• คนหวงเมีย • (ภูผา x ณัชชนม์) UP! พลิกตัวกลับใจ (30/11/18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: • คนหวงเมีย • (ภูผา x ณัชชนม์) UP! พลิกตัวกลับใจ (30/11/18)  (อ่าน 4088 ครั้ง)

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
• คนหวงเมีย • (ภูผา x ณัชชนม์)
BY ROMARKTIC


ร่างกายของมึง
หัวใจของมึง
ทุกอย่างที่เป็นตัวมึง
รู้ไหมว่ากูหวงขนาดไหน



“โอ๊ยยย! พี่ทำอะไรเป็นบ้างวะเนี่ย มีแฟนอย่างกับมีลูก ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”
“แน่ใจ? กูให้มึงพูดใหม่อีกที อย่างน้อยๆ กูก็มีประโยชน์กับมึงเรื่องนึง”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องบนเตียง… หรือมึงไม่รู้ว่ากูเก่ง”



“พี่แม่งเด็กกว่าที่ณัชคิดไว้อีกว่ะ”
“เออ กูมันเด็ก แล้วเด็กอย่างกูมันหวงของของตัวเองไม่ได้หรือไงวะ”



Note
เราเคยลงเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นแต่งเป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบ
แต่รอบนี้เราได้ทำการรีไรท์ + เพิ่มตอนใหม่
ซึ่งคราวนี้จะมีทั้ง 10 ตอน โดยจะจบในตอนทั้งหมดนะคะ
อ่านสบายๆ ไม่มีดราม่าให้เครียด หรือปมซับซ้อนอะไร
ยังไงก็ฝากเรื่อง 'คนหวงเมีย' ไว้ด้วยนะคะ เป็นเรื่องแรกที่เราลองแต่งแนว Feel Good อย่างจริงๆ จังๆ ค่ะ



งานเขียนทั้งหมด
• คนหวงเมีย • (ภูผา x ณัชชนม์) (On Air)
นรพยัคฆ์ .:* (Coming Soon)
(เรื่องสั้น) *... ก็เด็กมันไม่รู้ ...* (จบในตอน)
(เรื่องสั้น) 7 วัน • กะทันหัน (จบในตอน)
(เรื่องสั้น) #เขียนถึงคุณอา —☆ (On Air)

ช่องทางการติดต่อ Twitter @THEROMARKTIC
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2018 20:37:57 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
หวงณัช #1
วิถีคนขี้หวง


 

วันที่ 12 เมษายน 25XX

Poopha : กูรออยู่หน้าห้างนะ

Poopha : มึงอยู่ไหนแล้ว



10 นาทีผ่านไป

Poopha : ทำไมไม่ตอบไลน์กูวะ

Poopha : กูชักหงุดหงิดแล้วนะ

Poopha : (สติ๊กเกอร์หมีหน้าโกรธ)



15 นาทีผ่านไป

Poopha : ไอ้เชี่ยณัช!

Poopha : มึงอยู่ไหนเนี่ยยย

Poopha : เป็นอะไรหรือเปล่าวะ

Poopha : ตอบกูหน่อยดิ



และ 20 นาทีผ่านไป

กึก… กึก… กึก… กึก… กึก… กึก… กึก… กึก… กึก… กึก…!

ผมยืนอัดแท่งนิโคตินเข้าปอดอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าของตัวอาคารห้าง ส่วนมืออีกข้างก็รัวแป้นพิมพ์เพื่อกดไปยังหมายเลขปลายทางที่จำได้ขึ้นใจก่อนจะกดโทรออก หลังจากนั้นก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูอย่างร้อนรน

ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากข้อความ… ติ๊ด

“โธ่เว้ย!” ทันทีที่วางสาย ผมก็สบถออกมาอย่างหัวเสียท่ามกลางผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ ทุกคนต่างหยุดชะงัก หันมามองทางผมเป็นตาเดียว แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างผมจะแคร์สายตาพวกนั้น ทำเพียงไหวไหล่ตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ “ไปอยู่ไหนของมันวะ”

บ่นพึมพำในลำคอเสร็จก็ยกมือขึ้นมาเสยผมที่ปรกหน้าผากตัวเองออกอย่างลวกๆ เพราะว่ารีบร้อนออกมาทำธุระข้างนอกแต่เช้า เลยไม่ได้เซตผมหน้าขึ้นให้เรียบร้อยเหมือนทุกที ก่อนจะหารถแท็กซี่แถวนั้นนั่งย้อนกลับไปที่คอนโดฯ อีกครั้ง วันนี้ผมไม่ได้ขับรถส่วนตัวมา คิดว่านั่งรถประจำทางน่าจะสะดวกกว่า ระยะทางแค่ไม่กี่ป้ายรถเมล์

ไอ้เชี่ยณัช! มึงนะมึง…

ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่กูจะล่อกบาลให้เละเลย

ชอบทำให้กูเป็นห่วงอยู่เรื่อย

และเมื่อมาถึงที่หมาย สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นลิฟต์มาบนห้องก็คือภาพของณัชที่สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงเลย์ขายาวสีน้ำเงินตัวเมื่อคืนกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่างในห้องน้ำ

“มึงมัวทำอะไรอยู่วะ”

ผมเอ่ยถามเสียงดุ ในขณะที่ยืนเท้าแขนตรงขอบประตูเพื่อหยุดพักเหนื่อย และเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่กังวล ผมก็รู้สึกโล่งอก

“อ้าวว พี่ผากลับมาจากห้างแล้วเหรอครับ ไหนบอกว่าถ้าเสร็จธุระแล้วจะไปรอณัชอยู่ที่นั่นไง” คนตัวเล็กกว่าพอเห็นผมมายืนอยู่ตรงหน้าก็ร้องเสียงหลงออกมาด้วยความแปลกใจ

“กูน่าจะเป็นฝ่ายถามมึงมากกว่าว่าทำไมถึงยังอยู่ที่นี่ ทำให้กูเป็นห่วงแทบแย่”

“แล้วพี่ผาจะมาเป็นห่วงณัชทำไมล่ะครับ ณัชเป็นผู้ชาย ดูแลตัวเองได้น่า”

“จะไม่ให้กูเป็นห่วงได้ไงวะ!” ผมสวนมันกลับทันควัน ณัชถึงกับผงะหลังไปเล็กน้อยเมื่อเจอผมเสียงดังใส่ “มึงมีแค่คนเดียวในโลก ถ้ามึงเป็นอะไรไป กูจะทำยังไง อีกอย่างมันก็ไม่เกี่ยวว่ามึงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เพราะเป็นมึง กูถึงห่วง ก็เล่นไม่ยอมตอบไลน์เลยนี่หว่า แถมโทรไปก็ไม่ติด เจอแบบนี้จะให้กูใจเย็นอยู่อีกหรือไง”

“พี่ผาโทรมาหาณัชเหรอ”

“ก็เออดิ”

“แต่ณัชยังไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลยนะ” คนพูดว่าพลางขมวดคิ้วมุ่น “สงสัยแบตหมดแน่เลย เมื่อคืนณัชก็ลืมชาร์จไว้”

“เออ จะอะไรก็ช่างเถอะ มึงปลอดภัยก็ดีแล้ว แต่กูขอถามตรงๆ นะ มึงไม่ได้ลืมนัดเย็นนี้ของเราใช่ไหม”

“ณัชจะไปลืมได้ยังไงล่ะครับ พี่ผาเล่นเตือนเช้าเย็นขนาดนี้ ถ้าลืมก็บ้าแล้ว”

มันปฏิเสธเสียงแข็ง ส่ายหน้ารัวเมื่อผมถามถึงเรื่องนัดที่ตกลงกันตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะไปซื้อของทำบุญกัน

“ถ้าไม่ใช่แล้วนี่อะไร”

ผมเลิกคิ้ว ชี้นิ้วไปที่มันตั้งหัวจรดเท้า นี่เหรอที่เขาเรียกว่าไม่ลืม สภาพยังเหมือนเดิมไม่ได้ต่างไปจากเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย

“ก็หัวก๊อกน้ำมันเสีย พี่ผาจะให้ณัชทำยังไงล่ะครับ ดูซิเนี่ยว่าขากางเกงณัชเปียกไปหมดแล้ว”

ณัชบ่นให้ผมฟังเสร็จก็หันกลับไปออกแรงหมุนหัวก๊อกน้ำใหม่อีกรอบ ระหว่างนั้นน้ำจากท่อก็ไหลซึมออกมาไม่หยุด ทำให้พื้นห้องน้ำเปียกแฉะไปทั่วบริเวณ

“กูว่าไปตามช่างมาซ่อมดีกว่าไหม”

“ตามมาทำไมครับ เปลืองตังค์ เรื่องแค่นี้ณัชซ่อมเองได้น่า ไม่ต้องถึงมือช่างหรอก”

“แต่ถ้ารอมึงซ่อมเสร็จห้างคงปิดพอดี มีหวังได้ซื้อของทำบุญที่ซูเปอร์ฯ ใต้คอนโดฯ นี่แหละ”

“แล้วพี่ผาจะให้ณัชออกไปข้างนอกทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำเนี่ยนะ” ว่าจบคนตัวเล็กก็ส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้ผม

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ปกติบางวันมึงก็ไม่ได้อาบน้ำอยู่แล้วป่ะ อยู่แต่ในคอนโดฯ แอร์ก็เปิด ไม่มีเหงื่อหรอกน่า”

“ยังจะมีหน้ามาพูดดีอีก พี่ผานั่นแหละที่ทำให้ณัชต้องอาบน้ำก่อนออกไปข้างนอกอ่ะ”

“อ้าวเฮ้ย ทำไมมาโทษกูอย่างนี้วะ”

“พี่ผาคิดว่ากิจกรรมบนเตียงมันไม่มีเหงื่อหรือไง และที่ณัชต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ก็เพราะใคร ฝืนลุกขึ้นมาได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว”

ผมถึงกับสะอึก ไปต่อไม่ถูกเลยทีนี้ เพราะถ้าพูดถึงเรื่องเมื่อคืนผมก็ผิดเต็มๆ ล่ะนะ เล่นทำมันจนสลบคาอกขนาดนั้น มันไม่ตื่นมาไล่กระทืบผมจนตัวช้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว เห็นอย่างนี้ไอ้เด็กนี่ตีนหนักใช่ย่อย

“เอาเป็นว่ากูขอโทษแล้วกันที่ทำให้มึงรู้สึกดีทั้งคืน”

“ไอ้พี่ผา! ตลกมากนักหรือไง” ณัชเอ็ดผมเสียงเขียว แยกเขี้ยวขู่ที่ผมเอาแต่พูดจาทีเล่นทีจริงโดยไม่ดูสถานการณ์

“เออๆ กูขอโทษ พอใจยัง”

“ขอโทษเหรอ หน้าตาพี่ผาดูจริงใจมากเลยเนอะ” มันมองค้อน เสือกรู้ดีอีกว่าผมกำลังตอแหลอยู่ “ไม่ต้องมาเสแสร้งเลย ทีเมื่อคืนบอกให้หยุดตั้งแต่รอบสองแล้วทำไมไม่ยอมฟัง กระแทกเข้ามาอยู่ได้ มันเจ็บนะเว่ย”

“ปกติเราก็ทำกันสองรอบอยู่แล้วป่ะ มึงต่างหากที่ไม่ฟิตเองมากกว่า”

“ณัชไม่ใช่พี่ผานะที่ทำสองวันติดแล้วยังคึกอยู่ได้อ่ะ และนี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องแบบนี้เหรอ แทนที่จะมาช่วยกันซ่อมก๊อกน้ำ”

“ก็กูซ่อมไม่เป็นนี่หว่า ทุกทีก็ตามช่างมาตลอด”

“พี่ผาทำอะไรเป็นบ้างวะเนี่ย มีแฟนอย่างกับมีลูก ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย”

“แน่ใจ กูให้มึงพูดใหม่อีกที อย่างน้อยๆ กูก็มีประโยชน์กับมึงเรื่องนึง”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องบนเตียง… หรือมึงไม่รู้ว่ากูเก่ง”

“เฮ้อ! เดินมาทางไหนกลับออกไปทางนั้นเลยนะ ไม่อย่างนั้นณัชจะเป็นคนถีบพี่ผาออกไปเอง”

คนตรงหน้าไม่พูดเปล่า ยกขาขึ้นหมายจะฟาดฝ่าเท้าลงมาที่สีข้างของผม โชคดีที่หลบได้อย่างหวุดหวิด แต่มือดันไปปัดโดนสบู่ที่วางอยู่บนขอบอ่างล้างหน้า ทำให้ก้อนกลมๆ สีชมพูอ่อนไหลลงไปนอนแน่นิ่งที่พื้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ณัชเดินเข้ามาหวังจะหวดขาใส่ผมอีกครั้ง มันก็เลยเผลอเหยียบก้อนสบู่โดยไม่ทันระวังจนร่างสูญเสียการทรงตัว ผลัดตกลงไปในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอยู่ในนั้นประมาณครึ่งหนึ่งได้

พรืด!

“เฮ้ยยย!”

“ระวัง!”

ผมร้องบอกด้วยความตกใจ เอื้อมมือออกไปสุดแขนเพื่อคว้าตัวอีกคนไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

ตู้ม!

“ไอ้ณัช…มึง…”

“แค่กๆ”

“…เปียกทั้งตัวเลยว่ะ”

“ก็เออดิ ณัชตกน้ำนะ ไม่ได้ตกอากาศ ถึงจะได้ตัวแห้ง แค่กๆ” พูดจบณัชก็ยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะกระแอมไอออกมาเพราะดันสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก “แล้วนี่มัวยืนบื้ออยู่ทำไมเนี่ย รีบไปหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องนอนมาให้ณัชดิวะ”

“เออๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”







ผ่านไปไม่ถึง 2 นาที

“กูหาผ้าเช็ดตัวมึงไม่เจอ เอาของกูไปใช้แทนก่อนแล้วกัน”

ผมเดินกลับเข้ามาในห้องน้ำพร้อมกับผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินผืนหนา เห็นณัชกำลังนั่งก้มหน้าตัวสั่นอยู่บนขอบอ่าง ยิ่งเป็นเสื้อสีขาวพอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำก็ทำให้มองเห็นเรือนร่างของคนตัวเล็กชัดเจน พาลให้ผมนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่มันโคตรเร่าร้อนอยู่บนเตียง จนอะไรต่อมิอะไรใต้กางเกงยีนส์ผมในตอนนี้เริ่มตื่นตัวตาม

“เอามาเถอะน่า ผืนไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ณัชหนาวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”

ณัชย้ำเสียงเข้ม มันเริ่มไม่พอใจที่ผมทำอะไรชักช้าโอ้เอ้ ผมจึงรีบเดินเข้าไปนั่งยองๆ ตรงหน้ามันพลางยื่นผ้าเช็ดตัวส่งไปให้

“อ่ะ”

มันรับไปถือไว้จากนั้นก็พูดต่อ “พี่ผาออกไปก่อนแล้วกัน ณัชจะถอดเสื้อผ้าในห้องน้ำ และก็ช่วยโทรตามช่างมาให้ด้วย ณัชขี้เกียจซ่อมต่อแล้วว่ะ”

“หึ เป็นไงล่ะ ดื้อดีนัก บอกให้โทรตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อ” ผมส่ายหน้าให้กับคนหัวรั้น

“แล้วพี่ผาจะมาบ่นอะไรนักหนาวะ”

“เออ มึงก็เร่งมือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันเร็วๆ เข้า กว่าช่างจะมาก็คงอีกพักใหญ่ ตอนนี้ก็ไปใช้ห้องน้ำในห้องนอนกูก่อน ขืนปล่อยทิ้งไว้แบบนี้มีหวังปอดบวมตายพอดี และเดี๋ยวค่ำๆ กูลงไปซื้อของที่ซูเปอร์ฯ ใต้คอนโดฯ เอง ไม่ต้องไปมันแล้วห้างอ่ะ”

“รู้แล้วน่า ไม่ต้องย้ำก็ได้”

ณัชทำหน้ารำคาญใจที่ผมเอาแต่เทศน์มันไม่หยุด ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและหันเข้าหากำแพง ท่อนแขนเล็กพยายามถอดเสื้อยืดสีขาวที่เปียกโชกออก ตามด้วยถอดกางเกงตัวโคร่งอย่างทุลักทุเล

ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจ โพล่งถามออกไปด้วยความเป็นห่วง “ถ้าถอดลำบากขนาดนั้นให้กูช่วยไหม”

“เฮ้ย! นี่พี่ผายังไม่ออกไปจากห้องน้ำอีกเหรอวะ” มันหันขวับมามองหน้าผม

“เออดิ ทำไม กูยืนมองแฟนตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้หรือไง ปกติอยู่บนเตียงก็ถอดออกหมดทุกชิ้นไม่เห็นอาย ทีตอนนี้มึงจะมากระดากอะไร”

ณัชเบือนหน้าหนีอย่างเอือมๆ เหมือนกับคำพูดของผมจะไปทำให้มันระคายหู และหลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย มันก็ก้าวฉับๆ เดินหนีออกไปนอกห้องน้ำ มีเพียงผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินเท่านั้นที่คลุมท่อนล่างมันเอาไว้

จังหวะนั้นเองผมจึงตรงเข้าไปรวบกอดร่างมันจากทางด้านหลัง ก่อนจะออกแรงรั้งคนตัวเล็กให้ล้มลงมานั่งบนตัก ส่วนผมก็นั่งอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำ วินาทีที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน ผมก็เริ่มจู่โจมซอกคอขาวของมันอย่างหน้ามืดตามัว

“จะทำอะไรของพี่วะเนี่ย”

“เช็ดตัวไง อย่าบอกนะว่ามึงไม่รู้จัก”

“รู้! แต่เช็ดตัวบ้านพี่ผาเหรอถึงใช้ปากดูดคอเนี่ย”

“ก็มึงมายั่วกูเองทำไมวะ ชอบทำให้ลูกชายกูมีอารมณ์อยู่เรื่อยเลย”

“แต่ณัชไม่มีอารมณ์!”

“ถ้ามึงไม่มีก็อยู่เฉยๆ ไปดิ แล้วที่เหลือกูจัดการเอง”

พูดอย่างคนเอาแต่ใจผมก็ลงมือละเลงปลายลิ้นไปทั่วแผ่นหลังณัช ทันทีที่ส่วนอ่อนไหวในโพรงปากสัมผัสลงบนตัวมัน ผมก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนจากภายในร่างกายของคนตัวเล็กรั่วไหลออกมา แอบคิดว่ามันกำลังไม่สบายอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป ในเมื่อตอนนี้อารมณ์อยู่เหนือการควบคุม คงเป็นเรื่องยากที่ใครจะมาหยุดผมกลางครันได้ง่ายๆ

“อึก พะ…พอได้แล้วพี่ผา ณัชจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”

และต่อให้มันร้องห้ามผมก็ไม่ยอมฟัง ฝ่ามือมัวเมาไปกับการสัมผัสนวดคลึงปุ่มเล็กๆ ที่นูนออกมาจากแผงอก จนคนที่นั่งอยู่บนตักเผลอส่งเสียงร้องเป็นระยะด้วยความเสียว แต่เพียงไม่นานเจ้าของร่างนั้นก็เริ่มไม่ตอบสนองต่อการกระทำของผม

“เฮ้ย! ณัช”

ผมตบแก้มมันเบาๆ เพื่อเรียกสติ หากแต่เปลือกตาของคนในอ้อมแขนกลับค่อยๆ ปิดลงราวต้องการจะพักผ่อน

“…”

“ไอ้ณัช”

“…”

“ณัช”

“…”

“เชี่ย หลับเฉยเลย ตกลงที่ตัวร้อนเพราะไม่สบายจริงๆ เหรอวะเนี่ย สงสัยเมื่อคืนกูหนักมือกับมึงมากไปสินะ”







วันที่ 13 เมษายน 25XX

ปัง! ปัง! ปัง!

“ไอ้เลียงผา! ตื่นนนนนนนน!”

“…”

ปัง! ปัง! ปัง!

“ไอ้เลียงผาาาาาาา! สายแล้วนะโว่ย จะนอนซ้อมตายไปถึงเมื่อไหร่วะ”

“…”

“ไอ้เชี่ยเลียงผาาาาาาา! นี่มึงจะเอาแต่นอนกกเมียอยู่ในคอนโดฯ ทั้งวันเลยหรือไง”

“…”

“ไอ้เลียง…”

“เป็นเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย?! เอะอะโวยวายแต่เช้าเลย หัดเกรงใจห้องข้างๆ บ้างดิวะ อีกอย่างกูชื่อภูผา ไม่ใช่เลียงผาเว่ย”

ยังไม่ทันได้เห็นหน้าคนที่ยืนอยู่หลังบานประตูชัดเต็มสองตา แต่เพราะรู้ว่าเป็นใคร ผมก็เลยตะโกนแทรกออกไปเสียงขุ่น หวังจะหยุดอีกฝ่ายให้เงียบปาก และมันก็ได้ผลดีเกินคาดเมื่อคนตรงหน้าลดระดับเสียงลงมาเป็นปกติ

“ก็กูกลัวมึงจะไม่ได้ยิน”

“กูได้ยินตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว”

“นี่มึงตื่นอยู่เหรอ และทำไมไม่ขานรับวะ ให้กูโก่งคออยู่ได้ตั้งนาน”

“กูเพิ่งกลับมาจากใส่บาตร แล้วก็ไปยืนดูดบุหรี่อยู่ตรงระเบียง มาร์ลโบโร่คาปากจะให้กูขานรับมึงยังไง”

“มึงเนี่ยนะใส่บาตร”

“เออ ทำไม เขาห้ามคนหล่อๆ อย่างกูทำบุญหรือไง ว่าแต่มึงเถอะ มาหากูมีธุระอะไร”

“จะชวนไปเล่นน้ำ แล้วนี่เมียมึงไปไหนอ่ะ อาบน้ำเหรอ”

เพราะไม่เห็นณัชโผล่หน้ามาทักทายเหมือนทุกที ธิปก็เลยชะเง้อคอมองเข้ามาภายในห้องอย่างถือวิสาสะ ผมจึงดันหน้าผากมันให้ถอยห่างออกไปไกลๆ

“นอน ยังไม่ตื่นเลย”

“เฮ้ย จริงดิ นี่อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนมึงเอาเมียจนสลบ”

“Kวย” ผมด่ามันแบบไม่ออกเสียง “กูไม่ได้ทำอะไรมันทั้งนั้นแหละ ณัชแค่ไม่สบายเฉยๆ”

“อ้าว เป็นไรวะ เมื่อวันก่อนยังเห็นดีๆ อยู่เลย”

“ตกน้ำ”

“หือ?! มึงเล่นสงกรานต์กันตั้งแต่วันที่ 12 เลยเหรอวะ”

“พ่อง! ตกอ่างอาบน้ำ ไข้ขึ้นทั้งคืนเลย เมื่อเช้าเพิ่งจะลด”

“อ่อ กูก็นึกว่ามึงหวงเมีย เล่นสาดน้ำปะแป้งกันในห้องสองคน งั้นวันนี้มึงก็ออกไปเล่นน้ำไม่ได้แล้วอ่ะดิ”

“อืม ณัชไม่ไป กูจะไปได้ยังไง”

“อะไรวะ กูอุตส่าห์มาชวนมึงถึงคอนโดฯ เลยนะเว่ย”

“ได้ข่าวว่ามึงอยู่คอนโดฯ เดียวกับกูแต่คนละชั้น”

“เออ ก็นั่นแหละ ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ไม่เอาอ่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้มึงห้ามเบี้ยวกูนะไอ้ผา”

“ไม่รับปากโว่ย ถ้าณัชยังไม่หายไข้กูก็ไม่ไป”

“เชี่ย! เห็นเมียดีกว่าเพื่อนนะมึงอ่ะ” ธิปแขวะผมอีกหนึ่งดอก ใจจริงผมก็อยากออกไปเล่นน้ำกับมันเหมือนกัน เพราะไหนๆ ก็วันสงกรานต์ทั้งที หนึ่งปีมีหนเดียว แต่ในเมื่อณัชไม่สบาย ผมจะไปโดยทิ้งเมียไว้ที่คอนโดฯ คนเดียวได้ยังไง ก็เลยต้องปฏิเสธมันไปอย่างไม่มีทางเลือก และธิปก็คงเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผม มันก็เลยยอมตัดใจที่จะเร้าหรือ “เออๆ ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นใส่กูเลย กูไม่ตื๊อมึงแล้วก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาชวนใหม่ งั้นกูกลับห้องละ”

“อืม”

ปัง!

หลังจากธิปกลับไปได้สักพักบานประตูห้องนอนก็เปิดออก พร้อมกับร่างของณัชที่เดินสะโหลสะเหลเหมือนคนไม่ค่อยมีแรงมาตรงกลางห้องนั่งเล่น อดเป็นห่วงไม่ได้จนต้องปรี่เข้าไปประคองมันเพราะกลัวจะล้มหัวฟาดพื้นไปเสียก่อน ใบหน้าที่ปกติก็ขาวอยู่แล้วแต่เวลานี้กลับซีดเซียวเพราะพิษไข้ขยับปากพูดถามในสิ่งที่สงสัยออกมา

“ใครมาพี่ผา”

“ไอ้ธิป”

“มาทำไมอ่ะ”

“ชวนไปเล่นน้ำ”

“แล้วไม่ไปเหรอ”

“ไม่อ่ะ กูว่าจะอยู่กับมึง”

“ทำอย่างกับตัวติดกันไปได้”

“ก็ติดนะ เมื่อคืนก่อนไง ไม่สิ… คืนนั้นกูเข้าไปอยู่ในตัวมึงเลยต่างหาก”

“ไอ้เชี่ยพี่ผาา! ทำไมชอบพูดจาสัปดนแบบนี้วะ จะไปเล่นน้ำก็ไป ณัชอยู่ได้ แค่ไม่สบาย ไม่ได้เป็นง่อย”

“แต่กูเป็นห่วง”

“เลิกทำเหมือนณัชเป็นผู้หญิงสักทีเถอะ ไม่ต้องดูแลณัชขนาดนั้นก็ได้”

ณัชมองหน้าผมด้วยสายตาไม่พอใจ ผมรู้ว่ามันไม่ชอบที่ผมดูแลมันยิ่งกว่าผู้หญิง แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็ในเมื่อคนมันเป็นห่วงนี่หว่า

“งั้นมึงก็เลิกพูดประโยคนี้สักทีได้ไหมวะ กูเคยบอกมึงเป็นสิบรอบแล้ว มันไม่เกี่ยวว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เพราะเป็นมึง กูถึงห่วง เมื่อวานก็เพิ่งบอกไป หัดจำซะบ้างสิ”

“อะไรวะ พูดแค่ไม่กี่ประโยค ด่าคนป่วยกลับมาเป็นชุดเลย”

“ก็มึงมันรั้น”

“เออๆ อยากจะว่าอะไรก็ว่าไปเถอะ ณัชขี้เกียจฟังพี่ผาบ่นแล้ว”

“เดี๋ยว…” ผมเรียกมันรั้งไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินหนีกลับเข้าห้องนอน “ตื่นมาแล้วก็กินโจ๊กสักหน่อย เสร็จแล้วจะได้กินยา”

“ไม่อ่ะ ณัชยังไม่ค่อยหิว”

“ไม่หิวก็ต้องกิน กูป้อน”

ผมอมยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย เพราะการป้อนข้าวป้อนน้ำในความคิดผมมันเคยธรรมดาซะที่ไหน ช้อนส้อมไม่ต้อง ใช้ปากเนี่ยแหละง่ายสุด

“พี่ผายิ้มอะไร ไม่ต้องมาคิดพิเรนทร์ๆ เลย”

“รู้ดี”

“จริงป่ะล่ะ คนอย่างพี่ผาก็คิดได้แค่จะป้อนทางปากเท่านั้นแหละ ไม่เอาด้วยหรอก สกปรกจะตาย นี่เพิ่งไปดูดบุหรี่มาด้วยใช่ไหมเนี่ย กลิ่นหึ่งเชียว”

“แหม ป้อนทางปากบอกว่าสกปรก ทีมึงอมของกูไม่เห็นบ่นเชี่ยอะไรเลย”

“ยังไม่หยุดพูดเรื่องทะลึ่งๆ อีก!” คนตัวเล็กขึ้นเสียงดุ เมื่อผมพูดความจริงออกมาได้ไม่อายปาก ก่อนจะชี้หน้าคาดโทษผมยกใหญ่ “ณัชไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไปนอนต่อดีกว่า ถ้าพี่ผาเปลี่ยนใจจะออกไปเล่นน้ำก็ล็อกประตูให้เรียบร้อยด้วยละกัน”

“เออ”

ปัง!



(มีต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2018 13:57:29 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
วันที่ 14 เมษายน 25XX

แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางรอยแยกของผ้าม่าน ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะเพ่งดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง

“เพิ่งจะ 8 โมงเช้าเองเหรอวะ”

บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ พลางขยับตัวเล็กน้อยอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการนอนของอีกคนเข้า

ณัชยังคงหลับตาพริ้มคล้ายคนกำลังนอนฝันหวาน โชคดีที่เมื่อคืนไข้ลดลงไปเยอะมากแล้ว เพราะตอนนี้ผิวแก้มของมันเริ่มกลับมาขึ้นสีอีกครั้งหลังจากที่เมื่อวานซีดเผือดจนน่าใจหาย ถ้าเช้านี้ได้กินยาอีกสักชุดอาการก็น่าจะเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้นผมคงยังไม่อนุญาตให้มันออกไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่ไหนแน่ๆ เพราะถ้าเกิดไข้กลับแล้วเป็นหนักยิ่งกว่าเก่าจะแย่เข้าไปใหญ่

นอนมองริมฝีปากคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง หมายจะลักรอยจูบยามเช้าให้เต็มรัก จังหวะที่ผมกำลังจะก้มหน้าลงไป มารผจญก็โผล่มาในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี

ปัง! ปัง! ปัง!

“ไอ้ผา… มึงตื่นหรือยังเนี่ย?!”

ผมชะงักค้างอยู่กลางอากาศ พ่นลมหายใจออกมาหนักๆ ด้วยความฉุน เพราะนอกจากจะชวดโอกาสได้แต๊ะอั๋งเมียแล้ว อาจจะทำให้ณัชตื่นขึ้นมาโวยวายที่ผมดันไปทำตัวรุ่มร่ามใส่มันตอนนอนอีกต่างหาก

“อะไร?!”

ฮึดฮัดกับตัวเองได้ไม่นานก็ตะโกนถามกลับออกไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินไปเปิดประตูคุยกับเพื่อนเวรที่ยืนรออยู่หน้าห้อง

ปกติตื่นมาต้องควานหาบ็อกเซอร์ที่ปลายเตียงเป็นอันดับแรก แต่เพราะว่าคนข้างกายผมกำลังป่วยอยู่ ก็เลยไม่มีอารมณ์ไปปลุกปล้ำมันจนเสื้อผ้ากระจัดกระจายเกลื่อนห้อง แค่ตอนนี้เห็นมันนอนซมตัวรุมๆ ผมก็แทบใจสลายจะแย่แล้ว

“ไปเล่นน้ำกัน” บานประตูยังไม่ทันเปิดเต็มองศาดีเลย ธิปก็โพล่งถึงจุดประสงค์ที่มาหาผมแต่เช้า

“ไอ้ธิป! ห้องมึงไม่มีนาฬิกาเหรอวะ แหกตาดูซะบ้างว่านี่เพิ่งจะกี่โมง”

“ก็กูอยากเล่นน้ำ แต่ไม่มีเพื่อนนี่หว่า”

“ทำไมมึงไม่ชวนเด็กตัวเองไปเป็นเพื่อนวะ”

“ไม่เอาอ่ะ มึงก็รู้ว่ากูจะไปปะแป้งสาวๆ เอาเด็กในสต็อกไปด้วยแล้วมันจะไปสนุกอะไรวะ”

“งั้นก็ไม่ต้องไป วันนี้ณัชยังไม่หายดี”

“แต่มึงสัญญากับกูแล้วนี่ว่าวันนี้จะไปด้วยกัน”

“ตอนไหน กูบอกเหรอ”

“บอก ในความฝันกูเมื่อคืน”

“ตลกละไอ้สัด เดี๋ยวกูก็โบกให้มึงนอนฝันตรงนี้อีกสักรอบหรอก” ธิปยกมือขึ้นมาบังหัวตัวเองไว้เมื่อผมทำท่าจะฟาดสันมือลงไปที่กลางกบาลมันจริงๆ แต่พอผมเห็นแววตาผิดหวังของมันที่โดนปฏิเสธมาสองครั้งติดก็อดสงสารไม่ได้ “เออๆ เอาไว้พรุ่งนี้ รอดูอาการณัชอีกสักวัน”

“มึงผลัดกูมาสองรอบแล้วนะไอ้เชี่ยผา”

“เออน่า ไม่มีรอบที่สามแน่”

“แน่นะมึง”

“เออ”

“งั้นพรุ่งนี้กูมาใหม่”

“เดี๋ยวไอ้ธิป…” ผมเรียกเพื่อนไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะปิดประตูโครมใหญ่ใส่หน้า

“อะไร” มันเลิกคิ้วถาม

“มาสักบ่ายๆ นะ ตอนเช้ากูน่าจะยังไม่ตื่น”

“เออ รู้แล้ว”

ปัง!







วันที่ 15 เมษายน 25XX

ในที่สุดวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ก็มาถึง ถนนข้าวสารคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาเล่นน้ำกันตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวัน ราวกับเป็นการส่งท้ายความสุขก่อนที่จะไปเผชิญกับโลกความจริงหลังจากหยุดยาวมานาน

เมื่อวานผมย้ำกับธิปไปแล้วนะว่าให้มาปลุกตอนบ่ายๆ แต่ทำไมถึงกลายมาเป็น 8 โมงเช้าไปได้วะ

คนอย่างผมไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก ห่วงก็แต่สุขภาพของคนข้างๆ ที่ต้องแหกขี้ตาตื่นมาด้วยกันทั้งที่เพิ่งจะหายไข้ไปเองแท้ๆ มากกว่า

และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือตอนแรกณัชจะใส่เสื้อยืดสีขาวตัวบางออกมาเล่นน้ำสงกรานต์ ผมนี่แทบจะลากคอมันโยนลงเตียง โดนสาดทีก็เห็นไปยันเนื้อหนังแล้ว แต่พอมันบอกว่าจะใส่เสื้อคลุมสีดำสวมทับอีกที ผมก็เลยเบาใจ ไม่งั้นคงไม่ให้มันก้าวเท้าออกจากคอนโดฯ ในสภาพล่อตะเข้แน่

“แน่ใจนะว่าไหว”

“ไหว ณัชไม่ได้เป็นอะไรแล้วน่า”

“เออ ให้มันจริงเถอะ ถ้าคืนนี้มึงทรุดตอนกูจะเอา ต่อให้มึงบอกว่าไม่ไหว กูก็ปล้ำแน่”

“ในหัวพี่ผาวันๆ คิดได้แต่เรื่องพรรค์นี้เหรอวะ”

ผมไม่เถียง ทำเพียงลอยหน้าลอยตาอมยิ้มกรุ้มกริ่มใส่มัน ก่อนจะเอื้อมมือออกไปโยกหัวคนตัวเล็กเล่นอย่างหยอกล้อ

ณัชทำหน้าไม่พอใจที่ถูกกระทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ แต่ก็ไม่ได้ปัดมือผมออก สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของมันที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงและมีถุงพลาสติกหุ้มไว้ถึงสองชั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เปียกน้ำก็ดังแทรกขึ้นมาเบาๆ พอให้ได้ยิน

ผมมองตามแผ่นหลังมันไปด้วยความอยากรู้ เพราะหลังจากที่ณัชกดรับ มันก็เดินเลี่ยงออกไปคุยเหมือนกับไม่ต้องการให้ผมได้ยินบทสนทนาอย่างนั้นแหละ

หายไปไม่ถึง 5 นาทีณัชก็เดินกลับเข้ามา ผมไม่รอช้า เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยออกไปโดยไม่มีการอ้อมค้อม

“ใครโทรมา”

“เพื่อนครับ” ณัชตอบคำถามผมเสร็จก็ยัดโทรศัพท์เก็บเข้าที่เดิม

“เพื่อนคนไหนถึงต้องไปคุยไกลจากสายตากูด้วย”

“เปอร์”

“อ่อ ไอ้เพื่อนสนิทกวนส้นตีนของมึงนี่เอง แล้วมันโทรมาทำไม”

“บอกว่าอยากเจอ”

“แต่กูไม่อยากเจอ”

“เอ้า ก็เรื่องของพี่ผาดิ มันถามณัช ไม่ได้ถามพี่สักหน่อย”

“และมันอยู่ไหนแล้ว”

“กำลังเดินมา เห็นบอกว่าเล่นน้ำอยู่แถวนี้เหมือนกัน”

“มึงอยากเจอมันเหรอ”

“อยาก”

“แต่กูไม่อนุญาตให้เจอ”

“พี่ผามีสิทธิ์อะไรวะ นั่นเพื่อนณัชนะ”

“สิทธิ์ของความเป็นผัวมึงไง”

“เลิกทำตัวเป็นเด็กสักทีเถอะพี่ผา โตๆ กันแล้ว”

“กูเปล่า”

“เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่ว่าทำ”

“เดี๋ยวนี้มึงยอกย้อนเหรอไอ้ณั…ช”

ซ่า!

“เฮ้ยยย!”

น้ำเย็นเจี๊ยบจากไหนไม่รู้ถูกสาดเข้ามาที่กลางแผ่นหลังผมอย่างจัง พอหันไปมองยังต้นตอก็เห็นผู้ชายหน้าตากวนอวัยวะเบื้องล่างกำลังยักคิ้วหลิ่วตาส่งยิ้มมุมปากมาให้ด้วยท่าทางวอนโดนกระทืบสุดๆ

“วันสงกรานต์เขาให้มาเล่นน้ำครับ ไม่ใช่ให้มาทะเลาะกัน”

“ไอ้เชี่ยเปอร์…” ผมกัดฟันกรอด เรียกชื่อเด็กเปรตที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไหร่ด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “มึงมาสาดน้ำใส่กูทำไม”

“ก็วันสงกรานต์ไงครับ ไม่ให้สาดน้ำแล้วจะให้สาดอะไร” มันไหวไหล่พลางตอบหน้าตาย เห็นแล้วก็อยากซัดมันให้เลือดกบปากสักที

“และไม่เห็นหรือไงว่ากูกำลังเคลียร์กับเมียอยู่ อย่าเสือกดิ”

“ไม่เสือกไม่ได้ครับ นั่นก็เพื่อนผมเหมือนกัน”

“แต่มันเป็นเมียกู”

ผมย้ำชัดถ้อยชัดคำ ให้รู้กันไปเลยว่าระหว่างเพื่อนกับผัว อะไรจะสำคัญมากกว่ากัน และแทนที่ณัชจะเข้าข้างผม มันกลับเบรกพวกเราสองคนให้หยุด

“พอได้แล้วน่าทั้งคู่เลย จะกัดกันให้ได้อะไรขึ้นมา ญาติดีสักวันจะตายไหม พี่ผาก็โตแล้ว จะไปอะไรกับคำพูดของไอ้เปอร์นักหนา”

“เออ ก็ได้วะ แต่ที่ครั้งนี้กูยอมให้ เพราะว่าทำเพื่อมึงหรอกนะไอ้ณัช ไม่อย่างนั้นหน้าไอ้ห่านี่ได้แนบติดรองตีนกูแน่”

“ปากเก่งจังเลยนะครับ คิดว่าผมจะงอมืองอเท้าให้พี่ทำอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง”

“ไอ้…”

“หยุดเดี๋ยวนี้เลย… แยกย้ายกันไปคนละมุม!”

ณัชคงเห็นท่าไม่ดี กลัวว่าพวกผมจะได้ฉะกันจริงๆ ก็เลยรีบเอาตัวเข้ามาขวางไว้ ก่อนจะดันร่างผมให้เดินออกไปจากตรงนี้

ผมไม่ได้ขัดขืน คล้อยตามแรงฉุดกระชากของมันอย่างว่าง่าย และหลังจากที่สงบศึกกันไปพักใหญ่ ผมกับเปอร์ก็หันมาสนใจเล่นสาดน้ำสงกรานต์อย่างสนุกสนานต่อ ลืมไปเสียสนิทเลยว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะปะทะคารมกันไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ส่วนธิปที่รับอาสาว่าจะไปซื้อน้ำดื่มกับแป้งดินสอพองเพิ่มก็เดินกลับมาพอดี หายไปซะนาน คงเถลไถลอยู่กับสาวๆ ระหว่างทางนั้นแหละ และมันก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเปอร์มายืนหัวโด่เล่นน้ำอยู่ข้างๆ ผม พอพวกมันสองคนเจอกันก็ทักทายตามประสาคนสนิทอย่างกับไม่ได้เจอหน้ามาเป็นเดือน ทั้งที่เพิ่งเจอกันไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง

จะมีก็แค่ณัชที่ไม่ได้มาร่วมวงสนทนาด้วย เพราะผมสั่งให้มันนั่งรออยู่ข้างในเต็นท์ ซึ่งเป็นจุดบริการสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งพักเหนื่อย ไม่ไกลจากตรงที่ผมยืนเล่นน้ำเท่าไหร่ ยอมรับว่าเป็นห่วง ไม่อยากให้มันออกมาท้าแดดท้าลมในเวลานี้ เพราะกลัวไข้จะกลับมาอีก แต่ผลสุดท้ายการปล่อยให้มันนั่งอยู่ด้านในคนเดียวนั่นแหละเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด

“ขอปะแป้งหน่อยนะครับ”

“คะ…ครับ”

“ไม่เล่นน้ำเหรอ ขอปะแป้งหน่อยน้าาา”

“อ่อ ครับ”

“ปะแป้งหน่อยนะคะ”

“ดะ…ได้ครับ”

จากหนึ่งคนเป็นสองคน จากสองคนเป็นสามคน สักพักก็พากันมาเป็นกลุ่มใหญ่ ผมที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ชักทนไม่ไหวก็เลยตะโกนเรียกมันออกไปให้เดินมาหา

“มึงมานี่ดิ!”

“…”

“ไอ้ณัช! กูบอกให้มึงมานี่”

“อะไรของพี่ผาอีกวะเนี่ย” มันบ่นอุบ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งโดยดี “ไหนบอกให้ณัชนั่งอยู่ตรงนั้นห้ามลุกไง”

“ก็เพราะว่ามึงไม่ลุกไปไหนเลยเนี่ยแหละถึงผิด”

“เรื่องมากฉิบหาย”

“มึงนั่นแหละเสือกนั่งเฉยๆ ให้เขาปะแป้งอยู่ได้ ไม่รู้หรือไงว่ากูไม่ชอบให้ใครมาแตะตัวมึง”

พูดจบผมก็สาดน้ำโครมใหญ่ใส่อีกฝ่าย มองข้ามเรื่องที่มันป่วยอยู่ไปเลย เพียงเพราะต้องการชะล้างรอยนิ้วมือของคนอื่นที่มาสัมผัสตัวมันออกไปให้หมด

“เฮ้ยย! เป็นบ้าอะไรของพี่วะเนี่ย?!” ณัชร้องโวยวายเสียงดัง มือเล็กลูบหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยน้ำอย่างขุ่นเคือง

“ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ เดี๋ยวกู ธิป แล้วก็ไอ้เชี่ยเปอร์จะไปเดินเล่นน้ำกันแถวโน้น เพราะงั้นมึงต้องไปกับกูด้วย”

“แต่…”

“ไม่ต้องมาแต่! ปล่อยมึงไว้ที่นี่คนเดียวกูได้อกแตกตายพอดี”

ออกคำสั่งไม่ฟังเสียงค้านผมก็กระชากข้อมือมันให้เดินตามหลังมาติดๆ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงฝูงชนแออัด ผมดันตัวณัชให้เดินนำไปข้างหน้า ไม่อยากให้มันรั้งท้าย กลัวจะคาดสายตา เพราะขนาดตอนนี้ผมกับธิปยังพลัดหลงกันไปคนละทิศคนละทางเลย และการตัดสินใจลากณัชออกมาจากเต็นท์ก็ทำให้ผมรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เมื่อสารพัดมือพุ่งตรงมาขอปะแป้งมันไม่หยุดจนผมชักเริ่มหงุดหงิด

“ปะแป้งหน่อยนะครับ”

“เอ่อ…”

คนของผมยังไม่ทันตอบ ใครที่ไหนก็ไม่รู้ยกมือขึ้นมาลูบหน้าเนียนๆ ของมัน ผมที่ยืนอยู่ข้างหลังจึงเอื้อมมือออกไปปะแป้งที่แก้มมันบ้าง

“ทะ…ทำอะไรของพี่ผาเนี่ย”

“ปะแป้งไง”

ผมตอบพลางส่งยิ้มยียวนไปให้ ณัชทำท่าทางฮึดฮัดใส่แล้วหันหน้ากลับไปตามเดิมเพราะไม่สามารถตอบโต้อะไรผมได้ ไม่นานก็มีนักศึกษากลุ่มใหญ่เดินตรงเข้ามาหามันอีก

ไอ้เวรนี่ชักจะฮอตเกินไปแล้ว

“พวกเราขอปะแป้งหน่อยได้ไหมครับ” ฝ่ายนั้นทำเสียงออดอ้อน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันชวนอ้อนตีนมากกว่า

“อ่าครับ”

ณัชตอบรับไปตามมารยาท ก่อนที่แป้งจำนวนมากจากหลายฝ่ามือจะถูกป้ายไปทั่วหน้า ผมจึงกระชากร่างมันให้หันเข้าหาตัว แล้วละเลงแป้งในขันตัวเองทับไปอย่างลวกๆ

“เฮ้ยย! อะไรอีกวะเนี่ย”

“ปะแป้งไง” ผมตอบคำถามมันด้วยคำตอบเดิม แต่คราวนี้ณัชไม่ได้เงียบใส่ผมเหมือนทีแรก

“รู้! ณัชไม่ได้โง่นะ แต่พี่ผาจะมาปะแป้งพวกเดียวกันทำไม แค่นี้ณัชก็โดนเยอะมากพอแล้วไหม”

“ก็กูจะปะอ่ะ กูไม่ชอบให้แป้งของคนอื่นมาอยู่บนหน้ามึง”

“เหตุผลแค่นี้เนี่ยนะ พี่ผาแม่งเด็กกว่าที่ณัชคิดไว้อีกว่ะ”

“เออ กูมันเด็ก แล้วเด็กอย่างกูมันหวงของของตัวเองไม่ได้หรือไงวะ”

“เฮ้อ!” ณัชถอนหายใจ ส่ายหน้าเนือยๆ อย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อผมพูดจาเอาแต่ใจสุดๆ ก่อนจะเดินจูงมือผมแล้วพาแวะข้างทางเพื่อขอน้ำจากคนที่เล่นสงกรานต์แถวนั้นล้างหน้า พอมันจัดการชำระคราบแป้งเสร็จก็หันมาพูดกับผมต่อ “แบบนี้พอใจยัง”

“อืม”

ผมรับคำไปส่งๆ อันที่จริงก็ยังไม่หายโมโหหรอก เพราะทั้งตัวมันมีแต่รอยนิ้วมือใครบ้างก็ไม่รู้ กลับไปผมจะจับมันอาบน้ำใหม่ให้สะอาดหมดจดเลยคอยดู

“แล้วจะกลับเข้าไปเล่นต่ออีกไหม” มันถาม ผมเลยชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเองแทนคำตอบ

“ถามอะไรช่วยดูหน้ากูด้วยว่ายังมีอารมณ์เล่นอยู่หรือเปล่า”

“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นเรากลับคอนโดฯ กัน”

“อืม”



※※※


แฮชแท็ก #หวงณัช

แล้วเจอกัน หวงณัช #2 นะคะ


ช่องทางการติดต่อ Twitter @THEROMARKTIC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2018 14:10:40 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หวงมาก...กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ฮ่าๆๆ พี่ผาคนหวงเมีย 2018 จริงๆว่ะ  :hao7:
เราสงสัยอะ ว่าพี่ธิปหายไปไหน รายนั้นตัวตั้งตัวตีมาเที่ยวสงกรานต์เลยนิ  :laugh:  55555555555555

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
หวงณัช #2
เกลียดแฟนเก่ามึง




หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยผมก็รับช่วงธุรกิจร้านอาหารกึ่งผับต่อจากครอบครัว ปัจจุบันก็ทำตรงนี้มา 4 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ธุรกิจเล็กๆ แต่ก็ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ผมไม่น้อย ในขณะที่พ่อกับแม่ก็ดูแลรับผิดชอบในส่วนของธุรกิจหลักไป นานๆ ถึงจะโผล่หน้ามาหาผมที่คอนโดฯ สักที เพราะต้องบินไปกลับต่างประเทศเพื่อคุยงานอยู่บ่อยๆ ทำให้ไม่ค่อยได้มีเวลาว่างปลีกตัวเท่าไหร่

ผมโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างให้อิสระในการใช้ชีวิต ไม่มีใครคาดหวังหรือวางแผนอนาคตให้ผมว่าโตมาจะต้องเป็นแบบไหน แม้แต่เรื่องที่ผมคบกับณัช ทุกคนในบ้านต่างยอมรับและเข้าใจดี แถมพวกท่านยังเอ็นดูณัชยิ่งกว่าผมซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆ เสียอีก พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าผมใส่ความ โอเว่อร์เกินจริง งั้นผมจะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เลยแล้วกัน

วันเกิดณัชเมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นผมกับมันยังไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่พ่อก็ถอยแลมโบกินี่ให้มันคัน พร้อมตั๋วเครื่องบินไปกลับยุโรป 10 วัน 9 คืน และคนอย่างผมที่ทั้งรักทั้งหวงทั้งห่วงมันขนาดนี้จะยอมปล่อยให้ไปคนเดียวเหรอ ผมก็เลยต้องควักเงินในกระเป๋าสตางค์ตัวเองเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินเพิ่ม เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นณัชได้แอบหนีไปเที่ยวคนเดียวแน่ อันตรายจะตาย ใครจะกล้าปล่อยให้ไป

เป็นยังไงล่ะ ครอบครัวผมโคตรใจปล้ำเลยใช่ไหม เปย์ไอ้ณัชหนักจนน่าหมั่นไส้สุดๆ บางทีผมยังแอบคิดเลยนะว่าตกลงใครเป็นลูกชายบ้านนี้กันแน่

ผมหรือไอ้ณัช

“พี่ผา…” แล้วจู่ๆ เสียงเรียกของคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับก็ดึงสติผมให้หลุดจากภวังค์ความคิด ผมหันไปมองมันพลางขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ณัชก็เปิดปากพูดแกมสั่งออกมาก่อน “จอดตรงข้างหน้านี้แหละครับ ณัชจะลง”

“ทำไมมึงไม่ให้กูไปส่งถึงที่ทำงานวะ”

“ณัชก็บอกพี่ผาไปแล้วนี่ว่าอยากไปเองมากกว่า”

“แต่วันนี้มึงทำงานวันแรก กูอยากไปส่ง จะได้รู้ด้วยไงว่าที่ทำงานมึงอยู่ตรงไหน”

ผมพยายามยกเหตุผลที่น่าจะทำให้มันคิดคล้อยตามได้ขึ้นมาอ้าง แต่ดูเหมือนว่าคนฟังจะไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ เมื่อมันปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกตอนที่ผมหักพวงมาลัยไปทางซ้ายเพื่อพารถจอดเทียบฟุตปาธ หวังจะหันหน้าคุยกับมันดีๆ แต่ณัชคงคิดว่าผมจะจอดให้มันลง เพราะทันทีที่ล้อหยุดหมุน มันก็ทำท่าจะเปิดประตู ผมเลยต้องรีบเอื้อมมือออกไปคว้าท่อนแขนมันไว้อย่างรวดเร็ว กลัวว่าอีกคนจะชิ่งหนีไปก่อน

“พี่ผาไม่เข้าใจ หรือประโยคที่ณัชพูดออกไปมันไม่เคลียร์ ณัชว่าเราคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะครับ”

“ก็กูเป็นห่วง ทำงานร้านอาหารดึกดื่นแบบนั้นมึงก็น่าจะรู้ว่ากูไม่ชอบ”

“พี่ผาลืมไปหรือเปล่าว่าณัชก็เป็นผู้ชาย ดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“เออ กูรู้ว่ามึงเก่ง แต่ถึงยังไงกูก็เป็นห่วงมึงอยู่ดี ให้กูไปส่งถึงที่ทำงานไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้ครับ”

“มึงนี่มันดื้อจริงๆ เลยว่ะไอ้ณัช ตามใจกูสักวันจะได้ไหม”

“แล้วพี่ผาไม่ขัดใจณัชสักวันจะได้ไหมล่ะครับ”

“ถ้ากูบอกว่าไม่ได้ล่ะ”

ผมทำเสียงขรึมตอบกลับไป จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะพูดจาดีๆ ด้วย เห็นทีใช้ไม้อ่อนไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อมันยังรั้นไม่หยุด

และถ้าให้ผมเดาว่าทำไมณัชถึงไม่ยอมบอกว่าตัวเองทำงานอยู่ที่ไหน น่าจะเป็นเพราะกลัวผมตามไปนั่งเฝ้าเช้าเย็นถึงที่ทำงาน ซึ่งผมก็ไม่เถียงนะ ไม่ต่อว่ามันด้วยที่ระแวงเกินเหตุ เพราะถ้าผมรู้ก็คงทำอย่างที่มันคิดจริงๆ นั่นแหละ

ช่วยไม่ได้ มันเสือกเป็นเมียผมเอง ผมก็ต้องตามหวงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งมันโคตรน่ารักซะขนาดนี้ ผมไม่ล่ามโซ่ไว้กับตัวก็บุญเท่าไหร่ละ

“พี่ผาไม่งอแงดิวะ”

“งั้นมึงก็อย่าดื้อได้ไหมล่ะ”

“ณัชไม่ได้ดื้อสักหน่อย และพี่ผาก็ปล่อยณัชได้แล้ว ณัชจะลง”

คนตัวเล็กไม่พูดเปล่า พยายามดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของผมพลางส่งสายตาตำหนิมาให้ เมื่อผมยังไม่ยอมคลายมือที่จับแขนมันออก

“แล้วมึงจะนั่งรถอะไรไป”

“รถเมล์” ณัชตอบเสียงห้วน ฟังจากที่มันพูดก็พอจะรู้แล้วว่าตอนนี้รำคาญผมมากแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วง ผมคงไม่มานั่งถามเซ้าซี้ให้โดนทำหน้าบึ้งตึงใส่อยู่แบบนี้หรอก “ถามทำไมครับ”

“ก็แค่อยากรู้ เผื่อมึงบอกว่านั่งเรือข้ามฟากไปทำงาน กูจะได้ขับรถพามึงกลับเดี๋ยวนี้เลย เพราะถ้ามันต้องยุ่งยากขนาดนั้น กูว่ามึงนอนอยู่คอนโดฯ เฉยๆ น่าจะดีกว่า”

“พี่ผาอย่ามาเว่อร์ได้ป่ะ”

“กูไม่ได้เว่อร์ แต่กูไม่เข้าใจว่ามึงจะพาตัวเองไปให้ลำบากทำไม เพราะแค่มึงคนเดียวกูเลี้ยงได้ แล้วที่ไปทำงานนี่ได้เงินเดือนเท่าไหร่”

“แปดพัน”

“ถ้าอย่างนั้นกูให้มึงสามหมื่น แล้วไปทำงานกับกูแทน ตกลงไหม”

“สรุปที่พี่ผาพูดมาทั้งหมดคือจะไม่ให้ณัชไปทำงานที่นั่นใช่ไหมครับ”

“ไอ้เชี่ยณัช! กูถามมึง ไม่ใช่ให้มึงมาถามกูกลับ”

“…”

และแทนที่ณัชจะโต้แย้งอะไรออกมาบ้าง มันกลับนั่งเงียบไม่ยอมตอบ คงตั้งใจจะเล่นสงครามประสาทกับผมสินะ ถึงได้ไม่สนใจผมที่แสดงอาการกระฟัดกระเฟียดอยู่ข้างๆ ยิ่งเห็นมันทำท่าทางแบบนั้นผมก็ยิ่งจนปัญญาจะเกลี้ยกล่อม เลยตัดสินใจยอมมันไปอย่างไม่มีทางเลือก

“โอเคๆ กูยอมแพ้มึงแล้วก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ” สิ้นเสียงจำใจของผม คนตัวเล็กกว่าก็หันหน้ามามองด้วยความฉงนที่หนนี้ผมยอมง่ายกว่าทุกที เพราะถ้าเป็นในเวลาปกติคงได้นั่งเถียงกับมันไปมาเกือบครึ่งค่อนชั่วโมงถึงจะตกลงกันได้ “ขึ้นรถเมล์แล้วก็ไลน์บอกกูด้วย”

“คะ…ครับ”

“เลิกงานก็อย่าเถลไถล รีบกลับล่ะ เข้าใจไหม”

“…เข้าใจแล้วครับ”

“เออ ให้มันพูดง่ายๆ แบบนี้ทุกครั้งก็คงจะดี”

“งั้นณัชไปก่อนนะ”

“เดี๋ยว…” ผมรั้งมันไว้อีกครั้ง ก่อนที่ณัชจะเปิดประตูแล้วก้าวลงไปจากรถ

“อะไรอีกพี่ผา”

เสียงขุ่นของมันทำให้ผมต้องรีบหยิบบัตรเครดิตจากในกระเป๋าสตางค์ตัวเองออกมาพร้อมกับยื่นไปตรงหน้าคนตัวเล็ก

“เอานี่ไปใช้” ณัชนิ่วหน้ามองผมอย่างงงๆ

“…”

“ถ้ามึงไม่รับไป กูไม่ให้ลงจากรถนะบอกไว้ก่อน”

“แต่ว่า…”

“รับไปเถอะน่า แล้วเงินเดือนที่ได้มาก็เก็บไว้ กูรับปากกับแม่มึงไว้แล้วว่าจะดูแลมึงให้ดีที่สุด เพราะงั้นไม่ต้องมาเกรงใจ ที่กูทำไปทั้งหมดก็เพราะว่าอยากรับผิดชอบชีวิตมึง”

“…”

“ไอ้ณัช… อย่าต้องให้กูพูดซ้ำ”

“…”

“ณัช… อยากไปทำงานสายตั้งแต่วันแรกหรือไง”

“โอเคครับ ก็ได้ๆ” มันตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนจะคว้าบัตรเครดิตเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ตัวเอง และไม่ลืมที่จะหันมายกมือไหว้ลาผม “ขอบคุณนะพี่ผา แล้วเจอกันที่คอนโดฯ ครับ”

“อืม”

ผมพยักหน้าให้มันเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานประตูรถก็ถูกปิดสนิท ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมจางๆ ของณัชที่ยังหลงเหลืออยู่







“อ้าวว! เฮียผา… ทำไมวันนี้มาไวจังเลยล่ะครับ” พนักงานในร้านที่อายุน้อยกว่าผมร้องถามเสียงหลงเมื่อเห็นผมโผล่หน้ามาทำงานตั้งแต่หัววัน

ส่วนมากผมจะอยู่ประจำที่สาขาหนึ่ง นานๆ ถึงจะแวะไปสาขาสองที่อยู่แถบชานเมืองสักที ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผู้จัดการร้านที่ผมจ้างเป็นคนที่พ่อหามาให้ ผมก็คงไม่ไว้ใจปล่อยให้ใครเข้าไปดูแลกิจการแทนถึงขนาดนี้

เอาจริงๆ ผมค่อนข้างสบายใจเลยนะที่ได้มันมาช่วยแบ่งเบาภาระงานจากสาขาโน้น ไม่อย่างนั้นผมคงได้เหนื่อยตายแน่ ถ้าต้องวิ่งวุ่นเรื่องร้านอยู่คนเดียวทั้งที่ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ กัน

“ณัชไปทำงาน ไหนๆ กูก็ออกมาส่งมันที่ป้ายรถเมล์แล้วก็เลยแวะมาที่นี่เลย ขี้เกียจย้อนไปย้อนมาหลายรอบ”

“หืม? ดะ…เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้เฮียผาพูดว่าพี่ณัชไปทำงานเหรอ”

แววตาของคนตรงหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เมื่ออยู่ๆ คนหวงเมียอย่างผมก็กล้าปล่อยคนรักให้ไปทำงานไกลหูไกลตา ทั้งที่เวลาปกติผมแทบจะไม่ยอมให้ณัชห่างตัวเลยด้วยซ้ำ

“ก็เออดิ”

“เหลือเชื่อ?!” คนฟังถึงกับตาโตอ้าปากค้าง “ว่าแต่ทำไมเฮียผาถึงไม่ให้พี่ณัชมาทำที่นี่ล่ะครับ”

“มึงคิดว่าไอ้ณัชจะยอมเหรอ กูพูดจนปากเปียกปากแฉะไปหมดแล้ว มันก็ยังรั้นไม่เข้าเรื่องเหมือนเดิม”

“แต่เฮียจะไปว่าพี่ณัชฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะครับ ผมเห็นเฮียนั่นแหละที่เป็นฝ่ายตามใจพี่ณัชจนเคยตัวมากกว่า”

“เออ ที่มึงพูดมาก็มีส่วนถูก กูเองก็นิสัยเสียด้วยแหละ ยอมใจอ่อนให้มันทุกที ไม่เคยขัดใจอะไรได้เลย แต่จะให้ทำยังไงได้วะ กูไม่ชอบเวลาที่ต้องทะเลาะกับมันนี่หว่า” ผมถอนหายใจ เมื่อนึกย้อนไปถึงวันที่ผมกับณัชทะเลาะกันใหญ่โตครั้งแรก

จำได้แม่นเลยว่าผมตามง้อมันอยู่สามวัน เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำสองอีก

“สงสัยต่อไปผมคงต้องเพิ่มสโลแกนให้เฮียใหม่แล้วล่ะมั้ง”

“สโลแกนอะไรของมึงวะ”

“เอ้า! ก็นอกจากเฮียจะหวงเมียแล้วยังกลัวเมียอีกด้วยนะเนี่ย” มันขยายความให้ผมเข้าใจพร้อมกับทำหน้ากวนตีนใส่อย่างล้อๆ

“ทะลึ่งละไอ้เก้อ เดี๋ยวกูก็แกล้งหักเงินเดือนมึงสักห้าร้อยเลยนี่”

“เฮ้ยย! เฮียผา… ผมล้อเล่น”

คนพูดส่งยิ้มแหย แก้ตัวเป็นพัลวัน แค่ได้ยินเรื่องเงินๆ ทองๆ มันก็กลัวหัวหดแล้ว ก่อนจะเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ยกมือขึ้นไหว้ขอโทษขอโพยผมท่วมหัวที่ดันพูดจาลามปามใส่

“เออ กูไม่หักหรอกน่า ไปทำงานทำการได้แล้วไป” ผมโบกมือไล่ หลังจากที่ยืนคุยเล่นกับมันอยู่นาน แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเดินหายเข้าไปหลังร้าน ผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีธุระจะวานให้มันไปจัดการสักหน่อย เลยเรียกมันเอาไว้ “ไอ้เก้อ”

“ครับ” มันหันหน้ากลับมาขานรับ

“เย็นนี้มึงว่างไหม กูจะให้มึงขับรถไปส่งของที่สาขาสองหน่อย”

“ของอะไรครับเฮีย”

“ไวน์ฝรั่งเศส เพิ่งได้มาใหม่เมื่อวานตั้งหลายขวด ถ้ายังไงมึงก็ช่วยไปส่งให้กูหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวกูออกค่าน้ำมันให้”

“ได้ครับเฮียผา ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมจัดการให้”

“เออ ขอบใจมากเว่ย ไวน์อยู่หลังรถกูนะ” ผมพูดพร้อมกับโยนกุญแจรถส่งไปให้เด็กที่ร้าน “ถ้ามีอะไรก็เดินขึ้นไปเรียกแล้วกัน กูขอไปเคลียร์งานด้านบนหน่อย”

“ครับ”







กว่าผมจะเคลียร์งานเอกสารพวกรายรับรายจ่ายเสร็จก็ปาเข้าไปสองทุ่มครึ่ง เวลานี้ในร้านอาหารเริ่มแน่นขนัดไปด้วยผู้คน อาจจะเป็นเพราะว่าเลยช่วงเลิกงานไปแล้วคนถึงได้หลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาด

ผมเดินยืดเส้นยืดสายไปรอบๆ ร้านหลังจากขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานมาตลอดหลายชั่วโมงพลางบีบนวดต้นคอตัวเองไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งในท่าเดิมนานๆ แต่ยังไม่ทันไรก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกมาจากทางด้านหลังให้ผมต้องหันไปมอง

“ภูผา!”

และพอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนว่าเป็นใคร หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเป็นปมในทีแรกก็คลายออก “โรส?”

“ค่ะ โรสเอง ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอผาที่นี่ ปกติไม่เห็นเคยอยู่ร้าน เจอกันทีไรก็หิ้วเด็กขึ้นโรงแรมตลอด และช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง หายหน้าหายตาไปเลยนะ” เธอพูดพร้อมกับเดินเข้ามาควงแขนผมด้วยความสนิทสนม

“เอ่อ… ช่วงนี้ผมยุ่งๆ น่ะ”

“จริงเหรอคะ ไม่ใช่ว่าผาไปติดเด็กที่ไหนหรอกเหรอ” น้ำเสียงหวานเอ่ยพูดแซวอย่างหยอกล้อ ในขณะที่ผมทำได้เพียงฝืนยกยิ้มขำออกไปเท่านั้น

โรสไม่ใช่แฟนเก่า เธอเป็นแค่คู่นอนที่ผมไปไหนมาไหนด้วยบ่อยที่สุด เมื่อก่อนผมเป็นพวกรักสนุก ใครเสนออะไรมา ผมก็สนองตอบเขาหมด ไม่เกี่ยงด้วยว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แค่มีถุงยางให้ใช้ผมก็ไม่ปฏิเสธแล้ว

แต่หลังจากที่ผมคบกับณัช พฤติกรรมการกินไม่เลือกก็หมดไป

ผมแทบจะไม่มองใคร

ไม่เอาใคร

และก็ไม่สนใจใครนอกจากไอ้เด็กนั่น

เรียกได้ว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะเลยตั้งแต่มีมันเข้ามา

ผมยืนคุยกับโรสอยู่พักใหญ่ เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น เลยถือโอกาสนี้ปลีกตัวออกไปหาที่เงียบๆ รับสาย

“ไอ้เก้อโทรมาทำไมวะ หรือว่าจะมีปัญหาเรื่องไวน์ที่ผมฝากมันไป” ผมไม่รอให้ความสงสัยติดค้างอยู่ในหัวนาน เพราะหลังจากที่กดรับสายแล้วก็กรอกเสียงพูดตามไปทันที “ว่าไง”

[เฮียผา!] อีกฝ่ายเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแตกตื่น [พี่ณัชได้บอกเฮียป่ะว่าไปทำงานที่ไหน]

“ไม่ได้บอกนะ ว่าแต่มึงมีอะไรหรือเปล่าวะ”

[ผมเจอพี่ณัชที่ร้านเฮียอ่ะ]

“ฮะ?! ร้านกูเนี่ยนะ”

[ใช่ครับ ร้านเฮียผานั่นแหละ เหมือนจะใส่ชุดพนักงานร้านด้วย]

“มึงตาฝาดหรือเปล่าไอ้เก้อ มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ”

[ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมถ่ายรูปส่งไปให้เฮียดูในไลน์ จะได้เอาให้ชัวร์เลยว่าใช่หรือเปล่า]

“เออๆ ให้ไวเลยนะมึง”

[ครับ แค่นี้ก่อนนะเฮีย]

“เออ”

พอวางสายจากลูกน้องคนสนิทไปได้ไม่นาน เสียงแจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นไลน์ก็ดังขึ้น ก่อนที่ภาพในร้านอาหารกึ่งผับของผมจะปรากฏบนหน้าจอ

ไม่ผิดแน่… ไอ้เชี่ยณัช!

แค่เห็นครึ่งหน้าผมก็จำได้แล้ว

โชคดีที่สีผมมันค่อนข้างเด่น ไม่อย่างนั้นไอ้เก้อก็คงไม่ทันสังเกตเห็นเหมือนกัน

และหลังจากเห็นภาพที่เก้อส่งมาให้ ผมก็บึ่งรถขับออกไปหาเจ้าตัวปัญหาเดี๋ยวนั้น ขนาดตอนนี้เลยช่วงหัวค่ำไปแล้ว แต่รถบนท้องถนนกลับไม่ได้บางตาลงไปเลย พลอยทำให้ผมหงุดหงิดร้อนใจเข้าไปใหญ่ที่ต้องมาเจอสภาพการจราจรแบบนี้ แล้วไหนจะเรื่องที่ตอนแรกมันบอกว่าจะไปทำงานร้านอาหาร ผมก็นึกว่าเป็นร้านอาหารธรรมดาทั่วไป แต่ที่ไหนได้นี่มันร้านอาหารกึ่งผับชัดๆ

เจอตัวเมื่อไหร่ผมจะจับฟาดก้นซะให้เข็ด โทษฐานที่ทำอะไรไม่เคยนึกถึงใจผมบ้างเลย ทั้งที่ผมเป็นห่วงมันแทบตาย และถ้าไปถึงที่นั่นเห็นใครอยู่ใกล้มันในรัศมีสิบเซน ผมเอาเลือดออกจากหัวไอ้คนที่เข้ามายุ่งย่ามกับเมียผมแน่

แต่พอไปถึงสิบเซนก็ยังดูมากไปเมื่อมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยเดินควงแขนมันมาที่ลานจอดรถ

ไอ้ห่านี่ต้องบริการไปส่งถึงที่เลยเหรอวะ

มึงจะเซอร์วิสเกินหน้าเกินตากูไปแล้ว

ผมกำพวงมาลัยแน่น กัดฟันกรอดจนสันกรามขึ้นเป็นนูน พอผู้หญิงคนนั้นขับรถหายออกไปจากสายตา ผมก็ลงจากรถไปกระชากตัวมันให้เดินตามมาที่รถของตัวเองบ้าง

“เฮ้ยย! อะไรวะเนี่ย”

ณัชร้องโวยวายเสียงดังประหนึ่งว่าถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ แต่พอมันรู้ว่าใครที่เป็นคนจับตัวมันมา ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างด้วยความตกใจแทน

คนที่ต้องตกใจควรเป็นกูไหมไอ้สัด

ถ้ากูไม่ขับรถตามมาดูจะได้เห็นเหรอว่ามึงทำตัวประเสริฐขนาดไหน

ผมโยนมันไปที่เบาะหลัง ก่อนจะตามเข้าไปนั่งด้านในติดๆ มีคำถามมากมายผุดขึ้นอยู่ในหัวเต็มไปหมด อยากจะระเบิดอารมณ์ใส่มันสักที แต่ก็ต้องระงับความกรุ่นโกรธนั้นเอาไว้

“พี่ผามาที่นี่ได้ยังไงอ่ะ แอบสะกดรอยตามณัชมาเหรอ”

“กูจะทำแบบนั้นไปทำไม ถ้ากูจะสะกดรอยตามมึงจริงๆ คงตามตั้งแต่วินาทีแรกที่มึงก้าวลงจากรถกูแล้ว”

“และพี่ผารู้ได้ไงว่าณัชทำงานอยู่ที่นี่”

“ไอ้ณัช! นี่มันร้านอาหารกู ลูกน้องก็ลูกน้องกู มึงเป็นใครวะ ทำไมไอ้พวกนั้นจะไม่รู้จัก”

“แต่ณัชย้ำกับทุกคนที่นี่แล้วนะว่าห้ามบอกพี่ผา”

ดูมันพูดเข้า

เพราะอย่างนี้สินะ เด็กที่ร้านถึงปิดปากเงียบกันหมด

มันน่าโดนตีนผมเรียงตัวจริงๆ

“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวันนี้ไอ้เก้อมาส่งของ กูก็คงไม่รู้เลยว่ามึงมาทำงานที่นี่ แถมยังมาคั่วอยู่กับผู้หญิงอีกต่างหาก”

“ณัชไม่ใช่พี่ผา อย่าเอานิสัยตัวเองมาโยนให้คนอื่น”

มันทำท่าจะเปิดประตูลงไปจากรถ แต่ผมรั้งมันเอาไว้ ก่อนจะกระชากเอวอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งบนตัก แล้วใช้ท่อนแขนแกร่งโอบรัดรอบตัวมันไม่ให้ขยับลุกไปไหน

“ผู้หญิงคนนั้นใคร” ผมถามเสียงเรียบ มันน่าจะพอจับอาการของผมได้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์อยู่

“เมื่อกี้อ่ะเหรอ”

“เออ หรือว่ามีมากกว่าเมื่อกี้อีก”

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย พี่ผาอย่ามาคิดเองเออเองได้ป่ะ”

“และตกลงมันเป็นใคร”

“พี่ผา… พูดให้มันดีๆ ดิ เขาเป็นผู้หญิงนะ”

“แล้วไง กูต้องสุภาพกับคนที่เดินจับมือถือแขนเมียกูหน้าตาระรื่นด้วยเหรอ”

“…”

“ว่าไงไอ้ณัช มันเป็นใคร”

“เพื่อน”

“เพื่อนเหรอ แล้วทำไมกูไม่เคยได้ยินมึงพูดถึงเลย”

“…ก็ไม่ได้สนิท”

“นี่คือคนที่มึงบอกว่าไม่ได้สนิทเหรอ ถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้เนี่ยนะ ถ้าสนิทกันจะขนาดไหนวะ ไม่พากันไปเอาบนรถเลยหรือไง”

“พี่ผาชักจะพูดเยอะเกินไปแล้วนะ” คนตัวเล็กทำตาดุ ผมเลยจ้องหน้ามันเขม็งกลับไป รอบนี้จะไม่ยอมใจอ่อนให้มันง่ายๆ แน่ “เออ บอกก็ได้ แฟนเก่าณัชเอง”

“แฟนเก่ามึง?” ผมถามย้ำพลางเลิกคิ้ว

“ครับ”

“แล้วแฟนเก่ามึงมาที่นี่ได้ยังไง”

“เอ้า! ณัชจะไปรู้ไหมเนี่ย ก็คงมากินข้าวกับเพื่อนเขาล่ะมั้ง”

“ไม่ใช่ว่ามึงนัดมาหรอกเหรอ”

“ตลกละ ถ้าเป็นแบบนั้นจะนัดเจอที่ร้านพี่ผาให้เสี่ยงโดนจับได้ทำไม ไปเจอที่อื่นดีกว่าเห็นๆ”

“นี่มึงคิดจะวางแผนไปเจอกันลับหลังกูใช่ไหม”

“ไม่ใช่ ณัชก็แค่สมมติ พี่ผาอย่ามาไร้สาระเพราะเรื่องแค่นี้ได้ป่ะ”

“…ก็กูไม่ชอบ”

“ไม่ชอบทีหลังก็ไม่ต้องมา จะได้ไม่ต้องเห็น”

“กูจะมา ในเมื่อที่นี่เป็นร้านของกู”

“งั้นพี่ผาก็ต้องทน เพราะเขาก็เป็นลูกค้าของณัชเหมือนกัน”

“และมันจะไม่ง่ายกว่าเหรอถ้ามึงไปทำงานที่สาขาหนึ่ง จะได้อยู่ในสายตากูด้วย”

“ไม่เอาอ่ะ” มันส่ายหน้าปฏิเสธคอแทบหลุด ไม่คิดที่จะให้โอกาสกับทางเลือกที่ผมเสนอเลย

“ทำไม”

“ให้ณัชไปทำงานกับพี่ผา วันๆ จะได้ทำหรือเปล่าเถอะ กลัวว่าจากที่ทำงานจะได้กลายเป็นที่ทำเมียมากกว่า”

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่าจะไม่ยอมใช่ไหม”

“พี่ผาก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนี่”

“ถ้าอย่างนั้นมึงก็ควรระลึกไว้ด้วยว่าร่างกายมึงเป็นของกู อย่าให้ใครมาทำรุ่มร่ามได้ง่ายๆ เข้าใจหรือเปล่า”

“…ครับ เข้าใจแล้ว” มันตอบรับทั้งที่ไม่ได้มองหน้าผมเลยสักนิด ผมจึงจัดการจับปลายคางมันให้หันมามอง ก่อนจะว่าต่อ

“ถ้ากูมาเจออีก ผู้หญิงก็ผู้หญิงเถอะ กูไม่ไว้หน้าแน่ ยิ่งแฟนเก่ามึงกูยิ่งไม่ชอบ เพราะมันเคยได้หัวใจมึงไปก่อนกู!”

ผมขึ้นเสียงดังใส่มัน บอกตามตรงว่าไม่พอใจ อาจจะดูเรื่องมาก คิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า แต่กับเรื่องนี้ผมไม่โอเคจริงๆ

ยิ่งคิดว่ามันเคยรักใคร

เคยกอดใคร

เคยเป็นของใคร

ผมก็ยิ่งหัวร้อนจนพาลให้หงุดหงิดไปหมด

“พี่ผาแม่งเด็กฉิบหายเลยว่ะ”

“เออ! กูมันเด็ก กูไม่เถียง และเด็กอย่างกูมันหวงแฟนตัวเองไม่ได้หรือไงวะ”



(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
วันนี้ณัชก็ไปทำงานที่ร้านอาหารกึ่งผับของผมอีกตามเคย ผมถึงได้นั่งทำหน้าเป็นตูดอย่างที่เห็น เพราะมันดันขู่ไว้น่ะสิว่าถ้าเจอผมโผล่หน้าไปที่นั่นเมื่อไหร่ มันจะขนข้าวขนของย้ายออกจากคอนโดฯ ผมแล้วกลับไปนอนบ้านแม่ที่ต่างจังหวัดแทน

และคนอย่างผมจะกล้าลองดีกับมันเหรอ ไอ้เด็กนี่ยิ่งพูดจริงทำจริงอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ ผมจะไม่เสี่ยงทำอะไรที่ไปขัดใจมันเด็ดขาด

เมื่อวานหลังจากที่ผมเคลียร์กับณัชเสร็จก็โทรไปหาธรรมที่เป็นผู้จัดการร้านสาขาสองต่อ

‘ไอ้ธรรม! ทำไมมึงไม่บอกกูว่าณัชไปทำงานที่นั่น’

[คุณณัชสั่งไว้ว่าห้ามบอกเฮียผาครับ]

‘มึงก็เลยทำตามที่มันบอกเหรอ นี่แสดงว่ามึงไม่ได้กลัวกูเลยสินะ’

[ไม่ใช่นะครับ ผมต้องกลัวเฮียอยู่แล้ว แต่ถ้าระหว่างเฮียผากับคุณภูธร ผมกลัวคุณภูธรมากกว่าครับ]

‘แล้วพ่อกูไปเกี่ยวอะไรด้วย’

[ก็คุณณัชพูดว่าถ้าผมบอกจะฟ้องคุณภูธรให้ไล่ผมออกนี่ครับ]

จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะโทรไปด่าลูกน้องตัวเองสักสามยกที่ไม่ยอมโทรมารายงานเรื่องณัชให้ผมฟัง กลายเป็นว่าพอได้รู้ความจริงเข้าถึงกับพูดไม่ออก

ก็ในเมื่อคนของผมแม่งแสบเอง

เอาชื่อพ่อมาขู่พนักงานว่าจะไล่ออก

แล้วใครที่ไหนมันจะไปกล้าหือ

ผมนั่งมองเข็มนาฬิกาติดข้างฝาที่เดินบอกเวลาไปเรื่อยๆ อยู่พักใหญ่ งานที่ต้องจัดการให้เสร็จภายในวันนี้ก็ทำหมดแล้ว จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ดึงสติผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ให้กลับเข้าร่าง

[ไอ้เลียงผา!] ปลายสายพูดแทรกเข้ามาด้วยชื่อที่ทำให้ผมหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมทันทีที่กดรับสาย

“อะไร ถ้ามึงจะโทรมากวนตีน กูวางสายนะ”

[เฮ้ยย! เดี๋ยวว… แค่นี้ทำโกรธไปได้]

“แล้วมึงโทรมาหากูมีธุระอะไร”

[ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะไอ้คนขี้หวง]

“เออ”

ผมตอบรับมันออกไปส่งๆ ไม่ได้สนใจคำพูดที่อีกฝ่ายแซวในตอนท้ายเท่าไหร่ คิดเพียงแต่ว่าอยากรีบคุยให้จบๆ จะได้วางสายสักที เพราะตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะคุยเล่นกับใครทั้งนั้น แต่ประโยคถัดมาของธิปกลับทำให้ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้

[เมียมึงมีผู้หญิงมาตอมว่ะ สวยด้วย]

“ฮะ?! มึงว่าไงนะ”

[เออ ฟังไม่ผิดหรอก]

“แล้วนี่มึงอยู่ไหน อย่าบอกนะว่าอยู่ร้านกู”

เรื่องที่ณัชไปทำงานร้านอาหารกึ่งผับของผมมีธิปอีกคนที่รู้เรื่องนี้ ผมเป็นคนโทรไปเล่าให้มันฟังเองแหละ ก็มันเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมสามารถพูดระบายให้ฟังได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องเกรงใจ และก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเอาเรื่องของผมไปพูดต่อให้ใครฟังด้วย

ผมกับมันรู้จักกันมานาน แถมบ้านเราสองคนก็สนิทกัน เชื่อไหมว่าไม่ผมก็มันถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิงก็คงได้หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กไปแล้ว แต่โชคดีที่ดันเสือกเกิดมาเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็เลยรอดตัวไป

[อืม กูอยู่ร้านมึง]

“ไปทำอะไรที่นั่นวะ”

[กูนัดคุยงานกับลูกค้าแถวนี้ หิวข้าวก็เลยแวะหาอะไรกิน]

“แล้วนี่มึงจะกลับหรือยัง”

[ยัง กูเพิ่งมาถึงได้สักพักเอง]

“งั้นมึงช่วยจับตาดูให้กูหน่อย อย่าให้คลาดสายตาเลยนะเว่ย อีก 20 นาทีกูไปถึง”

[พ่องมึงเถอะ จะบินมาหรือไง จากสาขาหนึ่งมาที่นี่ไม่ใช่แค่ 20 นาที ไหนจะรถติดอีก มึงก็พูดเป็นหนังการ์ตูนไปได้]

“เดี๋ยวกูขี่มอ’ไซค์ไป”

[มึงเนี่ยนะจะขี่มอ’ไซค์ นี่กูไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม]

“เออดิ”

[แต่มึงไม่ชอบขี่มอ’ไซค์ไม่ใช่หรือไงวะ]

ธิปคงแปลกใจที่อยู่ๆ ผมก็พูดเรื่องไม่น่าเป็นไปได้ออกมา ร้อยวันพันปีผมเคยคิดที่จะขี่มอ’ไซค์ที่ไหน แทบนับครั้งได้เลยมั้ง

“ก็ใช่ กูไม่ชอบ เวลาโต้ลมมันเหนียวเหนอะหนะ แต่กูไม่ชอบเวลาที่มีใครไปยุ่งกับไอ้ณัชมากกว่า”

[เหตุผลแค่นี้อ่ะนะ]

“เออ ทำไม”

[เปล๊าา งั้นรีบๆ มาแล้วกัน กูรออยู่]

“อืม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”







22 นาทีต่อมา

“มึงมาช้าไป 2 นาที” ทันทีที่เจอหน้ากัน คำทักทายแรกของมันคือการแดกดันผมทั้งทางสายตาและคำพูด

“ไอ้สัด! กูมาถึงนานแล้ว แต่ที่เกินมา 2 นาทีนั่นกูหาวิธีถอดหมวกกันน็อกอยู่เว่ย กูไม่ค่อยได้ขับมอ’ไซค์ มันก็ต้องมีหลงๆ ลืมๆ บ้างดิวะ” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไอ้ห่านี่ก็เลยลากเสียงยาวทำเป็นล้อเลียนใส่

“หราาา”

“ว่าแต่ไอ้ณัชอยู่ไหน” เอ่ยถามมันเสียงจริงจังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเพื่อตัดบทเอาดื้อๆ เพราะต้องการรีบเข้าประเด็น ไม่อยากเสียเวลานาน

“ล่าสุดเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว กูเห็นยังอยู่ในร้าน” ธิปบุ้ยหน้าไปทางด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาคุยกับผมต่อ “กูถามจริงนะไอ้ผา มึงจะตามหึงหวงน้องไปถึงเมื่อไหร่วะ จะทำแบบนี้ไปยันแก่เลยหรือไง”

“เออ ก็ว่าอยู่”

“กูประชดมึงไหมล่ะ”

“อ้าวเหรอ นี่มึงประชดกูหรอกเหรอ แต่กูพูดจริงนะ”

“เฮ้อ!” มันถึงกับส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยอ่อนพลางถอนหายใจใส่หน้าผมแรงๆ

“เอาน่าไอ้ธิป” ผมเดินไปตบบ่าเพื่อน จากนั้นก็วาดแขนไปกอดคอมัน “มึงก็รู้ว่าก่อนหน้าที่ณัชจะคบกับกู มันเคยมีแฟนมาก่อน ณัชไม่เหมือนกูนะเว่ยที่รักสนุกไปวันๆ”

“…”

“อีกอย่างกูก็แอบชอบมันมานานแล้วด้วย วันนี้กูได้มันมาอยู่ข้างกาย ไม่ใช่เก็บเอาไปฝันเปียกวันๆ กูก็ต้องหวงเป็นธรรมดาอยู่แล้วป่ะ”

“แต่มันจะไม่มากไปเหรอวะ”

“มากไปตรงไหน ถ้าเทียบกับตอนที่กูไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวมันเลยก็เจ๊ากันแล้วนี่”

“เออ ถ้าคิดอย่างนั้นก็เอาที่มึงสบายใจ กูจะพยายามเข้าใจตรรกะมึงละกัน”

ธิปว่าจบก็เร่งฝีเท้าเดินนำผมไปก่อน จังหวะที่กำลังจะผลักประตู ก้าวขาเข้าไปข้างใน ผมก็ชะงักปลายเท้าเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนคุยกันอยู่ข้างๆ ร้าน มั่นใจเกินร้อยว่าหนึ่งในสองเสียงนั้นจะต้องเป็นของเมียผมแน่ๆ

ผมจึงจัดการไล่ธิปให้กลับเข้าไปรอด้านใน สัญญากับมันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนแรกมันลังเลว่าจะเชื่อผมดีไหม แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามที่ผมร้องขอแต่โดยดี คงคิดได้ว่าผมไม่น่าจะกล้าทำอะไรให้เสื่อมเสียไปถึงชื่อร้าน

พอทางสะดวกผมก็มองหาที่ยืนอับสายตาเพื่อแอบฟังสองคนนั้นคุยกัน ดีหน่อยที่ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ผมจึงซ่อนตัวตามพุ่มไม้ที่อยู่แถวนั้น จะได้รู้กันชัดๆ ไปเลยว่าณัชคิดจะนอกใจผมจริงๆ หรือเปล่า

เพราะถ้ามันทำอย่างนั้นจริง คราวนี้ผมจะจับขังมันไว้ที่คอนโดฯ ล่ามโซ่ไม่ให้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย มันจะได้ไม่ต้องไปหว่านเสน่ห์ใส่ใคร

“ทำไมณัชเย็นชากับเราจัง เมื่อวานยังไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย”

เสียงหวานพูดตัดพ้อ แต่สำหรับผมที่ผ่านผู้หญิงมาไม่น้อย ทำไมจะดูไม่ออกว่ามันเป็นมารยาที่พวกเธอใช้ลวงผู้ชายให้ติดกับดัก

ผมเพ่งสายตาไปยังใบหน้าของผู้หญิงที่ยืนคุยอยู่กับมัน รู้สึกคุ้นเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แล้วอยู่ๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ถูกแทนที่เข้ามาในหัว

ถ้าจำไม่ผิดผู้หญิงคนนี้คือคนที่ณัชบอกว่าเป็นแฟนเก่ามันนี่หว่า

อันที่จริงผมก็พอรู้เรื่องที่ณัชเคยมีแฟนอยู่บ้าง แค่ไม่ได้ใส่ใจว่าคนคนนั้นเป็นใคร เพราะรู้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา มีแต่จะพาลให้อิจฉาและหงุดหงิดเสียเปล่าๆ ผมก็เลยเลี่ยงที่จะรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอด จนเมื่อวานที่มันบอกนั่นแหละ ถึงได้รู้เดี๋ยวนั้นว่าแฟนเก่ามันโคตรสวยไม่ใช่เล่น

“เอ่อ…” คนของผมอึกอักตอนที่ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนถาม

“หรือว่าณัชมีแฟนใหม่แล้ว กลัวเขาจะรู้เหรอว่าเรามาเจอกัน”

เออดิ กูนี่แหละแฟนมัน และก็ไม่ต้องกลัวว่าจะรู้หรอก เพราะตอนนี้ก็เห็นอยู่ตำตา

ผมอยากตะโกนประโยคนี้ออกไปใจจะขาด แต่ก็ต้องรูดซิปปิดปากให้เงียบสนิท

“อืม” ณัชรับคำในลำคอ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ

“และถ้าเราบอกว่าเรายังลืมณัชไม่ได้ล่ะ”

“!!!”

“จะเป็นอะไรไหมถ้าเกิดเราขอให้ณัชเลิกกับแฟน แล้วกลับมาคบกับเราเหมือนเดิม เราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีณัชนะ” แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะฟังดูเว้าวอน แต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านทางดวงตากลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

อยู่ดีๆ จะมาขอกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอวะ

ไม่ใช่ของซื้อของขายนะที่จะได้จ่ายเงินมาแล้วจบไปอ่ะ

“…ฝัน” มันเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นด้วยเสียงเบาหวิว ยิ่งอีกฝ่ายเคยเป็นคนที่มันรัก มันก็คงจะสับสนกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ เพราะขนาดผมเองก็ยังรู้สึกแบบเดียวกันไม่ต่างเลย “ณัชว่า…”

แต่ยังไม่ทันที่ณัชจะได้พูดอะไร ฝันก็ตรงเข้าไปประกบปากจูบมันอย่างรวดเร็วโดยที่คนถูกจู่โจมยังไม่ได้ตั้งตัว

เสี้ยววินาทีที่ภาพตรงหน้าสะท้อนเข้ามาในดวงตา ผมอยากจะเดินไปกระชากตัวมันออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียงยืนกำหมัดแน่น สะกดกลั้นอารมณ์ที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อเอาไว้ เพราะอีกใจหนึ่งผมก็ยังอยากรอดูท่าทีของณัชว่ามันจะเอายังไงต่อ

“พอเถอะฝัน”

ณัชผละออกจากอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง คงกลัวผู้หญิงคนนั้นจะได้รับบาดเจ็บไปด้วยถ้าหากว่าขืนตัวออกมาแรงๆ

“นี่ณัชกล้าปฏิเสธเราเหรอ?!”

เธอเลือดขึ้นหน้า ส่งเสียงดังแวดๆ ใส่ณัชด้วยความไม่พอใจเมื่อมันยังยืนกรานที่จะไม่สานความสัมพันธ์กับเธอ

“เรื่องของเรามันจบไปนานแล้วฝัน” ณัชบอกเสียงหนักแน่น ไม่มีความลังเลใดๆ ในคำพูด “ณัชดีใจนะที่เคยได้อยู่ในโลกของฝัน เคยเป็นคนที่ฝันรัก และเป็นคนที่รักฝัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ณัชมีโลกของณัช โลกที่ณัชอยู่กับเขาโดยไม่จำเป็นต้องมีฝัน”

“…”

“…ฝันเข้าใจณัชใช่ไหม”

“ไม่เข้าใจ! นี่เราอุตส่าห์ลดตัวลงมาขอคืนดีด้วยนะ ยังทำเป็นหยิ่งอีก”

และแทนที่เรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดี เธอกลับตะคอกเสียงดังใส่หน้าณัชอย่างเข่นเขี้ยว เห็นแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าไม่ได้รักมันจริง แค่ต้องการอยากเอาชนะเพื่อความสะใจเฉยๆ คงเห็นว่าณัชมีความสุขดี ไม่ได้ฟูมฟายหรือพร่ำเพ้อถึงตัวเองก็เลยรู้สึกแพ้ขึ้นมาสินะ

“งั้นถ้าเธอต้องฝืนลดตัวลงมาหามันขนาดนั้นก็ไม่ต้อง เหนื่อยเปล่า ใช้ชีวิตอยู่ในที่ของเธอต่อไปเถอะ แล้วเดี๋ยวเราจะเป็นคนปืนขึ้นไปหามันเอง เพราะที่ผ่านมาเราก็เป็นฝ่ายเฝ้ามองมันมาโดยตลอดอยู่แล้ว”

“ไอ้พี่ผา…” ณัชร้องเรียกชื่อผมเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ผมก็โผล่หน้าออกไปกลางวงสนทนาที่ไม่ได้รับเชิญ

ตอนแรกผมว่าจะไม่เข้าไปยุ่ง รอดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ และปล่อยให้มันจัดการกับอดีตคนรักเอาเอง แต่ท้ายที่สุดก็กลายเป็นผมที่ทนอยู่เฉยไม่ไหว เมื่อได้ยินคำพูดคำจาของผู้หญิงคนนั้น

“กลับบ้านกัน พี่มารับ”

ณัชยังไม่ทันตอบตกลงด้วยซ้ำ ผมก็เดินเข้าไปจูงมือมันออกมาอย่างถือวิสาสะ ไม่ได้แคร์สายตาคนชื่อทอฝันเลยสักนิด ณัชเองก็ไม่ได้สลัดมือผมทิ้งเหมือนทุกทีเวลาที่ผมทำอะไรถึงเนื้อถึงตัวต่อหน้าคนอื่น มันยอมให้ผมจับอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเดินมาถึงรถ ไม่นานผมก็พามันขึ้นซ้อนท้ายมอ’ไซค์ก่อนจะขับออกไป

ส่วนธิปที่ผมปล่อยทิ้งไว้ให้รออยู่ด้านในร้านก็ค่อยตามไปเคลียร์กับมันทีหลัง บอกเหตุผลให้มันฟังยังไงก็เข้าใจ ตอนนี้ก็ได้แต่ส่งข้อความไลน์บอกมันให้กลับบ้านไปได้เลย ไม่ต้องรอ







ผมขี่มอ’ไซค์มาเรื่อยๆ ก่อนจะเลียบเข้าข้างทางไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริเวณนี้จะไร้ผู้คนพลุกพล่าน ณัชมองหน้าผมนิ่งเมื่ออยู่ๆ ผมก็จอดรถ มีเพียงแสงไฟถนนส่องมาให้พอเห็นรางๆ เท่านั้น

“ขับเข้ามาในที่เปลี่ยวๆ ทำไม ณัชไม่ชอบเอาท์ดอร์นะบอกไว้ก่อนเลย”

“พ่องมึง ถึงกูจะกาม แต่กูก็เลือกสถานที่นะเว่ย” ผมด่ามันแทนคำตอบพร้อมกับลงจากรถมอ’ไซค์ ณัชก็เลยขยับตัวลงตามมา

“ว่าแต่วันนี้พี่ผาไม่องค์ลงเหรอครับ”

“องค์ลงเรื่องอะไร”

“…ก็เห็นณัชอยู่กับผู้หญิงไง”

“ไม่อ่ะ”

“แปลกคน” มันว่าพลางขมวดคิ้ว ผมจึงอาศัยจังหวะนี้ยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บปากมันเบาๆ หนึ่งทีอย่างรวดเร็ว ณัชผงะหลังไปเล็กน้อย รีบมองซ้ายขวาโดยอัตโนมัติ เพราะอยู่ๆ ผมก็จู่โจมมัน คงกลัวว่าจะมีคนมาเห็นเข้า ทั้งที่เวลานี้คงไม่มีใครเดินเข้ามาในที่เปลี่ยวๆ หรอก และเมื่อเห็นว่าไม่มีใคร มันก็เลยไม่ได้ต่อว่าผมที่ทำอะไรตามอำเภอใจตัวเอง “เป็นอะไรของพี่ผาเนี่ย”

“…”

ผมโคลงหัว ไม่มีแม้แต่ถ้อยคำใดๆ นอกจากริมฝีปากที่ยังอมยิ้มน้อยใหญ่ไม่เลิก ก่อนที่สองฝ่ามือจะค่อยๆ ประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้แล้วเริ่มจูบมันใหม่ด้วยความเต็มรักอีกรอบ เพราะคราวนี้ผมใช้ลิ้นควานลึกลงไปซึ่งต่างจากครั้งแรก

ณัชไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้ผมช่วงชิงความหวานอยู่แบบนั้นจนพอใจ และก็เป็นผมเองที่ถอนริมฝีปากออกจากมันก่อนอย่างอ่อยอิง

“ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย” เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นเป็นปม เหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ

ผมส่ายหน้าก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม “ขอบคุณนะมึง”

“ขอบคุณเรื่องอะไร”

“ขอบคุณที่มึงยอมให้กูเข้าไปอยู่ในโลกของมึงไง”

“พะ…พี่ผาได้ยินเหรอ”

คนถามถึงกับพูดติดอ่าง เมื่อผมดันไปได้ยินบทสนทนาที่ชวนเลี่ยนหู แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นประโยคที่โคตรดีสุดๆ เลย

“อืม กูได้ยิน ขอบคุณที่มึงเลือกกู แม้ว่ากูจะขี้หวงไปหน่อย”

“เหรอ แต่ณัชว่าไม่หน่อยแล้วนะ” คนตัวเล็กยิ้มขำ “และนี่นึกยังไงถึงขี่มอ’ไซค์ของที่ร้านมาครับ ไหนพี่ผาเคยบอกณัชว่าไม่ชอบขี่มอ’ไซค์”

“ก็ไม่ชอบนั่นแหละ แต่ถ้าขับรถยนต์มาป่านนี้กูคงติดไฟแดงที่ไหนสักแห่งอยู่เลยมั้ง”

“หึ รีบมากหรือไง” ณัชถามแซวๆ

“เออ กูรีบ กลัวเมียโดนใครที่ไหนก็ไม่รู้หิ้วไป”

“พี่ผาก็พูดเว่อร์” มันผลักหน้าอกผมให้ถอยห่าง ก่อนจะช้อนตามองตอนที่เอื้อมมือออกมาลูบๆ คลำๆ ลูกชายของผมเหมือนอยากจะกลั่นแกล้งปลุกปั่นอารมณ์เล่น

เอาจริงๆ มันก็เริ่มมีปฏิกิริยาตั้งแต่ตอนที่ณัชพูดคำว่าเอาท์ดอร์แล้วล่ะ แต่ที่ผมแสร้งทำนิ่งหน้าตาย เพราะไม่อยากให้ไก่ตื่นต่างหาก “ไหนบอกว่าถึงจะกามแต่ก็เลือกสถานที่ไง แค่นี้ตื่นตัวซะแล้วเหรอ และนี่จะขี่กลับไหวไหมเนี่ย อยากไปชักในพุ่มไม้ก่อนหรือเปล่า”

“ไม่ดีกว่า รอทำบนเตียงทีเดียวเลย แต่ถ้าขืนมึงยังจับไม่เลิกก็ไม่แน่”

ผมบอกยิ้มๆ ณัชเลยชักมือกลับออกไปอย่างไว มันหันหน้าหนีแล้วรีบปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน เห็นมันทำตัวประหม่า ไม่สมกับเป็นตัวเอง ผมก็อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ ก่อนจะขี่รถพาณัชรับลมเย็นๆ กลับคอนโดฯ

นี่คงเป็นครั้งแรกสินะที่มันซ้อนท้ายมอ’ไซค์ผม

แปลกดี…

เหมือนได้เปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบ

และมันก็ทำให้ผมรู้ว่าการขี่มอ’ไซค์ก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะมันทำให้เราตัวติดกันมากกว่าตอนนั่งเบาะใครเบาะมันบนรถยนต์เสียอีก

ผมว่าต่อไปคงต้องหัดขี่มอไซค์บ่อยๆ แล้วล่ะ



※※※


แฮชแท็ก #หวงณัช

มาแปะ หวงณัช #2 แล้วค่าา พี่ผาก็จะนิสัยขี้หวงหน่อยๆ ช่วง 3 ตอนแรกอาจจะต้องหมั่นไส้พี่ผากันไปก่อนนะคะ แต่หลังจากตอนที่ 4 ก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้สงสารพี่ผาขึ้นมาบ้างแล้วล่ะค่ะ แล้วเจอกัน หวงณัช #3 นะคะ


หวงมาก...กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :hao3: :hao3: :hao3:
►► พี่ผายังหวงได้มากกว่านี้อีกค่ะ ฮี่ๆๆ

ฮ่าๆๆ พี่ผาคนหวงเมีย 2018 จริงๆว่ะ  :hao7:
เราสงสัยอะ ว่าพี่ธิปหายไปไหน รายนั้นตัวตั้งตัวตีมาเที่ยวสงกรานต์เลยนิ  :laugh:  55555555555555
►► พี่ธิปก็เล่นน้ำอยู่แถวนั้นค่ะ เพียงแค่เราไม่ได้กล่าวถึง อยากโฟกัสแค่พี่ผากับน้องณัชมากกว่า แต่เพื่อความไม่งง เราได้เพิ่มบทให้พี่ธิปแล้วนะคะ จะได้ไม่รู้สึกว่าพี่ธิปหายไปเลย เดี๋ยวฮีน้อยใจ แฮ่ๆๆ ขอบคุณมากเลยนะคะ

ช่องทางการติดต่อ Twitter @THEROMARKTIC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2018 14:10:07 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
555555555555 โอ้ยย นี่แอบทีมพี่ธิปเบาๆค่ะ หายไปก็คิดถึง แต่ตอนนี้หายละ อยากให้พี่ธิปไม่เหงาอะ
รบกวนช่วยหาแฟนใหพี่ธิปซักคนได้ไหมคะ  :hao7:
พี่ผาคือหวงเมียจีงงงงง แต่ตอนนี้แอบน่ารักมีความใจเย็นและส่องว่าเมียจะเอาตัวรอดจากแฟนเก่ายังไง ตอนออกไปช่วยน้องคือแบบ โอ๊ย พระเอกของเลา หล่อขึ้นไปอีกเด้อ  :-[  รอตอนต่อไปนะคะะะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ดีนะที่เคลียร์กันได้..รอตอนต่อไป   :hao3:

ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
หวงณัช #3
เอาคืนเขาแล้วทำไมเราจบลงที่เตียง


 

Natchon’s Part

“พี่ผา”

“…”

ผมเรียกชื่อคนอายุมากกว่าจากภายในห้องนอนด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ ในขณะที่สองมือก็สาละวนค้นหาของไปทั่ว ก้มๆ เงยๆ ตามซอกนั้นซอกนี้ไม่หยุด แต่ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะส่งเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด จนผมชักเริ่มรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป เลยตัดสินใจละจากสิ่งที่ทำตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วชะเง้อคอมองหาคนดังกล่าวไปทั่วพลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยว่าพี่ผาหายไปไหนตั้งแต่เช้า

หรือว่ากำลังอาบน้ำอยู่

“พี่ผา!” ผมปรับเสียงให้ดังขึ้น เมื่อยังไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากเขา และพอเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมขานตอบสักที ทำให้คำนำหน้าชื่อที่เคยแสนสุภาพถูกเพิ่มเติมเข้ามาด้วยถ้อยคำที่ไม่ค่อยรื่นหูนัก “ไอ้เชี่ยพี่ผา!”

ผมยืนเท้าสะเอวอย่างโมโห สูดลมหายใจเข้าปอดลึกราวกับจะสูบเอาห้องทั้งห้องลงไปด้วย และดูเหมือนว่าคราวนี้จะได้ผลดีเกินคาด เมื่อใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ผมตามหาอยู่ชะโงกหน้าออกมาจากบานประตูห้องน้ำ

“ว่าไง ตื่นแล้วเหรอ”

“ตื่นแล้ว พี่ผามัวทำอะไรอยู่เนี่ย เรียกตั้งนานไม่ตอบ ชักว่าวหรือไง”

“อาบน้ำไหมล่ะมึง อีกอย่างกูจะชักเองทำไม มีเมียก็ให้เมียช่วยดิวะ” พูดหน้าด้านๆ ได้ไม่อายจนผมต้องกลอกตาหนี ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องจะถาม คงไม่มายืนให้เขากวนตีนใส่อยู่อย่างนี้หรอก “แล้วมึงเรียกกูมีอะไรหรือเปล่า”

“หูฟังที่พี่ผายืมณัชไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเก็บไว้ไหนครับ”

“หูฟังเหรอ” พี่ผาทวนคำถามพลางทำหน้านึก

“ครับ”

“หัวเตียงมั้ง มึงลองหาดู”

“หาแล้วแต่ไม่เจอ”

“โต๊ะหน้ากระจกล่ะมีไหม”

“ไม่มีอ่ะพี่ผา”

“ถ้าอย่างนั้นมึงรอแป๊บ…”

ปัง!

ถามความยังไม่ทันรู้เรื่องพี่ผาก็ผลักประตูห้องน้ำปิดดังโครมใหญ่ คงเข้าไปจัดการทำธุระส่วนตัวต่อให้เสร็จ ทิ้งให้ผมยืนเอ๋อ มองบานประตูที่ปิดสนิท กว่าจะรู้สึกตัวเสียงน้ำไหลจากอีกฟากหนึ่งก็ดังขึ้น

“อะไรของพี่ผาวะ ยังคุยกันไม่เข้าใจเลย มาปิดประตูใส่หน้าณัชแบบนี้ได้ไง”

ผมเดินตึงตังไปหน้าห้องน้ำ ตะโกนคุยกับอีกฝ่ายปาวๆ ข้ามผนัง แต่พอเห็นว่าคนข้างในแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน สองฝ่ามือก็เลยกระหน่ำรัวไปที่บานประตูระบายความหงุดหงิดออกมา

ปัง! ปัง! ปัง!

“โอ๊ยย! ไอ้เชี่ยณัช มึงจะทุบทำห่าไรเนี่ย หรืออยากจะเข้ามาอาบน้ำกับกู” พี่ผาพูดถามเสียงเข้มหลังจากที่ปิดปากเงียบไม่ยอมตอบไปพัก

“ใช่ที่ไหนเล่า ณัชจะตามมาด่าพี่ผาต่างหาก และตกลงหูฟังณัชอยู่ไหน”

“รอให้กูอาบน้ำเสร็จก่อนไม่ได้หรือไง เดี๋ยวออกไปช่วยหา มึงจะรีบอะไรขนาดนั้น”

“และระหว่างนี้บอกมาสักที่ก่อนไม่ได้เหรอ ณัชจะได้หาไปพลางๆ มันเสียเวลา”

“งั้นในลิ้นชักดูหมดยัง”

พอพี่ผาว่ามาอย่างนั้น ผมก็เลยลองไปค้นตามที่เขาบอก เปิดทุกลิ้นชักที่คาดว่าเขาน่าจะเผลอเอาไปใส่ไว้แล้วก็ลืม แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สักพักเสียงน้ำจากฝักบัวที่เคยทำงานอยู่ก็หยุดไหล ตามมาด้วยเสียงกุกกักตรงกลอนประตู

ผมหันขวับไปมองยังทิศนั้น ทันทีที่บานไม้เปิดออกก็เผยให้เห็นแผงอกเปลือยเปล่าที่มีหยดน้ำเกาะพราวตามตัว บอกให้รู้ว่าคนตรงหน้าคงเสร็จสิ้นภารกิจในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ส่วนท่อนล่างก็มีเพียงผ้าขนหนูสีน้ำเงินผืนหนาพันรอบเอวไว้อย่างหลวมๆ จนมันร่นต่ำลงมาเผยให้เห็นวีเชฟของพี่ผาชัดเจน

“เป็นไง หาเจอไหม”

“ไม่เจออ่ะ” ผมส่ายหน้าประกอบ

“กระเป๋าล่ะ หายัง”

“กระเป๋าไหนครับ”

“ใบนั้นไง”

ร่างสูงที่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสักชิ้นกำลังยืนเช็ดหัวหูตัวเองที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำอยู่ตรงบริเวณพรมเช็ดเท้าพลางใช้มืออีกข้างชี้ไปบนโต๊ะทำงานเพื่อบอกตำแหน่งกระเป๋าใบนั้นให้ผม ไม่แสดงอาการเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ทั้งสิ้น ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ผมตามหาไม่ใช่ของสำคัญอะไรสำหรับเขา

“ถ้าใบนั้นณัชหาก่อนที่พี่ผาจะบอกว่าอยู่บนหัวเตียงซะอีก”

“แล้วไม่มีหรือไง”

“อื้อ ไม่มี”

“ถ้าในกระเป๋าไม่มี ในลิ้นชักไม่เจอ หัวเตียงไม่เห็น สงสัย…”

“สงสัยที่ไหนอีกครับ”

“…สงสัยว่ามันคงหายไปแล้วว่ะ”

พี่ผาตอบเสียงราบเรียบ ริมฝีปากหยักยกยิ้มแหย ไม่บ่งบอกความรู้สึกเสียใจสักนิด ต่างจากผมในตอนนี้ลิบลับที่เอาแต่เบิกตากว้างแทบถลนด้วยความตกใจปนไม่เชื่อหู

“เฮ้ยย! หายได้ไง”

“กูคงไปลืมทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งเนี่ยแหละ”

“ทำไมพี่ผาพูดจาหมาๆ แบบนี้วะ ควรจะแสดงความรับผิดชอบออกมาไหม”

“จะให้กูรับผิดชอบอะไร แค่ทำหูฟังหาย ไม่ได้ทำมึงท้องสักหน่อย”

“ไอ้เชี่ยพี่ผา! อย่ามาเล่นลิ้นกับณัชนะ”

พอคนอายุมากกว่าพูดสวนกลับมาแบบขอไปที อารมณ์ของผมที่มันคุกรุ่นอยู่แล้วก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนเกือบจะทะลุปรอทแตก

“เอาน่า เดี๋ยวกูซื้ออันใหม่ใช้คืนให้”

“ไม่ได้! ณัชจะเอาอันนั้น พี่ผาไปหามาคืนณัชเดี๋ยวนี้เลย”

“อะไรวะ แค่หูฟังหาย ซื้อใหม่ก็จบแล้วป่ะ มึงอยากได้สักกี่อันล่ะ สิบอันพอไหม หูก็มีแค่สองรู หรือมึงจะใส่รูอื่นด้วย”

“ตลกมากเหรอพี่ผา” ผมถามเสียงเย็น เมื่ออีกฝ่ายพูดเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา

“กูไม่ได้ตลก”

“งั้นก็ไปหาหูฟังอันนั้นมาให้เจอ”

“มึงอย่ามาเรื่องมากเพราะแค่นี้ได้ป่ะไอ้ณัช”

“ณัชไม่ได้เรื่องมาก แต่พี่ผานั่นแหละที่ทำให้มันเป็นเรื่อง รักษาของไม่เป็นหรือไง”

“ถ้ากูรักษาไม่เป็น จะรักษามึงมาได้จนถึงทุกวันนี้เหรอ”

“แสดงว่าที่ผ่านมาพี่ผาเห็นณัชเป็นสิ่งของ?”

“ไปกันใหญ่แล้ว กูแค่เปรียบเทียบเฉยๆ”

“ไม่รู้แหละ ยังไงพี่ผาก็ต้องไปหาคืนมาให้ณัช”

“ทำไมมึงอยากได้คืนขนาดนั้นวะ แฟนเก่าซื้อให้หรือไง”

“แฟนเก่าเชี่ยอะไร”

“งั้นแล้วใครซื้อให้ หูฟังราคาแพงขนาดนั้น มึงคงไม่ลงทุนซื้อเองหรอก”

“ปู่รหัส”

“ปู่รหัสเนี่ยนะ” พี่ผาเลิกคิ้ว สงสัยคำตอบของผมคงผิดคาดไปจากที่เขาคิดไว้ “สนิทกันหรือไง พี่รหัสก็ไม่ใช่”

“สนิท สายรหัสณัชสนิทกันทุกคนนั่นแหละ”

“แล้วมันสำคัญกับมึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ครับ สำคัญ”

“เท่ากูไหม”

“และมันเกี่ยวอะไรกับพี่ผาวะ”

“ตอบกูมา” เสียงเข้มคาดคั้นเอาความ

“ก็ไม่เท่า”

“งั้นมึงจะตีโพยตีพายไปทำไม กูที่สำคัญกว่าเดี๋ยวหาซื้ออันใหม่แบบลิมิเต็ดมาให้มึงเลย”

“เฮ้อ! ณัชรู้ว่าพี่ผารวย แต่มันใช่วิธีการแก้ปัญหาเหรอ นั่นมันเป็นของขวัญวันเกิดที่ณัชได้จากเขานะ”

“แล้วไง”

“ไม่แล้วไง แต่พี่ผาต้องไปหาให้เจอ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาคุยกัน!”

ผมขู่คนตรงหน้า แววตาสะท้อนความจริงจังตอนที่ยื่นคำขาด ก่อนจะเดินปึงปังออกไปนอกห้อง โดยไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าสตางค์ติดมือมาด้วย พอออกจากลิฟต์มาได้ก็หยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาต่อสายไปยังหมายเลขปลายทางของเพื่อนสนิทที่นึกถึงอยู่ในขณะนี้

“ไอ้เปอร์… มึงอยู่ไหน”

.

.

.

“โอเค เดี๋ยวกูไปหา”





 

หลังจากโทรถามเปอร์ว่าอยู่ไหน ผมก็นั่งแท็กซี่ไปหาอีกฝ่ายตามที่มันบอก ในระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ พี่ผาก็โทรตามยิก แถมยังส่งข้อความไลน์มาบอกแกมออกคำสั่งอีกด้วยว่าให้ผมรับโทรศัพท์เขาหน่อย

แล้วคิดเหรอว่าผมจะยอมทำตามที่เขาบอก

ฝันไปเถอะ

เพิ่งทะเลาะกันไปหยกๆ

ผมก็เลยแกล้งอ่านไม่ตอบ ฝ่ายนั้นคงจะรู้ตัวว่าตื๊อไปก็เปล่าประโยชน์ เลยหยุดโทรตั้งแต่ยอดมิสคอลแตะที่ยี่สิบกว่าๆ

จนกระทั่งรถแท็กซี่มาส่งผมถึงที่หมาย หลังจากจ่ายเงินและขอบคุณลุงคนขับเสร็จ ผมก็มองทะลุเข้าไปตรงกระจกล็อบบี้คอนโดฯ เห็นเปอร์นั่งอยู่ท่ามกลางถุงของใช้ที่คาดว่ามันน่าจะซื้อมาจากซูเปอร์ฯ ใกล้ๆ แถวนี้

“มึงซื้ออะไรเยอะแยะ หนักฉิบหาย”

ผมบ่นตอนที่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามัน สองมือหยิบจับถุงพลาสติกขนาดใบเล็กใหญ่มาถือไว้ตามที่มันสั่ง

“เออน่า อย่าบ่นนักเลย มีหน้าที่ช่วยถือก็ถือไป” เปอร์ว่าพลางเดินนำผมไปที่ลิฟต์ หอบหิ้วถุงของใช้พะรุงพะรังไม่ต่างกัน

สรุปคือผมมาหามันเพื่อให้โดนใช้แรงงานใช่ไหมเนี่ย

ถึงว่าตอนที่โทรไปมันเอาแต่เร่งผมให้ออกมาไวๆ ไม่หยุด

เพราะแบบนี้เองสินะ

เลวจริงๆ

และทันทีที่เพื่อนตัวดีไขประตูห้องคอนโดฯ ผมก็เบี่ยงตัว ถือวิสาสะเดินเข้าไปข้างในก่อน วางทุกสิ่งทุกอย่างที่ถือมาตลอดทางกองไว้กับพื้น แล้วถลาตัวกระโดดขึ้นโซฟาเบาะนุ่มๆ ด้วยความไวแสง

“เปอร์…”

เรียกมันที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บถุงของใช้ที่ผมวางระเกะเกะกะไว้กลางห้องด้วยน้ำเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ

“อะไร”

“นวดไหล่ให้กูหน่อย กูถือของให้มึงจนเมื่อยไปหมดแล้วเนี่ย”

“อย่ามาสำออยไอ้ณัช แค่ 17 ชั้น ลิฟต์ก็ใช้ ไม่ได้ปล่อยให้เดินขึ้นทางบันไดหนีไฟสักหน่อย”

“แค่อะไร หลายชั้นขนาดนี้ต้องใช้คำว่าตั้งแล้ว และถึงจะใช้ลิฟต์ แต่ยังไงกูก็เป็นคนขนของขึ้นมาให้มึง เพราะฉะนั้นมานวดให้กูหน่อยไม่ได้เหรอ” ผมใส่ลูกอ้อนเพิ่มเข้าไปในน้ำเสียง หวังว่าคราวนี้มันจะยอมใจอ่อน แต่เปล่าเลย

“ไม่ต้องมางอแง เห็นไหมเนี่ยว่ากูกำลังทำอะไรอยู่”

“มึงก็ละมานวดให้กูก่อนไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้ นอกเสียจากว่ามึงจะยอมมาเป็นเมียกูก่อน แล้วกูสัญญาว่าจะทำให้หมดทุกอย่างเลย ถ้าเคี้ยวข้าวแทนให้ได้กูก็จะทำ”

“…” ผมส่ายหน้าเหม็นเบื่อให้กับคำพูดหาสาระไม่ได้ของเปอร์พลางกลอกตามองบนใส่มันสิบตลบ

“ทำหน้าแบบนี้คือยังไงไอ้ณัช ตกลงใช่ไหม”

“ตกลงพ่องมึงเถอะ รำคาญโว่ย และก็ไม่ต้องมานวดละ กูหายปวดแล้ว” เพราะมันทำท่าจะลุกเดินมาหาผมที่นอนแผ่หราอยู่บนโซฟา ผมเลยต้องรีบยกมือยกตีนขึ้นมาเพื่อห้ามไว้

“อะไรวะ กูพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็คลายเส้นให้มึงได้แล้วเหรอ ฝีปากกูนี่เจ๋งสาดดด!”

“พอเลยๆ ใช่เรื่องมาอวดไหมเนี่ย”

“กูก็แค่พูดขำๆ มึงจะทำหน้าจริงจังไปทำไมวะ ว่าแต่มึงมาหากูมีเรื่องไร”

“เออว่ะ มัวแต่ด่ามึง ลืมไปสนิทเลย” พอนึงถึงจุดประสงค์ที่มาหาเปอร์ได้ผมก็ผุดลุกขึ้นนั่ง สองแขนกอดหมอนอิงแล้วสรุปใจความสั้นๆ ให้มันฟัง “พี่ผาทำหูฟังกูหายว่ะ”

“หูฟัง?”

“อืม”

“ใช่หูฟังสีดำที่มึงได้มาจากพี่อิชย์เมื่อปีก่อนหรือเปล่า”

“เออ อันนั้นแหละ”

“เฮ้ยย! มึงยังเก็บไว้อยู่อีกเหรอ”

สีหน้าเปอร์ตอนที่ถามฉาบไปด้วยความประหลาดใจไม่น้อย ก็หูฟังมันไม่ได้ราคาถูกๆ แถมยังเป็นรุ่นที่ผมอยากได้มาตั้งนานแล้ว พอมีคนซื้อให้ ไม่ต้องเสียเงินซื้อเองสักบาท ผมจะทิ้งทำซากให้เสียดายของเล่นทำไม

และมันก็คงไปสะกิดต่อมความสงสัยของเปอร์เข้า เพื่อนเวรก็เลยละจากของใช้ที่ถืออยู่เต็มมือ เดินตรงเข้ามานั่งบนโซฟาเดี่ยวตัวข้างๆ ผม พร้อมส่งสายตาจ้องจับผิดมากดดัน

ทีเรื่องแบบนี้นะไวเชียว

ตอนใช้ให้นวดไหล่ทำเป็นอิดออด

ขี้เสือกจริงๆ เลย

“เออดิ”

“เหยดเข้”

“เหยดเข้อะไรของมึง นี่กูกำลังหงุดหงิดอยู่นะ ทำผิดแล้วไม่ขอโทษกูสักคำ ทั้งที่กูกำชับเป็นร้อยรอบว่าให้เก็บรักษาดีๆ เสือกมาทำของกูหายซะงั้น” ได้ทีผมก็บ่นพี่ผายาวเหยียด

“มึงหาดีแล้วใช่ไหม”

“ดีแล้ว ไม่เจอสักที่ กูไม่น่าให้พี่ผายืมเลยว่ะ แม่งเอ๊ย!”

“เอาน่าไอ้ณัช ใจเย็นๆ ก่อน มึงจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งให้ได้อะไรขึ้นมาเนี่ย” เปอร์คงจับอาการหงุดหงิดของผมได้ มันก็เลยยกมือขึ้นมาตบไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบ

ผมรู้จักเปอร์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น มันเป็นความบังเอิญที่โคตรน่าเหลือเชื่อ เมื่อชื่อพวกเราดันออกเสียงเหมือนกันแต่เขียนไม่เหมือนกัน

ผม ‘ณัชชนม์’

ส่วนเปอร์ ‘ณัฐชล’

เวลาอาจารย์เรียกชื่อก็จะเผลอขานรับออกมาพร้อมๆ กัน เพราะไม่รู้ว่าเรียกคนไหนกันแน่ และที่พีคยิ่งกว่านั้นคือตำแหน่งการนั่งเรียนในห้องจะเรียงตามลำดับชื่อพยัญชนะในภาษาไทย ซึ่งเราทั้งคู่ที่ชื่อขึ้นต้นด้วย ‘ณ’ ก็จะได้นั่งติดๆ กันตลอด จึงทำให้หลังจากวันนั้นเราสองคนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างที่เห็น

ต่างจากพี่ผาที่ผมรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ที่มันพัฒนาไปถึงขั้นคบหาดูใจในฐานะแฟน เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ 5 เดือนที่แล้วนี่เอง

และก็อย่าเพิ่งถามผมเลยว่าไปตกลงปลงใจกันได้ยังไง เอาไว้เมื่อถึงเวลาทุกคนก็น่าจะได้รู้เอง เพราะเหตุการณ์วันนั้นมันไม่ค่อยน่าอวดให้โลกรู้สักเท่าไหร่

“เย็นเชี่ยอะไร นี่กูร้อนจนจะพ่นไฟได้อยู่แล้ว”

“แต่ถ้าของมันหาย ต่อให้มึงคร่ำครวญยังไง มันก็ไม่กลับมาแล้วป่ะ”

“เออ กูรู้ แต่ขอให้กูได้ฟูมฟายเสียใจบ้างไม่ได้หรือไง”

“งั้นกูขอถามมึงตรงๆ นะ ถ้าหูฟังอันนั้นไม่ใช่ของพี่อิชย์ มึงจะมาทำหน้าบึ้งตึงใส่กูแบบนี้ไหม”

“ก็…” ผมลากเสียงยางอย่างใช้ความคิด “…ต้องดิวะ ของแพงนะเว่ย”

“อ๋อเหรอ แต่กูว่าไม่เกี่ยวกับของแพงหรือไม่แพงมั้ง น่าจะเกี่ยวที่คนซื้อให้มากกว่า”

“แล้วมึงจะมาไล่บี้ถามกูให้จนตรอกทำไมเนี่ย”

ครั้งแรกที่ผมรู้จักพี่อิชย์เพราะว่าเขาเป็นถึงอดีตประธานนักศึกษา เนื่องจากมหาวิทยาลัยของผมจะให้สิทธิ์เฉพาะเด็กปี 3 เท่านั้นที่จะสามารถลงสมัครพรรคได้ และตอนที่ผมเข้าเรียนปี 1 พี่อิชย์ก็อยู่ปี 4 พอดี แต่ด้วยธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เขาเลยต้องแวะเวียนมาให้คำปรึกษากับสภานักศึกษาชุดปัจจุบันเวลาที่ต้องจัดกิจกรรมใหญ่ๆ ผมถึงได้เห็นหน้าค่าตาเขาออกสื่อมหาวิทยาลัยอยู่บ่อยๆ

พี่อิชย์เป็นคนเก่ง หน้าตาก็ดี แถมบ้านยังรวยอีกต่างหาก ไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะโคจรเข้ามาใกล้ผมแน่ๆ จนกระทั่งวันที่พี่หลิน พี่รหัสสาวสวยของผมนัดกินเลี้ยงสายรหัสกัน ผมถึงได้รู้เดี๋ยวนั้นว่าพี่อิชย์เป็นปู่รหัสผมเอง

ที่ผ่านมาผมรู้จักพี่อิชย์เพียงแค่ผิวเผินจากภาพลักษณ์ภายนอก แต่พอได้มาสัมผัสตัวตนจริงๆ ก็ยิ่งตอกย้ำคำพูดเหล่านั้นว่าเขาไม่ได้ห่างไกลไปจากที่คนอื่นๆ ว่ามาเลย เผลอๆ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะได้เห็นมุมที่แตกต่างออกไปซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็น จากที่ผมปลื้มพี่อิชย์อยู่แล้วก็ยิ่งปลื้มหนักเข้าไปใหญ่

เล่นเพอร์เฟ็กต์ซะขนาดนี้

เป็นใครก็ต้องชอบไหม

ผมที่เป็นผู้ชายด้วยกันยังอดชมไม่ได้เลยว่ามีเสน่ห์

“หึ พูดความจริงแล้วแถนะมึง”

“แถอะไร”

“เออ ไม่แถก็ไม่แถ แต่อย่าหาว่ากูชงเก่งเลย ถ้าเกิดวันดีคืนดีพี่อิชย์มาบอกชอบมึงจะทำยังไง”

“เดี๋ยวๆ” ผมเบรกเพื่อน เมื่อคำถามที่มันถามชักเริ่มหลงประเด็นไปไกล “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่หูฟังกูหายวะ”

“ตอบกูมา กูอยากรู้”

“ได้ทีบังคับกูใหญ่เลยนะ”

“เร็วๆ ไอ้ณัช ไม่งั้นกูไล่ออกจากห้อง”

ผมมองมันตาค้อน ในเมื่อเลือกที่จะปฏิเสธคำถามไม่ได้ก็ตอบไปให้จบๆ เลยดีกว่า “คงไม่ทำไง เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว กูเป็นแค่หลานรหัส จะไปสู้บรรดาสาวๆ ในสต็อกพี่เขาได้ยังไงวะ มึงเคยเจอหรือเปล่า มีแต่นางแบบหุ่นเอ็กซ์ๆ ทั้งนั้นเลยนะ”

“มึงพูดแบบนี้เหมือนน้อยใจเขาเลย แอบคิดอะไรกับพี่อิชย์ป่ะเนี่ย”

“คิดเชี่ยอะไรเล่า” ผมสบถเสียงขุ่น ขมวดคิ้วมุ่นส่งไปให้มัน “มึงคิดว่ากูจะเอาอะไรไปสู้ใครเขาได้ ผู้หญิงก็ไม่ใช่ป่ะวะ”

“แต่กูว่าระดับมึงพอสูสีอยู่นะเว่ย” เปอร์ยกยิ้มเหมือนกับว่ามีคำตอบอยู่แล้วในหัว

“ยังไงวะ”

“ก็ใช้ตัวเข้าแลกดิ”

“ตัวกูเนี่ยนะ”

“เออ นี่มึงไม่รู้เหรอว่าตัวเองเซ็กซ์แอพพีลสูงขนาดไหน ทำอะไรแม่งก็น่ามองฉิบหาย ไม่อย่างนั้นพี่ผาคงไม่ตามหึงหวงมึงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่หรอก”

“กูว่ามึงชักจะเริ่มเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว” ผมส่ายหน้าให้กับความเลอะเทอะของคนพูด “ผอมแห้งขนาดนี้ เนื้อนมก็ไม่มี มีแต่ไข่ มึงคิดว่าพี่อิชย์จะมาพิศวาสของที่ตัวเองก็มีเหมือนกันทำไมวะ”

เปอร์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นทันทีที่ผมพูดจบ “มึงนี่ก็ตลกนะไอ้ณัช คิดได้ไงวะ”

“เอ้า! ก็มันจริงนี่หว่า”

“แต่มึงอย่าลืมว่าต่อให้มีเหมือนกันก็ใช่ว่าขนาดจะเท่ากัน ไม่แน่ผู้ชายแมนๆ อย่างพี่อิชย์อาจจะชอบอะไรที่มันเล็กกะทัดรัด กำพอดีมือ อมพอดีปากแบบของมึงเหมือนพี่ผาก็ได้นะเว่ย”

“พ่องมึงตาย พูดอะไรออกมาช่วยเกรงใจลูกกูตอนมันตื่นจากบรรทมนิดนึง”

ผมปรายตามองเปอร์ที่เอาแต่นั่งขำจนท้องแข็งอยู่ข้างๆ อย่างคาดโทษ คิดผิดจริงๆ ที่มาระบายเรื่องนี้ให้มันฟัง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูที่หน้าจอเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงแรงสั่นที่หน้าขา

แม้พี่ผาจะไม่ได้โทรมาแล้ว แต่ข้อความไลน์ก็มีเข้ามาไม่หยุด

“พี่ผาเหรอ” เปอร์ถามหลังจากที่ขำจนพอใจแล้วพลางชะโงกหน้ามาดูที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือผมไปด้วย

“อืม” ผมตอบรับมันในลำคอจากนั้นก็พูดต่อ “และนี่มึงจะนั่งดูกูอีกนานไหม ไม่คิดจะหาน้ำหาขนมมาให้เพื่อนบ้างเลยหรือไง”

“ไม่อ่ะ มีตีนเหมือนกัน มึงอยากแดกอะไรก็เดินไปหยิบเองดิ ทุกทีมาห้องกูก็หาแดกเองตลอด”

“แต่วันนี้มึงเพิ่งจะใช้แรงงานกูให้ยกของขึ้นมานะ”

“แล้วไงวะ”

“ไอ้เชี่ยเปอร์! สันดานมึงนี่มัน…” ด่าไปก็คงไม่สะทกสะท้าน เมื่อเปอร์ยังอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำเป็นลอยหน้าลอยตาเหมือนต้องการจะยั่วโมโหที่ผมทำอะไรมันมากไปกว่านี้ไม่ได้ “ถอยไปไกลๆ กูเลย อย่ามาเยอะ”

พูดจบผมก็ยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากมันไปแรงๆ หนึ่งที เปอร์ขยับหน้าหนีเพราะความเจ็บที่ได้รับ ผมเลยใช้จังหวะนั้นกระโดดลงจากโซฟาแล้วเผ่นแน่บไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน

เรื่องนิสัยขี้แกล้งของเปอร์นี่แก้ไม่หาย แล้วยังชอบพูดกวนโทสะพี่ผาอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่วิ่งเต้นตามหรอก รู้อยู่ว่ามันปากเปราะขนาดไหน แต่เพราะเป็นพี่ผาไง ผู้ชายที่ของขึ้นได้ทุกเวลา เปอร์ก็เลยยิ่งได้ใจใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้วผมกับมันไม่ได้มีอะไรเกินเลยจากคำว่าเพื่อนเลย

หลายครั้งที่ผมด่ามันว่าเล่นไม่รู้เรื่อง เพราะคำพูดหยอกล้อของมันเนี่ยแหละที่ทำให้พี่ผากับเปอร์มีเรื่องไม่ลงรอยกันอยู่ตลอด แต่ด่าไปก็เท่านั้น เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้ซึมลึกลงไปถึงซิลิบั่มมันหรอก

“กูว่ามึงกลับไปได้แล้วมั้ง” มันเอ่ยปากไล่ เสียงดังพอให้ผมที่ยืนอยู่ในห้องครัวได้ยิน

“ได้ข่าวว่ากูเพิ่งมาถึงเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ใช้กูขนของจนหมดประโยชน์ก็จะไล่กลับเลยหรือไง”

“กูไม่ได้ไล่ แต่มึงหายเงียบไปแบบนี้พี่ผาไม่ตามหาให้วุ่นแล้วเหรอวะ”

“ช่างเขาเถอะน่า อีกอย่างเดี๋ยวเย็นๆ กูก็กลับแล้ว ไม่อยู่นอนค้างกับมึงที่นี่หรอก”

ผมบอกปัดแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงนั่งตามเดิมหลังจากที่เดินไปหาอะไรกินเสร็จ ตอนนี้มือไม้เต็มไปด้วยถุงขนมนมเนยที่หอบมากินตรงโซฟา

เปอร์ไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงแค่หันมามองแวบหนึ่งก่อนจะเบือนสายตากลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองต่อ

เรื่องของกินมันไม่เคยหวงกับผมอยู่แล้ว เพราะปกติผมก็มาฝากท้องที่ห้องมันออกจะบ่อย

“เออ ไอ้ณัช…”

“หืม?”

“กูว่าจะเตือนมึงหลายรอบแล้วเรื่องนิสัยดันทุรังเนี่ย”

“ทำไมวะ” ผมย่นคิ้ว เมื่ออยู่ๆ เปอร์ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีที่มาที่ไป

“กับกูไม่เท่าไหร่หรอก เพราะยังไงมึงก็เพื่อนกู แต่อย่าไปดื้อกับพี่ผาให้มันมาก เพราะแค่เรื่องงานที่เขาต้องดูแลรับผิดชอบก็เหนื่อยพอแล้ว อย่าต้องให้เขามาเหนื่อยเรื่องมึงอีกคนเลย”

“เดี๋ยวนะไอ้เปอร์…” เพราะคำตอบของมันฟังดูขัดๆ หู ผมก็เลยแทรกถามขึ้นมาอย่างสงสัย “กูแค่ยังไม่อยากกลับคอนโดฯ มึงจะมาดราม่าเรื่องนี้ใส่กูทำไมเนี่ย”

“กูไม่ได้ดราม่า แต่เห็นมึงมีเรื่องงอแงใส่เขาเกือบทุกวันเลยพูดเตือนด้วยความหวังดี หัดทำตัวน่ารักๆ ให้เขาชื่นใจบ้าง เกิดพี่ผาทนไม่ไหวแล้วทิ้งมึงไปหาคนอื่นจะทำยังไง ถึงตอนนั้นมึงจะร้องไห้ไม่ออก”

“ถามจริงนี่มึงหวังดีหรือแช่งให้พวกกูเลิกกัน”

“แล้วแต่มึงจะคิด กูเตือนได้แค่นี้ ยังไงมึงก็ลองเอาคำพูดกูกลับไปทบทวนดูละกัน”

ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมนอกจากการตัดจบบทสนทนาของเปอร์ มันคงไม่อยากเถียงกับผมให้ยืดเยื้อก็เลยหยุด

ยอมรับว่าแอบหงุดหงิดนิดหน่อยที่โดนมันพูดจาสั่งสอนใส่ เพราะถ้าพูดถึงเรื่องความรัก มันก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่ามันเป็นห่วง ก็ผมดื้อจริงๆ นั่นแหละ ก่อนจะล้มตัวลงนอนหนุนตักมันอย่างคนเอาแต่ใจ เปอร์ไม่ได้ขยับขาหนี ผมเลยยกโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นมากดเล่นไปเพลินๆ เปิดเข้าแอพพลิเคชั่นทวิตเตอร์เป็นอย่างแรกด้วยความเคยชิน ไถหน้าจอเล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับข้อความของใครบางคนโดยบังเอิญ



Poopha @Poopha90 • 12:16 น.

ไม่รู้ว่ามึงอยู่ไหน ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยว่ะ

凸Hyper凸 @Ku_Hyper • 14:18 น.

@Poopha90 เป็นอะไรของพี่วะ ขี้ไม่ออกเหรอ

Poopha @Poopha90 • 14:38 น.

@ItsHyper เสือก

凸Hyper凸 @Ku_Hyper • 14:39 น.

@Poopha90 โหยยย มีด่าด้วย คนอุตส่าห์เป็นห่วง

Poopha @Poopha90 • 14:41 น.

@Ku_Hyper เห็นอยู่ว่ามึงกวนตีนกู แล้วก็ช่วยเอานิ้วกลางออกจากชื่อทวิตด้วยได้ไหม คุยกับมึงทีไรกูรู้สึกเหมือนโดนหลอกด่าอยู่เลย

凸Hyper凸 @Ku_Hyper • 14:41 น.

@Poopha90 พี่อย่าร้อนตัว

Poopha @Poopha90 • 14:38 น.

@ItsHyper Kวย



ผมอมยิ้มขำให้กับเมนชั่นโต้ตอบระหว่างพี่ผากับเปอร์ สองคนนี้กัดกันได้ทุกเวลาจริงๆ ขนาดในทวิตเตอร์ก็ไม่เว้น

แล้วอยู่ๆ ความคิดพิเรนทร์ๆ ที่อยากจะแก้เผ็ดพี่ผาที่ทำหูฟังผมหายก็แวบเข้ามาในหัว

เล่นกับใครไม่เล่น

มาเล่นกับณัชชนม์

งานนี้ได้เป็นโรคคลั่งตายในสมองแน่… ไอ้พี่ผา



(มีต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2018 08:52:08 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
“ไอ้เปอร์”

“ว่าไง” เปอร์ที่กำลังสนุกกับเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือก็เอ่ยถามออกมาทั้งที่สายตายังไม่ได้ละไปจากหน้าจอ

“มึงมาถ่ายรูปกับกูหน่อยดิ”

พูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งผมก็ลุกขึ้นนั่งหลังจากที่นอนหนุนตักเปอร์มาได้สักพัก ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้จนแทบจะนั่งตักอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว

“อะไรของมึงเนี่ย”

เปอร์กดหยุดเกม หันหน้ามามองผมด้วยสายตาตำหนิ แค่ขอให้ถ่ายรูป ทำไมต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดขนาดนั้นด้วยวะ

“ถ่ายรูปไงมึง”

“เออ กูรู้ว่ามึงจะถ่ายรูป แต่อยู่ๆ จะมาขอกูถ่ายเนี่ยนะ นึกคึกอะไรขึ้นมาวะ หรือว่ามึงเปลี่ยนใจอยากฟันดาบกับกูแทนพี่ผาแล้ว”

“มึงจะหยุดอ้อร้อกูสักนาทีได้ไหม” ผมส่ายหน้าเหม็นเบื่อ เมื่อสิ่งที่มันพูดออกมาไม่ได้สร้างสรรค์เลยสักนิด

“งั้นกูก็ไม่ให้ถ่าย”

“ไอ้เปอร์… มึงอย่าลีลาดิ”

“กูไม่ได้ลีลา แค่เล่นตัวเฉยๆ”

“แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ ตกลงจะให้ถ่ายหรือไม่ให้ถ่าย”

“ไม่ให้ถ่าย”

“ถ้าไม่ให้ถ่ายกูถีบนะ”

“เฮ้ยย! มึงควรจะพูดจาดีๆ กับคนที่ขอให้เขาทำอะไรให้ไม่ใช่หรือไงวะ” เปอร์เปล่งเสียงร้องห้ามตอนที่เห็นผมยกขาขึ้นมาสู้สายตาของมัน

“ก็ใช่ แต่เพราะเป็นมึงไง ทำไมกูต้องพูดจาดีๆ ด้วย”

“อ้าวว ไอ้ห่านี่ มึงแม่งมารยาททรามฉิบหายเลยว่ะ”

“ไม่ต้องมาด่ากูเรื่องมารยาทเลยไอ้เปอร์ มึงนั่นแหละตัวดี”

ผมสวนมันกลับแทบติดจรวด เพิ่งจะบ่นมันเรื่องนี้ไปหยกๆ ไม่ทันไรก็เสือกมาด่าผมทั้งที่ตัวเองก็ทรามไม่ต่างกันแท้ๆ

“เออ ก็ได้ๆ จะถ่ายอะไรก็ถ่าย ให้ว่องเลย กูจะได้ไปยิงซอมบี้ต่อ”

เปอร์คงจะรำคาญที่ผมเอาแต่เซ้าซี้ไม่เลิกสักที มันก็เลยยอมตามใจอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะขยับตัวไปมาอยู่หลายรอบเพื่อหามุมที่เหมาะกับตัวเองในการถ่ายรูป

นี่เหรอคือคนที่ตอนแรกปฏิเสธผมเสียงแข็งว่าจะไม่ให้ถ่าย แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้วเหมือนอยากถ่ายมากกว่าผมที่เป็นคนร้องขอเสียอีก

“และทำไมมึงต้องนั่งเบียดกูด้วยวะ”

“ก็กูอยากให้ภาพมันออกมาอบอุ่น ดูรักกันนี่หว่า”

พูดไปผมก็ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ไม่วายวาดท่อนแขนไปโอบไหล่มันจนตอนนี้เราทั้งคู่แทบจะไม่มีช่องไฟระหว่างกัน

“แต่กูว่าถ้ามึงจะนั่งชิดขนาดนี้มานั่งตักกูเลยดีกว่าไหม”

“เออ เป็นความคิดที่ดีว่ะ”

“กูประชดไหมล่ะไอ้สัด ทีแบบนี้เสือกตามน้ำกับกูเฉย ก่อนหน้ายังด่ากูอ้อร้อเก่งอยู่เลย”

เปอร์หยาบคายเมื่อผมกลับกลอกไปมา ผมก็แค่พูดเล่น ถึงจะแอบเห็นด้วยว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ไม่ได้ทำจริงอย่างที่ปากบอก และในระหว่างที่ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปก็เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าร้ายๆ ของมันผ่านทางหน้าจอ ราวกับว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวถึงกับหุบยิ้มไม่ลง

สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันมีแผนอะไรหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสที่หน้าจอเพื่อให้กล้องหน้าจับภาพของเราสองคน

แชะ

เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นในจังหวะที่เปอร์เอี้ยวหน้ามาประทับริมฝีปากลงบนแก้มข้างซ้ายของผมพลางยักคิ้วให้กล้องเป็นเชิงท้าทายพอดิบพอดี

!!!

“เชี่ยยยยยยยย!” ผมสบถเสียงดังลั่น หันขวับไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นมันยกยิ้มยียวนกวนประสาทส่งมาให้อยู่ก่อนหน้าแล้ว “ใครใช้ให้มึงหอมแก้มกูไม่ทราบ”

“เอ้า ทำไมอ่ะ ตอนมึงทำหน้าตาเอ๋อๆ ก็น่ารักดีออก อีกอย่างมึงอยากให้รูปออกมาอบอุ่น ดูรักกันไม่ใช่หรือไง นี่กูก็อุตส่าห์จัดท่าเปลืองตัวเพื่อมึงเลยนะเนี่ย”

โอ๊ยย… ไอ้ฉิบหายยยยยยยย!

ใครกันแน่ที่เปลืองตัว

กูไหมล่ะ ไม่ใช่มึง

นี่มันไม่รู้เลยสินะว่าผมจะเอาภาพนี้ไปทำอะไร

ผมส่ายหัว ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากตัวเองด้วยความหนักใจ จริงๆ จะถ่ายใหม่มันก็ได้อยู่หรอก แค่อาจจะโดนเปอร์ด่านิดหน่อยก็เท่านั้น แต่พอคิดไปคิดมาส่งรูปนี้ไปให้พี่ผาเลยก็สะใจดีเหมือนกัน



Poopha @Poopha90 • 12:16 น.

ไม่รู้ว่ามึงอยู่ไหน ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยว่ะ

ณัช @Natchonnn_n • เมื่อสักครู่

@Poopha90 อยากรู้เหรอว่าณัชอยู่ไหน

Poopha @Poopha90 • เมื่อสักครู่

@Natchonnn_n โผล่หัวออกมาได้แล้วเหรอ

ณัช @Natchonnn_n • เมื่อสักครู่

@Poopha90 ณัชอยู่คอนโดฯ กับ @Ku_Hyper ไม่ต้องห่วงนะ เย็นๆ กลับ (แนบรูป)

Poopha @Poopha90 • เมื่อสักครู่

@Natchonnn_n @Ku_Hyper ไอ้เชี่ยณัช! มึง…

ณัช @Natchonnn_n • เมื่อสักครู่

@Poopha90 @Ku_Hyper ครับบบบบบบบ

Poopha @Poopha90 • เมื่อสักครู่

@Natchonnn_n @Ku_Hyper ครับหาพ่องมึงเหรอ กูเพื่อนเล่นหรือไง ถ่ายรูปเฉยๆ กูไม่ว่า แต่เสือกเสนอหน้าให้มันหอมแก้มนี่กูไม่ชอบ



ผมที่กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูผลงานตัวเองอยู่นั้นก็ต้องถูกขัดจังหวะอารมณ์เมื่อเปอร์เรียกชื่อผมเสียงแตกตื่น

“ไอ้เชี่ยณัชชชชชชชช!”

“ว่าไง”

แทบไม่ต้องเดาเลยว่าต้นสายปลายเหตุที่มันเรียกผมมาจากอะไร ก็ผมดันสร้างวีรกรรมให้มันโดนหางเลขไปด้วยน่ะสิ โดยการส่งรูปที่ถ่ายคู่กับมันเมื่อไม่กี่ 10 นาทีก่อนไปให้พี่ผา พร้อมกับแท็กชื่อเปอร์โชว์หราหน้าไทม์ไลน์

“มึงจะหาเรื่องให้กูทำไมเนี่ย”

“หาเรื่องอะไร” ผมแกล้งทำไขสือ “แค่ส่งรูปเอง”

“แล้วทำไมมึงต้องส่งรูปนั้นไปวะ”

“ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่มึงอยากให้กูตายติดรองตีนพี่ผาหรือไง”

“ไม่หรอก กูรับรองว่าไม่ถึงตาย”

“แค่เกือบตายกูก็ไม่เอานะเว่ย วันนี้กูยิ่งไม่อยากทะเลาะกับเขาอยู่ด้วย”

“เหรอ มึงเนี่ยนะไม่อยากทะเลาะ เห็นทุกทีกัดกันไม่ปล่อย”



ณัช @Natchonnn_n • เมื่อสักครู่

@Poopha90 @Ku_Hyper พี่ผาไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ณัชชอบ

Poopha @Poopha90 • เมื่อสักครู่

@Natchonnn_n @Ku_Hyper อย่ามากวนตีน มึงรีบกลับเดี๋ยวนี้เลย

ณัช @Natchonnn_n • เมื่อสักครู่

@Poopha90 @Ku_Hyper ไม่ ณัชยังไม่อยากกลับ

Poopha @Poopha90 • เมื่อสักครู่

@Natchonnn_n @Ku_Hyper กูให้โอกาสมึงพูดอีกที จะกลับหรือไม่กลับ

ณัช @Natchonnn_n • เมื่อสักครู่

@Poopha90 @Ku_Hyper ไม่กลับ

Poopha @Poopha90 • เมื่อสักครู่

@Natchonnn_n @Ku_Hyper มึงอยากลองดีกับกูใช่ไหม

ณัช @Natchonnn_n • เมื่อสักครู่

@Poopha90 @Ku_Hyper ก็นิดนึง

凸Hyper凸 @Ku_Hyper • เมื่อสักครู่

@Poopha90 @Natchonnn_n เอ่อ ขอโทษที่ขัด แต่ถ้าพวกมึงจะทะเลาะกัน ไม่ต้องแท็กกูก็ได้มั้งครับ กูไม่อยากรับรู้เรื่องของผัวเมียย

Poopha @Poopha90 • เมื่อสักครู่

@Natchonnn_n เออ งั้นเดี๋ยวกูจะไปพามึงกลับมาเอง แล้วจะทำให้เดินไม่ได้ทั้งอาทิตย์เลย จะได้ไม่ต้องเสนอหน้าไปหาไอ้เชี่ยเปอร์อีก







ชั่วโมงต่อมา

ปัง! ปัง! ปัง!

“ไอ้ณัช! เปิดประตูให้กูเดี๋ยวนี้เลย”

เสียงทุบประตูดังสนั่นตามมาด้วยเสียงร้องตะโกนเอะอะโวยวายอยู่หน้าห้อง ผมที่ได้ยินเสียงคลุ้มคลั่งของคนที่อยู่อีกฝากหนึ่งของประตูก็ยกยิ้มขำออกมาอย่างชอบใจ

“เปอร์… มึงเดินไปเปิดประตูแทนกูหน่อย”

“ทำไมต้องเป็นกูวะ”

“ก็ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะใคร”

“แต่เขาเรียกมึงนะไอ้ณัช”

ปัง! ปัง! ปัง!

“ใครเปิดก็เหมือนกันแหละ ไปเร็วๆ ดิ มึงจะให้คนทั้งชั้นออกมาด่าพ่อล่อแม่ก่อนหรือไง”

“อะไรวะ เออๆ กูไปเปิดเองก็ได้”

มันตัดบท เมื่อเห็นผมไม่ยอมลุกออกไปเปิดง่ายๆ และก็คงกลัวห้องข้างๆ ตามมาล่อกบาลถึงหน้าประตูด้วย มันก็เลยจำใจทำไปเพราะไม่อยากมีเรื่องเจ็บตัว

ปัง! ปัง! ปัง!

“ไอ้เชี่ยณัช! กูบอกให้เปิดไงเล่าาา!”

แอ๊ดดด

เสี้ยววินาทีที่บานประตูเปิดออก คนข้างนอกก็เงียบเสียงลงโดยอัตโนมัติ เปอร์ยังไม่ทันได้กล่าวทักทาย คนอายุมากกว่าที่ยืนประจัญอยู่ตรงหน้าก็โพล่งถามออกมาก่อน

“เมียกูอยู่ไหน”

พี่ผาถามเสียงเข้ม แม้ผมจะไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ก็พอเดาอารมณ์อีกฝ่ายได้ว่าตอนนี้คงโกรธจนควันออกหูมากแค่ไหน

“นั่งอยู่นั่นไงครับ” เปอร์พยักพเยิดหน้ามายังผมที่นั่งชันเข่ายิ้มแป้นพลางกินขนมในมืออยู่บนโซฟา

“หึ สบายเชียวนะมึงที่ทำให้คนอื่นกระวนกระวายใจได้”

มาถึงก็แหกปากใส่ผมปาวๆ ผมเลยแกล้งทำทีเป็นไม่สนใจเขา ยัดขนมเข้าปากตัวเองต่อ รอจนเคี้ยวหมดถึงได้เอ่ยปากถามอีกฝ่ายออกไปด้วยน้ำเสียงกวนตีนระดับสิบ

“ก็สบายดีนะ พี่ผาไม่สบายเหรอ เป็นอะไรอ่ะ”

“ไอ้ณัช… มึงอย่ามายอกย้อนใส่กู” พี่ผากัดฟันกรอด

“ณัชไม่ได้ยอกย้อน นี่ถามด้วยความเป็นห่วงนะครับ”

“กูอุตส่าห์ไปหาหูฟังมาคืนให้” พี่ผาพูดพร้อมกับโยนสายหูฟังอันคุ้นตาส่งมาให้ผมรับไป “แต่มึงกลับมาแรดอยู่กับไอ้เชี่ยเปอร์ มันน่าจับทำให้ครางคาเตียงซะให้เข็ด มึงก็น่าจะรู้ว่ากูไม่ชอบมัน”

“ไม่ชอบอะไร ก็เห็นสนิทกันดี”

ความจริงสองคนนี้สนิทกันจะตาย เพราะเปอร์เป็นหลานรหัสของพี่ธิปซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพี่ผา ก๊งเหล้าโต๊ะเดียวกันก็ออกจะบ่อยเวลาที่นัดกันไปเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างที่เห็น ขนาดเมื่ออาทิตย์ก่อนยังไปเตะบอลด้วยกันอยู่เลย

“ก็ใช่ที่กูกับมันสนิทกัน ยกเว้นแค่เรื่องของมึงนะที่กูไม่อยากสนิทด้วย”

ผมส่ายหน้าเมื่อคำตอบของพี่ผาโคตรเอาแต่ใจ แต่เรื่องนี้จะไปว่าพี่ผาคนเดียวก็ไม่ได้ เปอร์ก็ใช่ย่อยที่ไหน ผมรู้จักนิสัยเพื่อนตัวเองดี ไอ้เวรนี่ถ้าไม่ได้เห็นพี่ผาของขึ้นแล้วนอนไม่หลับ

“ความคิดพี่ผาเด็กน้อยฉิบหาย”

“กูไม่ได้เด็กน้อย! มึงต่างหากที่ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต โกรธกูด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่หูฟังหายต้องทำกับกูถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ”

“ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักโต”   

ผมเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจอหูฟังแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปเจอที่ไหน เพราะยังไม่ได้ถาม และก็ไม่มีอารมณ์จะถาม แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนทำหูฟังของผมหาย แถมพูดขอโทษสักคำก็ไม่มี เพราะฉะนั้นคนแบบนี้เนี่ยนะที่เรียกตัวเองว่าโตเป็นผู้ใหญ่ ยังรักษาของสำคัญไม่ได้เลย แต่เสือกทำมาเป็นพูดดี

“เอ่อ…” และในขณะที่รอบตัวผมกำลังจะเดือดเป็นไฟ เปอร์ก็เอ่ยขัดขึ้นมา “อย่าหาว่ายุ่งเลยนะ แต่ผมว่าพวกคุณทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันก่อนไหม”

“ไม่! / ไม่!” ผมกับพี่ผาพร้อมใจกันหันไปตอบคำถามเปอร์ คนฟังถึงกับสะดุ้งเฮือก

“เออ งั้นก็เอาให้เต็มที่ พอใจแล้วก็ช่วยล็อกห้องให้ด้วย จะไปเตะบอล”

เปอร์ทำท่าจะเดินผ่านหน้าพี่ผาไป แต่ก็ถูกคนอายุมากกว่าเรียกรั้งไว้ เวลานี้ดวงตาดุดันของพี่ผาพร้อมที่จะเข้าห่ำหั่นเพื่อนสนิทผมได้ทุกเมื่อ

“เดี๋ยวก่อน”

“ว่าไงพี่ ผมบอกไว้เลยนะว่าเรื่องนี้ผมไม่เกี่ยว ไอ้ณัชมันสั่งให้ผมทำ”

“อ้าวเฮ้ยย! ไอ้เชี่ยเปอร์ ทำไมมึงปากสุนัขแบบนี้วะ”

“มึงเงียบไปเลยไอ้ณัช!” พี่ผาเอ็ดผมที่พูดแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาของเขา

นี่ผมผิดอะไรวะ

ไปสั่งไอ้เปอร์ตอนไหน

มันต่างหากที่เข้ามาหอมแก้มผมเอง

ผมเม้มปากแน่นสนิท มองหน้าเปอร์อย่างโกรธเคือง ก่อนที่พี่ผาจะเริ่มพูดกับไอ้เพื่อนตัวดีของผมต่อ “วันนี้มึงไปเตะบอลกับพวกไอ้ธิปด้วยเหรอ”

“ไปครับ พี่ธิปทักมาชวนในไลน์บอกว่าอีกทีมตัวไม่พอ”

“งั้นมึงก็อยู่ทีมกูอ่ะดิ เพราะรอบนี้กูจับฉลากแล้วได้อยู่คนละข้างกับไอ้ธิป”

“อ้าวเหรอครับ”

“เออ ถ้าอย่างนั้นมึงลงสนามไปก่อนเลย เดี๋ยวกูจัดการไอ้ณัชเสร็จแล้วจะรีบตามไป”

“ได้พี่ ตามสบาย แต่ขอความกรุณาอย่ามาทำน้ำกามเปื้อนในห้องผมก็พอ”

เปอร์พูดแขวะอย่างไม่จริงจัง มือหนาคว้ากระเป๋ารองเท้าสตั๊ดมาถือไว้ แต่ในจังหวะที่ประตูห้องกำลังจะปิดลง พี่ผาก็เรียกมันไว้อีกครั้ง

“ไอ้เปอร์…”

“ครับ?” เปอร์ขานรับ น้ำเสียงขุ่นมัวหน่อยๆ สงสัยจะรำคาญพี่ผาที่ไปเรียกมันอยู่ได้

“เรื่องที่มึงมาหอมแก้มเมียกู เดี๋ยวกูตามไปคิดบัญชีในสนาม”

“คิดบัญชีอะไรของพี่วะ เพิ่งจะพูดออกมาว่าเราอยู่ทีมเดียวกัน พี่จะเตะเข้าประตูตัวเองหรือไง”

“เออว่ะ จริงด้วย งั้นไว้นัดหน้ามึงเจอกูแน่”

“รีบมาทวงคืนละกันครับ ถ้าคิดว่าทำได้ ผมจะรอ กูไปก่อนนะไอ้ณัช แล้วเดี๋ยวเย็นๆ จะโทรไปเช็กสภาพร่างกายมึงว่ายังอยู่ครบ 32 ไหม” เปอร์รับคำท้าตามด้วยข่มพี่ผาเสร็จก็หันมากวนประสาทผมต่อ ก่อนจะวิ่งแจ้นออกไปอย่างไวโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวด่ามันเลย

หลังจากที่เปอร์ออกไปแล้ว พี่ผาก็เข้ามาลากตัวผมให้กลับคอนโดฯ พร้อมกัน ตอนแรกผมต่อต้านเขาอยู่พักหนึ่ง จนอีกฝ่ายทนไม่ไหว ลงโทษผมโดยการกัดเข้ามาที่ซอกคอเต็มแรงจนห้อเลือด ผมเลยต้องยอมจำนนต่อเขา เพราะกลัวจะเจ็บตัวไปมากกว่านี้

และถ้าผมยังดื้อด้านไม่เลิก มีหวังไอ้พี่ผาได้กัดซ้ำรอยเดิม ยิ่งช่วงนี้อากาศร้อนอบอ้าวอยู่ด้วย ผมคงไม่บ้าใส่เสื้อผ้าปิดยันคอหรอก

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะทำรอยในที่โจ่งแจ้งทำไม กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเป็นพวกบ้าเซ็กซ์







ผมไม่พูดไม่คุยกับพี่ผามาตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถ ไม่ใช่ว่าโกรธอะไรคนข้างๆ ถึงขั้นไม่อยากเสวนาด้วย แต่เป็นเพราะระบมที่ซอกคอจนพูดไม่ออกมากกว่า

และพอก้าวขาเข้าไปในห้องคอนโดฯ ได้ไม่กี่ก้าว พี่ผาก็เปิดศึกกับผมทันทีด้วยความเดือดดาล

“ทำไมต้องไปหามัน”

“ยืมหูฟัง”

ผมตอบห้วนๆ ออกไปส่งเดช ไม่ได้มีมานะมากพอที่จะนั่งรถแท็กซี่แล้วยอมจ่ายค่าโดยสารเป็นร้อยๆ เพื่อแค่ไปยืมหูฟังหรอก แต่ที่ต้องโกหก เพราะขี้เกียจฟังพี่ผาบ่นยาวเรื่องที่ไปหาเปอร์

“แล้วยืมของกูไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้ครับ ตอนนั้นณัชกำลังโกรธพี่ผาอยู่”

“แต่กูก็หามาคืนให้มึงแล้วนี่ไง”

“และทำไมก่อนหน้านั้นถึงไม่รักษาของ”

“มันก็ไม่ได้หายป่ะวะ”

“แล้วถ้ามันหายล่ะ”

“…ก็ซื้อใหม่”

“พูดง่ายดีเนอะ งั้นถ้าณัชหายไปบ้าง พี่ผาก็จะมีแฟนใหม่ใช่ป่ะ”

“มันคนละเรื่องกันแล้วไอ้ณัช มึงอย่ารวนดิ”

“ณัชไม่ได้รวน แต่ขนาดของพี่ผายังรักษาไว้ไม่ได้เลย ต่อไปจะรักษาณัชได้ยังไง”

“มึงไม่ใช่สิ่งของ เพราะมึงเป็นคนของกู และต่อให้มึงหาย กูก็จะตามหาให้เจอ”

“แล้วถ้าไม่เจอล่ะ”

“ยังไงก็ต้องเจอ”

“ทำไมพี่ผามั่นใจขนาดนั้น”

“เพราะมึงก็คงไม่อยู่เฉยๆ ให้กูตามหาฝ่ายเดียวหรอกใช่ไหม”

“เหรอครับ”

“มึงย้อนถามกลับแบบนี้หมายความว่าไง จะพูดจาดีๆ ยอมลงให้กูบ้างไม่ได้เลยหรือไงไอ้ณัช ต้องเป็นกูคนเดียวใช่ไหมที่ยอมให้มึงตลอดเวลา” และก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้คำเตือนของเปอร์วกกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง…

เพราะแค่ลองคิดเล่นๆ ตามคำพูดมันว่าถ้าพี่ผาบอกเลิกผมด้วยเหตุผลนี้จริงๆ ผมคงรับไม่ได้ นี่ขนาดว่าเรื่องยังไม่เกิด ผมก็รู้สึกใจหวิวแปลกๆ แล้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เพื่อลดช่องว่างทิฐิของตัวเองลง แล้วคว้าแขนคนตัวใหญ่ให้เดินตามเข้าไปในห้องนอนติดๆ

“มึงจะทำอะไร”

“ก็อยากให้ณัชยอมลงให้ไม่ใช่เหรอ”

ผมตอบกลับเป็นประโยคคำถาม ค่อยๆ เคลื่อนมือขึ้นไปแกะกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด เผยให้เห็นแผงอกขาววับๆ แวมๆ ล่อสายตาอีกฝ่าย

การจะทำตัวน่ารักๆ ให้พี่ผาชื่นใจ มันก็มีแค่วิธีเดียวที่คิดออกในตอนนี้

“หืม?” พี่ผาขมวดคิ้วมุ่น คงแปลกใจในท่าทางของผมไม่น้อยที่อยู่ดีๆ ผมก็ล้มตัวลงนอนแผ่หราบนเตียงตรงหน้าเขา

“ก็นี่ไง ลงให้แล้ว”

“เดี๋ยว…ว มึงจะลงแบบนี้ให้กูเหรอ”

“หรือไม่เอา”

“เฮ้ยย! กูยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่เอา” พี่ผาตาลุกวาว ระริกระรี้ยิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำ ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ทำเสียงหงอๆ ตัดพ้อผม “มึงอุตส่าห์เสนอตัวชวนกูปั่มปั๊มแต่หัววันทั้งที ทำไมกูจะไม่เอาวะ”

“แต่พี่ผาบอกว่าจะไปเตะบอลไม่ใช่เหรอครับ งั้นค่อยไว้คืนนี้แล้วกันเนอะ”

ผมทำท่าจะลุกยืน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายมีนัดกับกลุ่มเพื่อนว่าจะไปแตะบอลกัน แต่พี่ผากลับไม่ให้ผมได้ทำอย่างนั้น ร่างสูงรีบปีนขึ้นมาบนเตียงเพื่อคร่อมตัวผมไว้ จนผมหงายหลังกลับไปนอนในตำแหน่งเดิม

“บอลเตะเมื่อไหร่ก็ได้…” พี่ผาพูดก่อนจะเว้นช่วงจังหวะไปอึดใจ ทำให้ผมรู้สึกหายใจหายคอติดขัดเวลาที่ต้องสบกับดวงตาหวานเยิ้มของเขา เพียงไม่นานน้ำเสียงทุ้มยั่วยวนก็ว่าต่อ “…แต่เอากับมึงต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น เร็วเลยไอ้ณัช เครื่องกูติดละ”

.

.

.

สรุปแล้วการแก้เผ็ดของผมก็ไม่พ้นจบลงที่เตียงอีกตามเคยสินะ



※※※


แฮชแท็ก #หวงณัช

หวงณัช #3 มาแล้วค่ะ ตอนนี้จะแอบสงสารพี่ผานิดนึง เพราะน้องณัชก็ไม่ธรรมดาเลย ทั้งดื้อและร้ายมากกว่าที่คิดไว้เยอะ ส่วนตอนหน้าก็จะมีตัวละครที่กล่าวถึงในตอนนี้โผล่มาให้ได้นั่งเขิน หรือนั่งสงสารพี่ผามากกว่าเดิมก็ไม่รู้นะคะ ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุกคนที่กดเข้ามาอ่านมากๆ เลยค่ะ


555555555555 โอ้ยย นี่แอบทีมพี่ธิปเบาๆค่ะ หายไปก็คิดถึง แต่ตอนนี้หายละ อยากให้พี่ธิปไม่เหงาอะ
รบกวนช่วยหาแฟนใหพี่ธิปซักคนได้ไหมคะ  :hao7:
พี่ผาคือหวงเมียจีงงงงง แต่ตอนนี้แอบน่ารักมีความใจเย็นและส่องว่าเมียจะเอาตัวรอดจากแฟนเก่ายังไง ตอนออกไปช่วยน้องคือแบบ โอ๊ย พระเอกของเลา หล่อขึ้นไปอีกเด้อ  :-[  รอตอนต่อไปนะคะะะ
►► พี่ธิปมีคู่แน่นอนค่ะ หาคู่ให้พี่ธิปไว้เรียบร้อยแล้วว น้องน่าจะโผล่มาประมาณตอนที่ 6 นะคะ ส่วนพี่ผาก็ให้บทเขาหล่อๆ นิดนึงค่ะ ไหนๆ ก็เป็นพระเอกละ ฮ่าๆๆ

ช่องทางการติดต่อ Twitter @THEROMARKTIC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2018 20:13:07 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: รอตอนต่อไปนะคะ ทะเลาะกันแค่ไหนก็ขอให้คืนดีกันในตอนนะ โกรธข้ามตอนมันมั่ยดี รอตัวละครใหม่ด้วยคน~~  :mew1:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เข้าทำนอง..ขิงก้อราข่าก้อแรง   :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
หวงณัช #4
น้ำตามันไหลออกมาเอง


 

ผมมีเวลาไม่ถึง 10 นาทีในการทำธุระส่วนตัว เพราะมันเป็นช่วงพักเบรกย่อยๆ หลังจากที่นั่งคุยงานกันมายาวนานหลายชั่วโมง และสิ่งแรกที่ผมทำทันทีเมื่อก้าวเท้าออกมาจากโต๊ะคือการกดโทรศัพท์ไปหาณัช

ถือสายรอไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ ก่อนจะมีเสียงทักทายของคนทางโน้นพูดแข่งกับเสียงดนตรีที่ดังคลอเบาๆ พอให้ได้ยินแทรกเข้ามา

สงสัยณัชคงเดินออกไปหาที่เงียบๆ รับโทรศัพท์ด้านนอก

[ว่าไงพี่ผา]

“ทำอะไรอยู่ ไม่อ่านไลน์กูเลยนะ”

[ทำงานสิครับ วันนี้วันเสาร์ คนเข้าร้านโคตรเยอะ เลยวุ่นๆ นิดหน่อย]

มันตอบเสียงขาดๆ หายๆ ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ น่าจะเป็นที่สัญญาณ แต่ก็พอจับใจความได้อยู่บ้างว่ามันพูดอะไร

“กูคงไปรับมึงไม่ได้แล้วว่ะ”

[ทำไมอ่ะพี่ผา]

“ยังคุยงานไม่เสร็จเลยเนี่ย ไหนจะตีรถกลับกรุงเทพฯ อีก ฝนก็ทำท่าว่าจะตก และที่นั่นฝนตกหรือเปล่า” ผมบ่นยาวเหยียด เผลอใส่อารมณ์ตอนที่พูดถามมันไปด้วย เมื่อแผนทุกอย่างที่วางไว้ไม่เป็นดั่งใจ

วันนี้ผมออกไปทำงานต่างจังหวัดตั้งแต่เช้า เพราะต้องไปดูทำเลที่พัทยาว่าเหมาะแก่การเปิดร้านอาหารกึ่งผับสาขาใหม่ของผมหรือเปล่า จึงมีลางสังหรณ์ตงิดๆ ว่าจะไปรอรับมันตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้ ผมเลยบอกให้มันลาหยุดงานกับธรรมสักวันคงไม่เป็นอะไร เพราะยังไงก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียเจ้าของร้าน จะหยุดตอนไหนก็ไม่มีใครว่าอยู่แล้ว แต่คนอย่างมันที่โคตรดื้อรั้นสุดตีนคงจะยอมทำตามคำขอของผมหรอก

ณัชงอแงใส่ผมยกใหญ่ว่ายังไงก็จะไปทำงานให้ได้ ผมขี้เกียจขัดใจ กลัวจะพาลให้ทะเลาะกันซะเปล่าๆ ก็เลยยอมตามใจมัน

แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ เมื่อการคุยงานลากยาวเกินกว่ากำหนดไปมาก…

[ก็ครึ้มๆ นิดหน่อยนะครับพี่ผา แต่ไม่ต้องห่วง เลิกงานแล้วณัชจะรีบกลับเลย]

“นี่มึงจะกลับเองเหรอ”

[อ้าวว ก็ไหนพี่ผาบอกว่ามารับไม่ได้ไม่ใช่หรือไง]

“ก็ใช่ แต่กูนึกว่ามึงจะโทรบอกใครให้มารับ งั้นถ้ามึงกลับเองจะขึ้นรถอะไร”

[รถเมล์สิครับ]

“กูว่ามึงโทรบอกไอ้เปอร์ให้มารับดีกว่าไหม กูจะได้สบายใจด้วย ไม่ต้องมาคอยพะวักพะวงเป็นห่วงมึงว่าจะกลับถึงคอนโดฯ หรือยัง”

[แต่ณัชก็เคยนั่งรถเมล์กลับเองตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นเป็นไรเลย]

“เออ กูรู้ว่ามึงกลับได้ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกูจะขับรถไปช่วยมึงทันไหม จากพัทยานะ ไม่ใช่หน้าปากซอยคอนโดฯ”

[แต่ว่า…]

“ไม่ต้องมาแต่เลย ทำตามที่กูบอก ถือว่ากูขอร้อง”

[นี่เรียกว่าขอร้องแล้วเหรอ ดูยังไงก็เหมือนบังคับมากกว่า]

“ไอ้ณัช…”

[ครับๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวณัชโทรบอกเปอร์ให้มารับ]

ฟังจากน้ำเสียงที่รับปากก็พอรู้แล้วว่าณัชไม่ค่อยเต็มใจ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ขัดใจอะไรผม แค่นี้ก็เบาใจไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่ามันจะกลับถึงคอนโดฯ อย่างปลอดภัยถ้ามีคนคอยไปรับไปส่ง

ถึงจะไม่อยากไว้ใจเปอร์ แต่ก็ยังดีกว่าเสี่ยงให้ณัชกลับคนเดียวมืดๆ ค่ำๆ แบบนั้นน่าเป็นห่วงหนักกว่าอีก

“ดีมาก งั้นกูไปทำงานต่อละ เจอกันที่คอนโดฯ”

[ครับ]





 

Natchon’s Part

หลังจากวางสายพี่ผาไปแล้วผมก็หันกลับมาสนใจงานที่ทำค้างไว้ต่อ อันที่จริงหน้าที่หลักของผมก็มีแค่คอยจดรายการอาหารส่งให้พ่อครัวตามที่ลูกค้าสั่งเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาแต่ยืนเก้ๆ กังๆ เป็นตัวประกอบอยู่หน้าเคาน์เตอร์

ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจหรือเกี่ยงงาน แต่ไม่มีใครกล้าใช้ผมให้ทำอะไรที่ต้องออกแรงเลย ผมจะกลายเป็นตัวเกะกะก็เพราะแบบนี้แหละ ทั้งที่ผมได้รับเงินเดือนเต็มจำนวนเท่ากับพนักงานคนอื่นแท้ๆ กลับทำงานไม่คุ้มค่าจ้างเลยสักนิด

และก็ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าทำไมทุกคนในร้านถึงปฏิบัติตัวกับผมเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือของพี่ผาแล้วจะเป็นใคร

ผมเข้าใจว่าเขาเป็นห่วง ไม่อยากให้ทำงานหนัก กลัวเหนื่อย แต่บางทีก็ควรจะปล่อยผมให้ได้ลองทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง

นี่ผมอายุ 24 แล้วนะ

ไม่ใช่เด็ก 5 ขวบที่เดินตามพี่ผาต้อยๆ เหมือนสมัยก่อน

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเลิกงาน ผมช่วยพนักงานคนอื่นๆ เก็บกวาดร้านต่ออีกนิดหน่อย ก่อนจะบอกลาทุกคนเพื่อขอตัวกลับ และพอมองไปรอบๆ ร้าน ไม่เห็นคนที่กำลังตามหาอยู่ ผมเลยหันไปถามเด็กเสิร์ฟที่ยืนอยู่แถวนั้นด้วยความสนิทสนม เนื่องจากผมกับมันอายุไล่เลี่ยกัน

“ไอ้เบียร์… พี่ธรรมล่ะ”

คนถูกถามละจากงานที่ทำอยู่ในมือแล้วเงยหน้ามามองผม มันกะพริบตาขึ้นลงถี่ๆ เหมือนกำลังใช้ความคิด “ไม่เห็นนะพี่ณัช สงสัยอยู่บนห้องมั้ง น่าจะเคลียร์บัญชีร้านอยู่”

“แต่เมื่อกี้กูยังเห็นเขายืนคุยกับนักดนตรีอยู่เลย”

“ไม่มีนะครับ ผมเพิ่งจะเดินไปเก็บแก้วน้ำจากพวกพี่กรรณมาเอง”

“อ้าวเหรอ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ณัชจะให้ผมไปตามพี่ธรรมให้ไหม”

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูไปเอง ขอบใจมาก”

ผมตบบ่าคนตรงหน้าสองสามทีแล้วผละออกมา นี่ผมเบลอหนักถึงขนาดมองผิดเห็นคนอื่นเป็นพี่ธรรมเลยเหรอวะเนี่ย และพอเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ซึ่งเป็นส่วนของสำนักงาน ผมก็เห็นประตูบานเลื่อนเปิดทิ้งไว้ เลยถือวิสาสะชะโงกหน้าเข้าไปดูโดยไม่ได้เคาะขออนุญาตคนเป็นเจ้าของห้อง

“พี่ธรรมครับ”

ผมส่งเสียงเรียกคนอายุมากกว่าที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนอยู่บนโต๊ะ พี่ธรรมเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารด้วยรอยยิ้ม

“อ้าวว คุณณัช…”

“คุณณัชอะไรกันล่ะครับ เรียกณัชเฉยๆ ก็ได้ นี่ณัชมาทำงานในฐานะลูกน้องของพี่ธรรมนะ ไม่ใช่เจ้านายสักหน่อย” ผมเปลี่ยนท่าทีขึงขัง ยืนเท้าสะเอวพลางทำหน้าดุไม่จริงจังส่งไปให้อีกฝ่าย

พี่ธรรมยิ้มแหย ก่อนจะพูดแก้ตัวใหม่ “ก็ได้ครับน้องณัช ว่าแต่มาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ณัชกำลังจะกลับบ้านครับ เลยแวะมาบอกพี่ธรรมก่อน”

“เฮียผามารับแล้วเหรอ ผมยังไม่เห็นเลยนะ” ร่างสูงชะเง้อคอมองไปทางด้านหลังเมื่อยังไม่เห็นคนที่ตัวเองถามถึง

“เปล่าหรอกครับ วันนี้พี่ผาไปดูทำเลที่พัทยา ป่านนี้ยังไม่กลับเลย สงสัยคงถึงกรุงเทพฯ เกือบๆ เที่ยงคืน”

“เออเนอะ ผมก็ลืมไปสนิท เมื่อเช้าเฮียผาก็โทรมาบอกเหมือนกัน เห็นตอนแรกจะมาลาหยุดให้น้องณัชด้วย แสดงว่าดื้อมาจนได้ใช่ไหมเนี่ย” พี่ธรรมพูดแซวยิ้มๆ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ พูดซะณัชดูเป็นเด็กไม่ดีเลย”

“โธ่ ผมพูดเล่นน่า และนี่น้องณัชจะกลับยังไง ให้ผมขับรถไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรครับพี่ธรรม ณัชกลับเองได้” ผมส่ายหน้าน้อยๆ พลางโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“เอางั้นเหรอ”

“ครับ”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นกลับดีๆ นะน้องณัช แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”

“ครับพี่ธรรม”

บอกลาผู้จัดการร้านเสร็จผมก็เดินออกไปยืนรอรถประจำทางที่ป้ายรถเมล์ โชคดีที่คอนโดฯ ของพี่ผาอยู่ในย่านธุรกิจ มีศูนย์กลางค้าดังๆ ผุดขึ้นรายล้อม ทำให้มีรถโดยสารหลายสายแล่นผ่านถนนเส้นนั้น มีทั้งสายที่นั่งไปต่อเดียวแล้วถึงเลยกับสายที่ต้องไปต่อรถอีกหลายทอดกว่าจะถึง

ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะโทรบอกเปอร์ให้มารับตามที่พี่ผาสั่งไว้ แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มันไม่ว่าง เห็นเมื่อเช้าอัพรูปในอินสตราแกรมว่าทำงานอยู่ที่สตูดิโอแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากที่นี่พอสมควร ผมเลยไม่อยากหาเรื่องไปรบกวนมัน

ตั้งแต่เรียนจบ เปอร์ก็ทำงานให้กับธุรกิจนิตยสารของครอบครัว จะมีวันว่างก็แค่อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง บางทีก็ต้องขึ้นเครื่องบินไปถ่ายงานที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ ทำให้พักหลังๆ ผมกับมันไม่ค่อยได้เจอ เห็นหน้าค่าตากันทีก็ในโลกโซเชียลมีเดียนั่นแหละ

ผมยืนรอรถเมล์เกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นว่าจะมีสายที่ต้องการขับผ่านมาเลย จนรถเมล์สายที่ต้องไปต่ออีกหลายทอดขับมาจอดตรงหน้า ลังเลอยู่ว่าจะไปดีไหม เพราะใจจริงผมอยากขึ้นสายที่ไม่ต้องไปต่อรถให้วุ่นวายมากกว่า แต่ยิ่งดึกรถราก็ยิ่งหายาก และผมก็ไม่อยากนั่งรถแท็กซี่กลับคอนโดฯ คนเดียวตอนห้าทุ่มด้วย ถึงจะเป็นผู้ชายยังไงก็อันตรายได้เหมือนกันถ้าอีกฝ่ายพกทั้งมีดทั้งปืน สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจขึ้นรถโดยสารคันนี้มาอย่างไม่มีทางเลือก

พอก้าวขึ้นไปบนรถเมล์ ผมก็กวาดตามองหาที่ยืน คนแน่นเต็มคันรถขนาดนี้อย่าหวังว่าจะมีที่นั่งเลย และหลังจากได้ที่เหมาะๆ ผมก็คลำหาเศษเหรียญที่จำได้ว่ายัดใส่กระเป๋ากางเกงไว้ตอนที่ออกไปซื้อหมากฝรั่งกับเบียร์ที่เซเว่นขึ้นมาจ่ายค่าโดยสาร เสร็จแล้วก็รับเงินทอนจากกระเป๋ารถเมล์มาถือไว้ ไม่ทันไรก็มีใครบางคนมาสะกิดที่หัวไหล่ผมเบาๆ

“นั่งไหมครับ” น้ำเสียงนุ่มฟังคุ้นหูมาก จนผมต้องรีบหันหน้าไปมองก็ได้แต่ยืนตาโตอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา

นี่ผมฝันไปหรือเปล่าวะ

อยากจะเอามือขึ้นมาตบแก้มตัวเองสักทีถ้าไม่ติดว่ากำลังจับราวบนไว้อยู่

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังเห็นเขาอัพรูปในเฟซบุ๊กและเช็กอินที่อังกฤษอยู่เลย แล้วทำไมวันนี้ถึงมายืนส่งยิ้มอยู่ตรงหน้าผมได้วะ

“พะ…พี่…อิชย์?!”

อยู่ๆ ผมก็พูดติดอ่างขึ้นมาดื้อๆ รู้สึกประดักประเดิดยังไงชอบกล และพี่อิชย์ก็คงสังเกตเห็นว่าผมทำอะไรไม่ถูก เงอะๆ เงิ่นๆ ก็เลยพูดซ้ำเพื่อเรียกสติผมให้กลับมาอยู่กับล่องกับลอย

“นั่งลงก่อนไหมณัช”

“คะ…ครับ”

ผมล้มตัวลงอย่างว่าง่าย เหมือนถูกฝังคำสั่งไว้ในสมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่วายแหงนหน้าขึ้นไปมองอีกคนด้วยสายตามีคำถาม

“มองพี่แบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”

เจ้าของร่างสูงผิวสีแทนขนาดตัวพอๆ กับพี่ผาแถมอายุก็ยังเท่ากันอีกต่างหาก ก้มหน้าลงมามองผมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ก็…มีครับ”

ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม รู้สึกหายใจลำบาก เมื่อพี่อิชย์ขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อจะได้คุยกับผมถนัดๆ จนได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ จากตัวเขาลอยมาแตะปลายจมูก

ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ถึงจะมีคุยกันบ้างแต่มันก็เป็นเพียงแค่ข้อความที่พิมพ์ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาพี่น้องสายรหัสเท่านั้น พอมาเจอจังๆ แบบไม่ทันตั้งตัวผมก็ไปต่อไม่ถูกเลย

“จะถามว่าพี่กลับไทยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ใช่ไหม”

“คะ…ครับ”

“เป็นอะไรของเราเนี่ย พูดตะกุกตะกักมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

“ระ…รถมันสะเทือนครับ ลูกกระเดือกผมก็เลยสั่นตาม”

“มีทฤษฎีแบบนั้นด้วยเหรอ”

“ครับ”

“เพิ่งจะมีเมื่อสองนาทีที่แล้วหรือเปล่า”

“มะ…ไม่ใช่นะครับ! ไม่ใช่สักหน่อย”

“หึ”

“หึอะไรล่ะครับ” ผมถามเสียงประหม่า รีบเม้มริมฝีปากฉับด้วยความอับอาย รู้สึกหน้าร้อนหน่อยๆ ที่ดันยกเหตุผลปัญญาอ่อนออกมาพูดกับพี่อิชย์

ฉิบหายแล้ว…

พูดเชี่ยอะไรออกไปวะเนี่ย

“อ่าๆ ไม่แกล้งละ” พี่อิชย์ยิ้มชอบใจใหญ่ที่สามารถไล่ต้อนผมได้อยู่หมัด “พี่กลับมาได้สองวันแล้ว”

“จริงเหรอครับ?! ณัชไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“เราจะรู้ได้ยังไง มัวแต่อยู่กับแฟน”

“พี่อิชย์…ระ…รู้ด้วยเหรอครับ”

“พี่ไม่ได้ตาบอดนะ อินสตราแกรมเราพี่ก็ฟอลอยู่ เฟซบุ๊กก็มี ไม่รู้ก็บ้าแล้ว”

“ณัชไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”

“งั้นแล้วเราหมายความว่าไง”

“ก็เพื่อนพี่อิชย์มีตั้งเยอะแยะ ไม่น่าจะเห็นณัชที่หน้าฟีดอยู่แล้ว”

ไม่เกินไปจากที่ผมว่ามาหรอก ต่อให้ผมลงรูปอะไรไป คนอย่างพี่อิชย์เนี่ยนะจะมาสนใจ จำได้หรือเปล่าว่าแอคเคาต์นี้เป็นของหลานรหัสตัวเอง ผมยังไม่มั่นใจเลย

“ทำไมคิดแบบนั้น ถึงพี่จะมีเพื่อนในเฟซหรือในไอจีเยอะ แต่คนไหนสำคัญๆ พี่ก็ตั้งแจ้งเตือนไว้หมดนะ”

ตะ…ตั้งแจ้งเตือน?!

ผมรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ขาสั่นเป็นเจ้าเข้าขึ้นมาทันที

“ว่าแต่ไม่ได้เจอเราตั้งนาน น่ารักขึ้นป่ะเนี่ย”

“ครับ?! ณะ…ณัชเนี่ยนะ”

“อื้ม เรานั่นแหละ ดูมีเนื้อมีหนังขึ้น ต่างจากเด็กตัวผอมๆ แห้งๆ เมื่อตอนปีหนึ่งเยอะเลย”

เพราะหลังจากพี่อิชย์เรียนจบปีสี่ เขาก็บินไปเรียนต่อโทอังกฤษทันที ผมกับเขาก็เลยเจอกันที่ไทยแค่ปีเดียว

เราสองคนคุยกันในระหว่างที่รถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า กินเวลาไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่พี่อิชย์เป็นคนถามผมมากกว่า จนอาการประหม่าของผมค่อยๆ ลดลงตามลำดับ ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ขัดๆ เขินๆ เหมือนตอนแรก ซึ่งการคุยกันในครั้งนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าพี่อิชย์ยังเหมือนเดิม ไม่ต่างไปจากเมื่อ 4 ปีก่อนเลย จะมีเพิ่มเติมก็คงเรื่องที่เขาหล่อขึ้นผิดตาเนี่ยแหละ

จนกระทั่งรถเมล์ชะลอตัวจอดตรงป้ายที่ผมต้องลง เพราะต้องไปต่อรถอีกทอด แอบเสียดายที่เจอกันไม่นานก็ต้องเอ่ยคำลา แต่พอได้ยินคำพูดของพี่อิชย์อารมณ์หงอยๆ ในทีแรกก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแป้นทันที

“ไว้พี่โทรหานะ แล้วออกไปหาอะไรกินกัน”

“พะ…พี่อิชย์จะโทรหาณัชเหรอครับ”

“ใช่สิ ทำไมล่ะ หรือว่าเรากลัวแฟนจะเข้าใจผิด”

“ปะ…เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น พี่อิชย์จะโทรหาณัชตอนไหนก็ได้ครับ โทรมาได้ตลอดเลย”

“จริงอ่ะ 24 ชั่วโมงเลยเหรอ”

“…ครับ”

“หึ ยังไงก็กลับบ้านดีๆ นะณัช ถึงแล้วไลน์มาบอกพี่หน่อย”

“พี่อิชย์ก็ด้วยนะครับ กลับบ้านดีๆ”

“ครับผม”

ผมเดินกลั้นยิ้มลงมาจากรถเมล์ มองตามจนลับสายตาก็เริ่มหารถคันใหม่ที่จะต้องขึ้นไปต่อ มือก็ล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์จากในกระเป๋าสะพายคาดอกไปด้วย เพื่อเตรียมเงินจ่ายค่ารถโดยสารให้พร้อม จะได้ไม่ต้องไปควานหาบนรถที่โคตรแออัดให้วุ่นวายอย่างเมื่อสักครู่นี้ แต่ปรากฏว่า…

ไม่มี!

หาย?!

กระเป๋าสตางค์ผมหายไปไหนวะ

ผมจับๆ คลำๆ ที่กระเป๋ากางเกงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่ก็ไม่พบสิ่งที่ตามหาอยู่ เลยลองเปิดดูที่กระเป๋าสะพายคาดอกอีกครั้งก็พบเพียงความว่างเปล่า

ลืมไว้ที่ร้านเหรอวะ

หรือว่าจะถูกล้วงไปตอนที่เดินเบียดเสียดขึ้นรถเมล์

ผมยืนกุมขมับอยู่ตรงป้ายรถประจำทางเหมือนคนเสียสติ คิดไม่ตกเลยว่าจะเอายังไงต่อ แถมตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วย ถ้าให้เดาคงอีกไม่นานฝนน่าจะเทลงมา ซึ่งผมจะไม่อะไรเลยถ้าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ได้มีเงินเหลืออยู่แค่ 2 บาท ครั้นจะให้เดินกลับคอนโดฯ จากตรงนี้มีหวังเที่ยงคืนก็คงไม่ถึง เพราะนี่ยังไม่ได้ครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ และถ้าจะให้นั่งรถแท็กซี่แล้วไปเก็บเงินปลายทางเอาก็ไม่รู้ว่าจะเจอพี่ผาที่คอนโดฯ หรือเปล่า เกิดเขายังไม่กลับมาล่ะ ผมจะไม่โดนฆ่าปิดปากเหรอที่ขึ้นรถไปทั้งๆ ที่ไม่มีเงินจ่าย แล้วที่น่าโมโหอีกอย่างก็คือคีย์การ์ดผมดันเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ด้วย

แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเมื่อผมยังมีที่พึ่งสุดท้ายเหลืออยู่ ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างร้อนรน กดโทรออกหาคนที่นึกถึงโดยด่วน แต่แล้วสิ่งที่เรียกว่าหายนะก็มาเยือนผมอีกครั้ง เมื่อหน้าจอที่เคยสว่างวาบกลับดำมืดไปต่อหน้าต่อตา

เฮ้ยยยยย!

ไม่ตลกนะเว่ย

แบตหมดเหรอวะ?!

ผมเคาะเครื่องมือสื่อสารลงกับฝ่ามือหลายต่อหลายครั้ง หวังว่าแรงกระแทกกระทั้นจะทำให้มันฟื้นคืนชีพได้ แต่ดูท่าว่าสิ่งที่ผมทำไปจะไร้ประโยชน์ เมื่อมันเป็นแค่ความคิดหลอกตัวเอง เพราะไม่ว่ายังไงแบตเตอรี่ที่หมดไปแล้วก็คงไม่สามารถกลับมาใช้งานใหม่ได้ถ้าหากยังไม่ได้ชาร์จไฟ

โอ๊ยยยยย! ให้ตายเถอะ

นี่มันวันเฮงซวยอะไรของผมเนี่ยย?!



(มีต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2018 20:56:28 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
ผมขับรถกลับถึงกรุงเทพฯ ตอนเวลาประมาณเกือบๆ เที่ยงคืน ป่านนี้ณัชน่าจะอยู่ที่คอนโดฯ นอนตากแอร์เย็นฉ่ำในห้องเรียบร้อย เพราะเห็นมันหายเงียบไปเลยตั้งแต่ช่วงสี่ทุ่ม ผมเองก็ยุ่งจนไม่มีเวลาปลีกตัวโทรไปเช็กกับมันอีกรอบ และแทนที่มันจะไลน์มาบอกผมสักนิด กลับไม่มีแม้แต่สติ๊กเกอร์ตัวเดียวส่งมา

ระหว่างทางผมก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถมาอย่างเดียว เพราะฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงทำให้มองเห็นถนนหนทางข้างหน้าไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แถมผมก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินเส้นทางแถวนั้นซะด้วย เกิดใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถกลับด้วยความประมาทมีหวังได้รถคว่ำตายที่ไหนสักแห่ง

และพอมาถึงคอนโดฯ ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ความรู้สึกประหลาดเมื่อบรรยากาศรอบข้างผิดแปลกไปจากทุกทีก็ทำให้ผมเฉลียวใจขึ้นมา

ทำไมห้องร้อนอย่างนี้วะ

ไฟก็ปิดมืดสนิท

ผมช่างใจคิดตอนที่เอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ตรงข้างประตู แสงสว่างจากหลอดไฟก็ค่อยๆ ไล่กลืนกินความมืดในห้องให้หายไป ผมกวาดมองไปรอบๆ ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดเข้าหากันมุ่น หรือว่าณัชจะเผลอหลับไปทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดอะไรเลย…

เดี๋ยวก็ได้ตายห่ากันพอดี

พอคิดได้ดังนั้นผมก็รุดไปดูที่โซฟาหน้าทีวี แต่ก็ไม่เห็นคนตัวเล็กนอนอยู่ตรงนั้นเลยสันนิษฐานว่ามันอาจจะเข้าไปนอนในห้องแล้วก็ได้ แต่สิ่งที่ผมเห็นหลังจากเดินเข้าไปดูว่ามันหลับสบายดีไหมกลับเป็นเพียงความว่างเปล่าของเตียงนอนกว้างที่ผ้าห่มยังพับเป็นระเบียบเหมือนเมื่อเช้าก่อนที่ผมจะออกไปทำงานไม่มีผิด

วินาทีนั้นหัวใจผมกระตุกวูบ รีบวิ่งไปดูณัชที่ห้องน้ำก็ไม่มีแม้แต่เงา ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ที่ใส่ไว้ตรงกระเป๋ากางเกงหลังขึ้นมากดเบอร์โทรออกล่าสุด แต่ปรากฏว่าฝ่ายนั้นดันปิดเครื่อง…

“โธ่เว่ย!”

คำสบถมากมายต่างพรั่งพรูออกมาจากปากผมอย่างห้ามไม่อยู่ แทนที่จะได้เห็นหน้ามันเป็นคนแรก กลายเป็นห้องเงียบๆ ที่เหมือนยังไม่มีใครกลับเข้ามาเลย

ผมจึงตัดสินใจยกโทรศัพท์ที่ถือค้างอยู่ในมือขึ้นมาต่อสายหาเปอร์ เพราะถ้าให้ลองลำดับเวลาและเหตุการณ์แล้ว มันน่าจะเป็นคนที่อยู่กับณัชในตอนนี้มากที่สุด

หวังว่าไอ้เชี่ยนั่นคงไม่ได้พาณัชไปเถลไถลที่ไหนนะ

“ไอ้เปอร์!” ฝ่ายนั้นยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ ผมก็ตะโกนเรียกคนในสายด้วยความกระวนกระวาย

[คะ…ครับ?!] เปอร์สะดุ้งเล็กน้อย คงตกใจเสียงกระโตกกระตากของผม

“มึงอยู่ไหน”

[คอนโดฯ ครับ ดึกขนาดนี้พี่จะให้ผมไปอยู่ไหนได้]

“แล้วเมียกูล่ะ”

[พี่ไม่รู้แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ]

“มึงไม่ได้มาส่งมันที่คอนโดฯ เหรอ”

[คอนโดฯ อะไรครับ ผมงงไปหมดแล้วนะ]

“ไอ้ณัชไม่ได้โทรไปหามึงหรือไง” เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ทำมึน เหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย ผมจึงตอบคำถามมันด้วยการตั้งคำถามออกไปแทน

เปอร์เงียบคิดไปแวบหนึ่ง เหมือนกำลังประมวลผลในหัว แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเข้าไปใหญ่

[…ไม่นะครับ วันนี้ผมยังไม่ได้คุยกับมันเลย]

“จริงดิ”

[ครับ ว่าแต่ไอ้ณัชไม่ได้อยู่กับพี่ผาเหรอ]

“เออ ไม่ได้อยู่ งั้นแค่นี้นะ” 

ผมพูดรัวเร็วก่อนจะตัดสายทิ้ง ไม่รอให้เปอร์ได้พูดแทรกพลางลูบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด ริมฝีปากล่างที่เคยเป็นอิสระก็ถูกแนวฟันกดทับจนเป็นรอยแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ ผมเดินวนเวียนไปมาในห้องไม่หยุดอย่างใช้ความคิด รู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเมื่อรู้ว่าณัชไม่ได้อยู่กับเปอร์

เก่งจังเลยสร้างเรื่องที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงเนี่ย

บอกสอนอะไรไปเคยฟังที่ไหน

รั้นฉิบหาย

ผมก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับมัน เพราะโทรไปก็เสือกปิดเครื่อง ติดต่อไม่ได้สักทาง นี่มันจะทำให้ผมเป็นบ้าตายให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย

และอยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ เลยหยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งยัดเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไปเมื่อสักครู่นี้ออกมาใหม่อีกรอบ ก่อนจะกดโทรไปหาผู้จัดการร้านที่ประจำอยู่สาขาสอง

อย่างน้อยๆ ถ้าณัชกลับบ้าน ธรรมก็น่าจะรู้ เพราะเด็กนั่นคงไม่หายหัวไปเฉยๆ โดยไม่ร่ำลาคนอื่นหรอก ถึงมันจะทำตัวแย่ๆ ไปบ้างเวลาที่อยู่กับเพื่อนกับฝูงหรือแม้กระทั่งผม แต่ถ้าเป็นเรื่องมารยาทกับผู้หลักผู้ใหญ่ ณัชรู้จักสัมมาคาระเสมอ

และพอปลายสายกดรับ ผมก็กรอกเสียงพูดลงไปด้วยความร้อนใจ

“ไอ้ธรรม! ณัชกลับหรือยัง”

[กะ…กลับไปแล้วครับเฮียผา] ธรรมตอบตะกุกตะกัก เมื่อผมโพล่งถามออกไปเสียงดังจนอาจจะทำให้มันตกใจ [แต่คุณณัชดันลืมกระเป๋าสตางค์ทิ้งไว้บนตู้ล็อกเกอร์ครับ]

“ฮะ?! ลืมกระเป๋าสตางค์เนี่ยนะ”

[ครับ ไม่รู้ว่านั่งรถไปถึงไหนแล้วด้วย]

“และมันออกมานานหรือยัง”

[ก็ตั้งแต่ห้าทุ่มครับ ผมกำลังจะโทรไปหาเฮียผาอยู่พอดีเพราะติดต่อคุณณัชไม่ได้ ว่าแต่เฮียกลับมาจากพัทยาแล้วเหรอครับ จะให้ผมแวะเอาไปฝากไว้ที่คอนโดฯ เลยไหม]

“เออ กูกลับมาแล้ว แต่ไม่ต้องมาหรอก เก็บไว้ที่มึงก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

[เอางั้นเหรอครับ]

“อืม”

[โอเคครับ แล้วนี่เฮียผาเป็นอะไรหรือเปล่า เสียงฟังดูแปลกๆ]

“ก็ไอ้ณัชอ่ะดิ แม่งยังไม่กลับเลยเนี่ย หายหัวไปไหนก็ไม่รู้”   

[อาจจะกำลังอยู่ระหว่างทางก็ได้นะครับ]

“เออๆ เดี๋ยวกูขับรถวนแถวๆ นี้ดู มันไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์ไปด้วยนี่ดิ ตกรถตกราที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้” บ่นเจ้าตัวปัญหาเสร็จผมก็วกกลับมาพูดกับลูกน้องตัวเองต่อ “มึงไปเคลียร์งานต่อเถอะ จะได้ปิดร้านกลับบ้านไปนอน นี่เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว”

[ครับ ถ้ายังไงเฮียผามีอะไรให้ผมช่วยก็โทรเรียกได้ตลอดเลยนะครับ]

“เออ ขอบใจมากไอ้ธรรม”







ผมขับรถมาเรื่อยๆ ตั้งใจจะไปเริ่มต้นหาที่หน้าร้านอาหารกึ่งผับของตัวเองเป็นแห่งแรก เพราะยังไงณัชก็ต้องเดินออกมาขึ้นรถประจำทางจากตรงนั้นอยู่แล้ว

แม้ว่าตอนนี้ฝนจะเริ่มซาลงไปมาก แต่ผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง และเพื่อความรอบคอบ ก่อนออกมาผมเลยเขียนโพสต์อิทแปะไว้ที่หน้าตู้เย็นว่าถ้าณัชถึงคอนโดฯ แล้วให้รีบโทรกลับหาผมโดยด่วน แต่เพราะว่ายังไม่มีสายเรียกเข้าจากมันโทรมาเลย ผมถึงยังถอยทัพกลับไปไหนไม่ได้

ความเงียบเข้าปกคลุมทุกตารางนิ้ว ได้ยินแต่เสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบกระจกจนทำให้เกิดเป็นฝ้าคล้ายหมอก เมื่ออุณหภูมิด้านในรถตอนนี้รุ่มร้อนไปตามอารมณ์ของผม ซึ่งแตกต่างจากสภาพดินฟ้าอากาศด้านนอกสิ้นเชิง

ผมได้แต่ภาวนาขอให้ณัชปลอดภัยดี ไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับมัน เพราะถ้าเกิดว่ามันเป็นอะไรไปผมจะทำยังไง

ปลายเท้าที่เคยแตะเบรกสลับกับคันเร่งก็เปลี่ยนมาเหยียบคันเร่งอย่างเดียวจนความเร็วค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น จนผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ต่างบีบแตรไล่หลังพร้อมกับสาปส่งผมด้วยถ้อยคำกระด้างหู

แต่ผมไม่สนใจ อยากด่าอะไรก็เชิญ เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของผมคือการตามหาตัวณัชให้เจอ ฉะนั้นผมไม่มีเวลามาขับรถเอื่อยเฉื่อยชมวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนเหมือนทองไม่รู้ร้อนหรอก

และพอเข้าใกล้เขตที่ณัชใช้เป็นทางกลับบ้าน ผมก็ชะลอความเร็วลงจากเดิมเป็นเท่าตัว ฝ่ามือกำพวงมาลัยแน่น ในขณะที่สายตาก็สอดส่ายสองข้างทางที่ทั้งเปลี่ยวแล้วก็ไร้ผู้คน เรียกได้ว่าร้านรวงแทบจะไม่มีตั้งให้เห็นเลย

ผมลดกระจกข้างคนขับเมื่อเห็นแสงไฟสลัวๆ ของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ตั้งอยู่ข้างทาง มันเป็นร้านเล็กๆ ที่น่าจะเปิดทั้งคืน เพราะตั้งแต่ณัชมาทำงานร้านอาหารกึ่งผับของผม เวลาที่ต้องขับรถมารับมันดึกๆ ก็จะเห็นร้านนี้เปิดขายตลอด ดีหน่อยที่ข้างๆ เป็นเซเว่นขนาดใหญ่ เพราะถ้าจะให้มาเปิดเป็นร้านเดี่ยวๆ แถวนี้คงอันตรายน่าดู ถัดมาอีกนิดก็เป็นที่ยืนรอรถเมล์ ผมค่อยๆ จอดรถเทียบฟุตปาธ ก่อนจะเดินฝ่าฝนที่ตกลงมาปรอยๆ โดยไม่แคร์เลยว่าตัวเองอาจจะเป็นหวัดได้ เพื่อไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการหยิบจับอุปกรณ์ทำมาหากินอย่างคล่องมือ

ไม่แน่บางทีพวกเขาอาจจะเห็นณัชเดินผ่านมาทางนี้ก็ได้

“เอ่อ… คุณน้าครับ ผมมีเรื่องจะรบกวนถามอะไรหน่อยครับ” ผมเลียบๆ เคียงๆ ถามผู้หญิงที่ยืนใกล้กระติกน้ำดื่มที่มีไว้สำหรับบริการลูกค้าในร้านด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม

“ว่าไงจ๊ะ” คนถูกเรียกละความสนใจจากสิ่งที่ทำขึ้นมามองหน้าผมพร้อมกับส่งยิ้มบางมาให้

“คุณน้าเคยเห็นเด็กผู้ชายตัวสูงประมาณคิ้วผมเดินผ่านมาทางนี้หรือว่ายืนรอรถเมล์อยู่ตรงป้ายนั้นบ้างไหมครับ”

เธอเอียงคอเล็กน้อยตอนที่ทำหน้านึก “วันนี้มีเด็กเดินผ่านตั้งเยอะแยะ น้าจำได้ไม่หมดหรอกจ้ะ”

“งั้นถ้าเป็นคนนี้ล่ะครับ”

ในเมื่อเธอจำหน้าไม่ได้ ผมก็เลยต้องล้วงหยิบตัวช่วยขึ้นมาจากในกระเป๋ากางเกง กดเข้าไปยังคลังภาพ ใช้เวลาแป๊บเดียวในการเลื่อนหารูป เพราะส่วนใหญ่ในโทรศัพท์ของผมก็มีแต่รูปมันทั้งนั้น ก่อนจะหันหน้าจอที่แสดงภาพของณัชยื่นไปให้เธอดู

มือบางรับโทรศัพท์ผมไปถือไว้ โดยที่ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังคนในจอสี่เหลี่ยมอย่างพินิจพิเคราะห์ สักพักเธอก็ส่ายหน้าน้อยๆ เพื่อตอบคำถามผม

“ไม่เคยเห็นเลยเหรอครับ”

“จ้ะ ถ้าหน้าตาน่ารักขนาดนี้เดินผ่านมาหน้าร้านยังไงน้าก็จำได้”

“เหรอครับ”

“ขอโทษทีนะจ๊ะ ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“ไม่เป็นไรครับคุณน้า ขอบคุณมากนะครับ”

ผมค้อมหัวให้คนตรงหน้าหนึ่งทีเป็นการขอบคุณและกล่าวคำลาไปในตัว ก่อนจะถอยเท้าออกมาช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ ตอนนี้ผมรู้สึกมืดแปดด้านไปหมด ความหวังของผมที่โคตรริบหรี่อยู่แล้วก็ยิ่งริบหรี่เข้าไปใหญ่

นี่ผมจะไม่เจอไอ้ณัชจริงๆ เหรอวะเนี่ย

นั่งตัดพ้อตรงเบาะคนขับได้ไม่นานผมก็บอกตัวเองให้ตั้งสติ ลมหายใจร้อนๆ ถูกพ่นออกมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ราวกับว่าถ้าทำเช่นนี้มันจะช่วยบรรเทาความกลัดกลุ้มร้อนใจในร่างกายของผมให้จางลงไปได้ ก่อนที่ผมจะสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วขับออกไปตามหาณัชต่อด้วยอารมณ์ที่เย็นขึ้นกว่าเดิมหน่อย

รถสปอร์ตหรูเคลื่อนตัวผ่านตึกสูงต่ำที่ปิดไฟเงียบ ถึงจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล แต่ถ้าเทียบระหว่างแถบชานเมืองกับในเมืองแล้วยังไงมันก็ต่างกันอยู่ดี ผมขับรถด้วยความเร็วปกติ จนกระทั่งเกือบจะถึงสี่แยกใหญ่ ดวงตาที่เริ่มพร่ามัวไปตามกระจกก็ค่อยๆ หรี่แคบลงเพื่อเพ่งมองอะไรบางอย่างสีขาวๆ ที่เด่นมาจากในความมืด

หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ…

จวนเจียนจะหลุดออกมาจากร่าง เมื่อยิ่งขับรถเข้าไปใกล้สิ่งที่ตามองเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

เสื้อยืดที่เปียกปอนไปด้วยน้ำจนมันลู่แนบเนื้อ บวกกับเส้นผมสีอ่อนที่ต้องแสงไฟกับกระเป๋าสะพายคาดอกที่ผมจำได้ขึ้นใจเพราะเป็นคนซื้อให้มันใช้ก็สะท้อนเข้ามาในดวงตา

ไอ้ณัช…

ใช่มันจริงๆ ด้วย

ร่างเล็กกำลังนั่งชันเข่ากอดขาตัวเองแน่นอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา แม้ว่าจะนั่งในที่รอรถประจำทาง มีหลังคาสูงบัง แต่เหมือนว่าแรงลมจะพัดพาน้ำฝนกระเซ็นไปตกโดนมันไม่น้อย

ณัชยกมือขึ้นมาป้องตาเมื่อแสงจ้าของไฟหน้ารถสาดไปที่ตัว พอผมแน่ใจว่าคนตรงหน้าคือมัน ผมก็กระชากประตูรถเปิดออก แล้วกุลีกุจอรีบตรงไปหามันอย่างไม่คิดชีวิต

ใบหน้าสิ้นหวังที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำ แยกไม่ออกเลยว่าน้ำตาหรือน้ำฝนก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“พี่ผา…”

มันเรียกชื่อผมเสียงพร่าเหมือนจะขาดใจ ก่อนจะตรงเข้ามากอดร่างผมไว้ทั้งตัวพลางพร่ำบอกขอโทษไม่หยุด ผมเลยต้องยกมือขึ้นไปลูบหัวทุยๆ ของมัน จากตอนแรกที่จะดุสั่งสอนสักหน่อยก็ต้องปิดปากสนิทเมื่อเห็นอีกฝ่ายงอแงไม่ต่างจากสมัยเด็ก

ตั้งแต่โตเป็นหนุ่ม ณัชเคยเป็นแบบนี้ที่ไหน

ยิ่งเป็นฝ่ายเข้ามากอดผมก่อนนี่แทบไม่เคยมีในพจนานุกรมของมัน

“กลับบ้านเรากัน”

คนตัวเล็กไม่ได้เปล่งเสียงตอบ แค่พยักหน้าขึ้นลงเป็นการบอกเท่านั้น ณัชกลายเป็นเด็กหัวอ่อนขึ้นมาทันใด เห็นแล้วก็อดเอ็นดูมันไม่ได้ ทำเป็นเก่งดีนัก ดื้อรั้นไม่เข้าเรื่อง เจอแบบนี้คงหายซ่าไปพักใหญ่ ก่อนที่ผมจะหันหลังให้อีกฝ่ายขึ้นมาแล้วพากลับไปที่รถพร้อมกัน

ถ้าเป็นในเวลาปกติมันคงด่าผมเสียงเขียวไปแล้วว่าไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาปรนนิบัติเอาใจขนาดนี้ก็ได้ แต่เพราะว่าตอนนี้มันสิ้นฤทธิ์จะโต้แย้งก็เลยเงียบไม่ต่อปากต่อคำอย่างที่เห็น

ไม่อยากจะพูดหรอกว่าตอนที่มันหมดฤทธิ์ก็ดูน่ารักดี แต่ถ้าต้องแลกกับการให้มันมาเจอเหตุการณ์แย่ๆ ผมยอมให้มันแผลงฤทธิ์ใส่ยังจะดีซะกว่า

“ณัช… เปิดประตูรถหน่อย”

เอ่ยบอกคนที่ขี่หลังด้วยน้ำเสียงเรียบ เมื่อมือทั้งสองข้างของผมกำลังช้อนตัวมันไว้เพื่อกันไม่ให้หล่น เห็นตัวเล็กๆ อย่างนี้เบาซะที่ไหน ถึงจะเบากว่าผมหลายโล แต่น้ำหนักตัวก็เท่ากับผู้ชายคนหนึ่งเลยนะ

และพอประตูรถสปอร์ตเปิดออก ผมก็ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้ณัชขยับไปนั่งดีๆ พร้อมกับปรับเบาะให้มันได้เอนหลังในท่าสบาย แล้วผละออกไปเปิดกระโปรงหลังรถ หยิบเอาผ้าขนหนูกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนออกมา

“อ่ะมึง ถอดเสื้อผ้าออก”

“…” มันกะพริบตาถี่ๆ คงไม่เข้าใจว่าจะให้ถอดออกทำไม ผมเลยต้องพูดอธิบายเพิ่มเติมให้มันฟัง

“เดี๋ยวปอดบวม ไม่ต้องมาทำหน้างงใส่กูเลย เห็นมึงในสภาพนี้คิดว่ากูจะมีอารมณ์ปล้ำหรือไง เป็นห่วงมากกว่า ถอดแล้วก็เอาผ้าห่มคลุมท่อนล่างไว้ แต่ถ้ามึงไม่อยากทำตามก็ไม่ได้ว่าอะไร ไข่เน่าขึ้นมาเพราะอับชื้นก็อย่ารบเร้าให้กูพาไปหาหมอละกัน ถือว่าพูดเตือนแล้ว ส่วนท่อนบนก็ใส่เสื้อเชิ้ตกูไปก่อน”

ช่วงนี้ผมขับรถไปกลับพัทยาบ่อย อย่างที่ทราบดีว่าผมมีโครงการจะสร้างร้านอาหารกึ่งผับสาขาใหม่ที่นั่น ก็เลยมีเสื้อผ้าติดรถไว้เพื่อเปลี่ยนเวลาที่ต้องนัดเจอลูกค้าผู้หลักผู้ใหญ่กะทันหัน ขืนปล่อยให้ตัวเองดูซกมกก็เสียเครดิตแย่ ยิ่งงานด้านธุรกิจเรื่องความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ และก็น่าแปลกที่ณัชยอมทำตามคำสั่งของผมโดยไม่เถียง

สงสัยไม่มีอารมณ์มาทะเลาะกับผมมั้ง คงอยากนอนพักผ่อน หรือไม่ก็กลัวไข่เน่าจริงๆ อย่างที่ผมบอก

ณัชจัดการตัวเองเสร็จภายในเวลาสั้นๆ จากนั้นผมก็เอื้อมมือออกไปปรับอุณหภูมิในรถให้เหมาะกับสภาพร่างกายของพวกเราในตอนนี้ที่เหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิน้ำมาหมาดๆ

สำหรับผมไม่ป่วยง่ายๆ หรอก แข็งแรงดี แต่กับคนข้างๆ ที่ตากฝนมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เนี่ยสิจะโดนไข้แดกเอา กลับคอนโดฯ ไปคงต้องหายาให้กินกันไว้สักชุด

ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาที ผมก็พารถมาจอดที่ใต้คอนโดฯ หรู ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนดึกถนนโล่งกว่าปกติก็คงนานเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ผมซื้อห้องที่นี่ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ไม่ได้ขอเงินพ่อกับแม่เลยสักบาท แถมยังอยู่ในย่านธุรกิจการค้า ถึงจะประสบปัญหารถติดไปบ้างแต่ก็เจริญหูเจริญตาดี ที่สำคัญใกล้กับร้านอาหารกึ่งผับสาขาหนึ่งของผมด้วย

 “ณัช” ผมหันไปมองณัชที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว

“…”

“ไอ้ณัช… ถึงแล้ว” ก่อนจะเรียกซ้ำพลางแตะเบาๆ ที่หัวไหล่คนตัวเล็ก

“อื้อ” มันครางรับในลำคอ ท่าทางคงจะเพลียน่าดู ก่อนที่ผมจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อแบกมันขึ้นขี่หลังเหมือนเดิม

“จับผ้าดีๆ ดิ เดี๋ยวร่วง”

ผมบอกตอนที่มันเคลื่อนตัวมาอยู่บนหลังผมอีกครั้ง แอบทุลักทุเลนิดหน่อยแต่ก็พามันกลับมาถึงห้องจนได้ พอมาถึงผมก็ลากตัวมันไปอาบน้ำสระผม เช็ดหัวหูจนแห้งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันด้วยชุดนอนสบายๆ ก่อนจะบังคับให้กินยากันไว้

“พักผ่อนนะมึง”

“อื้อ”

“ฝันดีครับณัชชนม์”

กระซิบข้างหูมันแล้วดึงผ้าห่มจากปลายเตียงขึ้นมาคลุมร่างให้อีกฝ่าย ก่อนจะกดจูบที่หน้าผากมนเบาๆ แล้วผละตัวออกมาจัดการกับตัวเองต่อ







ผมขยับกายเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทะลุม่านจนแยงตาผมที่นอนอยู่บนเตียง เพราะโดนปลุกด้วยวิธีธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งนาฬิกาผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นณัชตื่นมามองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว

“เป็นอะไรของมึง” ถามเสียงติดจะงัวเงียระดับสิบ เนื่องจากผมยังไม่ตื่นเต็มตาดีพลางขยี้ตาตัวเองเบาๆ เพื่อปรับโฟกัส

“เปล่า” คนตรงหน้าตอบปฏิเสธเสียงใส ผิดจากคนเมื่อคืนที่ทำหน้าเป็นหมาหงออยู่ตรงป้ายรถประจำทางลิบลับ

“แล้วมองหน้ากูด้วยสายตาหลุกหลิกแบบนี้ทำไม จะชวนเอาเหรอ”

“อยากป่ะล่ะ”

ณัชถามกลับด้วยน้ำเสียงท้าทาย ส่วนผมที่ได้ยินคำเชื้อเชิญสองแง่สองง่ามก็ได้แต่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ จากตอนแรกที่งัวเงียอยู่ก็เริ่มตาสว่าง

นี่ผมยังเดาไม่ออกเลยว่ามันจะมาไม้ไหน

คงไม่ได้คิดที่จะเล่นอะไรแผลงๆ หรอกนะ

“จะเอาอะไรก็ว่ามา อย่ามาทำตัวแปลกๆ ใส่กู”

“ไม่เอาอะไร เพราะทุกวันนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”

“อะไรของมึง ตากฝนจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ”

“ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องเมื่อวาน ถ้าณัชไม่ได้พี่ผาล่ะก็คงต้องทนหนาวตายอยู่ที่นั่นทั้งคืนแน่”

“หึ นึกว่าเรื่องอะไร ใครจะยอมปล่อยมึงไว้คนเดียว กูเคยบอกแล้วนี่ว่าถ้ามึงหายไปกูจะตามกลับมาให้ได้ เพราะมึงต้องอยู่ชดใช้กูจนวันตาย”

“ชดใช้อะไร”

“ก็ทำให้กูรักแล้วอย่าคิดหนีกูง่ายๆ ไง มึงหายไปเมื่อไหร่ กูจะตามไปลากคอมึงกลับมาเอง”

“ขนาดนั้นเลย นี่แฟนหรือนักโทษวะเนี่ย”

“ไม่รู้แหละ ทีหลังก็อย่าดื้อกับกูให้มาก หัดฟังกูบ้าง ที่บ่นก็เพราะห่วงทั้งนั้น เข้าใจไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”

ณัชขานรับอย่างว่าง่ายจนผิดวิสัย ผมก็ขึ้นคร่อมร่างมันทันที ถ้าเป็นวันอื่นคงซุกซอกคอขาวและฝากรอยรักยามเช้าไว้ที่ตัวมันไปแล้ว แต่ครั้งนี้ผมกลับโน้มตัวลงไปกอดมันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกว่านั้น

สักพักน้ำใสๆ ที่ใครต่อใครต่างเรียกว่าน้ำตาก็ไหลซึมออกมาเงียบๆ ณัชคงสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่ตัวเอง มันก็เลยถาม

“พี่ผาร้องไห้เหรอ”

“…”

“เฮ้ยย! พี่ผาร้องไห้ทำไม”

“…”

“ก็มึงอ่ะ มึงหายไป กูกลัวฉิบหาย นึกว่าจะไม่เจอมึงแล้ว มึงรู้ไหมว่ากูเป็นห่วงขนาดไหน ทีหลังอย่าทำแบบนี้กับกูอีกนะ กูไม่ชอบ ถ้ามึงยังดื้อ คราวนี้กูล่ามโซ่มึงไว้ที่คอนโดฯ จริงๆ ด้วย” ผมพูดเสียงอู้อี้ ระบายความอัดอั้นที่แน่นอยู่ในอกออกมา

“ครับ ไม่ทำแล้ว โอ๋ๆ เงยหน้าดิ”

ณัชปลอบไม่จริงจัง ออกแนวขำในท่าทางของผมมากกว่า ก่อนจะประคองใบหน้าผมที่มีหยาดน้ำใสๆ ไหลลงมาที่ข้างแก้มไว้ด้วยสองฝ่ามือ แล้วค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วโป้งไล่เกลี่ยให้

ผมเคยร้องไห้ที่ไหน แต่เพราะเมื่อวานผมใจคอไม่ดีจริงๆ พอนึกแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาอีก ณัชเลยใช้มือแตะมาที่ปากผมเบาๆ เป็นการบอกนัยๆ ว่าให้หยุดได้แล้ว ผมก็เลยก้มลงไปกอดมันอีกครั้งและอยู่ในท่านั้นพักใหญ่

นี่สินะน้ำตาของลูกผู้ชาย

.

.

.

แต่…

แม่งเอ้ยยย! โคตรเสียเซลฟ์เลยว่ะที่เสือกร้องไห้ต่อหน้าไอ้ณัช



※※※


แฮชแท็ก #หวงณัช

มาแล้วววว รอบนี้มาช้าหน่อยไม่ว่ากันนะคะ เอาจริงๆ เราจะย้ายไปอยู่ทีมพี่อิชย์แล้วค่ะ ฮ่าๆๆ พี่ผาช่างน่าสงสารเหลือเกินเมื่อมีคนหล่อปรากฎตัวเพิ่มขึ้นมา T3T


ช่องทางการติดต่อ Twitter @THEROMARKTIC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2018 20:19:08 โดย ROMARKTIC »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ณัชอย่าไปเคลิ้มกะพี่อิชย์ พี่ผาเค้ารักหนูมากนะ   :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
พี่ผาาาาา โอ้ยรักเมียจริงไรจริง แอบสะเทือน ความคลื่นใต้น้ำเบาๆไหมกับการปรากฏตัวของพี่อิชย์ ณัช อย่าบอกว่าเคยแอบรักมาก่อนนะ... แต่แฟนคนเก่าเป็น ผญ.งั้นก็ปลื้ม แนวไอดอลงี้ไหม.... โอ้ยยย คือทีมพี่ผาเด้อ เห็นน้ำตาลูกผุชายของเฮียแล้วแบบ เอ้อ นี่ล่ะพระเอกของชั้น!  :laugh:

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
หวงณัช #5
พลิกตัวกลับใจ


 

“ณัชว่าช่วงนี้พี่ผาสูบบุหรี่จัดกว่าเมื่อก่อนอีกนะ” นั่นคือประโยคบอกเล่าที่ณัชพูดขึ้นมาลอยๆ ในระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่บนโต๊ะอาหาร

ถึงว่าทำไมตอนที่ผมเดินกลับเข้ามาหลังจากที่ออกไปดูดบุหรี่ตรงระเบียง มันถึงได้มองค้อนผมเหมือนไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง ที่แท้ก็เรื่องบุหรี่นี่เอง “ไหนบอกว่าใกล้จะเลิกได้แล้วไงครับ”

“ก็พยายามอยู่ แต่มึงก็เห็นว่าช่วงนี้กูมีอะไรต้องจัดการตั้งหลายอย่าง ให้กูได้ใช้มันคลายเครียดบ้างเถอะ”

ณัชเคยขอให้ผมเลิกตั้งแต่วันที่มันตอบตกลงคบกับผม ยอมรับว่าตอนนั้นที่ผมรับปากไปเพราะตั้งใจจะเลิกให้มันจริงๆ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็ทำให้ผมไม่สามารถทำตามที่สัญญาไว้กับมันได้ในทันที

เลิกบุหรี่นะ…

ไม่ใช่ตื่นนอนมาแล้วจะหายได้เอง

แม้ว่าจะเพลาๆ ลงไปมากถ้าหากเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เริ่มสูบ แต่ผมก็ยังไม่ได้เลิกขาด ยิ่งพักนี้มีเรื่องงานมาทำให้เครียดด้วยแล้วผมก็ยิ่งกลับมาใช้มันบ่อยขึ้นเข้าไปใหญ่

“พี่ผาก็เลยเลือกวิธีผ่อนคลายด้วยการสูบบุหรี่ทั้งที่มันทำร้ายตัวเองน่ะเหรอครับ ณัชว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิดๆ แล้วก็เป็นข้ออ้างของคนที่ใช้มันมากกว่า”

“ข้ออ้างยังไง”

“ก็ถ้ามันคลายเครียดได้จริง ณัชขอลองสูบบ้างได้ไหมล่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยประชดในขณะที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยท่าทางท้าทาย

“ไอ้ณัช! มึงไม่ต้องมายอกย้อนกู แล้วก็เลิกคิดที่จะลองไปได้เลย ไม่งั้นกูเอามึงตายแน่”

สำหรับเหล้าเบียร์ผมพออนุโลมให้ได้ มีแค่บุหรี่ที่ขอสั่งห้ามโดยเด็ดขาด อาจจะฟังดูแปลกไปสักหน่อยที่คนสูบบุหรี่อย่างผมดันเสือกไปห้ามมัน แต่ที่ผมทำไปก็เพราะเป็นห่วงทั้งนั้น อีกอย่างถ้าณัชจะลองสูบ มันคงลองไปตั้งนานแล้ว แต่ที่มาพูดท้าก็แค่อยากแดกดันผมมากกว่า

“ขู่ณัชแบบนี้คิดว่าจะกลัวเหรอ”

“ถ้างั้นกูจะบอกแม่มึง”

“เฮ้ยย! ได้ไงวะ พี่ผาเล่นอย่างนี้ขี้โกงนี่หว่า”

“ขี้โกงตรงไหน”

“ทีพี่ผายังสูบได้เลย”

“นั่นมันกู แต่นี่มันมึง”

“พี่ผาไม่แฟร์ว่ะ ห้ามณัชแล้วทำไมไม่ห้ามตัวเองบ้างวะ”

“ไม่ต้องมาพูดมากเลยไอ้ณัช เอาเป็นว่าถ้ากูเห็นมึงสูบเมื่อไหร่ เรื่องนี้ถึงหูแม่มึงแน่ กูไม่ได้ขู่ด้วย แต่กูพูดจริง”

ชี้นิ้วออกคำสั่งพร้อมกับส่งสายตาดุๆ ไปที่มัน ณัชเองก็คงไม่คิดว่าผมจะเอาเรื่องแม่มาพูดขู่ให้มันกลัว เพราะแบบนั้นคนตัวเล็กถึงได้ไม่พอใจ จงใจปล่อยช้อนส้อมที่ถืออยู่ในมือหล่นลงมาบนจานข้าวของตัวเองเสียงดังเคร้ง

ผมสะดุ้ง มือข้างที่กำลังตักข้าวเข้าปากอยู่หยุดชะงัก และทันทีที่คนตรงหน้าทำนิสัยเสียบนโต๊ะอาหาร มันก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะพูดทิ้งท้ายด้วยใบหน้านิ่งๆ แค่นี้ผมก็พอรู้แล้วว่ากำลังโดนมันโกรธอยู่

“ณัชอิ่มแล้ว พี่ผากินเสร็จก็เก็บกับข้าวด้วยนะ”

มันบอกเสียงเรียบ แทบไม่มองหน้าผมเลยสักนิดตอนที่พูด และถ้าผมไม่ตามง้อเสียตั้งแต่ตอนนี้เจอกันอีกทีก็เลยห้าทุ่มไปแล้วหลังกลับจากร้าน เพราะช่วงสายๆ ผมจะแวะเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านใหญ่ เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากคุยงานที่สิงคโปร์ ตอนแรกผมก็ว่าจะพาณัชไปด้วยกัน แต่พอมันบอกว่าจะไปหาเปอร์ ผมก็เลยไม่ได้บังคับอะไร เล่นชวนมันกะทันหันเองด้วยแหละ

ผมมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กที่ตอนนี้เดินไปยังอ่างล้างจาน จากห้องที่เคยมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกเวลากินข้าวก็ผันแปรเป็นความเงียบ จนผมที่ทนอยู่เฉยกับสถานการณ์กดดันไม่ไหวก็เป็นฝ่ายเข้าไปตามง้อมันก่อนในที่สุด

โคตรไม่ชอบเลยเวลาที่เราต่างคนต่างเงียบใส่กัน

“ไม่เอาดิไอ้ณัช”

ผมเดินเข้าไปกอดร่างมันจากทางด้านหลัง ณัชไม่ได้สะบัดตัวหนี ผมเลยใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่ามันคงไม่ได้โกรธอะไรผมมาก อาจจะแค่เรียกร้องความสนใจให้ผมยอมเลิกบุหรี่ตามที่มันขอก็เท่านั้น

“…”

“โอเคๆ กูยอมแล้ว เลิกก็ได้” พูดเสียงอ่อนลงกว่าเดิมพลางวางคางเกยบนไหล่มันอย่างอ้อนๆ

ง้อขนาดนี้แล้วถ้าไม่ได้ผลก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงละนะ

“แต่มันสองครั้งแล้วที่พี่ผาบอกว่าจะทำให้” อยู่ๆ มันอ้างเรื่องในอดีตขึ้นมาพูด

“ครั้งนี้กูสัญญาจะพยายามให้มากขึ้นกว่าครั้งก่อน เพราะฉะนั้นเลิกงอนกูเถอะนะ” ผมรบเร้าใกล้ๆ กกหูมัน ก่อนจะเรียกชื่อซ้ำด้วยเสียงหวานอีกที “ณัชชนม์ครับ…”

“…”

“ณัชชนม์…”

และดูเหมือนว่าการเซ้าซี้ของผมจะได้ผล หรือว่ามันทนรำคาญไม่ไหวอันนี้ก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่นานณัชก็หันกลับมาประจันหน้ากับผม ทำให้ตอนนี้ใบหน้าเราสองคนห่างกันเพียงคืบ มีแค่ลมหายใจร้อนๆ คั่นกลาง

“ถ้าอย่างนั้นพี่ผาต้องทำให้ณัชเชื่อใจก่อนว่าคราวนี้ไม่ได้รับปากไปส่งเดช”

“เออ กูรับปาก” ลั่นวาจาหนักแน่นเพราะอยากให้มันไว้ใจ

“คิดดีแล้วใช่ไหมที่พูดเนี่ย”

“ดีแล้วดิ”

“งั้นณัชขอซองบุหรี่ครับ”

“ฮะ?!”

ผมร้องอุทาน เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ ณัชก็แบมือนิ่มๆ มาตรงหน้า บอกตามตรงไม่คิดเลยว่ามันจะใช้วิธีนี้กับผม

แสบมาก…

แค้นกูเรื่องที่เอาแม่มาขู่ใช่ไหม

ถึงได้เล่นกูแรงขนาดนี้

น้ำลายในคอเหนียวหนืดไปหมด เพราะบุหรี่ที่ผมมีตอนนี้คือมาร์ลโบโร่ตัวโปรดที่เพิ่งได้มาใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน และที่สำคัญผมหยิบออกมาสูบได้แค่ 2 มวนเอง

“เร็วสิครับพี่ผา” คนตัวเล็กเร่งยิกเมื่อผมยืนนิ่งไม่ตอบสนอง

“อะ…เออ”

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมยังไม่ทันได้คิดหาคำพูดดีๆ มาค้านการกระทำของณัชก็ต้องล้วงหยิบซองบุหรี่ออกมาจากในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้ววางลงไปบนมือมันอย่างไม่ค่อยสมัครใจ

สายตาก็เอาแต่มองซองบาร์ดำเขียวที่โดนณัชยึดไปตาละห้อย

“รับปากแล้วก็ทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยนะครับ”

“…อืม”

ครางตอบรับเสียงอ้อมแอ้มเหมือนอารมณ์อาลัยอาวรณ์บุหรี่ที่โดนริบไปยังตกค้างอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีกะจิตกะจิตขยับมือไปซ่อนไว้ข้างหลังตอนที่มันเผลอ เพื่อทำนิ้วไขว้กันไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

ผมเลิกแน่

แต่ขอเวลาให้ผมหน่อย

ไม่ใช่หักดิบอย่างที่มันทำอยู่ตอนนี้

เพราะถ้างดโดยไม่ให้ผมแตะต้องเลยสักมวนมีหวังได้ลงแดงตาย







ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามา”

“ไอ้เชี่ยเลียงผาาา!” เสียงมาก่อนตัวโดยที่ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปดูก็เดาได้ว่าใคร มีอยู่แค่คนเดียวที่เรียกผมด้วยชื่อสัตว์ป่าสงวนเช่นนี้ “เดี๋ยวนี้ทำมาเป็นขยันนะมึง หายหน้าหายตา เพื่อนฝูงไม่คิดโทรหา ยุ่งเรื่องที่ที่พัทยาเหรอวะ”

“เออ ก็ประมาณนั้น แล้วมึงมาหากูมีธุระอะไร”

“เข้าเรื่องอย่างไวเลยนะไอ้สัด ทักทายกูสักคำก็ไม่มี”

“ถ้ามึงจะมากวนตีน กูแนะนำว่าให้กลับไปเลย วันนี้กูยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่”

“อะไรวะ อารมณ์บูดจากไหนมาเนี่ย หรือว่ายอดขายเดือนนี้ตกลง”

“พ่อง! ปากเสีย”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วมึงเป็นอะไร”

“ก่อนจะเสือกเรื่องของกู มึงตอบเรื่องของมึงมาก่อนไหม”

“กูก็แค่เบื่อๆ”

“แค่เบื่อๆ เนี่ยนะ” ผมหรี่ตามองมันอย่างจับผิด “ไม่ใช่เพราะว่าถ่านไฟเก่ามาคุเหรอ มึงถึงได้หงุดหงิดร้อนใจจนต้องวิ่งโร่มาหากู”

“เชี่ยผาา! มึงไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี แล้วก็ไม่ใช่เรื่องนั้นด้วย วันนี้กูเพิ่งส่งงานลูกค้าเสร็จ เลยแวะมาชวนมึงแดกเหล้าคลายเครียดซะหน่อย”

“ชวนกูแดกเหล้าหรือชวนกูเลี้ยงเหล้า เอาให้แน่”

“เออ ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่เอนไปทางอย่างหลังมากกว่า” ธิปยิ้มกวนตีน ยอมรับออกมาหน้าด้านๆ ไม่มีความเกรงอกเกรงใจเลยสักนิดเดียว

ผมส่ายหน้าให้มันพลางถอนหายใจทิ้งอย่างปลงๆ ละสายตาจากแฟ้มเอกสารที่มีแต่ตัวเลขให้ตรวจสอบก่อนจะคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมากดโทรไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มกับพนักงาน ไม่ต้องหันไปถามธิปเลยว่ามันอยากแดกอะไร เพราะผมจัดการสั่งให้ถูกปากมันเรียบร้อย

และในระหว่างที่ทวนรายการอาหารกับคนในสายอยู่นั้น ผมก็ลุกไปเปิดผ้าม่านสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่กั้นกระจกบานใหญ่ออก เผยให้เห็นภาพในมุมกว้างของร้านอาหารกึ่งผับโดยที่คนข้างล่างมองขึ้นมาจะเห็นเป็นแค่ห้องกระจกสีทึบ เสร็จแล้วผมก็ล้มตัวลงนั่งบนโซฟากำมะหยี่สีดำฝั่งตรงข้ามธิป

นี่ถ้ายกเตียงขึ้นมาตั้งในห้องทำงานได้ ผมก็คงทำไปนานแล้ว แต่เดี๋ยวณัชจะเข้าใจผิด คิดว่าผมเอาเตียงมาไว้ในที่ทำงานเพื่อจะแอบไปทำอะไรกับใครลับหลังมัน ไอเดียนี้ก็เลยถูกยกเลิกไป

“แต่มึงมาก็ดีละ วันนี้ก็กูแอบอยากดื่มอยู่เหมือนกัน”

“เกิดอะไรขึ้นวะ มึงยังไม่เล่าให้กูฟังเลยนะ ทะเลาะกับณัชมาเหรอ”

“ก็ไม่เชิงว่าทะเลาะกันหรอก มึงคิดว่าคนอย่างกูจะกล้าไปทะเลาะกับมันเหรอ ก็แค่ตึงๆ ใส่กันนิดหน่อย”

“ยังไงวะ” ธิปขมวดคิ้ว

“ณัชบอกให้กูเลิกบุหรี่”

“เฮ้ยย! ก็ดีแล้วนี่หว่า น้องเป็นห่วงก็เพราะว่าเขารักมึง แล้วมึงจะมาดราม่าทำไมวะ”

“จะไม่ให้ดราม่าได้ไง เมื่อเช้ามันยึดมาร์ลโบโร่แบล็กเมนทอลตัวที่กูเพิ่งกดสั่งซื้อจากเว็บไป”

“เชี่ยย!”

“เออดิ แล้วที่เชี่ยยิ่งกว่านั้นคือกูเพิ่งสูบไปได้แค่ 2 มวน ความเย็นยังไม่ทันทะลุปอดกูเลย มันก็เอาของกูไปทิ้งลงถังขยะแล้ว”

“และทำไมมึงไม่ไปคุ้ยในถังขยะขึ้นมาวะ”

“ไอ้สัด! กูไม่ใช่หมา”

“นี่คงตั้งใจจะหักดิบมึงเลยสินะ” ธิปตั้งข้อสงสัย ซึ่งก็ถูกหมดทุกอย่างตามที่มันบอก “แต่มึงก็เพลาๆ ลงไปเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ ครั้งล่าสุดที่คุยกันมึงบอกกูว่าสูบวันละ 5 มวนเองนะ”

“ก็เออไง กูลดไปได้ตั้งเยอะแล้ว อย่างน้อยๆ ถ้าจะห้ามก็เหลือให้กูวันละ 3 มวนก็ยังดี”

“ถึงว่าบนโต๊ะเลยมีแต่ขนม ปากว่างแล้วอยากสินะมึง”

“อืม”

“แต่เอาจริงๆ มึงจะไปเคืองน้องก็ไม่ได้หรอก เพราะน้องขอให้มึงเลิกบุหรี่ตั้งแต่ตอนคบกันใหม่ๆ แล้ว ก็สมควรอยู่ที่น้องจะห้ามจริงจัง เพราะที่ผ่านมาน้องไม่เคยตามจิกมึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง แล้วเป็นไงล่ะ มึงก็ทำให้น้องไม่ได้”

ผมกำลังจะอ้าปากเถียงเพื่อน แม้จะรู้ว่าสิ่งที่มันพูดมาไม่มีประโยคไหนเกินจริงเลย แต่ผมก็ต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นขัด ก่อนที่พนักงานเสิร์ฟชาย 2 คนจะเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารและเครื่องดื่ม ผมเลยอาศัยจังหวะที่บทสนทนาระหว่างธิปขาดช่วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาผู้จัดการร้านอาหารกึ่งผับสาขาสอง เพราะดูท่าว่าวันนี้คงอีกยาว และอาจจะไปรับณัชตามที่พูดบอกไว้เมื่อเช้าไม่ได้ ก็เลยจะไหว้วานธรรมให้ไปส่ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นทางกลับบ้านของมันเหมือนกัน ผมก็คงไม่บากหน้ากล้าไปใช้มันตรงๆ หรอก

“ไอ้ธรรม…”

รอฟังเสียงสัญญาณไม่นานปลายสายที่โทรหาก็กดรับ ธิปที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พอได้ยินเสียงผมพูดขึ้นมามันก็ชำเลืองหางตามามอง

[ว่าไงครับเฮียผา]

“วันนี้หลังเลิกงานมึงไปไหนต่อหรือเปล่า”

[ไม่ได้ไปไหนนะครับ]

“ถ้าอย่างนั้นกูวานมึงแวะไปส่งไอ้ณัชที่คอนโดฯ หน่อย”

[ทำไมเฮียผาไม่โทรบอกคุณณัชแล้วให้คุณณัชมาบอกผมล่ะครับ]

“บอกไอ้ณัชแล้วคิดว่ามันจะยอมทำตามกูไหม กลัวรับปากไปส่งเดชแต่ไม่ทำอ่ะดิ กูเลยโทรมาบอกมึงก่อน และค่อยมัดมือชกมันทีหลัง”

[แล้วเฮียผาจะคุยกับคุณณัชเลยไหมครับ]

“ทำไมอ่ะ พวกมึงอยู่ด้วยกันเหรอ”

[ครับ พอดีคุณณัชขึ้นมาเอาไวน์แดงข้างบน]

“เออๆ งั้นคุย” บอกความต้องการกับอีกฝ่ายก่อนจะมีเสียงตะกุกตะกักจากปลายสายดังลอดออกมา

[คุณณัชครับ… โทรศัพท์จากเฮียผา]

[ว่าไงนะครับพี่ธรรม]

[โทรศัพท์จากเฮียผาครับคุณณัช]

[ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ ณัชหมายถึงเรื่องที่พี่ธรรมเรียกณัชว่าคุณณัชต่างหาก ณัชเคยบอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกคุณ เรียกณัชเฉยๆ]

ผมเอียงหูฟังบทสนทนาที่ณัชพูดกับผู้จัดการร้านด้วยน้ำเสียงต่อว่าก็ได้แต่อมยิ้มขำ

นี่มันไปทำงานเป็นลูกน้องเขาจริงๆ ป่ะเนี่ย

มีการไปดุนายจ้างด้วยเว้ย

น่ารักดีว่ะ

จนกระทั่งได้ยินเสียงณัชพูดมาตามสาย ถึงได้รู้ว่ามันกำลังยกหูโทรศัพท์พร้อมคุยกับผมแล้ว

[ครับ?]

“คืนนี้กูกลับดึกนะ ไอ้ธิปแวะมาหาที่ร้าน คงไปรับมึงไม่ได้ แต่กูบอกไอ้ธรรมแล้วว่าให้ไปส่งมึงที่คอนโดฯ ด้วย กลับกับมันกูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะกูไม่ไว้ใจให้มึงโทรไปบอกไอ้เปอร์แล้ว เดี๋ยวได้เป็นเรื่องเหมือนคราวนั้นอีก”

[แล้วพี่ธิปไปหาพี่ผาทำไมอ่ะ]

“มันชวนแดกเหล้า”

[แค่เหล้าใช่ไหม ไม่ใช่ว่ามีผู้หญิงนั่งขนาบข้างด้วยนะ]

“ใครจะกล้า ถ้ากูทำอย่างนั้นจริง ไม่ถึง 5 นาทีก็มีคนโทรไปรายงานมึงแล้ว”

[รู้ตัวก็ดี จะได้ไม่เผลอทำผิดให้ณัชจับได้]

ณัชพูดดักคอ ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นพวกขี้หึงอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่คบกันมายังไม่เคยเห็นมันออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง โมโหผมด้วยเรื่องนี้เลย ทั้งที่ผมก็มีผู้หญิงสวยๆ เข้าหาออกจะบ่อย เพราะเมื่อก่อนผมมั่วน้อยที่ไหน แต่มันก็ไม่เคยตามมาโวยวาย จะมีก็แต่ผมที่บ้าคลั่งหึงหวงมันอยู่ฝ่ายเดียว

“จะไปเผลอได้ยังไง ในเมื่อกูไม่เคยคิดที่จะทำ”

[ให้มันจริง แล้วก็อย่าดื่มเยอะนะพี่ผา เดี๋ยวขับรถกลับไม่ไหว ส่วนเรื่องสัญญาที่เราตกลงกันไว้ หวังว่าจะไม่ลืมนะครับ]

“เออ ไม่ลืม เรื่องที่ห้ามสูบบุหรี่ กูจำได้ขึ้นใจน่า เมื่อเช้ามึงก็เพิ่งยึดของกูไป มาร์ลโบโร่ทั้งซองเลยนะนั่น”

[ที่ทำไปก็เพราะเป็นห่วงสุขภาพพี่ผานะ อายุก็ตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังจะมีหน้ามาพูดว่าความหวังดีของคนอื่นอีก]

“โอเคครับ… ผมผิดแล้วว” ผมขานตอบอย่างเสียไม่ได้ โดนบ่นยาวขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะพูดแก้ตัวยังไงแล้ว

[งั้นแค่นี้ก่อนนะพี่ผา ณัชจะไปทำงานต่อ]

“ตั้งใจทำงานล่ะ”

[ครับ]

“แล้วก็อย่าทำตัวไปอ่อยลูกค้าที่ร้านกู เพราะมึงมีสิทธิ์อ่อยกูได้แค่คนเดียว เข้าใจหรือเปล่า”

[เข้าใจแล้วครับ] ตอบกลับมาแบบขอไปทีก่อนที่สายจะตัดไป

และพอคุยธุระเสร็จผมก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกลางโซฟา ธิปที่นั่งรินแบล็กเลเบิ้ลใส่แก้วทรงสวยอยู่นั้นก็โพล่งถามออกมาด้วยความสงสัย

“คุยกับณัชเหรอวะ” มันฟังผมคุยมาตั้งแต่ต้นแท้ๆ ยังจะสะเออะถามอีกนะ

“อืม” ผมก็เลยพยักหน้าตอบคนขี้เสือกกลับไปให้จบๆ จากนั้นก็พูดถามต่อ “ว่าแต่มึงมีบุหรี่สักตัวไหม”

ถึงของผมจะโดนยึดไปแล้วและยังไม่มีเวลาไปซื้อใหม่ แต่ว่าธิปที่เป็นบัดดี้สิงลมควันเหมือนกันก็น่าจะมีพกติดตัวมาบ้าง แม้จะไม่ได้ชอบมาร์ลโบโร่รสเดียวกันก็เถอะ เอามาสูบแก้ขัดก่อน

“ตอนนี้เหรอ”

“เออ กูขอหน่อย”

“ไหนมึงบอกว่าน้องห้ามสูบ”

“ก็ห้ามนั่นแหละ แต่มันไม่เห็น กูก็สูบได้ป่ะ”

“เชร้ดดด! เดี๋ยวนี้มีการพัฒนา กล้าขัดใจเมียเหรอมึง”

“กูไม่ได้ขัด แต่กูอยากจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย ตั้งแต่กินข้าวมากูก็ยังไม่ได้สูบสักมวนเลย”

“และถ้าน้องจับได้ขึ้นมาจะทำไง”

“ก็ถ้ากูไม่พูด มึงไม่พูด มันจะรู้ได้ไงวะ อีกอย่างลูกน้องกูก็ยังไม่มีใครรู้ว่าณัชห้ามเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นทางสะดวกเว่ย”

“แล้วกลิ่นล่ะ”

“เดี๋ยวกูไปสูบตรงทางบันไดหนีไฟ”

โชคดีที่ทางบันไดหนีไฟของร้านอาหารกึ่งผับถูกสร้างไว้นอกตัวอาคาร ถ้าจับทิศทางลมให้ดีๆ กลิ่นก็ไม่น่าจะลอยมาตกที่ผมโดยตรง

“เอาจริงเหรอวะ”

“เออดิ สเปรย์ดับกลิ่นกูก็มี อุปกรณ์ทำความสะอาดในช่องปากกูก็พร้อม แต่ถ้าสมมติณัชเกิดจับได้ กูคงโบ้ยความผิดไปให้มึง บอกว่ามึงเป็นคนสูบ แล้วกลิ่นดันติดเสื้อกูมา”

“เชี่ยย! เรื่องเหี้ยๆ นี่โยนให้กูจัง”

“เอาน่า ช่วยเพื่อนหน่อยดิวะ”

“เออๆ ถ้าอย่างนั้นกูให้มึงสองมวนเลย” ธิปว่าก่อนจะวางบุหรี่ไว้บนมือผม “เผื่อมึงอยากมากกว่าหนึ่ง”



(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
ผมขับรถกลับคอนโดฯ มาพร้อมธิป ชนิดที่ว่าไล่หลังตามกันมาเลย พอลงจากรถก็เห็นมันติดสายคุยโทรศัพท์อยู่กับใครบางคนพอดี ขี้เกียจยืนรอก็เลยทำไม้ทำมือบอกลามันเพื่อขอตัวขึ้นห้องก่อน

ธิปไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ว่ามันดึกแล้ว ก่อนจะขยับปากพูดอวยพรส่งท้ายโดยการเน้นทีละคำแบบไม่ออกเสียงให้ผมรับรู้ “โชค-ดี-นะ-มึง”

ผมหัวเราะร่วนให้กับความกวนตีนของเพื่อน หลังจากนั้นก็เดินผละออกมา มั่นใจในระดับหนึ่งว่าตัวเองไม่น่าจะทิ้งร่องรอยอะไรให้ณัชจับได้ เพราะทันทีที่สูบหมดไปมวน ผมก็จัดการเก็บหลักฐานเรื่องกลิ่นเดี๋ยวนั้น ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้นาน กลัวนั่งดื่มกับธิปเพลินแล้วจะลืม

แสงไฟในห้องสว่างโร่ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป ผมวางกุญแจรถที่ควงเล่นมาตลอดทางไว้ข้างๆ โทรทัศน์หน้าโซฟาในห้องรับแขก ไม่นานเสียงลากรองเท้าสลิปเปอร์ก็ดังขึ้น เรียกให้ผมหันไปมองยังต้นตอก็เห็นณัชสวมชุดบอลตัวโคร่งพร้อมนอนเต็มที่เดินออกมาต้อนรับ

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

“อืม กลับมาแล้ว ดึกป่านนี้มึงยังไม่ง่วงอีกเหรอ”

ตอบเสร็จก็ตั้งคำถามให้อีกฝ่ายตอบบ้าง ก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง มือก็เอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ออกทุกเม็ดเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ

“ง่วงนิดหน่อย แต่ณัชอยากรอพี่ผากลับมาก่อน”

“ทำไม ปกติมึงง่วงก็นอนเลยไม่เคยรอกูสักครั้ง”

“ก็วันนี้พี่ผาดื่มมา แล้วณัชก็ไม่ได้ไปขับรถกลับให้ด้วย เป็นห่วง” ได้ยินมันพูดแบบนั้นผมก็ยิ้มออก จากที่เหนื่อยๆ อยู่กลายเป็นว่าหายปลิดทิ้ง “และพี่ธิปกลับมาพร้อมกันหรือเปล่าครับ”

“อืม ขับตามๆ กันมานั่นแหละ”

“แล้วทำไมอยู่ๆ พี่ธิปถึงชวนพี่ผาดื่มล่ะครับ”

“มันเพิ่งส่งงานลูกค้าเสร็จ อยากคลายเครียดก็เลยแวะมาหาเฉยๆ ไม่มีอะไร”

ณัชพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ สองขาเล็กเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อรินน้ำในตู้เย็นมาให้ผมดื่ม ส่วนปากกระจับตอนนี้ก็พูดจ้อไปเรื่อยไม่หยุด “ทั้งที่บ้านพี่ธิปก็ออกจะรวย ธุรกิจของครอบครัวก็มี ถึงจะจบคณะนิเทศฯ แต่ก็น่าจะเรียนรู้งานด้านบริหารได้ไม่ยาก แล้วทำไมถึงมาทำงานฟรีแลนซ์แบบนี้ล่ะครับ เหนื่อยจะตาย”

“ไม่มีงานไหนสบายหรอกมึง มันก็เหนื่อยเหมือนกันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าได้เหนื่อยกับสิ่งที่ชอบ เราจะรู้สึกว่ามันไม่เหนื่อย ไอ้ธิปก็คงชอบของมัน แม่งติสท์จะตาย ให้ไปทำงานบริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเจ๊งพอดี”

“พี่ผาก็ไปว่าเพื่อน”

“ว่าอะไรเล่า กูพูดเรื่องจริงทั้งนั้น”

ณัชส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนตอนที่เดินมายื่นแก้วน้ำเย็นส่งให้ผมที่นั่งหมดสภาพรับไป จากนั้นมันก็ยืนกอดอก ขมวดคิ้วมองหน้าผมประหนึ่งจ้องจับผิดอะไรบางอย่าง “วันนี้พี่ผาทำตัวดีหรือเปล่าครับ”

ฟังที่มันถามไปพร้อมๆ กับที่กระดกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จนกระทั่งเหลือแต่แก้วเปล่า ผมถึงได้ส่งคืนไปให้มันที่ยืนรอรับอยู่ แล้วค่อยตอบคำถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยรอยยิ้มมุมปาก “มีใครโทรไปรายงานมึงไหมล่ะ”

“ไม่มี” มันสั่นหัว

“งั้นก็แสดงว่ากูเป็นผัวที่ดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง”

“หึ ไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียว ไม่มีเรื่องผู้หญิง แต่ก็อาจจะมีเรื่องบุหรี่ก็ได้”

ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เหมือนคนมีชนักติดหลัง พยายามเก็บอาการไม่ให้กระโตกกระตากจนมันจับได้ “คนอย่างกูพูดคำไหนคำนั้น ลูกผู้ชายพอ ไม่สูบก็คือไม่สูบ หรือว่ามึงได้กลิ่นที่เสื้อกู สงสัยคงเป็นตอนที่ไอ้ธิปสูบล่ะมั้ง”

“รีบบอกเชียวนะ ร้อนตัวหรือไง”

“เปล่า ไม่ได้ร้อนตัว ถ้ามึงไม่เชื่อจะโทรไปถามไอ้ธิปก็ได้”

“ไม่เอาอ่ะ โทรถามไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงก็ช่วยกันปิดอยู่แล้ว”

“งั้นกูมีอีกวิธีมาเสนอ รับรองว่าพิสูจน์ได้จริงว่ากูไปดูดบุหรี่มาหรือเปล่า”

“วิธีอะไรครับ” ณัชขมวดคิ้วทำหน้าอยากรู้

“ดูดปากกูแรงๆ สักที จะได้รู้ว่ามีกลิ่นบุหรี่ติดไหม”

“เฮ้อ! ว่าแล้วว่าต้องพูดอะไรในทำนองนี้”

“เฮ้ย แต่มันใช้ได้ผลจริงๆ นะเว่ยไอ้ณัช”

“ไม่ต้องมาเล่นมุกดูดปากเลย วิธีบ้าบออะไรเนี่ย เอาแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียว”

“ได้ฝ่ายเดียวที่ไหน มึงก็ได้ดูดปากกูด้วยนี่ไง ออกจะแฟร์”

“พอๆ ทะลึ่งใหญ่ละ”

“แล้วจะไม่ทดสอบดูดปากกูจริงๆ เหรอ”

“ไม่! ครั้งนี้ณัชจะเชื่อพี่ผาก็ได้ถ้าพี่ผาบอกว่าไม่ได้สูบ”

“จริงอ่ะ”

“อืม และจะนั่งแช่ตรงนี้ให้ขี้เกลือขึ้นอีกนานไหม ไปอาบน้ำได้แล้วครับ”

“กูไปแน่ แต่มึงต้องไปอาบกับกูด้วย”

ผมไม่พูดเปล่า ฉวยข้อมือมันข้างที่ไม่ได้ถือแก้วแล้วกระตุกเบาๆ ให้เดินตามไปยังห้องน้ำด้วยกัน แต่พอคนตัวเล็กรู้สึกถึงแรงรั้ง มันก็ขืนร่างกายไว้สุดกำลัง ไม่วายขึงตาดุใส่ผมเป็นเชิงสั่งบอกให้ปล่อย

“แล้วพี่ผาจะเอาณัชไปอาบด้วยทำไมเนี่ยย?!”

“ก็กูอยากอาบกับมึงอ่ะ”

“แต่ณัชอาบแล้ว”

“อาบแล้วอาบอีกก็ได้”

“ไม่เอาา” ณัชปฏิเสธเสียงรำคาญ “เดี๋ยวตัวณัชก็เปื่อยหมดพอดี”

“งั้นถ้ามึงไม่อยากอาบก็แค่เข้าไปนั่งดูกูอาบเฉยๆ ก็ได้ กูไม่ว่ามึงเอาเปรียบหรอก”

“เพื่ออะไร”

“ก็กูชอบให้สายตาคู่นี้ของมึงมองร่างกายกูนี่หว่า มันตื่นตัวดี”

“โรคจิต!”

“นะครับณัชชนม์…” ผมยังคงราวีไม่เลิก

“ไม่เอาพี่ผา อย่ามาเร้าหรือเป็นเด็กๆ”

“น่านะ”

“ถ้ายังไม่เลิกเซ้าซี้คืนนี้ณัชจะกลับไปนอนห้อง” ราวกับได้ฟังคำสั่งเด็ดขาดจากสวรรค์ ผมรีบปล่อยมือมันออกอย่างไวโดยที่ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดซ้ำเลย

“อะไรวะ กูอาบคนเดียวก็ได้”







Natchon’s Part

นับครั้งได้ที่ผมจะตื่นก่อนพี่ผา และวันนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่ผมว่ามาด้วย อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนเขาดื่มหนักไปหน่อย เช้านี้ก็เลยยังสลบไสล นอนคว่ำหน้าอัดกับหมอน ไม่หือไม่อือแม้ว่าผมจะขยับตัวลุกออกมาจากเตียงแล้วก็ตาม

คิดไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าตื่นมาจะลงไปซื้อน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ใต้คอนโดฯ มาให้เขา ผมใช้เวลาเดินไปกลับบวกกับแวะดูของกินอย่างอื่นระหว่างทางก็ประมาณ 20 นาที พอกลับเข้ามาในห้องได้ไม่ทันไรก็เห็นพี่ผารีบร้อนใส่กางเกงวอร์มเหมือนกำลังจะออกไปไหนเลยร้องทัก

“จะรีบแต่งตัวไปไหนพี่ผา อาบน้ำหรือยังครับเนี่ย”

“ไอ้เชี่ยณัช…” พี่ผาหันขวับมามองหน้าผมแทบจะเดี๋ยวนั้นด้วยดวงตาขวาง

“คะ…ครับ”

“มึงไปไหนมา?!” เสียงดุคำรามตอนที่ย่างสามขุมเข้ามาหา ก่อนที่ฝ่ามือหนาของพี่ผาจะบีบต้นแขนผมเพื่อคาดคั้นคำตอบ “โทรศัพท์ก็เสือกไม่เอาไป กูตกใจแทบแย่ นึกว่ามึงหายไปไหนอีกแล้ว นี่กูกำลังจะลงไปตามหาเลยนะเนี่ย”

“อย่าเวอร์น่าพี่ผา ณัชก็แค่ลงไปซื้อน้ำเต้าหู้มาเอง” ผมพูดพร้อมกับชูถุงน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ขึ้นมาโชว์คนตรงหน้า “เห็นพี่ผาบอกว่าวันนี้ต้องไปร้านแต่เช้า ณัชกลัวหิวก็เลยไปซื้ออะไรมาให้รองท้อง เดี๋ยวเป็นลมตายไปซะก่อน จะกินเลยไหม เดี๋ยวรินใส่แก้วให้”

พี่ผายังไม่เลิกปล่อยมือ ผมก็เลยมองหน้าเขาสลับกับมองแขนตัวเองไปมา “วันนี้มึงเป็นห่าอะไร เอาใจกูแต่เช้าเลย”

“ณัชไม่ได้เป็นอะไร ทำดีด้วยพี่ผาก็ไม่ชอบเหรอ งั้นเททิ้งให้หมา”

“เฮ้ยย! เดี๋ยวว…ว กูแค่ถาม มึงจะใจร้ายไปไหน”

“แล้วจะกินหรือไม่กิน”

“กิน”

พี่ผาพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ฉีกยิ้มกว้างน่าหมั่นไส้จนหูตั้งหางกระดิก ก่อนจะปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระ แล้วเดินตามเข้าไปในห้องครัว เขานั่งรออยู่ที่โต๊ะเหมือนเด็กที่กำลังรอกินข้าวเช้าฝีมือผู้ปกครองก่อนไปโรงเรียนไม่มีผิด

ผมหยิบแก้วที่คว่ำไว้มาสองใบ รินน้ำเต้าหู้ให้เขาก่อนจะรินให้ตัวเอง พี่ผาใช้เวลาแป๊บเดียวก็จัดการน้ำเต้าหู้ในแก้วจนหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นผมก็ไล่เขาไปอาบน้ำ อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางอิดออด สงสัยเพราะมีงานที่ต้องไปสะสางอีกเยอะ เลยไม่มีเวลามาทำเป็นเล่นกับผม เพียงไม่นานร่างสูงก็เดินออกมาจากห้องนอนในสภาพที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเตรียมพร้อมสำหรับการลุยงานในวันนี้

“จริงๆ ถ้าเช้านี้พี่ผาไม่ไหว ณัชว่าให้เก้อจัดการแทนก็ได้มั้ง เมื่อคืนก็กลับดึก”

“ไม่ได้หรอกมึง วันนี้มีไวน์ล็อตสำคัญมาส่ง กูต้องไปดูเอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจพี่ผาละกัน ขับรถดีๆ”

“อืม”

“แล้วเจอกันคืนนี้หลังเลิกงานนะครับ”

พี่ผาออกไปทำงานได้สักพัก ผมก็เริ่มต้นเก็บกวาดห้องตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อก่อนจ้างแม่บ้านมาดูแลอาทิตย์ละสองครั้ง แต่ผมคิดว่ามันไม่จำเป็น และก็ไม่อยากให้พี่ผามาเสียเงินกับเรื่องพวกนี้โดยใช่เหตุ ทั้งที่ช่วงเช้าก่อนออกไปทำงานที่ร้านอาหารกึ่งผับในตอนเย็นผมก็ว่าง อีกอย่างก็ไม่ได้ทำทุกวันสักหน่อย ผมก็เลยรับอาสาว่าจะเป็นคนคอยจัดการเรื่องทำความสะอาดให้

ตอนแรกก็ตามสไตล์พี่ผานั่นแหละ ไม่ให้หยิบจับอะไรเลย จะกวาดบ้านก็บอกว่าเดี๋ยวฝุ่นเข้าจมูก เป็นภูมิแพ้ จะถูพื้นก็บอกว่าเดี๋ยวลื่นล้ม เจ็บตัว จะล้างจานก็บอกว่าเดี๋ยวทำแก้วแตก บาดมือ จะซักผ้าก็กลัวว่าผงซักฟอกจะกัด สรุปคือไม่ว่าผมจะทำอะไร พี่ผาก็หาเหตุผลมาห้ามแม่งหมดทุกอย่าง

นี่ถ้าผมไม่รั้น ยื่นคำขาดว่าจะทำ เขาก็คงไม่อนุญาต ขนาดตอนนี้ที่ยอมปล่อยให้ผมทำ เขาก็ยังไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เลย

และกว่าผมจะจัดการงานบ้านเสร็จก็เกือบๆ เที่ยงวันเข้าไปแล้ว นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ซักเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเมื่อวานให้พี่ผา กลัวว่าถ้ารอซักพร้อมกับเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ในวันพรุ่งนี้ คาบเหงื่อไคลตรงปกคอจะฝังลึก ผมก็เลยว่าจะเอาออกมาซักมือให้ก่อน

เดินเข้าไปในห้องนอน หยิบเสื้อเชิ้ตยับยู่ตัวดังกล่างขึ้นมาจากในตะกร้าผ้าที่ใส่แล้วหน้าห้องน้ำ ยืนสะบัดอยู่สองสามทีอะไรบางอย่างก็กระเด็นออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ กลิ้งหลุนๆ ห่างไปจากตัวผมไม่มาก พอเพ่งสายตามองก็เห็นเป็นแท่งสีขาวๆ คุ้นตา ผมเดินก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นมวนบุหรี่ที่ยังไม่ได้ใช้งาน

มีข้อสันนิษฐานอยู่สองข้อผุดขึ้นมาในหัวผม…

พี่ผาโกหกเรื่องที่ตัวเองไม่ได้สูบบุหรี่ หรือบุหรี่มวนนี้พี่ธิปเป็นคนให้ แล้วพี่ผาเลือกที่จะไม่สูบ เพราะสัญญากับผมไว้แล้ว

ซึ่งถ้าผมปักใจเชื่อข้อแรกก็จะเป็นการยัดเยียดความผิดให้พี่ผามากไปหน่อยทั้งที่ผมยังไม่รู้ความจริง และผมก็จะกลายเป็นคนที่ไม่เคยไว้ใจแฟนตัวเองเลย แต่ถ้าผมเลือกที่จะเชื่อข้อสอง มันจะเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า เพราะถ้าหากมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมกลัวว่าตัวเองจะผิดหวังในตัวอีกฝ่ายที่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พี่ผาก็ยังเลือกที่จะโกหก

ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด คิดไปเองฝ่ายเดียวในเชิงลบ ผมถึงต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว จัดการตัวเองให้เสร็จภายในเวลาสั้นๆ เพื่อไปถามความจากปากของพี่ผาให้รู้เรื่องว่าตกลงแล้วมันเป็นยังไงกันแน่







ไม่ถึง 20 นาที ผมก็มาถึงที่หมาย ทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในร้านอาหารกึ่งผับผมก็เห็นเด็กผู้ชายผมสั้นเกรียน หน้าตาคุ้นเคย ตัวสูงประมาณไล่เลี่ยกับผมเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

คงคิดว่าเป็นลูกค้า และจะมาบอกว่าตอนนี้ยังไม่เปิดให้บริการ แต่พอมันเห็นว่าผมเป็นใคร อีกฝ่ายก็ตะเบ็งเสียงออกมาดังลั่น

“พี่ณัช!”

“เออ กูเอง”

“พี่ณัชตัวเป็นๆ จริงๆ ด้วย”

“ไม่ใช่กูแล้วจะเป็นใคร ทำไม เดี๋ยวนี้มีคนมาหาพี่ผาเวลานี้บ่อยเหรอ”

“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น” เก้อรีบโบกมือหยอยๆ ส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ คงกลัวว่าผมจะเข้าใจเจ้านายตัวเองผิดไป “ผมดีใจต่างหาก ตั้งแต่พี่ณัชไปทำงานกับพี่ธรรมก็หายหน้าหายตาไปเลย”

“ก็เวลาเปิดปิดร้านมันตรงกัน แล้วกูจะมาที่นี่ได้ยังไง ว่าแต่พี่ผาอยู่ไหนเนี่ย ห้องทำงานเหรอ” ไม่รอให้เก้อได้พูดแทรก ผมก็แย่งถามออกไปอีก

“เฮียผาอยู่ข้างบนห้องครับ”

“ทำอะไรอยู่วะ ยุ่งหรือเปล่า” ผมถามอย่างเกรงใจ เพราะอาจจะมารบกวนเวลาทำงานของพี่ผาพอดี

“เปล่าครับ ไม่ยุ่ง เฮียผานอนอยู่”

“ฮะ?! นอน?” หากแต่คำตอบของเก้อกลับทำให้ผมประหลาดใจหนักเข้าไปใหญ่

นอนอะไรแต่หัววันวะ หรือว่าจะยังไม่หายจากอาการแฮงก์เมื่อวาน แต่ปกติดื่มหนักกว่านี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แล้วทำไมวันนี้เกิดสำออยขึ้นมา

“เฮียผาไม่สบายครับพี่ณัช”

เก้อคงสังเกตเห็นความแคลงใจผ่านทางใบหน้าของผม เพราะหลังจากที่ผมขมวดคิ้วมุ่นเป็นปมได้ไม่นาน มันก็ตอบข้อสงสัยให้ฟังจนกระจ่างโดยที่ไม่รอให้ผมถามซ้ำอีก

“ไม่สบายเนี่ยนะ”

“ครับ พอเซ็นรับของช่วงสายเสร็จเฮียผาก็บ่นว่าเจ็บคอ เลยใช้ให้ผมออกไปซื้อยา กลับมาอีกทีเฮียก็นอนหลับอยู่บนโซฟาแล้วครับ”

“และทำไมพี่ผาไม่โทรบอกกู”

“ผมบอกเฮียผาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะออกไปซื้อยาแล้ว แต่เฮียบอกว่าไม่ต้องโทร นอนพักแป๊บเดียวก็หาย”

“แล้วไหนยา”

“วางไว้บนโต๊ะทำงานเฮียผาครับพี่ณัช”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวที่เหลือกูจัดการเอง มึงมีอะไรก็ไปทำต่อเถอะ ขอบใจมาก”

“ครับ” คนอายุน้อยกว่าขานรับแล้วเดินแยกตัวออกไปอีกทาง

ถ้าเทียบกับพนักงานคนอื่นๆ ถือว่าชั่วโมงบินการทำงานของเก้อยังน้อยอยู่ เนื่องจากเพิ่งมาทำงานได้ยังไม่ถึงปี แต่ด้วยความที่มันเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียนรู้ไว เอาใจเก่ง พี่ผาใช้ให้ไปทำอะไรมันก็รับปากที่จะทำให้หมด แม้กระทั่งสั่งให้แอบตามไปดูผมที่ร้านอาหารกึ่งผับสาขาสองมันก็เคยทำมาแล้ว เพราะแบบนั้นมันกับพี่ผาถึงได้สนิทกันเร็ว ตอนนี้ก็คงเลื่อนขั้นเป็นคนโปรดของพี่ผาไปแล้วมั้ง

และพอเดินมาถึงชั้นสอง ผมก็เห็นประตูห้องทำงานปิดสนิท แน่นอนว่าไม่ได้เคาะเรียกให้คนข้างในรับรู้ถึงการมาของผม แต่ถือวิสาสะเปิดเข้าไปเองเลย ก็เห็นพี่ผานอนหงาย เอามือก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟากำมะหยี่สีดำ ผมเดินย่องเข้าไปหาเขาให้เบาเท้ามากที่สุด ก้มตัวไปสะกิดแขนคนตัวใหญ่กว่าที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว สักพักพี่ผาก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ

“ไอ้ณัช…”

เขาเรียกชื่อผมด้วยเสียงงัวเงีย ขยี้ตาไปมาเพื่อปรับโฟกัส จะว่าไปแล้วพอมามองใกล้ๆ หน้าตาพี่ผาก็ดูอิดโรยไปเหมือนกัน คิดว่าคงมีไข้อ่อนๆ เพราะตอนที่สัมผัสตัวก็ไม่ได้ร้อนอะไรมากเท่าไหร่ ผมจึงคาดเดาเอาว่าอาจจะมาจากอ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย เลยทำให้เจ็บคอ แล้วก่อนหน้านี้ก็ยังสูบบุหรี่จัดพอๆ กับกินข้าวอีก ไม่แปลกที่จะภูมิต้านทานต่ำ

“มึงมาทำอะไรที่นี่ ไอ้เก้อโทรไปบอกมึงเหรอ”

“เปล่า ณัชมาของณัชของเอง พอดีมีเรื่องอยากจะถาม”

“โทรมาก็ได้มั้ง จะนั่งรถเมล์มาทำไมให้ร้อน” ได้ทีก็บ่นใหญ่เลย ที่บอกว่าเจ็บคอนี่จริงป่ะวะ

“ไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้ต้องคุยซึ่งๆ หน้าเท่านั้น”

“เรื่องอะไร สำคัญมากถึงขนาดต้องถ่อมาหากูถึงที่นี่เลย?”

“ครับ สำคัญ เพราะณัชจะมาถามพี่ผาเรื่องบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตตัวเมื่อคืน…”

พี่ผาที่กำลังจะลุกขึ้นนั่งเพื่อพูดคุยกับผมดีๆ ก็ชะงักไปนิด แค่นิดเดียวที่ผมสังเกตเห็น คงตกใจที่อยู่ๆ ผมก็ถามเรื่องนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ตอบกลับมาเหมือนไม่มีอะไร “…ของไอ้ธิป มันให้กูมา แต่กูไม่ได้สูบ…”

“ครับ ณัชรู้ เพราะว่ามวนที่ณัชเจอมันยังไม่ได้ใช้ แต่ณัชไม่รู้ว่ามีมวนก่อนหน้านี้หรือเปล่า”

“มึง…ไม่เชื่อกูเหรอ…” พี่ผาถามเสียงอ่อน ผมเห็นความสับสนบางอย่างในแววตาของเขา

“…ถ้าพี่ผาบอกว่าไม่ได้สูบ ณัชก็จะเชื่อแบบนั้น แล้วนี่พี่ผายังไม่ได้กินยาใช่ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ อีกฝ่ายกำลังป่วยอยู่ ผมก็ไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจโยนไปให้เขา “ไอ้เก้อมันซื้อยามาให้ละ เดี๋ยวกินสักหน่อยนะ แล้วก็วันนี้ณัชจะโทรไปลาหยุดงานกับพี่ธรรมสักวัน จะอยู่คุมที่นี่แทนให้ พี่ผาจะได้นอนพักผ่อนบนห้อง”

“นี่มึงจะหยุดงานเหรอ”

“หรือไม่อยากให้หยุด ณัชจะได้ไม่ต้องโทรไปบอกพี่ธรรม”

“เดี๋ยว… อย่าเพิ่งใจร้อน กูยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่อยากให้หยุด ใจจริงกูอยากให้มึงเลิกไปทำงานที่นั่นแล้วมาทำกับกูที่นี่แทน แต่ก็ขอบคุณนะมึงที่ทำเพื่อกู” พี่ผายิ้มเต็มแก้ม ดวงตาที่แอบสั่นไหวเมื่อสักครู่นี้แปรเปลี่ยนเป็นถูกใจเอามากๆ



(มีต่อด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ROMARKTIC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
    • Twitter
“ณัชบอกให้นอนพักอยู่ที่คอนโดฯ สักวันก็ไม่เชื่อ”

ผมบ่นอีกฝ่ายผ่านทางโทรศัพท์ ถึงจะไม่มีไข้ หน้าตาก็ดูสดชื่นขึ้นมากแล้ว แต่น้ำเสียงก็ยังฟังดูแปร่งๆ อยู่ดี จนผมอดเป็นห่วงไม่ได้

[กูไม่ได้เป็นอะไรแล้วน่า เมื่อวานก็พักไปตั้งเยอะ]

“ดื้อ ณัชไม่ชอบเลย”

[มึงด่าตัวเองทำไม]

“ณัชไม่ได้ด่าตัวเองสักหน่อย! ด่าพี่ผาต่างหาก” เถียงคนในสายกลับไปเสียงเขียว แถมยังได้ยินพี่ผาหัวเราะคิกคักล้อเลียนผมมาตามสายอีกต่างหาก

เดี๋ยวก็แช่งให้เจ็บคอหนักกว่าเดิมซะดีไหม

[มึงด่ากูไม่ได้ดูตัวเองเลยเนอะไอ้ณัช ทั้งที่นิสัยมึงดื้อเป็นสันดานแท้ๆ]

“ด่าณัชได้ขนาดนี้ก็แสดงว่าหายแล้วสินะครับ”

[กูถามจริงนะ วันนี้มึงไปแดกอะไรแปลกๆ มาหรือเปล่า ถึงได้โทรมาหากูก่อน ปกติเล่นหายหัวไปเลยทั้งวัน ต้องให้กูเป็นฝ่ายโทรตามตลอด]

“ก็วันนี้พี่ผาไม่สบาย”

[ทำไมตอนไม่สบายมันดูพิเศษกว่าตอนปกติจังเลยวะ กูชักอยากจะป่วยไปทั้งชีวิตเพื่อให้มึงมาเอาใจแล้วนะ]

“ไม่ต้องเลยพี่ผา รีบหายไวๆ เถอะ มีอย่างที่ไหนแช่งให้ตัวเองป่วย แล้วนี่ได้กินข้าวกินยาหรือยังครับ” พูดว่าเสร็จผมก็ถามเข้าเรื่องที่โทรมาหาพี่ผาทันทีเมื่อเห็นว่าคุยออกนอกเรื่องนอกราวไปไกลมากแล้ว

[เรียบร้อย]

“ลืมเรียบร้อยหรือกินเรียบร้อย”

[กินสิวะ ใครจะลืม มึงเล่นตั้งเวลาในโทรศัพท์เตือนกูทุกชั่วโมงขนาดนี้]

“โอเคครับ งั้นก็แล้วไป”

[นี่อย่าบอกนะว่าที่มึงโทรมาหากูก่อนเพราะแค่จะเตือนเรื่องกินยา]

“ก็ใช่ดิ ไม่อย่างนั้นณัชจะโทรหาพี่ผาเหรอ เปลืองค่าโทรศัพท์ตายชัก”

[ค่าโทรศัพท์มึงจะสักเท่าไหร่กันเชียว กูเหมาจ่ายรายเดือนให้เอาไหม แล้วให้มึงเป็นฝ่ายโทรมาหากูแบบนี้ทุกวัน ตกลงหรือเปล่า]

“พี่ผาต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอวะ ปกติเราก็อยู่ด้วยกัน คุยกันตลอดอยู่แล้ว จะอะไรนักหนากับแค่คุยทางโทรศัพท์”

[คุยกันตลอดยังไง ตอนเช้าตื่นมามึงก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานบ้าน ไม่สนใจกูเลย กูพูดด้วย มึงก็บอกอย่ามากวน]

“นั่นเป็นเพราะว่าพี่ผาเดินมาเกาะแกะณัชเป็นปลิงไม่ยอมปล่อยต่างหาก”

[บางวันกูก็ไปพัทยาไหมล่ะ เจอกันอีกทีก็ตอนกลางคืน ส่วนก่อนนอนกูพูดถามอะไรไปมึงก็เอาแต่คราง ขนาดกูถามว่าชอบใช่ไหม แทนที่มึงจะตอบอะไรมาบ้าง กลับครางเสียงกระเส่าใส่กูซะงั้น]

“พอๆ” ผมรีบเบรก เมื่อเริ่มรู้สึกว่าหัวข้อสนทนาลากลงต่ำเรื่อยๆ คุยมีสาระได้ไม่ถึง 5 นาที พี่ผาก็พาเข้าเรื่องทะลึ่งๆ จนได้

[พออะไร กูยังพูดไม่จบเลย]

“ถ้าอย่างนั้นพี่ผาก็พูดไปคนเดียว ณัชหมดธุระแล้ว จะวาง”

[มึงจะรีบวางไปไหน]

“ณัชมีงานมีการทำนะครับ ไม่ได้นั่งตากแอร์สบายใจเฉิบอยู่ในห้องทำงานแล้วมองลงมาจากชั้นสองแบบพี่ผานี่”

[ถ้ามึงอยากสบายก็ย้ายสาขามาอยู่กับกูดิ]

“ไม่ต้องมาหว่านล้อม ณัชไม่หลงกล แค่นี้ก่อนนะพี่ผา คนเริ่มเข้าร้านเยอะแล้ว พี่ผาก็ดูแลตัวเองด้วย ไม่ไหวอย่าฝืน เลิกงานเจอกันครับ”

ผมพูดรัวเร็วไม่เว้นช่วงให้พี่ผาได้แทรก ก่อนจะกดตัดสายอย่างไว แต่ยังไม่ทันได้เก็บอุปกรณ์สื่อสารลงกระเป๋าด้วยซ้ำ พี่ธรรมที่คงเห็นผมเดินออกมาคุยโทรศัพท์ข้างนอกและหายไปนานเลยตามออกมาดู

“ได้ยินว่าเฮียผาไม่สบายเหรอน้องณัช”

คนมาใหม่เอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่ได้เจืออารมณ์ขุ่นในน้ำเสียง ผมจึงโล่งใจนิดเพราะนึกว่าจะโดนดุเสียแล้วที่ออกมาอู้งานตอนที่คนกำลังเข้าร้านเยอะๆ

“ครับพี่ธรรม”

“เฮียผาก็แบบนี้แหละ ห่วงงาน”

“แต่ไม่ห่วงตัวเอง”

“ก็คงอยากให้น้องณัชไปห่วงแทนล่ะมั้ง”

“ไม่ตลกเลยนะครับพี่ธรรม”

“แล้วใครบอกว่าตลกล่ะครับ ผมพูดความจริง ยาอะไรก็รักษาเฮียผาไม่ได้เท่ากับให้น้องณัชไปดูแลหรอก”

“ณัชว่าพี่ผาชอบสำออยมากกว่า”

“แต่สำออยท่าไหนก็ไม่รู้เนอะถึงทำให้เราเป็นห่วงได้ขนาดนี้”

“พี่ธรรม!” ผมโวยลั่น เมื่อโดนคนอายุมากกว่าจับไต๋

“ก็ถ้าน้องณัชจะพะว้าพะวง ดูนาฬิกาถี่จนไม่เป็นอันทำอะไรก็ไปหาเฮียผาเถอะครับ”

“ได้ไงล่ะครับพี่ธรรม ยังไม่เลิกงานเลย”

“ไม่ต้องรอเลิกงานแล้ว ไปตอนนี้จะได้ไปช่วยเฮียผาที่สาขาหนึ่งด้วยไง คุมคนเดียวมันเหนื่อยนะครับ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก ถือซะว่าวันนี้สลับสาขาทำงานก็ได้ น้องณัชจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดงานดีไหมครับ”

“…มันจะดีเหรอครับพี่ธรรม ณัชไม่อยากทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีกับพนักงานคนอื่นๆ งานก็ทำไม่เท่าไหร่ ยังจะหนีกลับก่อนอีก”

“นี่น้องณัชคิดมากไปหรือเปล่าครับ ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก แค่น้องณัชลงมาทำงานเสมือนลูกจ้างคนหนึ่ง ทุกคนเขาก็ปลื้มกันจะแย่แล้ว”

ผมช่างใจคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “ถ้าอย่างนั้นณัชไม่เกรงใจแล้วนะครับ”

“ครับ ไปเถอะ” พี่ธรรมยิ้มนิดๆ ที่สุดท้ายแล้วผมก็ทำเป็นใจแข็งได้ไม่นาน จากนั้นก็พูดถามผมต่อด้วยความเป็นห่วง “ให้ไอ้เบียร์ขับรถไปส่งไหมน้องณัช”

“ไม่เป็นไรครับพี่ธรรม” ผมเลือกที่จะปฏิเสธ แค่อนุญาตให้ผมไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังจะไปเบียดเบียนกำลังคนทำงานให้ไปส่งผมอีก “ณัชไปเองดีกว่า อย่ารบกวนคนอื่นเลย ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”

กล่าวลาอย่างรวดเร็วผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งผละออกมา กลัวว่าถ้าออกจากสาขาสองช้าจะทำให้ไปถึงที่สาขาหนึ่งดึก แต่โชคดีที่รถไม่ติดมากเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่ถึง 45 นาที ผมก็มาถึงที่หมาย

ในร้านคนเยอะมาก เยอะจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็นผมที่เดินปะปนมากับกลุ่มคนที่เข้าออกร้าน จนกระทั่งผมกำลังจะเดินขึ้นบันไดที่อยู่โซนด้านในสุดก็เจอเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งเดินสวนลงมาพอดี มันมองหน้าผมอย่างงงๆ ก่อนจะรีบยกมือไหว้ปลกๆ คงตกใจว่าทำไมอยู่ๆ ผมก็โผล่มา ผมพยักหน้ารับคำทักทายของมันแล้วรีบขึ้นไปข้างบนชั้นสอง ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้ประตูห้องทำงานของพี่ผามากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ยินเสียงคนคุยกันดังลอดออกมามากขึ้นเท่านั้น

“พี่ผามีแขกเหรอ”

ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครมาตอบ แต่จะว่าไปแล้วเสียงนี้ก็ฟังคุ้นหูอยู่นะ เหมือนคนรู้จักเลย

พยายามนึกว่าเป็นใคร แต่เพียงไม่นานความสงสัยก็กระจ่างชัด เมื่อผมเริ่มจับน้ำเสียงของอีกคนที่ไม่ใช่พี่ผาได้ ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน และในจังหวะที่ผมกำลังจะเปิดประตูเข้าไป มือที่จับลูกบิดอยู่นั้นก็ชะงักค้าง เพราะผมดันไปได้ยินประโยคที่ทำให้ตัวเองต้องขมวดคิ้ว

“สรุปเรื่องบุหรี่เป็นไงวะ”

“รอดวะ”

“เฮ้ย! จริงดิ?! น้องไม่รู้เหรอ”

“เหมือนจะรู้ แต่กูบอกว่าไม่ได้สูบ”

“เชี่ย! กูนึกว่าถ้าน้องจับได้ขึ้นมาจริงๆ มึงจะบอกซะอีก แต่นี่มึงเลือกที่จะโกหกน้องเลยเหรอวะ”

“ถ้าโกหกเพื่อให้อีกคนสบายใจมันก็ดีกว่าป่ะวะ”

“ก็ใช่ แต่ถ้าเกิดน้องรู้ความจริงขึ้นมามีหวังบ้านแตกแน่ เพราะฉะนั้นมึงควรรีบเลิกให้ได้ก่อนที่น้องจะรู้ว่ามึงแอบสูบอยู่เรื่อยๆ”

เพียงเท่านั้นความรู้สึกชาก็แล่นริ้วไปทั้งตัว ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี มีคำถามมากมายที่อยากจะพ่นออกไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็เหมือนประโยคเหล่านั้นจะลอยเคว้งอยู่ในหัวจนจับประเด็นอะไรไม่ได้สักอย่าง

นี่ผมมายืนอยู่ตรงนี้ทำไมเนี่ย ถ้าผมไม่มาผมอาจจะไม่ต้องมารับรู้ว่าตัวเองกำลังโดนพี่ผาหลอกอยู่ให้เจ็บใจก็ได้

แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มือข้างที่ผมจับลูกบิดอยู่เปิดประตูเข้าไปข้างใน เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีผมก็เข้าไปแทรกอยู่ในวงสนทนาที่ตัวเองไม่น่าจะได้เป็นแขกรับเชิญเสียแล้ว

“ไอ้ณัช…”

พี่ผาเบิกตาโต เรียกชื่อผมออกมาเป็นคนแรก ตอนนี้สีหน้าของเขาตื่นตกใจเอามากๆ คงไม่คิดว่าจะเป็นผมที่เดินเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่วนพี่ธิปที่ยืนข้างๆ ก็มองมาที่ผมด้วยสายตากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แน่ล่ะ ใครมันจะไปคิดว่าผมที่ทำงานอยู่สาขาสองจะโผล่มาที่นี่ในเวลาแบบนี้

ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ที่แน่ๆ คือรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปมากจากตอนแรก

รู้สึกเหมือนมีอะไรมาขังที่ใต้ตาผม…

ทั้งที่ด้านนอกเปิดเพลงเสียงดัง แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าในห้องนี้เงียบมาก เงียบถึงขนาดที่ว่าได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง

เอาตรงๆ ตอนนี้ผมไม่ได้โกรธเรื่องที่พี่ผาสูบบุหรี่เท่าไหร่ แต่ผมเสียใจที่พี่ผาไม่บอกความจริงและเลือกที่จะโกหกผมมากกว่า

“มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“…” เพราะผมเงียบไม่ตอบคำถาม พี่ผาก็เลยจะเดินเข้ามาหา

“ณัช… มึงอย่าเงียบดิ” คนตรงหน้าเรียกชื่อผมอีกครั้ง และน่าแปลกที่ปฏิกิริยาบางอย่างในร่างกายผมสั่งให้ตัวเองถอยหลังหนีจากเขาโดยอัตโนมัติ

“…”

“ณัชชนม์…”

“ณัชมาตั้งนานแล้ว…” ผมตอบ ไร้ความรู้สึกเจือปนในน้ำเสียง

“งั้นมึงก็ได้ยิน?”

“ครับ ได้ยิน และก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่ผาทำเหมือนณัชเป็นคนโง่”

“มันไม่ใช่แบบนั้น”

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วแบบไหนล่ะครับ จำได้ไหมว่าเมื่อวานณัชมาถามพี่ผาเรื่องบุหรี่ แต่พี่ผาบอกณัชว่าไม่ได้สูบ พอณัชทำหน้าไม่เชื่อ พี่ผาก็ถามย้ำว่าไม่เชื่อเหรอ แล้วถ้าพี่ผามาเจอแบบที่ณัชเจออยู่ตอนนี้บ้างจะรู้สึกยังไง จะให้ณัชเชื่ออะไรได้อีก ไหนลองตอบณัชมาสิครับ”

ผมไม่อยากคุยอะไรกับเขามากกว่านี้แล้ว ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด พาลให้รู้สึกอยากร้องไห้เข้าไปใหญ่ ผมเลยเลือกที่จะถอยออกมา และการที่ผมถอยหลังกลับไปที่ประตู พี่ผาก็เลยโพล่งถามออกมาด้วยเสียงร้อนรน

“มึงจะไปไหน”

“ณัชจะกลับ ณัชไม่อยากคุยกับคนโกหก” ผมไม่รอให้พี่ผาเดินมาถึงตัว กระชากประตูเปิดออกอย่างแรงแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่างทันที

“ไอ้ณัช!”

พี่ผาวิ่งตามลงมา แต่เพราะคนในร้านค่อนข้างเยอะบวกกับลูกค้าที่เรียกเขารั้งไว้เพื่อทักทายตามประสาคนรู้จักก็ทำให้ร่างสูงไม่สามารถปลีกตัวหรือทำเมินคนเหล่านั้นได้

ผมกับเขาคลาดกันตั้งแต่ตอนนั้น…







“ณัช… พี่ขอใบรายการของโต๊ะ 7 ด้วย”

“…”

“น้องณัช!”

“คะ…ครับ?! เมื่อกี้พี่เต้พูดว่าอะไรนะครับ” ผมสะดุ้งเฮือก รู้สึกว่าสองสามวันมานี้เหม่อบ่อยจนชักรำคาญตัวเองเข้าไปทุกทีแล้ว

“พี่ขอรายการอาหารโต๊ะ 7 หน่อยครับ”

“อ่อ นี่ครับ”

ผมยื่นใบรายการที่เพิ่งจดไปเมื่อสักครู่นี้ให้พ่อครัวอย่างลุกลี้ลุกลน ช่วงนี้เหมือนสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว และการที่ผมเป็นแบบนี้ก็ทำให้คนอื่นๆ ในร้านจับอาการแปลกไปของผมได้

“พี่ณัช… ผมว่าวันนี้พักก่อนไหม เห็นยืนเหม่อ ใจลอยมาตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดเลยนะ”

“ไม่เป็นไร กูไหว ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“แต่ผมดูยังไงก็ไม่ไหวนะครับ ถ้าแคร์เฮียผาขนาดนั้นทำไมไม่คืนดีกันสักทีล่ะ”

“มะ…มึงรู้ด้วยเหรอไอ้เบียร์”

“ทำไมจะไม่รู้ เฮียผาเป็นเจ้านายผมนะ แล้วก็ไม่ได้มีแค่ผมเพราะเขารู้กันหมดนั่นแหละ เฮียผาถึงขั้นแอบมาดักส่งพี่ณัชกลับคอนโดฯ ทุกวัน แถมยังสั่งห้ามพนักงานทุกคนไม่ให้บอกพี่ด้วยนะ”

“ส่งกูเนี่ยนะ”

“ครับ ช่วงนี้พี่ณัชแทบไม่ได้เจอหน้าเฮียผาเลยใช่ไหมล่ะ”

“อืม”

“เฮียผาก็คงกลัวพี่ณัชจะหายไป ไม่ยอมกลับไปนอนคอนโดฯ ล่ะมั้ง เขาก็เลยขับรถตามรถเมล์ที่พี่ณัชขึ้นไม่ให้คลาดสายตา นี่พี่ณัชไม่รู้ตัวเลยสินะ”

“เออ กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

ผมส่ายหน้าน้อยๆ ไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าพี่ผาลงทุนทำถึงขนาดนั้น คงเป็นเพราะผมเอาแต่นั่งเหม่อจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยมั้ง

เราทะเลาะกันเกือบอาทิตย์แล้ว เรื่องบุหรี่ที่พี่ผาเลิกไม่ได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่สาเหตุหลักน่าจะเป็นเรื่องที่พี่ผาโกหกผมมากกว่า ถึงจะไม่ได้โกรธเท่าวันแรกๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดี

พี่ผาโกหกผมเลยนะ แถมยังโกหกหน้าด้านๆ ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผมรับไม่ได้ ช่วงนี้ผมก็เลยไม่ได้เข้าไปนอนในห้องของพี่ผา พอกลับถึงคอนโดฯ ผมก็เข้าห้องตัวเอง เหมือนต่างคนต่างอยู่ อย่างบางวันผมตื่นมาก็ไม่เห็นพี่ผาแล้ว เขาน่าจะไปดูงานเรื่องก่อสร้างที่พัทยา จะมีข้อความส่งมาหาบ้างแค่ช่วงเช้ากลางวันเย็น คงกลัวว่าผมจะรำคาญแล้วเตลิดไปมากกว่าเดิมเลยไม่ได้โทรมาตื้ออย่างทุกที

และมันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมเหงาเวลาที่พี่ผาห่างไป แต่ทิฐิของผมก็สูงเกินกว่าที่ยอมลงให้เขาได้ง่ายๆ เหมือนกัน

“แบกไว้ไม่หนักหรือไงครับพี่ณัช”

“แบก? กูไปแบกอะไร”

“ก็ทิฐิไงครับ อย่าโกรธกันนานนักเลย พี่คิดว่าเราเกิดมาเพื่อที่จะผูกใจเจ็บกันหรือไง ถ้าสิ่งที่เฮียผาทำมีเหตุผล แม้ว่าเหตุผลนั้นพี่ณัชจะไม่เห็นด้วย แต่เฮียผาก็เลือกที่จะทำเพราะหวังดีกับพี่ณัชอยู่ดี”

“…”

“…เราก็แค่มองต่างมุมกัน”

“…”

“อีกอย่างที่ผ่านมาเฮียผาก็ดีกับพี่ณัชตลอด ความผิดแค่ครั้งเดียวที่ทำไป มันไปลบล้างความดีของเฮียผาทั้งหมดได้เลยเหรอครับ”

“พูดดีนะมึง”

“แน่นอน เห็นอย่างนี้ผมก็มีมุมจริงจังนะพี่”

“เออ กูจะมองมึงใหม่ละกัน แล้วที่มึงเดินมาคุยกับกูเพื่ออู้งานเนี่ย เพราะแค่จะมาพูดให้กูใจอ่อนช่วยเจ้านายตัวเองหรือเปล่า”

“บ้าเหรอพี่ จะใจอ่อนหรือไม่ใจอ่อนมันก็เป็นเรื่องของพี่ณัชป่ะ ผมพูดได้แค่นี้แหละ ไปบอกหรือไปบังคับอะไรไม่ได้หรอก”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อก็มีลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ ตรงเคาน์เตอร์กวักมือเรียก เบียร์ทำท่ากำลังจะเดินไปรับออเดอร์ แต่ผมห้ามไว้ เพราะอยากทำเองมากกว่า รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย

นั่นสินะ

จะไปโกรธอะไรพี่ผานักหนา

สุดท้ายที่พี่ผาทำไปก็เพราะห่วงความรู้สึกผม

แม้ว่ามันจะผิดวิธีไปหน่อยก็เถอะ

“รับอะไรครับ”

“ขออัลมาวีว่าครับ แล้วก็แก้วเปล่าสองใบ ส่วนอาหารเดี๋ยวผมค่อยสั่งทีหลัง”

พอจดรายการที่ลูกค้าสั่งเสร็จผมก็เดินกลับไปหาเบียร์ที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ “เดี๋ยวกูมานะ ไปเอาไวน์ให้ลูกค้าก่อน”

“ครับผม” เบียร์ตอบยิ้มๆ พร้อมกับทำท่าวันทยหัตถ์ส่งมาให้ผม “ยังไงก็ทำตามหัวใจด้วยนะพี่ณัช”

“ฮะ? อะไรนะ”

ผมขมวดคิ้ว แค่ไปเอาไวน์ทำไมต้องทำตามหัวใจด้วยวะ ท่าทางไอ้เบียร์จะเมาคน ประสาทแดกไปแล้ว สงสัยคงทำงานมากไปเลยมึน

ผมเดินขึ้นไปบนห้องชั้นสอง ไม่เห็นพี่ธรรมอยู่ในห้องนั้นแต่จำได้ว่าไวน์เก็บไว้ในตู้นี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงต้องไปตามพี่ธรรมมา แต่ผมที่มีศักดิ์ไม่ต่างจากเจ้าของร้านก็เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้องที่เก็บไวน์ราคาแพงด้วยตัวเอง

สายตาไล่ไปตามชื่อไวน์ที่วางบนชั้น จำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนยังเห็นตั้งไว้อยู่ตรงนี้เลย แล้วตอนนี้มันหายไปไหนหมด

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เริ่มต้นหาใหม่อีกครั้ง ไฟที่เคยส่องสว่างอยู่ในทีแรกก็ดับพรึ่บกะทันหัน ผมตกใจ สะดุ้งเล็กน้อย เพราะยังหาไวน์ที่ลูกค้าสั่งไม่เจอ แต่ก็ต้องถอยเท้าออกมาดูสถานการณ์ข้างนอกก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่ออยู่ดีๆ ไฟก็ดับแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ผมเดินลงบันไดไปอย่างระมัดระวังเพราะมองแทบไม่เห็นทาง แต่แล้วจู่ๆ ไฟตรงบริเวณบันไดทางเดินที่ใช้ขึ้นลงระหว่างชั้นบนกับชั้นล่างก็ส่องสว่างอยู่แห่งเดียว

ใครเล่นอะไรวะเนี่ย?!

ผมสบถ เลิ่กลั่กมองไปมาอย่างงุนงง เพราะตอนนี้ผมเหมือนกลายเป็นจุดเด่นของร้านไปแล้ว

สักพักก็มีเสียงใครบางคนเคาะไมค์สองสามทีจากบนเวทีเพื่อเช็กเสียงว่าดังหรือเปล่า แต่ผมมองไม่เห็นใครบนนั้นหรอกนะ เพราะมันมืด แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหนีแสงไฟที่ส่องมาที่ตัวและถามพนักงานว่าเกิดอะไรขึ้นก็มีเสียงคุ้นหูที่ผมคิดถึงมาตลอดหลายวันดังขึ้นขัดเสียก่อน

“อย่าเพิ่งขยับนะมึง” พอได้ยินเสียงหนึ่งพูดใส่ไมค์ผมก็ขมวดคิ้ว

พี่ผาเหรอวะ

ผมหันมองซ้ายมองขวา หาต้นตอของเสียงแต่ก็ไม่พบ ได้ยินแต่เสียงทุ้มห้าวแต่มีเสน่ห์ที่ผมอยากได้ยินมาตลอดหลายวันดังก้องไปทั่วร้าน

เล่นบ้าอะไรของพี่ผาวะเนี่ย

“เมื่อห้าวันก่อน…” แล้วพี่ผาก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ผมตั้งใจฟังเพราะไม่รู้ว่าพี่ผาคิดจะทำอะไรกันแน่ “…ผมทะเลาะกับแฟนครับ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เราทะเลาะกันใหญ่โต แถมยังใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วย”

“…” ผมเม้มปาก ตั้งใจฟังพี่ผาพูดไปเรื่อยๆ

“ผมผิดเองที่ทำให้เขาเสียใจ…”

“…”

“วันนี้ผมเลยมาขอโอกาส…”

“…”

“ผู้ชายธรรมดาๆ อย่างผมจะมาขอโอกาสให้เขาให้อภัยครับ”

“…”

“ผมก็เลยจะมาร้องเพลงนี้ให้เขาฟัง หวังว่าเขาจะยกโทษให้ผม…”

“…”

“แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะขอให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ เพราะถ้าแฟนผมเขายอมยกโทษให้ วันนี้ผมเป็นเจ้ามือเลี้ยงเบลนด์ 285 ให้โต๊ะละขวดเลย!”

พอพี่ผาพูดจบทุกคนในร้านก็ส่งเสียงเชียร์กันใหญ่ จนกระทั่งเสียงอินโทรดังขึ้น บรรดาเสียงเชียร์เมื่อครู่ก็เงียบไปทันที



อภัยให้กันได้ไหมในสิ่งที่พลั้งพลาดไป

ก็อยู่คนเดียวมานานไม่ค่อยได้คบใคร…



ผมมองแสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างก่อนจะเห็นพี่ผานั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูง ส่วนพี่กรรณที่เป็นนักดนตรีประจำก็หลบไปทางด้านหลังให้พี่ผาเด่นขึ้นมาจากคนอื่นๆ

รู้จักกันมาตั้งนาน ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายอย่างพี่ผาจะร้องเพลงเพราะกับเขาด้วย



และโง่ในสิ่งที่ควรฉลาด พลาดในสิ่งที่ควรต้องรู้

ทำในสิ่งที่เธอนั้นดูว่าบ้าบอ

แต่ต่อจากนี้… จากนี้… จะไม่โง่อีก

จะไม่พลั้งไปทำอะไร ให้ใจเธอเป็นแผล



และในระหว่างที่พี่ผาร้องเพลงไปเรื่อยๆ เขาก็ค่อยๆ เดินลงจากเวทีมาหาผม ตอนนี้เลือดลมในร่างกายสูบฉีดไปหมด หน้าร้อนผ่าวจนแทบไหม้ ผมไม่ได้ขยับถอยหนี เพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาตรึงเท้าไว้ไม่ให้ขยับ

ยิ่งเห็นพี่ผาในระยะใกล้ๆ แล้วร้องเพลงไปด้วยผมก็ยิ่งเขิน แต่ผมจะไม่แสดงออกไปหรอกว่าตอนนี้รู้สึกพิเศษขนาดไหน

พี่ผาดูโดดเด่นมากจนผมไม่สามารถละสายตาได้



จะไม่เผลอทำตัวให้เธอรู้สึกแย่ๆ

จากนี้จะสัญญาว่าจะไม่บ้าอีก

จะขอพลิกตัวเองที่เคยเป็นคนไม่เอาไหน

ให้สมเป็นคนที่เธอฝากวางหัวใจ

จะรักเธอให้ดีกว่าที่แล้วมา…



พอเพลงจบลงพี่ผาก็พูดต่อทันที “กูขอโทษนะ…”

“…” ผมเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไร คิดไม่ออกแม้แต่คำว่าอืมด้วยซ้ำ

“ยกโทษให้กูได้ไหม”

“…”

“กูจะไม่ทำตัวแย่ๆ ให้มึงเสียใจอีกแล้ว”

“…”

“กูจะไม่โกหก จะบอกมึงทุกอย่างเลยดีไหม”

“…”

“แล้วกูก็จะเลิกบุหรี่”

“…”

“เลิกเหล้าด้วยก็ได้ถ้ามึงต้องการ”

“…”

“กูเลิกได้หมดทุกอย่างเลย แค่มึงบอกให้กูทำ”

“…”

“แต่มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่กูจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด…”

“…”

“คือเลิกกับมึงนะไอ้ณัช”

“…”

“ภูผาขอโทษครับ…”

“…”

“ยกโทษให้ภูผานะครับณัชชนม์…”

เราสบตากันตอนที่พี่ผาพูด และเหมือนว่าอีกฝ่ายจะระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมาจนหมดแล้ว แต่ผมก็ยังเงียบอยู่ เพราะแบบนั้นพี่ผาถึงทำหน้าราวกับจะร้องไห้

อะไรกัน

นี่จะมาง้อเขาหรือจะมาให้เขาสงสารตัวเองกันแน่

ผมก็เลยกระตุกยิ้ม ก่อนจะพูดตะโกนตอบกลับไปว่า “ไอ้เบียร์! มึงยกเบลนด์ 285 ให้ลูกค้าทุกโต๊ะดิ”

เท่านั้นแหละเจ้าของแผนการนี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาแล้วคว้าตัวผมไปกอดไว้แน่น…



※※※


แฮชแท็ก #หวงณัช

มาแล้วว เป็นตอนที่ยาวมากๆ เลยต้องแบ่งเป็น 3 พาร์ตนะคะ ตอนแต่งก็ได้แต่บอกตัวเองว่าจะหาผช.แบบพี่ผาได้จากที่ไหนน้าาา แงงง! T^T


ช่องทางการติดต่อ Twitter @THEROMARKTIC

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เกือบไปแล้วไหมหล่ะลวกเพ่   :เฮ้อ:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ปิดเมียไม่ได้ซักเรื้องเลยสิน่าาาา   :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด