ผมนั่งนวดนิ้วมือตัวเองไปมาไม่ให้เป็นเหน็บอีก ในรถตู้กลิ่นเหม็นบุหรี่นี้กำลังแล่นออกไปโรงแรมที่นัดหมายลูกค้าไว้
ผมมองรถราที่ผ่านไปมาอย่างว้าวุ่นใจ กลัว! คำๆนี้ยังน้อยไปสำหรับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป
ผมกลัวแต่ต้องทำเป็นไม่กลัว พอรถติดไฟแดงผมก็ถอนหายใจยาวหันมามองคนนั่งข้างๆที่มีหน้าที่ไปรับ ไปส่ง
เห็นเขาเหน็บมือถือตั้งหลายอัน ทำให้นึกได้ว่าทำมือถือหล่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“โทษนะครับ...ผมขอยืมมือถือหน่อยได้ไหม”
เขาแลตามองอย่างไม่ไว้ใจ “ผมอยากโทรบอกทางบ้านว่าคืนนี้จะไม่กลับน่ะครับ”
เขายื่นให้ไม่ว่าไรสักคำ ผมรับมากดหาแม่เป็นอย่างแรกเลย
“แม่ฮะ นี่ผมเองนะ พ่อเป็นไงบ้าง”
“มิว....หายไปมาทั้งวัน แม่โทรหาเป็นสิบๆครั้งแล้ว”
“พ่อเป็นไรเหรอฮะ”
“ไม่เป็นไรแล้ว นอนพักอยู่.....มิวตอนนี้อยู่บ้านเหรอ”
“เปล่าครับ...เอ่อ....ตอนนี้ผมอยู่กับเพื่อน คือ.....ผมกำลังคุยกับเพื่อนว่าจะขอยืมเงินเขามาใช้หนี้ก่อน”
“มิว ไม่ต้องหรอกลูก เรื่องหนี้สินเป็นหน้าที่ของพ่อกับแม่เอง”
“แม่ก็ปล่อยให้ผมจัดการบ้างเถอะครับ เพื่อนผมคนนี้ใจดี เขาให้ผมยืมแน่
คือ....ผมคงต้องคุยกับเขานานอาจจะต้องค้างบ้านเขา แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“มิว......แน่ใจเหรอ เพื่อนมิวคนไหนเหรอแม่รู้จักไหม?”
“แม่ไม่รู้จักหรอก ไว้ผมจะแนะนำให้รู้จักทีหลังนะครับ ผมโทรมาแค่ไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเท่านั้น
แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะโทรหาใหม่”
“แน่ใจนะลูก”
“ครับ ผมแน่ใจ.....หวัดดีนะครับ”
ผมปิดมือถือรู้สึกสบายใจไปเป๊าะหนึ่งล่ะ แต่ยังสบายใจไม่สุด
รถตู้แล่นเข้าไปในลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่งไม่หรูเกิน แต่ก็ไม่กระจอก
“ลงมา”
เอาล่ะเว้ย....จากนี้ไปได้เจอนรกของจริงแน่ ผมพยายามรักษาระดับความเครียดของตัวเองไว้
พยายามเตือนว่ามันไม่ได้เลวร้ายหรอก ไอ้พี่ยอร์ทบอกว่าจะจัดการไอ้เสี่ยเส็งไม่ให้ไปยุ่งกับผมอีกแล้ว
ส่วนค่าตัวผมครึ่งหนึ่งเป็นของเขา ถ้าผมอยากได้มากกว่านี้ก็ต้องทำให้สุดฝีมือ
ลูกค้าถูกใจเขาก็จะให้มากหน่อยส่วนที่นอกเหนือจากค่าตัวจะเป็นของผมทั้งหมด
ถ้าทำได้ดีบางที....ทั้งหนี้ทั้งค่ารักษาอาจไม่ต้องเดือดร้อนไปหยิบยืมใครอีกก็ได้
“ห้อง 632 ลูกค้าชื่อคุณดิเรก บริการเขาให้ดีล่ะ เสร็จแล้วก็อย่าโอ้เอ้กดมือถือเบอร์ 1 จะมารับใน 15 นาทีเข้าใจไหม”
คนขับรถยื่นถุงกระดาษให้ใบหนึ่ง ผมพยักหน้าหงึกๆอย่างซังกะตาย หัวใจนั้นขาดวิ่นเป็นชิ้นๆอยู่ข้างใน ผมกำลังจะ.....
ก๊อก!! ก๊อก!!!
“สวัสดีครับคุณดิเรก”
“มาไวดีจัง” ประตูห้องเปิดออกกว้าง คนขับรถรุนหลังผมเข้าไปข้างใน พอประตูปิดลงปัง...
ผมผวาเฮือกเลย หันมามองคนที่อยู่หลังประตู
ฮ๊ะ....
หล่อเฟี้ยวจนสาวเหลียวหลังเลย หนุ่มใหญ่ราว 30 ต้นๆเขาสวมเสื้อคลุมตัวเดียว
ผมดำดกหนาเปียกชื้นยุ่งเยิงไม่เป็นทรงเพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ หน้าตาเขาเป๊ะมากคิ้วเข้ม ผิวดีไม่มีสิว
จมูกโด่งเป็นสันจนอายดั้งตัวเอง ผมมองตาปริบๆเลย หล่อเข้มอย่างนี้นะ ชอบผู้ชาย.....เฮอะ เสียดายของจัง
แฮ่ม..... เขากระแอมเบาๆพร้อมยิ้มกว้างเป็นกันเอง
“เอ่อ....อ่า....วะ...หวัดดีครับ” ผมมึนๆงงๆอยู่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยยกมือไหว้ก่อน
เรายืนอยู่ไม่ห่างกันมากแต่ก็ใกล้ได้กลิ่นสบู่หอมๆ ผู้ชายคนนี้ไม่กระจอกเลย
“หวัดดีชื่ออะไรเหรอครับ”
“มิวครับ”
“อายุเท่าไรแล้ว”
“ยะ.....” ยี่สิบ แต่บางอย่างหยุดผมไว้ บอกอายุน้อยๆหน่อยมันจะทำให้รู้สึกอายน้อยกว่า
ว่าผมมันเด็กเลยโง่จนไม่รู้ไปทำมาหากินไรแล้วได้เต็มปากหน่อย “ย่าง 16 ครับ”
“เหรอ....ยังเด็กอยู่เลยนะ ดื่มอะไรหน่อยไหม ”
ร่างสูงโอบไหล่ผมหลวมๆไม่เข้าใกล้เกินไปนักพามาที่โซฟามีเครื่องดื่มตั้งรออยู่แล้ว
ผมนั่งลงตัวแข็งทื่อ ข้างในนั้นเต้นตูมๆ เอาแล้วเว้ย....ให้ดื่มย้อมใจก่อนลงมือจริง
เวลาผมหมดแล้ว ผมกับเขาจะต้อง.....
“พี่ชื่อดิเรกนะ มา...”
เขาชะงักกึกทำหน้าพิลึกๆ ผมกระพริบตาถึงรู้ว่าตัวเองน้ำตาแตกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ใจผมสลายไม่มีชิ้นดีเมื่อนึกถึงพ่อแม่ นึกถึงตัวเองที่ต้องทำอะไรต่อมิอะไรอย่างไม่มีศักดิ์ศรี
“ฮือ.....อึก...ขอโทษ...” พอน้ำตาร่วงแล้วผมกฌบ่อน้ำตาแตกร้องไห้แบบเด็กๆสะอึกสะอื้นมองหน้าเขา
“ผมขอโทษ...อึก...ฮือ....ขอโทษ....ฮึก..ผมขอ....อึก..ขอ...ไปร้องไห้เดี๋ยว”
ผมลุกพรวดไปห้องน้ำใกล้ๆ ปิดประตูลงกลอนได้ก็ปล่อยโฮออกมาสุดเสียง
เรื่องราวในวันนี้มันเป็นอะไรที่สุดกลั้นแล้ว ผมต้องเจอเรื่องเลวร้ายต้องลดทิฐิอ้อนวอนคนที่ไม่ควรอ้อนวอน
แถมโดนดูถูกกลับมาอีก พ่อ...แม่ ผมขอโทษ ถ้าพ่อแม่รู้คงผิดหวังในตัวผมแน่ๆ
ก๊อก!! ก๊อก!!
“เฮ่...เป็นไรหรือเปล่า”
อึก! ผมสะอื้นลากทิชชู่ยาวเฟื้อยออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วสั่งขี้มูก
พรืดดดด...............
ฮ่า....ค่อยโล่งหน่อย
“ครับ...ไม่เป็นไรแล้ว”
ผมสงบสติอารมณ์รีบเช็ดน้ำตา ไม่ว่าจะอยากทำหรือไม่ก็ต้องทำ ผมต้องทำให้มันจบที่ผม
ไม่ใช่ที่พ่อ,แม่เด็ดขาด คิดได้อย่างนี้ก็ลุกขึ้นเปิดประตูออกไป เจ้าของห้องยืนมองสีหน้าสงสัยกึ่งๆไม่พอใจนิดหน่อย
“เอ่อ...ขอโทษครับ...ผม...สติแตกไปหน่อย ก็เลย....”
“สติแตก??”เขาถามหน้าเครียด
“อะ เอ่อ....ผม” สายตาเหลือบไปเห็นเหล้าบนโต๊ะ “มะ มาดื่มกันก่อนเถอะครับ”
ผมเดินตัวลีบมาที่โซฟา ผสมเหล้าแบบมั่วๆใส่แก้วให้ เขารับมาจิบนิดหน่อย
สีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่โกรธ ผมคิดว่าเขาใจเย็นกับผมมากแล้ว
“เอ่อ....คือเมื่อกี้เครียดไปหน่อยน่ะครับ ผมเพิ่งมาครั้งแรกแล้ว.....”
ผมนิ่งเพราะนึกสรรหาคำพูดไม่ออก “ขอโทษครับ ผมมาที่นี่เพื่อทำงานของผม”
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ เอาล่ะ....ผมพร้อมแล้ว เชิญพี่ได้เลยครับ”
ผมนั่งจ้องหน้าเขาแบบตั้งใจสุดเลยๆนะ เขาจะเอาผมไปต้มยำทำแกงยังไงก็ได้
ผมสู้เต็มที่.....แต่พี่แกมองตาแบ๊วไม่กระพริบเลย
“ฮะฮะฮะ...เรานี่ตลกดีแฮะ”จู่ๆพี่แกก็หัวเราะฮ่าออกมาหน้าตาเฉย
“ตลก???” ผมงงเลย
“เราเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า”
เข้าใจอะไรผิด??? ก็ผมมานี่ก็เพื่อมานอนด้วยไม่ใช่เหรอ
รึมีอย่างอื่น.... ผมเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ พี่ดิเรกถอนหายใจเฮือกพลางส่ายหน้าแบบเซ็งนิดๆ
แต่ก็ดีที่ยังยิ้มออกมาได้อยู่ผมถึงแน่ใจว่าแกยังไม่โกรธ
“อ่า.....พี่จ้างเรา.....ให้มาบริการพี่”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ” ผมว่าเสียงหนักแน่นมั่นใจ อ๊ะ?? ให้บริการเหรอ.....ให้บริการ??
หมายความว่า.....ผมต้องเป็นฝ่ายทำเรอะ... ตัวโตอย่างนี้จะให้ผม....
“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ พี่หมายถึงมิวควรเป็นฝ่ายเริ่มก่อน....รู้หรือเปล่าว่าต้องทำอะไร”
เขายิ้มกว้างอย่างขี้เล่น เหมือนจะสนุกที่เห็นผมเงอะงะทำไรไม่ถูก
“รู้สิครับ รู้.....” ผมนิ่งอึ้งไปครู่
“เอ่อ...ผมว่าพี่สั่งมาเลยดีกว่า อยากให้ผมทำอะไร บอกมาได้เลยครับไม่ว่าจะให้ทำอะไร ผมทำได้ทั้งนั้น!!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า....” เขาหัวเราะฮ่าอีกล่ะ มือใหญ่ตบไหล่ผมป้าบๆ
“นี่.... บอกให้พี่สั่งมาได้เลย ทำได้ทุกอย่าง.... โทษทีนะ
เล่นทำหน้าเหมือนเตรียมตัวจะไปฆ่าใครสักคนแบบนี้ พี่หมดอารมณ์พอดี”
“อ้าว...เหรอ” ผมเกาหัวแกรกๆ ไม่เข้าใจเลย
“ฮะฮะ....พี่เจอเด็กใหม่มานักต่อนักแล้ว แต่ไม่เห็นใครเครียดแปลกๆแบบเราสักคน...คงตื่นเต้นสินะ”
ฮ่าฮ่าฮ่า...ผมหัวเราะแห้งๆ
“ดื่มนี่หน่อยสิ จะช่วยได้เยอะเลย” เขาเทเหล้าเพียวๆก้นแก้วให้ผม อารมณ์ตื่นเต้นจัดทำให้ไม่ได้คิดอะไรมาก
ผมรับมากระดกรวดเดียวหมด ฮ่า....ร้อนกระเพาะวูบเลย หัวใจเต้นตึกๆในอก
ตอนนี้เต้นแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ ความร้อนในกระเพาะวูบวาบแผ่ซ่านไปตั้งตัวโดยเฉพาะใบหน้า เขารินให้อีกแก้ว
“มิวหน้าแดงเร็วจัง” เขาเอนตัวมาใกล้อีกนิด ผมมองๆแล้วแกหล่อไม่สมชื่อดิเรกเลย
น่าจะชื่อณเดช หรือ แบรด พิตต์ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“แก้มสีนี้น่ารักจัง”
“อย่าชมผมเหมือนเป็นเด็กๆสิครับ”
“ก็เรายังเด็กนี่นา”
“เด็กที่ไหน ผมยี่.......สิบแล้ว” อ๋อ?? ผมหลุดอะไรไปเนี่ย
ตายโหงแล้ว....ผมเก็บปากแล้วค่อยๆแลตามองคนข้างๆ ที่มองอยู่
“20เหรอ ตกลง 20 หรือ 16 กันแน่”
“เอ่อ......ขอโทษครับ ผมคิดว่า....บอกอายุน้อยๆไว้ก่อนดีกว่า”
“อ้อ....ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าเรามันไร้เดียงสาหรือเจ้าเล่ห์กันแน่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอีก ในเมื่ออายุ 20แล้วฉันก็ไม่ต้องอารัมภบทให้เสียเวลา มานี่”
เหมือนเขาจะไม่พอใจอะไรบ้างอย่าง อยู่ดีๆก็ดึงผมพาดบ่าแบกขึ้นเฉยเลย
“เดี๋ยวครับ...อย่าเพิ่ง” ผมร้องเสียงหลง ก่อนจะโดนเหวี่ยงลงบนเตียง
ตึ่ง!!! ตึ่ง!!! ตึ่ง!!!!
“เปิดประตู....ผมมีเรื่องจะพูดด้วย เปิดหน่อย”
ใครกันน่ะ??
ติดตามตอนต่อไป