สุขสันต์วันอาทิตย์ค่า วันนี้วันดี วันหยุดพักผ่อนเลยมีเวลามาเร่งนิยายบ้าง
เพิ่งมีเวลาเขียนเมื่อคืนเร่งปั่นมาเสร็จเอาตอนเช้านี้เอง หวังว่าคงยังมีคนรออยู่นะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกคำของเพื่อนมีความหมายแล้วเป็นกำลังใจให้เสมอ
เริ่มต่อกันเลยเน้อะ
[3]
กลิ่นดอกไม้โชยมากับพระพายเรื่อยเอื่อยพาให้บรรยากาศรอบกายเย็นสบายเพิ่มความผ่อนคลาย
ยิ่งได้แดดอ่อนๆส่องลอดปุยเมฆขาว กระตุ้นให้นกน้อยๆส่งเสียงเจื้อยแจ้วคลอกิ่งไม้ดอกไหวไปมา
ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอารมณ์ดียิ่งขึ้น ขนาดร้องเพลงในคอเบาๆ
“ฮึก....” ทว่าร่างในวงแขนกลับสะอื้นด้วยความเสียใจผิดกับเขา ปวฤทธิ์ศรก้มมองหัวกลมทุยเปียกๆซุกหน้าร้องไห้กับอกกว้าง
มือกำสาบเสื้อสั่นน้อยๆ ปลายนิ้วเกลี่ยผมที่ปรกหน้าตาออก ถึงรู้ว่ากลิ่นหอมของดอกไม้ที่ได้กลิ่นแต่แรกนั้น
ไม่ได้มาจากดอกไม้ข้างทาง แต่มาจากร่างเล็กน่ากอดนี้เอง
ดวงตากลมโตสีดำสดใสคลอหยาดน้ำตาดุจน้ำค้างกลางหาวจนแทบจะอยากจุมพิตเสียเดี๋ยวนี้
“ร้องไห้ไปไย ข้ามิได้เอาเจ้าไปต้มแกงเสียหน่อย”
.........................................
............................
..................
“ฮึก....ข้าจะหาพี่ภูริ”
บุรุษหนุ่มเอียงคอพลางยิ้มไม่ไคร่เต็มหน้านัก เจ้าคามินวิ่งซะฝุ่นตลบป่านนี้แล้วคงพะเน้าพะนอกันสองต่อสองแล้วกระมั่ง
ส่วนตัวเขามิรีบร้อน ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่า
“อืม.....ไม่ต้องรีบหรอก ไว้ข้าจะพาเจ้าไปหาพี่ชาย”
“จริงเหรอ” น้ำเสียงดีอกดีใจกระจ่างใสเหมือนแสงตะวัน
“แต่ยังมิใช่วันนี้นะ”
ใบหน้ากระจ่างเหมือนจันทราสลดลงทันควัน “ทำไมล่ะ...”
“ก็เพราะข้าบอกน่ะสิ”
...........................................
........................
............
“ท่านจะพาข้าไปไหน”
“ไปบ้านข้า”
“ทำไม....ปล่อยข้าลง ข้าไม่ใช่ทาสนะ”
“ใครว่าใช่ล่ะ” วงแขนกอดกระชับร่างเล็กเข้ากับตัว ไม่ยอมให้มีโอกาสได้ดิ้นรนสักนิด
เด็กน้อยเงยหน้ามองตาโต คิ้วเรียวขมวดยุ่งอย่างอารมณ์ไม่ดี ชวนให้ขบขัน
“ข้าชื่อ ปวฤทธิ์ศร เจ้าล่ะชื่ออะไร”
..........................
................
“มะรุม”
“มะรุม??......ชื่อไม่เหมาะกับตัวเจ้าเลย” ปลายนิ้วเชยคางมนขึ้นมองสบตากลมใสเห็นแววหวั่นไหวนิดๆ
“ นี่คงเป็นชื่อสำหรับไว้เรียกกับคนแปลกหน้ากระมั่ง เจ้าต้องมีชื่อจริงแน่”
เด็กน้อยเบือนหน้าหนีแต่นิ้วแข็งๆก็บังคับให้หันกลับมาสบตา ม้าหยุดอยู่กับที่
ปล่อยให้คนสองคนบนหลังเล่นเกมจ้องตากันอยู่นาน “ชื่อเจ้า....”
...........................................
......................
“............... มลุรินทร์”
“มลุรินทร์...... เหมาะกับเจ้ามากเลย” ปวฤทธิ์ศรมองริมฝีปากสีชมพูไม่วางตา กว่าจะยอมปล่อยมือออก
“อายุเท่าใดแล้ว”
“14”
14.....กำลังเปล่งปลั่งวัยขบเผาะน่าทานที่สุด บุรุษหนุ่มเงยหน้ามองยอดไม้ไกลๆเพื่อซ่อนรอยยิ้มพึงใจของตัวเอง
อา.....มีอะไรหลายอย่างที่เขาอยากทำเหลือเกิน หึหึหึ....
“เอาล่ะ มลุรินทร์......จากนี้ไปข้าจะดูแลเจ้าเอง” ชายหนุ่มกระชับวงแขนกอดร่างเหน่งน้อยกับอกแรงๆด้วยความมันเขี้ยว
จนเด็กหนุ่มหายใจแทบไม่ออก
“อื้อ!!! ไม่....ข้าไม่อยากให้ท่านมาดูแลอะไรทั้งนั้น ข้าอยากให้ท่านปล่อยข้า....ข้าจะหาพี่ภูริ”
ร่างเล็กดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระ แต่วงแขนนี้เหมือนกรงเหล็กที่โอบรัดไม่ปล่อย เขาโมโหจึงหันมากัดมือซ้ำรอยเดิมจนเขี้ยว
“โอ้ยยยย.....กัดข้าอีกแล้วนะ เจ้านี่...ชาติที่แล้วเกิดมาเป็นเสือหรือสุนัขกันแน่นะ เอะอะอะไรก็กัดท่าเดียว”
ปวฤทธิ์ศรสะบัดมือร่า หลังมือมีรอยฟันชัดเจนกว่าเดิมแถมได้เลือดซิบๆ
“ปล่อยข้าเซ่!!! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
มลุรินทร์เอ็ดสุดเสียง ก้องไปทั่วพนาไพร นกน้อยโผบินขึ้นด้วยความตกใจ เสียงของป่าสงัดลงในทันที
เด็กหนุ่มหายใจแรงพอเหลือบตามองอีกฝ่ายก็เห็นสายตาขุ่นเคืองเย็นชาไม่พึงใจ
.................................
.........................
............
ในความเงียบมักงันมักมีความอึดอัด มลุลินทร์สั่นเทิ้มรู้สึกถึงเหงื่อหยดลงช้าๆ ใบหน้าคมสันไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย
ทว่าแววตาสีนิลแค่ฉายแววโกรธช้าๆ มันลุกโชนราวกับไฟสีขาวที่ลามเลียไปทั่วร่าง น่ากลัว.....
ปวฤทธิ์ศรไม่พูดอะไร เขาดึงบังเหียนให้ม้าวิ่งสุดกำลัง ออกจากป่าพนาไพร ลมที่ต้องผิวกายอย่างเอื่อยๆในคราแรก
หายไปกลับเกิดลมกรรโชกทั้งยังหอบเอาเศษใบหญ้าละอองดินปะทะใบหน้า เด็กหนุ่มต้องหลับตาซุกหน้ากับอกกว้าง
สองมือกำสาบเสื้อไว้แน่นไว้ไม่ให้ตัวเองหล่นลงไปกองกับพื้น
อึดใจครู่ใหญ่ฝีเท้าม้าก็เบาลง เสียงอื่นแซงแซ่เข้ามาแทน มลุลินทร์เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคฤหาสน์เรือนไม้ที่งดงามกว้างใหญ่
ราวกับวิมารแดนสวรรค์ เขามองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจก่อนจะอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกอุ้มลงมา