หลานคุณย่า8 รุก (ภาค2)
[/size]
พาย(Part)
ความรู้สึกแปลกๆ ตอนนี้ไม่รู้มันคืออะไรกันแน่ครับ ไม่ว่าคุณคิณจะพูดอะไร ผมกลับเป็นฝ่ายตามเขาไม่ค่อยทัน แม้ว่าในตอนแรกจะไม่เห็นด้วย แต่บทสุดท้ายก็ลงเอยที่ผมเออออไปกับเขา ทั้งๆ ที่ยังงงอยู่เลย
ตอนนี้ก็เหมือนกันครับ ผมยอมให้เขาจีบได้ยังไง งง? ผมไม่ทันเขาหรือไงนะ หรือว่าผมโง่จริงๆ แต่ว่าผมเรียนหนังสือเก่งนะครับ แล้วทำไมจึงตามความคิดคนตรงหน้านี้ไม่ทัน จะว่าเขาเจ้าเล่ห์ก็น่าจะใช่ แต่บางทีก็ดูจริงจังจนผมเชื่อว่าเขาไม่ได้เล่นๆ
เรากำลังทานอาหารเย็นครับ ทานที่บ้านผมนี่แหละ คุณย่าอนุญาตให้คุณคิณอยู่ทานด้วย เขานั่งข้างๆ ผมครับ มีคุณย่านังอยู่ตรงหัวโต๊ะ พี่ซองกับน้องบราวนั่งข้างกัน คุณคิณเลยตั้งมานั่งข้างผมโดยปริยาย
พี่ซองดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับคนตรงหน้านี้จริงๆ นั่งหน้าบูดจนน้องชายคนเล็กของบ้านต้องเอาใจโดยการตักนู่นตักนี่ให้ทาน จึงพอจะคลายความตึงเครียดบนโต๊ะอาหารลงไปได้
ส่วนไอ้คุณคิณนี่ก็ชอบยั่วโมโหครับ ตักอาหารให้ผมจนแทบจะเต็มจานแล้วเนี่ย ไม่ดูสายตาพี่ชายผมเลยรึไงนะ ผมได้แต่ก้มหน้าทานไปเรื่อยๆ ไม่กล้าหันไปหารังสีอำมหิตของพี่ซองเวลานี้หรอก
“พอแล้วครับคุณคิณมันเต็มจานผมไปหมดแล้ว” จนผมต้องปรามเขาครับ เพราะไม่งั้นก็ตักอยู่อย่างนี้ไม่ดูหรอกว่าผมจะทานหมดรึเปล่า
“อ้าวเต็มจานเลย เอามาคืนให้ผมก็ได้ครับ” ยิ้มแหยๆ ของคุณคิณส่งให้ผม
“ไม่เป็นไรครับ ทานต่อเถอะ” ถ้าเขาไม่กวนประสาทผมก่อน ผมก็คุยกับเขาดีตลอดนะ แต่ส่วนใหญ่จะไม่เกินสามประโยค ไอ้คุณคิณคนเดิมก็กลับมา
“มัสมั่นนี่อร่อยจังเลยนะครับคุณย่า” เขาหันไปประจบคุณย่าผมแล้วครับงานนี้
“อร่อยก็ทานเยอะๆ น้องพายเขาทำอาหารเก่ง ส่วนเจ้าตัวแสบนี่ทำอะไรไม่เป็น รอทานอย่างเดียว” ย่าชี้ไปทางน้องบราวที่นั่งทาน โดยไม่สนใจใครเลยตอนนี้
“ย่าอ่ะ ก็น้องบราวจะทำแล้วทำไมไม่ยอมให้หัดบ้างเล่า” เงยหน้างอๆ ขึ้นมาว่าอย่างเอาแต่ใจ
“ครัวย่าพังมากี่รอบแล้ว” เท่านั้นแหละครับก้มหน้าทานต่อ ไม่ต่อปากต่อคำคุณย่าเลยคราวนี้
“ดีจังเลยนะครับได้ทานอาหารอร่อยๆ ทุกวัน” คุณคิณเริ่มต่อแล้วครับคราวนี้
“ถ้าชอบก็มาบ่อยๆ อยากทานอะไรก็บอกเจ้าตัวเค้าได้” ผมเออเร่อชั่วขณะครับ ทำไมคุณย่าพูดแบบนี้ ถ้าจะทำขนาดนี้ยกผมให้เขาไปเลยดีไหม
“มาบ่อยๆ คงไม่ดีหรอกมั้งครับ บ้านอยู่กันคนละโยด ลำบากคุณคิณเขาเปล่าๆ” พี่ชายผมพุดเหมือนหวังดีกับเขานะครับ แต่สายตาที่แทบจะส่งไปฆ่าคนที่นั่งหน้าตายอยู่ข้างผมแล้ว
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณซอง พอดีผมมีคอนโดอยู่ใกล้แถวนี้” นี่ก็พอกันจะฆ่ากันให้ตายด้วยคำพูดเลยรึไง
“แต่ถ้ามาบ่อยเกิน มันก็คงจะรบกวนเวลาภายในของครอบครัวคนอื่นเขานะครับ” ถ้อยคำที่พูดออกมานี่สุภาพทุกคำ แต่มันเชือดเฉือนครับ
“เข้าใจแล้วครับ” อยู่ๆ คุณคิณก็เลิกต่อปากต่อคำกับพี่ซองไปเฉยๆ ก้มหน้าทานอาหารต่อ หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็กลับมาเงียบอีกครั้ง เป็นมืออาหารที่จบลงด้วยความอึดอัดจริงๆ
คุณคิณขอตัวกลับหลังจากทานอาหารเสร็จ โดยมีผมทำหน้าที่เดินไปส่งเขา คุณย่าบังคับหรอกครับไม่ได้เต็มใจ
“ขอบคุณที่ออกมาส่งนะครับ” น้ำเสียงนี่ดูสุภาพกว่าทุกครั้งนะครับคุณคิณ จะมาไม้ไหนเนี่ย
“ไม่เป็นไรครับ นี่ก็ดึกแล้วคุณรีบกลับเถอะ”ผมยืนรอคุณคิณขึ้นรถ แต่ทำไมไม่ไปซะที ยืนมองผมนานสองนานแล้วก็ไม่พูดอะไร
“ทำไมยังไม่ขึ้นรถอีกล่ะครับ” ถามย้ำอีกครั่งเพื่อความแน่ใจว่าคนตรงหน้าทำไมยังไม่ไปอีก
“พายยังไม่ให้เบอร์ผมเลย” ต้องการเบอร์โทรศัพท์ผมนี่เอง
“จะเอาไปทำไมครับ” ถ้าให้ง่ายๆ นี่ก็จะกลายเป็นว่าผมใจอ่อนกับเขา ไม่ได้หรอกเดี๋ยวจะได้ใจคิดว่าเรามีใจให้ แค่ให้จีบไม่ได้แปลว่าใจอ่อนให้แล้วสักหน่อย
“อ้าว! ถ้าไม่ให้ผมจะจีบพายได้ไงครับ” ฮึ ยังจะมีหน้าว่าจีบยังไง นี่ขนาดไม่มีเบอร์ยังบุกมาถึงบ้านเลย ไม่อยากคุยกับคนตรงหน้าเยอะเดี๋ยวหลงกลความเจ้าเล่ห์
“อยากได้ก็ไปหาเอาเองสิ ถ้าได้เมื่อไหร่ค่อยโทรมา”
“ถ้ามีแล้วโทรหาได้เลยใช่ไหมครับ” จะถามอะไรนักหนานะคนเรา พูดไปแล้วก็น่าจะเข้าใจ ทำไมชอบให้ย้ำคำเดิม คนตรงหน้าผมยกโทรศัพท์ขึ้นก่อนที่จะกดโทรออก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์ผมดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก ใครโทรมาหาตอนนี้นะ
“ฮัลโหล” ผมรับสาย
“นี่เบอร์ผมนะครับน้องพาย อย่าลืมเมมเบอร์ไว้นะ” คุณคิณกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ทั้ง ๆที่เขายืนอยู่แค่นี้
“คะ..คุณไปเอาเบอร์มาจากไหน” ไอ้คุณคิณบ้า เขาแกล้งผมอีกแล้ว จีบแบบไหนทำไมทำแบบนี้กับผม
“ไม่บอกหรอกครับ แต่โทรหาได้ใช่ไหม ผมกลับก่อนนะ ถึงบ้านแล้วจะโทรหา”
“ไอ้คุณคิณมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ” ไม่ทันแล้วครับ เขาขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย ผมอยากจะบ้าตายเขาเป็นคนยังไงของเขากันแน่นะ ไม่เข้าใจแล้วก็คงจะไม่มีวันเข้าใจ
************************************
เมื่อคืนคนบ้าคนนั้นก็โทรหาผมจริงๆ ครับ หลังจากกลับถึงบ้าน สายแรกผมก็ไม่รับหรอก จนมีสายที่สองที่สามโทรมาเรื่อยๆ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยรับให้มันจบๆ ไป แต่ปรากฎว่าชวนผมคุย ตั้งแต่สี่ทุมจนเที่ยงคืน พอวางสายไปแล้วยังส่งไลลน์มาอีก คุยตั้งนานนี่ยังไม่พอใจอีกใช่ไหม ผมอ่านไลน์เขาแต่ไม่ตอบ ก่อนที่จะปิดเสียงโทรศัพท์ แล้วเข้านอนครับ
วันนี้นอนไม่ค่อยจะพอเลยรู้สึกเบลอๆ ให้น้องพายับรถให้ โดยไม่ลืมแวะไปรับมินมาด้วยกัน มาถึงร้านก็เกือบเก้าโมง เด็กๆ ในร้านอีกสามคนมาถึงก่อนพวกผม กำลังทำความสะอาดร้านพอดี
“สวัสดีค่ะ/ครับ พี่พาย พี่มิน พี่บราว” ทั้งสามคนยกมือไหว้ผมกับน้องๆ พร้อมกัน
“สวัสดีครับ ทานข้าวมารึยัง” ทักทายกันนิดหน่อย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงานของตนเอง
ผมกับมินเข้าไปทำเค้าอยู่ในครัว ส่วนน้องบราวก็ทำนู่นทำนี่บ้างตามประสาเขาแหละครับ ทำอะไรไม่ค่อยเป็น ส่วนใหญ่จึงมีหน้าที่เป็นแคชเชียร์มากกว่า ช่วยเสริฟบ้างบางครั้ง
ผมได้ยินเหมือนเสียงลูกค้าเข้ามาที่ร้าน แต่ว่าร้านกว่าจะเปิดก็อีกตั้งชั่วโมงเลยนะ หรืออาจจะไม่ใช่ลูกค้าประจำเลยไม่รู้เวลา เดี๋ยวก็คงออกไปมั้ง ผมก้มหน้าก้มตาทำเค้กต่อ แบ่งกันทำคนล่ะเมนูกับมิน ทำไปเรื่อยๆ ครับ สนุกดีนะเวลาที่เราได้ทำงานที่เราชอบ แม้ว่าเงินมันจะได้ไม่มากมายเหมือนอาชีพอื่น แต่ความสุขของผมนี่มีไม่แพ้ใครแน่นอน
“พี่พายยยยย คุณคิณมาหา” ชื่อนี้อีกแล้ว ตลอดสามสี่วันที่เขาเข้ามาวนเวียนในชีวิตของผม ชีวิตผมวุ่นวายดีจริงๆ
“มาหาพี่ มาทำไม”
“ไม่รู้สิฮะ ต้องออกไปคุยกับเขาเอง” เจ้าตัวแสบบอกแค่นั้น ก่อนที่จะเดินไปคุยกระซิบกระซาบกันสองคนกับมิน ผมมองหน้าคาดโทษเจ้าเด็กแสบ ก่อนที่จะเดินออกไปหาคนที่อยู่หน้าร้าน
เขาเห็นผมแล้วครับส่งยิ้มมาแต่ไกล แทบจะเห็นฟันครบสามสิบสองซี่แล้ว ไม่มีงานมีการทำรึไงนะ รู้ว่าเป็นผู้บริหารแต่จะมาทำตัวเรื่อยเปื่อยแบบนี้น่ะเหรอ มีหวังบริษัทเจ๊งพอดี
“อย่าถามผมอีกนะครับว่ามาทำไม เพราะคำตอบก็คือคำเดิม มาหาพายครับ” รู้อีกว่าผมจะพูดว่าอะไร ตอบให้เสร็จสรรพ
“แล้วไม่มีงานมีการทำรึไง มาทำไมแต่เช้า ผู้บริหารไม่เข้าบริษัทนี่ไม่มีความรับผิดชอบเลยนะครับ มีเจ้านายแบบนี้ลูกน้องจะนับถือได้ไง บริษัทขาดทุนตายเลย” ผมบ่นยืดยาวให้คนที่ยิ้มหน้าตายอยู่ตรงหน้า
“ขอบคุณที่ห่วงผมนะครับ”
“ผมไปห่วงคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่ามามั่ว”
“ก็พายห่วงว่าผมจะขาดทุน แล้วก็ยังกลัวลูกน้องไม่นับถืออีก” พูดอะไรไปก็เข้าทางเขาหมด
“ผมไม่ได้ห่วงคุณ ไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม คนอื่นเขาจะทำงานทำชอบมาวุ่นวา แบบนี้ เมื่อคืนก็ทีหนึ่งแล้วนะ” ผมโวยครับคราวนี้ เอาจริงแล้วนะ จะไม่ให้มีเวลาหายใจหายคอโล่งๆ เลยสักวันใช่ไหมเนี่ย
“พายเบื่อผมเหรอครับ ที่ผมเข้ามาวุ่นวาย” เขาตีหน้าเศร้าครับ ผมจะไม่หลงกลเขาอีกแล้ว
“คุณไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ หรอกมั้งครับคุณคิณ อย่ามาใช้มุกเดิมไม่ได้ผลหรอก” อยู่กับคนแบบบี้ต้องให้ทันครับ ถ้าเป็นแบบเมื่อก่อนนี้ตายอย่างเดียว เพราะผมเป็นคนขี้สงสารเห็นหน้าเศร้าๆ นี่แทบจะตอบตกลงไปในทันที ไม่ว่าอะไรก็ตาม
“ดีจังคุณเริ่มจะใส่ใจในตัวผมมากขึ้นแล้วรู้ด้วยว่าอันไหนผมพูดจริง อันไหนแกล้ง”
“พุดกับคุณนี่ไม่ได้สาระอะไรเลยจริงๆ จะอยู่ที่นี่ใช่ไหมวันนี้”
“ครับ รอลูกน้องเอางานมาให้อยู่จะนั่งทำที่นี่แหละ” ผมไม่ไล่เขาหรอก ถึงไล่เขาก็ไม่ไปอยู่ดี ให้เขานั่งเงียบๆ ทำงานของเขาไปน่ะดีแล้ว
“ ไม่ใช่ว่านั่งทั้งวันแล้วดื่มกาแฟแก้วเดียวนะครับ” ผมหันไปแขวะคนที่นั่งอยู่โต๊ะตัวที่ใกล้ประตูทางเข้าออกครัวมากที่สุด
“ไม่แน่นอนครับ ไปทำงานคุณเถอะผมจะนั่งตรงนี้แหละ รับรองจะไม่วุ่นวายเลย” ลูกน้องของเขาเอางานมาวางตรงหน้าเขาจริงๆ ครับ เขาเอางานมาทำที่นี่ หวังว่าจะไม่ทำแบบนี้ทุกวันนะ ผมเดินกลับเข้าไปด้านใน โดยไม่ลืมบอกให้เปรี้ยวคอยบริการเขาด้วย
“พ่อดอกกล้วยไม้ของพี่พายหล่อกมากอ่ะ” สองเอ่ยแซวก่อนที่ผมจะเข้าไปข้างใน
“เขาไม่ใช่ของพี่ ไปทำงานตัวเองเลยไป” ผมไล่น้องไม่จริงจังเท่าไหร่
“หูย แค่นี้ก็ต้องดุด้วย ถ้าไม่ใช่ของพี่พายนี่สองจีบได้ไหมเนี่ย” ยังเด็กอยู่เลย ยังจะมาแก่แดดอีก
“ไม่ต้องไปยุ่งกับเค้าเลย”
“หวงด้วยแน่ะ “ สองพูดขำๆ แล้วเดินไปทำงานตัวเอง
ผมเข้าไปทำเค้กข้างใน ไม่ได้ออกมาอีกเลย จนเวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร ไกล้จะเที่ยงแล้วลูกค้าน่าจะเยอะ ผมจึงให้มินออกไปช่วยด้านนอกอีกคน ส่วนผมจะทำเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง ก็ว่าจะออกไปช่วยน้องๆ เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ได้ยุ่งอะไรมากก็ปล่อยให้เขาทำกันไปนั่นแหละ
แต่งหน้าเค้กเพลินเลยครับ มันเป็นส่วนที่ผมชอบที่สุดในการทำเค้กเลยแหละ ผมชอบครีเอทแบบต่างๆ ชอบเห็นความสวยงามของมันครับ ในเตาอบก็ยังมีช็อคโกแล็ตลาวาอยู่ น่าจะใกล้จะได้ที่แล้ว ส่วนอีกเตาก็เป็นช็อคโกแล็ตเค้กหน้านิ่ม สองเมนูนี้เป็นเมนูประจำร้านครับ ขายดีอันดับต้น เลยมีทุกวัน
น้องๆ สลับกันเข้ามาทานข้าวครับ เพราะเลยเวลาเที่ยงมานานแล้ว ส่วนผมรอทานพร้อมกับเจ้าน้องชายตัวแสบครับ อีกสักพักน่าจะเข้ามา
“พี่พาย คุณคิณยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลยอ่ะ” น้องบราวเข้ามาแล้วครับ ผมลืมไปเลยว่าคุณคิณอยู่ที่ร้าน เวลาที่ผมทำงานเพลิน
มักลืมทุกอย่างเลยครับ โดยเฉพาะเวลาที่ทำขนมกับอาหารคือความสุขของผมเลย
“ก็เรื่องของเขาสิ ไม่ใช่เด็กๆ ซะหน่อยจะได้ให้หาไปป้อนให้ ลูกน้องเขาก็มี” ก็มันจริงนี่นา ถ้าหิวเขาก็คงไปหาทานเองนั่นแหละ
“แล้วแต่พี่ก็แล้วกัน น้องบราวเห็นเขาดื่มกาแฟสามแก้วแล้วนะ” ก็ดีแล้วไงร้านเราจะได้มีกำไรเยอะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว มาทานข้าว ผมตัดบทก่อนที่น้องชายจะพูดต่อ
“ก็ได้” เราทานข้าวเสร็จน้องบราวก็ออกไปหน้าร้าน ผมยังทำเค้กไม่เสร็จแต่ก็จวนแล้ว จะได้นั่งพักซักที เดินออกมานั่งตรงเคาน์เตอร์ข้างน้องชาย ที่ตอนนี้กำลังนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออย่างตั้งอกตั้งใจ
“แก้วที่เท่าไหร่แล้ว” ผมหันไปถามน้องชาย
“อะไรพี่พาย” ทำหน้างงใส่ผมอีก
“ก็คุณคิณน่ะ ดื่มกาแฟกี่แก้วแล้ว” ไม่ได้เป็นห่วงนะครับ อย่าเข้าใจผิด แค่กลัวว่าคนดื่มกาแฟเกินขนาดคืนนี้คงตาแข็งกันพอดี
“ไม่รู้สิฮะ แต่เมื้อกี้เห็นสั่งโกโก้ร้อนไปแก้วนึง” ดีที่ยังรู้จักหยุด ไม่ใช่มานั่งดื่มกาแฟทั้งวัน ข้าวก็ ไม่ยอมไปทาน ผมเดินเข้าไปหาคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมืออย่างตั้งใจ โดยมีสายตาน้องๆ มองตามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ทำไมไม่ไปทานข้าว” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ก่อนที่เขาจะยิ้มบางๆ ให้กับผม
“ไม่หิวเลยครับ”
“ไม่หิวก็ต้องทานสิ มันเลยเวลาหารเที่ยงมาเยอะแล้วนะ” ผมโมโหครับ ทำไมเขาไม่ห่วงตัวเอง คิดจะมาดูแลคนอื่น แต่กับไม่ดูแลตัวเองเลย อย่างนี้จะดูแลใครได้อย่างไร
“ผมดื่มกาแฟจนแน่นท้องไปหมดแล้ว ทานข้าวไม่ไหวหรอก”
“แล้วดื่มไปแล้วกี่แก้ว”
“สาม เออไม่แน่ใจสามหรือสี่” ดื่มเข้าไปได้ไงเนี่ยห๊ะ คนปกติเขาไม่ทำแบบนี้หรอกนะ
“ใครเค้าให้ดื่มเยอะขนาดนั้นห๊ะคุณคิณ” ยิ้มครับ ยิ้มอีกแล้ว โดนด่าแต่ทำหน้าระรื่นมีความสุขมากรึไง
“ก็เจ้าของร้านเขาบอกว่าถ้าจะนั่งทั้งวันไม่ให้ดื่มกาแฟแก้วเดียวนี่ครับ” นั่นกวนประสาท
“ไม่ได้หมายความว่าให้ดื่มกาแฟหลายๆ แก้วนี่ เครื่องดื่มอย่างอื่นก็มี ขนมก็เต็มร้านก็เลือกเอาสิอย่างสองอย่าง”
“ผมไม่ทานเค้ก มันหวานเกินไป”
“ไปครับ” ผมดึงมือคนตัวโตให้เดินตามเข้ามาข้างใน
“ไปไหนครับ” เขาเดินตามเข้ามาด้านในอย่างงๆ แต่ก็ชั่งเถอะ ไม่สนหรอกให้เอ๋อๆ แบบนี้แหละดีแล้ว จะได้ไม่วุ่นวาย
ผมหันไปเจียวไข่ เพราะที่นี่สามารถทำกับข้าวง่ายๆ ได้ครับ มีเครื่องปรุงครบ แต่อาหารสดในตู้เย็นไม่มี ผมก็เลยเอาไข่ที่เอาไว้สำหรับทำเค้กมาเจียว ก่อนจะหันไปตักข้าวใส่จานโปะหน้าด้วยไข่เจียวแค่นี้แหละครับอาหารที่ผมทำให้เขาทาน ก่อนจะหันไปหยิบขวดซอสพริกมาตั้งไว้ข้างหน้าคนที่นั่งนิ่งไม่ยอมพุดอะไรเลยตอนนี้
“จะทานไหมครับ หรือว่าทานไม่ได้ จะได้เอาไปเททิ้ง” คงไม่อยากทานล่ะสิ มันก็แค่ข้าวไข่เจียวนี่นา คนอย่างเขาคงทานแต่อาหารหรูๆ
“ทานครับทาน” ข้าวไข่เจียวคำโตถูกตักเข้าปาก ก่อนที่จะเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับมันเป็นอาหารเลิศรสอย่างนั้นแหละ
“น้ำครับ” ผมยื่นน้ำวางไว้ข้างๆ จานข้าวของเขา
“ขอบคุณครับ อร่อยมากเลย” ผมไม่ตอบอะไรหรอกครับ ปล่อยให้เขาทานข้าวไปนั่นแหละดีแล้ว ไม่อยากให้ใครมาว่าผมใจดำหรอกนะ
“ผมออกไปข้างนอกก่อนนะครับ ทานเสร็จก็เอาวางไว้ตรงนี้แหละเดี๋ยวผมมาเก็บเอง” ผมกำลังจะเดินออกไป คนที่นั่งอยู่ยื่นมือมาจับผมไว้
“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนสิครับ” ทำไมต้องอยู่ล่ะ แค่ทานข้าว
“........”
“ถ้าพายไม่อยู่ ผมก็ไม่อยากทานหรอก” ผมเดินกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามเขาแล้วครับ ไม่ชอบสายตาตัดพ้อของเขา ชอบทำเหมือนผมเป็นคนผิดตลอดเวลา
“ทานต่อสิครับ ผมจะได้เอาไปล้าง” เท่านั้นแหละครับคนตรงหน้า ก็รีบทานจนหมด เขาเหมือนเด็กที่ต้องมีผู้ใหญ่คอยเอาใจ ทั้งๆ ที่ก็อายุปูนนี้แล้ว แก่กว่าผมไม่รู้กี่ปี
ผมล้างจานโดยมีเขาคอยช่วยป่วนอยู่ข้างๆ จะว่ายังไงดีล่ะ ก็เขาทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วยังมีหน้ามาขอช่วยทำ ก็เลยต้องมานั่งสอนกันใหม่หมด กว่าจะเสร็จก็เลอะเป็นกันไปตามระเบียบ
เขาอยู่จนร้านผมปิด ก่อนจะกลับก็ซื้อเค้กไปตั้งเยอะ บอกว่าจะเอาไปฝากแม่ของเขา ผมพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าดอกกล้วยไม้ที่เขาส่งมาให้ผมทุกวันช่วงที่เขาไม่อยู่ เป็นดอกไม้ที่แม่เขาปลูกไว้ แล้วก็รักมากซะด้วย ผมนี่หน้าเสียเลย ท่านจะโกรธผมไปด้วยรึเปล่าเนี่ย ที่เป็นสาเหตุให้ลูกชายทำแบบนี้ ของรักของหวงของแม่เขาด้วย
แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ไอ้ผู้ชายตัวโตๆ โทรมาคุยกับผมจนค่อนคืน สาเหตุน่ะเหรอ ก็เพราะเจ้ากาแฟที่เขาดื่มเข้าไปมันกำลังออกฤทธิ์ แล้วคุณคิณก็โทษว่าเป็นเพราะผม เลยทำให้เขาตาค้างนอนไม่หลับ ผมต้องรับผิดชอบ อยู่คุยกับเขา ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จนเวลาล่วงเลยไปนาน ผมหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เลย สงสัยเขาคงกดวางไปเองแล้วมั้ง ตื่นเช้ามามีข้อความไลน์ด้งขึ้นมา บอกว่าฝันดีพร้อมกับส่งรูปตัวเขาที่อยู่ในชุดนอน นอนอยู่บนเตียงมาให้
****************************
ตอนที่8 จบแล้วเนะ อาจจะไม่ค่อยสนุกนัก ไม่ค่อยถูกใจใครหลายๆ คน แต่ก็จะพยายามนะ
TBC.