RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา > 26 - 02/03/2019 [END] - หนังสือ พร้อมส่ง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา > 26 - 02/03/2019 [END] - หนังสือ พร้อมส่ง  (อ่าน 26702 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai1:



ผู้กองงงงงงงง

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
14
ความรู้สึกที่ยากจะต้านทาน






ลมหายใจที่ผิดจังหวะส่งเสียงตามอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังหยูเฟิงรีบเดินไปยังที่ปลอดคน ซึ่งก็คือบริเวณชั้นสี่ของผับกาเบรียลแห่งนี้

 ผู้กองหวังรีบรุดเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดิน ทุกวินาทีที่ผ่านไปสร้างความเคร่งเครียดให้เขาทบทวี สติที่สั่นคลอนพยายามทบทวนความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นแบบกะทันหัน

 เขาถูกวางยา!

ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็เข้าใจเหตุการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่ได้ในทันที น้ำเปล่าแก้วนั้นที่เจิ้งหยุนส่งมาให้ดื่มมียากระตุ้นอารมณ์ทางเพศผสมอยู่

 หวังหยูเฟิงกัดฟันข่มอาการหน่วงที่อัดแน่นอยู่ที่ส่วนกลางลำตัว หนทางเดียวที่จะปลดชนวนอารมณ์ที่อยากจะระเบิดคือการปลดปล่อยความต้องการที่ร้อนรุ่มเท่านั้น

ความคิดของนายตำรวจทำงานได้ช้าลงทุกขณะ เมื่อร่างกายเริ่มเคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ที่ทะยานสูงขึ้น มือที่เคยกำแน่นขยับเคล้าคลึงส่วนเคร่งเครียดที่แสดงตัวตนที่เป้ากางเกงของตัวเองอย่างลืมตัว ริมฝีปากเผยอขึ้นเพื่อผ่อนลมหายใจที่ร้อนผ่าวออกมา

ห้องน้ำชั้นสี่ที่เงียบสงบเกิดเสียงผะแผ่วที่ลอดผ่านริมฝีปากบางและลมหายใจกระชั้นที่สอดประสานกับมือที่กำลังบำเรอความต้องการที่อัดแน่นอยู่ภายใน จังหวะเนิบช้าเริ่มเร็วขึ้น เมื่อความรู้สึกที่ตื่นตัวไต่ระดับอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะชะงัก เพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น

หวังหยูเฟิงที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเหลือบสายตาที่เลื่อนลอยและเปี่ยมอารมณ์ไปยังที่มาของเสียง เขาสูดลมหายใจที่หนักหน่วงครั้งหนึ่ง แล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แรงสั่นสะเทือนและเสียงริงโทนยังดังอย่างต่อเนื่อง ผู้กองหนุ่มกดรับสายโดยไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าใครติดต่อมา

“ฮ...ฮัลโล”

[คุณหวังอยู่ที่ไหนครับ]

เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้น เรียกตัวตนของนายตำรวจที่จมอยู่ในห้วงราคะให้ฟื้นตื่นเล็กน้อย หวังหยูเฟิงควบคุมน้ำเสียงแหบพร่าของตัวเองอย่างเต็มที่

“ผมอยู่ข้างนอก”

[คุณโอเคไหม]

“ผมโอ...เค”

หวังหยูเฟิงกลืนน้ำลายลงคอ ชายหนุ่มหอบหายใจแรงขึ้น ความร้อนที่ต้องการปลดปล่อยร้องเตือนให้เขากลับไปสนใจตามเดิม ประสาทสัมผัสทางการได้ยินของผู้กองหวังเริ่มลดลงไปทีละน้อย เมื่อสมาธิจดจ่ออยู่กับฝ่ามือที่กำลังช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความทรมาน

[...คุณหวัง?]

 ”อ...อืม”

หวังหยูเฟิงหลับตาลง โดยที่มือข้างหนึ่งถืออุปกรณ์สื่อสารอยู่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำลังเร่งจังหวะเพื่อนำพาอารมณ์ร้อนแรงให้ไปถึงขีดสุด เขาแทบจะลืมไปแล้วว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใคร

[ผมไปหาคุณนะ]

หวังหยูเฟิงไม่ได้ยินถ้อยคำของปลายสายที่ตัดไปแล้ว สมองของเขากำลังขาวโพลนและว่างเปล่า หลังจากพาตัวเองหลุดพ้นจากโซ่อารมณ์ที่รัดตรึงเอาไว้ ทว่าอิสระที่ได้รับเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อความร้อนที่มอดดับก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“อ่า...”

ผู้กองหวังครางออกมา เมื่อความอึดอัดกอดรัดที่ส่วนกลางลำตัวของเขาอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีฝีเท้าคู่หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาใกล้ ประตูห้องน้ำที่ถูกล็อกเอาไว้จากด้านในถูกเปิดออกด้วยลูกกระสุนจากปลายกระบอกปืนเก็บเสียงอย่างง่ายดาย

หวังหยูเฟิงไม่รับรู้สิ่งรอบข้างเลยสักนิด จนกระทั่งไอร้อนของลมหายใจพัดผ่านสัมผัสที่ข้างแก้มพร้อมกับเสียงทุ้มที่คุ้นเคย

“คุณหวัง”

หวังหยูเฟิงที่หมดสภาพลืมตามองคนที่ไม่ได้รับเชิญ ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งย่อตัวอยู่ข้างกาย ความร้อนที่อัดแน่นอยู่ในร่างกายสูบฉีดไปที่ใบหน้าและหัวใจที่เต้นระรัว นัยน์ตาคมที่ทอดมองผู้กองหนุ่ม ทำให้นายตำรวจที่เคร่งขรึมอยู่เสมออับอายจนทำอะไรไม่ถูก

“เจิ้ง...หยุน”

หวังหยูเฟิงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างกายและจิตใจ ความรู้สึกต้องการกำลังกลั่นแกล้งให้เขาอ่อนแอ ผู้กองหนุ่มจึงพยายามกัดฟันต่อสู้และควบคุมสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาโดยเร็ว ทว่าอำนาจของยาร้ายก็รุนแรงจนคนที่เผลอตกเป็นทาสต้องพ่ายแพ้ นัยน์ตาสีนิลที่มักแน่วแน่สงบนิ่งสั่นไหวไม่ต่างจากผิวน้ำที่ถูกลมพายุพัด

“ผม...”

 ”ไม่เป็นไรครับ เป็นความผิดของผมเอง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับฝ่ามือที่ทาบทับมือที่เปรอะเปื้อนของเหลวของหวังหยูเฟิงเอาไว้ “ผมจะช่วยคุณ”

“ไม่...” หวังหยูเฟิงปฏิเสธ ทว่าน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบก็ลอยหายไปในอากาศ ก่อนคำที่ควรเอ่ยจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางที่ดังขึ้นแทน เมื่อฝ่ามือของเจิ้งหยุนสัมผัสส่วนร้อนระอุสีแดงก่ำของเขาเป็นจังหวะ

“ผมยินดีครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาขยับมือของตัวเองเพื่อปลดเปลื้องความทรมานให้กับผู้กองหนุ่ม นัยน์ตาคมมองสีหน้าเสียวซ่านที่แดงก่ำไม่ละสายตา “เป็นอย่างไรบ้าง ดีไหมครับ”

หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับ เขาหลับตาลงอย่างจำนน มือที่เคยช่วยตัวเองในตอนแรกกำแน่น ร่างกายที่ถูกกระตุ้นเพื่อไปสู่จุดสูงสุดของอารมณ์แข็งเกร็งอย่างทรมาน ทว่าเบื้องลึกของจิตใจที่ไฟราคะแผดเผาอย่างไร้ความปรานีกลับมีความรู้สึกที่กำลังเป็นเถ้าถ่านร่วงหล่นอยู่ในใจ

ความสุขสม...

ริมผีปากที่เคยเม้มแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์เผยอออก ก่อนเสียงลมหายใจกระชั้นที่สอดแทรกเสียงทุ้มแหบพร่าจะดังขึ้น สีหน้าและท่าทางของหวังหยูเฟิงตอนนี้สร้างความรู้สึกวาบไหวให้กับผู้ที่กำลังมองได้ไม่น้อย เจิ้งหยุนเร่งความเร็วมือของตัวเองที่รีดเร้นอารมณ์ของผู้กองหนุ่มอย่างช่ำชอง ปลายนิ้วเรียวกดย้ำส่วนปลายชุ่มฉ่ำอย่างหยอกเย้าให้คนที่กำลังล่องลอยตกหลุมอากาศเป็นระยะ

 ”...อื้อ! อ่า!”

หวังหยูเฟิงเกร็งตัวขึ้น เขาลืมตามองคนที่อาสาเข้ามาช่วยด้วยนัยน์ตาที่เคลือบน้ำตา ใบหน้าทรมานที่แสนยั่วยวนของผู้กองหนุ่มกระชากความอดทนของเจิ้งหยุนได้ในที่สุด ชายหนุ่มผมยาวปล่อยมือจากหน้าที่ของตัวเอง แล้วเคลื่อนกายเข้าหาคนที่หมายตาเอาไว้อย่างรวดเร็ว

หวังหยูเฟิงเบิกตาขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าสมองที่ทำงานติดขัดของเขาก็ไม่อาจตั้งรับสถานการณ์กะทันหันที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ทัน ริมฝีปากที่เคยเผยอเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ถูกผนึกด้วยจูบที่แนบแน่น ผู้กองหนุ่มที่คิดจะขัดขืนในวินาทีแรกอ่อนระทวย เมื่อถูกปลายลิ้นที่รุกล้ำฉกฉวยลมหายใจไม่หยุด ก่อนที่เขาจะตกอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

เจิ้งหยุนถอนริมฝีปากของตัวเองออกมาเล็กน้อย ก่อนจะมอบความรู้สึกรัญจวนที่ร้อนแรงให้หวังหยูเฟิงอย่างหลงใหลอีกครั้ง มือหนาที่ละเลยหน้าที่ของตัวเองก่อนหน้านี้กลับไปทำงานตามเดิม เพียงไม่นานร่างกายที่จมอยู่ในอานุภาพของฤทธิ์ยากระตุ้นและการสัมผัสแนบชิดที่ถูกปรนเปรออย่างต่อเนื่องก็หลุดพ้นจากพันธนาการ

หวังหยูเฟิงหายใจหอบ ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวและเต็มไปด้วยเหงื่อ หมดมาดนายตำรวจที่น่ายำเกรงจนสิ้น ทว่าสภาพน่าละอายในความคิดของผู้กองหวังตอนนี้กลับสร้างความพอใจให้กับเจิ้งหยุนเป็นอย่างมาก เขาฉุดร่างที่อ่อนแรงของชายผู้ตกอยู่ในห้วงราคะให้ลุกขึ้น

“ปล่อย...ผม” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงแหบ ตอนนี้เขาอยากขัดขืนมากกว่านี้ แต่ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะยืนด้วยซ้ำ เรือนกายของผู้กองหนุ่มจึงเซเข้าหาอ้อมแขนของเจิ้งหยุนอย่างง่ายดาย อีกทั้งอารมณ์ที่เพิ่งมอดดับก็กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

“ผมจะช่วยจนกว่าคุณจะเป็นปกติ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วพาร่างที่ถูกควบคุมด้วยโซ่ตรวนของฤทธิ์ยาในอ้อมกอดออกจากห้องน้ำที่เงียบงัน

“ค..คุณจะ..พาผม..ไปไหน” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง สภาพของเขาตอนนี้ไม่ควรให้ใครเห็นทั้งนั้น แต่เจิ้งหยุนก็แค่หันมายิ้มให้เหมือนเคย

“ผมจะพาไปที่ที่เหมาะกว่านี้”

เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นห้า ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา ผู้กองหนุ่มที่หมดสภาพทิ้งศีรษะซบลงที่ไหล่ของเจ้าของผับกาเบรียลอย่างสิ้นท่า สมองที่มึนงงหยุดคิดอะไรอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเองจะถูกพาไปที่ไหน ทำไมถึงถูกจูบ หรือผู้ชายคนนี้หาเขาเจอได้อย่างไร





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ชั้นห้าของผับกาเบรียลแบ่งเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งเป็นห้องทำงานและอีกด้านหนึ่งเป็นห้องพัก เจิ้งหยุนแสกนนิ้วเพื่อปลดล็อกประตูห้องพัก แล้วพาร่างที่อ่อนปวกเปียกของผู้กองหวังวางไว้บนเตียงนอนขนาดใหญ่ของตัวเอง

เจิ้งหยุนนั่งลงบนเตียงข้างหวังหยูเฟิงที่ยังหลับตา รอยยิ้มบางยกขึ้นที่มุมปาก ฝ่ามือลูบเส้นผมชื้นเหงื่อของนายตำรวจที่ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเพลิดเพลิน

“คุณหวัง”

เสียงเรียกชื่อที่ดังขึ้น ทำให้หวังหยูเฟิงที่ตรากตรำในการต่อสู้กับความใคร่ที่ถูกปลุกเร้าอย่างรุนแรงปรือตาขึ้นสบกับนัยน์ตาสีดำแวววาวในระยะใกล้ มือที่เคยลากผ่านเส้นผมของเขาเลื่อนมาลูบไล้ที่ข้างแก้มอย่างอ่อนโยน

“ให้ผมช่วยคุณอีกนะครับ”

หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอีกครั้ง แต่ก็ไม่ปฏิเสธท่าทีของเจิ้งหยุนที่กำลังดึงกางเกงของเขาออกอย่างเชื่องช้า เวลานี้ผู้กองหนุ่มต้องการยุติวังวนของยาร้ายที่ได้รับเพียงอย่างเดียว

จะทำอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น!

 เจิ้งหยุนมองหวังหยูเฟิงด้วยรอยยิ้มสมใจ ทั้งที่มีประสบการณ์เรื่องบนเตียงมาไม่น้อย แต่หัวใจของเขาก็ไม่เคยเต้นแรงและอยากกลืนกินใครเท่าผู้ชายคนนี้มาก่อน

หวังหยูเฟิงไม่ใช่ผู้ชายรูปงาม ทว่าผู้กองคนนี้กลับมีเสน่ห์และน่าหลงใหลอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ยิ่งเมื่อนึกถึงรสจูบหอมหวานที่ไร้เดียงสาและดวงตาซื่อตรงเปี่ยมอารมณ์ เจิ้งหยุนก็อยากจะกระโดดเข้าไปขย้ำสร้างความทรมานให้อีกฝ่ายครวญครางร่ำไห้ด้วยความสุขสม

เขาต้องการหวังหยูเฟิง!

 นัยน์ตาคมทอประกายราวกับนักล่าที่คว้าเหยื่อชั้นดีมาไว้ในกำมือ เจิ้งหยุนอยากจะกอดรัดและฝังตัวตนเข้าไปในร่างกายของคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าชายหนุ่มก็ต้องหักห้ามความต้องการเบื้องลึกอันรุนแรงให้บรรเทาลง

ถึงแม้หวังหยูเฟิงจะเย้ายวนและล่อลวงจนยากจะห้ามใจ แต่เขาก็ไม่อยากมอบกามรสให้กับคนที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยาอยู่ดี

เมื่อไรที่เวลานั้นมาถึง เจิ้งหยุนตั้งปณิธานเอาไว้ในใจว่า จะทำให้หวังหยูเฟิงไร้เรี่ยวแรงจมอยู่ในรสสัมผัสและอ้อมกอดของเขาทั้งวันทั้งคืน!

ถึงแม้จะมีความมุ่งมั่นในใจแบบนั้น แต่เจิ้งหยุนก็ยังเป็นนักธุรกิจที่ดีสมกับเป็นเจ้าของผับกาเบรียลที่โด่งดังได้อย่างราบรื่น ยามใดที่เขาลงทุนก็ต้องได้กำไรกลับคืน เช่นเดียวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงชายหนุ่มจะไม่คิดล่วงเกินผู้กองหวังจนถึงขั้นสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยร่างกายสีแดงระเรื่อพรมเม็ดเหงื่อตรงหน้าให้หลุดลอยโดยไม่ได้ทำอะไร

รอยยิ้มบางที่แต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยน เมื่อความคิดหมุนเวียนไป หลังจากถือวิสาสะปลดเครื่องแต่งกายท่อนล่างออกแล้ว เขาก็ถือโอกาสถอดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนที่นอนอยู่ออกด้วย ก่อนจะลากมือสัมผัสท่อนบนที่กำลังเปิดเผยในสายตาอย่างย่ามใจ

เจิ้งหยุนยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อลากฝ่ามือสัมผัสหน้าอกตึงแน่นและกล้ามท้องได้รูปอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ก่อนที่ความอดทนจะขาดสะบั้น เมื่อได้ยินเสียงครางอย่างสุขสมระคนเสียวซ่านของหวังหยูเฟิง หลังจากที่เขาได้บดขยี้ยอดอกสีหวานด้วยริมฝีปากและนิ้วมือของตัวเอง

 ”อ่า! เจิ้ง...หยุน”

ปลายลิ้นพลิ้วอ่อนนุ่มที่ลิ้มรสชาติติ่งเนื้อบนหน้าอกของผู้กองหนุ่มเปลี่ยนตำแหน่งเข้าไปเกี่ยวกระหวัดในโพรงปากรสหวานตามคลื่นอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้น มือที่เคยลูบไล้ร่างกายของผู้กองหนุ่มกำลังปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายส่วนบนของตัวเองแทน

“อืม...”

หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกละเลียดชิมร้องครางอย่างมัวเมา ความอึดอัด เสียวซ่าน และสุขสมปนเปจนไม่สามารถบ่งบอกความรู้สึกที่แท้จริงได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่เขารับรู้ได้ชัดเจน

เขาไม่อยากให้เจิ้งหยุนออกห่างไปไหน...

ผู้กองหวังต้องการให้เรือนกายสูงที่กำลังทาบทับอยู่ตอนนี้แนบชิดมากกว่าเดิม มือที่เคยกำผ้าปูที่นอนอย่างอดกลั้นเลื่อนขึ้นมาโอบกอดแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ประดับด้วยเส้นผมสีดำที่ถูกมัดต่ำเอาไว้อย่างเผลอไผล ถึงริมฝีปากที่ประทับไปทั่วร่างกายของเขาจะร้อนผ่าว แต่ก็สามารถลดทอนความทรมานและทำให้หัวใจอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด

“เจิ้งหยุน...”

เจิ้งหยุนเลื่อนใบหน้าที่ซุกไซ้ตรงลำคอของหวังหยูเฟิงขึ้นไปสัมผัสริมฝีปากที่เปล่งเสียงเรียกชื่อของเขา มือร้อนผ่าวของผู้กองหนุ่มที่เคยกอดรัดเลื่อนไปขยุ้มเส้นผมยาวจนยุ่งเหยิง คุณชายเจิ้งที่ตกอยู่ในภวังค์พิสวาทถอดยางรัดผมของตัวเองออก ปล่อยให้เรือนผมเงางามเคลื่อนไหวแทรกผ่านปลายนิ้วและฝ่ามือของบุรุษใต้ร่างได้สะดวก

เจ้าของผับกาเบรียลเลื่อนมือข้างหนึ่งกอบกุมและเคลื่อนไหวส่วนร้อนระอุที่ตั้งตรงของหวังหยูเฟิงอย่างเป็นจังหวะ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็วางทับผิวแก้มสีระเรื่อพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเล่นด้วยความอ่อนโยน นัยน์ตาคมสบกับนัยน์ตาหวานที่เปิดเผยอารมณ์ไม่ละสายตา

 ”...หยูเฟิง”

หวังหยูเฟิงกลั้นลมหายใจของตัวเองชั่วอึดใจหนึ่ง เมื่อความปั่นป่วนในร่างกายอัดแน่น ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาที่ส่งยิ้มให้ก้มลงใช้โพรงปากของตัวเองเร่งรัดความร้อนของเขาให้ระเบิดออกมา

หน้าท้องของผู้กองหนุ่มแข็งเกร็งขึ้นทุกครั้งที่ส่วนกลางลำตัวถูกสัมผัส เพียงไม่นานหวังหยูเฟิงก็หลุดจากความต้องการมาได้สำเร็จอีกครั้ง ชายหนุ่มที่เพิ่งพ้นผ่านความปรารถนาของเพศรสใช้ร่างกายอ่อนแรงเข้าหาคนที่ช่วยเขาเอาไว้ด้วยสติที่ไม่ครบสมบูรณ์นัก

“คุณทำแบบนี้ทำไม!” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างข้องใจ ถึงจะเผลอตัวปล่อยใจให้เจิ้งหยุนกระทำสิ่งที่ไม่สมควร แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงทุนถึงขนาดนี้

 ”เส้าซินฉีต้องการวางยาผม แต่คุณกลับโดนแทน ผมเลยต้องรับผิดชอบ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ โดยที่ชายหนุ่มก็ยังนึกแปลกใจ เมื่อไม่ได้รังเกียจหยาดหยดที่ปลดปล่อยภายในปากของตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต

“แต่...มันไม่ใช่ความผิดของคุณ” หวังหยูเฟิงเอ่ยแย้งเสียงเบา ก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน เมื่ออารมณ์ที่ควรสงบลงเสียทีคุกรุ่นราวกับลมต้องเชื้อไฟให้ปะทุ

 เมื่อไรจะหยุดเสียที!

หวังหยูเฟิงได้แต่โอดครวญอยู่ในใจพร้อมกับนึกบริภาษหญิงสาวที่วางแผนร้าย ความรุนแรงของฤทธิ์ยา ตลอดจนความโชคร้ายของตัวเอง ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะตัวเกร็งขึ้น แล้วตะปบมือของคนตรงหน้าที่กำลังสัมผัสส่วนตื่นตัวของเขาอย่างอุกอาจ

“คุณ...”

“ตอนนี้ผมก็มีอารมณ์แล้วเหมือนกัน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น รอยยิ้มวาดบนใบหน้าหล่อเหลา เมื่อเห็นสายตาของผู้กองหวังเลื่อนต่ำไปยังตำแหน่งใต้สะดือของเขา “เราต่างคนต่างช่วยกันดีไหมครับ”

ข้อเสนอของเจิ้งหยุนไม่ได้ทำให้หวังหยูเฟิงสนใจเท่ากับความร้อนของมือที่กำลังเคลื่อนไหวปลุกเร้าอารมณ์ของเขาอีกครั้ง การกระตุ้นอย่างเป็นจังหวะพัดพาระบบความคิดให้ล้มเหลว มีเพียงความกระสันที่สุขสมเกิดขึ้น ก่อนที่นัยน์ตาสีดำจะขยายใหญ่ เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงเสียดสีของแท่งเนื้อร้อนของคนตรงหน้าที่สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่แข็งเกร็งของตัวเอง

“...เจิ้งหยุน”

“เรามาทำด้วยกันนะครับ”

สิ้นเสียงทุ้มต่ำของคนชักชวน ร่างกายเปลือยเปล่าของพวกเขาก็แนบชิดมากกว่าครั้งก่อน การสัมผัสที่เร่าร้อนสร้างความวาบหวามไปทั่วสรรพางค์ของคนทั้งคู่ เสียงน่าอายที่เกิดจากแรงอารมณ์ดังอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้หล่อหลอมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน

หวังหยูเฟิงกอดรัดเรือนกายที่ขยับไหวอย่างลืมตัว ช่วงล่างที่เสียดสีกันอย่างหนักหน่วงสร้างกองไฟที่ยากจะดับลงโดยง่าย ตอนนี้ผู้กองหนุ่มกำลังละลายในอ้อมแขนของทูตสวรรค์ที่กำลังมอบความลุ่มหลงผ่านบทจูบที่แสนร้อนแรง

หวังหยูเฟิงไม่เคยมีคนรักมาก่อน อีกทั้งไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องบนเตียงกับผู้หญิงคนไหนอีกด้วย ทว่าเขาก็เคยดูภาพวาบหวิวหรือหนังเอวีจนต้องช่วยตัวเองมาบ้างเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่เคยผ่านมาก็เทียบกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ได้เลย

 ”อื้ม...หยูเฟิง”

เสียงที่กระซิบข้างหูดึงความสนใจของผู้กองหวังให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เขาปัดป่ายแขนของตัวเองไปตามร่างกายของเจิ้งหยุนพร้อมกับขยับสะโพกที่กำลังถูกนวดเฟ้นเต็มมือเข้าหา ก่อนจะเกร็งตัวอย่างรุนแรง เมื่ออารมณ์ใคร่ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดอีกครั้ง

หวังหยูเฟิงหอบหายใจถี่ เขามองการเคลื่อนไหวของคนในอ้อมแขนด้วยสายตาปรือปรอย ก่อนจะรับจุมพิตและรู้สึกได้ถึงของเหลวที่เปรอะเปื้อนหน้าท้องของตัวเอง

ผู้กองหนุ่มเลื่อนสายตาไปมองหลักฐานจากเหตุการณ์เล็กน้อย แล้วเลิกสนใจ เมื่อใบหน้าของเขากำลังถูกปลายจมูกและริมฝีปากของเจิ้งหยุนคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง อำนาจร้ายกาจของสารกระตุ้นอารมณ์ทางเพศกำลังทำให้ชายหนุ่มอยากจะร้องไห้ด้วยความสมเพช

“ไม่เป็นไรครับ ผู้กองของผม”

หวังหยูเฟิงสบตากับเจิ้งหยุนนิ่ง ก่อนจะหลับตาลง เมื่อริมฝีปากบางสัมผัสที่หน้าผากของเขาแผ่วเบา ร่างกายอ่อนแอที่กำลังเพิ่มอุณหภูมิสั่นไหวตามลมหายใจและความอ่อนนุ่มที่เดินทางผ่านทั่วใบหน้า

การกระทำที่แสนอ่อนหวานของเจิ้งหยุน ทำให้หัวใจของผู้กองหนุ่มบีบรัดด้วยความเร็วอย่างรุนแรง ก่อนที่หวังหยูเฟิงจะคล้อยตามการชักนำที่วาบหวามของบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง

พระจันทร์เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า รอเวลาพระอาทิตย์หวนกลับคืนเพื่อเติมเต็มแสงสว่างในวันใหม่ ทว่าภายในห้องนอนบนชั้นห้าของผับกาเบรียลยังมีชายหนุ่มสองคนที่ติดอยู่ในวังวนของความต้องการที่มีต่อกันโดยไม่สนใจสิ่งใด





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


หวังหยูเฟิงที่สลบไสลไปเมื่อไรก็ไม่อาจรู้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สติที่เลือนรางกลับมาเป็นปกติทีละน้อย นัยน์ตาสีนิลมองเพดานที่ไม่คุ้นเคยครู่หนึ่ง แล้วมองร่างกายของตัวเองที่ถูกใครบางคนกอดอยู่

ผู้กองหวังหันไปมองใบหน้ายามหลับของเจิ้งหยุนอย่างพิจารณา ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ไหลเข้ามาในความคิด หวังหยูเฟิงเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับความร้อนที่สูบฉีดทั่วใบหน้า

เมื่อคืนนี้ชายหนุ่มถูกวางยา หลังจากนั้นเขาก็รีบไปหาที่จัดการสภาพร่างกายผิดปกติของตัวเอง ก่อนที่เจิ้งหยุนจะตามมา จนกระทั่งเรื่องราวเลยเถิดและจบลงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

หวังหยูเฟิงรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงสติจะไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็จำได้ว่า พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งจนมองหน้ากันไม่ติด

เสียงพรูลมหายใจของผู้กองหนุ่มดังขึ้น ก่อนที่เขาจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นจากเตียง ซึ่งทำให้คนที่นอนกอดอยู่รู้สึกตัวตื่น

 ”หยูเฟิง” เจิ้งหยุนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงงัวเงียบางส่วน ใบหน้าหล่อเหลาส่งรอยยิ้มแรกของวันให้ผู้กองหนุ่ม

“เรื่องเมื่อคืนนี้” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ทั้งที่รู้สึกอับอายสุดแสน แต่ก็ต้องยอมรับความจริง เขาพยายามทำสีหน้านิ่งเฉยเป็นปกติ “ขอบคุณที่ช่วย”

“ไม่เป็นไรครับ” เจิ้งหยุนตอบรับพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่ปกปิดร่างกายของพวกเขาเลื่อนไปตกที่ตักแทน ทำให้ร่องรอยจากเรื่องราวร้อนแรงในค่ำคืนที่ผ่านมาถูกเปิดเผย

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วแน่นเพื่อข่มความรู้สึกอับอายเอาไว้เต็มที่ ก่อนที่ความพยายามของนายตำรวจจะถูกขัดจังหวะด้วยจูบของชายหนุ่มผมยาวที่เข้ามาประคองใบหน้าของเขาเอาไว้แบบไม่ทันได้ตั้งตัว

คนที่ถูกฉวยโอกาสอยากจะผลักไส ทว่าเรี่ยวแรงที่เหือดแห้งไปกับไฟราคะที่เผาไหม้ร่างกายเมื่อคืนนี้ ทำให้มือที่จะดันอีกฝ่ายออกเปลี่ยนเป็นจับไหล่กว้างเพื่อไม่ให้ตัวเองเซไปตามการรุกผ่านริมฝีปากที่เพิ่มมากขึ้น

  เดิมทีหวังหยูเฟิงไม่เคยมีทักษะการจูบมาก่อน แต่ผู้กองหนุ่มก็เรียนรู้ได้แบบก้าวกระโดด เพราะได้รับประสบการณ์มากมายจากเจิ้งหยุนภายในคืนเดียว ด้วยเหตุนี้ทำให้บทจูบสามารถดำเนินได้ยาวนาน ก่อนที่ความอดทนของมือใหม่จะหมดลง ฝ่ายที่เชี่ยวชาญกว่าก็ตักตวงความต้องการของตัวเองจนพอใจ

“เจิ้งหยุน!” หวังหยูเฟิงเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างต่อว่า เขามองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ อีกทั้งยังขัดใจตัวเองกับความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นจากสัมผัสล่วงเกินที่ได้รับเมื่อครู่นี้

“ขอโทษครับ ผมงงไปหน่อย อย่าถือสาคนเพิ่งตื่นเลยนะครับ”

เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขาเสยเส้นผมยาวของตัวเองอย่างเฉื่อยชา ทว่านัยน์ตาคมกลับแสดงความพึงพอใจอย่างไม่ปิดบัง “คุณโอเคแล้วใช่ไหม”

หวังหยูเฟิงผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับพยักหน้ารับ ก่อนความไม่พอใจจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อเจิ้งหยุนยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเขา ทว่ายังไม่ทันที่ผู้กองหนุ่มจะได้ขัดขืนต่อว่า เสียงทุ้มที่ดังขึ้นอย่างห่วงใย ก็ทำให้นายตำรวจปล่อยให้ปลายนิ้วของอีกฝ่ายเกลี่ยแก้มของเขาต่อไป

“สีหน้าของคุณยังไม่ดีเท่าไร ไปอาบน้ำ แล้วเราค่อยไปหาอะไรกินกันนะครับ”

“อืม”

เจิ้งหยุนยิ้มรับ ก่อนที่เขาจะลุกออกจากเตียงอวดร่างกายงดงามตามแบบผู้ชายในฝันให้สายตาคู่หนึ่งมองอย่างใจกว้าง แต่กลับสร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจให้กับหวังหยูเฟิงไม่น้อย ถึงพวกเขาจะได้เห็นและสัมผัสร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกันอย่างใกล้ชิด แต่ผู้กองหนุ่มไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้อย่างเฉยชาอยู่ดี

  หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา เขานั่งคิดวิธีการลุกออกจากเตียงแบบไม่อุจาดไว้ในใจ ทว่าเมื่อผู้กองหนุ่มหมุนตัวและหย่อนปลายเท้าเหยียบพื้น เรือนกายสูงที่สวมทับด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนที่นัยน์ตาของพวกเขาจะประสานกัน

“ผมไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาให้ คุณลุกไหวไหม”

หวังหยูเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ระบบความคิดของเขาหยุดนิ่งราวกับมีฟันเฟืองที่ติดขัด ผู้กองหวังไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากยื่นแขนให้บุรุษตรงหน้าดึงร่างกายที่อ่อนแรงให้ลุกขึ้นยืน ในเวลานี้เขาไม่ได้สนใจว่าตัวเองกำลังยืนเปลือยต่อหน้าคนที่เพิ่งต่อว่าไว้ในใจ ชายหนุ่มรู้เพียงความอบอุ่นจากเสื้อคลุมอาบน้ำที่ถูกสวมทับให้เท่านั้น

 ”ผมเดินไปส่งที่ห้องน้ำนะ”

หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำอย่างไม่รีบร้อนด้วยความช่วยเหลือของเจ้าของห้อง

หลังจากประตูห้องน้ำปิดลง เจิ้งหยุนก็เดินไปเปิดผ้าม่านเพื่อให้แสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาได้เต็มที่ ภาพสุดท้ายของท้องฟ้าค่ำคืนในความทรงจำเปลี่ยนเป็นสดใสสบายตา ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มถูกใจขึ้น เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมา





TBC++++++++   15สายลมพัดหวน

​Marionetta
  มาแล้วค่ะ เนื้อเรื่องมาได้ครึ่งทางแล้ว ในที่สุดผู้กองก็โดนกินสักที อิอิ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ปล. สิ้นเดือนนี้จะหมดเขตสั่งจองเล่มแล้วน้า ใครสนใจรีบคว้าเอาไว้เลยจ้า


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao6:

เร่าร้อนเร้าใจ

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
15
สายลมพัดหวน







ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนเพลีย ทว่าหลังจากที่ได้อาบน้ำ หวังหยูเฟิงก็รู้สึกสดชื่นขึ้น เมื่อชายหนุ่มเดินออกจากประตูห้องน้ำ ก็พบว่ามีเครื่องแต่งกายถูกเตรียมไว้ให้แล้ว

“คุณหวังใส่ชุดของผมไปก่อนนะครับ”

“ขอบคุณ”

เจิ้งหยุนยังคงส่งยิ้มให้เป็นปกติ ก่อนที่เจ้าของห้องจะเดินสวนเข้าไปในห้องน้ำบ้าง หวังหยูเฟิงรีบแต่งกายของตัวเอง แล้วเดินสำรวจภายในห้องนอนของกาเบรียลด้วยความใคร่รู้

เมื่อคืนนี้เขาถูกฤทธิ์ยาควบคุมจนยากจะดิ้นรน โดยไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบตัว ทว่าตอนนี้สติสัมปะชัญญะครบสมบูรณ์ หน้าที่ของตำรวจก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วย นัยน์ตาสีนิลกวาดมองโดยรอบครู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าไปดูตามตู้และลิ้นชักอย่างไม่รีบร้อน

หวังหยูเฟิงไม่ได้คาดหวังว่า ตัวเองจะได้เจออะไรที่น่าสนใจ เพราะหากมีของสำคัญอยู่จริง เจิ้งหยุนก็คงนำไปเก็บไว้ไกลจากการค้นหาของเขาแล้ว แต่หากชายหนุ่มไม่ทำอะไรเลย ก็จะดูเสียเที่ยวอย่างไรชอบกล

มือหนาดึงลิ้นชักหนึ่งออก ก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันพร้อมกับหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

ไดร์เป่าผม หวีแปรง และกล่องใส่ยางรัดผม!

อุปกรณ์ตกแต่งเรือนผมที่บุรุษน้อยคนที่จะมี ทำให้ผู้กองหวังนึกแปลกใจไม่น้อย แต่เมื่อได้พิจารณาอีกครั้ง ก็พอจะเข้าใจทั้งหมด

เจิ้งหยุนไว้ผมยาวจนถึงกลางหลัง เส้นผมสีดำสุขภาพดีที่หวังหยูเฟิงสัมผัสนั้นทั้งนุ่มและลื่นไหลผ่านนิ้วมือราวกับเส้นไหมชั้นดี

“นั่นของส่วนตัวของผมครับ”

เสียงทุ้มที่ดังจากด้านหลัง ทำให้คนที่มือซนแอบค้นของโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องหันไปมอง เพราะมัวแต่จินตนาการถึงความทรงจำเมื่อคืนนี้ ผู้กองหนุ่มจึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ

เจิ้งหยุนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน เขาหยิบเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ออกมา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมอาบน้ำของตัวเองเผยเรือนร่างเปลือยเปล่าด้วยอิริยาบถที่เป็นธรรมชาติ ต่างจากใครอีกคนที่รู้สึกกระดากอายจนต้องหันไปทางอื่นแทบไม่ทัน

ถึงเรือนกายสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพอเหมาะจะดูดีน่ามองและยังเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่หวังหยูเฟิงก็ยังไม่พร้อมจะยืนมองร่างกายเปลือยเปล่าของใครได้หน้าตาเฉย

หลังจากสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายเรียบร้อย เจิ้งหยุนก็เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง นัยน์ตาคมมองกระจกเงาที่สะท้อนใบหน้าของตัวเองรวมไปถึงร่างของผู้กองหนุ่มที่ยืนห่างออกไป

“คุณหวังช่วยหยิบไดร์เป่าผมให้หน่อยครับ”

หวังหยูเฟิงละสายตาจากภาพวิวมุมสูงเบื้องหน้า เขาหันไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะหยิบไดร์เป่าผมในลิ้นชักส่งให้คนที่ร้องขอ ทว่าแทนที่ชายหนุ่มผมยาวจะรับ เจิ้งหยุนกลับเอ่ยขึ้นต่อ

“เป่าผมให้หน่อยได้ไหมครับ”

หวังหยูเฟิงนิ่งไปเล็กน้อย ถึงจะไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เขาจะต้องทำแบบนี้ แต่น้ำใจหลายอย่างที่อีกฝ่ายเคยมอบให้ ก็ทำให้นายตำรวจใจอ่อน

“...ครับ”

เสียงของเครื่องมือเพิ่มความร้อนดังขึ้น หวังหยูเฟิงรู้สึกเกร็งเมื่อต้องสัมผัสเส้นผมที่เขาเพิ่งนึกถึงก่อนหน้านี้ นัยน์ตาสีนิลจดจ้องเพียงเรือนผมยาว โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ในกระจกเงา

“ผมทำเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเป็น ถ้ามือหนักไป ก็อย่ามาว่าแล้วกัน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพของตัวเองเป็นช่างทำผมฝึกหัดชั่วคราว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะเมื่อคืนคุณก็ดึงผมไปตั้งหลายครั้งแล้ว

ไม่เห็นเจ็บ” เจิ้งหยุนบอก รอยยิ้มบางยกมากขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าปั้นยากของนายตำรวจ

หวังหยูเฟิงไม่ต่อบทสนทนาอีก เขาเริ่มใช้นิ้วมือสางไปตามเส้นผมยาวสีดำสวยอย่างเบามือ สัมผัสที่รู้สึกในตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวน่าอายอีกครั้ง

ผู้กองหวังข่มความรู้สึกของตัวเอง แล้วพยายามทำหน้าที่เฉพาะกิจให้จบ โดยไม่ได้มองสีหน้าของคนที่กำลังอารมณ์ดี

หลังจากเส้นผมแห้งสนิทและได้รับการตกแต่งด้วยหวีแปรงจนเข้าทรง คนที่กำลังจะเดินไปเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่ก็ต้องหันไปตามเสียงทุ้มที่ดังขึ้นอีกครั้ง

“คุณหวังช่วยรัดผมให้ด้วยนะครับ”

“เรื่องแค่นี้ ทำไมไม่ทำเอง”

“ช่วยผมอีกหน่อยนะครับ เมื่อคืนผมยังช่วยคุณตั้งหลายรอบ”

ถ้อยคำที่ตั้งใจจะต่อว่าถึงความเอาแต่ใจเกินพอดีของอีกฝ่ายย้อนกลับมาทำร้ายหวังหยูเฟิงจนสะอึก ผู้กองหนุ่มสูดลมหายใจ แล้วหยิบกล่องขนาดกลางที่บรรจุยางรัดผมหลากหลายสไตล์ออกมา

“แล้วคุณจะใช้อันไหน”

“คุณเลือกให้ผมเลย อันไหนก็ได้”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วใส่กับภาระที่ถูกโยนมาให้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเลือกยางรัดผมเส้นหนึ่งที่น่าสนใจออกมาใช้งาน โดยที่มีนัยน์ตาคมมองค้างไปเล็กน้อย เมื่อพบว่าผู้กองหวังหยิบอะไรมาถือไว้

ยางรัดผมสตรอว์เบอร์รี่!

“คุณหวังครับ”

“ครับ”

“ขอเส้นอื่นได้ไหม”

“ทำไมล่ะ คุณให้ผมเลือกเองนี่”

เจิ้งหยุนลอบถอนหายใจออกมาพร้อมกับจำใจยอมให้หวังหยูเฟิงที่มีใบหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาทอประกายสมใจได้รังแก

ยางรัดผมเส้นนี้เจิ้งหยุนได้รับเป็นของขวัญจากไป๋ลู่เหอที่อยากจะกลั่นแกล้งหยอกเย้าเมื่อนานมาแล้ว ในตอนนั้นพอรู้ว่าได้รับอะไรมา เขาก็โยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดีจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะชายหนุ่มก็มียางรัดผมที่ใช้ประจำอยู่ไม่กี่อันติดตัวจนไม่เคยได้เปิดกล่องใบนี้

“ดูดีเหมือนกันนะ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น หลังจากจัดแต่งทรงผมให้คนตรงหน้าเสร็จ เขามองใบหน้าหล่อเหลาในกระจกเงา “ยางรัดผมเข้ากับคุณดี”

“หึ! ขอบคุณครับ” เจิ้งหยุนตอบรับด้วยรอยยิ้มที่แห้งแล้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน โดยที่เส้นผมถูกรวบต่ำด้วยยางรัดผมสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตหวานแหวว “เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

“อืม”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ณ คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมือง เส้าซินฉีที่อยู่ในชุดนอนเนื้อบางรู้สึกกังวลจนหมดอารมณ์จะทำสิ่งใด หลังจากแผนการที่วางเอาไว้ผิดพลาด เธอก็รีบติดต่อหาบิดาเพื่อปรึกษา ซึ่งเส้าเหิงก็ให้คำปลอบใจและบอกให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน

บัดนี้คนที่ไม่เคยรออะไร ก็ใช้ความอดทนมาได้สามวันแล้ว!

เส้าซินฉีผุดลุกจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ร่างบอบบางราวกับนางแบบปรากฏใบหน้าบูดบึ้ง มือเรียวสางเส้นผมสีอ่อนพลางพิจารณารูปลักษณ์ของตัวเองด้วยความข้องใจ

ทำไมเจิ้งหยุนถึงไม่สนใจเธอเลย...

ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเส้าซินฉีมักจะได้รับความสนใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางสังคมหรือใบหน้าที่งดงาม แต่ประสบการณ์ที่ได้พบปะพูดคุยกับเจิ้งหยุน หญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่า นัยน์ตาคมน่าค้นหาไม่ได้ฉายภาพของเธอเลย

เส้าซินฉีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง แล้วหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือที่กำลังส่งเสียงร้อง

คุณหนูเส้าที่จมอยู่ในความขุ่นเคืองรู้สึกประหม่าขึ้น เมื่อเห็นรายชื่อของคนที่ติดต่อมา เพราะเธอไม่รู้ว่าการเจรจาครั้งนี้จะเป็นอย่างไร หญิงสาวตั้งสติและปรับอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะกดรับสาย

“สวัสดีค่ะพี่หยุน”

[ผมโทรมารบกวนคุณหรือเปล่า]

“ไม่ค่ะ ซินฉีว่างพอดี”

 [อย่างนั้นหรือครับ ว่าแต่...คุณยังอยากไปชมเมืองอยู่หรือเปล่า พอดีพรุ่งนี้ผมว่าง]

เสียงทุ้มเรียบเรื่อยที่ดังขึ้น ทำให้เส้าซินฉียิ้มออกมาอย่างโล่งอก หัวใจของเธอสั่นไหวด้วยความยินดี เจิ้งหยุนคงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับนายตำรวจคนนั้น

“ว่างค่ะ พี่หยุนสะดวกกี่โมงคะ”

[สิบโมงแล้วกัน เดี๋ยวผมไปรับคุณที่คอนโด]

 ”ได้ค่ะ”

[แล้วเจอกันครับ]

เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว เส้าซินฉีโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียงอย่างไม่สนใจ ก่อนจะเดินเขย่งปลายเท้าเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดีมาหยุดยืนหมุนตัวที่หน้ากระจกเงาบานใหญ่อีกครั้ง ทว่าคราวนี้ใบหน้าสวยสว่างสดใสต่างจากเมื่อหลายนาทีก่อน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


วันนี้อากาศแจ่มใส เมฆดำที่ควรล่องลอยบนท้องฟ้าตามฤดูกาลก็เลือนหายราวกับหนีไปพักร้อน เจิ้งหยุนที่มีนัดเดินออกมาด้านหน้าของคฤหาสน์ด้วยชุดลำลองธรรมดาแต่ก็ขับเน้นเรือนร่างให้ดูดีอย่างเคย เขาหยิบแว่นกันแดดมาใส่ ก่อนจะหันไปมองผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“คุณหวังแน่ใจนะครับว่าจะขับรถให้ผม”

“ครับ”

หวังหยูเฟิงรับกุญแจรถยนต์ยุโรปมาจากอู่หนิง แล้วเดินไปยังตำแหน่งสารถี หลังจากได้ยินเรื่องราวของเส้าซินฉี รวมไปถึงเหตุการณ์ที่พบเจอด้วยตัวเอง เขาก็ไม่อาจปล่อยให้หญิงสาวหลุดรอดสายตาไปได้ แต่จะให้ไปนั่งคั่นกลางระหว่างหนุ่มสาวก็คงไม่เหมาะ ผู้กองหนุ่มจึงอาสาทำหน้าที่คนขับรถพร้อมกับลอบสังเกตพฤติกรรมของคนทั้งคู่ไปด้วย

เจิ้งหยุนเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง เขามองคนขับรถที่มีสีหน้าจริงจังด้วยรอยยิ้มบาง

 ”ผมเปลี่ยนใจไปเที่ยวกับคุณสองคนแทนดีไหม”

หวังหยูเฟิงไม่ตอบ เขาเหลือบสายตาไปยังกระจกมองหลัง หลังจากสบกับนัยน์ตาคมปลาบชั่วอึดใจ ผู้กองหนุ่มก็ติดเครื่องยนต์เพื่อออกเดินทาง

“ว่าอย่างไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามเพื่อทวงคำตอบ หวังหยูเฟิงที่ทำเป็นไม่สนใจจึงจำใจตอบให้บทสนทนายุติ

“ไม่ดีหรอกครับ เพราะผมเป็นตำรวจ ส่วนคุณเป็นคนร้ายที่ผมกำลังหาหลักฐานอยู่”

“หึ...แต่ตอนนี้พวกเราก็กำลังไปเที่ยวด้วยกันนี่ครับ”

“ผมกำลังทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว”

“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น ผมเองก็ไปทำงานเหมือนกัน”

หวังหยูเฟิงเหลือบสายตามองคนที่นั่งเบาะหลังผ่านกระจกเงาอีกครั้ง เจิ้งหยุนนั่งเอนหลังกับเบาะหนังด้วยท่าทีสบาย ใบหน้าหล่อเหลาแต้มรอยยิ้มบาง

“เอาไว้ผมทำธุระจบเมื่อไร พวกเราค่อยไปเที่ยวด้วยกันนะครับ”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เส้าซินฉีในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมได้ไม่นาน ชายหนุ่มที่เธอรอคอยก็เดินมาหา หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนในทันที

“สวัสดีค่ะ” เส้าซินฉีเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วเธอก็ได้รับรอยยิ้มบางเป็นการทักทายตอบ

“สวัสดีครับ เราไปกันเลยแล้วกัน”

“ค่ะ”

เส้าซินฉีถือวิสาสะควงแขนของชายหนุ่มอย่างสนิทสนม และเมื่อเธอเดินมาถึงรถยนต์คันหรู ใบหน้าแต้มรอยยิ้มก็ค้างไปเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้ชายที่ไม่คาดคิดยืนอยู่

“วันนี้คุณหวังอาสาขับรถให้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วอธิบายต่อ “ถึงผมจะทำธุรกิจที่นี่ แต่ให้คนพื้นที่อย่างเขานำทางจะดีกว่านะครับ”

“ค่ะ” เส้าซินฉีตอบรับ แล้วหันไปทักทายนายตำรวจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้เจอกัน “สวัสดีค่ะคุณหวัง วันนี้ต้องรบกวนคุณหน่อยนะคะ”

“ครับ” หวังหยูเฟิงก็ตอบรับไปตามมารยาท ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางจากคอนโดมิเนียมหรูต่อ

เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากแต่ก็เป็นชุมชนที่มีผู้คนค่อนข้างหนาแน่น อีกทั้งยังมีสาธารณูปโภคที่ครบครัน พรั่งพร้อมไปด้วยความทันสมัยและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ

พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกเอกชนจับจองในการสร้างตึกและอาคารสูงเพื่อใช้ประกอบธุรกิจประเภทต่างๆ นอกจากนี้ยังมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่รองรับเรือบรรทุกสินค้าและสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อีกด้วย โดยที่ร้อยละหกสิบของพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด ซึ่งเป็นของเอกชนนั้น ผู้ที่มีอำนาจราวกับเป็นเจ้าเมืองในตอนนี้ก็คือกงเจ๋อตวน เขามีธุรกิจและเม็ดเงินภายในเมืองไหลเวียนไม่ขาดสาย

หวังหยูเฟิงขับรถพาสองหนุ่มสาวไปตามสถานที่ต่างๆ จนถึงเวลาเที่ยง เจิ้งหยุนก็เอ่ยขึ้นมาระหว่างที่พวกเขากำลังจะเดินทางออกจากท่าเรือที่มีชื่อเสียงของเมือง

“คุณหวังครับ เดี๋ยวพวกเราไปกินมื้อเที่ยงที่โรงแรมบลูรอยัลนะครับ ผมให้อู่หนิงจองที่ให้แล้ว”

หวังหยูเฟิงพยักพน้ารับ ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยควบคุมรถยนต์ให้วนผ่านวงเวียนเพื่อมุ่งไปยังถนนที่ตัดผ่านไปยังโรงแรมห้าดาว

พวกเขาใช้เวลาราวสิบห้านาทีก็เดินทางมาถึงที่หมาย ซึ่งมีห้องอาหารระดับไฮคลาสบนชั้นบนสุดของตึกสูงสี่สิบชั้น หวังหยูเฟิงขับรถมาจอดที่ด้านหน้าของโรงแรมเพื่อส่งเจิ้งหยุนและเส้าซินฉี

“เดี๋ยวผมรอที่ล็อบบี้นะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หลังจากที่รอเส้าซินฉีเดินลงจากรถยนต์ไปก่อน หวังหยูเฟิงหันหลังมามอง

“พวกคุณตามสบาย ผมจะรออยู่แถวนี้” หวังหยูเฟิงบอก แต่ความตั้งใจของเขาก็ถูกขัดขวาง

“ผมจะรออยู่ที่ล็อบบี้จนกว่าคุณจะมา” เจิ้งหยุนเอ่ยต่ออย่างดื้อดึง ก่อนจะลงจากรถยนต์เป็นการตัดบทโต้แย้ง

หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา ก่อนที่เขาจะขับรถไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน แล้วเดินไปยังล็อบบี้ของโรงแรม ซึ่งมีชายหนุ่มและหญิงสาวที่เดินทางมาด้วยกันรออยู่

หลังจากรวมตัวกันอีกครั้ง หวังหยูเฟิงก็ทำเฉยราวกับไม่เห็นสายตาไม่พอใจที่เส้าซินฉีส่งมาให้ ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในลิฟต์ที่มีพนักงานของโรงแรมให้บริการ

ตัวเลขบอกชั้นเปลี่ยนแปลงไปตามความสูงที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อห้องโดยสารมาถึงจุดสูงสุดของโรงแรม ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ก่อนที่เส้าซินฉีจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เวลานี้จึงมีเพียงสองหนุ่มที่พักอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ริมทะเลตามลำพัง

“เธอไม่พอใจที่ผมมาด้วย” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ช่วงนี้เขาสนิทและคุ้นเคยกับเจิ้งหยุนจนเปิดเผยคำพูดไม่จำเป็นออกมาบ่อยครั้ง ถึงจะแปลกใจตัวเองภายหลัง ทว่าผู้กองหนุ่มก็ไม่อาจฉวยเอาถ้อยคำที่กล่าวออกไปแล้วกลับคืนมาได้

“ผมไม่อยากอยู่ตามลำพัง” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะขยับใบหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างใบหูของผู้กองหวัง “ผมไม่ไว้ใจเธอ”

  คุณนั่นแหละที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด!

หวังหยูเฟิงขยับตัวออกห่างพร้อมกับบริภาษอีกฝ่ายในใจ ชายหนุ่มไม่ได้คิดไปเองแน่นอนว่า เมื่อครู่นี้ริมฝีปากของเจิ้งหยุนสัมผัสที่ใบหูของเขาอย่างจงใจ

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องน่าอับอายขึ้น ดูเหมือนว่าความใกล้ชิดของพวกเขาจะมีมากกว่าเดิม ในแต่ละวันต้องมีเหตุให้เจิ้งหยุนได้แตะเนื้อต้องตัวหวังหยูเฟิงบ่อยครั้ง ทว่าช่องว่างที่ลดลงอย่างรวดเร็วนี้ก็ยังไม่น่าหวั่นใจเท่ากับความรู้สึกของตัวเอง

หวังหยูเฟิงไม่ได้โกรธ โมโห หรือรังเกียจ แต่เขารู้สึกประดักประเดิดจนไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าท่าทางอย่างไร ความจริงนี้ทำให้ผู้กองหวังต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะความรู้สึกแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติของผู้ชายทั่วไปแน่นอน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





มื้อเที่ยงราคาแพงผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายในความคิดของเส้าซินฉี เธอไม่มีโอกาสได้ทำคะแนนเอาใจเจิ้งหยุนได้เต็มที่ เพราะมีส่วนเกินนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ด้วย

“ตอนนี้คุณมีไอเดียอะไรบ้างหรือยังครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม หลังจากรับประทานอาหารมาได้ระยะหนึ่ง

“ก็นิดหน่อยค่ะ ซินฉีสนใจธุรกิจด้านความงาม เพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและน่าจะทำเงินได้ดีด้วย” เส้าซินฉีตอบไปตามเรื่อง อันที่จริงเธอไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากต้องการคว้าหัวใจและเข้าไปอยู่ในตระกูลเจิ้งที่ร่ำรวยด้วยเงินตรา บารมี และอำนาจ

“ก็ดีครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับ แล้วส่งยิ้มบางให้ตามมารยาท

“แต่ก็คงต้องขอพึ่งพี่หยุนไปอีกสักระยะจนกว่าจะได้เรื่องก่อนนะคะ” เส้าซินฉีบอกเป็นนัย เธอยังไม่คิดจะปล่อยให้ชายหนุ่มหลุดมือไปได้ง่ายๆ

“ถ้าผมว่าง ก็ยินดีช่วยครับ” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างสงวนท่าที เขาไม่คิดว่าจะมีเวลาให้ผู้หญิงคนนี้อีก ถ้าไม่จำเป็น

“ขอบคุณค่ะ”

บทสนทนาทั้งหมดดำเนินไปอย่างเรียบง่าย หวังหยูเฟิงที่ไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรผ่านสีหน้ารับฟังอย่างครุ่นคิด ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่า บุตรสาวของเส้าเหิงมีเบื้องหลังมากกว่าความสเน่หาที่มีต่อเจิ้งหยุนหรือเปล่า ซึ่งเวลาเพียงวันเดียวคงไม่สามารถให้คำตอบได้





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมห้าดาวเสร็จ เจิ้งหยุนก็ชวนเส้าซินฉีไปเดินเล่นที่ย่านการค้าใจกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยร้านค้ายอดนิยมและสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง

เส้าซินฉีเดินควงแขนเจิ้งหยุนเข้าออกร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับเกือบทุกร้านด้วยรอยยิ้ม ถึงวันนี้จะมีส่วนเกินขัดตาไปบ้าง แต่การเอาใจใส่ของชายหนุ่มที่เธอหมายปองก็ทำให้มีความสุขและรู้สึกวางใจถึงความสัมพันธ์ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

หวังหยูเฟิงเดินตามชายหนุ่มและหญิงสาว โดยทิ้งระยะห่างพอสมควร เวลาที่เคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้านำพาดวงอาทิตย์ที่เคยอยู่เหนือศีรษะให้ตกลงสู่เส้นขอบฟ้าเพื่อต้อนรับดวงจันทร์ที่กำลังมาเยือน

  “ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีไหมครับ” เจิ้งหยุนหันมาถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย

“ได้ค่ะ” เส้าซินฉีตอบรับเสียงหวาน ใบหน้าสวยที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางแสดงความใคร่รู้อย่างมีจริตออกมา “แล้วจะไปกินที่ไหนกันดีคะ”

“ภัตตาคารเฟยลี่ครับ ที่นั่นเป็นร้านชื่อดังของเมืองนี้” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะเดินนำเส้าซินฉีกลับไปยังรถยนต์ที่หวังหยูเฟิงขับมาจอดรับ

“คุณหวังครับ เราจะไปที่เฟยลี่กันต่อนะครับ”

ประโยคบอกเล่าของเจิ้งหยุน ทำให้คนขับรถชะงักไปเล็กน้อย เพราะรู้ดีแก่ใจว่า สถานที่แห่งนั้นมีใครอยู่ ถึงจะไม่ค่อยอยากไป แต่เขาก็นึกสงสัยมากกว่า

ร้านอาหารหรูมีเป็นสิบร้าน ทำไมถึงเลือกพาเส้าซินฉีมาร้านนี้กัน...

หวังหยูเฟิงเก็บความคิดไว้กับตัวเองตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงภัตตาคารเฟยลี่จึงขับรถเข้าไปด้านหน้า แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เส้าซินฉีลงไปก่อนและเจิ้งหยุนก็รอเพื่อพูดคุยกับเขา

“คุณหวังอดทนไปกินมื้อเย็นที่คฤหาสน์ได้ไหมครับ”

“ทำไมล่ะ”

“ผมไม่อยากให้คุณเจอเขาน่ะสิ”

บุคคลที่สามที่ละเอาไว้ ทำให้หวังหยูเฟิงเข้าใจในทันที ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เพราะเขาเองก็ไม่อยากเจอไป๋ลู่เหอที่ชอบส่งสายตาน่าขนลุกมาให้เสมอเช่นเดียวกัน

เจิ้งหยุนยิ้มรับ แล้วลงจากรถยนต์ไป เหลือเพียงผู้กองหนุ่มที่ต้องหาอะไรทำรอเวลา





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลังจากเจิ้งหยุนและเส้าซินฉีเข้ามาด้านในของภัตตาคารเฟยลี่ พวกเขาก็ถูกรับรองเป็นพิเศษ เพราะพนักงานทุกคนต่างก็ทราบว่า ชายหนุ่มผมยาวคนนี้คือใคร

“คุณนายอยู่ไหม” เจิ้งหยุนหันไปถามผู้จัดการที่ออกมาต้อนรับ

“ไม่อยู่ครับ” ผู้จัดการตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพพร้อมกับเดินนำลูกค้า

วีไอพีไปยังห้องอาหารส่วนตัวที่อยู่ชั้นสองของภัตตาคาร “เชิญทางนี้ครับท่าน”

เจิ้งหยุนนึกเสียดาย เพราะเขาตั้งใจจะโยนหญิงสาวที่ควงแขนของตัวเองให้ไป๋ลู่เหอดูแลต่อแทน โดยอ้างคำขอร้องจากเจิ้งเทียน ถึงอีกฝ่ายจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็คงไม่ติดขัดและหาวิธีจัดการได้เอง เมื่อพวกเขาได้เข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวเรียบร้อย เส้าซินฉีที่มีความสงสัยก็เอ่ยถามขึ้นในทันที

“คุณนายที่ว่า คือใครหรือคะ”

“เขาเป็นเจ้าของที่นี่และกว้างขวางพอตัว ผมเลยอยากแนะนำคุณให้รู้จักเอาไว้”

“อ้อ...ค่ะ”

“คุณซินฉีสั่งตามสบายเลยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

ในขณะที่เจิ้งหยุนและเส้าซินฉีกำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น หวังหยูเฟิงที่รอคอยและเฝ้าระวังอยู่บริเวณด้านหน้าของภัตตาคารมาระยะหนึ่งก็ตื่นตัวขึ้น เมื่อเขาได้พบกับบุคคลที่เหนือความคาดหมายอย่างกะทันหัน ผู้ชายที่มีอำนาจและทำตัวเหนือกฎหมายในเวลานี้

กงเจ๋อตวน!

หวังหยูเฟิงรีบตามติดผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ของเมืองเข้าไปด้านในของภัตตาคารอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาใช้ชื่อของเจ้าของผับกาเบรียลเป็นบัตรผ่านทาง ก่อนที่เหตุการณ์จะทวีความน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น เมื่อเจิ้งหยุนและเส้าซินฉีได้พบกับกงเจ๋อตวนระหว่างทาง นัยน์ตาสีดำแน่วแน่จ้องมองสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างใจเย็น





TBC++++++++   16 คลื่นใต้น้ำ

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
16
คลื่นใต้น้ำ






 ”อ้าว! คุณเจิ้งบังเอิญจังเลยนะ”

คำทักทายของชายวัยกลางคนที่คุมอำนาจหลายด้านของเมือง ทำให้เจิ้งหยุนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เพราะเขาเคยบอกกับอีกฝ่ายไปแล้วว่า ถ้าเจอกันข้างนอกไม่ต้องมาทำเป็นรู้จักกัน

“สวัสดีครับ”

“ท่าทีเย็นชาจังเลยนะ ทั้งที่เป็นคนคุ้นเคยกันแท้ๆ”

คำพูดที่แสดงความสนิทสนม ทำให้เจ้าของผับกาเบรียลต้องข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“คุณให้เกียรติผมมากไปแล้วครับ”

“ฮ่าๆ”

กงเจ๋อตวนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คืนนี้เขาต้องการมาเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อชมความงดงามของไป๋ลู่เหอระหว่างมื้ออาหาร แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอมิตรที่เคยทำงานร่วมกัน

“คุณเจิ้งจะไม่แนะนำคุณผู้หญิงที่มาด้วยกันให้ผมรู้จักหน่อยหรือ”

กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นต่อ นัยน์ตาเรียวจ้องมองหญิงสาวข้างกายชายหนุ่มอย่างสนใจ

“คุณซินฉี นี่คือคุณกงเจ๋อตวน เขาทำธุรกิจหลายอย่างในเมืองนี้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยแนะนำไปตามเรื่องกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน

“สวัสดีค่ะ เส้าซินฉีค่ะ” เส้าซินฉีแนะนำตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อมือหยาบของชายที่เพิ่งรู้จักถือวิสาสะจับมือของเธอไปจุมพิตบนหลังมือ

“ยินดีที่ได้รู้จักมากครับ คุณเส้า” กงเจ๋อตวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาเรียวเจ้าเล่ห์ทอแววหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวที่ตกเป็นเป้าสายตารีบดึงมือของตัวเองกลับมาด้วยความขยะแขยง “แล้วกินข้าวกันเสร็จแล้วหรือ ผมอยากจะเลี้ยงอาหารพวกคุณสักหน่อย”

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยปฏิเสธ ก่อนจะนำเส้าซินฉีที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเดินจากมา “พวกเราต้องขอตัวก่อน”

“น่าเสียดาย แต่ก็คงมีโอกาสได้เจอกันอีกแน่นอน” กงเจ๋อตวนเอ่ยคำลา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของภัตตาคาร

เส้าซินฉีถอนหายใจออกมา เธอควงแขนของเจิ้งหยุนเอาไว้ดังเดิม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก

“พี่หยุน ดูเขาเป็นคนที่ไม่น่าคบเลยนะคะ”

“ครับ”

หวังหยูเฟิงที่ลอบสังเกตการณ์พิจารณาบทสนทนาสั้นๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนจะรีบเดินออกจากภัตตาคารตามคู่หนุ่มสาวไปอีกคน

นอกจากจะมีนายตำรวจที่เฝ้ามองแล้ว ที่มุมหนึ่งไม่ไกลออกไปนักก็ยังมีสายตาอีกคู่กำลังจับจ้องเหตุการณ์เมื่อครู่เช่นเดียวกัน นัยน์ตาคู่นั้นเลื่อนตามหลังกงเจ๋อตวนเล็กน้อย ก่อนจะฉายภาพเจิ้งหยุนและเส้าซินฉีด้วยความมาดร้าย




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลังจากขับรถไปส่งเส้าซินฉีที่คอนโดมิเนียม หวังหยูเฟิงก็พาเจิ้งหยุนเดินทางกลับคฤหาสน์ริมทะเล ความคิดของผู้กองหนุ่มวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ภัตตาคารเฟยลี่

“ยินดีต้อนรับกลับครับ” อู่หนิงเอ่ยทักพร้อมกับโค้งตัวอย่างนอบน้อม เจิ้งหยุนก็พยักหน้ารับอย่างขอไปที

“เตรียมตั้งโต๊ะ ฉันจะกินข้าวกับคุณหวัง” เจิ้งหยุนสั่ง แล้วหันมาหาผู้กองหนุ่มที่เดินมาเงียบๆ “คุณหิวแล้วใช่ไหมครับ”

“คุณกับกงเจ๋อตวนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร” หวังหยูเฟิงถามกลับ โดยเมินคำถามที่ได้รับอย่างสิ้นเชิง เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“คุณถามเรื่องอะไรน่ะ” เจิ้งหยุนย้อนถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา

“ผมเห็นที่พวกคุณคุยกัน” หวังหยูเฟิงบอก แล้วจ้องจับผิดอีกฝ่ายเต็มที่ “ท่าทางสนิทสนมกันดีไม่ใช่หรือ”

“ผมรู้จักเขา แต่เราไม่ได้สนิทสนมกันหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่ออย่างไม่รีบร้อน โดยที่มีผู้กองหวังเดินไปด้วยกัน

“แล้วพวกคุณรู้จักกันได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างไม่ลดละ เจิ้งหยุนถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“เอาไว้คุยเรื่องนี้ที่หลังได้ไหมครับ ผมว่าพวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ ผมหิว” เจิ้งหยุนบอกราวกับต้องการตัดบทของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขยันทำงานไม่รู้จักเวลา ก่อนหน้านี้เขาแค่รับประทานอาหารกับเส้าซินฉีพอเป็นพิธีเท่านั้น

“แต่..”

“ผมจะตอบคำถามของคุณ หลังจากที่พวกเราอิ่มท้องกันแล้วนะครับคุณหวัง”

หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา แล้วจำใจยอมให้ผู้ต้องสงสัยต่อเวลาไปก่อน ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้เขาก็ต้องรู้เรื่องของเจิ้งหยุนกับกงเจ๋อตวนให้ได้





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





มื้ออาหารเย็นผ่านไปด้วยความเงียบและรวดเร็ว หวังหยูเฟิงนั่งมองเจิ้งหยุนที่ละเมียดรับประทานอาหารอย่างรอคอย แต่ก็ใช้สายตากดดันเป็นระยะ จนกระทั่งช้อนและส้อมของคนที่นั่งตำแหน่งหัวโต๊ะรับประทานอาหารวางลง

“คืนนี้พระจันทร์สวย เราไปนั่งคุยกันแถวชายหาดดีไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ประโยคที่คล้ายเป็นคำถามก็กลายเป็นแค่บอกเล่า เมื่อเจ้าของคำพูดเดินตรงไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ทันที ทำให้หวังหยูเฟิงที่รอเวลามาสักพักต้องเดินตามไป

สายลมทะเลพัดพาเป็นระยะ เกลียวคลื่นม้วนตัวก่อนจะสลายกลายเป็นผืนน้ำที่เข้ากระทบฝั่ง หาดทรายละเอียดที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างปรากฏร่างของชายหนุ่มสองคนที่กำลังยืนอยู่

 เจิ้งหยุนหันไปสั่งลูกน้องคนหนึ่ง ก่อนจะมีพรมที่ทอจากไหมเนื้อดีปูลงบนหาดทรายพร้อมกับชุดเครื่องดื่ม ท่ามกลางความงุนงงของหวังหยูเฟิง

“คุณจะทำอะไร”

“ผมจะนั่งชมจันทร์ครับ แล้วเราก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณอยากจะถาม”

เจิ้งหยุนหันมาส่งยิ้มให้ แล้วนั่งเหยียดขาบนพื้นพรมนุ่มอย่างสบายตัว ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปเทวิสกี้ใส่แก้วเป็นเครื่องดื่มของตัวเองในค่ำคืนนี้ หวังหยูเฟิงที่ได้แต่มองพร้อมกับถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงเคียงข้างเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเล

“รับไหมครับ” เจิ้งหยุนหันมาถาม เขายกแก้วทรงสูงในมือของตัวเองขึ้นเล็กน้อยเป็นการชักชวน ซึ่งแน่นอนว่านายตำรวจไม่ตอบรับน้ำใจ เจ้าของคฤหาสน์จึงลิ้มรสชาติร้อนแรงเพียงลำพัง

“อยากจะถามอะไรผมล่ะครับ”

“ตกลงว่าคุณกับกงเจ๋อตวนเกี่ยวข้องกันอย่างไร” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในสถานีตำรวจ แต่เขาก็พยายามปฏิบัติหน้าที่สอบสวนของตัวเองอย่างเต็มที่

“ผมกับเขาเป็นแค่คนรู้จักแบบผิวเผินเท่านั้นครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย นัยน์ตาคมทอดมองทะเลอย่างเหม่อลอย

“แต่ผมไม่เห็นแบบนั้น” หวังหยูเฟิงเอ่ยแย้ง เขายังจำสีหน้าและท่าทางยินดีของกงเจ๋อตวนได้ดี “แล้วคุณรู้จักกับเขาได้อย่างไร”

“ผมบังเอิญรู้จักครับ” เจิ้งหยุนตอบอย่างง่ายดายอีกครั้ง แล้วหันมามองสีหน้าจริงจังของผู้กองหนุ่ม “ตอนนั้นผมไปรู้เรื่องของเขาเข้าพอดี”

“เรื่องอะไร” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ทว่าคนถูกไล่ต้อนกลับเผยรอยยิ้มบาง

“เรื่องที่เขาทำธุรกิจผิดกฏหมายอยู่น่ะสิครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเหมือนต้องการจะกระตุ้นให้คนฟังอยากรู้มากกว่าเดิม แต่หวังหยูเฟิงที่นิ่งเฉยทำเพียงมองกลับอย่างรอคอยเท่านั้น “เขาค้ามนุษย์ครับ”

“แล้วคุณรู้ได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงถามต่อ เขาไม่ได้แปลกใจกับข้อมูลที่ได้รับ เพราะเรื่องนี้ทางตำรวจก็รู้มานานแล้ว แต่กงเจ๋อตวนก็หาวิธีดิ้นหลุดจากกฎหมายไปได้

“มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งหนีเข้ามาขอความช่วยเหลือที่ผับ แต่ผมยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร เธอก็ตายเสียก่อน” เจิ้งหยุนบอก แล้วหันไปมองท้องทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง “ผมไม่อยากมีปัญหาเพราะตอนนั้นก็เพิ่งเปิดผับได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แล้วผมเองก็มาจากตระกูลที่พอจะมีชื่ออยู่บ้าง เขาก็คงไม่อยากวุ่นวาย เราเลยตกลงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ผมก็ไม่ได้ไว้ใจนักหรอก ไม่แน่ว่าคนร้ายที่ลอบยิงผมในคืนนั้นก็อาจเป็นคนของเขาที่ต้องการขู่ผมก็ได้”

“ทำไมต้องขู่คุณด้วย” หวังหยูเฟิงถามต่ออย่างแปลกใจ เขานึกทบทวนเรื่องราวที่รับรู้มาอย่างครุ่นคิด “แล้วก่อนหน้านี้ ทำไมคุณไม่บอกผมถึงเรื่องนี้”

“ผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ตำรวจฟังหรอก ผมไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม”

“เขาเป็นคนไม่ดี แล้วคุณควรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่”

“คุณจะเชื่อผมหรือ คุณเองก็คิดว่าผมเป็นคนร้ายนี่ครับ คำพูดของผมไม่มีน้ำหนักอะไรหรอก”

หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะโน้มน้าวต่ออย่างใจเย็น ถึงจะมีความจริงบางส่วนจากคำพูดราวกับตัดพ้อนั้น แต่เขาก็ไม่อยากพลาดข้อมูลอะไรก็ได้ที่อาจทำให้จับกุมกงเจ๋อตวนได้

“แล้วผมต้องทำอย่างไร คุณถึงจะบอก”

เจิ้งหยุนที่ทอดสายตามองทะเลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกแสงสีเงินจากโคมไฟบนฟากฟ้าลูบไล้จะเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย

 ”ง้างปากผมสิ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมแวววาว เมื่อผู้กองหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ด้วยจูบของคุณ”

หลังจากได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติม หวังหยูเฟิงก็ลอยคว้างกลางอากาศครู่หนึ่ง เขาสบกับดวงตาสีดำที่สว่างราวกับมีดาวฤกษ์ส่องแสงอยู่ข้างในนิ่ง ลมกลางคืนไม่อาจปัดเป่าความร้อนจากลมหายใจที่รินรดในระยะประชิดตอนนี้ได้

“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเรียกชื่ออีกฝ่ายเข้มขึ้นเป็นกำแพงให้ตัวเอง เมื่อช่องว่างระหว่างพวกเขาลดลงทุกวินาที

 ”ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับอย่างว่าง่ายไม่ต่างจากเด็กน้อยที่อยู่ในโอวาท

 ”คุณเป็นเกย์หรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างข้องใจ ซึ่งทำให้คนที่กำลังคุกคามชะงักในทันที

“ไม่รู้สิครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ หลังจากปล่อยให้ความเงียบเดินทางผ่าน เขายิ้มมองใบหน้าจริงจังของผู้กองหนุ่ม “ผมรู้แค่ว่า...ผมชอบคุณ”

คำสารภาพที่ไม่คิดว่าจะได้ยินนำพาความตกตะลึงและประหลาดใจเข้ามาจู่โจมผู้กองหนุ่มในทันที

ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของหวังหยูเฟิงไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับคำหวานแบบนี้ครั้งแรกจากผู้ชายมาก่อน อยากจะคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดไปอย่างนั้น แต่แววตาที่สะท้อนความรู้สึกชัดเจน รวมไปถึงถ้อยคำตอกย้ำก็กระแทกหัวใจของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง

“หวังหยูเฟิง ผมชอบคุณครับ”

“ขอบ...คุณ”

หวังหยูเฟิงปั้นสีหน้าของตัวเองไม่ถูก ถึงบรรยากาศโดยรอบจะทำให้ความรู้สึกอ่อนไหวได้ไม่ยาก แต่ผู้กองหนุ่มก็ยังตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตัวเองควรทำในเวลานี้

“คุณอย่าชวนผมเปลี่ยนเรื่อง ตกลงเรื่องกงเจ๋อตวนว่าอย่างไร”

“ทั้งที่ผมเพิ่งจะบอกความในใจที่มีต่อคุณไป แต่คุณก็เอาแต่ถามเรื่องของคนอื่น”

เจิ้งหยุนหันใบหน้าหนี ก่อนจะหยิบแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นดื่มราวกับไม่สบอารมณ์นัก หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมากับคนเล่นตัว

“ผมก็บอกขอบคุณไปแล้ว”

 ”แค่นั้น? ผมก็ไม่ได้หวังให้คุณชอบผมกลับหรอก เพราะผมก็เป็นคนร้ายในสายตาของคุณอยู่แล้ว แต่น่าจะบอกอะไรมากกว่านั้นหน่อยนะครับ”

“คุณต้องการให้ผมบอกอะไร”

หวังหยูเฟิงมองคนที่ทิ้งสายตาไปที่ทะเลอย่างใจเย็น ก่อนเสี้ยวหน้าได้รูปจะหันกลับมาทางเขาอีกครั้ง

“ก็อย่างเช่น...ความรู้สึกที่คุณมีต่อผมมั้งครับ”

“ผมไม่เคยคิดกับคุณในเรื่องแบบนั้น แล้วก็เชื่อว่าคุณคือคนร้ายที่ฆ่าถานอี้เทา และตอนนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับกงเจ๋อตวนด้วย”

“เฮ้อ...คราวนี้พูดถึงคนอื่นเพิ่มมาอีก”

เจิ้งหยุนหันใบหน้าหนีหวังหยูเฟิงอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่ได้ขุ่นเคืองกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะไม่ได้เกินความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชอบเท่าไรนัก

“เจิ้งหยุน”

“คำพูดของคนไม่ดีอย่างผม ก็คงไม่มีค่าอะไรสำหรับคุณนักหรอก”

“อย่าประชดผม” หวังหยูเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้น เพราะตอนนี้เขาถูกอีกฝ่ายใช้คำพูดกระแทกกระทั้นไม่หยุด

“ทำไมผมต้องทำแบบนั้น” เจิ้งหยุนว่ากลับ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน “เอาเถอะ...ถ้าไม่มีอะไร ผมก็ขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ”

“เรายังคุยกันไม่จบ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรั้งพร้อมกับยึดแขนของเจิ้งหยุนไม่ให้ลุกหนี คืนนี้เขาต้องได้คำตอบที่อยากรู้ “ผมจริงจังนะ ผมต้องการรู้เรื่องของกงเจ๋อตวนที่คุณรู้ เพื่อคดีของคุณด้วย”

“หึ! ผมก็จริงจังเหมือนกัน แล้วผมก็บอกเงื่อนไขไปแล้ว” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขายกยิ้มที่มุมปาก “ข้อมูลฟรีไม่มีในโลกนะครับผู้กองหวัง”

“ก่อนหน้านี้คุณยังบอกเรื่องค้ามนุษย์ให้ผมรู้อยู่เลย” หวังหยูเฟิงเอ่ยท้วง เจิ้งหยุนเอนตัวไปด้านหลังโดยที่มือทั้งสองข้างวางเป็นหลักอย่างผ่อนคลาย

“เรื่องนั้น ผมรู้ว่าคุณรู้อยู่แล้วครับ”

“คุณกำลังบังคับผม”

เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นหวังหยูเฟิงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน

“คุณกำลังพาลนะครับ” เจิ้งหยุนว่า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ “ถึงผมจะไม่เคยเห็นคุณยิ้ม แต่ผมก็ชอบตอนคุณหน้าบึ้งเหมือนกันนะ”

“พูดอะไรของคุณ” หวังหยูเฟิงว่ากลับ ตอนนี้เขาเริ่มสับสนแล้วว่า ควรจะจัดการเรื่องไหนก่อน ระหว่างท่าทีของเจิ้งหยุนหรือเรื่องของกงเจ๋อตวนที่ยังอยากรู้

“พูดเรื่องคนที่ผมชอบครับ” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วถามย้ำอีกครั้ง “แล้วตกลงคุณจะเอาอย่างไร จะจูบผมหรือปล่อยให้ผมไปนอน”

หวังหยูเฟิงข่มอารมณ์ยุ่งเหยิงที่ตีรวนอยู่ในใจ ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด ในเมื่อสิ่งที่เจิ้งหยุนต้องการแลกเปลี่ยนก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเขาด้วย ถึงจะลำบากใจมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรือฝืนใจอะไรนัก

เขาก็แค่อายเท่านั้นเอง...

ผู้กองหวังสูดลมหายใจมองคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นราวกับเร่งรัดให้เขาทำอะไรสักอย่างเสียที มือที่เคยวางอยู่ข้างลำตัวยกขึ้นรั้งท้ายทอยของชายหนุ่มผมยาวให้เข้ามาใกล้พร้อมกับเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าหาเพื่อประทับจูบลงบนกลีบปากบางที่ตอบรับสัมผัสในทันที

พระจันทร์ยังคงลอยเด่นกลางท้องฟ้า น้ำทะเลยังคงเคลื่อนไหวซัดสาดเข้าหาชายหาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั้งสองคนที่ไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกเบื้องลึกที่มีต่อกันผ่านรสจูบที่ทวีความเร่าร้อนขึ้น เสียงสัมผัสดังแทรกแผ่วเบาราวกับเมโลดี้พิเศษที่แต่งเติมบทเพลงของธรรมชาติในตอนนี้ให้อ่อนหวานมากขึ้น

“บอกได้หรือยัง” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเบา หลังจากลมหายใจที่ถูกช่วงชิงขาดห้วงไปชั่วขณะ ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้กองหนุ่มเหน็ดเหนื่อยจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าคือหัวใจที่เต้นแรงมากกว่าปกติ

“คุณจูบเก่งขี้นนะครับ ดีใจจัง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แต่ไม่ใช่คำตอบที่หวังหยูเฟิงต้องการ

“เจิ้งหยุน!” หวังหยูเฟิงว่าด้วยใบหน้าบึ้งตึง เวลานี้นายตำรวจไม่อาจเก็บอารมณ์ของตัวเองได้อย่างปกติ “คุณบอกผมมาได้แล้ว

“อีกสองสัปดาห์กงเจ๋อตวนจะมีการนัดแลกเปลี่ยนอาวุธเถื่อนที่โกดังสองฝั่งตะวันตกครับ” เจิ้งหยุนบอกเรื่องราวที่ยื้อมานานในที่สุด ก่อนจะใช้อ้อมแขนของตัวเองโอบกอดนายตำรวจที่ตั้งใจฟังข้อมูลของเขาอย่างแนบเนียน

“วันไหน คุณพอจะรู้แน่ชัดหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามต่ออย่างกระตือรือร้น โดยไม่ได้สังเกตถึงความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น

“เรื่องนั้นผมยังไม่รู้ครับ” เจิ้งหยุนบอก แล้วใช้ปลายจมูกของตัวเองคลอเคลียผิวแก้มของคนที่จมอยู่ในความคิดอย่างอารมณ์ดี

“แล้วกงเจ๋อตวนจะมาด้วยไหม” หวังหยูเฟิงถามขึ้นอีกครั้ง เขากำลังเรียบเรียงข้อมูลเพื่อส่งต่อให้เพื่อนสนิทที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง

“เรื่องนั้นผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แล้วกดจูบข้างแก้มที่หลอกล่อความอดทนของเขาอย่างอดใจไม่ไหว ซึ่งเรียกนัยน์ตาสีนิลที่จมอยู่ในความคิดให้ตวัดมองในทันที ชายหนุ่มยิ้มรับ “ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะหาข้อมูลมาให้ครับ”

“คุณจะหามาอย่างไร” หวังหยูเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องจากการถูกล่วงเกินเมื่อครู่ “ว่าแต่คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงเปิดเผยแหล่งข่าวไม่ได้” เจิ้งหยุนตอบ แล้วอมยิ้มออกมา “ข้อมูลอื่นๆ คุณก็ค่อยมาง้างปากจากผมทีหลังนะครับ”

“นี่คุณ...” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างพูดไม่ออก เพราะถ้าเขาอยากรู้อะไรจากผู้ชายคนนี้อีก จะต้องทำเรื่องแบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ!

“ยื่นหมูยื่นแมวนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะฉวยโอกาสจุมพิตที่ริมฝีปากบวมเจ่อของหวังหยูเฟิงอย่างรวดเร็ว “ดึกแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินกลับห้องนอนของตัวเองด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ถึงอย่างนั้นเขาก็มีเรื่องที่ต้องคิดก่อน ข้อมูลสำคัญที่เพิ่งรับรู้มาต้องส่งต่อให้ฟ่านมู่เหยียนโดยเร็วที่สุด

  หลังจากหวังหยูเฟิงเดินหนีจากไปแล้ว เจิ้งหยุนที่ถูกทิ้งไว้บนพรมที่ปูตรงชายหาดก็ยกแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นดื่ม สายตาเฉยชาทอดมองทะเลมืดที่ไม่เห็นสิ่งใด ทว่าภายใต้ผืนน้ำสุดจะหยั่งถึงมีกระแสมากมายไหลวนเวียนอย่างเหม่อลอย

“อู่หนิง”

 เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนซ่อนตัวในมุมมืดเพื่อให้เจ้านายได้ใช้เวลาส่วนตัวเพียงลำพังกับผู้กองหวังรีบเดินมารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว

“ครับนาย”

“บอกเรื่องตำรวจให้ไอ้แก่นั่นรู้ด้วย”

“ครับ”

อู่หนิงโค้งรับคำสั่ง ก่อนจะเดินจากไป และทิ้งให้เจ้านายหนุ่มได้ชื่นชมทิวทัศน์เพียงลำพังต่อ เส้นผมหลุดลุ่ยจากยางรัดพลิ้วไหวไปตามลมทะเลที่เคลื่อนผ่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่มักวาดรอยยิ้มบางเสมอแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับแววตาคมที่เป็นประกายน่ากลัว





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


อีกด้านหนึ่งหลังจากกลุ่มของเจิ้งหยุนเดินออกจากภัตตาคารเฟยลี่ราวหนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มร่างบางในชุดบริกรก็เดินตรงไปหาผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ของเมืองที่กำลังจะเดินทางกลับที่พักของตัวเอง

ขาเรียวไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในอาณาเขต เขาก็ถูกบอดี้การ์ดกันท่าเอาไว้ด้วยท่าทางข่มขู่ ใบหน้าหวานเกินชายบิดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความขัดใจ ก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่ต้องการคุยด้วยอย่างอาจหาญ

“เดี๋ยวก่อนครับท่าน!”

กงเจ๋อตวนหมุนตัวหันกลับมามอง ชายวัยกลางคนรู้สึกแปลกใจที่ถูกหนุ่มน้อยเอ่ยรั้ง แต่พอได้พินิจดวงหน้าละมุนน่ามองก็ทำให้เขายอมหยุดตามคำขอร้องนั้น

“มีอะไร”

“ผมอยากเป็นลูกน้องของท่านครับ! ได้โปรดรับผมเอาไว้ด้วย!”

กงเจ๋อตวนเลิกคิ้วมองหนุ่มวัยละอ่อนที่คุกเข่าขอร้องอย่างสนใจ เดิมทีเขาก็ชอบคนกล้าอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ตกลงในทันที

“ทำไมฉันต้องรับคนอย่างเธอด้วย”

กงเจ๋อตวนพิจารณารูปร่างของอีกฝ่าย ทั้งใบหน้าหวานและร่างกายบอบบาง ผู้ชายคนนี้...ถ้าจะรับก็เป็นได้แค่ของเล่นบนเตียงเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้มีรสนิยมกกเด็กหนุ่มเสียด้วย

หรือว่า...จะลองดูสักที?

“เพื่อเป็นการพิสูจน์ ผมจะพาเส้าซินฉีมาให้ท่านครับ”

เสียงทุ้มหวานที่เอ่ยเงื่อนไขของตัวเองอย่างอวดดี ทำให้กงเจ๋อตวนยกยิ้มขึ้นอย่างถูกใจ เด็กหนุ่มคนนี้คงจะสังเกตเขามาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในภัตตาคารแล้ว และเมื่อนึกถึงความงดงามของหญิงสาวที่เพิ่งได้พบ ก็ทำให้ความรุ่มร้อนก่อเกิดขึ้นในใจ

“เธอชื่ออะไร”

“หลีซิงครับท่าน”

“ฉันจะรอ”

“ขอบคุณครับท่าน!”

หลีซิงที่คุกเข่าคำนับลอบยิ้มสมใจ เขารอจนกระทั่งฝีเท้าของกลุ่มคนตรงหน้าหายไป แล้วจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง ใบหน้าหวานทอดมองความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด





TBC++++++++++  17รอยัลสเตรทฟลัช

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
พี่หยุนร้ายสุดดดดด o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา > [Rewrite] 16 - 17/02/2019
« ตอบ #129 เมื่อ: 19-02-2019 02:31:34 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
17
รอยัลสเตรทฟลัช







หลังจากได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มา หวังหยูเฟิงก็รีบส่งต่อไปให้เพื่อนสนิททันที พวกเขาปรึกษากันเล็กน้อย ทางด้านฟ่านมู่เหยียนเองก็พอจะได้ข่าวมาบ้าง เพียงแต่ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ผู้กองหวังจึงต้องเปลืองตัวเพื่อล้วงข้อมูลจากเจิ้งหยุนอย่างจำใจ ถึงจะรู้สึกแปลกกับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปจากตอนแรก แต่เวลานี้ชายหนุ่มมีเรื่องอย่างอื่นที่ควรใส่ใจมากกว่า และเมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการมาพอสมควร เวลานัดหมายค้าขายอาวุธเถื่อนของกงเจ๋อตวนก็มาถึงในไม่กี่วัน

หวังหยูเฟิงรู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ารอคอย คืนนี้ฟ่านมู่เหยียนวางแผนเข้าจับกุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อสืบสาวเอาผิดกับตัวการใหญ่ต่อไป

“เป็นอะไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม เมื่อเห็นผู้กองหนุ่มมีท่าทีเคร่งเครียดมากกว่าปกติ ร่างสมส่วนเดินวนไปมาอย่างว้าวุ่น

“คืนนี้มีนัดของกงเจ๋อตวน” หวังหยูเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขาอยากออกไปช่วยเพื่อนสนิท แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองในตอนนี้

“นั่นสินะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะนั่งลงที่โซฟานุ่มในห้องนั่งเล่นอย่างผ่อนคลาย “คืนนี้คงวุ่นวายน่าดู”

หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตาไปมองคนที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมอย่างครุ่นคิด ถึงทุกอย่างจะถูกเตรียมการมาอย่างดี แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ที่สามารถลอยนวลจากกฎหมายมาหลายปีได้

แล้วตอนนี้...เขาก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วด้วย

นัยน์ตาสีดำมองวิวนอกหน้าต่างที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟสังเคราะห์ที่ประดับส่องสว่างเท่านั้น คืนนี้พระจันทร์ที่ควรลอยเด่นก็ถูกเมฆบดบังราวกับต้องการซ่อนเร้นบางสิ่งเอาไว้

  หรือเขาควรจะตามไปช่วยเพื่อนอีกแรง?

“ผมว่าคุณควรทำใจให้สงบ แล้วไปพักผ่อนได้แล้วนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ทั้งที่สายตายังจับจ้องหน้าจอของอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กที่กำลังฉายภาพกราฟิกของตัวละครที่กำลังควบคุมอยู่อย่างคล่องแคล่ว

“ผมจะรอฟังข่าว” หวังหยูเฟิงบอก ตอนนี้เวลาสี่ทุ่มแล้ว เหตุการณ์ที่เขารอคอยจะเกิดขึ้นราวตีสอง

เจิ้งหยุนเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่ทำหน้านิ่ง แต่นัยน์ตามีความกังวลอย่างใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรทำรอเวลากันดีไหมครับ”

หวังหยูเฟิงหันไปมองอย่างสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เมื่อใบหน้าหล่อที่ประดับด้วยรอยยิ้มให้ความรู้สึกไม่น่าไว้ใจ อันที่จริงตอนนี้ผู้กองหนุ่มซาบซึ้งถึงความเจ้าเล่ห์ที่ถูกปกปิดด้วยสีหน้าใสซื่อแสนสุภาพเป็นอย่างดีแล้ว

“เราไปยิงปืนเล่นกันนะครับ”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ประตูใหญ่หน้าคฤหาสน์ริมทะเลในยามดึกถูกเปิดออก ก่อนที่รถสปอร์ตรูปทรงโฉบเฉี่ยวจะวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“เขาจะเปิดหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อใจนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว

“ผมรู้จักกับเจ้าของที่นั่นครับ อยู่ทั้งคืนก็ยังได้” เจิ้งหยุนบอกพร้อมกับเหยียบคันเร่งไปเต็มสมรรถภาพของเครื่องยนต์ที่เคลื่อนผ่านถนนโล่ง

หวังหยูเฟิงไม่ได้ต่อบทสนทนาอีก จนกระทั่งพวกเขาเดินทางมาถึงอาคารแห่งหนึ่งที่เปิดบริการสนามยิงปืนให้กับผู้สนใจทั่วไป หลังจากที่จอดรถเรียบร้อย เจิ้งหยุนก็พานายตำรวจเข้าไปด้านในอาคารสองชั้นที่เงียบสงัด มีเพียงไฟบางดวงที่เปิดอยู่ ผู้กองหนุ่มสำรวจโดยรอบอย่างจับสังเกต เมื่อเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไป ทั้งสองคนก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ

“สวัสดี” เจิ้งหยุนเอ่ยทัก ชายหนุ่มวัยสามสิบตอนปลายเงยหน้าขึ้นจากงานเอกสารที่ทำอยู่ แล้วส่งยิ้มมาให้

“ฉันเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว” เจ้าของสถานที่เดินนำไปยังด้านในของอาคารที่เชื่อมต่อกับสนามยิงปืนขนาดใหญ่ แล้วหันกลับมาหาลูกค้าที่เหมาใช้สถานที่ทั้งคืน “มีอะไรก็โทรหาฉันแล้วกัน”

“อืม” เจิ้งหยุนตอบรับพลางใช้สายตากวาดมองสนามยิงปืนกลางเก่ากลางใหม่ที่ก่อนหน้านี้เขามาใช้เวลาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์บ่อยครั้ง

หวังหยูเฟิงได้แต่มองบุคคลทั้งสองสนทนากันโดยไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม เมื่อผู้ชายซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าของสถานที่เดินจากไปเหลือเพียงพวกเขาตามลำพัง ผู้กองหนุ่มก็เอ่ยขึ้น

“เขาเป็นเจ้าของที่นี่หรือ”

“ครับ เขาเป็นเพื่อนของไป๋ลู่เหอ ผมเลยรู้จักไปด้วย”

หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปตรวจดูอุปกรณ์ที่คุ้นเคยอย่างพิจารณา ถึงเขาจะเป็นตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เข้าสนามยิงปืนเพื่อฝึกซ้อมมานานแล้ว

ปัง!

เสียงลูกกระสุนที่พุ่งจากรังเพลิงตรงไปยังเป้าที่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีดำทอดมองความแม่นยำของชายหนุ่มผมยาวอย่างเก็บงำความคิด

หึ!

“เข้ากลางเลยแฮะ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ แล้วหันมายิ้มให้นายตำรวจ “คุณหวังโชว์ฝีมือให้ผมดูหน่อยสิครับ”

“ดูเหมือนคุณก็ฝีมือดี” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับอาวุธสีดำมาไว้ในมือ ผู้กองหวังตั้งสมาธิเพียงชั่วอึดใจ แล้วเหนี่ยวไกปืนด้วยท่าทางเยือกเย็น

ปัง!

เสียงปรบมือดังขึ้นจากผู้ชมที่มีอยู่เพียงคนเดียว เมื่อลูกกระสุนของหวังหยูเฟิงทะลุเป้าตรงกลางที่เจิ้งหยุนเพิ่งเจาะผ่านอย่างแม่นยำตอกย้ำฝีมือที่ไม่ใช่แค่เรื่องอวดอ้าง

“สุดยอดเลยนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมอย่างจริงใจ แต่ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกยินดีอะไรนัก

“ผมต้องแปลกใจมากกว่าที่คุณฝีมือดีมาก” หวังหยูเฟิงเอ่ยกลับ นัยน์ตาที่จ้องมองเป้าเบื้องหน้าเลื่อนมาฉายภาพบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกันแทน “ไม่สิ...ผมน่าจะรู้ฝีมือของคุณดีอยู่แล้ว”

เจิ้งหยุนเลิกคิ้ว ก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่ง ซึ่งถูกจัดเป็นโซฟาชุดพร้อมกับเครื่องดื่มรสร้อนแรงที่ชายหนุ่มสั่งเอาไว้

“ผมก็แค่ยิงปืนเป็นเท่านั้นแหละครับ เทียบฝีมือกับคุณหวังไม่ได้หรอก” เจิ้งหยุนบอก เขานั่งลงอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเริ่มรินเครื่องดื่มของตัวเองใส่แก้ว

“แล้วคุณไม่ยิงปืนต่อแล้วหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม เมื่อเห็นเจิ้งหยุนตั้งท่าจะสนใจเครื่องดื่มมากกว่า

“เชิญคุณตามสบายเลยครับ” เจิ้งหยุนตอบ ก่อนจะยกแก้วที่บรรจุไวน์แดงขึ้นดื่ม “ที่ผมชวนคุณมาที่นี่ ก็แค่อยากให้คุณสงบใจเท่านั้นเอง”

หวังหยูเฟิงนิ่งไปเล็กน้อย แล้วหันความสนใจไปยังเป้าที่อยู่ห่างออกไป นิ้วมือที่เคยเหนี่ยวไกเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก่อนเสียงปืนจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบของค่ำคืน

ความกังวลและไม่สบายใจที่หวังหยูเฟิงแบกรับมาก่อนหน้านี้ทุเลาลงตามจำนวนลูกกระสุนที่พุ่งออกไปยังเป้าหมายอย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกัน

เจิ้งหยุนก็ยกยิ้มขึ้นพลางมองผู้กองหนุ่มด้วยความรื่นรมย์ ภาพในความทรงจำยามที่ได้เจออีกฝ่ายครั้งแรกกลับเข้ามาในความคิด นายตำรวจที่มุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยฝีมือที่ตรึงสายตาของเขาเอาไว้

สายตาสีนิลที่แน่วแน่และท่าทางเหนี่ยวไกปืนที่สงบนิ่งของหวังหยูเฟิงตอนนี้ ทำให้เจิ้งหยุนร้อนรุ่มใจจนอยากจะเข้าไปขย้ำอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน ทว่าเขาก็ทำได้เพียงลิ้มรสเครื่องดื่มในมือเพื่อดับความกระหายอยากของตัวเองเท่านั้น





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ในขณะที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความคิดของหวังหยูเฟิงที่กำลังรอฟังข่าวคราวของเพื่อนสนิทอย่างใจจดใจจ่อ ทางด้านของฟ่านมู่เหยียนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ก็กำลังรอจังหวะเพื่อเข้าจับกุมคนร้ายตามแผนการที่ได้วางเอาไว้

เมฆที่เคยปิดบังแสงจันทร์เลื่อนผ่านเผยให้ความงดงามของโคมแขได้อย่างเต็มที่ ในช่วงเวลาที่ผู้คนควรพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นในวันรุ่งขึ้น มีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่แต่งกายด้วยชุดสีทึบมารวมตัวกันที่โกดังทางด้านตะวันตกของเมืองเพื่อทำธุรกิจผิดกฎหมาย

นัยน์ตาคมของผู้กองหนุ่มจ้องมองทุกอย่างอย่างใจเย็น เขายกมือให้สัญญาณผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานด้วยความเงียบและว่องไวเพื่อจับกุมคนร้าย พร้อมทั้งยึดของกลางเพื่อใช้เป็นหลักฐานต่อไป

ทว่าก่อนที่ฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฏร์จะได้ลงมือเต็มกำลัง เสียงปืนที่ดังจากทางด้านหลังอย่างคาดไม่ถึงก็ทำให้ประสาทสัมผัสของฟ่านมู่เหยียนตื่นตัวอย่างรุนแรง ชายหนุ่มรีบยกปืนตั้งท่าเตรียมพร้อมการจู่โจมกะทันหันในทันที

  ปัง! ปัง! ปัง!

การต่อสู้ระหว่างตำรวจและผู้ร้ายเปิดฉากขึ้น อาวุธที่เคยเป็นสินค้าถูกนำมาใช้งานเพื่อจู่โจมฝ่ายตรงข้าม รอยเลือด ปลอกกระสุน และร่างไร้วิญญาณอยู่โดยรอบไม่ต่างจากภาพศิลปะที่ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกสยองขวัญและหดหู่

“เรียกกำลังเสริม!” ฟ่านมู่เหยียนตะโกนสั่งพร้อมกับยิงสวนปะทะกับผู้ร้ายอย่างไม่ยอมแพ้ 

พวกเขาถูกตลบหลัง!

ฟ่านมู่เหยียนขบกรามแน่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเองก็เผื่อแผนสำรองในกรณีนี้มาแล้ว แต่ที่คาดไม่ถึงคือจำนวนที่มากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้

“ผู้กองฟ่านครับ! กองเสริมจะมาภายในห้านาที!” นายตำรวจที่อยู่ไม่ห่างรีบรายงานด้วยความรวดเร็ว ฟ่านมู่เหยียนพยักหน้ารับ ถึงเหตุการณ์จะผิดพลาด แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะยึดของกลางเอาไว้ให้ได้

ผู้กองฟ่านวิ่งเข้าที่กำบังพร้อมกับช่วยพยุงลูกน้องที่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย ห้านาทีที่รอคอยไม่ต่างจากห้าปีที่ยาวไกล ถึงฝ่ายผู้ร้ายจะบาดเจ็บและถูกจับตายไปไม่น้อย แต่ฝ่ายตำรวจก็ได้รับความเสียหายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ฟ่านมู่เหยียนพาลูกน้องที่ช่วยเหลือเอาไว้ให้รออยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวสาดกระสุนใส่คนร้ายที่ติดตามอย่างแม่นยำ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ผู้กองหนุ่มไม่อาจต้านทานจำนวนคนที่มากกว่าได้ เขาจึงเลือกที่จะถอยเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง ทว่าลูกกระสุนที่คร่าชีวิตผู้คนอย่างง่ายดายก็พุ่งเข้ามาที่กลางลำตัวเสียก่อน

“อึก!”

ฟ่านมู่เหยียนกัดฟันแน่นพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความจุก เขาใส่เกราะอ่อนเพื่อป้องกันอันตรายถึงชีวิตแต่ไม่อาจลดทอนความเจ็บจากแรงอัดของกระสุนปืนอย่างรุนแรงมากมายที่พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ปรานีได้

ปัง! ปัง!

ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าทีมหอบหายใจแรงกลั้นความเจ็บ เมื่อย่างก้าวของเขาถูกสกัดด้วยลูกกระสุนที่ทะลุเข้าที่ขาทั้งสองข้างจนล้มลง เสียงเย้ยหยันดังแว่วมากับสายลมยามดึก ถึงจะเหนื่อยล้าและบาดเจ็บ แต่ฟ่านมู่เหยียนก็ไม่ยอมแพ้ต่อผู้ที่กระทำความผิด ศักดิ์ศรีและหน้าที่อันทรงเกียรติกระตุ้นแรงใจเต็มเปี่ยม

“ฮ่าๆ ลาก่อน”

ชายหนุ่มที่สวมเครื่องแต่งกายมิดชิดเหยียดยิ้มในความมืด ปลายกระบอกปืนจ่อเข้าที่ใบหน้าของผู้กองหนุ่มที่วาระสุดท้ายของชีวิตกำลังมาถึง ก่อนเสียงที่ร้องเรียกมัจจุราชจะดังขึ้น

ปัง! ปัง!





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣


ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


 เสียงร้องจากโทรศัพท์มือถือของหวังหยูเฟิงฉุดภวังค์ความคิดของเจ้าของให้รีบสนใจทันที ตอนนี้เข้าช่วงเช้าตรู่แล้ว แต่ผู้กองหวังและคุณชายเจิ้งก็ยังอยู่ด้วยกันที่สนามยิงปืน

ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วอย่างกังวล เมื่อสายที่ติดต่อเข้ามาคือแฟนสาวของเพื่อนสนิท

“เสี่ยวโหยว”

[พี่...ฮึก หยูเฟิง]

เสียงหวานสะอื้นที่ดังลอดออกมา ทำให้ชายหนุ่มหัวใจสั่นไหวในทันที เขาพยายามตั้งสมาธิเพื่อรอรับฟังเรื่องร้ายที่กำลังจะได้รับรู้

“ใจเย็น มู่เหยียนเป็นอะไร”

ภารกิจในการเข้าจับกุมเครือข่ายของกงเจ๋อตวนในคืนนี้ล้มเหลวอย่างนั้นหรือ หวังหยูเฟิงขบคิดพร้อมกับเสียงหวานเศร้าที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

[ฮึก...พี่มู่เหยียนถูกยิงค่ะ]

“เดี๋ยวพี่จะไปหา”

[...ค่ะ]

ผู้กองหนุ่มวางสายของหญิงสาวพร้อมกับลุกขึ้นยืน ถึงแม้การยิงปืนก่อนหน้านี้จะช่วยบรรเทาความกลัดกลุ้มของเขาไปได้มาก แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งเหตุร้ายที่สังหรณ์ใจก่อนหน้านี้ได้

“เกิดอะไรขึ้นครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม หลังจากหวังหยูเฟิงวางสาย

“ผมจะไปโรงพยาบาล คุณกลับไปก่อนได้เลย” หวังหยูเฟิงบอกพร้อมกับเดินออกไปจากสนามยิงปืนอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวผมไปส่งครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยอีกครั้ง หวังหยูเฟิงจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะตอนนี้เขาอยากไปหาเพื่อนสนิทให้เร็วที่สุด





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เจิ้งหยุนมาส่งหวังหยูเฟิงที่โรงพยาบาล ก่อนที่นายตำรวจจะขอร้องกึ่งไล่เจ้าของผับกาเบรียลให้กลับไปก่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก

“วันนี้ผมว่าง มีเวลาให้คุณได้ทั้งวัน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วยุ่ง

“ขอเถอะ...อย่ามาดื้อกับผมตอนนี้ได้ไหม” หวังหยูเฟิงว่าอย่างเหนื่อยใจ เจิ้งหยุนก็ถอนหายใจออกมา

“ก็ได้ครับ แต่ผมจะได้อะไรเป็นรางวัลที่เชื่อคุณ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นต่อพร้อมกับจ้องนัยน์ตาสีดำอย่างคาดหวัง

“ผมติดคุณไว้ก่อนก็แล้วกัน” หวังหยูเฟิงเอ่ยตัดบท ก่อนจะลงจากรถยนต์ราคาแพง แล้วรีบเดินไปด้านในของโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ

หลังจากที่หวังหยูเฟิงเดินผ่านประตูห้องพักพิเศษเข้ามา เขาก็เห็นเพื่อนสนิทยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงผู้ป่วย โดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

“พี่หยูเฟิง” ถังเสี่ยวโหยวรีบลุกขึ้นยืน ใบหน้าเศร้าสร้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง

“อาการของมู่เหยียนเป็นอย่างไรบ้าง” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับลูบศีรษะแฟนสาวของเพื่อนอย่างปลอบประโลม

“ร่างกายโดยรวมปลอดภัยแล้วค่ะ แต่ไม่รู้จะฟื้นได้เมื่อไร”

ถังเสี่ยวโหยวตอบเสียงเครือ เธอรีบกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น ยามเมื่อนึกถึงภาพของคนรักก่อนหน้านี้

“อืม มันดวงแข็ง ไม่เป็นอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงนุ่ม เขายิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังร่างที่นอนสงบอยู่บนเตียง

ความเงียบเดินผ่านไปทั่วห้องพัก ถังเสี่ยวโหยวมองคนรักที่ยังไม่ฟื้น ก่อนจะตัดสินใจหันไปทางผู้กองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย

“พี่คะ”

“อะไรหรือ”

“ฉัน...มีเรื่องอยากจะขอร้องพี่”

หวังหยูเฟิงมองใบหน้าหวานเศร้าหมองอย่างสงสัย นัยน์ตากลมที่เคลือบน้ำตาทอความจริงจังและน่าเห็นใจ

“ว่ามาสิ”

ถังเสี่ยวโหยวกลั้นลมหายใจเล็กน้อย หญิงสาวมองชายคนรักบนเตียง ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องสำคัญที่เธอเพิ่งจะตัดสินใจได้เด็ดขาดเมื่อครู่นี้

“ฉันอยากให้พี่ช่วยทำงานนี้แทนพี่มู่เหยียนได้ไหมคะ” ถังเสี่ยวโหยวเอ่ยขึ้น เธอมองใบหน้านิ่งสงบของผู้กองหนุ่มอย่างเว้าวอน “จะหาว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ฉันไม่อยากให้พี่มู่เหยียนเป็นอะไรไปอีก”

หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี ฟ่านมู่เหยียนและถังเสี่ยวโหยวกำลังจะแต่งงานในไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่แปลกที่เธอจะหวาดกลัว ถึงแม้จะเข้าใจอาชีพของคนรักก็ตามที

“ได้สิ” หวังหยูเฟิงตอบรับเสียงอ่อน เขายิ้มบางออกมา

“ขอบคุณค่ะ!” ถังเสี่ยวโหยวเอ่ยเสียงเครือด้วยความซึ้งใจ รอยยิ้มแรกของวันปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานที่หม่นหมอง ผู้กองหวังพยักหน้ารับสำทับ ก่อนจะมองเพื่อนสนิทและแฟนสาวโดยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

ตำรวจเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ก็เสี่ยงอันตรายทุกเมื่อ ขณะที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้อื่นและรักษาความสงบในสังคม ในทางกลับกันก็ได้สร้างบาดแผลให้คนที่คอยห่วงใยอยู่ข้างหลัง

กงเจ๋อตวนเป็นคนอันตราย ไม่มีใครรู้ว่าครั้งหน้าที่ได้ปะทะกันจะเกิดอะไรขึ้นอีก คนที่ไม่มีภาระและครอบครัวรออยู่อย่างผู้กองหวังจึงสมควรรับหน้าที่นี้ที่สุดแล้ว





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลังจากเยี่ยมฟ่านมู่เหยียนและอยู่เป็นเพื่อนถังเสี่ยวโหยวพักใหญ่ ชายหนุ่มก็ขอตัวลา ก่อนจะเดินทางไปยังสถานีตำรวจต่อ

เมื่อหวังหยูเฟิงไปถึง นายตำรวจยศต่ำกว่าต่างก็แสดงความเคารพ เขาทำเพียงพยักหน้ารับ แล้วเดินตรงไปยังห้องของสารวัตรทันที

“ผู้กองหวังคะ”

เสียงเรียกที่ดังขึ้น ทำให้หวังหยูเฟิงต้องหยุดฝีเท้าของตัวเอง เขาหันกลับไปมอง แล้วก็ส่งยิ้มบางให้หมวดสาวคนสนิท

“เจียวเซินเป็นอย่างไรบ้าง”

   “สบายดีค่ะ แต่งานยุ่งมากเลย” เว่ยเจียวเซินบ่นอุบ ท่าทีสดใสร่าเริงของเธอ ทำให้หวังหยูเฟิงผ่อนคลายมากขึ้น

“ที่ต้องทำงานหนักก็เพื่อให้ประชาชนสงบสุขนะ” หวังหยูเฟิงเอ่ยให้กำลังใจหญิงสาว ในสายตาของผู้กองหนุ่ม เว่ยเจียวเซินก็ไม่ต่างจากน้องสาวของเขาคนหนึ่ง

“ค่ะ” หมวดสาวเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ก่อนนัยน์ตาหวานจะหมองลง “ผู้กองหวังรู้เรื่องผู้กองฟ่านหรือยังคะ”

“ผมรู้แล้ว เพิ่งไปเยี่ยมมา” หวังหยูเฟิงบอก ความกังวลกลับเข้ามาในความรู้สึกอีกครั้ง “ตอนนี้เขายังไม่ฟื้น แต่ก็อีกไม่นานหรอก ไม่ต้องห่วง”

“ค่ะ เย็นนี้ดิฉันว่าจะไปเยี่ยมเหมือนกัน” เว่ยเจียวเซินเอ่ยเสียงเบา หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ

“อืม ถ้าอย่างไรผมขอตัวไปพบสารวัตรก่อน”

หลังจากพูดคุยกับนายตำรวจสาวเสร็จ หวังหยูเฟิงก็เดินตรงไปยังจุดหมายเดิมต่อ เมื่อถึงหน้าประตูห้องทำงานของสารวัตร เขาก็เคาะตามมารยาท ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบ

“สวัสดีครับท่าน” หวังหยูเฟิงเอ่ยทักทายพร้อมกับแสดงความเคารพผู้บังคับบัญชาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“คุณมาก็ดี ผมกำลังจะเรียกตัวคุณอยู่เชียว” สารวัตรใหญ่แห่งสถานีตำรวจเอ่ยขึ้น ใบหน้าคร้ามตามวัยเคร่งขรึม “นั่งก่อนสิ”

“ครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับท่านสารวัตร

“คุณคงรู้เรื่องเมื่อคืนนี้แล้ว”

“ผมทราบแค่เรื่องที่ผู้กองฟ่านได้รับบาดเจ็บครับ”

“อย่างนั้นหรือ เมื่อคืนนี้เราโดนกงเจ๋อตวนตลบหลัง ยังดีที่เตรียมกำลังเสริมไว้ แต่ก็ยึดได้แค่ของกลางบางส่วน คนร้ายที่ต้องการนำมาซักทอดบางคนหนีรอดไปได้ แล้วก็ถูกจับตายและฆ่าตัวตายก่อนที่เราจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม”

หวังหยูเฟิงพิจารณาเรื่องราวที่ได้รับฟัง การที่กงเจ๋อตวนสามารถวางแผนแบบนี้ได้ แสดงว่าต้องมีคนบอกข่าวของตำรวจให้อีกฝ่ายรู้ แล้วคนเดียวที่เข้ามาในความคิดของเขาก็คือ เจ้าของคฤหาสน์ริมทะเล...เจิ้งหยุน!

“ผู้กองฟ่านบอกกับผมว่า เรื่องการค้าขายครั้งนี้ได้ข้อมูลมาจากคุณ” สารวัตรเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมจ้องมองลูกน้องแน่วแน่ “คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“บางทีข้อมูลของเราอาจจะรั่วไหล” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น เขาได้แต่ตอบไปตามสถานการณ์เท่านั้น ผู้กองหนุ่มสบตากับผู้บังคับบัญชาอย่างจริงจัง “ท่านครับ เรื่องของกงเจ๋อตวนต่อจากนี้ ผมจะจัดการต่อเองครับ”

“แล้วเรื่องของเจิ้งหยุนที่คุณกำลังทำอยู่ล่ะ” สารวัตรเอ่ยถามถึงหน้าที่ในตอนนี้ หวังหยูเฟิงเก็บความรู้สึกขุ่นเคืองผู้ชายคนนั้นเอาไว้ในใจ

“เขาไม่มีอะไรหรอกครับ บางทีเราอาจกำลังจับตามองผิดคน” หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบคำโกหกเสียงเรียบ

“อืม ถ้าอย่างนั้นผมอนุญาตให้คุณทำ” สารวัตรเอ่ยขึ้น แล้วแสดงท่าทีกังวลใจออกมาเล็กน้อย “แต่ถ้าผู้กองฟ่านฟื้นแล้ว ก็อย่าลืมไปบอกเขาด้วยตัวเองล่ะ ผมไม่อยากฟังคำโวยวายของเขา”

“ได้ครับ” หวังหยูเฟิงตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ฟ่านมู่เหยียนเป็นคนขี้เล่น แต่ก็จริงจังในเรื่องงานไม่ต่างจากเขา ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าโดนขโมยงานของตัวเองไปทำคงไม่ยอมง่ายๆ




▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





“นายครับ มีสายจากกงเจ๋อตวนครับ”

เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะรับโทรศัพท์มือถือมาพูดคุยกับคนที่ไม่อยากจะเสวนาสักเท่าไร

“ฮัลโล”

[คุณเจิ้ง สบายดีไหม]

“มีธุระอะไรกับผม”

[อย่าใช้น้ำเสียงเย็นชาอย่างนั้นสิ ทั้งที่คุณเพิ่งช่วยผมไปแท้ๆ ฮ่าๆ]

เจิ้งหยุนขมวดคิ้ว เขาอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือในมือทิ้ง เพราะรำคาญน้ำเสียงน่ารังเกียจของปลายสาย แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ การจัดการกับปลาใหญ่ต้องใจเย็น

“ผมไม่ว่าง รีบพูดธุระของคุณมาได้แล้วครับ”

[ผมก็แค่อยากมาขอบคุณน้ำใจของคุณ ถือว่าไอ้ผู้กองนั่นยังดวงแข็ง ถึงได้รอดเงื้อมมือของผมไปได้]

“แค่นี้หรือ”

น้ำเสียงเฉยชาของเจิ้งหยุนเรียกเสียงหัวเราะของคนอารมณ์ดีอีกครั้ง กงเจ๋อตวนยกยิ้มอย่างชอบใจ เมื่อคืนนี้เขาได้วางแผนจัดการฟ่านมู่เหยียนที่เป็นศัตรู โดยการเสียสละของบางส่วนเป็นตัวล่อ แท้ที่จริงแล้วการนัดหมายค้าขายอาวุธเถื่อนล็อตใหญ่จะเริ่มขึ้นในคืนนี้

ซึ่งความสำเร็จส่วนหนึ่งก็ต้องยกให้เจิ้งหยุนที่นำข่าวมาบอก ถึงจะไม่รู้ว่าตำรวจล่วงรู้แผนการลับของตัวเองได้อย่างไรก็ตาม แต่การเป็นมิตรกันย่อมดีกว่าเป็นศัตรู

[เพื่อเป็นการขอบคุณเรื่องนี้ ผมจะจัดการหวังหยูเฟิงให้คุณดีไหม ดูเหมือนเขากำลังจับผิดคุณอยู่นี่]

“อย่ามายุ่งเรื่องของผม”

น้ำเสียงเยือกเย็นที่บ่งบอกความไม่พอใจไม่ได้ทำให้กงเจ๋อตวนรู้สึกขุ่นเคืองหรือกริ่งเกรง เขาหัวเราะออกมาเบาๆ

[คุณปฏิเสธน้ำใจของผมอยู่เรื่อย เอาเถอะ..อีกไม่นานผมกำลังจะมีงาน เดี๋ยวจะส่งบัตรเชิญไปให้คุณแล้วกัน]

“ถ้าไม่มีอะไร ผมขอวาง”

[อืม แล้วเจอกัน]

เจิ้งหยุนกำโทรศัพท์มือถือแน่น เขาเกือบจะขว้างอุปกรณ์สื่อสารในมือทิ้ง หลังจากได้ยินเสียงน่ารังเกียจเอ่ยถึงผู้กองของเขา

“หึ!” เจิ้งหยุนแค่นยิ้มออกมา ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถืออย่างไม่สนใจ ซึ่งผู้ติดตามคนสนิทก็รีบไปรับเอาไว้อย่างทันท่วงที

อู่หนิงลอบมองสีหน้าครุ่นคิดของเจ้านายอย่างนึกหวั่นใจ ก่อนจะรีบเดินออกห่าง เพราะไม่แน่ใจว่า ตัวเองจะถูกลูกหลงจากพื้นอารมณ์แปรปรวนของเจิ้งหยุนหรือเปล่า ในเวลานี้คงมีเพียงคนเดียวที่จะทำให้ปิศาจร้ายกลายเป็นเด็กน้อยได้

ปัง! เพล้ง! โครม!

ผู้กองหวังกลับมาไวๆ นะครับ...

อู่หนิงได้แต่ภาวนา เขาต้องรอเจ้านายระบายอารมณ์ให้เสร็จก่อน ถึงค่อยเข้าไปเก็บกวาดข้าวของที่เสียหายให้เรียบร้อย





TBC++++++++18เหยื่อที่ถูกสังเวย

​Marionetta
ดีค่ะ มาลงแบบต่อเนื่อง คิดว่าน่าจะลงครบก่อนหมดวันจองเล่มพอดี 555 ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
18
เหยื่อที่ถูกสังเวย






ท้องฟ้าที่เคยสดใสถูกย้อมเป็นสีส้มอ่อน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท หลังจากที่หวังหยูเฟิงจัดการธุระและประสานงานของเพื่อนสนิทที่ค้างคาอยู่เสร็จ เขาก็ใช้บริการโดยสารสาธารณะลงที่ถนนใหญ่ แล้วเดินเท้าจนมาถึงคฤหาสน์ริมทะเล

“ผู้กองหวังเดินมาหรือครับ!” ต้าหุ่ย ชายหนุ่มที่ดูแลการเข้าออกของคฤหาสน์เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ เพราะระยะทางจากถนนใหญ่มาถึงที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ

“อืม” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับเสียงเนือยพร้อมกับเดินเข้าไปในอาณาเขตของทายาทคนเล็กของตระกูลเจิ้งอย่างไม่รีบร้อน ใบหน้าของนายตำรวจอิดโรยเล็กน้อย เพราะเขายังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน แล้ววันนี้ก็มีหลายเรื่องให้ต้องจัดการอีก

“กลับมาแล้วหรือครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาแต้มรอยยิ้มบางเป็นปกติ “ทำไมไม่โทรมาบอก ผมจะได้ไปรับ”

“ไม่รบกวนคุณหรอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยปฏิเสธ เขามองชายหนุ่มผมยาวด้วยใบหน้านิ่งสงบ “ผมจะกลับไปทำงานที่สถานีตำรวจตามปกติ ส่วนเรื่องคนคุ้มครองคุณ ผมจะส่งคนอื่นมาแทน”

“ผมว่าเราเคยคุยเรื่องนี้ไปแล้วนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงแข็งขึ้น รอยยิ้มจืดจางลงไปถนัดตา

หวังหยูเฟิงถอนหายใจ เขาอยากจะถามเรื่องราวหลายอย่างจากคนตรงหน้า แต่ในเมื่อเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งมองไม่เห็นความผิดของอีกฝ่ายไปแล้ว ชายหนุ่มก็จะไม่เสียเวลากับอะไรที่ไม่จำเป็นอีก

เหตุการณ์ที่ผิดพลาดจนทำให้ฟ่านมู่เหยียนได้รับบาดเจ็บหนัก ส่วนหนึ่งก็มาจากความประมาทของเขาเองด้วย

เขาเผลอวางใจเจิ้งหยุนมากเกินไป...

ทั้งที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย แต่เขาก็ยังปล่อยให้ความใกล้ชิด รวมไปถึงความคุ้นเคยบังตาและความคิด

“ผมต้องไปทำงานแทนเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ” หวังหยูเฟิงอธิบาย แล้วสบนัยน์ตาคมนิ่งอย่างใจเย็น “หลังจากนี้ผมต้องไปจัดการเรื่องของกงเจ๋อตวนก่อน”

คำพูดของหวังหยูเฟิงไม่ได้ทำให้เจิ้งหยุนพอใจแม้แต่น้อย ถึงอยากจะเอาแต่ใจแล้วรั้งผู้กองหวังเอาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ตระหนักดีว่า ครั้งนี้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้

“เอาเถอะครับ ไม่ต้องส่งใครมาแทนคุณหรอก” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงห้วน ก่อนจะเดินนำไปทางห้องรับประทานอาหาร “ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุน แล้วเดินตามอีกฝ่ายไปโดยไม่ได้พูดคุยอะไรอีก





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หวังหยูเฟิงเดินทางออกจากคฤหาสน์ริมทะเลในตอนดึก และในวันรุ่งขึ้นผู้กองหนุ่มก็ไปทำงานตามปกติ มอเตอร์ไซค์ที่เคยยืมเพื่อนสนิทมาใช้จอดอยู่ที่ลานจอดรถของสถานีตำรวจ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในอาคารด้วยท่าทีมั่นคง

บรรยากาศภายในสถานีตำรวจยังเหมือนเดิม หวังหยูเฟิงเดินเข้าไปในห้องทำงาน แล้วบอกให้เว่ยเจียวเซินรวบรวมเอกสารของกงเจ๋อตวนที่เพื่อนสนิทดูแลทั้งหมดมา เพื่อเริ่มต้นงานใหม่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เส้าซินฉีทิ้งตัวลงบนโซฟาในคอนโดมิเนียมอย่างหงุดหงิด วันนี้เธอติดต่อไปหาเจิ้งหยุน แล้วก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธ แถมยังไร้เยื่อใยมากกว่าทุกครั้งเสียด้วย หลายวันแล้วที่หญิงสาวไม่มีโอกาสสร้างความสนิทสนมกับเจ้าของผับกาเบรียลอย่างที่ใจต้องการ

คุณหนูเส้าถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปแต่งตัว แล้วตัดสินใจออกจากห้องพัก เวลาที่ผู้หญิงอารมณ์ไม่ดี การใช้เงินซื้อความสุขก็เป็นทางแก้ที่ดีและรวดเร็วที่สุด

เส้าซินฉีใช้เวลาไม่นาน ร่างบางไม่ต่างจากนางแบบก็เดินออกจากห้อง เธอเดินไปทางลานจอดรถที่มีคนขับรถและคนคุ้มกันมารอรับอยู่ก่อนแล้ว





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ตุบ! ปึก!

ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ผู้ชายสองคนในชุดรัดกุมเข้าโจมตีคนขับรถและบอดี้การ์ดของลูกสาวนักธุรกิจใหญ่อย่างอุกอาจ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ หลีซิงหันไปมองผู้ชายอีกคนที่กำลังลากเหยื่อให้หลบซ่อนสายตาจากคนอื่น

“หลีซิง แล้วจะเอาอย่างไรต่อ”

เสียงทุ้มเรียบของคนร่วมแผนการ ทำให้ใบหน้าที่สวยเกินชายยุ่งขึ้น หลีซิงเข้าไปถอดชุดของคนขับรถประจำตัวคุณหนูเส้าเพื่อปลอมตัว

“รอเวลาให้ยายนั่นกลับมา” หลีซิงตอบ ริมฝีปากสีอ่อนแสยะยิ้มอย่างมาดร้าย โชคดีที่เส้าซินฉีไม่ชอบให้ใครตามติดในเวลาส่วนตัว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงลงมือลำบากขึ้น

อินเสี้ยวตงถอดเครื่องแต่งกายของบอดี้การ์ดที่หมดสติมาใส่ นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองชายร่างบางที่กำลังหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ

“อย่าสูบเยอะ” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้น วันนี้หลีซิงสูบบุหรี่มาหลายมวนแล้ว

“เรื่องของฉันน่า” หลีซิงตอบปัด แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาที่นิ่งเสมอเจือความไม่พอใจ เด็กหนุ่มก็เสียงอ่อนลง “ก็ฉันเครียดนี่ ขอมวนสุดท้ายนะ”

อินเสี้ยวตงไม่ตอบ แล้วยืนพิงผนังปูนสีขาวรอเวลา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เขารู้จักกับหลีซิงที่สำนักสอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหม่า ในครั้งแรกที่ได้พบ ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอะไร ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีใบหน้างดงามน่ามอง แต่เมื่อได้เห็นความพยายามของร่างบาง ถึงได้เริ่มสนใจ

เดิมทีหลีซิงก็มีรูปร่างและหน้าตาไม่สมชายจนถูกคนในสำนักกลั่นแกล้ง แต่ความไม่ยอมแพ้และอดทน ก็ทำให้อินเสี้ยวตงหลวมตัวเข้ามาปกป้อง

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด กว่าที่เขาจะทันได้รู้สึกตัว สายตาก็เอาแต่เฝ้ามองหลีซิงอยู่เสมอ ยิ่งได้พูดคุยและรู้เรื่องราวของอีกฝ่าย ความสงสารในคราแรกก็แปรเปลี่ยน

อินเสี้ยวตงไม่ค่อยนึกเห็นด้วยกับแผนการของร่างบางนัก แต่ความคับแค้นใจที่กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาของหลีซิงก็ทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนตบปากรับคำให้ความช่วยเหลือ

เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ไปผจญกับอันตรายตามลำพังได้ ถึงแม้หลีซิงจะต้องการหลอกใช้ก็ตาม

ชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังอะไร แค่อยากดูแลและปกป้องในฐานะ...เพื่อนที่แอบรักคนหนึ่งเท่านั้น

พวกเขารอเวลาอย่างใจเย็นพร้อมกับมองคนขับรถและบอดี้การ์ดที่ตอนนี้กำลังดิ้นหนีจากพันธนาการในความมืดที่บุรุษทั้งสองจากสำนักตระกูลหม่าสร้างขึ้น

หลีซิงยกยิ้มขึ้น ก่อนจะเดินไปย่อตัวลงข้างเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ถูกคลุมหัวและปิดปากของตัวเองอย่างย่ามใจ นัยน์ตาสวยเปล่งประกาย

“พวกเราไม่ฆ่าพวกแกหรอก แค่ทำตามคำสั่งของท่านกงเจ๋อตวนเท่านั้น” หลีซิงเอ่ยขึ้น รอยยิ้มหวานวาดบนริมฝีปาก ถึงแม้คู่สนทนาทั้งสองจะไม่ได้เห็นก็ตาม “มีอะไรก็ไปเอาเรื่องกับเจ้านายของพวกเราก็แล้วกัน”

สิ้นคำพูด หลีซิงก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้อินเสี้ยวตงจัดการคนที่ตกอยู่ในเงื้อมมือจนหมดสติไปอีกครั้ง

หลีซิงมองร่างสูงอย่างสมใจ ถ้าว่ากันตามจริงแล้วบุรุษตรงหน้าถือเป็นรุ่นพี่ในสำนักที่มีฝีมือ นอกจากนี้เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผ่านสายตานิ่งเรียบของอินเสี้ยวตงอีกด้วย ทว่าหัวใจของเด็กหนุ่มมีเพียงบุคคลผู้เดียวเท่านั้น และไม่อาจเปิดรับใครได้อีก โดยเฉพาะในยามที่ความแค้นสุมอกเช่นนี้

ช่วงบ่ายคล้อยเลื่อนมาถึงหัวค่ำ หลีซิงและอินเสี้ยวตงยังรอคอยเป้าหมายต่อไป จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือของผู้ติดตามของเส้าซินฉีดังขึ้น เด็กหนุ่มจึงกดรับสาย

[ฉันจะกลับแล้ว]

“ครับ”

หลีซิงเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับรถ โดยมีอินเสี้ยวตงนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับในสถานะบอดี้การ์ด

รถยนต์คันหรูเคลื่อนที่มาจอดเทียบตรงหน้าเส้าซินฉีอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บอดี้การ์ดตัวปลอมจะกระวีกระวาดไปเปิดประตูให้คุณหนูและเอาของไปเก็บอย่างรู้งาน หญิงสาวไม่ได้สนใจมอง เธอเดินเข้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังตามปกติ

“พาฉัน...”

ในขณะที่เส้าซินฉีกำลังจะออกตำสั่ง อินเสี้ยวตงก็หันไปมองพร้อมกับฉีดสเปรย์ยาสลบใส่หญิงสาวทันที

“หึ...” หลีซิงแค่นยิ้มออกมา สายตาเหลือบมองเส้าซินฉีผ่านกระจกมองหลังเล็กน้อย แล้วกลับมาสนใจถนนข้างหน้าต่อ

“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้น เขานึกสงสารหญิงสาวที่ต้องเป็นเหยื่อล่อในครั้งนี้ โดยไม่ได้ล่วงรู้เจตนาแอบแฝงของหลีซิงแม้แต่น้อย

“ช่วยไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องมีของบรรณาการไปให้ไอ้แก่นั่นนี่” หลีซิงเอ่ยตอบ แล้วถอนหายใจออกมา “นายอยากถอนตัวตอนนี้ก็ได้ ฉันจะจัดการต่อคนเดียวเอง”

“นายควรรู้จักประมาณตัวเองด้วย” อินเสี้ยวตงเอ่ยเตือน เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกแกะอย่างหลีซิงเข้าไปในดงเสือตามลำพังแน่นอน

รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ หลีซิงรู้ดี...อินเสี้ยวตงไม่มีทางให้เขาไปเสี่ยงอันตรายตามลำพังอยู่แล้ว

ถึงจะพอมีทักษะการยิงปืนอยู่บ้าง แต่ในด้านการต่อสู้แล้ว หลีซิงยังอ่อนหัดมากนัก เด็กหนุ่มขาดทั้งสมรรถภาพทางร่างกายและประสบการณ์ เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ฝึกฝนและถูกสั่งสอนในสำนักสอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหม่าไม่อาจทำให้เขาเก่งกาจจนไปต่อกรใครแบบไม่กลัวตายได้

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” หลีซิงเอ่ยรับ ถึงจะขาดวิชามวย แต่เรื่องการเข้าหาคน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร เขารู้จักและเลือกปฏิบัติกับคนที่เหมาะสมเสมอ

ในเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันของความเจริญ รถยนต์คันหรูวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลงที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่

“ผมเอาของมาส่งให้ท่านกงเจ๋อตวนครับ” หลีซิงเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นชายในชุดสูทสีดำหลายคนกำลังมองมาที่พวกเขาอย่างไม่ไว้วางใจ “เรียนท่านว่า บรรณาการจากหลีซิงที่เคยตกลงเอาไว้ครับ”

ชายในชุดสูทสีดำไม่ได้ตอบรับ แต่เขาก็แจ้งการมาเยือนของคนแปลกหน้าให้เจ้านายทราบ ก่อนจะถามแขกที่ไม่ได้นัดด้วยน้ำเสียงดุดัน

“ของอะไร”

“หญิงสาวชั้นสูงครับ”

หลังจากรอคำอนุญาตจากเจ้าถิ่นอยู่สักพัก บานประตูรั้วก็เปิดออก หลีซิงขับรถเข้าไปด้านในแล้วจอดที่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แวดล้อมด้วยทัศนียภาพสวยงามสมฐานะของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ของเมือง

 ชายในชุดสูทสีดำหลายคนเข้ามารุมล้อมอย่างเฝ้าระวังด้วยท่าทางจริงจัง หลีซิงไม่ได้สนใจ เขาลงมาจากรถยนต์โดยที่มีอินเสี้ยวตงเดินไปอุ้มร่างบางที่ยังไม่ฟื้นสติออกมา

“ตามมา” ลูกน้องของกงเจ๋อตวนคนหนึ่งออกคำสั่ง ก่อนจะเดินนำแขกเข้าไปพบเจ้านายของตัวเอง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣




ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


กงเจ๋อตวนนั่งมองแขกต่ำศักดิ์อย่างสนใจ ก่อนที่นัยน์ตาเรียวจะเป็นประกาย เมื่อได้ทอดมองร่างบางที่สลบไสลราวกับเจ้าหญิงนิทราในอ้อมแขนของผู้ที่มาเยือน

“พาเธอไปไว้ที่ห้อง” กงเจ๋อตวนสั่ง อินเสี้ยวตงจึงส่งหญิงสาวในอ้อมแขนให้ลูกน้องของเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้

“พวกเธอกล้ามากที่เอาลูกสาวของเส้าเหิงมาให้ฉันจนได้” กงเจ๋อตวนหันไปเอ่ยกับแขกทั้งสองคนที่กำลังยืนฟังด้วยท่าทางนอบน้อม “แต่ฉันชอบคนกล้า ตกลงจะรับพวกเธอมาเป็นลูกน้องของฉัน”

“ขอบคุณครับท่าน” หลีซิงและอินเสี้ยวตงเอ่ยตอบรับพร้อมกัน พวกเขาโค้งตัวทำความเคารพเจ้านายคนใหม่ของตัวเอง

“ฮ่าๆ ดีๆ” กงเจ๋อตวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงพอใจ เขาหันไปยกมือเรียกลูกน้องอีกคน “พาพวกเขาไปที่พัก”

“ครับท่าน” ผู้ชายในชุดสูทสีดำเอ่ยรับเสียงนิ่ง ก่อนที่เขาจะพาเด็กใหม่ทั้งสองคนไปยังที่พักพร้อมกับสั่งสอนกฎระเบียบและหน้าที่ในฐานะลูกน้องของกงเจ๋อตวน

หลีซิงลอบยิ้มในใจ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจหรอกว่า ต่อจากนี้ไปชะตาชีวิตของเส้าซินฉีจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็บอกเบาะแสให้ลูกน้องของเธอไปแล้ว ถ้าดวงดี เส้าเหิงก็คงมาช่วยลูกสาวได้ทัน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ราตรีอันเงียบสงบ ภายในห้องนอนใหญ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่ามีสไตล์แบบชนชั้นสูง หญิงสาวที่หลับใหลอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง ภาพแรกที่เธอมองเห็นคือเค้าร่างของใครคนหนึ่งที่ทาบทับร่างกายของตัวเองอยู่

“อื้อ...”

เสียงครางหวานดังผะแผ่ว เส้าซินฉีมึนงง เธอตั้งใจจะยกมือขึ้นกุมศีรษะแต่ไม่อาจทำได้อย่างที่ใจคิด เมื่อข้อมือของหญิงสาวถูกยึดไว้ด้วยเชือกเส้นหนา

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

“ตื่นขึ้นมาแล้วหรือเจ้าหญิงของฉัน”

เสียงทุ้มหยาบโลน ทำให้สติของเส้าซินฉีกระจ่างชัดขึ้นในทันที นัยน์ตาสวยที่เคยสะลืมสะลือเบิกกว้าง เมื่อรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้

“ว๊าย! ออกไปนะ! แกเป็นใคร! ออกไป!!!” เส้าซินฉีกรีดร้อง แต่ไม่อาจหยุดยั้งลมหายใจร้อนและริมฝีปากที่ประทับไปตามเรือนกายบอบบางสวยงามอย่างย่ามใจได้เลย

“หึ! เราเคยเจอกันแล้ว จำไม่ได้หรือ” กงเจ๋อตวนเอ่ยถามอย่างหยอกเย้า  มือหยาบลูบคลำผิวเนื้อนุ่มนิ่มที่กรุ่นกลิ่นหอมหวานของสาวงามอย่างหลงใหล “คืนนี้ฉันจะทำให้เธอมีความสุข”

“ไม่!!! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้!!!” เส้าซินฉีกรีดร้องลั่น เธอพยายามดิ้นหนี แต่ไม่อาจทำอะไรได้เลย ร่างกายเปลือยเปล่าของหญิงสาวสั่นสะท้าน สัมผัสชวนคลื่นเหียนก็น่าขยะแขยงจนคิดอะไรไม่ออก

ทำไม! ทำไม! ทำไมเธอจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย!

 ฉันคือเส้าซินฉีนะ!!!

คุณหนูเส้าได้แต่ร้องตะโกนอยู่ในใจ ทว่าร่างกายไม่อาจต่อต้านการรุกรานของผู้ชายตรงหน้าได้ น้ำตาปริ่มล้นที่หน่วยตาสวย เธอแทบจะกลั้นลมหายใจตาย เมื่อร่างกายของตัวเองกำลังสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับชายแก่ทีน่ารังเกียจ

จากความตื่นตกใจกลับกลายเป็นความหวาดกลัว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห เพราะไม่อาจขัดขืนสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ได้

เส้าซินฉีทั้งกรีดร้องและร่ำไห้ ร่างกายสะโอดสะองกำลังถูกย่ำยีไม่ต่างจากตุ๊กตายางบำบัดความใคร่ สัมผัสที่เธอได้รับราวกับน้ำกรดที่กัดกินหัวใจในทุกขณะ

แรงกระแทกกระทั้นตามอารมณ์ที่ลุกโชนและเสียงครางอย่างสุขสมของกงเจ๋อตวนผสานกับเสียงคร่ำครวญปานขาดใจของคุณหนูเส้าผู้โชคร้าย ไม่ต่างจากปิศาจที่กำลังกลืนกินมนุษย์ผู้อ่อนแออย่างเหี้ยมโหด

เส้าซินฉีไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ แต่เธอก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้ชายที่ตัวเองไม่เต็มใจ

“สุดยอด...” กงเจ๋อตวนพร่ำเพ้ออย่างมีความสุข หลังจากได้ปลดปล่อยหยาดหยดของความต้องการสมใจ เขาเชยปลายคางของร่างบางที่อ่อนแรงอย่างถือสิทธิ์ แล้วก้มลงช่วงชิงเรียวปากนุ่มหวานอย่างตะกละตะกลาม

เส้าซินฉีเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น หญิงสาวพยายามดิ้นหนีการตะโมบจูบอย่างบ้าคลั่งด้วยหัวใจที่ร้าวราน ความเสียใจและสมเพชในโชคชะตาที่สวรรค์ทอดทิ้ง ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความเคียดแค้นเติบโตขึ้นในใจที่เจ็บปวด

กงเจ๋อตวนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เมื่อความปรารถนาไม่ได้รับการตอบสนอง มือหนายกขึ้นบีบคางมนเต็มแรงจนร่างบางที่ขัดขืนเผยช่องว่างให้เขาได้รุกล้ำเข้าไปชิมรสชาติภายในโพรงปากของสาวงามได้ดั่งใจ ก่อนจะใช้มือบีบขยำทรวงอกนูนเต่งตึงด้วยความเพลิดเพลิน

หยาดน้ำตาที่ไม่มีวันหมดไหลอาบแก้มเนียนจนเปรอะเปื้อน นัยน์ตาสวยบวมช้ำถลนขึ้น ทว่าไร้ประกายของชีวิตอย่างสิ้นเชิง ความหดหู่และสิ้นหวังถ่วงตัวตนของเธอให้ตกอยู่ในความมืดมิด ก่อนที่ความกล้ำกลืนฝืนทนถึงขีดสุดจะฉุดดึงสติสัมปะชัญญะที่ร่วงหล่นให้กลับมาอีกครั้ง

สมองของเส้าซินฉีเต็มไปด้วยความอาฆาต จิตใจที่มุ่งร้ายสั่งการร่างกายให้ต่อสู้ เธอตัดสินใจกัดลิ้นของกงเจ๋อตวนเต็มแรง

“โอ๊ย!” กงเจ๋อตวนร้องออกมา เขาจับลิ้นที่ถูกทำร้ายจนเลือดออกของตัวเอง แววตาถูกใจเปลี่ยนเป็นโกรธเคืองในทันที แล้วฝ่ามือที่เคยลูบไล้เรือนร่างตบเข้าที่ใบหน้าหวานเต็มแรงพร้อมกับตวาดลั่น

เพี๊ยะ!

“ฤทธิ์เยอะนักหรือ!”

แรงตบทำให้รู้สึกชาในตอนแรก ก่อนความเจ็บปวดจะเข้ามาแทนที่ ในชีวิตนี้เส้าซินฉีไม่เคยโดนใครทำร้ายแบบนี้มาก่อน เธอถลึงตาอย่างเอาเรื่อง และท่าทางจองหองก็ผลักดันอารมณ์ร้ายของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่มากขึ้น

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

กงเจ๋อตวนฟาดมือเข้าที่ใบหน้างดงามอย่างไร้ความปรานีอีกหลายครั้งเพื่อระบายความกรุ่นโกรธที่ลุกโชนอยู่ในใจ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและแค้นใจของเส้าซินฉีดังอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พวงแก้มขาวนุ่มแดงก่ำจากรอยมือทั้งสองข้าง ริมฝีปากสีอ่อนอวบอิ่มก็แตกช้ำจนน่าเวทนา

กงเจ๋อตวนหยุดมือ เมื่อห้วงความรู้สึกพลุ่งพล่านสงบลง รอยยิ้มน่ากลัวปรากฏบนใบหน้าของชายวัยกลางคน

“ถ้าทำตัวดี ว่าง่าย ฉันจะดูแลเธอเป็นอย่างดี” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับบีบคางสวยไว้มั่น นัยน์ตาเรียววาวโรจน์ “อย่าคิดต่อต้านฉัน!”

“ถุย! ฉันยอมตายดีกว่าต้องมาบำเรอให้คนอย่างแก!!!” เส้าซินฉีตะโกนลั่นอย่างไม่กลัวตาย กงเจ๋อตวนที่ถูกหยามหน้าทั้งวาจาและการกระทำไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองได้อีก

“ดี! ฉันจะสงเคราะห์ให้เธอเอง!” กงเจ๋อตวนตวาดกลับ แล้วใช้ผ้าผืนบางรัดที่ลำคอเรียวระหงของหญิงสาวแน่น เส้าซินฉีพยายามดิ้นรนไปตามสัญชาตญาณพร้อมกับลมหายใจที่หดหายไปเรื่อยๆ ในช่วงวินาทีหนึ่งที่ความตายเข้ามาใกล้ ความหวาดกลัวก็ล้นปรี่ขึ้นในใจ

ทว่ายังไม่ทันที่มโนภาพสุดท้ายจะไหลเข้ามาในความทรงจำ ร่างบอบบางก็แน่นิ่งเสียก่อน กงเจ๋อตวนยังคงรัดลำคอของหญิงสาวต่อไปจนลมหายใจของความโมโหหอบถี่ นัยน์ตาสวยไร้ชีวิตที่เบิกโพลงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไร นอกจากความสะใจ

“หึ! คิดว่าฉันไม่กล้าหรือ” กงเจ๋อตวนเอ่ยเสียงเหี้ยมพร้อมกับปล่อยมือจากผ้าที่เคยจับไว้มั่นออก ชายผู้ลงมือแค่นยิ้มออกมา “เสียของจริงๆ”

กงเจ๋อตวนลุกขึ้นจากเตียงนอน เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำ ก่อนจะเรียกลูกน้องเข้ามาจัดการความเรียบร้อย แล้วสั่งด้วยท่าทีเฉยชา

“เอาไปโยนทิ้งทะเล”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลีซิงและอินเสี้ยวตงแต่งกายในชุดสูทสีดำ ซึ่งเป็นเครื่องแบบบอดี้การ์ด พวกเขาเดินมารับประทานอาหารเช้าที่โรงครัวของคนรับใช้ ก่อนจะได้ยินบทสนทนาบางอย่างจากลูกน้องของกงเจ๋อตวนคนหนึ่ง

“เมื่อคืนท่านจัดการไปอีกคนแล้ว”

“น่าสงสาร ถ้ายอมสักหน่อยก็ได้อยู่สุขสบายไปแล้วแท้ๆ”

“แต่ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นลูกคนรวยอยู่แล้วนี่ ที่เจ้าเด็กใหม่พามา”

“อย่างนั้นหรือ”

หลีซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาลอบฟังบทสนทนาไม่ค่อยเข้าใจนัก เลยตัดสินใจเดินไปถามกับคนที่กำลังเล่าอยู่โดยตรง

“พี่ชาย ผู้หญิงที่พวกผมพามา ทำไมหรือ” หลีซิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้าหวานแต้มรอยยิ้มเล็กน้อย ทำให้คนฟังเผลอตอบออกมาอย่างง่ายดาย

“อ้อ ผู้หญิงที่แกพามาน่ะ ตายแล้ว”

หลีซิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้ารับ ก่อนที่เสียงของรุ่นพี่บอดี้การ์ดจะเล่าต่อ

“เมื่อคืนคงทำให้ท่านโมโหมาก ถึงได้มีจุดจบแบบนั้น”

“อย่างนั้นหรือครับ”

“พวกแกก็ระวังตัวให้ดี อย่าทำให้ท่านขุ่นเคืองเชียว เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว”

“ครับ ขอบคุณพี่ชายที่ตักเตือน”

หลีซิงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารของตัวเองอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดคุยกับอินเสี้ยวตงที่ยังนั่งรับประทานอาหารเช้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เดิมทีหลีซิงรู้สึกเกลียดชังเส้าซินฉีมาก ยิ่งนึกถึงภาพความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจิ้งหยุนที่ภัตตาคารเฟยลี่และล่วงรู้เจตนาของอีกฝ่ายผ่านการสอบถามไป๋ลู่เหอด้วยแล้ว ความริษยาและไม่พอใจก็เผาผลาญหัวใจของเขาจนไม่เหลือซาก ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังให้เธอต้องจบชีวิตเสียทีเดียว ก็แค่ตั้งใจให้เสียชื่อและศักด์ศรีจนไม่กล้าไปหาชายในดวงใจของเขาได้อีก

เส้าซินฉีก็แค่เหยื่อที่ใช้แล้วทิ้งของเขาเท่านั้น







TBC+++++++++  19บทเพลงของผู้สูญเสีย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai1:

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
 :katai4:

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
19
บทเพลงของผู้สูญเสีย







เรื่องราวของลูกสาวที่ได้ยินจากลูกน้องว่าถูกลักพาตัวเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทำให้ผู้เป็นพ่อร้อนใจจนไม่สามารถทำอะไรได้เลย เส้าเหิงรีบจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ทันใจของเขาอยู่ดี

นักธุรกิจใหญ่ได้แต่นึกหงุดหงิดและกังวล ตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศและอีกหลายชั่วโมงกว่าจะกลับไปถึง ข่าวร้ายที่ไม่คาดฝัน ทำให้เส้าเหิงอยากจะมีเวทมนตร์เพื่อเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังสถานที่ที่ต้องการภายในพริบตา

มือใหญ่ที่กำแน่นเปลี่ยนไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วติดต่อบุคคลที่พอจะช่วยเหลือเขาได้ในเวลานี้ เสียงสัญญาณดังนานจนแทบจะทนรอไม่ไหว ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยรับ

[ฮัลโล...]

“ผมเส้าเหิงนะ! ตอนนี้ลูกสาวของผมถูกกงเจ๋อตวนจับตัวไป! คุณตามไปช่วยเธอได้ไหม! ตอนนี้ผมอยู่ต่างประเทศกำลังเดินทางกลับ!”

เส้าเหิงบอกความต้องการของตัวเองด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทว่าปลายสายกลับนิ่งเงียบ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยถ้อยคำของคนที่ไม่รู้จักกัน

[คุณโทรผิดแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานีตำรวจ]

“เดี๋ยว!...”

ทว่ายังไม่ทันที่เส้าเหิงจะได้กล่าวอะไรต่อ สัญญาณการเชื่อมโยงเครือข่ายก็ตัดขาด เมื่อเขาโทรศัพท์กลับไปอีกครั้ง ก็ไม่มีใครรับสายอีก

“โธ่เว้ย!” เส้าเหิงสบถอย่างหัวเสีย เขาอยากจะตามไปเอาเรื่องกับปลายสายที่ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าทันที

ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!

เส้าเหิงได้แต่ฝังแค้นอยู่ในใจ เวลานี้สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการรอคอยเท่านั้น





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เมื่อเส้าเหิงกลับมาถึงสนามบินในประเทศบ้านเกิดในหลายชั่วโมงต่อมา เขาก็รีบเดินทางไปหาคนที่คาดโทษเอาไว้ในใจทันที

รถยนต์ราคาแพงเคลื่อนที่มาถึงหน้าประตูรั้วของคฤหาสน์ริมทะเลในช่วงสาย ทันทีที่ได้พบกับชายหนุ่มที่นั่งดื่มชาอยู่ที่สวนอย่างอารมณ์ดี เส้าเหิงที่มีความเครียดและความไม่พอใจเต็มอกก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้อีก

“เจิ้งหยุน!”

เสียงเรียกแข็งกร้าว ทำให้จูเยี่ยนหลันและสือซีอิ๋งที่ยืนรับใช้หันไปมองด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก ถ้าหากอีกฝ่ายยังทำตัวไร้มารยาทกับเจ้านายของพวกเธออีก คงต้องได้รับการสั่งสอน

เจิ้งหยุนหันไปมอง แล้วเผยรอยยิ้มทักทายไปตามปกติ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าและท่าทางของแขกผู้มาเยือนแม้แต่น้อย

“สวัสดีครับคุณเส้า มาหาผมถึงนี่ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“มีสิ! มีแน่!” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางฉุนเฉียว นัยน์ตากร้านโลกจ้องมองบุรุษรุ่นลูกอย่างไม่พอใจ “ลูกสาวของผมถูกจับตัวไป! แต่คุณก็ยังตัดสายของผมทิ้ง! มันหมายความว่าอย่างไร!”

เส้าเหิงไม่อยากนึกถึงชะตากรรมของบุตรสาวในเวลานี้เลย เพราะรู้จักกิตติศัพท์ของกงเจ๋อตวนดี ป่านนี้ดวงใจของเขาอาจจะถูกทำให้แปดเปื้อนไปแล้วก็ได้

โธ่! ฉีฉีของพ่อ!

“ผมทำแบบนั้นหรือครับ” เจิ้งหยุนย้อนถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วแสดงใบหน้าถึงบางอ้อ “ตอนนั้นเอง ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าตัวเองฝันไปเสียอีก”

เส้าเหิงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันข่มอารมณ์อย่างเต็มที่กับใบหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของอีกฝ่าย เขาจะเอาคืนเจิ้งหยุนแน่ แต่ตอนนี้เรื่องช่วยเส้าซินฉีต้องมาก่อน

“พวกเราต้องไปช่วยฉีฉีกันเดี๋ยวนี้เลย!” เส้าเหิงเอ่ยถึงความต้องการที่ยังไม่สัมฤทธิ์ผลของตัวเอง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น

ถึงเส้าเหิงจะเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าและมีแผนการใหญ่ที่หมายมาดไว้ในใจ แต่อำนาจและอิทธิพลที่มีไม่อาจเทียบทายาททั้งสองของตระกูลเจิ้งได้เลย โดยเฉพาะที่เมืองนี้...เขาไม่มีแรงต่อกรกับกงเจ๋อตวนเพียงลำพัง

“คุณซินฉีถูกกงเจ๋อตวนลักพาตัวไปใช่ไหมครับ” เจิ้งหยุนย้อนถามอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ผมว่า…คุณควรไปแจ้งตำรวจมากกว่ามาบอกผมนะ”

“ตำรวจจะไปทำอะไรได้!” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน “ผมขอร้องล่ะ! ให้คนของคุณไปช่วยฉีฉีกลับมาที!”

“คนของผม?” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย แล้วระบายยิ้มบางให้คนตรงหน้า “ผมมีแต่คนที่คอยดูแลคฤหาสน์กับพนักงานในผับกาเบรียล จะเอาอะไรไปสู้กับกงเจ๋อตวนที่เป็นผู้มีอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้ได้ล่ะครับ”

“คุณหยุดเฉไฉเสียทีเถอะ! ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร!” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด ทำไมเขาต้องมาเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเจิ้งหยุนในเวลาเช่นนี้ด้วย

“ใจเย็นก่อนเถอะครับคุณเส้า” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงอ่อน เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “พวกเราไปแจ้งความกัน ผมจะไปกับคุณด้วย”

“เจิ้งหยุน!”

“ผมไม่รู้หรอกว่า คุณคิดว่าผมเป็นใครหรือรู้อะไรมา แต่ความจริงก็คือ ผมเป็นแค่เจ้าของผับกาเบรียลธรรมดา แล้วก็ไม่ชอบทำสิ่งผิดกฎหมายนะครับ”

เจิ้งหยุนส่งยิ้มให้กับใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธของเส้าเหิง ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องให้เตรียมรถยนต์เพื่อออกเดินทาง อันที่จริงชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องราวของเส้าซินฉีเลย ไม่ว่าเธอจะไปไหนหรืออยู่กับใครก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา แต่ที่ยอมตกลงจะไปสถานีตำรวจด้วยก็เพราะอยากไปหาคนที่ไม่ยอมให้เจอมาหลายวันแล้ว

คิดถึงหยูเฟิงจะแย่...





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หวังหยูเฟิงที่กำลังคร่ำเคร่งกับกองงานที่มีอยู่เต็มโต๊ะเงยหน้าขึ้น เมื่อเว่ยเจียวเซินเดินเข้ามาแจ้งข่าว

“มีคนมาขอพบค่ะ”

“ใครครับ”

“คุณเจิ้งหยุนกับคุณเส้าเหิงค่ะ”

ผู้กองหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ตลอดหลายวันมานี้หวังหยูเฟิงตัดขาดการติดต่อกับเจิ้งหยุนโดยสิ้นเชิง สาเหตุหนึ่งก็เพราะอยากใช้เวลาที่เคยเสียเปล่าไปกับงานให้เต็มที่ และอีกส่วนหนึ่งเขายังรู้สึกโกรธที่ถูกอีกฝ่ายปั่นหัวเล่น

  หลังจากย้ายออกมาจากคฤหาสน์ริมทะเล เจิ้งหยุนเคยมาหาที่สถานีตำรวจหลายครั้งด้วยข้ออ้างสารพัดที่เขารู้ทัน ผู้กองหนุ่มจึงไม่เคยออกไปพบด้วยเหตุผลหลายอย่างที่จะคิดได้ แต่วันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะการที่เส้าเหิงมาด้วยคงเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน

“เดี๋ยวผมออกไป”

หวังหยูเฟิงใช้เวลาจัดเก็บงานของตัวเองสักพัก ก่อนจะออกไปพบแขกของเขาในวันนี้





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





“คุณหวังครับ”

หวังหยูเฟิงตีหน้านิ่ง เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจางบนใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคย เขาไม่ได้ทักทายตอบ แต่เลื่อนสายตาไปมองเส้าเหิงที่มีใบหน้าเคร่งเครียด

“มีอะไรอย่างนั้นหรือครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามเส้าเหิง โดยไม่ได้สนใจชายหนุ่มผมยาวที่ย้ายตัวเองมานั่งบนที่เท้าแขนของโซฟาที่นายตำรวจนั่งอยู่ แถมยังถือวิสาสะโอบหลังของเขาเอาไว้ด้วย

เส้าเหิงมองท่าทางของเจิ้งหยุนอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองออกมาเสียงห้วน

“เมื่อคืนนี้ลูกสาวของผมถูกกงเจ๋อตวนจับตัวไป ตอนนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง คุณช่วยส่งคนไปตามหาที”

หวังหยูเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะคาดไม่ถึง ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น

“ทำไมคุณถึงรู้ว่ากงเจ๋อตวนลักพาตัวคุณเส้าซินฉีไปล่ะครับ”

“พวกมันบอกเอง พวกมันจับลูกน้องของผมที่ส่งไปดูแลฉีฉีทิ้งไว้ที่ลานจอดรถของห้าง กว่าจะมีคนไปช่วยไว้ ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว” เส้าเหิงบอกด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ ตอนนี้เขาอยากบุกไปช่วยบุตรสาวเต็มทน ไม่ใช่มาเสียเวลากับตำรวจไม่ได้เรื่องแบบนี้ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณมาไล่ถามผม ป่านนี้ลูกสาวผมเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”

“เดี๋ยวก่อนครับ คนร้ายอาจจะอ้างชื่อกงเจ๋อตวนไปก่อเหตุก็ได้ เรายังยืนยันเรื่องนั้นไม่ได้หรอกครับ” หวังหยูเฟิงบอกอย่างใจเย็น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาไม่พอใจไปให้คนที่พ่นลมหายใจใส่ใบหูของเขาเล่น “คุณเจิ้งไปนั่งห่างๆ ได้ไหม ผมจะทำงาน”

“แต่ผมคิดถึงคุณนี่” เจิ้งหยุนเอ่ยความในใจอย่างตรงไปตรงมา แล้วแสดงใบหน้าตัดพ้อ “ก่อนหน้านี้คุณไม่ยอมเจอผมเลย เสียงก็ไม่ให้ได้ยิน”

“อย่ามาเรื่องมากกับผมตอนนี้” หวังหยูเฟิงว่าเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปสนใจเส้าเหิงที่อารมณ์เสียถึงขีดสุดต่อ โดยตั้งใจเมินคนที่ทำหูทวนลมนั่งโอบไหล่ของเขาต่อไปอย่างหน้าไม่อาย “ทางนี้คงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้ในทันที ผมคงต้องขอตรวจสอบก่อน แล้วคนอย่างกงเจ๋อตวนก็ไม่ยินยอมให้ตำรวจไปค้นโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน”

“แล้วเมื่อไร!” เส้าเหิงตวาดลั่นอย่างเหลืออด หวังหยูเฟิงยังแสดงสีหน้านิ่งสงบ ต่างจากชายหนุ่มอีกคนที่ปรากฏความไม่พอใจเจือจาง นัยน์ตาคมจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง

“คุณเส้าเหิงอย่าส่งเสียงดังสิ ที่นี่สถานที่ราชการนะครับ”

“เรื่องนั้นใครจะไปสน! ลูกสาวของผมตกอยู่ในอันตรายนะ!”

เส้าเหิงหันไปจ้องตากับเจิ้งหยุนอย่างเอาเรื่อง นักธุรกิจใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากโซฟา แล้วชี้หน้าคู่สนทนาทั้งสองคนด้วยความกรุ่นโกรธ

“ทำไมฉันต้องมาเสียเวลากับพวกแกด้วย! จะไปเอากันที่ไหนก็ไป!”

ปัง!

เส้าเหิงที่เดือดดาลตัวแข็งทื่อ เมื่อลูกกระสุนวิ่งผ่านผิวแก้มของเขาจนได้เลือด ก่อนที่มันจะฝังลงผนังปูนอย่างรวดเร็ว เสียงอาวุธที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนรีบรุดเข้ามาดูทันที

“เกิดอะไรขึ้นคะผู้กองหวัง!”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!”

หวังหยูเฟิงที่ตกตะลึงรีบลุกขึ้น แล้วเอ่ยกับเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาดูเหตุการณ์เพราะความห่วงใยและตกใจด้วยท่าทางสุขุมผ่าเผย

“ไม่มีอะไร แค่อุบัติเหตุน่ะ เจียวเซินคุณช่วยไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้คุณเส้าเหิงหน่อยนะ”

“ค่ะ”

หลังจากสถานการณ์กลับมาปกติอีกครั้ง หวังหยูเฟิงก็หันไปส่งสายตาดุใส่คนก่อเหตุที่ตีหน้าใสซื่อ

“ผมตกใจเสียงของคุณเส้า เลยมือลั่นน่ะครับ” เจิ้งหยุนแก้ตัวเสียงอ่อน นัยน์ตาคมมองนายตำรวจอย่างรู้สึกผิด “ความเสียหายครั้งนี้ ผมจะชดใช้ให้ครับ แล้วแบบนี้จะเป็นคดีความหรือเปล่า”

“คุณต้องจ่ายค่าปรับเรื่องทำลายสถานที่ราชการอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของคุณเส้าเหิง ก็ขึ้นอยู่ว่าเขาจะเอาเรื่องคุณหรือเปล่า”

เจิ้งหยุนเหลือบสายตามองคนที่หน้าซีดไปถนัดตา แล้วเอ่ยเสียงนุ่มที่มีกระแสความเย็นชาพร้อมกับแต้มรอยยิ้มมุมปาก

“หวังว่าคุณเส้าจะไม่เอาความกับผมนะครับ”

“อ..อืม”

หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา เขามองหมวดสาวที่เข้ามาปฐมพยาบาลให้เส้าเหิง แล้วจึงเริ่มกล่าวต่ออย่างใจเย็นอีกครั้ง

“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณครับ แต่ทางตำรวจก็มีขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ถ้าหากเข้าไปหากงเจ๋อตวนสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะโดนแจ้งข้อหาพยายามบุกรุกกลับมาก็ได้ เราจำเป็นต้องมีหมายค้นก่อนนะครับ”

“แล้วเมื่อไร”

“ผมจะทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดครับ”

“แล้วถ้าลูกสาวของผมเป็นอะไรไปก่อน คุณจะว่าอย่างไร”

หวังหยูเฟิงนิ่งเงียบ เขาไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของเส้าเหิงดี แล้วก็รู้สึกหนักใจไม่แพ้กัน

“ผมไม่อาจให้คำตอบเรื่องนี้กับคุณได้” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ผมจะรีบดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดครับ”

“ผมคงนั่งรอคุณไม่ไหวหรอก” เส้าเหิงว่า ในขณะที่เขากำลังจะใส่อารมณ์อีกครั้งก็ต้องชะงัก เพราะสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ “แล้วคุณจะให้ผมทำอะไร”

“ผมอยากเจอลูกน้องของคุณ แล้วสอบถามเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่งครับ”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣



ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5

เนื่องจากมีคดีเร่งด่วนที่เข้ามา ทำให้ผู้กองหนุ่มต้องหยุดงานอื่นเอาไว้ก่อน หวังหยูเฟิงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งตามหาร่องรอยและตรวจสอบกล้องวงจรปิด หลังจากได้สอบสวนเหตุการณ์ทั้งหมดจากลูกน้องของเส้าเหิงด้วยตัวเอง เขาก็ได้ข้อมูลหลายอย่างที่นำพาไปสู่กงเจ๋อตวน

กล้องวงจรปิดที่ตรวจสอบสามารถจับภาพของรถยนต์ทะเบียนที่ตามหา ซึ่งออกจากห้างสรรพสินค้าในตอนหัวค่ำ แล้ววิ่งผ่านไปตามถนนที่มุ่งหน้าไปทางคฤหาสน์ของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่

“กาแฟครับ”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขามองเจิ้งหยุนที่เดินถือแก้วกาแฟมาเสิร์ฟในยามดึก

“แล้วทำไมคุณไม่กลับไปสักที” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น เมื่อเจิ้งหยุนวางแก้วกาแฟลงที่โต๊ะทำงานของเขา

“ผมว่างครับ” เจิ้งหยุนตอบ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของผู้กองหนุ่ม

“แต่ผมยุ่งอยู่” หวังหยูเฟิงบอกเสียงเข้ม แล้วหยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ตอนนี้เขากำลังเตรียมการและรอหมายค้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“อันที่จริง...ผมพาคุณไปหากงเจ๋อตวนก็ได้นะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น รอยยิ้มบางระบายบนใบหน้า “หรือจะให้ผมไปช่วยดูให้ก็ยังได้”

หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตามองคนตรงหน้า เจิ้งหยุนที่สังเกตเห็นความลังเลในดวงตานิ่งสงบก็ยกยิ้มขึ้น

“ถ้าหากคุณยอมรับเงื่อนไขของผม”

“ผมไม่มีเวลามาเล่นกับคุณหรอกนะ”

“ผมเอาจริงครับ”

“เจิ้งหยุน”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา ก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารที่ค้างคาเอาไว้ต่อ โดยที่มีเจิ้งหยุนเฝ้ามองอยู่เงียบๆ





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เนื่องจากการทำงานที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง หวังหยูเฟิงจึงได้เอกสารทางราชการในการค้นหาเส้าซินฉีอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นผู้กองหวังเดินทางมาที่คฤหาสน์ของผู้มีอิทธิพลใหญ่พร้อมกับเส้าเหิง และเมื่อแสดงหลักฐานในการตรวจค้นให้กงเจ๋อตวนยินยอมเรียบร้อย นายตำรวจก็สั่งการให้ลูกน้องตรวจสอบโดยรอบในทันที

“ผมไม่ได้ซ่อนใครเอาไว้หรอก” กงเจ๋อตวนบอก เขานั่งลงที่โซฟาอย่างผ่อนคลาย “ไม่นึกว่าคุณจะมา คิดว่าจะเป็นผู้กองฟ่านเสียอีก”

“ผมรับผิดชอบงานแทนเขาอยู่น่ะ” หวังหยูเฟิงตอบเสียงเรียบ โดยที่มีเส้าเหิงเดินวนไปมาอย่างร้อนใจ

หวังหยูเฟิงไม่ได้คาดว่าจะได้เจอเส้าซินฉี เขาแค่ต้องการเบาะแสว่า กงเจ๋อตวนจับหญิงสาวไปไว้ที่ไหนต่างหาก เพราะกล้องวงจรปิดก็ไม่เห็นรถยนต์คันก่อเหตุอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการค้นหาแต่ก็ไม่พบบุตรสาวของนักธุรกิจใหญ่แม้แต่เงา รวมไปถึงรถยนต์ที่ตามหาก็คงถูกทำลายทิ้งไปแล้ว

“แกเอาลูกของฉันไปไว้ที่ไหน!” เส้าเหิงตวาดลั่นอย่างทนไม่ไหว ใบหน้าอ่อนล้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“พูดอะไรของคุณ ทำไมผมต้องทำเรื่องแบบนั้น ผมไม่เคยคุยกับคุณด้วยซ้ำ” กงเจ๋อตวนว่า แล้วถอนหายใจออกมา “ในเมื่อไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว ผมจะพักผ่อน”

“หนอยแก!” เส้าเหิงตะโกนสุดเสียง ก่อนจะถลาเข้าไปหมายจะทำร้ายเจ้าของคฤหาสน์ แต่ก็ถูกหวังหยูเฟิงห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ใจเย็นครับคุณเส้า”

“อะไรอีก! เพราะคุณชักช้า! มันเลยเอาตัวลูกสาวผมไปไว้ที่อื่นแล้ว!” เส้าเหิงหันไปว่าผู้กองหวังอย่างเกรี้ยวกราด

“หึ! กล่าวหากันอย่างนี้ ผมแจ้งความกลับเลยดีไหม” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้น แล้วหันไปมองหวังหยูเฟิง “ว่าอย่างไรล่ะ ผู้กองหวัง”

“เรื่องแค่นี้คุณคงไม่ถือสาหรอก พวกเราก็แค่ทำตามหน้าที่”

หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น เขาพาเส้าเหิงที่กระฟัดกระเฟียดเดินออกมา “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”

“ยินดีครับคุณตำรวจ เดินทางกลับดีๆ ล่ะ” กงเจ๋อตวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีไมตรี รอยยิ้มวาดขึ้นที่ริมฝีปาก “ผมไม่ไปส่งนะ”

หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับอะไร เขาพาเส้าเหิงและกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางกลับพร้อมกับครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ทั้งหมด

เส้าซินฉีจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า...

หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม โดยที่มีเสียงของเส้าเหิงก่นด่าตำรวจไปตลอดทาง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลังจากเข้าตรวจค้นที่คฤหาสน์ของกงเจ๋อตวนได้เพียงสองวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบเส้าซินฉีในสภาพไร้ลมหายใจลอยติดที่ท่าเรือ

เส้าเหิงกอดร่างกายของลูกสาวที่บวมอืดอย่างโศกเศร้า ยิ่งเห็นสถาพศพผู้เป็นพ่อก็กรีดร้องลั่นราวกับหัวใจสลาย หวังหยูเฟิงได้แต่มองความสูญเสียอย่างนึกสงสาร

ถึงเส้าซินฉีจะไม่ใช่ผู้หญิงที่นิสัยดีนัก แต่เธอก็ไม่ควรพบจุดจบเช่นนี้

“ฉันจะฆ่าแก!!! กงเจ๋อตวน!!!” เส้าเหิงตะโกนลั่น น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม ก่อนที่นัยน์ตาแดงก่ำจะตวัดมองมาทางหวังหยูเฟิง “เพราะแกชักช้า!!! ลูกสาวฉันถึงเป็นแบบนี้!!!”

หวังหยูเฟิงยืนเป็นเป้านิ่งให้บิดาของหญิงสาวผู้โชคร้ายต่อว่าด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ถึงแม้ภายหลังผลการชันสูตรศพจะพบว่า เส้าซินฉีเสียชีวิตก่อนที่เส้าเหิงจะมาแจ้งความแล้วก็ตาม

“ผมเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ ครับ แต่ผมสัญญาจะนำคนร้ายมาลงโทษ...”

“หยุดพูดอะไรเหลวไหลสักที! คนร้ายก็ไอ้กงเจ๋อตวน! ไปจับมันสิวะ!!!”

เส้าเหิงเข้าไปกระชากคอเสื้อของหวังหยูเฟิงแล้วเขย่าไปมาอย่างโกรธแค้น ตำรวจคนอื่นรีบเข้าไปห้ามทันที แต่ผู้กองหนุ่มก็ห้ามปรามเอาไว้ แล้วปล่อยให้นักธุรกิจใหญ่ระเบิดอารมณ์ใส่แต่โดยดี

“เพราะแกด้วย! เพราะแก!!!”

หวังหยูเฟิงยืนเป็นหุ่นมองเส้าเหิงเกรี้ยวกราดใส่โดยไม่โต้ตอบอะไร จนกระทั่งอีกฝ่ายทรุดตัวลงร้องไห้อย่างน่าเวทนา





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





“เหนื่อยหน่อยนะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้กำลังใจผู้กองหนุ่ม

“ขอบใจ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง

คดีของเส้าซินฉีปรากฏบนสื่อในเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งปฏิบัติหน้าที่จนสืบพบและสามารถจับกุมผู้ร้ายโหดเหี้ยมในคดีฆ่าข่มขืนลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ได้

จากพยานและหลักฐานได้ยืนยันความผิดไปยังชายสองคนที่ภายหลังสารภาพและยอมรับข้อกล่าวหาในที่สุด เพราะจำนนต่อหลักฐาน

หวังหยูเฟิงอ่านสำนวนคดีอย่างข้องใจ ถึงแม้คนร้ายจะสารภาพผิด อีกทั้งยังพรั่งพร้อมด้วยพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่ชัดเจน แต่เขาไม่เชื่อว่าผู้ชายทั้งสองคนเป็นผู้ลงมือที่แท้จริง

บางทีชนวนเหตุอาจเริ่มต้นตั้งแต่ที่กงเจ๋อตวนได้เจอเส้าซินฉีที่ภัตตาคารเฟยลี่ในคืนนั้น แต่ก็ไม่คิดว่า อีกฝ่ายจะทำการลักพาตัวเหมือนโจรปลายแถวเช่นนี้

เส้าเหิงที่รับฟังผลคดีของบุตรสาวคำรามลั่น เขาไม่เชื่อว่า ผู้ชายทั้งสองคนที่กำลังคุกเข่าขอขมาอยู่ตอนนี้เป็นผู้ร้ายตัวจริงเช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ การต่อสู้ทางกฎหมายคงต้องยุติลง

นักธุรกิจใหญ่ที่จิตใจเต็มไปด้วยความแค้นตั้งปณิธานไว้ในใจ ในเมื่อศาลยุติธรรมไม่สามารถเอาผิดกงเจ๋อตวนได้ เขาก็จะใช้ศาลเตี้ยจัดการคนชั่วด้วยตัวเอง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หลายวันมานี้หวังหยูเฟิงยุ่งจนไม่มีเวลาหยุดพัก แน่นอนว่าเขาไม่มีเวลาให้เจิ้งหยุนที่เริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตประจำวันราวกับเด็กไม่รู้จักกาลเทศะด้วย

“หยูเฟิง!”

เสียงเรียกที่คุ้นเคย ทำให้หวังหยูเฟิงต้องเงยหน้าจากงานที่กำลังทำอยู่ ก่อนรอยยิ้มที่หลบหนีไปหลายวันจะกลับคืนมา

“มู่เหยียน!”

ฟ่านมู่เหยียนยักคิ้วให้ ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โต๊ะทำงานของเพื่อนสนิท เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน

“พอฉันพักหน่อย นายก็ขโมยงานของฉันไปทำสบายใจเลยนะ”

ฟ่านมู่เหยียนว่าด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “ตอนนี้ฉันหายดีแล้ว ของานคืนด้วยล่ะ”

“ไม่ได้หรอก” หวังหยูเฟิงปฏิเสธ ใบหน้านิ่งสงบปรากฏความจริงจัง “เรื่องนี้ฉันขอกับสารวัตรแล้ว”

“อะไรกัน” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินออกจากห้องทำงานของเพื่อน “ถ้าอย่างนั้นฉันต้องขอคืนจากสารวัตรสินะ”

“เดี๋ยวมู่เหยียน” หวังหยูเฟิงรั้งเอาไว้ เขาถอนหายใจออกมา “สารวัตรให้ฉันมาตกลงกับนายเองอีกที”

“อ้าว! ถ้าอย่างนั้น...”

ฟ่านมู่เหยียนกำลังกล่าวต่อ หวังหยูเฟิงก็รีบพูดแทรกขึ้นเสียก่อน

“มู่เหยียน ฉันขอเถอะ”

ผู้กองฟ่านขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะเขาเข้าใจนิสัยและความปรารถนาดีของเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี

“เสี่ยวโหยวมาพูดกับนายใช่ไหม”

“ก็ใช่ แล้วฉันก็เห็นด้วย”

“แต่ฉันไม่...”

“มู่เหยียน นายกำลังจะเป็นเจ้าบ่าวมีครอบครัว ในเวลาที่สำคัญแบบนี้นายไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย”

“ฉันเป็นตำรวจ งานอันตรายก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

“อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้”

หวังหยูเฟิงถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ แล้วสบตากับเพื่อนสนิทแน่วแน่

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนาย แต่นายก็ควรเข้าใจความรู้สึกของคนรออย่างเสี่ยวโหยวด้วย” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ บรรยากาศการสนทนาระหว่างเพื่อนสนิทมีความกดดันมากขึ้น ”เรื่องกงเจ๋อตวนให้ฉันทำต่อแทนเถอะ”

“ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะยอมให้เพื่อนไปเสี่ยงและรับผิดชอบงานของตัวเองหรอก”

“ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้กับนายแล้ว จะไปไหนก็ไป”

หวังหยูเฟิงตัดบท เพราะเริ่มจะเถียงสู้เพื่อนไม่ได้ ทางที่ดีควรไล่อีกฝ่ายไปก่อน เพื่อตั้งหลักหาข้ออ้างมาโต้ตอบ

“หยูเฟิง ฉันไม่ยอม”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แล้วต่อสายในพร้อมกับเปิดลำโพงหาสารวัตรทันที ถึงจะเข้าใจศักดิ์ศรีและความรักในอาชีพของฟ่านมู่เหยียนเป็นอย่างดี แต่ผู้กองหนุ่มไม่อยากผิดคำพูดกับถังเสี่ยวโหยว เวลานี้เขาทำให้คนอื่นผิดหวังมามากพอแล้ว

“ท่านสารวัตรครับ ผมขออนุญาตขอคำสั่งพักงานผู้กองฟ่านสามวัน หลังจากนี้จนกว่าจะแต่งงาน ห้ามปฏิบัติงานนอกสถานที่ครับ”

“อ้าวเฮ้ย...”

ฟ่านมู่เหยียนที่เจอเพื่อนใช้ไม้แข็งรีบหาข้ออ้าง ทว่าเสียงนุ่มลึกของสารวัตรใหญ่ผู้มีอำนาจสูงสุดในสถานีตำรวจแห่งนี้ก็ดังขึ้นขัด

[ผมอนุญาต อ้อ... คำสั่งผมถือเป็นคำขาด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก]

“ขอบคุณครับท่าน”

หวังหยูเฟิงตัดสาย แล้วสบตากับเพื่อนสนิทที่มีสีหน้าตกใจครู่หนึ่ง ฟ่านมู่เหยียนแค่นยิ้มอย่างนึกเคืองระคนขบขัน

“ก็ได้...ฉันยอมแพ้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น ครั้งนี้เขาคงสู้ความตั้งใจจริงของหวังหยูเฟิงที่อุตส่าห์ลากสารวัตรเข้ามาเอี่ยวด้วยไม่ได้ “นายต้องพาฉันไปเลี้ยงอาหารหรูหนึ่งอาทิตย์ เฮ้อ...เบื่ออาหารโรงพยาบาลจะแย่อยู่แล้ว”

“อืม” หวังหยูเฟิงตอบรับทันทีด้วยความรู้สึกโล่งใจ ถึงแม้เงินในกระเป๋าของเขาจะหมด ก็ยังดีกว่าต้องทำให้ใครเสียใจอีก







TBC++++++++  20บุรุษผู้ตกอยู่ในห้วงรัก
Marionetta ขอบคุณที่คิดตามค่ะ  :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา > [Rewrite] 18 - 21/02/2019
« ตอบ #139 เมื่อ: 23-02-2019 10:06:50 »





ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
20
บุรุษผู้ตกอยู่ในห้วงรัก






บนชั้นสี่ของอพาร์ตเมนต์สำหรับคนทำงานหาเช้ากินค่ำ หวังหยูเฟิงเดินออกมาที่ระเบียงห้อง ก่อนจะนำผ้าปูที่นอนและผ้าห่มที่เพิ่งซักจนหอมสะอาดมาตากแดดอย่างอารมณ์ดี เขาแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่สาดแสงสดใสเล็กน้อย แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง

หลังจากกระเป๋าฉีกเพราะต้องเลี้ยงอาหารเพื่อซื้องานเสี่ยงอันตรายของเพื่อนสนิทมาทำเอง ผู้กองหนุ่มก็ตะลุยงานอย่างหนัก จนเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เขาจึงขอลาพักร้อนสามวัน

วันนี้หวังหยูเฟิงตั้งใจจะทำความสะอาดห้องของตัวเองครั้งใหญ่ เพราะหลังจากที่ย้ายออกมาจากคฤหาสน์ริมทะเล ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้จัดการห้องพักที่ไม่ได้ใช้งานมานานให้เรียบร้อย

เม็ดเหงื่อไหลซึมทั่วใบหน้า แต่ชายหนุ่มก็ยังขะมักเขม้นกับการใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดไปทุกซอกทุกมุม ก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำไล่เช็ดไปตามโต๊ะและตู้จนสะอาดราวกับของใหม่

หวังหยูเฟิงใช้เวลาเกือบทั้งวันในการทำความสะอาดและดูแลห้องพักของตัวเอง หลังจากเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จ เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟายาวขนาดสองที่นั่งอย่างเกียจคร้าน

“เหนื่อยเหมือนกันแฮะ”

หวังหยูเฟิงทอดสายตามองไปยังระเบียงที่ปิดกั้นด้วยกระจกใส ผ้าม่านที่เคยบังแสงแดดถูกรวบไว้ ทำให้เขาสามารถมองเห็นวิวยามเย็นที่กำลังทอแสงสีส้มงดงาม

ผู้กองหนุ่มปล่อยให้ความเงียบเลยผ่าน จากเดิมที่เอาแต่คิดเรื่องทำความสะอาด ทว่าตอนนี้เมื่อภารกิจในวันนี้เสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ว่ากันตามจริงแล้ว...ถึงแม้ช่วงนี้การงานจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ผลงานก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาตั้งใจเอาไว้

เริ่มจากคดีของถานอี้เทา ซึ่งถึงแม้อีกฝ่ายจะเสียชีวิตไปพร้อมกับความผิด แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถนำคนร้ายที่ท้าทายกฎหมายตัดสินคนอื่นอย่างเลือดเย็นมาลงโทษได้

ไม่สิ...เขารู้ทุกอย่าง เพียงแต่ตั้งใจปล่อยผ่านไป

เมื่อนึกถึงตรงนี้หวังหยูเฟิงก็ถอนหายใจออกมา ในห้วงความคิดภาพใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มรอยยิ้มบางเสมอฉายชัด เจ้าของผับกาเบรียลที่มือเปื้อนเลือด

หลังจากนั้นเจิ้งหยุนก็ถูกลอบยิง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ริมทะเลในระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาอีกฝ่ายก็ทำท่าไม่สนใจแถมยังยอมความไม่เอาเรื่องง่ายๆ  ไม่แน่ว่าคนก่อเหตุอาจจะถูกเก็บไปแล้วก็ได้ ตอนนี้ถึงยังไร้วี่แวว

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว ตั้งแต่ที่มั่นใจว่าแท้ที่จริงแล้วเจิ้งหยุนคือใคร เขาก็ไม่แปลกใจ ถ้าหากอีกฝ่ายจะจัดการปัญหาด้วยวิธีที่รุนแรงและไม่ถูกต้อง

นอกจากจะมีแต่เรื่องที่ยังคิดไม่ตก เจิ้งหยุนก็ยังหาเรื่องก่อกวนหัวใจของเขาอีกด้วย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หวังหยูเฟิงปล่อยให้ผู้ชายผมยาวคนนั้นมีอิทธิพลจนละเลยสิ่งที่ควรทำ

อย่างน้อยที่สุด...ก็ไม่ควรปล่อยให้ถูกจูบอย่างง่ายดายแบบนั้น

ความใกล้ชิดและความห่วงใยแบบที่ไม่เคยมีใครมอบให้มาก่อน ทำให้หวังหยูเฟิงเผลอจนลืมหน้าที่ของตัวเอง

เขาตัดสินใจปล่อยเจิ้งหยุนให้หลุดจากข้อสงสัยในคดีของถานอี้เทาไป เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ร้องบอกขึ้นมาในใจ

อยากรู้จัก...

อยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้...

อยากได้รับความอ่อนโยนของเจิ้งหยุนอีก...

“บ้าไปแล้วหรือ...” หวังหยูเฟิงเปรยขึ้นพร้อมกับหลับตาลง ความคิดมากมายยังคงไหลเวียนชวนให้หัวใจสับสน โดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ร่างกายของพวกเขาได้แนบชิด รวมไปถึงคำสารภาพรักที่เอื้อนเอ่ยยามที่คลื่นทะเลและแสงจันทร์เป็นพยาน รสจูบที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นในครั้งแรกตอกย้ำบางสิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงและไม่สนใจ

หวังหยูเฟิงเป็นเด็กกำพร้า ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนเข้มแข็งและพึ่งพาได้ ทว่าเบื้องลึกในใจกลับว้าเหว่ มิตรภาพของเพื่อนสามารถเยียวยาหัวใจที่หงอยเหงาได้บ้าง แต่ไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาที่อยากมีใครสักคนอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตได้

แล้วตอนนี้...เจิ้งหยุนก็ทำให้หวังหยูเฟิงรู้สึกหวั่นไหว

ผู้กองหวังถอนหายใจออกมา ในเวลานี้เขาควรสนใจเรื่องงานมากกว่าความรู้สึกไร้สาระที่ไม่อาจเข้าใจได้

เรื่องของเจิ้งหยุน...ก็ช่างมันไปก่อนแล้วกัน

คดีของเส้าซินฉีที่เพิ่งผ่านไป เขารู้ดีว่า คนร้ายตัวจริงยังใช้ชีวิตเย้ยกฎหมายอย่างสบายใจอยู่ หลังจากนี้คงต้องพยายามเก็บข้อมูลเพื่อเข้าจับกุมให้ได้

หวังหยูเฟิงลืมตาขึ้น ท้องฟ้าที่เคยระบายสีส้มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ห้องพักที่ไม่ได้เปิดไฟจึงตกอยู่ในความมืดและความเงียบ ทว่าในความคิดของเขากลับกระจ่างชัด อีกทั้งยังมีเรื่องราวของคนที่ตั้งใจจะไม่สนใจย้อนกลับเข้ามาให้วุ่นวายใจ

ก๊อกๆ

หวังหยูเฟิงหันไปมองประตูห้อง เขานึกแปลกใจที่มีแขกมาหา เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีเพียงฟ่านมู่เหยียนที่แวะเวียนเท่านั้น ซึ่งในเวลานี้อีกฝ่ายน่าจะยังทำงานหรือไม่ก็ถูกแฟนสาวคอยดูแลอยู่

หวังหยูเฟิงลุกขึ้นจากโซฟาที่ใช้พักผ่อน นัยน์ตาที่คุ้นชินในความมืดและคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ทำให้เขาสามารถก้าวเดินไปยังจุดหมายได้อย่างมั่นคง

ชายหนุ่มมองตาแมวที่ประตู แต่กลับไม่เห็นใคร เขาเลยตัดสินใจเปิดปราการตรงหน้าออก ก่อนจะตวัดมองผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงผนังห้องข้างประตูพร้อมกับรอยยิ้ม

“มาได้อย่างไร”

หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนด้วยความแปลกใจ ถึงจะกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้คาดฝันว่าจะได้เจอในตอนนี้

“ขับรถ แล้วขึ้นลิฟต์มาครับ”

“เรื่องนั้นผมรู้ ผมหมายถึงคุณมาหาผมทำไม”

“ผมคิดถึงคุณนี่ครับ ไม่ได้เจอหลายวันแล้ว”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะถูกคู่สนทนาดันไหล่ให้เดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ทั้งที่ยังมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญไม่ละสายตา

“เราจะยืนคุยกันอยู่อย่างนี้หรือ เข้าไปนั่งคุยข้างในกันดีกว่านะครับ”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





ห้องที่มีความมืดปกคลุมถูกเปิดไฟจนสว่าง เจิ้งหยุนมองสำรวจโดยรอบ แล้วหยุดตรงเจ้าของห้องที่มีท่าทางไม่ต้อนรับแขกเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะเมินใบหน้าเรียบนิ่งและสายตาฉายแววบางอย่างไป

“ห้องคุณสะอาดเรียบร้อยดีนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วส่งยิ้มบางให้หวังหยูเฟิงที่เดินมาเสิร์ฟน้ำรับรอง “ขอบคุณครับ”

“วันนี้ผมเพิ่งทำความสะอาด” หวังหยูเฟิงตอบพร้อมกับมองคนที่ทำตัวตามสบายกำลังนั่งบนโซฟาของเขา “ว่าแต่คุณมาหาผมทำไม”

“ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่า ผมคิดถึงคุณ” เจิ้งหยุนบอก เขาส่งยิ้มบางให้เจ้าของห้องอย่างอารมณ์ดี

“คุณเลิกพูดเรื่องเหลวไหลได้แล้ว” หวังหยูเฟิงว่าด้วยน้ำเสียงระอา แล้วจ้องมองคู่สนทนาอย่างจริงจัง “เจิ้งหยุน คุณมีธุระอะไรครับ”

เจิ้งหยุนไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาหวังหยูเฟิงอย่างไม่รีบร้อน ผู้กองหวังก็ไม่ได้ถอยหนี จนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่ตรงหน้าของกันและกัน

  “ธุระของผมคือความต้องการ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมสบกับแววตาสีดำสวย แล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกชนกัน “ผมต้องการอยู่ใกล้คุณ อยากสัมผัสคุณ”

หวังหยูเฟิงไม่ได้ขยับหนี ชายหนุ่มปล่อยให้แขกของวันนี้ได้ทำธุระของตัวเองตามใจชอบ หัวใจของผู้กองหนุ่มเต้นแรง เมื่อได้รับอ้อมกอดและริมฝีปากที่กำลังถูกช่วงชิงลมหายใจ

การตอบสนองที่ไร้ซึ่งการขัดขืนและต่อต้าน ทำให้ธุระของเจิ้งหยุนดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด ชายหนุ่มไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกของหวังหยูเฟิงได้ แต่เขาก็มั่นใจว่า เป้าหมายที่มีต่อผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม

ในเมื่อตอนนี้หวังหยูเฟิงกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว!

เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้น เมื่อความปรารถนาส่วนหนึ่งได้ถูกเติมเต็ม ใบหน้าที่แต้มสีเลือดฝาดของคนที่หอบหายใจกระชั้น ยิ่งกระตุ้นหัวใจและความนึกคิดของเขา

อยากได้จริงๆ...

อยากได้มากกว่านี้...

อยากได้หวังหยูเฟิงจนทนไม่ไหวแล้ว...

เดิมทีเจิ้งหยุนหลงใหลในความแข็งแกร่งและแววตาไม่ยอมแพ้ที่งดงาม ทว่าเมื่อได้ใกล้ชิด เขาก็รับรู้ว่า ตัวตนของหวังหยูเฟิงช่างบริสุทธิ์และไร้เดียงสาจนไม่อยากให้ใครแตะต้อง

แต่เมื่อได้ทำให้แปดเปื้อนไปแล้วครั้งหนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์และนัยน์ตาที่หวานเชื่อมด้วยความต้องการก็ตราตรึงหัวใจของเขาจนไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีก

หวังหยูเฟิงต้องเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!

“คุณหวัง คุณรู้สึกอย่างไรกับผมหรือ”

คำถามที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้หวังหยูเฟิงตกตะลึง หัวใจที่เต้นกระหน่ำบีบเร่งจังหวะอย่างรุนแรง สมองของเขาทำงานหนักอย่างสับสน ทว่าความรู้สึกกำลังบอกคำตอบที่ยากเกินจะยอมรับอย่างชัดเจน

หวังหยูเฟิงเป็นนายตำรวจที่ไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคและอันตราย แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีความกล้ามากพอจะเปิดเผยความในใจที่มีต่อผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า

นัยน์ตาสีดำหวานที่ทอดมองอย่างรอคำตอบ ทำให้ผู้กองหนุ่มหวั่นไหวจนไม่กล้าเอ่ยคำใด ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจลึก แล้วคว้าเจิ้งหยุนมาไว้ในอ้อมแขนเป็นคำตอบ ใบหน้าแดงก่ำซบลงที่หัวไหล่กว้างเพื่อหลบซ่อนความเขินอายของตัวเอง

เจิ้งหยุนเหลือบตามองผู้กองหวัง รอยยิ้มยกขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะตัดสินใจยกเบ็ดที่ตกเอาไว้มานานขึ้น ความรู้สึกของหวังหยูเฟิงที่อยู่ในกำมือของเขา

“หวังหยูเฟิง”

“...อืม”

“เราคบกันดีไหมครับ”

หวังหยูเฟิงเบิกตากว้าง แล้วเงยหน้าขึ้นมองการจู่โจมต่อเนื่องจนหัวใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นและประหม่า ผู้กองหนุ่มไม่ได้เตรียมใจมารับมือกับสถานการณ์เช่นนี้เลย

“ผมรักคุณ”

“แต่...คุณ”

หวังหยูเฟิงปล่อยตัวไปตามความรู้สึก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยสติให้หลุดลอย ผู้กองหวังยังตระหนักถึงตัวตนของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ผู้ร้ายที่สั่นคลอนความถูกต้องในหัวใจของเขา

หวังหยูเฟิงมีความคิดเปิดกว้างพอจะยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์คนรักของเพศเดียวกัน เพียงแต่บทบาทของพวกเขานั้นต่างกันเกินไป

ตำรวจกับคนร้าย...

“ผมเข้าใจว่าคุณระแวงผม” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบไล้ใบหน้าลังเลของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “แต่ผมจริงใจกับคุณนะครับ”

“จะให้ผมคบกับคนที่มีความลับปิดบังตัวเองหรือ” หวังหยูเฟิงย้อนถาม ซึ่งความนัยนั้นเป็นการตอบรับเกินกว่าครึ่ง เจิ้งหยุนยิ้มกว้างมากกว่าเดิม

“ความลับของผม ถ้าคุณรู้แล้วจะทำไมหรือครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามกลับ เขาเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าผมทำอะไรไม่ดี คุณจะจับผมหรือเปล่า”

หวังหยูเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของหัวใจที่ต้องขบคิด จิตใต้สำนึกของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ก็กำลังเอนไหว

“ว่าอย่างไรครับ หยูเฟิง” เจิ้งหยุนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง เขาไม่ได้มีสีหน้าและท่าทางตื่นตกใจหรือกดดัน เพราะไม่ว่าคำตอบรับของหวังหยูเฟิงจะเป็นอะไร อีกฝ่ายก็หนีเขาไม่ได้อยู่แล้ว

กฎหมายอาจจะเป็นบรรทัดฐานของสังคม แต่อำนาจก็เป็นสิ่งที่ควบคุมสังคมเช่นเดียวกัน

“ผมจะคุยเรื่องนี้ทีหลัง” หวังหยูเฟิงเอ่ยคำตอบในที่สุด เขาควรถอยหลังเพื่อพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกะทันหันในตอนนี้อย่างจริงจังอีกครั้ง ทว่าความตั้งใจของผู้กองหนุ่มก็ไม่อาจสมหวังได้ง่าย เมื่อคู่กรณีคือทายาทคนเล็กของตระกูลเจิ้งผู้เอาแต่ใจ

“แต่ผมอยากได้คำตอบตอนนี้ครับ” เจิ้งหยุนท้วงพร้อมกับเข้ามากอดหลังคนที่กำลังจะเดินหนีเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนไปกระซิบที่ใบหูนุ่มนิ่ม “คุณก็น่าจะรู้ ผมไม่ชอบให้ใครขัดใจ”

ผู้กองหวังมีสีหน้าปั้นยาก แต่ก็ยอมรับว่า มีความรู้สึกดีให้เจิ้งหยุน ทว่ามโนสำนึกก็ยังร้องเตือนถึงหน้าที่และบทบาทที่พึงกระทำ เขาควรนำตัวอีกฝ่ายไปลงโทษตามกฏหมายอย่างที่เคยปณิธานเอาไว้ ไม่ใช่กลายเป็นคนรักของผู้ร้าย

“ถ้าคุณเป็นคนรักของผม” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงล่อหลอก เขาตั้งใจเป่าลมหายใจให้คนในอ้อมแขนสะท้านกายด้วยความนึกสนุก “ผมจะบอกความจริงกับคุณ”

“คุณจะยอมรับผิดอย่างนั้นหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าควรยินดีกับโอกาสที่ถูกมอบให้หรือเปล่า

“ถ้าคุณตกลง คุณก็จะรู้คำตอบนั้นเองครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย แล้วฉวยโอกาสขบเม้มใบหูของผู้กองหนุ่มอย่างอารมณ์ดี

หวังหยูเฟิงเกร็งตัวขึ้น เขารู้สึกเสียววูบ เมื่อริมฝีปากนุ่มเริ่มไล่ดูดเม้มลงมาที่ซอกคอ ความคิดสับสนปั่นป่วนมากกว่าเดิม

“คุณไม่กลัวผมจะจับคุณหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามหยั่งเชิง เขาดันตัวเองออกจากอ้อมแขนอบอุ่นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ร้ายปากแข็ง “ถึงผมจะคบกับคุณ แต่ถ้าคุณทำผิด ผมจะจับคุณเข้าคุก”

“แต่ผมว่าคุณไม่ทำแบบนั้นหรอก” เจิ้งหยุนเอ่ยแย้งด้วยท่าทีสบาย เขาพิจารณาใบหน้าจริงจังที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงในแววตาอย่างผ่อนคลาย “เพราะถ้าคุณตั้งใจทำอย่างนั้นจริง ตอนนี้เราสองคนคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้”

“ตอนนี้ผมกำลังหาหลักฐานเอาผิดอยู่” หวังหยูเฟิงเอ่ยโต้อย่างไม่ยอมแพ้ แต่คู่ต่อสู้กลับทำเพียงแสดงสีหน้าแปลกใจเท่านั้น “ถ้าผมมีข้อมูลเพียงพอ ผมจะทำในสิ่งที่ผมควรทำสักที”

“ก็จริงที่คุณไม่มีหลักฐาน แต่ผมว่าถ้าคุณตั้งใจมากกว่านี้ก็ไม่ยากหรอก” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อราวกับน้ำเย็นที่สาดหน้านายตำรวจผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ “อย่างน้อยเรื่องของฟ่านมู่เหยียนในคืนนั้น คุณก็ควรทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นมาเอาเรื่องกับผมที่น่าสงสัยที่สุด”

ในตอนนั้นเจิ้งหยุนวางแผนเพื่อหวังผลสามอย่าง สิ่งแรกคือความเชื่อใจของกงเจ๋อตวน สิ่งที่สองคือล่อลวงความรู้สึกของหวังหยูเฟิงในเวลานั้น และสิ่งสุดท้ายคือรอดูปฏิกิริยาของผู้กองหนุ่มที่มีต่อเขาหลังจากเกิดเหตุขึ้น

ทั้งที่หวังหยูเฟิงควรจะมาเอาเรื่องกับเขาเพื่อสาวไปถึงกงเจ๋อตวนอย่างที่ควรทำ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ทำ แถมยังกระโดดเข้าไปจัดการไอ้แก่นั่นต่อเองเสียอย่างนั้น

ถ้าไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองเลย เขาก็ดูถูกตัวเองมากเกินไปหน่อย

เจิ้งหยุนมองท่าทางเคร่งเครียดเหมือนคนกำลังต่อสู้กับตัวเองของหวังหยูเฟิงครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา

“เอาเถอะ...ถึงผมจะชอบสีหน้าของคุณตอนนี้ แต่ผมจะให้เวลาคุณหน่อยก็แล้วกัน”

“ประสาท”

“หึ”

เจิ้งหยุนเดินกลับไปนั่งที่โซฟาอีกครั้ง โดยที่มีสายตาของเจ้าของห้องมองมาอย่างไม่ชอบใจ เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หวังหยูเฟิงก็ลอบถอนหายใจออกมา เหตุการณ์น่าวิตกก่อนหน้านี้ก็เหมือนภาพฝันที่ตกค้างอยู่ในความคิด

“ถ้าหมดธุระ คุณก็กลับไปได้แล้ว”

หวังหยูเฟิงรวบรวมตัวตนที่หายไปเมื่อครู่ให้กลับคืนมา ผู้กองหนุ่มมองแขกที่ทำตัวตามสบายด้วยการนอนราบไปตามความยาวของโซฟาที่ไม่เพียงพอกับความสูงราวกับอยู่บ้านของตัวเองเขม็ง

“โซฟาเล็กไปหน่อยนะครับ”

“เจิ้งหยุน”

เจิ้งหยุนเหลือบตามองคนหน้านิ่งเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังประตูกระจกใสบานใหญ่ตรงระเบียงที่ฉายภาพวิวกลางคืนของอพาร์ตเมนต์ความสูงสี่ชั้น

“ผมขอค้างที่นี่ได้ไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วหันไปมองหวังหยูเฟิงที่ทำหน้าแปลกใจออกมา “ตอนนี้ผมมีปัญหาน่ะ”

“ปัญหาอะไร” หวังหยูเฟิงถามต่อ เขาขมวดคิ้วพร้อมกับจินตนาการถึงเรื่องราวที่เป็นไปได้ หรือว่าเจิ้งหยุนจะไปมีเรื่องกับใครมา

“พอดีรถของผมเสียครับ” เจิ้งหยุนตอบ แล้วส่งยิ้มบางที่คุ้นตามาให้ หวังหยูเฟิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

“แล้วทำไมไม่โทรหาอู่หนิง” หวังหยูเฟิงถามต่อด้วยน้ำเสียงกดดัน แต่คนตรงหน้าก็ถอนหายใจออกมา

“ผมไม่ได้พกมือถือมา” เจิ้งหยุนบอก แล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “ตำรวจอย่างคุณคงไม่ใจร้ายกับประชาชนที่กำลังเดือดร้อนหรอกนะครับ”

“คุณจะใช้โทรศัพท์ของผมไหม” หวังหยูเฟิงเสนอความช่วยเหลือที่เข้าท่ากว่า แต่เจิ้งหยุนก็ตีสีหน้าหงอย เปลี่ยนจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เป็นสุนัขถูกทิ้งทันที

“คุณหวังหยูเฟิงครับ คืนนี้ผมอยากค้างที่นี่” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงอ่อน นัยน์ตาจ้องมองเจ้าของห้องอย่างจริงจัง หวังหยูเฟิงจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

ทั้งที่ชายหนุ่มรู้ดีว่า เจิ้งหยุนเป็นคนที่มีข้ออ้างและเหตุผลสารพัดให้ตัวเอง แต่เขาก็จำใจยอม เพราะเหนื่อยกับการต่อปากต่อคำเต็มที วันนี้ผู้กองหวังไม่อยากปะทะคารมกับคนตรงหน้าอีก

“ก็ได้ แล้วเรื่องเสื้อผ้าล่ะ”

“ก็ใส่ของคุณ” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “หรือคุณไม่พอใจ ผมไม่ใส่อะไรเลยก็ได้”

“กรุณาใส่เสื้อของผม!” หวังหยูเฟิงบอกเสียงเข้ม แต่กลับทำให้คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ

“ขอบคุณครับ” เจิ้งหยุนตอบรับเสียงนุ่มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣






ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5

หวังหยูเฟิงถอนหายใจครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจนับได้ เขารู้สึกกดดัน เพราะไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหน เส้นทางของชีวิตที่ราบเรียบไม่เคยคิดเลยว่า จะเจอทางแยกที่ตัดสินใจยากแบบนี้

ผู้กองหวังเดินออกจากห้องน้ำในชุดลำลองเนื้อบางสำหรับใส่นอน เขามองชายหนุ่มผมยาวที่ตอนนี้กำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกเขาว่า ไม่ได้เอามาอย่างอ่อนใจ

“อาบน้ำได้แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปสนใจโทรทัศน์ที่เปิดค้างเอาไว้

“ผมใช้ผ้าเช็ดตัวของคุณได้หรือเปล่า” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม เขาวางโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้บนหัวเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ตามสบาย”

หวังหยูเฟิงไม่ค่อยมีของสำหรับรับรองแขกที่มาค้างคืนนัก แต่ของใช้ส่วนตัวก็พอจะมีสำรองอยู่บ้าง ทว่าในขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังก้มไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ในตู้เสื้อผ้า เจิ้งหยุนกลับฉวยผ้าเช็ดตัวที่เขาเพิ่งใช้งานเสร็จไปแทน

“ผมใช้ผืนเดียวกับคุณได้ครับ”

หวังหยูเฟิงได้แต่มองตามหลังผู้ชายผมยาวที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองอุปกรณ์สื่อสารของอีกฝ่ายที่วางอยู่

หวังหยูเฟิงไม่ได้เป็นคนเสียมารยาทหรือชอบละลาบละล้วงเรื่องราวของคนอื่น แต่โทรศัพท์มือถือของเจิ้งหยุนก็น่าสนใจเกินกว่าที่เขาจะห้ามใจได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เจ้าของเครื่องคงล็อกรหัสผ่านเอาไว้ก็ตาม

ผู้กองหวังหยิบอุปกรณ์สื่อสารเครื่องเล็กมาไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะชะงัก เมื่อเห็นภาพล็อกหน้าจอเต็มตา ใบหน้าเรียบนิ่งมีความร้อนวิ่งผ่านในทันที

“นี่มัน....”

หวังหยูเฟิงพูดไม่ออก เขาอยากจะโยนสิ่งที่ถือออกไป ทว่าสายตาก็ยังคงจับจ้องภาพน่าอายของตัวเองไม่วางตา

ภาพของเขาในคืนนั้น!!!

นี่คือตัวเองในตอนนั้นหรือ!!!

หวังหยูเฟิงไม่แน่ใจว่าเขาช็อกกับสีหน้าอันน่าอับอายของตัวเองอยู่นานแค่ไหน จนกระทั่งเสียงประตูห้องน้ำเปิดดังขึ้น ชายหนุ่มจึงรีบวางโทรศัพท์มือถือของเจิ้งหยุนไว้ที่เดิมราวกับของร้อน

“เป็นอะไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม เขามองใบหน้าปั้นยากที่ผิวแก้มแดงระเรื่ออย่างสงสัย ก่อนจะมองไปยังโทรศัพท์มือถือของตัวเอง แล้วยกยิ้มขึ้น

ว้าว! ตกเหยื่อได้อีกแล้วแฮะ

“ไม่มีอะไร” หวังหยูเฟิงตอบเสียงนิ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วมองเจิ้งหยุนที่ร่างกายเปลือยเปล่า เพราะผ้าเช็ดตัวที่ควรใช้ปกปิดท่อนล่างถูกอีกฝ่ายนำไปเช็ดผมของตัวเองแทน “แล้วทำไมไม่นุ่งผ้าให้มันดีหน่อย”

“ผมลืมไป” เจิ้งหยุนตอบหน้าตาใสซื่อ แล้วยิ้มออกมา “ผมชินน่ะ คิดว่าอยู่ห้องตัวเอง ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยหยิบชุดมาให้ผมหน่อยสิครับ”

หวังหยูเฟิงได้แต่ต่อว่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ ในขณะที่กำลังหาเสื้อผ้าให้แขกใส่อยู่นั้น อ้อมแขนอบอุ่นที่กรุ่นกลิ่นหอมสะอาดก็โอบกอดเขาจากทางด้านหลัง

“เจิ้งหยุน!”

“คุณเห็นภาพนั้นแล้วใช่ไหม”

“ภาพอะไร”

“ภาพที่ผมตั้งไว้ในมือถือ ภาพของคุณตอนนั้น”

หวังหยูเฟิงหันกลับไปมองพร้อมกับส่งเสื้อผ้าให้เจิ้งหยุนที่รับมาอย่างว่าง่ายด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก ถึงความอายจะมีมากกว่าความขุ่นเคืองก็ตาม

“คุณควรจะสนใจเรื่องที่โกหกผมว่าไม่ได้เอามือถือมามากกว่านะ”

“อ้อ ผมเพิ่งนึกได้ว่าพกมา ตอนคุณอาบน้ำน่ะ”

หวังหยูเฟิงควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังทำหน้าไม่รู้เรื่อง ก่อนจะกัดฟันเอ่ยเสียงเข้มเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก

“ไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว”





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





หวังหยูเฟิงนอนไม่หลับ สาเหตุไม่ต้องหาคำตอบให้ยุ่งยาก เพราะเขารู้ดีว่ามาจากคนที่นอนสบายอยู่ข้างกันนั่นเอง

ผู้กองหนุ่มอยากจะนอนหันหลังให้อีกฝ่าย แต่สัญชาตญาณร้องเตือนว่าเขาไม่ควรทำแบบนั้น ดังนั้นเจ้าของห้องจึงต้องข่มตาอย่างอดทนเพื่อพาตัวเองเข้าสู่นิทรา

ร่างกายที่ควรผ่อนคลายยามที่ได้พักผ่อนเกร็งขึ้น เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสร้อนที่แตะลงผิวกายไปทั่วตัว หวังหยูเฟิงยังไม่ได้เข้าภวังค์ฝัน เขาเพียงหลับตาเพื่อขับกล่อมตัวเองเท่านั้น พอมาเจอเรื่องแบบนี้ความคิดก็ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

ทำเฉยไปดีหรือเปล่า...

ทั้งที่ตั้งใจจะทำเป็นไม่สนใจเพื่อให้อีกฝ่ายเลิกราไปเอง แต่การก่อกวนยามดึกก็เริ่มหนักข้อขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือ ริมฝีปาก หรือน้ำหนักของร่างกายที่กำลังกดทับก็รบกวนจนเขาทนนอนนิ่งต่อไปไม่ไหว

“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงห้วน นัยน์ตาเปิดกว้างมองคนที่กำลังทำตัวเป็นผีอำขึ้นมาบนร่างกายของเขา เส้นผมยาวสีดำของอีกฝ่ายตกลงมาราวกับม่านไหมที่อยู่ล้อมกรอบใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้

“ผมแค่ต้องการตอบแทนคุณครับ” เจิ้งหยุนเอ่ย ก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของผู้กองหนุ่มอย่างนุ่มนวล “ผมจะทำให้คุณหลับสบาย”

หวังหยูเฟิงต้องการจะโต้แย้งและปฏิเสธน้ำใจที่ไม่ได้ต้องการ แต่คำพูดของเขาก็ถูกริมฝีปากบางดูดกลืนไปจนหมด ก่อนที่คำประท้วงจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางผะแผ่วในความมืดที่เงียบสงบ

“ผมรู้ว่าคุณชอบอะไร” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เขาลากฝ่ามือไปตามร่างกายของนายตำรวจอย่างย่ามใจ “เพราะผมรักคุณ เชื่อใจผมนะ”

คำว่ารักที่ได้ยิน ทำให้ร่างกายที่สั่นไหวด้วยสัมผัสวาบหวามเร่งอุณหภูมิขึ้น หวังหยูเฟิงไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน เขาเพียงนอนทอดกายให้อีกฝ่ายปรนเปรอความปรารถนาเบื้องลึกที่ไม่อยากให้ใครหรือตัวเองล่วงรู้แต่โดยดี

ความต้องการที่มีต่อเจิ้งหยุน...

เสียงสะอื้นดังขึ้น เมื่ออารมณ์ได้ถูกปลุกปั่นอย่างต่อเนื่อง ครั้งก่อนหวังหยูเฟิงอาจจะโทษฤทธิ์ยาที่มอมเมาให้ขาดสติ ทว่าเวลานี้ความรู้สึกพึงใจที่ไม่อยากยอมรับกำลังเล่นงานเขาจนอ่อนระทวย

“อื้อ...”

ส่วนสำคัญของร่างกายถูกสัมผัสด้วยจังหวะที่คุ้นเคย เมื่อทุกอย่างติดไฟ ความร้อนก็แผดเผาความยับยั้งชั่งใจทั้งหมดให้กลายเป็นเถ้าธุลี มีเพียงลมหายใจและเสียงทุ้มล่อลวงที่พัดโหมความต้องการให้ลุกโชนอย่างต่อเนื่อง

“ยังไม่ต้องเป็นคนรักก็ได้ แต่ให้ผมเป็นคนเดียวที่ได้ใกล้ชิดคุณแบบนี้” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมประสานกับดวงตาสีนิลแวววาวที่เอ่อล้นด้วยอารมณ์ที่เขาเป็นผู้เริ่มต้น ริมฝีปากยกยิ้มบางอย่างอ่อนโยน “ให้ผมเป็นคนพิเศษที่สุดของคุณนะครับ”

หวังหยูเฟิงตอบรับคำขอนั้นด้วยการรั้งต้นคอของชายหนุ่มผมยาวลงมามอบจูบดูดดื่ม โดยมีเรือนกายแข็งแรงแนบชิด ท่าทางซื่อตรงต่อความรู้สึกของผู้กองหนุ่มสร้างความรื่นรมย์ให้กับเจิ้งหยุนอย่างยิ่ง เขาปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองและอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย แล้วใช้ผิวกายร้อนมอบไออุ่นจากอ้อมแขนพร้อมกับตีตราจองด้วยรอยจูบที่แต่งแต้มไปทั่วร่างของบุรุษที่หมายปอง

เสียงครวญครางผสานกับเสียงสัมผัสชวนสยิวซาบซ่านดังขึ้นในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย หวังหยูเฟิงไม่อาจอดกลั้นคลื่นอารมณ์ที่ซัดสาดเข้ามาทุกครั้งที่ริมฝีปากร้อนประทับบนร่างกายของเขาอย่างเป็นเจ้าของได้เลย

เจิ้งหยุนละเมียดกลืนกินร่างกายที่ปรารถนาอย่างไม่รีบร้อน หยอกเย้าอารมณ์ให้เหยื่อทรมานด้วยพิษสวาทที่เขาบรรจงมอบให้ ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าเสียวซ่านที่น่าหลงใหลอย่างพอใจ ก่อนจะถอนริมฝีปากจากยอดอกที่ขึ้นสีแดงก่ำทั้งสองข้าง

“หยูเฟิง...” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับขยับกายเล็กน้อย เขายกมือขึ้นทัดเส้นผมยาวของตัวเองเผยใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เรามาเป็นของกันและกันเถอะนะครับ”

ใบหน้าของหวังหยูเฟิงร้อนผ่าวมากกว่าเดิม ร่างกายของเขามีเหงื่อซึมไปทั่วราวกับต้องการปลดปล่อยบางอย่างที่ระอุอยู่ภายใน รวมไปถึงความรู้สึกที่อยากจะระบายออกมาเต็มที แรงเสียดสีอย่างเชิญชวนที่เจิ้งหยุนชักนำ ทำให้ความลังเลของชายหนุ่มที่พ่ายแพ้ต่อหัวใจละเลยความคิดต่างๆ อีกต่อไป

“อืม”

สิ้นคำยินยอม เจิ้งหยุนก็ยิ้มกว้าง แล้วมอบจูบแสนหวานชวนเคลิ้มฝันให้หวังหยูเฟิง แขนและขาของพวกเขากอดเกี่ยวแสดงความต้องการที่มีต่ออีกฝ่ายอย่างชัดเจน ส่วนสำคัญทางเพศก็สัมผัสกันด้วยความเร่าร้อน

หลังจากเล้าโลมร่างกายและอารมณ์ให้แก่กันจนได้ที่ พวกเขาก็สร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่ด้วยการประสานร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกแรงที่เคลื่อนไหวตอกย้ำความปรารถนาที่ต้องการปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง

เสียงครางอย่างสุขสมที่ดังสลับกับเสียงร่ำร้องที่มีต่ออีกฝ่ายคล้ายกับบทเพลงรักที่ทำให้ผู้ใดที่ได้ฟังต้องเลือดสูบฉีดด้วยความเขินอาย ท่วงทำนองสวาทถูกบรรเลงอย่างเร่าร้อน นักประพันธ์ทั้งสองคนกำลังช่วยกันสรรสร้างและปีนป่ายไปตามเมโลดี้แสนหวานอย่างกระตือรือร้น และเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายมาถึง ความอัดอั้นของพายุอารมณ์ก็กลายเป็นสายฝนเย็นฉ่ำดับไฟราคะให้มอดดับลงอย่างเชื่องช้า

เจิ้งหยุนหอบหายใจเล็กน้อย เขาไม่เคยรู้สึกเต็มอิ่มในเพศรสเท่าครั้งนี้มาก่อน ชายหนุ่มยกยิ้มมองใบหน้าอ่อนเพลียและนัยน์ตาสีดำที่ปริ่มน้ำตาแห่งความสุขสมของผู้กองหวัง แล้วก้มลงจุมพิจที่หน้าผากชื้นเหงื่ออย่างอ่อนโยน

หวังหยูเฟิงหลับตาลง ถึงแม้จะรู้สึกแปลก แต่เขาก็พอใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและสิ้นสุดลง ฝ่ามือของเขาลูบผ่านร่างกายเปลือยเปล่าพรมเหงื่อของเจิ้งหยุนอย่างเลื่อนลอย

“ผมมีความสุขมากเลยครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงต่ำ เขาทอดมองชายหนุ่มที่เพิ่งร่วมรักด้วยรอยยิ้มบาง “คุณมีความสุขไหม”

“อืม” หวังหยูเฟิงตอบรับเสียงเบา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสบกับนัยน์ตาเป็นประกายอย่างอ่อนหวานตามอารมณ์ที่ยังตกตะกอน

“เรามามีความสุขด้วยกันต่อเถอะ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบไล้ใบหน้าของหวังหยูเฟิงอย่างแสดงความต้องการ “ผมอยากกอดคุณอีก”

ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าอายที่จะตอบรับ แต่หวังหยูเฟิงก็ต้องการและยังอยากได้ความอบอุ่นที่ร้อนแรงจากเจิ้งหยุนเช่นเดียวกัน

“เอาสิ” หวังหยูเฟิงตอบรับ หลังจากนั้นเศษอารมณ์ที่ปลิดปลิวก็รวมตัวกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกถูกปลุกเร้าด้วยลิ้นที่สอดเข้ามากระหวัดเกี่ยวอย่างชำนาญในโพรงปากของเขา

ชายหนุ่มทั้งสองคนยังคงเสพสุขและตักตวงความต้องการอย่างหิวโหย ลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัวราวกับโลกทั้งใบมีเพียงตัวตนของกันและกันเท่านั้น พวกเขาได้ปล่อยตัวและหัวใจให้ล่องลอยไปตามความปรารถนาที่ไม่มีสิ้นสุดไปตลอดค่ำคืน





TBC++++++++ 21ผลลัพธ์ของการตัดสินใจ

​Marionetta
  ในที่สุด...ผู้กองหวังก็โดนหินอย่างเป็นทางการ 5555ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  o18

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
21
ผลลัพธ์ของการตัดสินใจ





นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หวังหยูเฟิงตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของเจิ้งหยุน ความอ่อนเพลียสร้างความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สติทุกอย่างจะทำงานได้ปกติอีกครั้ง

เขาหันไปมองผู้ชายที่กำลังนอนหลับสนิท ใบหน้าที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมสีดำยาวราวกับเจ้าชายรูปงาม ทำให้คนจ้องมองนิ่งไปชั่วขณะ เรื่องราวในราตรีที่ผ่านมาย้อนเข้ามาในความทรงจำ

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า เมื่อมโนภาพเร่าร้อนแจ่มชัดในความคิด ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ครั้งนี้เขาไม่อาจกล่าวโทษสิ่งใด นอกจากหัวใจของตัวเอง

ปลายนิ้วหยาบแตะผิวแก้มขาวของทายาทคนเล็กของอีเดนแผ่วเบา ความสับสนและกังวลใจวิ่งวนในความรู้สึก ถึงเจิ้งหยุนจะยอมปล่อยผ่านสถานะคนรักที่ต้องการไปก่อน แต่ความสัมพันธ์ทางกายอย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิมที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ถือเป็นคำตอบรับกลายๆ ของเขาได้

“คุณตื่นก่อนผมอีกแล้ว”

เสียงของเจิ้งหยุน ทำให้หวังหยูเฟิงหลุดจากภวังค์ เขาหันไปมอง ก่อนจะถูกอีกฝ่ายจู่โจมที่ริมฝีปากอย่างร้อนแรงแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

หวังหยูเฟิงอยากจะดันคนฉวยโอกาสออก แต่ร่างกายของเขากลับอ่อนระทวยและไร้เรี่ยวแรงจากรสรักที่เพิ่งประสบแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกในชีวิต

  เมื่อคืนนี้หวังหยูเฟิงไม่รู้สึกอะไร เนื่องจากแรงอารมณ์เร่งเร้าร่างกายให้ตอบสนองทุกสัมผัสที่ได้รับอย่างอิ่มเอม ทว่าตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

“อื้อ...พอ” หวังหยูเฟิงเอ่ยปรามเสียงเบาพร้อมกับหันใบหน้าหนีเรียวปากหยักที่กดจูบย้ำที่ริมฝีปากของเขาอย่างถือสิทธิ์ แล้วผ่อนลมหายใจออกมา เพราะไม่อาจหลบเลี่ยงสัมผัสที่เดินทางไปทั่วใบหน้าจนถึงซอกคอได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยเรียกเป็นการทักท้วง “เจิ้งหยุน”

“คุณน่ารัก” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วส่งยิ้มสดใสราวกับกระต่ายน้อย แต่แววตาวิบวับไม่ต่างจากเสือร้ายที่รอขย้ำเหยื่อ “อยากกอดคุณอีก”

“จะบ้าหรือ!” หวังหยูเฟิงว่าไม่เต็มเสียงนัก อาจเป็นเพราะลำคอที่ใช้งานอย่างหนักเมื่อคืนนี้ น้ำเสียงจึงแหบแห้งราวกับขาดน้ำมาหลายวัน ถึงแม้เมื่อครู่นี้จะเพิ่งได้รับความหวานฉ่ำจากรสจูบเติมเต็มมาบ้างแล้วก็ตาม

“ผมนอนกอดคุณได้ทั้งวันทั้งคืน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แล้วกดจูบที่ไหล่กว้างของผู้กองหนุ่มอย่างหลงใหล

“แต่ผมไม่!” หวังหยูเฟิงเอ่ยปฏิเสธพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง โดยไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ร่างกายกำลังถูกลวนลามอยู่ นัยน์ตาสีดำสวยเลื่อนไปมองนาฬิกาแล้วขมวดคิ้วอกมา

สิบเอ็ดโมงแล้วหรือ....

โดยปกติหวังหยูเฟิงเป็นคนตื่นเช้า การเริ่มต้นวันใหม่ในเวลาสายโด่งแบบนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้กองหนุ่มคุ้นชินนัก โชคดีที่วันนี้ยังเป็นวันลาพักร้อน ไม่อย่างนั้นเขาคงหงุดหงิดที่ไปทำงานสาย เนื่องจากความเหลวไหลของตัวเอง

“หยูเฟิง”

หวังหยูเฟิงหันไปมองเจิ้งหยุนที่เข้ามารัดเอวของเขาเอาไว้ ร่างกายของชายหนุ่มทั้งสองคนมีเพียงผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ แผ่นหลังของนายตำรวจแนบชิดหน้าอกผ่าเผย ใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายรูปงามวางลงบนหัวไหล่ของคนที่ตัวเองกกกอด

“ผมเป็นคนส่งเรื่องของถานอี้เทาให้ตำรวจเอง”

หวังหยูเฟิงรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน จนลืมเลือนความเขินอายที่กำลังได้รับไออุ่นจากผิวกายร้อนแบบแนบเนื้อ

ในระหว่างที่ผู้กองหวังกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิดกับผู้มีอิทธิพลใหญ่ที่กำลังติดตามมาหลายปี ทว่าเมื่อราวสองเดือนก่อนที่จะเกิดเรื่อง เขาก็ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากผู้หวังดีที่ไม่ประสงค์ออกนามจนดำเนินการเข้าจับกุมถานอี้เทาในที่สุด

“เรื่องของกงเจ๋อตวน ผมก็จะช่วยคุณ”

หวังหยูเฟิงหันไปมองเจิ้งหยุนอย่างค้นหาคำตอบ ผู้กองหนุ่มไม่เคยคาดเดาความคิดของผู้ชายคนนี้ได้เลย รอยยิ้มบางของบุรุษแห่งกาเบรียลปรากฏขึ้น ก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะกดลงบนแก้มของเขา

“ผมไม่อยากให้คุณไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงใย กงเจ๋อตวนไม่ใช่เหยื่อที่จะจัดการได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยาก ถ้าหากเขาจะลงมือด้วยตัวเอง

“แล้วคุณจะหักหลังผมหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างเคลือบแคลง “เหมือนที่คุณเคยทำกับผมไปแล้ว”

เจิ้งหยุนนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อทบทวนเรื่องราวในความคิดได้ เขาก็คลี่ยิ้ม แล้วกระชับอ้อมแขนเพื่อโอบกอดผู้กองหนุ่มอย่างเอาใจ

“ผมเคยทำแบบนั้นด้วยหรือ ไม่เห็นรู้เรื่องเลยครับ”

หวังหยูเฟิงพ่นลมหายใจออกมาเป็นการระบายความไม่พอใจ แล้วตั้งใจจะลุกออกจากเตียง แต่เขาก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของเจ้าของผับกาเบรียลได้

“ปล่อยผมได้แล้ว”

“อาบน้ำด้วยกันนะครับ”

“ไม่!”

“ตอนนี้คุณยังยืนไม่ไหวหรอก”

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว ถึงเขาจะรู้สึกว่าร่างกายกำลังอ่อนแอ แต่ก็ไม่ถึงขนาดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพื่อยืนยันคำพูดนั้น เจิ้งหยุนจึงปล่อยให้ผู้กองหนุ่มที่เพิ่งผ่านสงครามรักบนเตียงครั้งแรกได้เผชิญความจริงด้วยตัวเอง

หวังหยูเฟิงสูดลมหายใจ แล้วหย่อนขาลงจากเตียงอย่างไม่รีบร้อน ชายหนุ่มชำเลืองมองคนที่นั่งกอดอกมองเขาอยู่เล็กน้อย และเมื่อฝ่าเท้ารองรับน้ำหนักเต็มความสูง ร่างกายที่หนักอึ้งก็ทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก

หวังหยูเฟิงไม่ได้ล้ม เพราะเขาประคองตัวเองได้ทัน แต่ท่าทางซวนเซก็เพียงพอให้เจิ้งหยุนได้บ่นออกมา

“ผมบอกแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่อยากลุกจากเตียงเลย”

“เรื่องของคุณ!”

หวังหยูเฟิงชักสีหน้าออกมา แล้วพาร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากสงครามสวาทไปยังห้องน้ำอย่างทุลักทุเลด้วยความตั้งใจ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อร่างกายถูกใครอีกคนประคองกอดเอาไว้

“คุณอย่าดื้อกับผมเลย ให้ผมดื้อกับคุณฝ่ายเดียวก็พอ”

“หึ!”

ในที่สุดหวังหยูเฟิงก็ยินยอมให้เจิ้งหยุนพาเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อประตูปิดลง เสียงโวยวายและโต้เถียงก็ดังขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นเสียงครางหวิวที่แทรกผ่านเสียงน้ำที่ไหลจากฝักบัว





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





เจิ้งหยุนเคยตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ในใจเรื่องหนึ่ง เมื่อไรที่ได้กลืนกินหวังหยูเฟิง เขาจะทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในอ้อมกอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ทำตามเป้าหมายนั้นแล้ว

ตอนนี้หวังหยูเฟิงที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกจากความรู้สึกที่เขามอบให้กำลังนั่งทำหน้าซังกะตายใส่ ทว่าดวงตาสีนิลนั้นแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจ

“หยูเฟิง อย่าโกรธผมเลยนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอนที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน แต่เมื่อได้รับสายตาดุเป็นคำตอบ เขาก็ทอดเสียงหวานอย่างออดอ้อน “เพราะผมรักคุณ เลยอดใจไม่ไหว”

หวังหยูเฟิงถอนหายใจ แล้วรับประทานอาหารเช้าในตอนบ่ายอย่างระอา ตอนนี้ผู้กองหนุ่มเข้าใจถ่องแท้ถึงทุกความรู้สึกที่เจิ้งหยุนมีต่อเขาแล้ว รวมไปถึงความรู้สึกของตัวเองด้วย

ทั้งที่แสดงท่าทางไม่พอใจ แต่หวังหยูเฟิงก็ยินยอมให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสอย่างเต็มใจ หัวใจก็หวั่นไหวทุกครั้งที่ได้รับทุกสัมผัสของเจิ้งหยุน ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ถึงจะยังไม่อาจจินตนาการถึงอนาคตที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เวลานี้เขาก็ยอมรับว่า มีความสุขดีที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างกาย

แต่...เจิ้งหยุนเป็นคนร้าย

ตอนนี้หวังหยูเฟิงมีความผิดติดตัวสามครั้ง

ความผิดของเขาครั้งแรกคือการปล่อยให้คนร้ายลอยนวลอย่างจนใจ

ความผิดของเขาครั้งที่สองคือการปล่อยอารมณ์ให้คนร้ายจนละเลยหน้าที่ของตัวเอง

และความผิดของเขาครั้งที่สามที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการปกป้องคนร้ายในฐานะของคนรัก!

“หยูเฟิง...”

หวังหยูเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น เขาวางตะเกียบของตัวเองลง ทั้งที่รับประทานอาหารเช้าไม่หมด นัยน์ตาสีดำทอประกายแน่วแน่เด็ดขาด

เขายังไม่อยากให้อ้อมกอดของเจิ้งหยุนหายไปจากชีวิต!

“ผมจะคบกับคุณ”

คำพูดของหวังหยูเฟิงสร้างความตกตะลึงให้เจิ้งหยุน เขามองใบหน้าจริงจังอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถึงตอนนี้จะรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีให้เขาผ่านการกระทำแล้วก็ตาม แต่ก็คาดไม่ถึงว่า ผู้กองหวังจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นและออกปากก่อนเอง

เจิ้งหยุนยกยิ้มด้วยความพอใจ เขายกมือข้างหนึ่งเท้าคางมองเจ้าของห้องที่ยังมีสีหน้าคร่ำเคร่งอย่างอารมณ์ดี

“ที่คุณยอมตกลง เพราะอยากรู้ความลับของผมหรือ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา

“ผมอยากรู้ แต่คุณก็ไม่ต้องบอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบพร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างจริงจัง “เรื่องที่ผ่านมา ผมจะปล่อยผ่านไปเป็นแค่อดีต แต่หลังจากนี้คุณอย่าทำผิดอีก”

ความผิดที่ผ่านมาของเจิ้งหยุน ในเมื่อไม่มีอะไรมายืนยัน หวังหยูเฟิงก็ถือว่า อีกฝ่ายบริสุทธิ์ ส่วนเรื่องฆาตกรตัวจริงในคดีของถานอี้เทาเป็นงานในความดูแลของเขาอยู่แล้ว ค่อยหาวิธีจัดการทีหลังก็ยังได้ ตอนนี้เกียรติและศักดิ์ศรีของตำรวจที่มีได้ถูกความรักและเห็นแก่ตัวทำลายจนแตกเป็นเสี่ยง

หวังหยูเฟิงรู้สึกละอายใจอย่างที่สุด แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ย่อมมีวันที่พลาดพลั้งและหลงผิด ผู้กองหนุ่มจึงได้สัญญากับตัวเอง หลังจากนี้เขาจะทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อย่างเต็มที่และรับผิดชอบการกระทำของตัวเองอย่างแน่นอน

“เรื่องนั้น...ถึงจะเป็นคุณ ผมก็ไม่รับปากหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน “ผมไม่อยากผิดสัญญากับคุณ มนุษย์ทุกคนย่อมทำผิดด้วยกันทั้งนั้น รวมถึงตัวคุณเองก็ด้วย”

หวังหยูเฟิงนิ่งเงียบ เพราะตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ถึงสัจธรรมนี้เช่นเดียวกัน ท่าทางเคร่งขรึมของผู้กองหนุ่ม ทำให้เจิ้งหยุนต้องรีบพูดต่อ

“แต่ผมสัญญาว่า จะรักและดูแลคุณตลอดไป” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบ แล้วยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ถึงจะไม่มั่นใจว่า จะทำให้คุณมีความสุขหรือเปล่าก็ตาม”

“ทำไม” หวังหยูเฟิงถามกลับอย่างแปลกใจ เพราะโดยทั่วไปคนรักกัน เขาก็ควรทำให้อีกฝ่ายมีความสุขไม่ใช่หรือ

“บางทีการใช้ชีวิตของผมอาจจะทำให้คุณเครียดก็ได้นี่ครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกเย้า เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “ดูอย่างตอนนี้สิ คุณยังนั่งคิ้วขมวดเลย ผมไม่กล้าสัญญาอะไรที่ทำไม่ได้หรอก”

“ผมเข้าใจแล้ว” หวังหยูเฟิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แล้วรับประทานอาหารเช้าของตัวเองต่อไป

“ในเมื่อเราสองคนเป็นคนรักกันแล้ว” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมประสานกับดวงตาสีนิลที่มองมาอย่างหวาดระแวง “ผมขอค้างที่นี่อีกคืนนะครับ”

“ไม่ กลับบ้านคุณไปได้แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยปฏิเสธทันที เจิ้งหยุนก็ตีหน้าหงอยทันตา

“ทำไมล่ะ คนรักกันก็ต้องอยากอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม ก่อนจะคิ้วขมวดกันเล็กน้อย “จริงสิ...มีแต่ผมที่บอกรักคุณ ไม่เห็นคุณบอกบ้างเลย”

“ผมไม่เหมือนคุณ” หวังหยูเฟิงโต้กลับเสียงแข็ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้สึกเขินขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม

“โอเคครับ ไม่ต้องพูดก็ได้” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างว่าง่ายพร้อมกับทอดมองคนรักป้ายแดงด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะเมื่อคืนนี้กับตอนสายคุณก็บอกผมผ่านร่างกายของคุณแล้ว”

“ทะลึ่ง!” หวังหยูเฟิงว่า ใบหน้าของชายหนุ่มแดงระเรื่อ ถึงแม้ไม่อยากนึกถึง แต่ความทรงจำสดใหม่ก็ย้อนเข้ามาให้เขารู้สึกอับอาย

“คุณน่ารักมากเลย ชักอยากกอดอีกแล้วสิ” เจิ้งหยุนเอ่ยต่อ โดยไม่สนใจสีหน้าของหวังหยูเฟิงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้แต่น้อย “หยูเฟิงครับ คืนนี้เรามาฮันนีมูนกันเถอะ”

“ไม่มีทาง! ไอ้คนบ้ากาม!” หวังหยูเฟิงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ โดยที่มีเสียงหัวเราะชอบใจของเจิ้งหยุนตอบรับ





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣



หลังจากที่ได้ขยับความสัมพันธ์จากคนรู้จักกลายเป็นคนรัก วันลาพักร้อนที่แสนสำคัญของหวังหยูเฟิงก็ถูกใช้ร่วมกับเจิ้งหยุนที่ยังปักหลักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ไม่ยอมกลับที่พักหรูหราของตัวเอง

พวกเขาออกไปซื้อของและรับประทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้าในช่วงกลางวัน และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินก็ใช้เวลาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นด้วยวาจาและร่างกายจนเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง

หวังหยูเฟิงมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา วันนี้เขาต้องไปทำงานตามปกติแล้ว เครื่องแบบที่สวมใส่ย้ำเตือนหน้าที่และจิตวิญญาณที่เบาบางลงในมโนสำนึกให้กลับคืนมาดังเดิม

“ผมไปส่งคุณนะ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี “แล้วตอนเย็นผมจะไปรับคุณกลับ”

“ไม่ต้องหรอก ผมมีรถ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขัด แล้วเดินไปหยิบของใช้จำเป็นเพื่อเตรียมตัวออกจากห้อง

“คุณหมายถึงมอเตอร์ไซค์คันนั้นหรือ” เจิ้งหยุนย้อนถาม แล้วถอนหายใจออกมา “เดี๋ยวผมจะซื้อรถคันใหม่ให้”

“ทำไมต้องซื้อใหม่ คันนี้ก็ยังใช้งานได้อยู่” หวังหยูเฟิงถามกลับ เขามองเจิ้งหยุนที่แสดงความจริงจังอย่างไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย

มอเตอร์ไซค์ที่หวังหยูเฟิงยืมฟ่านมู่เหยียนมาใช้ ตอนนี้เขาก็ซื้อต่อเพื่อนสนิทมาเป็นของตัวเองแล้ว และตัวเลขในบัญชีธนาคารก็ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้จ่ายครั้งใหญ่

“แต่มันเก่าแล้วนะครับ ถึงมันจะใช้เดินทางสะดวก แต่ก็ปลอดภัยน้อยกว่ารถยนต์อยู่ดี” เจิ้งหยุนอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาคมมองนายตำรวจในเครื่องแบบที่ตอนนี้เป็นคนรักของเขาด้วยความห่วงใย “ถ้าคุณอยากจะขับมอเตอร์ไซค์จริงๆ ผมจะซื้อรุ่นใหม่ล่าสุดให้”

“ขอบใจ แต่ผมไม่ต้องการ” หวังหยูเฟิงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะเดินนำเจิ้งหยุนออกจากห้องพัก “แล้วถ้าผมอยากได้คันใหม่ ผมก็จะซื้อเอง ไม่ต้องให้คนที่เคยขับรถชนผมมาซื้อให้หรอก”

เจิ้งหยุนชะงักไปเล็กน้อย เขาเกือบลืมไปแล้วว่า ครั้งหนึ่งตัวเองได้วางแผนเพื่อทำความรู้จักกับหวังหยูเฟิงอย่างไร ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมกับเดินตามคนรักไปที่ลิฟต์

“ไม่ซื้อใหม่ก็ได้ เอาไว้ให้ผมมารับส่งก็ดีเหมือนกัน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หวังหยูเฟิงตวัดตามองใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มรอยยิ้มอย่างขุ่นเคือง

“ผมมีรถครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้น แต่เจิ้งหยุนก็ยังทำหูทวนลมราวกับไม่ได้ยินอะไร อีกทั้งยังขยับเข้ามาโอบเอวของผู้กองหนุ่มอย่างเป็นเจ้าของ

หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา พวกเขาเดินมายังลานจอดรถที่อยู่ด้านหลังของอพาร์ตเมนต์ เมื่อผู้กองหวังเดินไปถึงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่เพิ่งได้เป็นเจ้าของเต็มตัวได้ไม่นาน เขาก็หันไปมองเจิ้งหยุนที่ยืนอยู่ข้างกาย

“เอาไว้พวกเราค่อยเจอกันตอนผมหยุดครั้งหน้า” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ขณะที่เขากำลังนั่งคร่อมคู่หูคันใหม่ แต่คนฟังกลับไม่พอใจนัก

“แล้วเมื่อไรครับ คุณทำงานไม่มีวันหยุดเลยนี่” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกดดัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะแสดงความเอาแต่ใจออกมาอีกครั้ง “เย็นนี้ผมจะมารอคุณที่ห้อง”

“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ ตอนนี้ก็เสียเวลามามากแล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ได้รับคำตอบที่พอใจก็คงไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหนแน่ “ผมจะโทรหาคุณทุกวัน โอเคไหมครับ”

“แต่ผมอยากเจอคุณทุกวันมากกว่า” เจิ้งหยุนยังเอ่ยย้ำความต้องการของตัวเอง หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

“ถ้าอย่างนั้นผมจะวีดีโอคอลหาคุณ” หวังหยูเฟิงเสนอหนทางที่ยอมรับได้ออกมา แต่เจิ้งหยุนก็ยังไม่พอใจ

“แต่ผมก็ยังไม่ได้จูบคุณอยู่ดีนี่ครับ” เจิ้งหยุนยังว่าต่ออย่างดื้อรั้น หวังหยูเฟิงรู้สึกทั้งเขินอายและระอาในคราวเดียวกัน

“คุณอย่าดื้อนักได้ไหม ผมสายแล้ว” หวังหยูเฟิงบ่นขึ้นมาบ้าง ใบหน้าเรียบนิ่งเจือความหงุดหงิดใจ เพราะเขาไม่มีเวลาให้เจิ้งหยุนได้ทุกวันอย่างที่อีกฝ่ายต้องการแน่นอน “ถ้าคุณไม่ยอมรับข้อตกลงของผม ก็ตามใจ ผมจะไปทำงานแล้ว”

“ก็ได้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงอ่อนลง ถึงแม้ในใจจะหงุดหงิดเล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้าหากเขายังดื้อแพ่งต่อไป แม้แต่การติดต่อก็คงไม่มีสิทธิ์ “แต่คุณต้องจูบให้รางวัลผมก่อนด้วย”

ถึงแม้การเจรจาจะไม่ประสบผลสำเร็จตามที่หวังเอาไว้ แต่ในฐานะของนักธุรกิจแล้ว เจิ้งหยุนจะไม่ยอมขาดทุนเด็ดขาด!

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมทำตามคำเรียกร้องของคนรัก เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว ผู้กองหนุ่มจึงเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าหาอีกฝ่าย แล้วแนบริมฝีปากลงตรงตำแหน่งที่ต้องการ ก่อนจะถอนสัมผัสนุ่มนวลออกมา

“นี่ไม่ใช่จูบสักหน่อย” เจิ้งหยุนท้วง เขามองใบหน้าของหวังหยูเฟิงอย่างข้องใจ “เมื่อเช้าเราไม่ได้จูบกันแบบนี้นี่ครับ”

หวังหยูเฟิงปั้นสีหน้ายากกับความเรื่องมากของชายหนุ่มผมยาว เขาจึงยกมือขึ้นรั้งท้ายทอยของเจิ้งหยุนไว้ แล้วบดเบียดริมฝีปากไม่ต่างจากครั้งแรก ทว่าสิ่งที่เพิ่มมากขึ้นคือปลายลิ้นที่สอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดในโพรงปากอย่างเร่าร้อนจนเรียกเสียงครางในลำคอของคนถูกจูบออกมาได้

การให้รางวัลคนรักที่เลิกดื้อรั้นใช้เวลาไม่นาน แต่ก็สร้างความวาบไหวให้แก่ชายหนุ่มทั้งสองคน เจิ้งหยุนกดจูบซ้ำที่ริมฝีปากหวานของหวังหยูเฟิงอย่างรักใคร่

“ผมจะรอวีดีโอคอลของคุณนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยลาด้วยรอยยิ้มน่ามอง หวังหยูเฟิงที่ใบหน้าแดงก่ำหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมใส่ แล้วพยักหน้ารับส่งท้าย

หลังจากนั้นมอเตอร์ไซค์ของหวังหยูเฟิงก็เคลื่อนตัวไปยังถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว เหลือเพียงชายหนุ่มผมยาวที่ยืนอยู่ตามลำพังในลานจอดรถที่ไร้ผู้คน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣


ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5


อู่หนิงลอบมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลังอย่างใคร่รู้ เพราะตั้งแต่ที่ไปรับเจิ้งหยุนที่อพาร์ตเมนต์ของหวังหยูเฟิง อีกฝ่ายก็ดูมีความสุขจนออกนอกหน้า สังเกตได้จากริมฝีปากที่แต้มรอยยิ้มบางเกือบจะตลอดเวลา

“มีอะไร”

อู่หนิงชะงักไปเล็กน้อย เมื่อนัยน์ตาคมสีดำเลื่อนมาสบ เขาจึงได้ถามถึงสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ในทันที

“ท่าทางนายอารมณ์ดีมาก ผมเลยสงสัย”

“ก็ฉันเพิ่งกลับมาจากห้องของหยูเฟิง”

“นั่นสินะครับ”

อู่หนิงกลับไปสนใจท้องถนนอีกครั้ง เจิ้งหยุนไม่ไดักลับคฤหาสน์ แต่ไปค้างที่ห้องพักของหวังหยูเฟิงมาสามคืนแล้ว ซึ่งก็คงมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพัฒนามากกว่าเดิม

ตั้งแต่หวังหยูเฟิงย้ายเข้าไปอาศัยในคฤหาสน์ ชายหนุ่มและคนรับใช้ทุกคนต่างก็ลอบสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับผู้กองหวังมาโดยตลอด และภายหลังพวกเขาก็รับรู้สถานะของบุคคลทั้งสองโดยไม่ต้องเอ่ยถาม

ไม่ว่าจะความใกล้ชิด การเอาใจใส่ หรือแม้กระทั่งการพลอดรักกัน ก็ล้วนตกอยู่ในสายตาของพวกเขาในมุมมืดทั้งสิ้น

หลังจากหวังหยูเฟิงได้ย้ายออกไป เจิ้งหยุนที่อารมณ์แปรปรวนอยู่แล้วก็อาการหนักมากขึ้น เพราะถูกคนที่สนใจตัดการติดต่อ คฤหาสน์ริมทะเลจึงพบกับพายุที่เข้ามาเป็นระยะให้คนรับใช้หวาดหวั่นใจ จนกระทั่งเกิดคดีของเส้าซินฉีขึ้น และในที่สุดเจ้านายของเขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ถึงแม้เรื่องราวของเส้าซินฉีผู้โชคร้ายจะเป็นข่าวดังในเมือง แต่สิ่งที่คนในคฤหาสน์ริมทะเลสนใจคือหวังหยูเฟิงที่เข้ามาดูแลคดีนี้ คนรับใช้ทุกคนต่างก็หวังว่า ผู้กองหนุ่มจะทำงานเสร็จในเร็ววันเพื่อจะได้มีเวลาให้เจ้านายของพวกเขาบ้าง

คำภาวนาในใจของทุกคนสัมฤทธิ์ผลไม่นานเกินรอ เจิ้งหยุนที่ทราบเรื่องวันหยุดของหวังหยูเฟิงก็รีบรุดไปหาอีกฝ่ายในทันที

อู่หนิงลอบมองเจิ้งหยุนที่นั่งมองวิวข้างทางที่เบาะหลังอีกครั้ง เขาอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อสามารถพยากรณ์บรรยากาศของคฤหาสน์ริมทะเลในช่วงนี้ได้

หลายวันหลังจากนี้ท้องฟ้าแจ่มใส คงอีกนานกว่าพายุจะเข้าอีกครั้ง





TBC +++++++++  22ย่างก้าวในความมืด

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
หูยยยยยยยยยย :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ marionatte

  • Beginning is more difficult
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 794
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-5
22
ย่างก้าวในความมืด







“ทำอะไรน่ะ”

“ผมมาหาของครับ พอดีเผลอทำตกหาย น่าจะอยู่แถวนี้”

“แล้วหาเจอหรือยัง”

“ไม่เจอครับ แต่เดี๋ยวผมกลับไปหาที่ห้องอีกที”

ชายชุดสูทสีดำมองบอดี้การ์ดน้องใหม่อย่างสงสัย เขาพยักหน้ารับโดยที่สายตายังทอดมองเด็กหนุ่มที่เดินไปทางห้องพักของคนรับใช้ ก่อนจะกลับมาเดินลาดตระเวณตามหน้าที่ของตัวเองต่อ

หลีซิงเข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของกงเจ๋อตวนได้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสลงมืออะไร เด็กหนุ่มเดินไปตามทางอย่างหงุดหงิด คดีของเส้าซินฉีจบลงไปแล้ว ทั้งที่เขาวางแผนให้ตำรวจเล่นงานเพื่อสาวไปเอาผิดกับผู้มีอิทธิพลในเมืองนี้ได้ แต่ดูเหมือนว่าอำนาจของอีกฝ่ายจะไม่ใช่แค่คำพูดโคมลอย

พยานและหลักฐานเท็จถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ แม้แต่หลีซิงที่เป็นคนลักพาตัวมาเองยังต้องทึ่ง

“ไปไหนมา” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้น หลังจากหลีซิงเดินเข้ามาในห้องพัก เด็กหนุ่มชักสีหน้าออกมาเล็กน้อย

“ก็ออกไปดูลู่ทางนิดหน่อย” หลีซิงเอ่ยตอบพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างไม่พอใจนัก “คนเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด”

“นายต้องใจเย็นกว่านี้” อินเสี้ยวตงเอ่ยเตือน ซึ่งหลีซิงก็ยอมรับอย่างจนใจ

ตอนนี้หลีซิงเป็นเพียงบอดี้การ์ดปลายแถวของกงเจ๋อตวน ไม่ว่าจะเรื่องทักษะการต่อสู้ที่ต่ำชั้นและสมรรถภาพทางกายที่ด้อยกว่าคนอื่น เขาจึงตกเป็นข้ารับใช้ให้กับบอดี้การ์ดรุ่นพี่ ต่างจากอินเสี้ยวตงที่ถูกจัดอยู่ในชนชั้นที่ดีกว่า

มนุษย์ทุกคนไม่มีความเท่าเทียม แม้แต่สังคมขนาดเล็กที่มีแต่คนรับใช้ก็ยังมีการจัดระดับ คนที่อ่อนแอกว่าย่อมต้องตกเป็นเบี้ยล่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ทั้งความผิดหวังจากแผนที่วางเอาไว้ รวมไปถึงความเครียดจากการถูกใช้งานอย่างคนด้อยค่า หลีซิงที่มีดีแค่หน้าตาจึงต้องกัดฟันทน ถึงแม้บางครั้งเขาจะถูกบอดี้การ์ดกักขฬะลวนลามบ้างก็ตามที

อินเสี้ยวตงมองหลีซิงอย่างเห็นใจ เขารับรู้เหตุการณ์บางอย่างที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ แต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ทั้งหมด เพราะชายหนุ่มก็เป็นคนใหม่เช่นเดียวกัน

“ความแค้นชำระสิบปีก็ยังไม่สาย” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

หลีซิงถอนหายใจออกมา

“รู้แล้ว” หลีซิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้องพัก “ขอไปเดินเล่นแถวนี้หน่อย”

หลีซิงไม่ได้รอคำตอบของเพื่อนร่วมห้อง เขาเดินมาที่สวนหย่อมใกล้ที่พักของคนรับใช้ที่เงียบสงบ ร่างบางมองซ้ายและขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปซุกซ่อนใต้พุ่มไม้ใหญ่ที่ไม่ต่างจากฐานลับที่ปลอดภัยของตัวเอง

แสงจันทร์ฉายสว่างเผยให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งคุดคู้ราวกับสัตว์เล็กที่หลบซ่อนผู้ล่า หลีซิงผ่อนลมหายใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา

สาเหตุที่เด็กหนุ่มต้องแอบมาอยู่ในมุมมืดเช่นนี้ เพราะภายในเขตแดนของกงเจ๋อตวนมีคนคอยสำรวจผู้บุกรุกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วสิ่งที่เขากำลังจะกระทำก็ไม่อาจเปิดเผยให้อินเสี้ยวตงได้รู้

ปลายนิ้วเรียวกดไปยังหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ แล้วยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นแนบหู เขารอฟังสัญญาณด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ก่อนจะมีเสียงตอบรับ

[ฮัลโล]

“ฮ...ฮัลโล”

หลีซิงพยายามควบคุมความตื่นเต้นที่ล้นปรี่อยู่ในใจ ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่อาจทำตามที่ตั้งใจเอาไว้ได้ เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมา

[หลีซิง?]

เจิ้งหยุนจำเสียงของเขาได้!

“ครับ...”

[คุณนายไป๋ก็บอกฉันเหมือนกันว่า นายกลับมาแล้ว ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน]

หลีซิงคลี่ยิ้มกับตัวเองในความมืดสลัวพร้อมกับกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองแน่น

“ผมมาเป็นบอดี้การ์ดของกงเจ๋อตวนแล้ว”

เมื่อหลีซิงนึกมาถึงตรงนี้ ความเครียดและคับแค้นใจก็สุมอยู่ในอก ถึงแม้การชำระแค้นให้บิดาควรจัดการอย่างรอบคอบ แต่เขาก็ไม่อยากรั้งรอ เด็กหนุ่มไม่อยากต้องทนใช้ชีวิตที่ถูกคนอื่นรังแกเช่นนี้

[อย่างนั้นหรือ ระวังตัวด้วยแล้วกัน]

ถ้อยคำธรรมดาของเจิ้งหยุนเป็นเหมือนน้ำเย็นที่ดับกองไฟในใจและสายธารที่ละลายความอดทนที่พยายามมาตลอดให้พังทลาย เขาอยากได้อ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแกร่งประคับประคองชีวิตให้ยืนหยัดได้อีกครั้ง

“ครับ ขอบคุณ”

[แค่นี้ก่อน ฉันกำลังทำงานอยู่]

“ครับ”

เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว แต่หลีซิงก็ยังยกโทรศัพท์มือถือแนบหูของตัวเองต่อไป สายลมกลางคืนเดินทางอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ริมฝีปากสีหวานจะขยับเอื้อนเอ่ย

“ผมรักพี่นะครับ”

หลีซิงไม่ได้คาดหวังความรักจากเจิ้งหยุน เด็กหนุ่มแค่ต้องการใกล้ชิดและเฝ้ามองชายผู้เป็นที่รักเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่ปรารถนาให้ใครมาคว้าหัวใจของคนที่รักไปเช่นเดียวกัน





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





วันนี้หวังหยูเฟิงมีประชุมเกือบตลอดทั้งวัน วาระที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยความตึงเครียดสร้างความเหนื่อยล้าให้กับผู้กองหนุ่มไม่น้อย หลายวันมานี้เขาทำงานหนักเพื่อทดแทนความผิดที่อยู่ในใจของตัวเอง

คนร้ายที่เขาใช้ความรักช่วยเอาไว้...

หวังหยูเฟิงเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน ทว่าเขานั่งลงเพื่ออ่านแฟ้มงานได้เพียงไม่นาน เหอผิงก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับกุหลาบแดงช่อใหญ่ในมือ

“มีคนส่งมาให้อีกแล้วนะครับ” เหอผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมกับส่งช่อดอกไม้ราคาแพงให้หัวหน้าของตัวเอง

“คนบ้าน่ะ” หวังหยูเฟิงตอบเสียงเนือย แล้ววางช่อกุหลาบที่เพิ่งได้รับให้พ้นจากงานที่กำลังทำอยู่

“ถามจริงเถอะครับ ผู้กองหวังมีแฟนแล้วหรือ” เหอผิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ หวังหยูเฟิงปั้นหน้ายาก แล้วขมวดคิ้วมองลูกน้องเขม็ง

“เอาเวลาสนใจเรื่องของผมไปสนใจเรื่องงานดีกว่าไหมหมวด”

หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้น เหอผิงก็หน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

“เอาไว้ผมไปถามผู้กองฟ่านกับหมวดเว่ยดีกว่า” เหอผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินออกจากห้องของผู้กองหนุ่มแต่โดยดี หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา

ตั้งแต่ที่เขาตกลงคบหากับเจิ้งหยุนในฐานะพิเศษ ทุกวันชายหนุ่มจะต้องวีดีโอคอลตามที่สัญญาเอาไว้ แล้วก็มักจะมีดอกไม้ส่งมาให้ที่สถานีตำรวจทุุกสองถึงสามวันจนเป็นที่สงสัยใคร่รู้ของเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามตามตรง

หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตามองช่อกุหลาบแดงเล็กน้อย เขาตั้งใจจะไม่สนใจ ทว่าเมื่ออ่านเอกสารไปได้ครู่เดียว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยิบช่อดอกไม้ราคาแพงมาพิจารณา

กลิ่นหอมบางเบาลอยแตะจมูก หวังหยูเฟิงเคยพูดกับเจิ้งหยุนเรื่องดอกไม้หลายครั้งแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ทำเมิน หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาก็เลยมีดอกไม้ที่เว่ยเจียวเซินช่วยจัดให้เต็มห้องไปหมด

หวังหยูเฟิงทำงานจนดึก ก่อนจะเดินทางกลับที่พัก หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็เริ่มต้นทำกิจวัตรประจำวันก่อนนอน

[หยูเฟิง วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมครับ]

ใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มรอยยิ้มบางฉายบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ฉากหลังคือเก้าอี้ทำงานและวิวกลางคืนในมุมสูง

“ก็เหมือนทุกวัน แล้วคุณอยู่ที่ไหน”

หวังหยูเฟิงเอนหลังพิงกับหมอนใบใหญ่บนหัวเตียง ท่อนขายาวทั้งสองข้างเหยียดตรงวางราบกับที่นอนอย่างผ่อนคลาย

[ห้องทำงานที่ผับครับ]

“อืม แค่นี้แล้วกัน ผมจะนอนแล้ว”

เดิมทีหวังหยูเฟิงก็ไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เขาจึงไม่ค่อยมีเรื่องพูดคุยกับเจิ้งหยุนเท่าไรนัก บทสนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เรื่องทั่วไปและจบลงอย่างรวดเร็ว

[เดี๋ยวครับที่รัก]

เจิ้งหยุนเอ่ยรั้งคนรักเอาไว้ ทั้งที่ปกติชายหนุ่มจะยอมเอ่ยร่ำลาแต่โดยดี เพราะอยากให้ผู้กองหวังพักผ่อนเต็มที่

“มีอะไร”

หวังหยูเฟิงมองสบกับนัยน์ตาคมที่จ้องมาอย่างสงสัย ทั้งที่ในใจรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย เมื่อได้ยินสรรพนามแสนหวานที่อีกฝ่ายเอ่ยเรียกตัวเอง

[ผมมีเรื่องของกงเจ๋อตวนให้คุณด้วยนะ]

หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว หลังจากได้ฟังน้ำเสียงล่อลวงของเจิ้งหยุน

“เรื่องอะไรหรือ”

[มาหาผมสิครับ แล้วจะบอก]

“เจิ้งหยุน”

[ครับ คุณมาเมื่อไร ผมค่อยบอกเรื่องนี้กับคุณแล้วกัน ฝันดีครับที่รัก]

หวังหยูเฟิงได้แต่อ้าปากค้าง แต่ภาพของคู่สนทนาก็หายไปแล้ว เขาเลยวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วเดินไปปิดไฟเพื่อพักผ่อน

ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดและเงียบสงบ ทว่าในสมองและความคิดของหวังหยูเฟิงยังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายทำงานไม่หยุด เปลือกตาที่ปิดลงครู่หนึ่งจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง

หลายวันมานี้นอกจากเรื่องงานทั่วไป ความเคลื่อนไหวของกงเจ๋อตวนก็เป็นที่ถกเถียงกัน คดีใหญ่ของเส้าซินฉีที่คนภายนอกรับรู้ว่าจบลงแล้ว ทว่าผู้ที่เกี่ยวข้องภายในต่างก็ยังค้นหาเรื่องราวบางอย่างต่อไป หวังหยูเฟิงที่เข้ามารับหน้าที่โดยตรงจึงเคร่งเครียดไม่น้อย

ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดคดีเล็กน้อยประปราย แต่ปลาใหญ่ที่เขาต้องการก็ยังเก็บตัวอย่างระมัดระวัง นักธุรกิจที่มีอิทธิพลล้นเหลือของเมืองนี้ยังดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขด้วยรอยยิ้ม

หวังหยูเฟิงไม่รู้ว่า เมื่อไรจะจับกุมกงเจ๋อตวนได้ แต่เขาก็พยายามทำให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นชายหนุ่มก็คงต้องลงโทษตัวเองเช่นเดียวกัน

หวังหยูเฟิงถอนหายใจในความมืด ความร้อนใจและใคร่รู็ ทำให้เขาไม่อาจข่มตาหลับได้อีก ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะเดินทางถึงหนึ่งนาฬิกาแล้วก็ตาม

ผู้กองหวังลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเปลี่ยนชุดของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้อง





▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣





 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด