะก่อนเริ่มเรียนอาทิตย์หน้านะนักศึกษา” อาจารย์ย้ำเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป เท่านั้นแหละเพลิงถึงได้เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าสักที
“ไปเดินเล่นที่ห้างฯ กันมั้ย” เพลิงหันหน้ามาชวนผม แต่ถึงจะบอกว่าชวนอันที่จริงต้องเรียกว่าบังคับมากกว่า เพราะเพลิงได้ลุกยืนแล้วดึงแขนของผมให้ลุกตามด้วย
“เอ่อ...โทษทีนะเราคงไปด้วยไม่ได้ วันนี้เรามีนัดทำวิจัยกับอินน์” พอได้ยินแบบนี้สีหน้าของเพลิงก็บูดบึ้งลงทันที
“กูกับวิจัยอะไรสำคัญกว่ากัน” แน่นอนว่าคำตอบนั้นผมตอบได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด
“วิจัย”
“หนอยไอ้...” เพลิงไม่สบอารมณ์จนอยากจะว่าอะไรผมสักอย่าง แต่ผมก็ไม่สนใจแล้วก้มหน้าเก็บของ ก่อนที่จะหันไปหาอินน์
“ไปห้องสมุดกันเถอะ”
“ตะ...แต่...” อินน์หันไปมองเพลิงอย่างหวาดๆ ผมจึงได้หันไปมองเพลิงบ้าง เลยเห็นว่าตอนนี้กำลังจ้องมองอินน์อย่างอาฆาตราวกับเป็นมารหัวขนจนอยากเผาให้วอด
“เราจะไปทำงานนะเพลิง”
“รู้แล้ว กูก็ไม่ได้ห้ามอะไรนี่” ไม่ได้ห้าม แต่จ้องหน้าอินน์ราวกับจะเผาไม่ให้เหลือซากถ้าไปกับผมเนี่ยนะ?
“ถ้างั้นเราไปแล้วนะ”
“เดี๋ยว” เพลิงคว้าที่ข้อมือของผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะเดินไปกับอินน์
“มีอะไรอีก” น้ำเสียงของผมติดจะเบื่อหน่าย เวลาที่เสียไปผมคงหาหนังสือมาเป็นข้อมูลได้หลายเล่มแล้วเนี่ย
“ห้ามปิดมือถือ กูโทรไปต้องรับ ส่งไลน์หาก็ต้องตอบทันทีนี่คือคำสั่ง”
“เอ่อ...” เดี๋ยวนะ ไหนก่อนหน้านี้เพลิงเคยบอกข้อตกลงของการเป็นเซ็กส์เฟรนด์ว่า ห้ามโทรจิก ห้ามส่งไลน์หา ต่างคนต่างมีอิสระ อยากไปไหนทำอะไรกับใครก็ได้ไง แล้วไหงเพลิงถึงได้ทำตรงข้ามกับข้อตกลงที่เคยบอกผมทุกอย่างเลยล่ะ?
“เอ้าว่ายังไง ถ้าไม่ตอบไม่ยอมรับปากกูก็ไม่ให้มึงไป” จะเผด็จการไปไหน คนอะไรเอาแต่ใจตัวเองชะมัด
“โอเค เรารับปากก็ได้” ผมยอมตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก หวังว่าเพลิงคงจะไม่โทรหรือไลน์มาทุก 5 นาทีหรอกนะ ไม่อย่างนั้นเป็นไงเป็นกัน ต่อให้ต้องมีเรื่องกับ ‘อัณฑะพาลจอมเผด็จการ’ แบบนั้น ผมก็จะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว!
2BC
สวัสดีค่า จบไปอีกตอนสำหรับ Rabid หัวใจคลั่งรัก ซึ่ง...อีตาพระเอกก็ยังรักษามาตฐานได้เหมือนเดิม พูดถึงความดี? เปล่าเลยค่ะ ความน่าหมั่นของมันต่างหาก! แถมช่วงหลังๆยังเพิ่มความซึนมาด้วย ปวดหัวกับมันมั้ยคะทุกคน
ส่วนตอนหน้า มาลุ้นกันว่าอีตาเพลิงมันจะรู้ตัวว่าชอบพายรึยัง แล้วพายมีท่าทีจะชอบมันขึ้นมาบ้างมั้ย แต่เอาจริงๆ เพลิงนี่มีข้อดีอะไรให้ชอบ ลองคิดอยู่หลายตลบแล้วทำไมเค้านึกไม่ออก หรือว่ามันไม่มีจริงๆ
แล้วเจอกันในอีก 3 วันนะคะทุกคน ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เค้า (ด่าอีตาเพลิงนี่ก็ถือว่าเป็นกำลังใจนะคะ เพราะบันเทิงมาก อิอิ) รักทุกคนเลยน้าาาาา
(31 พ.ค. 61)