[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 2# Pie วิธีเอาตัวรอดของคนจืดจาง
“มึงใช่มั้ยที่ชื่อพฤกษ์?” ร่างสูงใหญ่ของเพลิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาทำให้ผมที่กำลังก้มหน้าอยู่ถึงกับกลัวจนตัวสั่น
“ชะ...ชะ...ใช่”
“กูจำไม่เห็นได้เลยว่าในคณะมีคนชื่อพฤกษ์ตั้งแต่เมื่อไหร่”
‘ก็แล้วมีหรือไม่มีมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า!’ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเพลิงต้องมาสนใจอะไรชื่อนี้ด้วย แต่ก็นะ ถึงจะสงสัยผมก็ไม่กล้าถามออกไปหรอก เพราะถ้าโดนต่อยสวนมาไม่ก็สั่งให้เพื่อนรุมกระทืบผมก็จมกองเลือดกันพอดี
“คือ...ระ...เราพึ่งเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ดได้ไม่นาน” ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเปลี่ยนได้ไม่ถึง 4 ชั่วโมงเลยล่ะมั้ง
“เออ เรื่องนั้นช่างมัน แต่มึงจะก้มหน้าอยู่อย่างนั้นอีกนานมั้ย” ก็ถ้าเงยหน้าขึ้นไปก็ถูกนายจับได้พอดีน่ะสิ!
“เรา...เอ่อ...ไม่ค่อยชินกับการพูดกับใคร”
“ชินไม่ชินแล้วยังไง คือกูต้องสนใจมั้ย มึงรีบเงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้” แต่ถึงจะถูกเพลิงสั่งเสียงเข้มแบบนั้น ผมก็ยังคงก้มหน้ามองพื้นอยู่ดี
“นี่มึงกวนตีนกูใช่มั้ยไอ้แว่น!” เพลิงที่เห็นอย่างนั้นเลยพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็เข้ามาประชิดตัวแล้วจับคางผมให้เงยขึ้นไป ผมที่กลัวว่าเพลิงจะจับได้เลยใช้ไม้ตายสุดท้ายที่พึ่งคิดขึ้นมา นั่นก็คือการทำตาเหลือก จมูกบาน ปากเบี้ยว และหดคอให้สั้นจนมีเหนียง!
“เชี่ย!” เพลิงผงะแล้วรีบผลักผมออกไปด้วยความตกใจ ส่วนผมที่ถึงแม้จะเซไปด้านหลังเพราะเสียหลัก แต่ก็ยังสามารถทรงตัวเอาไว้ได้
“มึงจะไปไหนก็ไปเลยไป!” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เพลิงนั่นแหละที่เป็นคนเดินออกไปก่อน ท่าทางจะหัวร้อนและไม่สบอารมณ์มากๆ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม ตอนนี้ผมดีใจและโล่งอกสุดๆ ไปเลย
เฮ้ออออออออ รอดตายแล้วผม!
“พาย...เอ๊ย! พฤกษ์มีเรื่องอะไรกับเพลิงงั้นหรอ” อินน์เดินเข้ามาหาหลังจากที่เพลิงกับกลุ่มเพื่อนเดินออกไป
“เหมือนเพลิงจะกำลังตามหาใครสักคนอยู่น่ะ แต่ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรอก”
“งั้นหรอ” อินน์ไม่พูดอะไรต่อแต่ก็มองตามแผ่นหลังของเพลิงไปจนสุดทาง
“อินน์จะกินข้าวต่อรึเปล่า เราไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว อยากไปนั่งอ่านหนังสือที่เงียบๆ สักที่” สำหรับผมแล้วการเยียวยาจิตใจที่ดีที่สุดก็คือการอ่านหนังสือนี่แหละ
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ เรากินอิ่มพอดี” พอได้ยินแบบนี้ผมก็เดินไปหยิบจานที่โต๊ะไปวางตรงที่เก็บ โดยมีอินน์เดินตามมาข้างๆ จากนั้นเราทั้งคู่ก็หาที่สงบๆ เพื่ออ่านหนังสือด้วยกัน
ผมกับอินน์เราสองคนเป็นนักเรียนทุนของมหา’ลัย ดังนั้นเลยต้องตั้งใจเรียนมากกว่านักศึกษาทั่วไปอย่างน้อยเท่าตัว เพราะถ้าความประพฤติไม่ดี เกรดแต่ละวิชาต่ำกว่า 2 และเกรดเฉลี่ยต่ำกว่า 3 พวกเราก็จะถูกถอดไม่ได้รับทุน ค่าเทอมที่แพงหูฉี่กับค่าใช้จ่ายรายเดือนอีกนิดหน่อยก็จะไม่ได้
จริงอยู่ที่บ้านผมก็ไม่ได้ยากจนขัดสนอะไรมากมาย แต่พ่อกับแม่ของผมก็แค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดา ผมเลยอยากแบ่งเบาภาระเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยได้เรียนฟรีและมีเงินไว้จ่ายค่าหอเองทุกเดือนจะได้ไม่ลำบากพวกท่านมาก
จะว่าไปเงินที่เหลือใช้เดือนนี้ก็เหลืออีกไม่กี่ร้อยนี่นะ แต่เอาเถอะอีกไม่กี่วันก็สิ้นเดือนแล้ว คงต้องพึ่งเพื่อนแท้ในยามยากนั่นก็คือมาม่าซอง 6 บาทแล้วล่ะนะ
เมื่อใกล้เวลาเรียนในคาบบ่ายผมกับอินน์ก็พากันเดินขึ้นห้อง เราสองคนเดินไปนั่งตรงที่ประจำนั่นก็คือด้านหน้าสุดมุมขวา วิชานี้เป็นวิชาเฉพาะของสาขา ดังนั้นผมเลยเรียนอย่างสบายใจไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเพลิงจับได้ พอหมดคาบผมกับอินน์ก็แยกย้ายต่างคนต่างไป โดนอินน์จะนั่งรถเมล์ที่หน้ามหา’ลัยกลับบ้าน ส่วนผมจะเดินกลับหอที่อยู่ด้านหลัง
ผมก้มหน้าก้มตาเดินสักพัก จนกระทั่งกำลังจะถึงประตูอยู่แล้วก็มีเสียงๆ หนึ่งเรียกผมเอาไว้ซะก่อน
“พาย!!” เสียงอันคุ้นเคยทำให้เท้าของผมหยุดชะงักแล้วรีบหันกลับไปหา จึงพบว่าเป็นกวีที่กำลังลงจากตึกคณะศึกษาศาสตร์แล้วรีบวิ่งมาหาผม
“ไง กวี” ผมยิ้มทักทาย หัวใจที่ห่อเหี่ยวมาทั้งวันรู้สึกพองโตขึ้นมาทันที อย่างน้อยการที่ได้เจอกวีทั้งเช้าและเย็นก็เป็นหนึ่งในเรื่องดีๆ ที่พอจะหักล้างเรื่องเลวร้ายที่เกิดในวันนี้ได้ล่ะนะ
“นี่พายจะกลับหอใช่ปะ”
“อืม ทำไมหรอ”
“เราก็จะกลับด้วยไง เดี๋ยวไปกินตามสั่งร้านเจ๊หมวยกัน” ร้านที่ว่าก็อยู่ในซอยหอพักที่ผมเช่าอยู่นั่นแหละ
“โอเค” ผมแทบจะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นี่ถ้าอินน์รู้ว่าผมดีใจจนออกนอกหน้าขนาดนี้ มีหวังโดนบ่นเป็นชุดจนหูชาแน่ๆ
แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ผมยังตัดใจจากกวีไม่ได้นี่นา อีกอย่างผมก็ไม่มีสิทธิ์โกรธกวีเรื่องที่มีแฟนด้วย ถ้าเราสองคนคบกันเป็นแฟนก็ว่าไปอย่าง แต่ผมมันบ้าที่คิดเข้าข้างตัวเองว่ากวีก็มีใจให้ผมเหมือนกัน ทั้งที่กวีคิดกับผมแค่เพื่อนคนนึงแท้ๆ
ก็แค่ไปเรียนพร้อมกันเกือบทุกเช้า กินข้าวเย็นด้วยกันสัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นห่วงเป็นใยเวลาที่ผมมีเรื่องทุกข์ใจ เวลาไม่สบายก็คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ จะไปไหนมาไหนข้างนอกส่วนใหญ่ก็ไปกับผมตลอด ถึงจะไม่ได้นอนด้วยกันแต่ก็บอกฝันดีที่ระเบียงก่อนนอนเกือบทุกวัน เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนเขาทำกัน ผมมันไม่ค่อยมีเพื่อนเลยมโนไปเองทั้งนั้น น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่าใครจะมาชอบเด็กเนิร์ดที่จืดจางแบบผม
คนคนนั้นถ้ายังไม่เกิดก็คงจะตายไม่ก็เป็นบ้าแน่ๆ!
“เป็นอะไรไปน่ะพาย จู่ๆ ก็ทำหน้าเศร้าขึ้นมา”
“หา?” เสียงของกวีที่ดังขึ้นทำให้ผมที่กำลังใจลอยอยู่ในภวังค์หลุดออกมาสู่โลกความจริง
“พายมีเรื่องไม่สบายใจรึเปล่า เราให้คำปรึกษาได้นะ” เนี่ย กวีก็ชอบทำใจดีกับผมแบบนี้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมหลงคิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไง
“ไม่มีอะไรหรอก” ก็แค่ยังตัดใจจากนายไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
“ดีแล้วล่ะที่ไม่มีเรื่องอะไร แต่ถ้าอยากระบายหรืออยากปรึกษาพายต้องคิดถึงเราเป็นคนแรกเลยนะ” คำพูดนั้นยิ่งทำให้ผมตัดใจยากขึ้นไปใหญ่ แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นผมก็คิดว่าตัวเองต้องตัดใจให้ได้อย่างเด็ดขาด เพราะแฟนของกวีได้โทรเข้ามา ซึ่งนั่นก็เหมือนเป็นการย้ำสถานะว่าผมเป็นแค่เพื่อนคนนึงของกวีก็เท่านั้นเอง
“ว่าไงเดือน?...อ้าว โดนเพื่อนเทงั้นหรอ แล้วงี้จะเอาไงต่อ?...หา จะให้เราไปหาตอนนี้เนี่ยนะ แต่เรานัดกับเพื่อนว่าจะไปกินข้าวด้วยกันแล้วอ่า...โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิ ทำไมเดือนจะไม่สำคัญ...ฮัลโหล...ฮัลโหล...เดือน...เฮ้ออออออ” แล้วกวีก็ถอนหายใจออกมา ท่าทางเดือนจะงอนจนกดตัดสายไปซะแล้ว
“เราว่ากวีไปหาแฟนเถอะ ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวจะทะเลาะกันเปล่าๆ” ถึงแม้ผมจะชอบกวี แต่ผมก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้กวีกับเดือนต้องผิดใจกันหรอกนะ
“แต่ว่าเรื่องกินข้าว...”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เอาไว้วันหลังก็ได้” พอได้ยินแบบนี้กวีที่กำลังทำหน้าลำบากใจจึงค่อยยิ้มออกมาได้
“ถ้างั้นวันนี้เราขอไปหาเดือนก่อนแล้วกัน ส่วนวันหลังเดี๋ยวเราจะเลี้ยงข้าวไถ่โทษพายเอง” กวีโบกมือลาด้วยท่าทางสำนึกผิด ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้ววิ่งเข้าไปในม. ผมที่ยังอาลัยอาวรณ์เลยหมุนตัวกลับตามไปมอง แต่ก็ต้องชะงักไปซะก่อนเพราะเจอเพลิงยืนกอดอกอยู่ที่ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกล
นี่เพลิงมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่! แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้!
“พะ...พะ...เพลิง” ผมเกิดอาการติดอ่าง ร่างกายสั่นเป็นเจ้าเข้า ส่วนขาสองข้างก็แข็งทื่อจนขยับไปไหนไม่ได้ แม้ว่าเพลิงจะเดินเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้าของผมก็ตาม
“ขอดูหน้ามึงให้ชัดๆ หน่อย” โดยไม่รอให้ผมอนุญาต เพลิงก็กระชากแว่นสายตาหนาเตอะที่ผมสวมอยู่ออกไปทันที ตามด้วยการเชยคางผมขึ้นแล้วเสยผมที่ปรกหน้าปรกตาไปยังด้านหลัง
“เป็นมึงอย่างกูคิดเอาไว้จริงๆ ด้วย” เพลิงแสยะยิ้มออกมา วินาทีที่เห็นรอยยิ้มนั้นผมรู้ทันทีเลยว่าตัวเองกำลังจะชะตาขาด
จอม ‘อัณฑะ’ พาลจับตัวผมได้แล้ว!
Plerng ไอ้แว่นจืดจางเนี่ยนะคือคนที่ผมตามหา?
ผมถามตัวเองในใจตั้งแต่ที่เห็นไอ้แว่นนี่ที่โรงอาหาร พายที่ผมต้องการตัวต้องเป็นคนสวยแบบนางพญา คาริสม่าแรงจัด แล้วก็เสน่ห์เหลือล้น ไม่ใช่คนจืดจาง มืดมน ไม่เป็นที่จดจำ แถมยังใส่แว่นหนาเตอะเนิร์ดแตกแบบนี้!
ใครก็ได้บอกผมทีว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง!
รุกแท้ๆ แถมยังหล่อและรวยมากจนขึ้นเป็นตัวท็อปของวงการ (เกย์) อย่างผม แต่ดันหลงไปมีอะไรกับไอ้แว่นจืดจางจนต้องพลิกแผ่นดินตามหา ถ้าหากเรื่องนี้หลุดรอดออกไปผมต้องอับอายขายขี้หน้าเป็นอย่างมาก ชื่อเสีย (ง) ที่สั่งสมมาได้เละไม่เป็นชิ้นดีแน่นอน!
“บอกกูมาว่าชื่อจริงของมึงคืออะไรกันแน่” ผมถามไอ้เนิร์ดแตกที่กำลังตัวสั่นเป็นลูกนก
“พะ...พาย...เราชื่อพาย”
“แล้วทำไมตอนกลางวันมึงถึงบอกว่าตัวเองชื่อพฤกษ์”
“คือ...ระ...เรากลัวนายจะหาเราเจอ”
“แล้วรู้มั้ยว่าทำไมกูต้องตามล่าหาตัวมึง”
“ระ...รู้ นายคิดว่าเราดูถูก...”
“ใช่! มึงดูถูกกู!” ผมพูดขัดขึ้นเพราะรำคาญที่ไอ้แว่นมันพูดตะกุกตะกัก เนิร์ดแตกอย่างเดียวไม่พอยังติดอ่างอีกด้วยรึไง “ถ้าเข้าใจผิดคิดว่ากูเป็นผู้ชายขายน้ำ มึงก็จงทำความเข้าใจซะใหม่ว่ากูไม่ได้ขายเข้าใจมั้ยห้ะ!”
“ขะ...เข้าใจ”
“แล้วถึงกูจะขาย แต่ตัวท็อปอย่างกูมึงคิดได้ยังไงว่าค่าตัวแค่พันห้า เอาจริงๆ ถึงมึงวางเอาไว้ห้าพันกูยังโกรธ!”
“ขะ...ขอโทษ...ละ...แล้วนายอยากได้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เรายังไม่มีให้หรอกนะ คงต้องรอสิ้นเดือนเราถึงจะ...”
“โว้ยยยยยย! หน้ากูเหมือนคนร้อนเงินรึไงวะ!” ให้ตายสิ! ผมขับรถคันละเกือบสามล้าน ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีแต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น ไอ้แว่นยังกล้าคิดว่าผมร้อนเงินจนต้องมาไถตังคนอย่างมัน นี่มันมีสมองเอาไว้คั่นหูอย่างเดียวรึไง!
“ละ...แล้วถ้าไม่อยากได้เงินแล้วนายอยากได้อะไร” ตอนแรกที่คิดเอาไว้ พอจับตัวพายได้เมื่อไหร่ผมจะจับมัดแล้วโยนขึ้นเตียงลงโทษให้สาสม แต่พอเจอจริงๆ ผมก็นึกไม่ออกว่าตัวเองจะมีอารมณ์ได้ยังไง ไอ้เนิร์ดแตกนี่คงจะทำให้ผมหดซะมากกว่า
แต่เคยได้ยินมั้ยล่ะว่าความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน เพราะงั้นลองดูสักตั้งก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย
“กูอยากได้มึง”
“นายหมายถึง?”
“ก็เอามึงยังไงเล่า!” ไอ้แว่นนี่มันเด็กเนิร์ดหรือปัญญาอ่อนกันแน่วะ!
“หา! ถ้าเป็นเรื่องนั้นเราไม่ยอมหรอกนะ!” พายเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แถมยังผลักที่แผ่นอกของผมออกไปอีกต่างหาก
“อย่ามาเล่นตัวเลยน่า ตัวท็อปอย่างกูลดตัวลงไปคั่วเด็กเนิร์ดอย่างมึงก็ดีแค่ไหนแล้ว” ทำเป็นทำหน้ารังเกียจกูนะไอ้แว่น หนอย...คิดว่ากูรู้ไม่ทันรึไงว่านั่นมันก็แค่มารยา!
“เราไม่ได้เล่นตัวสักหน่อย แล้วเราก็ไม่เคยขอให้ตัวท็อปอย่างนายลดตัวลงมาหาเราด้วย เราอยู่ของเราเฉยๆ แต่นายนั่นแหละที่เป็นคนมาหาเราเอง” ประโยคที่พูดด้วยเสียงธรรมดา แต่ทำไมมันถึงได้เจ็บเหมือนโดนไม้หน้าสามตีแสกหน้าเลยวะเนี่ย!
“เออ! กูมาหามึงเอง! แต่นั่นมันก็เป็นแผนของมึงไม่ใช่รึไง!”
“แผน?”
“ก็ที่เปลี่ยนลุคไปอ่อยกูที่บาร์ วางเงินไว้พันห้าจนกูต้องเกณฑ์เพื่อนออกตามหา แถมยังจงใจเปลี่ยนชื่อเป็นพฤกษ์ให้เหมือนพี่ชายกูอีก สืบประวัติกูมาอย่างดีเลยนี่ ท่าทางจะชอบกูมากเลยสินะ” คำพูดของผมทำให้พายถึงกับตัวแข็งทื่อ
หึ! ถึงกับอึ้งไปเลยน่ะสิ!
ก็นะ...คนหล่อแถมยังรวยแบบผมใครไม่ชอบก็บ้าแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดเลยว่าพายจะชอบผมมากขนาดตามสืบจนรู้เรื่องของไอ้พฤกษ์ เพราะถึงเราจะเป็นแฝดกันแต่ก็เรียนคนละที่ คนรอบตัวที่ม.แทบไม่มีใครรู้เรื่องนี้เพราะผมไม่คิดจะป่าวประกาศ ผมเบื่อพวกที่ชอบถามคำถามประมาณว่าเป็นแฝดแต่ทำไมถึงไม่เหมือนกันเลย
“เอ่อ...เราไม่รู้จะพูดยังไงให้นายไม่โกรธ แต่คือ...เราไม่ได้ชอบนายหรอกนะ” พายพูดขึ้นหลังจากเงียบไปหลายวินาที
“มึงไม่ต้องทำเป็นกลบเกลื่อนแก้เขินที่ถูกจับได้หรอกน่า” ผมส่ายหน้าไปมา คนที่เข้าหาผมมีไม่น้อยเหมือนกันที่ทำตัวเรียกร้องความสนใจแบบนี้ คือกะจะให้ตัวเองแตกต่างเป็นที่จดจำไง แต่เสียใจด้วยนะที่ผมฉลาดก็เลยรู้ทัน
“คือ...เราพูดจริงๆ นะ เราไม่ได้ชอบนายเลยสักนิด ถ้านายไม่เชื่อจะพาเราไปสาบานที่ไหนก็ได้” พายพูดอย่างแน่วแน่แถมยังจ้องเข้ามาในตาของผมอย่างหนักแน่น สายตาแบบนี้ผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจไม่มีโกหกถึง 99.99%
แต่เดี๋ยวก่อน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีอีก 0.01% ที่ไอ้แว่นมันอาจจะโกหกผม!
“ถ้ามึงบอกว่าไม่ได้ชอบกู แล้วเรื่องที่มึงเปลี่ยนลุคเข้าบาร์ ทิ้งเงินไว้พันห้า กับเปลี่ยนชื่อเป็นพฤกษ์ให้เหมือนพี่ชายกู มึงจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง”
“ที่เราเปลี่ยนลุคก็เพราะอกหัก วางเงินไว้พันห้าก็ตั้งใจจะช่วยจ่ายค่าห้อง ส่วนเรื่องเปลี่ยนชื่อเราก็บอกไปแล้วว่ากลัวนายจะหาเราเจอ ถ้ารู้มาก่อนว่าพี่ชายนายชื่อพฤกษ์เราคงไม่ใช้ชื่อนี้หรอก” พายตอบผมได้ทันทีโดยไม่มีเสียเวลาหยุดคิด
Oh shit! ถ้าอย่างนี้ก็หมายความว่า เรื่องทั้งหมดผมมั่นหน้ามโนไปเองอย่างนั้นเรอะ!
ฟ้าคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค!
“เท่านี้นายก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วสินะ ถ้างั้นเราขอตัวกลับหอก่อนแล้วกัน” พายพูดจบก็เบี่ยงตัวเดินออกไปไม่สนใจผมใดๆ ทั้งนั้น ขนาดแค่หางตายังไม่มีเหลือบมองมาเลย
พอเจออย่างนี้แล้วใครจะไปยอมวะ! กูน่ะตัวท็อปนะเว่ยไอ้แว่นจืดจาง!
“หยุดเลยไอ้แว่น! มึงยังไปไหนไม่ได้!” ผมเดินไปดักหน้าของพายซึ่งพายก็ทำหน้างงๆ
“มีอะไรงั้นหรอ? อ๋อ นายจะคืนแว่นเราสินะ ขอบใจมาก” พายพูดเองเออเอง แล้วยื่นมือมาหยิบแว่นสายตาที่อยู่ในมือของผมคืนไป จากนั้นก็สวมเข้าที่ใบหน้า “เราไปแล้วนะ”
‘เออ โชคดี’ ถุ้ย! ใครมันจะไปพูดแบบนี้กันวะ!
“กูไม่ได้จะคืนแว่นมึงเว่ยไอ้หน้าจืด! ก็บอกแล้วไงว่ากูจะเอามึง! มึงต้องเป็นเมียกูเข้าใจมั้ย!” ผมคว้าที่ข้อมือของพายเอาไว้ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น
“ปล่อยเรานะ ก็บอกแล้วไงว่าเราไม่ยอม” พายพยายามแกะมือของผมออก แต่แรงเท่ามดป่วยแบบนั้นคงจะทำได้หรอก
“มึงไม่มีสิทธิ์เลือกหรอกนะไอ้แว่น ที่กูพูดมันคือคำสั่ง”
“อัณฑะพาลชัดๆ”
“มึงว่าไงนะ?” พายพูดด้วยเสียงที่เบามากจนผมแทบไม่ได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พอจะเดาได้ว่าพายต้องด่าผมแน่ๆ
“เราไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย” แถหน้าด้านๆ จนสีข้างถลอกเลยนะไอ้แว่น แต่ก็ช่างเถอะ จะด่าจะสาปแช่งอะไรก็แล้วแต่ผมสนใจที่ไหน
“หอของมึงอยู่แถวนี้ใช่มั้ย พากูไปเดี๋ยวนี้” ผมพูดจบก็ออกแรงลากพายให้เดินตรงไปข้างหน้า แต่ว่าพายก็พยายามขืนตัวเอาไว้อย่างสุดชีวิต
“ใครจะยอมพานายไปกันเล่า” พอได้ยินแบบนี้ผมก็ชักรำคาญเลยหยุดลาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะถอดใจยอมปล่อยพายไปแค่นี้หรอกนะ
“ไม่ยอมกูก็ไม่ว่าอะไร กูไม่เดือดร้อนอยู่แล้วถ้าต้องแสดงหนังสดให้คนอื่นเห็นกลางซอยแบบนี้”
เรื่องที่พูดไปเมื่อกี้แน่นอนว่าผมโกหก ใครมันจะไปใจกล้าบ้าบิ่นเอาท์ดอร์กลางซอยขนาดนั้น ถ้าเป็นที่ระเบียง ในรถ ห้องน้ำสาธารณะ หรือสระว่ายน้ำก็ว่าไปอย่าง แต่ก็รู้สึกว่าพายจะเชื่อจริงจังจนเบิกตากว้าง แถมยังเหงื่อแตกพลั่กและหน้าซีดจนแทบจะเป็นกระดาษ
อะไรวะ นี่ผมดูเป็นพวกบ้ากามเอาได้ทุกที่ทุกเวลาขนาดนั้นเลยรึไง?
“สรุปมึงจะไม่พากูไปใช่มั้ย ได้...งั้นมึงก็มาเป็นเมียกูตรงนี้เลยแล้วกัน!” พูดจบผมก็ก้มหน้าลงไปทำท่าจะจูบพาย ไหนๆ ไอ้แว่นนี่ก็คิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นก็แสดงให้สมบทบาทเลยแล้วกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าการแสดงที่พึ่งเริ่มจะต้องจบลงแค่นี้
“ยะ...อย่านะ! เรายอมแล้ว...เราจะพานายไปห้องของเราก็ได้!” ไอ้แว่นนี่แม่งขู่ง่ายจริงๆ เว่ย
“หึ! ก็แค่นั้น แล้วก็อย่าตุกติกนะมึง” ผมชี้หน้าคาดโทษ “เออใช่ แต่ก่อนจะไปกูมีเรื่องที่ต้องทำก่อน อยู่นิ่งๆ ล่ะมึง”
พายดูงงๆ แต่ก็ยอมอยู่นิ่งๆ ตามที่ผมบอก ผมเลยจัดการปรับลุคให้พายใหม่ โดยเลื่อนแว่นสายตาอันหนาเตอะขึ้นไปคาดด้านบน พอไม่มีผมที่ปิดหน้าปิดตาค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้บ้าง ไม่ล่ะ...อันที่จริงต้องบอกว่าสวยมากเลยต่างหาก
ส่วนเสื้อผ้าของพายที่ใส่อย่างถูกระเบียบเป๊ะๆ ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ กระดุม 2 เม็ดบนถูกผมปลดออก แน่นอนว่าชายเสื้อที่สอดอยู่ในกางเกงก็ถูกผมดึงออกมาเช่นกัน
ใครจะยอมให้คนเอาไปเมาท์กันล่ะว่าผมกำลังคั่วอยู่กับไอ้แว่นเนิร์ดแตก!
“เอาล่ะเรียบร้อย” ผมมองฝีมือการแปลงโฉมของตัวเองอย่างชื่นชม พายที่เห็นตรงหน้ากลายเป็นหนุ่มหน้าสวยเสน่ห์เหลือร้ายไปซะแล้ว
แหม่...พอเห็นอย่างนี้ภาพคืนนั้นที่ผมฟัดกับพายอย่างสนุกสุดเหวี่ยงก็ย้อนคืนมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากกินพายตรงหน้าจนแทบทนไม่ไหว
ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย ถึงห้องเมื่อไหร่จะเลียให้ล้มตั้งแต่หน้าประตูเลยคอยดูสิ!
2bc
เฮลโหลววววว Rabid หัวใจคลั่งรัก ตอนที่ 2 ก็จบลงไปแล้วค่า เชื่อว่าพออ่านจบ 99.99% ต้องหมั่นไส้อีตาเพลิงผู้มั่นหน้าเป็นอย่างมาก กินอะไรเข้าไปทำไมมันถึงได้มั่นหน้ามั่นโหนกขนาดนี้ 55555
ส่วนน้องพายคนดียังไม่พ้นวันก็ถูกไอ้ ‘อัณฑะพาล’ จับได้ซะแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ยังถูกมันบังคับให้พาขึ้นห้องอีกต่างหาก
แล้วอย่างนี้พายจะมีโอกาสรอดมั้ยนะ? หรือจะถูกอีตาเพลิงจับกินเรียบร้อยโรงเรียนอัณฑะพาล? ยังไงก็มาลุ้นกันตอนหน้านะคะ อีก 3 วันหรือก็คือวันพฤหัสค่ำๆหรือดึกๆเจอกันแน่นอนค่า รักทุกคนนะคะ กอดดดดด
ปล.เนื่องจากยังมีนักอ่านไม่เกทอีกมาก ทั้งจากคอมเมนท์ และอินบ็อกซ์ในเพจที่ทักท้วงเข้ามา คือเราขออธิบายคำนี้อีกครั้งนะคะว่าเราตั้งใจจ้า เป็นการเอาคำว่า ‘อัณฑะ’ กับ ‘อันธพาล’ มารวมกัน ซึ่งก็ตรงกับคาเรคเตอร์อีตาเพลิงคนหื่น คนพาล คนเกรี้ยวกราดมากๆจ้า
(30 เม.ย. 61)