เรื่อง : Feel คนเจ้าอารมณ์
คู่ที่ 4 : #นาคินทร์อนุชา
เขียนโดย : +Memew+
+CHAPTER 06 : ลิฟท์ค้าง & ยั่วเบา ๆ
ไม่รู้ผมนอนหัวใจไหวแรงแบบนั้นอยู่นานแค่ไหน จากความตื่นเต้นที่แทบจะหมดลมหายใจ มันก็คลายลงเรื่อย ๆ ผมไม่ได้ขยับร่างกายใด ๆ ให้นาคินทร์รู้สึกตัว
ผมเคยนึกสงสัย ว่าการอยู่ในอ้อมแขนผู้ชายมันจะไม่ขยะแขยงเหรอ
ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว
มันไม่ได้รู้สึกขยะแขยงเลย ตรงกันข้าม ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้ผมอดรนทนไม่ไหว ผมไม่อยากคิดลึก แต่สัญชาตญาณบางอย่างถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ผมพยายามข่มจิตข่มใจ
นาคินทร์คงกอดผมโดยไม่รู้ตัว คงเพราะแสวงหาไออุ่นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดอกุศลกับคนที่รักและซื่อสัตย์กับผมอย่างเจ้านายกับบ่าว
ให้ตายสิ
ผมพยายามข่มจิต นึกถึงอะไรก็ได้ที่จะมาดับความร้อนที่โหมหนักอยู่ตอนนี้ ปากได้รูปขยับไซ้หัวไหล่ผมเบา ๆ ผมนอนตัวเกร็ง
นี่นาคินทร์ตื่นแล้วเหรอ!
แล้วทุกสิ่งก็นิ่งลงแค่นั้น
ใจเย็นอนุชา ใจเย็น นาคินทร์แค่ต้องการหาไออุ่นเท่านั้น ผมพยายามข่มใจให้หลับ กระทั่งความง่วงเข้ามาเยือนอีกรอบ
“คุณหนูครับ”
ได้ยินเสียงแว่ว ๆ และแรงเขย่าอีกรอบ
ผมลืมตามอง
“ตีห้าแล้ว ตีรถเข้ากรุงเทพตอนนี้ก็ไปทำงานทันนะครับ”
ผมขยับตัวลุกนั่งอย่างเคยชิน ผ้าห่มรูดลงจนหน้าอกโผล่ ความร้อนวูบผ่านผิวหน้าผมไป ภาพบางอย่างฉายชัด นาคินทร์เมินหลบไปทางอื่น เขาแต่งตัวแล้วเรียบร้อย
“เสื้อผ้าแห้งแล้วเหรอ”
“ยังไม่สนิทหรอกครับ”
ผมยกผ้าห่มมากอดคล้ายกับมันจะหนาว แต่จริง ๆ คือปิดบังร่างกายต่างหาก ผู้ชายด้วยกันไม่ควรอาย แต่ผมอายนาคินทร์จริง ๆ
“ลางานต่ออีกวันละกัน รู้สึกเพลีย ๆ ไงไม่รู้”
นาคินทร์รีบขยับเข้ามาชิด ขมวดคิ้ว
“ผมก็ลืมไป น่าจะให้คุณหนูกินยา คุณหนูนอนก่อนนะ ผมจะไปสั่งอาหารพร้อมยามาให้ จะโทรบอกเลขาให้ด้วย”
ผมพยักหน้ารับ ทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ ผล็อยหลับไป ตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงปลุก ผมลืมตามอง รู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ของตัวเอง แต่ไม่มาก
ไข้กินของแท้เลย
“กินข้าวก่อนคุณหนู”
ผมพยักหน้ารับ ลุกนั่ง นาคินทร์กระชับผ้าห่มให้ ผมตักข้าวกินจนหมด ตามด้วยยา แล้วทิ้งตัวลงนอน
“โทษที เลยทำให้นาคินทร์พลอยเสียการเสียงานไปด้วย”
“สุขภาพคุณหนูสำคัญกว่า อย่าห่วงเลยครับ พักผ่อนเถอะ”
ผมหลับไปอีกรอบอย่างง่ายดาย ตื่นอีกทีเกือบเที่ยง ท้องฟ้าโปร่งแล้ว แดดอย่างเปรี้ยง สภาพผิดกันลิบลับกับเมื่อวานราวฟ้ากับเหว อาการผมดีขึ้น คนร่วมห้องผมหายไป สักพักก็ได้ยินไขกุญแจ ผมหันไปมอง
“ตื่นนานแล้วหรือครับคุณหนู”
“เมื่อกี้”
“ผมซื้อข้าวมาให้ เอาชุดคุณหนูไปให้เขาซักแห้งแบบด่วนมาด้วย”
นาคินทร์ล้วงหยิบชุดจากถุงพลาสติกใส ๆ วางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง มันถูกรีดเรียบร้อย หอมฉุยเลย
“ส่วนนี่นาคินทร์ซื้อมาให้ใหม่”
ผมหัวเราะทันทีที่เห็น มันเป็นรองเท้าหูหนีบครับ สีฟ้าสดใสเลย
“เก๋ดี ขอฉันแต่งตัวก่อน”
ผมขอเสียงเบา นาคินทร์รีบหันหลังให้ทันที
คือจริง ๆ ว่าจะเข้าห้องน้ำ แต่เมื่ออีกคนทำแบบนี้ก็ง่ายดี ผมหยิบกางเกงในมาใส่ก่อน ใส่มันใต้ผ้าห่มนั่นแหละ ต่อให้นาคินทร์หันหลัง ผมก็ยังรู้สึกอาย ๆ อยู่ดี ตามติดด้วยกางเกงและเสื้อ
“เรียบร้อย”
นาคินทร์หันมามอง
“เอาละครับ ทานข้าวเถอะ”
นาคินทร์วางชามข้าวไว้ให้ คงขอมาจากทางที่พัก ผมขยับไปนั่งกินดี ๆ
“แล้วนาคินทร์ล่ะ”
“ผมเรียบร้อยแล้ว”
ผมพยักหน้า ซัดจนเกลี้ยงชามตามด้วยยา ร่างกายฟื้นเร็วกว่าที่คิด
“คุณหนูจะกลับเลยหรือว่าจะพักต่อ”
ผมนิ่งคิด
“กลับเลยดีกว่า อยู่นี่ลำบากนาคินทร์ดูแล กลับบ้านมีคนช่วยดูแลเยอะ”
นาคินทร์จ้องหน้าผม
“นาคินทร์เต็มใจและรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง”
ผมคลี่ยิ้ม ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเรื่องที่ผมโดนกอด มันแค่เพ้อเพราะกำลังจะเป็นไข้หรือเกิดขึ้นจริง ๆ
“กลับนั่นแหละ พรุ่งนี้จะได้ไปทำงาน ลามาสองวันแล้ว มันจะดูไม่ดี”
นาคินทร์พยักหน้ารับ บ่าย ๆ เราก็ตีรถกลับ
กลับถึงบ้าน อาหมอแวะมาตรวจร่างกายผมนิดหนึ่ง หลังได้ข่าวว่าผมโดนฝนกระหน่ำ แต่ไม่เป็นไรมาก
“หัวแข็งแบบเราป่วยก็เป็น”
“ลองไปโดนบ้างไหมอาหมอ ซัดอยู่ตั้งนาน”
อาหมอหัวเราะร่วน ฉีดยาบำรุงให้ผมอีกเข็ม
“เอาล่ะ ได้ไอ้นี่เข้าไป รับรอง ดีดไปอีกเจ็ดวัน”
“ยาบำรุงหรือยาบ้า”
“ยาบ้า เอ้ย ยาบำรุง”
แน่ะ มีเล่นมุก
ผมอยู่บ้านนั่ง ๆ นอน ๆ รวมกับบรรดาแม่ ๆ ร่างกายผมเบาขึ้นเยอะ ผมเดินออกจากห้องเลียบเคียงไปทางโรงเลื่อย เห็นนาคินทร์กำลังยืนหันหลังอยู่ข้างโอ่งน้ำ
มันสูงเท่าสะโพกนาคินทร์ ตรงหน้ามีเสาสีดำมอ ๆ เก่า ๆ มีตาปุ่มตาป่ำและไม้เลื้อยบางอย่างขึ้นเกาะ กึ่งกลางของเสานั้นระดับหน้าของนาคินทร์พอดีมีกระจกใบเล็ก ๆ แขวนอยู่ สภาพมันเก่ามากแล้ว กรอบถูกโอบไปด้วยสนิม พอ ๆ กับตัวกระจกที่มันหลุดลอกจนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งที่สะท้อนกลับมา
ผมเดินเข้าไปใกล้ แต่นาคินทร์คงไม่ได้ยินหรือยังไม่รับรู้การมาของผม ผมยืนมองงง ๆ นาคินทร์ใช้ขันสแตนเลสบุบ ๆ เก่า ๆ จ้วงตักน้ำยกขึ้นลูบหน้า หยิบสบู่นกแก้วบนที่วางสบู่ที่ทำจากไม้มาฟอกจนฟองฟูขาวเต็มมือ ลูบไปทั่วลำคอ แนวกรามและหนวด
สงสัยกำลังจะโกนหนวด ผมยิ้ม ยืนมองนิ่ง ๆ ไม่อยากรบกวนสมาธิ
นาคินทร์หยิบมีด ที่ดูยังไงมันก็เป็นมีดที่ผมเคยเห็นเขาเอาไว้ตัดพวกกิ่งไม้เล็ก ๆ ในสวน ลูบคมด้วยนิ้วนิดหนึ่งเพื่อเช็ก แล้วลากแกรก ๆ ลงบนผิวหน้า
ผมอ้าปากค้าง…
ยืนมองด้วยความหวาดเสียว ผมแทบไม่กล้ากระดุกกระดิกตัว เพราะกลัวว่าเผลอไปเหยียบพวกใบไม้หรือกิ่งไม้เข้าจนทำให้นาคินทร์หันมามองแล้วมีดบาดคอ
พอนาคินทร์เลื่อนมีดลงเพื่อล้างน้ำรอบแรก ผมรีบตะโกนเรียกเรียกความสนใจทันที นาคินทร์หันมามอง เขาโกนไปได้แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น
“คุณหนู”
“ใช้อะไรโกนหนวด”
“ก็มีดไงครับ”
“ทำไมไม่ใช้ที่โกนหนวด”
นาคินทร์ขมวดคิ้ว
“นาคินทร์ไม่มีของพรรค์นั้นหรอก ไม่จำเป็นด้วย ไอ้นี่ก็ได้ ฝนจนมันคมกริบแล้ว”
“มันคมเกินไปน่ะสิ อันตราย เกิดลากผิดลากถูกเฉือนลูกกระเดือกตัวเองทำไง วางมีดลง ล้างหน้าให้เรียบร้อยแล้วตามฉันมานี่”
“ไปไหนครับ”
“ตามมาเถอะน่า”
ผมไม่อธิบายอะไรต่อ
“ครับ ๆ แต่เดี๋ยวขอนาคินทร์ล้างสบู่ออกก่อน”
นาคินทร์รีบหันไปตักน้ำล้างหน้า พอหันมาอีกทีก็เห็นแนวเคราไร ๆ ผมเดินนำนาคินทร์เข้าไปภายในบ้าน ในห้องรับแขกไม่มีใครอยู่แล้ว เดินตรงขึ้นห้องผมไป นาคินทร์หันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ ห้องผม
“ห้องคุณหนูน่ารักดี หอมด้วย”
ผมพยักหน้าไม่ใส่ใจ บอกให้ยืนรอ ผมเดินเข้าไปคุ้ยหาอะไรในตู้เก็บข้าวของส่วนตัว หยิบเครื่องโกนหนวดอัตโนมัติสำรองที่ผมมีอยู่มายื่นให้
“อะไรครับเนี่ย”
“เครื่องโกนหนวดอัตโนมัติ”
“โอ๊ย ไม่เอา นี่มันของเจ้านาย”
“ฉันมีหลายอัน”
นาคินทร์ส่ายหัว
“นาคินทร์ใช้ไม่เป็น”
ผมหัวเราะ พยักหน้าให้เดินตาม นาคินทร์ตามมาเงียบ ๆ ตรงเข้าไปในห้องน้ำกับผม ผมสั่งให้นาคินทร์ล้างหน้า รายนั้นก็ทำตาม ผมบีบโฟมใส่มือเขา สั่งให้ถูจนเกิดฟองแล้วโปะไปรอบหน้า เหมือนที่เขาทาด้วยสบู่นกแก้วนั่นแหละ
นาคินทร์ทำตามทุกขั้นตอน แล้วผมก็ยื่นเครื่องโกนหนวดให้ สอนวิธีเปิดวิธีปิด และวิธีใช้
“รับรองได้ว่าไอ้นี่ไม่มีทางทำหน้านาคินทร์เป็นแผลแน่”
นาคินทร์จับมันถือในมืออย่างเงอะ ๆ งะ ๆ แต่สักพักก็ชินมือ ผู้ชายครับ ของพวกนี้สอนกันไม่ยากหรอก อีกอย่างนาคินทร์ก็ใช่ว่าจะโง่ แค่ถ่อมตัวจนเกินเหตุเท่านั้น ไม่ถึงนาทีก็เกลี้ยงหน้าแล้ว
“ใช้ดีแฮะ”
“ใช่ไหม เพราะงั้นเอาไปเลย”
“แต่…”
“เลิกขัดแล้วเอาไป เอานี่ไปด้วย เผื่อมันงอแงจะได้มีสำรองใช้”
ผมเปิดตู้ในห้องน้ำหยิบที่โกนหนวดแบบมือลากมายื่นให้อีกอัน พร้อมใบมีดสำรองอีกหนึ่งกล่อง
“ใช้เป็นไหม”
นาคินทร์ส่ายหัว ผมก็ยืนสอนกันตรงนั้นแหละ
“มิน่า ปล่อยให้หนวดเครายาว เพราะไม่รู้จักของพวกนี้นี่เอง ปกติแต่ก่อนจัดการยังไงกับหนวดเคราตัวเอง”
“ไม่มีดก็กรรไกรตัดผ้า ไม่ก็กรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ตัด คมดี เล็มต้นไม้เสร็จก็มาเล็มเคราตัวเองต่อ”
ผมแทบเป็นลม เพิ่งเคยเห็นคนที่ทำอะไรติดดินขนาดนี้
“เอาล่ะ ๆ ใช้ไอ้นี่ไป ส่วนอันนี้ ถ้าใบมีดทื่อ ให้มาขอใหม่หรือให้ยัยหนูแดงไปซื้อ ยี่ห้อก็ให้ยัยหนูแดงดู ยัยหนูแดงอ่านออก เอานี่ไปด้วย อย่าใช้สบู่”
ผมยกครีมโกนหนวดให้ไปด้วยหนึ่งหลอด
“คุณหนูครับ”
“อย่าขัด”
คำนี้ได้ผลเสมอ นาคินทร์หุบปากลง ผมเดินไปเปิดเก๊ะหยิบถุงมาใส่ให้เพราะของมันหลายชิ้นกลัวตกหล่น
“ขอบคุณนะครับที่ดูแลมันดี”
ผมเงยหน้ามองคนพูด นาคินทร์พยักหน้าไปทางต้นรักที่ผมวางไว้ริมหน้าต่าง หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“เจ้าของเขาอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ ต้องดูแลดีเป็นพิเศษ”
นาคินทร์ยิ้มละมุน ผมพานาคินทร์เดินออกจากห้องลงไปข้างล่าง ระหว่างทางสวนกับชยันต์ ชยันต์มองหน้าผมกับนาคินทร์ มองไปมองมา แล้วยิ้มในดวงตา
[ต่อ 50%]
“มีไร” ผมถามน้องงง ๆ “มองหน้าหาเรื่อง?”
“เปล๊า ถึงว่า…”
“ถึงว่าอะไร”
“ทำไรกัน”
ชยันต์ไม่ตอบ แต่แถถามไปเรื่องอื่น
“พี่เอาที่โกนหนวดให้นาคินทร์ หมอเล่นใช้มีดตัดกิ่งไม้โกนหนวดโกนเครา ไม่เฉือนลูกกระเดือกเลือดกระฉูดก็บุญแล้ว”
“มิน่าล่ะ นาคินทร์หล่อขึ้นเป็นกองเพราะพี่อนุชานี่เอง”
อยู่ ๆ ชยันต์ก็รัวภาษาอังกฤษใส่ผม แล้วหันหลังเดินขึ้นห้องไป
นาคินทร์หันมามองหน้าผมงง ๆ
ผมหน้าร้อนผ่าวไปกับคำน้อง ไม่รู้เด็กนั่นมันจะมองออกไหมว่าผมมีอะไรแอบแฝงในจิตใจ สงสัยต้องอยู่ให้ห่างนาคินทร์ให้มากแล้ว ไม่งั้นฉุดใจกลับไม่ทันแน่ ๆ
“คุณหนูครับ ยังรู้สึกไม่สบายอยู่เหรอ หน้าแดงใหญ่แล้ว”
อยู่ ๆ นาคินทร์ก็ขยับเข้ามาใกล้ อังหลังมือไว้บนหน้าผาก “ผมว่าคุณหนูขึ้นไปนอนดีกว่า ผมเดินกลับเองได้ ขอบคุณสำหรับที่โกนหนวด”
ผมพยักหน้า เพราะกำลังสั่งใจไม่ให้เข้าใกล้ แต่ขาเจ้ากรรมกลับทรยศหักหลัง ก้าวตามนาคินทร์ไปเฉย นาคินทร์ชะงัก หันมามอง
“ฉะ ฉันอยากไปเดินสูดอากาศอีกนิด”
ผมหาข้ออ้าง
“แน่ใจนะครับว่าไหว”
ผมพยักหน้ารัว ๆ นาคินทร์มีสีหน้าห่วงใย แต่ก็พยักหน้าช้า ๆ พาผมตรงไปทางหลังบ้าน เจ้าปุโรทั่งถูกย้ายมาไว้ในโรงจอดรถเคียงกับเจ้าเด็กใหม่ รัศมีดูจะต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ต่างกันมากเลยใช่ไหมครับ เจ้าปุโรทั่งนั่นเหมือนผม ส่วนนั่นคือคุณหนู”
นาคินทร์พูดเรียบ ๆ ผมไม่ได้โต้ตอบอะไร แกล้งทำเป็นเดินเล่นไปเรื่อย ๆ
นาคินทร์ขอตัวไปทำงานของตัวเองต่อ ซึ่งผมก็ไม่ขัด เดินเล่นไปรอบ ๆ โรงเลื่อย แล้วมานั่งจุ้มปุ๊กบนม้านั่งยาวตรงหน้านาคินทร์ ข้าง ๆ มีหนังสือเกี่ยวกับการแต่งสวนและบ้านวางไว้ ดูแล้วน่าจะเป็นพวกหนังสือมือสองมากกว่าของใหม่ ผมพลิกเปิดดูเพลิน ๆ
“โอ๊ย!”
ผมรีบละสายตาจากหนังสือเงยหน้ามอง เห็นนาคินทร์กำลังกดนิ้วเพราะอะไรสักอย่างอยู่ ผมรีบวางหนังสือลงถลาเข้าไปหา
“เป็นไร!”
“ไม่มีอะไรครับคุณหนู ผมแค่ซุ่มซ่ามเผลอตอกนิ้วตัวเองเท่านั้น”
“บ้ารึไง ไหนดูซิ”
“ไม่เป็นไรครับ”
นาคินทร์พยายามเบี่ยงมือหนี ผมไม่ฟังเสียงเหมือนกันดึงมือนั้นมาดู
โห มันเขียวอย่างเห็นได้ชัดเลย ผมมีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลพวกนี้บ้าง วิ่งไปที่ตู้เย็นเอาน้ำแข็งมาห่อผ้าแล้วประคบลงบนนิ้วนั้น
“ทำงานอีท่าไหนให้โดนได้เนี่ย”
ผมบ่นใส่เบา ๆ นาคินทร์ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผมคลึงมือนั้น ผมพยายามทำอย่างเบามือที่สุด
“คุณหนูครับ เอ่อ… ผมว่าคุณหนูติดกระดุมเสื้อหน่อยก็ดีนะครับ แถวนี้ยุงชุมเดี๋ยวโดนยุงกัด”
ผมมองคนพูดงง ๆ ก่อนก้มมองหน้าอกตัวเอง เสื้อที่ผมใส่เป็นเสื้อเชิ้ตเนื้อสบายที่เป็นแบบใส่เล่นก็ได้นอนก็ได้ ถ้าวันไหนอากาศร้อนมาก ๆ(หรือไม่ได้เปิดแอร์ในห้อง) ผมจะไม่กลัดกระดุมสองสามเม็ดบน ตอนนี้มันเปิดอ้าตามปกติของมัน
แต่พอก้มมองแบบนี้ก็แอบเห็นเหมือนกันว่าหัวนมโผล่ ไม่รู้ว่านาคินทร์จะเห็นไหม แต่ถึงเห็นจริง ๆ ก็คงไม่สนใจหรอก
ผมทำตามคำแนะนำของอีกคน ผมรู้ว่านาคินทร์ติงเพราะความเป็นห่วง พอกลัดครบก็เอายาหม่องมาทาให้
“เป็นเกียรติจัง ที่คุณหนูลดตัวมาทำให้ผมแบบนี้”
“นายนี่นะ นี่มันยุค 2000 นะนาคินทร์ ไม่ใช่ยุคทาส”
“ไม่ว่าจะยุคนี้หรือยุคไหน นาคินทร์ก็จะยอมเป็นทาสคุณหนูร่ำไป”
ผมมองคนพูด รู้สึกภูมิใจในอกลึก ๆ
“พูดจริงหรือเปล่า”
“จริงครับ”
“เจ้านายสั่งอะไรก็จะทำตามใช่ไหม”
“ครับ”
ผมอมยิ้ม ก้มลงเป่าเพี้ยงลงไปบนมือนั้น ทำไปงั้นแหละ เวทย์มงเวทย์มนต์คาถาอาคมอะไรไม่มีหรอก แต่เห็นย่ายายทำบ่อย ๆ ตอนผมวิ่งซนหกล้มแข้งขาเป็นรอย
“หายเร็ว ๆ นะ”
ผมกำชับอีกรอบ มันก็แค่จิตวิทยาหลอกเด็ก ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันจะได้ผลกับผู้ชายที่อายุมากกว่าผมไปมากโขอย่างนาคินทร์ไหม นาคินทร์ยืนมองอึ้ง ๆ แต่ไม่พูดหรือแซวอะไร ก้มหน้า ผมปล่อยมือนั้นลง นาคินทร์ค่อย ๆ ชักมือไปกุมไว้
“นาคินทร์ว่าคุณหนูรีบไปพักผ่อนดีกว่า ตกดึก ยุงเริ่มมา นาคินทร์ไม่อยากให้ผิวสวย ๆ ของคุณหนูต้องเป็นรอย”
“นี่ ฉันผิวต่างจากนายตรงไหน”
“ต่างครับ ผิวคุณหนูไม่หยาบกระด้างแบบผิวคนงานอย่างนาคินทร์”
“แต่ฉันกลับชอบผิวของนาคินทร์มากกว่า ผิวอย่างผู้ชาย”
ผมชมจากใจจริง นาคินทร์มองตา เสหลบ ผมไม่อยู่กวน เดินกลับขึ้นห้องไป
ผมมาล้มตัวนอนกลิ้งบนเตียง นึกถึงอ้อมกอดเมื่อคืนแล้วมันรู้สึกอบอุ่นพิลึก หนำซ้ำยังมีความรู้สึกร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจนี้อีกต่างหาก
รุ่งเช้าผมก็แต่งตัวพร้อมไปรบ เอ้ย ไปทำงาน เพราะเป็นเด็กเดินเอกสาร ผมจึงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ไม่ติดแบรนด์ กางเกงสแล็กรองเท้าหนังยี่ห้อถูก ๆ ทั่วไป ผมเซตธรรมชาติ
ผมยิ้มให้ตัวเองในกระจกนิดหนึ่ง ลงไปนั่งกินข้าวรวมกับทุกคน
“นี่ ได้ข่าวว่าไปติดฝนค้างอยู่บางแสนกับนาคินทร์มาเหรอ”
ชยันต์ถาม ผมครางอื้อรับในลำคอตักข้าวเข้าปาก
ชยันต์ไม่ถามอะไรต่อ หัวเราะคิกอยู่คนเดียว แล้วหันไปสวีทกับพี่เชนทร์ ผมไม่ได้สนใจใคร พอเรียบร้อยก็เดินออกไปเพื่อขึ้นรถ นาคินทร์ขับรถออกมารอแล้ว วันนี้ก็เท่เหมือนเคย
“มือเป็นไงบ้าง”
นาคินทร์ไม่ตอบ ยกให้ดู มันยังเขียวเหมือนเดิม
“ทายารึยัง”
“ไม่ได้ทาแล้วครับ มันไม่เจ็บมาก”
ผมส่ายหัว ล้วงหยิบอะไรออกมายื่นให้
“อะไรครับ”
“ยาทาแก้เขียวช้ำ ของอาหมอ รับรองพรุ่งนี้ก็หายดี”
ผมไม่รอให้อีกคนอ้าปากปฏิเสธ ดึงยาคืน เปิดฝาบีบเนื้อครีมขาว ๆ ใส่นิ้วกลาง จับมืออีกคนมาทาให้จนทั่ว
“คุณหนูดีกับนาคินทร์มาก”
“นี่ นายคือคนขับรถฉันนะ ขืนมือเจ็บ ไม่พาฉันเหาะไปจูบเสาไฟฟ้ารึไง”
“แค่นิ้วครับ ส่วนอื่นยังกระดิกได้อยู่”
ผมแอบคิดลึกไปแวบหนึ่ง รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบ แต่พยายามไม่คิดอะไรต่อ พอทายาเสร็จ ก็เดินไปที่รถนาคินทร์เปิดประตูให้ ผมขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่ง นาคินทร์ขึ้นมานั่ง ผมหันไปทางเจ้าปุโรทั่งที่จอดไว้ฝั่งผมพอดี ค่อย ๆ กดลดกระจกลง
“ปุโรทั่ง เฝ้าบ้านนะ เดี๋ยวเย็น ๆ พ่อแกก็กลับมาหาแล้ว”
นาคินทร์หัวเราะ สตาร์ทเครื่อง ผมเลื่อนกระจกขึ้น นั่งดี ๆ มุ่งตรงเข้าบริษัท ผมบอกทุกคนว่าป่วย ซึ่งทุกคนก็ดูจะเชื่อ เพราะวันนี้หน้าผมดูซีดลงนิดกว่าปกติ(ปกติปากส้มอย่างคนสุขภาพดี)
“โหมงามหนักไปหรือเปล่า”
คุณเอกสิทธิ์เข้ามาถาม ไม่ถามเฉยยังแตะมือลงบนผิวแก้มผมด้วย
“นิดหน่อยครับ”
ผมโกหกไป
พอพักเที่ยง ผมก็วิ่งลิ่ว ๆ ขึ้นไปบนดาดฟ้า เห็นนาคินทร์กับคนงานขะมักเขม้นทำงานกันเหมือนเดิม วันนี้ดูนาคินทร์จะลุยงานหนัก เหงื่อไคลไหลย้อยจนเสื้อที่ใส่มาเปียกไปหมด
“นาคินทร์” ผมตะโกนเรียก นาคินทร์เงยหน้ามอง “เที่ยงแล้ว กินข้าวเถอะ”
“สักครู่ครับ”
แล้วนาคินทร์ก็วางถุงดินลงกับพื้น หันไปสั่งคนงาน สามคนนั้นพยักหน้า วางมือจากงานที่ทำ แยกไปอีกทาง ในขณะที่นาคินทร์เดินตรงมาทางผม เหงื่อเปียกจนเหมือนคนเพิ่งผ่านการอาบน้ำทั้งเสื้อผ้ามาใหม่ ๆ นาคินทร์ใช้แขนเสื้อที่เปียกพอกันเช็ดเหงื่อที่กำลังร่วงลงมาจะเข้าตา
“ไม่หาผ้าขนหนูเล็ก ๆ สักผืนไว้เช็ดเหงื่อล่ะ”
ผมแนะ
“ปกติก็มีครับ แต่นาคินทร์เอาไปใช้รองไอ้นั่นแล้ว”
ผมมองตามมือที่ชี้ไปยังกระถางต้นไม้ต้นหนึ่งที่ถูกหนุนด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ ผมส่ายหน้า เห็นอีกคนพยายามใช้หลังมือปาดเอาเหงื่อออก ผมล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองออกมาถือ
“อย่า คุณหนู นาคินทร์ไม่อยากให้คุณหนูเสียผ้าเช็ดหน้าอีกผืน”
“อย่าขัดคำสั่ง”
“คุณหนู”
“ยืนนิ่ง ๆ”
ผมสั่งอีกรอบ นาคินทร์ทำหน้าพิพักพิพ่วน แต่ก็ยอมยืนนิ่ง ๆ ให้ ผมเช็ดไปทั่วตั้งแต่หน้าผากไล่ลงมาถึงลำคอและแผงอก จนผ้าเช็ดหน้าเปียกโชก ผมดึงมือกลับ กำลังจะเอาเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม แต่นาคินทร์หยุดมือผมไว้ ไม่รู้ว่าเพราะรีบหยุดมือผมไว้หรือเปล่า ตอนนี้มือนาคินทร์จึงกุมมือผมไว้แน่น
ผมนิ่ง นาคินทร์ก็นิ่ง…
ยกเว้นใจนี่แหละที่ไม่นิ่งเหมือนมือ มือใหญ่นั้นอบอุ่นมาก ๆ
“มันเปียกแล้วครับ”
“ฉันไม่คิดจะให้นาคินทร์หรอกนะ”
นาคินทร์ส่ายหัว
“ให้นาคินทร์เอาไปซักให้ดีกว่า”
ผมส่ายหัวบ้าง
“ฉันมีแม่บ้านนะนาคินทร์ อยากให้พวกนั้นตกงานรึไง”
นาคินทร์ไม่เถียงอะไรอีก ค่อย ๆ คลายมือผมลง ผมชวนให้เขาไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ข้าวกล่องอยู่ที่นาคินทร์หมดแล้ว
ได้กลิ่นน้ำหอมที่นาคินทร์ใช้ผสมเข้ากับกลิ่นเหงื่อของนาคินทร์ มันทำให้ใจผมไหวเต้นรุนแรงมากขึ้น เลือดพ่อในตัวผมเริ่มทำงาน แต่ก็พยายามสั่งใจไม่ให้คิดอะไร
นั่งกินกันไปสองคนเงียบ ๆ นาคินทร์เรียนรู้ที่จะไม่เกรงใจเวลากินข้าวกับผมแล้ว เมื่อผมบอกให้กินด้วยกันก็กินด้วยกัน มันทำให้รสชาติอาหารของเราอร่อยขึ้น ผมบอกนาคินทร์ว่าบอกคนในแผนกว่าผมมาทำงานพิเศษบนดาดฟ้ากับนาคินทร์ที่นี่ตอนเที่ยง
ใช้เวลากินไม่นานก็อิ่ม ผมเจริญอาหารมากกว่าที่คิด นาคินทร์เก็บของ ล้างมือ ลุกไปทำงานต่อตามสไตล์คนบ้างาน ผมไม่ห้าม นั่งเท้าคางมองเฉย วันนี้เห็นเค้าโครงได้มากขึ้น เขาเอาต้นไม้มาส่งแล้วด้วย คนงานยังไม่พากันขึ้นมา คงจะขึ้นมากันตอนบ่ายโมง ตอนนี้จึงมีแค่ผมกับเขา ผมเห็นท่าน่าสนุก เดินเข้าไปช่วย
“มือเปื้อนหมดคุณหนู”
“งั้นเอาถุงมือมาสิ”
ผมขอดื้อ ๆ นาคินทร์เหมือนไม่อยากทำ แต่ก็ขัดใจไม่ได้ หันไปหยิบถุงมือคู่ใหม่มายื่นให้ ผมช่วยขนต้นไม้ แดดตอนเที่ยงอย่างเปรี้ยง
“พอแล้วครับ คุณหนู แดดแรง”
“แค่นี้เอง”
ผมบอกเสียงหอบ เหงื่อไคลไหลย้อย นาคินทร์มองมาด้วยแววตาสงสาร
“ไม่เอาครับ นาคินทร์ไม่อยากให้คุณหนูลำบาก ไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็เห็นแก่นาคินทร์เถอะ นาคินทร์ทนไม่ไหวจริง ๆ”
ผมมองคนตรงหน้าอึ้ง ๆ นาคินทร์ดึงผมเดินไปเข้าในร่ม ค่อย ๆ ถอดถุงมือให้ทีละข้าง หยิบหมวกมาพัดหน้าให้คลายความร้อน เกลี่ยเส้นผมที่เปียกชื้นตรงหน้าผากออกให้เบา ๆ ผมมองทุกการกระทำนั้นด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติ
ผมพยายามตัดใจจากคนคนนี้ แต่ทุกการกระทำของนาคินทร์ แม้จะรู้ว่าในฐานะนายกับบ่าว แต่มันก็ทำให้ผมอดดีใจไม่ได้จริง ๆ
เขายืนพัด ผมไม่ขัดการบริการนั้น ยืนหลับตานิ่ง เอียงคอเพราะมันรู้สึกสบายจริง ๆ ก่อนลืมตาเพราะรู้สึกว่ามีบางสิ่งแตะลงบนริมฝีปาก นาคินทร์รีบดึงมือออก ผมมองงง ๆ มีอะไรติดปากผมรึไง
“ผมว่าคุณหนูลงไปข้างล่างดีกว่า ใกล้หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว”
ผมพยักหน้า ได้ยินเสียงมือถือนาคินทร์ดังเบา ๆ ผมหันไปมองตามอย่างอยากรู้อยากเห็นตามประสา
“ครับ อืม เดี๋ยวลงไปรับ”
“มีอะไรเหรอ”
“เขาเอาของมาส่งครับ ผมจะลงไปเอาของก่อน เจอกันตอนเย็นครับ”
“ยังพอมีเวลา ให้ฉันไปช่วยดีกว่า ไปตอนนี้ยังไม่มีใครมาหรอก กว่าจะเข้ามากันครบก็นู่น บ่ายโมงครึ่ง”
“อย่าเลยครับ”
“นาคินทร์” ผมติง
“ครับ”
นาคินทร์รับปากอย่างเสียไม่ได้ เดินไปยังลิฟท์ขนของ กดลงไปชั้นล่างสุด
[ต่อ 100%] ต่อค่ะ >>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54278.msg3434201#msg3434201