DAY 1
แจ๊ส
พ่อกับอาไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ
เพราะฉะนั้นผมกับอาจึงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
พ่อของผมทำงานเป็นกัปตันให้สายการบินแห่งหนึ่ง ทำให้ท่านไม่ค่อยมีเวลาว่างอยู่กับผมสักเท่าไหร่ บางทีก็หายหน้าหายตาไปเลยเป็นอาทิตย์ ผมก็ได้อามาคอยอยู่เป็นเพื่อนเนี่ยแหละ พวกเราก็เลยสนิทกันมาตั้งแต่ผมยังเด็ก
เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อชอบทิ้งผมให้อยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ
แต่พอผมโตขึ้น
เข้าใจโลกมากขึ้น
ถึงได้รู้ว่าที่พ่อทำไปทั้งหมดก็เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูผม
ซึ่งถ้าให้พูดกันตามตรงผมว่าการเป็นพ่อหม้ายลูกติดนี่มันไม่ง่ายเลยนะ
และก็ไม่ต้องถามถึงแม่ผู้ให้กำเนิดผมหรอก รายนั้นได้ทิ้งเราสองคนพ่อลูกให้อยู่กันตามลำพังตั้งแต่วันที่ผมลืมตาดูโลกแล้ว
จนกระทั่งผมขึ้นมัธยม อยู่ๆ อาก็มาหาพ่อเพื่อบอกลา โดยให้เหตุผลว่าจะไปทำงานต่างประเทศ และไม่มีกำหนดกลับ
ผมจำความรู้สึกตอนนั้นที่อาบอกได้ดี
เคว้งคว้าง
ไม่รู้ทิศรู้ทาง
เหมือนโลกทั้งใบของผมค่อยๆ ดับแสงลงเมื่อเราสองคนต้องห่างกัน เพราะนอกจากพ่อแล้ว ทั้งชีวิตผมก็มีแค่อา
ผมคิดถึงอา แต่ไม่รู้ว่าอาจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า
ช่วงปีแรกผมเฝ้าคอยการกลับมาของอาอย่างใจจดใจจ่อ เพราะคำว่าไม่มีกำหนดกลับ ไม่ได้แปลว่าอาจะอยู่ที่นั่นตลอดชีวิต แต่พอวันเวลาผ่านไปความหวังที่เคยมีก็ช่างริบหรี่เหลือเกิน
ทุกอย่างดูเลื่อนลอย
ไร้จุดหมาย
ตอนนั้นผมจึงเริ่มมีความคิดที่จะปรับตัว อยู่ให้ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีอา ผมใช้เวลาเกือบครึ่งปีในการพยายามมีชีวิตใหม่ มีสังคมใหม่ที่แตกต่างออกไป
ผมมีเพื่อนสนิท เป็นที่รู้จักของรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน แถมตอนนี้ผมก็ยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วย
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดที่จะคบใครเลย เพราะผมเคยให้สัญญากับอาไว้ว่าถ้าอาไม่ได้รักใครหรือแต่งงานกับใคร ผมก็จะอยู่กับอา ดูแลอาไปจนแก่ แต่ในเมื่อตอนนี้อาไม่อยู่ให้ผมได้ทำแบบนั้นแล้ว คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ก็เลยต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
แต่แล้ววันหนึ่ง ตอนที่ผมอายุย่างเข้า 18 ใช้ชีวิตตามปกติอย่างเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป จู่ๆ อาก็กลับมา
อาบอกว่ามาหาพ่อ แต่พ่อดันไม่อยู่บ้าน และก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ด้วย ครั้นจะให้ไล่อากลับไปก็ทำไม่ได้อีก เพราะถ้าพ่อรู้ว่าผมทำแบบนั้นมีหวังได้โดนบ่นยาว
ถามว่าโกรธไหมที่อานึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา เอาจริงๆ มันคงเลยจุดที่เรียกว่าโกรธไปไกลแล้ว เพราะนี่มันก็ตั้งกี่ปีมาแล้วล่ะที่เราไม่ได้เจอหน้ากัน และก็ไม่ได้คุยกันเลย
เขาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน
ทำเหมือนเราสองคนไม่เคยรู้จักกัน
ฉะนั้นเมื่ออากลับมา ผมจะแกล้งทำทีเป็นว่าไม่รู้จักอีกฝ่ายบ้าง แล้วมันจะผิดอะไร
ผมเงียบ . . .
อาเงียบ . . .
เราสองคนต่างเงียบใส่กัน มีเพียงเสียงกดแป้นพิมพ์โทรศัพท์ที่ผมตอบแชทไลน์เพื่อนๆ ดังระรัวเป็นตัวคั่นกลาง
ทั้งที่รู้ว่าผมจงใจไม่พูดด้วย แต่อาก็ไม่ได้รบเร้าให้ผมคุยกับเขา คงจะรู้ว่าตัวเองมีความผิดติดตัวอยู่เลยไม่กล้าเร้าหรือ
จนกระทั่งอาลุกขึ้นจากโซฟาไปยังเครื่องเล่นเพลงเก่าๆ
ผมชำเลืองหางตาไปมองอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเมื่อก่อนอาก็เข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยจนแทบจะเป็นบ้านของตัวเอง
แต่ทันทีที่บทเพลงเริ่มบรรเลง หัวคิ้วของผมก็ขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
นี่มันเพลงแจ๊ส . . .
แปลกใจ เพราะตลอดช่วงอายุที่รู้จักกัน อาชอบฟังเพลงคลาสิกมาก นั่งฟังกับพ่อบ่อย แถมยังชอบเปิดเผื่อแผ่ให้ผมฟังด้วย
หรือว่าการที่อาไปอยู่ต่างแดน จะทำให้ความชอบของอาเปลี่ยนไป
แคลงใจ
ใคร่รู้
เลยโพล่งถามออกไปตรงๆ ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังสวมบทเป็นคนใบ้อยู่
“คุณอาชอบฟังเพลงแจ๊สแล้วเหรอครับ”
“. . .” เขาส่ายหน้า และนั่นยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้นกว่าเดิม
“แล้วทำไมถึงเปิดเพลงแจ๊สล่ะครับ ทั้งที่คุณอาชอบฟังเพลงคลาสิกมากกว่า”
“หึ จำได้ด้วยเหรอว่าอาชอบหรือไม่ชอบอะไร” อายกยิ้มมุมปาก สายตาที่ใช้มองมาทำเอาผมหลอมละลาย
“จะ . . . จำได้รางๆ ครับ” ผมโกหก เพราะจริงๆ จำได้แม่นเลยล่ะ เรื่องอะไรที่เกี่ยวอา ผมจำได้หมดทุกอย่างนั่นแหละ แต่ไม่มีทางพูดออกไปให้อารู้เด็ดขาด “แล้วตกลงอาจะบอกผมได้หรือยังว่าทำไมอาถึงเปิดเพลงแจ๊ส”
“. . . ที่อาเปิดเพลงแจ๊สก็เพราะถ้าอาเปิดเพลงคลาสิก เราจะยอมคุยกับอาอย่างที่พูดถามอยู่ตอนนี้ไหม”
“นะ . . . นี่คุณอาตั้งใจหลอกผมให้พูดเหรอครับ”
“โตเป็นหนุ่มแล้วน่ารักขึ้นเยอะ แต่นิสัยยังขี้งอนเหมือนสมัยเด็กๆ เลยนะพลัฎฐ์” พูดจบอาก็หัวเราะชอบใจใหญ่ที่จัดการผมได้อยู่หมัด
TBC.