ตอนที่ 9
วันนี้วันหยุดของผมที่ร้านหมูกระทะ ทำงานเซเว่นเสร็จตอนเช้าวันนี้ก็ถือว่าว่างทั้งวัน อันนี้ผมจะขออธิบายนิดนึงครับ คือ ตามกฎหมายเขาไม่ให้ทำงานอาทิตย์นึงเกิน 42 ชั่วโมงครับบ ต่ออาทิตย์ผมก็เลยมีเวลาว่างหนึ่งวัน แต่ปกติผมชอบทำผิดกฎหมายครับ เพราะหยุดแล้วผมไม่รู้จะทำอะไรไง เลยทำงานทุกวัน สะสมวันหยุดไว้
ผมนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงในบ้านของไอ้ปัน ทำงานเซเว่นเสร็จ ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยตั้งใจว่าจะกลับมาเล่นกับมัน แต่ก็ดันไม่อยู่ พอโทรถามก็บอกว่าอยู่บ้านเพื่อน ผมก็เลยมานอนแง่ว โดดเดี่ยว เดียวดายในท้องเลอยู่แบบแหละครับ
“โอ๊ย ร้อน โอ๊ยย เบื่อ...” ผมพูดบ่นพึมพำกับตัวเองพลางใช้มือพัดหน้าระบายความร้อน ที่บ้านนี้คุณแม่ของไอ้ปันมีกฎไว้ว่าห้ามเปิดแอร์จนกว่าจะหกโมงเย็น ตอนนี้ทั้งบ้านก็เลยร้อนตับแลบ สงสัยคุณแม่จะลืมว่าประเทศไทย นี่อุณหภูมิอยู่ที่ 15 ครับ
15 องศาจะครบล้าน!
ใช่ซี๊ คุณแม่ กับไอ้ปัน กฎนี้ไม่ค่อยกระทบพวกเขาเท่าไหร่หรอกครับ คนนึงก็ออกไปทำงาน อีกคนก็ไปหาเพื่อน เหลือแต่กระผมนอนเป็นคนหล่อแดดเดียวอยู่แบบนี้ ฮือ
“ร้อน...” ผมบ่นอีกรอบพลางกลิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงกับเตียง ตอนนี้ทั้งเสื้อทั้งเตียงรู้สึกชื้นๆ ไปด้วยเหงื่อของผม
อยากไปที่เย็นๆ แต่ห้างฯ ไม่ใช่ที่ของผม แค่ค่ารถนี่ก็เสียดายแล้ว ไม่มีที่ไหน ที่เปิดแอร์ แล้วอยู่สบายๆ แบบบ้านไรงี้บ้างไงวะ
...
พรึ่บ!
ผมเด้งตัวลุกขึ้นมา เมื่อนึกถึงคอนโดของครอบครัวสามหนุ่ม
บ้านนั้นเปิดแอร์ตลอดครับ เพราะตอนต้นต้องอยู่บ้าน แถมตอนนี้ป้าสร้อยก็คงกำลังดูแลเด็กอ้วนนั่นอยู่ แปลว่ามันจะไม่มายุ่งกับผม Freedom! คิคิ
ว่าแล้วผมก็รีบกุลีกุจออาบน้ำแต่งตัวใหม่ โทรหาพี่มอไซค์รับจ้างระหว่างแต่งตัว ทันทีที่เซ็ตผม wet look เสยด้านหลังเสร็จแล้วก็เป็นจังหวะเดียวกับทีพี่มอไซค์บีบแตรเรียกพอดี
รออะไรละครับ ไปใช้แอร์ฟรีกันเลยยยย!
ผมเดินเข้าคอนโดราวกับเป็นคอนโดของตัวเอง ตอนแรกๆ พนักงานประชาสัมพันธ์เขาก็ระแวงผมนะครับ ที่แอบด้อมๆ มองๆ ทุกทีเวลาจะขึ้นคอนโด (คือผมไม่มีคีย์การ์ดไง) แต่พักหลังๆ คือมาบ่อยมาถี่ ชนิดที่ว่ามาทุกวัน จนเดี๋ยวนี้พี่ๆ ประชาสัมพันธ์นี่เปิดประตูให้ผมเองก็มี
คิดใช่ไหมละ ว่าตั้งแต่วันนั้นที่ผมร้อง อ๊ากกกก ออกมาจากห้อง แล้วผมจะกล้ากลับมาที่นี่หรือเปล่า บอกไว้ตรงนี้เลยครับว่า กล้า!
ก็แบบ ก็เค้าหน้าด้านนิดนึงอ่ะ ผ่าง!
ไม่ใช่อะไรครับ คือพอผ่านวันนั้นไปทุกอย่างก็ปกติดีไม่มีอะไร หัวใจผมเต้นเป็นจังหวะธรรมดา บางวันผมกับพี่ตุลย์ (เริ่มเรียกจนชินแล้ว) ก็อยู่ใกล้กันนะครับ เวลาอยู่ในครัว เดินสวนอะไรเงี่ย แต่เรื่องนอนค้างคือนับตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีอีกเลย ต่อให้ต้องลากตัวเองทั้งๆ ที่หลับกลางอากาศไปแล้ว ก็ต้องกลับบ้านไอ้ปันลูกเดียว
เกรงใจ~ ไม่อยากไปรบกวนเตียงเขาแล้ว เป็นเด็กดีปะละ ไม่ดื้อ~
ติ๊ง!
ผมก้าวเดินออกจากลิฟท์ตรงไปยังห้อง B8002 ตามความเคยชิน เคาะประตูเล็กน้อย ก่อนจะเห็นป้าสร้อยที่อุ้มตอนต้นเปิดออกมาต้อนรับ ผมกับป้าเขาไม่เคยคุยกันแบบตัวต่อตัว เพราะว่าผมมาดึกตลอด แต่ผมเดาว่าพี่ตุลย์คงพูดถึงผมให้ป้าสร้อยฟังแล้วบ้างอะนะ ป้าแกเลยไม่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนตอนที่ไอ้เด็กที่หนึ่งบอกว่าผมขายตัวเหมือนครั้งนู้นนนนนน
“มาหาตุลย์หรอลูก?”
“ครับ จะเอาเงินมาคืนให้อะครับ พอดีตอนนี้ผมว่างก็เลยว่าจะรอจนกว่าพี่ตุลย์จะกลับมาอะครับ” ผมยิ้มหวานให้กับป้าสร้อย สกิวจิ๊จ๊ะกับสาวของผมนี่ใช้กับทั้งวัยรุ่นทั้งวัยโลงเลยนะครับขอบอก!
“งั้นเข้ามาข้างในก่อนสิ จะได้ช่วยป้าดูตอนต้นด้วย เห็นตุลย์เล่าให้ฟังว่า ตอนต้นยอมให้อุ้มด้วย”
มันยอมครับ แต่ผมไม่ยอมครับ ก็เลยไม่อุ้มมัน
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ผมทรุดตัวลงนั่ง ก้มมองเด็กอ้วนตัวที่คลานเป็นวงกลมรอบเก้าอี้ทานข้าวของตัวเอง
เอ่อะ...ตอนเกิดหมอใช้คีบหนีบหัวแรงไปหรอ?
ผมเลิกสนใจเด็กอ้วนตอนต้นนั่น พอป้าสร้อยมานั่งเล่นกับมันผมก็เอื้อมไปหยิบรีโมทดูอะไรฆ่าเวลาประมาณว่า ผมเป็นเจ้าของห้องนี้เลย
“ตอนต้น ไม่เอาลูก ไม่โยนของสิ โยนของเป็นเด็กไม่ดีนะรู้เปล่า”
ผมละสายตาจากการ์ตูนที่กำลังฉายอยู่มองตอนต้นที่กำลังโยนแท่งไม้สามเหลี่ยมสีน้ำเงินใส่พื้น แล้วก็ขว้างแท่งไม้สี่เหลี่ยมสีแดง ใส่ป้าสร้อย ต่อด้วยหยิบแท่งไม้วงกลมสีเขียวกระแทกๆ กับพื้นร้อง ‘แอร๊ยๆ’ ไปพลาง
เข้าใจนะครับว่าเด็กมันเล่นของเล่นไม่เป็น แต่ดูทำ นี่ถ้าเป็นลูกผมนะจะหยิกให้ตัวเขียว อะไรไม่น่าโกรธแทนเท่าปาของใส่คนเนี่ยแหละครับ
ปึก!
“โอ๊ย!”
ไอ้เด็กอ้วนตอนต้นมันเอา แท่งกลมๆ ที่กระแทกพื้นเมื่อกี้มากระแทกที่ข้อเท้าผมครับ! ไอ้เด็กนี่!
“ตอนต้นไม่เอาสิลูก อย่าไปทำพี่เขา”
ป้าสร้อยที่ก็เป็นเหยื่ออีกคนที่โดนทำร้าย พยายามจะเอื้อมมือมาอุ้มตอนต้นออกไปจากข้อเท้าผม แต่ทันทีที่มือป้าแกแตะตัวมัน หน้ากลมๆ ก็แบะออกตั้งท่าจะร้องไห้ทันทีจนป้าสร้อยต้องชะงักไป ส่วนผมนี่ โมโหเลย ย้ำอีกครั้งผมไม่ค่อยถูกกับเด็กครับ!
ผมใช้เท้าเขี่ยก้นมัน กะว่าแม่งให้หงายหลังสักทีสองที แต่! ไม่ได้ผลครับ ไอ้เด็กอ้วนนั่นพอผมเขี่ยตูดมันปุ๊บ ก็คว้าขาผมปั๊บ มานั่งทับหลังเท้าผมอีก ตาแป๋วๆ ช้อนมองที่ผม รอยยิ้มน้อยๆ นั่นดูชอบอกชอบใจที่ตัวเองได้แปลงร่างเป็นโคอาล่าแล้ว
“ป้าสร้อยเดี๋ยวผมจัดการไอ้นี่เองครับ มื้ออาหารต้อนรับพี่ตุลย์ ต้มยำเด็กอ้วน” ว่าเสร็จผมก็ลุกขึ้นเดินโดยมีเด็กอ้วนที่ว่านั่นเกาะขาไปด้วย เดินเข้าไปในครัว กะจะใช้ตะหลิวแงะมันออกที่นั่น แล้วจับมันต้มเลย
วันนี้แหละ กูจะได้เป็นอมตะ หึหึหึ
ปัง!
ผมสะดุ้งโหยง ขณะที่กำลังใช้ตะหลิวแงะเด็กอ้วนออกจากขาเสียงประตูกระแทกวงกบก็ดังขึ้น!
“ป้าสร้อยครับ ขอบคุณมากนะครับที่ดูตอนต้นให้ ป้าสร้อยกลับไปก่อนเลยนะครับ” ผมหันมองตามเสียง แต่บังเอิญว่าผมอยู่ในห้องครัว มันเยื้องกับห้องนั่งเล่น ผมก็เลยไม่เห็นอะไร
“อะ โอเค งั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวป้าจะแวะมาใหม่นะ” ป้าสร้อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะลังเล แต่ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงประตูอีกครั้งเป็นการบ่งบอกว่าสุดท้ายป้าสร้อยก็ตัดสินใจที่จะออกจากห้องไป
เกิดอะไรขึ้นวะ?
“ที่หนึ่งไปนั่งบนโซฟา”
“...”
เสียงทุ้มที่ผมได้ยินทุกวันกดให้ต่ำลงราวกับต้องการคุกคาม แม้ผมที่อยู่ในครัวก็ยังรู้สึกขนลุกกับเสียงนั้น ผมวางตะหลิวลงบนเคาเตอร์ให้เบามือที่สุด สถานการณ์ตึงเครียดเริ่มลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง จนผมต้องยอมที่จะอุ้มตอนต้นขึ้นมาจากหลังเท้า
“พ่อเคยสอนลูกให้เป็นคนแบบนี้หรอ? พ่อเคยสอนลูกให้เป็นนักเลงใช่ไหม?”
“เปล่า...”
ผมเดินอุ้มตอนต้นออกไปดูสถานการณ์ ก่อนจะเห็นว่าที่หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟากอดกระเป๋านักเรียนโดยมีผู้เป็นพ่อยืนค้ำหัวอยู่ แม้เขาจะหันหลังให้ผม แต่น้ำเสียงและบรรยากาศโดยรอบก็ทำพอเดาได้ว่า เขาไม่ใช่บุคคลที่ควรจะไปทักทายตอนนี้
“ถ้าพ่อไม่ได้สอนให้ลูกเป็นนักเลง แล้วไปต่อยเพื่อนเขาทำไม!” มือใหญ่นั่นคว้าเข้าที่ต้นแขนลูกชายคนโต ผมไม่แน่ใจเรื่องแรงนัก แต่มันก็คงอาจจะแรงเพราะเด็กที่หนึ่งเริ่มมีน้ำตาใสๆ คลอหน่วงอยู่ที่ตา
คุณควรจะรู้ไว้อย่างหนึ่ง เด็กผู้ชายอายุเก้าขวบ เริ่มไม่ใช่วัยที่จะร้องไห้ด้วยเรื่องงี่เง่าแล้วนะครับ...
“เพื่อนลูกเขาทำอะไรผิดนักหนา ยกโทษให้ไม่ได้หรืออะไร? หรือจะอวดภูมิ กร่าง สถาปนาตนว่าเออ ฉันนะเก่ง หรือยังไง? หรือดูการ์ตูนมาก อยากต่อสู้ ก็เลยไม่เอาแล้วนักเรียน จะเป็นนักเลงแบบนี้หรอ?”
“เปล่าสักหน่อย!” ที่หนึ่งปฏิเสธทันทีเสียงดัง แต่ก็ต้องกลับไปก้มหน้าเมื่อสบตากับผู้เป็นพ่อของตน
“งั้นบอกมา ว่าทำไม ไปต่อยเขาทำไม! ลูกจะร้องกลับบ้านก่อนบ้างบางที พ่อไม่เคยว่า เข้าใจว่าลูกคงติดบ้าน เรียนไม่ดี ไม่ตั้งใจเรียน พ่อก็พยายามเข้าใจ แต่ทำไม ทำไมลูกต้องทำตัวเลวร้ายจนถึงขั้นไปต่อยคนอื่น ลูกอายุเก้าขวบเองนะ ถ้าตอนนี้ทำตัวแบบนี้ โตขึ้นลูกจะไปเป็นโจรเลยไหม!”
“ก็ไอ้นั่นมันด่าผมว่าลูกไม่มีแม่นี่!!”
“!!”
“...” ผมพิงกำแพงดูสถานการณ์ตรงหน้านั่นเงียบๆ
ไม่มีแม่? เหออ คำคุ้นๆ เหมือนผมก็เคยโดน
“เขาด่าลูกอย่างนั้นแล้วไง มันเลวร้ายมากจนต้องไปต่อยเขาเลยไหม ต้องต่อยเขาหนักจนคิ้วแตกเลยใช่ไหม กับไอ้แค่คำว่าไม่มีแม่เนี่ย! มันฟังแล้วทะลุออกอีกหูไม่ได้เลยใช่ไหม!”
“...”
ผมหัวเราะในลำคอ ไม่ได้ตลก แต่รู้สึก...ยังไงดี เยาะเย้ย สมเพช ไม่รู้ดิ? นี่สำหรับคำว่า ‘ไม่มีแม่’ สำหรับเขามันเบามากงั้นดิ ประหนึ่งแบบ ‘ไอ้ถุงเท้าขาด’ อย่างงี้เลยใช่ไหมอะ?
“เขาด่าแล้วไง ก็ลูกมีแค่พ่อจริงๆ แล้วมันทำไม มันเป็นความจริง รับไม่ได้? ต้องโกรธ ต้องโมโห ต้องไปต่อยเขาใช่ไหม!? มันจะทำไมนักหนากับคำว่า ไม่มีแม่!”
“...” น้ำตาของที่หนึ่งหยดลงมา แต่ไม่มีเสียงสะอื้น “แล้วทำไมผมถึงไม่มีแม่เหมือนคนอื่นๆ บ้างเล่า! ทำไมแม่ไม่อยู่กับเรา!? ถ้าแม่อยู่ด้วย ผมจะโกรธจนไปต่อยมันไหมละ!”
ผมกำหมัด...
มันผิดมากหรอวะ ที่โดนล้อ ‘ปมด้อย’ แล้วจะโกรธ
“ไม่มีก็คือไม่มี ไปต่อยไอ้คนที่ล้อ แล้วลูกจะมีแม่ขึ้นมาไหม! ไปต่อยมันนอกจากจะโดนด่าว่าไม่มีแม่ ยังโดนด่าอีกว่าพ่อไม่สั่งสอน! มีแต่เรื่องวุ่นวายเข้ามาทั้งนั้น ทำแล้วมันดีขึ้นไหม ไปต่อยคนอื่นอ่ะ! ไม่มีแม่ก็คือไม่มีแม่ แค่นั้น ฟัง! แล้วก็ปล่อยให้มันทะลุหูไปเลย ทำได้ไหม!? ทุกวันนี้พ่อทำงานก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว
อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายให้พ่อเพิ่มอีกได้ไหม!”
“นี่คำพูดของคนเป็นพ่อหรอ?” ผมเดินอุ้มตอนต้นออกมาขวางระหว่างคนสองคนไว้ ก่อนหน้านี้ผมไม่อยากให้เด็กอ้วนนี่ฟังพ่อห่วยแตกสักเท่าไหร่ เลยกดหัวให้หูจมกับไหล่ผมแล้วเอามืออุดหูอีกข้างเอาไว้แล้ว
“นาย...”
“ที่หนึ่งเอาตอนต้นไปเล่นที่ห้องที่หนึ่งก่อนไป” ผมอุ้มตอนต้นให้กับไอ้เด็กที่หนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟา เด็กนั่นก็รับตอนต้นไป แต่ก็ยังไม่ยอมลุกจากที่
“...”
“ที่หนึ่ง ไปเข้าห้องก่อนไป” ผมย้ำ อีกฝ่ายจ้องหน้าผก่อนจะพยักหน้าแล้วอุ้มน้องตัวเองเข้าไปในห้องนอน ทันทีที่ประตูห้องนอนของที่หนึ่งปิดลง ผมก็หันมาเผชิญหน้ากับคุณพ่อยอด ‘แย่’ แห่งปี
“มาเกี่ยวอะไรด้วย?”
“พอดีนามสกุล ‘อยู่เสือก’ ก็เลยต้องเสือกอยู่นี่ไง” ผมยิ้ม แต่เขาก็คงรู้ว่ามันเป็นการยิ้มที่กำลังด่าเขานั่นแหละ “จริงๆ ก็ไม่ไต้ตั้งใจจะยุ่งหรอก เรื่องของครอบครัวใครก็จัดการกันเอง แต่มันรับฟังไม่ได้จริงๆ ว่ะ คือพ่อของผมดีไง เลยไม่คิดว่าจะมีคุณพ่อแย่ๆ แบบนี้อยู่บนโลก”
ตุ๊บ!
เขาจับคอเสื้อแล้วใช้แขนดันผม คงตั้งใจจะให้กระแทกกับกำแพงด้านหลัง แต่เพราะมีโซฟากั้นอยู่ผมก็เลยร่วงลงไปนั่งแทน ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่
“นายอยู่ในสถานะหรอเอส ถึงได้มาด่าฉันแบบนี้” เขากดเสียงต่ำ
“สถานะหรอ...อื้ม เอาสถานะแรกก่อนแล้วกัน
สถานะคนไม่มีแม่ พออยู่สถานะนี้พูดได้ปะ?” ผมยิ้ม ผมจงใจทำหน้าหน้าทำตากวนประสาทคนตรงหน้าผมโดยเฉพาะ “ถามจริงเรื่อง ‘ไม่มีแม่’ ของเด็กวัยแบบที่หนึ่งเนี่ย แม่งเรื่องขี้ปะติ๋วมากดิ?”
“...”
“เคยมีปมด้อยไหม? รู้จักปะ สิ่งที่เรียกว่า ปมด้อย หรือพี่ไม่เคยมี มีครอบครัวสุขสันต์ พ่อแม่ส่งเสียง มีเงิน มีเพื่อน เรียนดี ชีวิตโคตรเพอร์เฟ็คไรงี้? ถ้าไม่มีปมด้อยเลยชีวิตนี้ พี่นั่นแหละ เอา ‘สถานะ’ อะไรไปด่าลูกวะ!” ผมยืนขึ้นแล้วผลักอกเขา “ไม่ดิ ไม่ใช่ด่าลูก เอาสถานะอะไร ไปด่าเด็ก ‘ไม่มีแม่’!”
“...”
“ถ้าตอนนี้แม่พี่ตาย ก็ไม่รู้พี่จะรู้สึกถึงการเป็นเด็กไม่มีแม่ไหม แต่ถ้ามีคนมาด่าปมด้อยนี่ ต้องยิ้มรับใช่ไหม? ต้องพูด ‘ขอบคุณ มากนะที่มาด่าปมด้อยผม’ แบบนี้เลยใช่ไหม?”
“เรื่องที่ไม่มีแม่มันช่วยไม่ได้นี่!”
“
แต่เรื่องที่จะทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นปมด้อยหรือเปล่า พี่ช่วยได้นี่! ถ้าพี่ทำให้เขารู้สึกตัวเองไม่มีปมด้อยซะอย่าง ถ้าพี่เป็นพ่อ แล้วเป็นแม่ให้เขาได้ดีพอ จนเขาไม่รู้สึกขาด มันจะถึงขั้นเป็นปมด้อยไหม! ผมก็ไม่มีแม่ แม่ผมตายตอนคลอดผมเนี่ยแหละ แต่ผมมีพ่อ! พ่อที่พยายามดูแลผมอย่างดีทดแทนสิ่งที่ผมขาด เป็นทั้งพ่อ ทั้งแม่ ให้ผมได้! ผมก็เคย...มีคนมาล้อผมเหมือนกันว่า ไอ้เด็กไม่มีแม่ แต่พ่อทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ปมด้อย! ผมก็แค่กลับไปถาม พ่อ แม่ไปไหน แค่นั้น ลองคิดดิ ว่าทำไม ที่หนึ่งถึงรู้สึกว่าการไม่มีแม่ ถึงได้เป็นปมด้อยขนาดต้องไปต่อยเพื่อนแบบนั้น!”
“...”
“ไม่ใช่เพราะพ่อมันเฮงซวยหรอวะ!”
“!”
“ต่อมา อันนี้ผมพูดในสถานะ ‘คนเป็นลูก’ พี่ที่จริงก็เป็นลูกเหมือนกัน แต่สงสัยจะคิดว่าตัวเองเป็นพ่อเยอะเกินไปหน่อย เลยลืมไปแล้วดิ ว่าตอนนี้ตัวเองก็เป็นลูกเหมือนกัน”
"...”
“พี่พูดว่าไรนะ อ๋อ! ‘อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายเพิ่มอีก’ คำนี้ ผมแม่งโคตรจี๊ด เห็นแก่ตัวไปปะ? นั่นลูกพี่นะ ไม่ใช่เด็กที่เก็บมาเลี้ยง เด็กวัยเก้าขวบอะ แม่งทำไรได้บ้าง ทำงานพิเศษ ก็ต้องสิบห้าบัตรประชาชนมีก็ยังเก็บเองไม่ได้เลย! พี่คิดบ้างไหม ว่าคำพูดพวกนั้นจะติดลงไปในซีรีบั่มของที่หนึ่งอะ พอหลังจากนี้พอมีเรื่อง ให้เด็กนั่นทำไง เก็บไว้ แล้วเขียนไดอารี่? พี่คิดจริงๆ หรอว่าเด็กมันสามารถจะไม่มีเรื่องได้ตลอดชีวิต มันต้องเรียนรู้ บางคนสร้างความวุ่นวายให้พ่อแม่จนถึงอายุสามห้า มันเป็นหน้าที่ ที่พี่ต้องช่วยเขาแก้ ทำให้เขาเรียนรู้ว่า ต้องทำยังไงกับมัน ต้องปฏิบัติแบบไหน ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก แต่พี่แม่งบอก อย่าสร้างความวุ่นวายให้พ่ออีกได้ไหม พ่อเหนื่อย!?”
“...”
“คืออะไรอะ? ถามจริง? ปัญหาของที่หนึ่งครั้งนี้มันใหญ่มากหรอ ใหญ่จนต้องพูดแบบนี้เลยใช่ไหม ใหญ่จนต้องขายบ้าน ขายรถ ขายนา ไม่มีจะกิน ไม่มีจะนอนเลยใช่ไหม?”
“...”
“ถามจริงๆ เหอะ ไอ้ที่ลูกพี่มีปัญหา มันเพราะตัวของเด็กเอง หรือเพราะใคร ไม่ใช่พี่ใช่ไหม ที่ทำให้ปัญหามันเกิดขึ้นมา...”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริง และครั้งนี้ก็คงจะจริงจังที่สุดตั้งแต่ที่ผมรู้จักเขามา ผมผละออกเดินตรงไปยังห้องนอนของที่หนึ่งก่อนที่ พี่ตุลย์จะได้เถียงผม
ผมไม่อยากให้เขาเถียง
เพราะเมื่อไหร่ที่เถียง แปลว่าเขาไม่คิดจะเอาคำพูดของผมไปคิดเลย...
แอ๊ด...
ผมถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนของที่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ได้เข้ามาในห้องนอนของเด็กนั่น มีของเล่น ตุ๊กตาจำพวกฮีโร่มากมายอยู่เต็มห้อง ส่วนเจ้าของห้องก็นั่งเล่นกับตอนต้นอยู่บนเตียง
ไม่ร้องแล้วแหะ
ผมเดาว่าเด็กนั่นคงไม่อยากให้น้องตัวเองเห็นน้ำตาละมั้ง มันไม่ใช่ลูกผู้ชายเท่าไหร่ ผมก็เป็นนะ
“ว่าพ่อแบบนั้น เดี๋ยวพ่อก็โกรธเอาหรอก” ที่หนึ่งพูดขึ้น
ผมไม่แปลกใจ ถ้าที่หนึ่งจะได้ยิน ดีไม่ดี ห้องข้างๆ อาจจะได้ยินแล้วด้วยซ้ำ เหอะๆ
“โกรธเลย ทำอย่างกับแคร์นักนี่ ไม่ใช่พ่อฉันสักหน่อย” ผมใช้มือดันตัวที่หนึ่งให้เขยิบที่ให้ผม ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง “ไอ้คนแบบนั้นต้องด่าซะบ้าง สงสัยจะไม่ได้โดนพ่อแม่ดุมานาน”
เด็กนั่นหัวเราะแผ่วๆ “แล้วจริงหรือเปล่า ที่ไม่มีแม่เหมือนกัน”
“จริงดิ จะไปโกหกทำไม แช่งให้แม่ตายไม่ใช่เรื่องตลกนะไอ้น้อง”
“พี่เข้าใจใช่ไหมว่า ทำไมที่หนึ่งถึงต้องต่อยเขา” เสียงเด็กนั่นเบาหวิว ผมรู้ว่าในใจ มันต้องการจะให้ผมตอบว่า ‘เข้าใจ’
ผมถอนหายใจ “ก็เข้าใจ แต่ว่านายก็ทำเกินไปนะ ต่อยจนคิ้วแตกเลยนี่”
“ก็มันโกรธ...”
“พี่ก็เข้าใจว่าโกรธ แต่การทำร้ายร่างกายคนอื่นก็เป็นสิ่งไม่ดีเท่าไหร่ กฎหมายระบุว่าเป็นความผิด ต้องจ่ายเงิน แล้วก็ขังคุกเลยนะ”
“จริงอะ!”
“แน่นอน แต่จะให้ไปด่ามันกลับ มันก็จะด่ากลับอีก จบด้วยการทะเลาะไม่จบไม่สิ้นสักที แต่ถ้าที่หนึ่งทำเฉยๆ ซะ พอการล้อมันไม่สนุกใครเขาอยากล้อต่อ”
“พูดมันก็ง่ายสิ...”
“มันก็จริง...” ผมยิ้มบาง
แม้ว่าผมจะมาที่นี่บ่อยแค่ไหน แต่ผมก็ยังเป็นคนนอก เรื่องบางเรื่องผมพูดไปก็เท่านั้น คำว่า ‘คนนอก’ ก็ยังแปะที่หน้าของผมอยู่ ก็คงได้แต่หวังว่า ‘คนใน’ อย่างไอ้พ่อยอดแย่นั่นจะรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง มีบ้าน มีงาน ก็คงเรียนจบปริญญาอยู่หรอก น่าจะคิดเป็น
แอ๊ด...
ผมกับที่หนึ่งหันมองประตูพร้อมกัน ก่อนจะเห็นร่างของคนที่กำลังนึกถึงเมื่อครู่ยืนอยู่ พี่ตุลย์ไม่มองมาทางผมเลยสักนิด ทั้งสายตาของเขามีแต่ลูกชายของตัวเอง เพียงเท่านั้นผมก็ยิ้มขึ้นมา แล้วลุกขึ้นเตรียมที่จะเดินออกจากห้อง
“ขอบใจมาก” เขาพูดระหว่างที่ผมกำลังเดินสวนเขาออกไป
“...” ผมยิ้ม แล้ว...
หยิก!!!
“โอ๊ย!”
“ฮ่าๆๆๆ มันแปลว่า ‘ไม่เป็นไร’ อะครับ” ผมหัวเราะร่วนรีบวิ่งหน้าตั้งนั่งหน้าทีวีทันทีหลังจากหยิกสุดแรง ไอ้พี่ตุลย์มองผม ค้อนวงใหญ่ แต่เขาก็เลือกที่จะเดินเข้าไปในห้องของลูกชาย ทำเรื่องที่สำคัญมากกว่า
ผมมองตามจนกระทั้งประตูปิดหลัง
เอาเถอะ ผมก็ไม่ค่อยว่างทำบุญเท่าไหร่ ทำดีบ้างนานๆ ทีก็ดี
TBCนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายมีสาระนะ ฮู่เร่~
วันนี้ไรท์เตอร์มีเรื่องจะชี้แจ้ง ยาวหน่อย แต่อยากให้อ่าน ป.ล. มีแนะนำตัวไอ้เอส กับพี่ตุลย์อย่างเป็นทางการ (?) ด้วยยย
เมื่อวานเจอความเห็นนี้ อันดับแรกต้องขอบคุณก่อน ที่อ่านเรื่องนี้อย่างจริงจัง คิดว่าไม่ใช่แค่ความเห็นนี้ที่สงสัย เลยว่าจะเอามาอธิบายกันนะคะ
คือว่าอ่านตอนเเรกก็น่าสนุกนะเเต่ว่ามาตอนหลังๆเริ่มมั่วกับการบรรยายของเอส
คือเอสมันห่ามไปนะพูดจากับเด็ก ราวกับว่าไม่ได้ผ่านการศึกษามา พี่ตุลย์กะงง
สรุปเเล้วพี่ตุลย์มีเมียตอน19 ได้ที่หนึ่งมาตอน20 เเล้วเมียกะหนีไปตั้งเเต่ที่หนึ่งหย่านม5เดือน
แล้วตอนต้นนี่เกิดจากแม่คนไหน งง สงสัยเกิดจากกระบอกไม้ไผ่รึ หรือว่ายังไงเหมือนคนเขียนจะไม่เอ่ยถึง ขนาดมาถึงตอนแปดเเล้วยังรู้สึกอึดอัดกับการบรรยายของเอส คือรู้สึกถึงความเยอะ และการไม่ไหลลื่นของภาษา ยิ่งอ่านยิ่งงง เม้นหนักขนาดนี้คงไม่ว่ากันนะ เพราะเรารู้สึกอย่างงี้จริงๆ แต่ถามว่าพล็อตเรื่องดีไหม มันกะโอเคเเต่ปรับเนื้อหาให้เข้าใจง่ายหน่อย อ่านเเล้วมันไม่ฟิน ต้องค่อยปรับไป
1. เรื่องของครอบครัวพี่ตุลย์ ไม่ใช่ว่าคนเขียนเลือกที่จะเลี่ยงไม่พูดถึง แต่ 'ยัง' ไม่พูดถึง นิยายเรื่องนี้ใช้ตัวเอกในเรื่องหนึ่งคนเป็นผู้ดำเนินเรื่อง อธิบายเรื่อง จึงจงใจให้คนอ่านรู้เท่าที่เอสรู้
" ทำไมเอสไม่ถามละ มาหาบ่อยขนาดนี้ " นางมาใช้หนี้ค่ะ กับแวะมาเล่นกับที่หนึ่งเพราะพี่ตุลย์ขอไว้ ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่า เอสไม่ใช่คนจู้จี้ขี้ถาม และก็ไม่อยากพูดถึงครอบครัวเท่าไหร่ เช่นกัน เพราะไม่อยากพูดถึงครอบครัวตัวเอง ก็ไม่อยากถามเรื่องของครอบครัวคนอื่น
" แล้วทำไมพี่ตุลย์ไม่เล่าให้ฟังละ "แล้วเอสเป็นใครสำหรับพี่ตุลย์ สำคัญมากพอที่จะเล่าเรื่อง ภรรยาคนเก่า หย่าร้าง การมีลูก หรืออะไรเชิงนี้แล้วหรือยัง มันไม่ใช่เรื่องทั่วไป ที่จะสามารถเล่าได้กับทุกคน และก็ พี่ตุลย์อะ...พี่ตุลย์ ผู้ที่ เอิ่ม.. นะไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรประมาณนั้น
" มาถึงตอนที่แปดแล้วยังไม่รู้เรื่องเลย "อันนี้ขอให้มองว่า 'เพิ่ง' ตอนที่ 8 เอง ดีกว่า เรื่องยังไปไม่ถึงไหนเลยนิเนาะ ถ้าสังเกตดีๆ ในความไร้สาระ จะพยายามชี้ให้เห็นว่ามันมีปมอะไรบางอย่างอยู่ในเรื่อง ซึ่งตอนที่ 9 นี้ก็อาจจะเป็นตอนแรกที่พูดถึงปมหนึ่ง ที่แฝงอยู่ในนั้น
2. เอส เรียกเด็ก จนดูไม่มีการศึกษา อันนี้ คนเขียนต้องขอโทษจริงๆ ฮือ เวลาเขียน 'ไอ้' ก็จะเผลออ่านในใจว่า 'ไอ' และไม่ได้เน้นเสียงอะไรมาก เลยเหมือนจะเป็นคำธรรมดา แต่พอมาคิดดีๆ มันก็อาจจะไม่ดีที่จะเรียกแบบนี้ตลอด หรือมีคำว่า 'เวร' เลยจะแก้ให้มีน้อยลง ใช้ 'กู' 'มึง' พูดกับเด็กแม้ในใจก็จะน้อยลงด้วยนะคะ เพราะอ่านใหม่ก็รู้สึกว่าแรงไป ใช่ไหม?
อันนี้เพิ่มเติม เราขอย้ำอีกครั้งว่า เอส ไม่ได้อยู่ในความอบรมดูแลของใครแบบเด็ดขาด ตั้งแต่ม. ปลาย แต่ป้าที่ช่วยดูแลไว้ตอน ม.ต้น ก็จะเห็นแววๆ ว่านางจะยุ่งกับลูกนางมากกว่าเอสที่เป็นหลาน
" การบรรยายของเอสมันมั่ว"
อันนี้ไม่แน่ใจว่าหมายถึงยังไงอะไร เพราะว่า มันมีทั้งบรรยายฉาก ความรู้สึก คำพูดในใจของเอสควบไปด้วยตลอดเวลาหรือเปล่า
3. เรื่องการเขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใช้ตัวเอกคนนึงเป็นคนดำเนิน ซึ่งปกติไรท์เตอร์จะเป็นคนเขียนแนว ใช้บุคคลที่สามมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้
ใช้ 'นิสัย' ของเอสเป็นตัวนำ ว่าจะอธิบายนู่นนี่แบบไหน เลยไม่เน้นคำที่สวยหรูมาก แต่ก็จะปรับปรุงให้เข้าใจง่ายขึ้นและให้ไหลลื่นมากขึ้น อันนี้ต้อง
ฝากติดตามการพัฒนาต่อไปด้วยนะคะจบแล้ว สำหรับการอธิบาย ขอให้มิตรรักแฟนเพลง (เดี๋ยว?) ยังติดตาม
Daddy be lover ต่อไปด้วยนะคะ