บทที่ 3
“ค่ำๆ วันนี้จะมีของเข้าไปส่ง พี่อาจจะกลับช้าหน่อย ช่วยเช็ครายการสินค้าให้ละเอียดด้วยนะ”
ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น กวีรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียงคุ้นหูของใครบางคนดังไม่ไกลจากตัวเขาเท่าใดนัก ชั่วขณะหนึ่ง นักเขียนหนุ่มอยากรู้ว่าเจ้าของเสียงคือใครและมาทำอะไรในห้องเขา แต่ทุกอย่างก็เงียบไปจนเข้าใจว่าตนเองคงกำลังฝัน
กวีนอนหลับตานิ่งเพราะรู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนเพลีย อยากหลับต่อเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าไม่นาน เสียงของคนคนนั้นก็ดังขึ้นอีกหน และครานี้เขาก็ทนหลับตาต่อไม่ไหว
“ยังไงพี่ฝากดูร้านด้วยนะแซม”
เปลือกตาสีอ่อนปรือขึ้นเชื่องช้า เขาจึงแสบตาเล็กน้อยเพราะยังไม่ชินกับแสง ครั้นปรับสายตาให้มองเห็นได้ปรกติแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานห้องตัวเองสว่างไสวเพราะไฟดวงกลางถูกเปิดเอาไว้
กวีเบนสายตาไปทางที่มาของเสียงจึงพบร่างของใครคนหนึ่งยืนก้มหน้าจ้องมองเข้าด้วยสายตาคมกริบ คนถูกมองชะงักไปครู่หนึ่งด้วยนึกประหลาดใจว่าชายคนนี้มาอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเองได้อย่างไร เขาจึงหลับตาลงอีกครั้งพลางส่ายหัวไปมา พยายามเรียกสติจนผมสีปีกกากระจายเต็มหมอน จากนั้นจึงลืมตามองอีกครั้ง
หากคราวนี้คนแปลกหน้าไม่เพียงมองเฉยๆ แต่อีกฝ่ายกำลังยิ้มกว้างส่งมาให้เขาด้วย
“ฟื้นแล้วหรือครับ”
“…ครับ“ กวีตอบรับเสียงแหบแห้ง
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ” ฝ่ายนั้นถามต่อ
“มึนๆ นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ” กวีว่า ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“ไม่เป็นไรแน่นะครับ เวียนหัวไหม เอายาดมอีกหรือเปล่า”
“ยาดม?...”
เมื่อสังเกตดูดีๆ กวีก็ได้กลิ่นฉุนๆ ที่คาดว่าเป็นการบูรน้ำของพี่เจนซึ่งซื้อมาฝากจากอัมพวาแต่เขาไม่เคยแกะออกมาใช้ เนื่องจากแพคเกจมันสวย
“ผมเห็นมันวางอยู่ในตู้ปฐมพยาบาลก็เลยหยิบมาเปิดให้คุณดม ขอโทษที่ถือวิสาสะค้นของในห้องนะครับ” คนพูดว่าพลางยื่นขวดการบูรน้ำมาให้
“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของห้องรับขวดการบูรไว้แล้วดมนิดๆ พอเป็นพิธีพลางเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นสายตาของเขา เจ้าตัวจึงถามกลับ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือ...เอ่อ...ทำไมพี่รถกับข้าวถึงมาอยู่ในห้องของผมได้ล่ะครับ” กวีถามอ้อมแอ้ม
ตอนที่รู้สึกตัวเต็มที่ เขาพยายามคิดเหตุผลที่อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในห้องนี้ดูแล้ว แต่ให้คิดอย่างไร กวีก็คิดไม่ออก ซ้ำยังจำอะไรไม่ได้เลย
ความทรงจำล่าสุดของเขาหยุดอยู่ที่ตัวเองเดินไปเปิดประตูรับของเท่านั้น
“จริงสิ ผมลืมบอกคุณไปเลย” พี่รถกับข้าวทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนเฉลย “คุณเป็นลมน่ะครับ ผมก็เลยพาคุณเข้ามาปฐมพยาบาลในห้อง”
“เป็นลม!” กวีถามย้ำด้วยความตกใจ
“ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ายืนยัน “ตอนที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องหลังจากได้รับของแล้ว อยู่ๆ คุณลูกค้าก็ปล่อยตะกร้ากับข้าวตกพื้นแล้ววูบลงไปเลย”
“ผมทิ้งตะกร้ากับข้าวด้วยหรือ!!” คราวนี้กวีร้องดังกว่าเดิม
“ครับ”
“ตายล่ะ! ไข่ผมแตกหมดแล้วแน่เลย”
“หา?” พี่รถกับข้าวกระพริบตาปริบๆ กับประโยคนั้น ”เอ่อ...ไข่แตกไม่หมดครับนะ ผมช่วยดูให้แล้ว แตกไปแค่ใบเดียวเท่านั้น”
“แล้วกับข้าวอื่นๆ ล่ะครับ ตกพื้นไหม มีอะไรที่ผมต้องสั่งใหม่หรือเปล่า”
“ไม่มีครับ วัตถุดิบอื่นๆ อยู่ในบรรจุภัณฑ์เรียบร้อยดี มีแค่มันฝรั่งที่กลิ้งหลุดออกมาจากถุงกระดาษสามสี่หัวเท่านั้น แต่มันคงไม่เปื้อนอะไรมาก ผมว่าล้างได้นะครับ”
เมื่อได้ยินพี่รถกับข้าวตอบอย่างละเอียด กวีจึงถอนหายใจอย่างคลายกังวล
“อ่า...จริงสินะ กล่องซับพอร์ตกับตะกร้าของร้านพี่รถกับข้าวค่อนข้างหนา”
“ครับ...หึๆ”
ได้ยินเสียงคล้ายคนหลุดหัวเราะ นักเขียนหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมอง แต่เพราะเขายังไม่ได้ใส่แว่น จึงไม่แน่ใจว่าใบหน้าคมเข้มนั้นพยายามกลั้นยิ้มก่อนแสร้งเสมองไปรอบๆ ห้องหรือเปล่า
แต่ถ้าอีกฝ่ายจะหัวเราะแล้วอย่างไร
คิดให้ดีๆ เขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายถามเรื่องไม่น่าถามเป็นอันดับแรกๆ แทนที่จะถามเรื่องอาการของตัวเองก่อน
พี่รถกับข้าวจะมองว่าเราเห็นแก่กินไหมนะ
กวีฉุกคิดในใจ ก่อนแสร้งกลบเกลื่อนด้วยคำถามเรื่องสุขภาพ
“เอ่อ...แล้วพี่รถกับข้าวพาผมเข้ามาได้ยังไงครับ”
“ผมอุ้มคุณเข้ามา” เขาตอบพลางเกาแก้มเก้อๆ
“อุ้มเนี่ยนะ!”
“ครับ...”
“...”
“คุณลูกค้าคงไม่ว่าใช่ไหม”
เขาถามเบาๆ ราวกับเด็กที่เพิ่งทำความผิดร้ายแรง กวีแทบอ้าปากค้างกับคำยืนยันที่ได้ยิน ก่อนจะรีบตั้งสติแล้วรีบบอกปัด
“จะว่าได้ยังไงล่ะครับ แค่พี่รถกับข้าวไม่ปล่อยให้ผมนอนอยู่ข้างนอกก็ดีเท่าไหร่แล้ว นี่ยังอุ้มเข้ามานอนในห้อง เปิดแอร์ เปิดยาดมให้ดมอีก ผมไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยครับ”
ถึงพี่รถกับข้าวจะรูปร่างกำยำสูงใหญ่ และเขาเองก็ไม่สูงนัก แต่กวีรู้ดีว่าตัวเองมีไขมันส่วนเกินค่อนข้างมาก ดังนั้นน้ำหนักคงไม่ใช่น้อยๆ เลย แถมอีกฝ่ายยังอุ้มเขาตั้งแต่หน้าประตูเข้ามาจนถึงในห้องนอน จัดท่าจัดทาง ดูแลราวกับเป็นญาติสนิทมิตรสหาย
แล้วแบบนี้ตัวปัญหาอย่างกวีจะไปว่าอะไรได้
“ถ้าคุณลูกค้าไม่ว่าที่ผมเข้ามาโดยพละการ ผมก็สบายใจครับ”
“ไม่ว่าครับไม่ว่า แถมต้องขอบคุณมากๆ ด้วยซ้ำ ผมล่ะเกรงใจจริงๆ ทำให้พี่รถกับข้าวต้องเดือดร้อนซะแล้ว” ประโยคหลังเจ้าของห้องบ่นตัวเองเบาๆ
“ไม่เดือดร้อนหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง” พ่อคนดีว่าพร้อมกับแนบรอยยิ้มเป็นมิตรกับทุกสรรพสิ่งบนโลก
แหม...อยากให้สังคมเรามีคนดีๆ แบบนี้อยู่เยอะๆ จริงๆ กวีคิด
“เอ่อ...ถ้าคุณลูกค้าไม่เป็นไร---“
ครืด ครืด
ยังไม่ทันที่พี่รถกับข้าวจะพูดจบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือของกวีก็สั่นเตือน นักเขียนหนุ่มหันซ้ายหันขวา ก่อนะหยิบแว่นที่ถูกพับขาเก็บไว้อย่างเรียบร้อยมาสวมก่อน จึงพบว่าเครื่องมือสื่อสารของตัวเองวางอยู่ใกล้ๆ กัน
“ครับพี่เจน”
[ก้อน! นั่นฟื้นแล้วใช่ไหม!!]
นางสาวเจนจิรา บก.คนดีคนเดียวของกวีแผดเสียงถามดังลั่น แต่น้ำเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนกวีหลุดยิ้มออกมาบางๆ
“ฟื้นแล้วครับ ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงครับว่าผมเป็นอะไร” กวีสงสัย
[ก็คุณพนักงานร้านขายของที่แกสั่งบ่อยๆ น่ะสิ เขารับโทรศัพท์ตอนที่ฉันโทรไปเมื่อเที่ยง เขาบอกว่าแกเป็นลมหน้าห้อง ไม่เป็นอะไรมากแล้วใช่ไหม เป็นลมจริงๆ หรือแค่วูบหลับเหมือนทุกทีน่ะก้อน]
“คงวูบหลับเหมือนทุกทีน่ะครับ เพราะอดนอนมาเกือบสามวันแล้วนี่นา พี่ก็รู้นี่” กวีกล่าวสบายๆ แต่คำบอกเล่าของเขากลับทำให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่ในห้องเผลอขมวดคิ้วฉับ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอก ผมโอเคมากแล้ว”
[แต่พี่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี นี่เพิ่งฟื้นใช่ไหม]
“ครับ เพิ่งตื่นเมื่อครู่นี้เอง กำลังถามเรื่องราวจากพี่รถกับข้าวอยู่พอดี”
[นี่เกือบห้าชั่วโมงเลยนะก้อน จากที่พี่คุยกับคุณพนักงานคนนั้น แกหลับนานกว่าทุกที พี่ว่าไปหาหมอเถอะ เช็คสักหน่อยเพื่อความสบายใจ]
“แต่ผมขี้เกียจออกจากบ้าน ต้องขึ้นรถวุ่นวายอีก นี่เย็นมากแล้ว รถคงติดหนักน่าดู วันศุกร์เสียด้วย ฝนตกอีกต่างหาก”
[ข้ออ้างเยอะนักนะ] เจนว่าอย่างรู้ทัน
“ผมเปล่าอ้างนะครับ”
[เอาเถอะๆ พี่ก็เข้าไปลากแกออกไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ได้เสียด้วย ที่กองกำลังยุ่งเลย]
“ก็แหงสิครับ วันนี้เดดไลน์นี่”
[นั่นน่ะสิ ทำยังไงดีล่ะ]
เสียงของเจนเต็มไปด้วยความกังวล เธออยากพานักเขียนในปกครองที่เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ ไปโรงพยาบาลเสียตอนนี้แต่งานที่มีก็เลี่ยงหรือหยุดไว้ก่อนไม่ได้
“ไม่ต้องทำยังไงหรอกครับ ผมโอเค” กวีดักคออย่างรู้ทัน เขารู้ว่าเจนคงกำลังคิดมากเรื่องสุขภาพของเขาอยู่เป็นแน่ “เดี๋ยวผมจะหาข้าวกิน อาบน้ำ แล้วออกมากินวิตามินที่พี่ซื้อให้ คืนนี้จะนอนเร็วด้วย...โอเคไหม”
[อืม...] เจนช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมตกลง [เอางั้นก็ได้ คืนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ งานของก้อนที่จะลง พี่ลงให้เอง พักผ่อนเยอะๆ นะ]
“ขอบคุณครับ พี่เจนก็เหมือนกันนะ รีบทำงานแล้วก็รีบกลับบ้านล่ะ”
“รู้แล้วล่ะจ้ะ”
เมื่อล่ำลากันเรียบร้อย กวีก็กดวางสาย
นักเขียนหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นว่า ยามนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ถ้าหากนับดูดีๆ แปลว่าเขาเผลอวูบหลับไปนานพอดู
คิดได้ถึงตรงนี้ ดวงตากลมๆ ก็ค่อยๆ ช้อนขึ้นมองคนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้างเตียง
“เอ่อ...พี่รถกับข้าวเฝ้าผมอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือครับ”
“ใช่ครับ” คนตัวสูงตอบเรียบๆ
“แปลว่าไม่ได้ไปทำงานต่อสินะ...”
“ครับ”
“ขอโทษจริงๆ นะครับ” กวียกมือไหว้ปรกๆ “ผมทำให้คุณลำบาก แถมเสียงานเสียการด้วย”
“อย่าคิดมากเลยนะครับ” เขาว่า “ว่าแต่คุณเถอะครับ ไหวแน่หรือ อย่าหาว่าผมเสียมารยาทแอบฟังคุณคุยโทรศัพท์เลยนะ แต่ผมเองก็คิดว่าคุณควรไปตรวจที่โรงพยาบาลนะครับ”
“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก เวลาปั่นต้นฉบับแล้วไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน พอทำงานเสร็จผมก็ชอบหลับแบบนี้ประจำ เหมือนที่เค้าเรียกว่าอะไรน้า...” คนพูดเอานิ้วเคาะริมฝีปากอิ่มอย่างใช้ความคิด “อ้อ! เครื่องดับครับ คล้ายๆ ชัตดาวน์น่ะ ผมชัตดาวน์แบบนี้ประจำแหละ”
“ฟังดูน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิมอีกนะครับ” คิ้วเข้มนั่นขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ” กวีเอ่ยคำว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง และพยายามปั้นหน้ายิ้มสดใส “เดี๋ยวได้พักผ่อนเพียงพอก็กลับมาสดชื่นเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ”
ครั้นเห็นคนตรงหน้านิ่งไปนิด กวีก็รีบรุกฆาตโดยการชวนเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่พี่รถกับข้าวต้องรีบกลับไหมครับ”
“ถ้าเกิดว่าคุณลูกค้าไม่เป็นไรแล้ว ผมกลับเลยก็ได้ครับ” ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวตอนโดนทักว่าตนเองอยู่นานเกินไปแล้ว
บางทีเจ้าของบ้านอาจจะอยากพักผ่อน
“ไม่ใช่นะครับ...ไม่ใช่” กวีรีบโบกมือเป็นพัลวัน เพราะมองปราดเดียวก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด “ผมไม่ได้ไล่พี่นะครับ”
“หืม?” เขาเลิกขมวดคิ้ว แล้วส่งเสียงคล้ายกำลังประหลาดใจ
“คือที่ผมอยากรู้ว่าพี่รถกับข้าวจะรีบกลับไหม เพราะผมอยากเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นการตอบแทนน่ะครับ แต่ถ้าพี่รีบ เอาไว้คราวหน้าก็ได้”
“ไม่รีบครับ” อีกฝ่ายตอบทันทีโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ก่อนจะอ้อมแอ้มแก้เก้อ “แต่คุณลูกค้าจะลำบากหรือเปล่า เพิ่งฟื้นด้วย”
“ไม่ครับ...ไม่ลำบาก เพราะยังไงผมก็ต้องทำกับข้าวกินเอง อีกอย่างผมเห็นว่าเย็นมากแล้วด้วย พี่รถกับข้าวเฝ้าผมตั้งแต่บ่ายโมงคงหิวแย่เลย อยู่ทานด้วยกันนะครับ”
ไม่ใช่แค่คำพูด แต่กวียังส่งสายตาปิ๊งๆ แบบที่บก.เจนแพ้ทางเป็นการคะยั้นคะยอ ทำให้ในที่สุด พี่รถกับข้าวของเขาก็ยอมพยักหน้าตกลง
“ถ้าอย่างนั้นพี่ออกไปรอที่โต๊ะอาหารก่อนนะครับ ผมขอล้างหน้าล้างตาแป๊บเดียว อีกเดี๋ยวจะตามออกไป”
“ครับ”เขารับคำอย่างว่าง่ายแล้วเดินออกจากห้องเพื่อให้เวลาเจ้าของบ้านได้จัดการธุระส่วนตัว
กวีม้วนผ้าห่มลวกๆ วางไว้บนกองหมอน แอบรู้สึกอายเล็กน้อยที่มีคนอื่นนอกจากพี่สาวคนสนิทได้เห็นสภาพห้องนอนรกๆ แบบนี้ โชคดีที่แม่บ้านเพิ่งมาเมื่อเช้า ทำให้ห้องอื่นๆ สะอาดเรียบร้อยดีไม่มีที่ติ
พอจัดการกับที่นอนเรียบร้อยแล้ว กวีก็ลุกขึ้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ทว่ากางเกงเจ้ากรรมกลับค่อยๆ ไหลลงในทุกจังหวะการเดิน กางเกงตัวนี้ค่อนข้างเก่ามากแล้ว ขอบยางจึงไม่ค่อยดีเท่าไร กวีต้องอาศัยเชือกรัดปมที่กางเกงให้แน่น เพราะมันใส่สบายจนเขาไม่อยากทิ้ง
ชายหนุ่มจึงต้องเอามือจับยางยืดๆ ที่เอวเอาไว้ให้มั่น จำได้ว่าตัวเองผูกปมมันแน่นมากแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเชือกรัดเอวคลายปมได้อย่างไร
ตอนที่หลับไปเขาเผลอดิ้นจนปมหลุดหรือเปล่านะ
ชายหนุ่มคิดไปเรื่อย จนกระทั่งตอนที่แก้ผ้าอาบน้ำ เขาจึงได้พบว่าไม่ใช่ปมเชือกหลุดเอง แต่เป็นฝีมือมนุษย์อีกคนที่อยู่ในครัวอย่างแน่นอน เพราะพอมาส่องกระจกเขาก็พบว่ากระดุมเสื้อเม็ดบนๆ ของตนเองถูกปลดเช่นกัน
กวีคิดว่าอีกฝ่ายคงทำไปเพราะช่วยปฐมพยาบาลให้ตอนเขาเป็นลม ถึงกระนั้นก็อดรู้สึกเขินนิดๆ ไม่ได้ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาคลายปมเสื้อผ้า
น่าอายชะมัดเลย เรายิ่งเจ้าเนื้อเสียด้วยสิ
ชายหนุ่มโอดครวญในใจ ก่อนคิดขึ้นได้ว่าฝ่ายนั้นคงเห็นไปไม่เท่าไร
อีกอย่าง ถ้าเขาจะอาย ควรอายเรื่องที่ถูกอุ้มเข้ามามากกว่า เพราะนั่นน่ะ อีกฝ่ายจะสัมผัสความเจ้าเนื้อของเขาได้เต็มๆ
ระว่างคิดสะระตะไปเรื่อย นักเขียนหนุ่มก็อาบน้ำอาบท่าและรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าคนที่อยู่ในความคิดจะคอยนาน
ตอนที่กวีก้าวเท้าเข้ามาในครัว เขาพบพี่รถกับข้าวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม อีกฝ่ายก็คงสัมผัสได้ว่าเขาเข้ามาแล้ว จึงเก็บโทรศัพท์และเงยหน้ามาถามยิ้มๆ
“เสร็จแล้วหรือครับ รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้างไหมครับ”
“ครับ รู้สึกเหมือนเป็นปรกติแล้วล่ะ” กวีตอบแข็งขัน “เดี๋ยวพี่รถกับข้าวรอสักครู่นะครับ ผมขอเก็บกับข้าวก่อน จะได้เลือกว่าวันนี้ควรทำเมนูอะไรดี”
“ครับ”
“อ้อ!” เจ้าแก้มกลมส่งเสียงเล็กน้อย ก่อนถามเรื่องสำคัญ “มีอะไรที่พี่ทานไม่ได้หรือเปล่าครับ”
“ไม่มีครับ ผมทานได้ทุกอย่าง”
พอได้ยิน กวีก็ยิ้มยินดีแล้วเริ่มลงมือเก็บของ หากชายหนุ่มกลับพบว่าพี่รถกับข้าวเก็บอาหารสดใส่ตู้เย็นให้เขาหมดแล้ว
“ผมกลัวเนื้อเสียน่ะครับ ก็เลยเก็บให้แล้ว” อีกฝ่ายคล้ายจับตาดูความเคลื่อนไหวของกวีมาแต่แรก จึงชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ขอบคุณนะครับ พี่รถกับข้าวใจดีจัง”
“ผมไม่ได้ใจดีหรอกครับ ผมทำตามหน้าที่”
กวีลอบยิ้มคนเดียวเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น
ทำตามหน้าที่หรือ
ถ้าพี่รถกับข้าวทำตามหน้าที่จริงๆ เจ้าตัวคงกลับไปตั้งแต่แรกแล้ว ทว่านี่ยังอยู่รอให้เขาฟื้น มิหนำซ้ำยังช่วยเก็บข้าวเก็บของให้กวีอีก
ถ้าไม่เรียกใจดี จะให้เรียกอะไรกันล่ะ
กวีพยายามทำตัวให้ยุ่งเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองคิด กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่นั่งอยู่นานก็เริ่มกระสับกระส่าย ด้วยเห็นว่าเจ้าของห้องไม่ตอบอะไรกลับไป
“เอ่อ...ว่าแต่คุณลูกค้ามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” ไม่ว่าเปล่า คนพูดยังลุกขึ้นจากเก้าอี้ มายืนข้างเคาท์เตอร์เพื่อดูว่าตัวเองพอช่วยอะไรได้บ้าง
“ไม่มีหรอกครับ ผมทำอาหารง่ายๆ แค่สองอย่างเท่านั้นเอง”
“แล้วไม่ต้องการลูกมือหรือครับ” คนอยากช่วยเสนอตัว
“เอ่อ...” กวีเหลือบตามองคนข้างๆ อย่างช่างใจ “แต่พี่รถกับข้าวเป็นแขกแล้วนะครับตอนนี้ นั่งรอไม่ดีกว่าหรือ ถ้าให้พี่ช่วย ก็ไม่เรียกว่าทำเพื่อตอบแทนน่ะสิ”
“เอาไว้คุณลูกค้าตอบแทนผมวันหลังก็ได้นะครับ วันนี้คุณไม่สบายอยู่ แถมตอนนี้ผมก็หิวไส้แทบขาดแล้ว” คนใจดีทำคิ้วตกและกุมท้องประกอบคำพูด แต่ดูก็รู้ว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้าง
“พี่ทำกับข้าวเป็นหรือครับ”
“พอได้นิดหน่อยครับ แต่ถ้าแค่เป็นลูกมือล่ะก็ สบายมาก”
“งั้นก็ได้ครับ จะได้เสร็จเร็วๆ ด้วย”
“ดีครับ” พี่รถกับข้าวว่า ก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้น “ไหนครับคุณลูกค้า ให้ผมช่วยอะไรบ้าง”
“ก่อนอื่น...ช่วยเรียกผมว่ากวีหรือวีแทนได้ไหม เรียกคุณลูกค้าแล้วมันแปลกๆ น่ะครับ”
“นั่นสินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณวีแล้วกัน”
“แค่วีก็ได้ครับ มีคุณนำหน้าแล้วไม่สนิทใจยังไงก็ไม่รู้”
“จะดีหรือครับ”
“ดีสิครับ นี่ไม่ใช่เวลางานของพี่สักหน่อย อีกอย่างพอพูดแบบเป็นทางการ ผมรู้สึกเกร็งๆ น่ะ ทำตัวไม่ค่อยถูกเลย”
พี่รถกับข้าวช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเงื่อนไขของตัวเองเช่นกัน
“ถ้าไม่ใช่เวลางาน ให้ทำตัวตามสบายได้เลยใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ” กวีพยักหน้า พลางใช้มือดันแว่นไม่ให้ไหลลงไปที่ปลายจมูก
“ถ้าอย่างนั้นวีเองก็ต้องเรียกพี่ว่า พี่ลม แทนพี่รถกับข้าวด้วยนะครับ จะได้เท่าเทียม”
“ได้สิครับพี่ลม” นักเขียนหนุ่มตอบรับอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายแอบบ่นเบาๆ “แต่ไม่ชินเลยนะครับ เรียกพี่รถกับข้าวมาตั้งนาน”
“หึๆ งั้นก็เรียกบ่อยๆ นะครับ จะได้ชิน”
“โอเคครับ” กวียิ้ม “งั้นเรามาเริ่มทำอาหารกันเลยดีไหม”
“เอาสิครับ...ไหนวีจะให้พี่ทำอะไรบ้าง”
“ช่วยล้างบรอกโคลี่ให้หน่อยนะครับ ผมจะผัดกับกุ้ง”
“ได้ครับ” วายุรับบรอกโคลี่มาล้างตามคำสั่ง “ว่าแต่วีจะทำเมนูอะไรบ้างหรือครับ เห็นเมื่อกี้บอกว่ามีสองอย่าง”
“อ้อ มีกุ้งผัดบรอกโคลี่กับปลาดอลลี่นึ่งซีอิ้วครับ”
“ฟังดูยากจัง”
“ไม่ยากหรอกครับ ใช้ไมโครเวฟนึ่ง” กวีบอกยิ้มๆ ก่อนหันไปจับหม้อหุงข้าว “งั้นเดี๋ยวผมหุงข้าวก่อนนะ”
“วีจัดการปลาดีกว่าครับ เสร็จตรงนี้พี่จะหุงให้เอง”
“อ่า...งั้นก็ได้ครับ ข้าวสารอยู่ในถังสีฟ้าซ้ายมือ ใส่ข้าวสักสองถ้วยพอเนอะ กินกันแค่สองคน”
“ครับ”
หนึ่งนักเขียนกับหนึ่งนักธุรกิจช่วยกันทำมื้อเย็นอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางกลิ่นอาหารและเสียงเครื่องดูดควันความสัมพันธ์ประหลาดที่ไม่มีใครคาดคิดกำลังก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------------------
มาต่อแล้วค่าาาา
จากพี่รถกับข้าว กลายเป็นพี่ลมแล้วนะ
ก้อนน้องของแม่ไวไฟมากเวอร์ 55555
ยังไงก็ฝากเอ็นดูคุณนักเขียน กับ คุณเจ้าของร้าน(ที่น้องยังเข้าใจว่าเป็นพนักงานส่ง)ด้วยนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^