ต่อจากด้านบน
สุดสัปดาห์นี้หนูพาน้องแฝดกลับมาที่เกาะใบไม้ครามตั้งแต่เย็นวันศุกร์เพราะน้าเยียอยากให้พาเด็กๆ มาค้างกับคุณตาบ้าง ส่วนหนูขอกลับมาค้างที่บ้านตลาดเพราะอยากตื่นมาใส่บาตรในเช้าวันเสาร์ ตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดีเพราะจะลุกไปซื้อของเตรียมใส่บาตรก่อน
“อ้าว อาหนูด้วง กลับมาเที่ยวบ้านเหรอ แล้วทำไมตื่นแต่เช้าเลย”
“หนูก็จะมาใส่บาตรไงอาแปะซ้ง ร้านอาแปะมีอะไรใส่บาตรได้บ้าง”
“มีทุกอย่าง ลื้อจะเอาอะไร”
“มีซูชิไหม”
“อั๊วว่าแล้วว่าลื้อจะต้องป่วน อยากได้ก็จัดให้” อาแปะซ้งหายกลับเข้าไปในร้าน พักเดียวก็เดินออกมาพร้อมกับหม้อข้าวและปลาเป็นๆ หนึ่งตัว “นี่ข้าว ลื้อปั้นเอาเอง ปลานี่ก็แล่เอาเอง ส่วนสาหร่ายเดี๋ยวอั๊วให้ยืมตีนกบ ลื้อไปดำเอาในทะเล”
“อะโห อาแปะอัพเกรด หนูชอบ ฮ่าๆๆๆ” หนูหัวเราะชอบใจที่อาแปะเล่นงานหนูเข้าบ้างแล้ว อีกฝ่ายยิ้มจนเห็นฟันหลอเมื่อเอาชนะหนูได้
“วันนี้อั๊วอารมณ์ดี เดี๋ยวจะเข้าไปเตรียมของใส่บาตรให้ก็แล้วกัน” อาแปะซ้งเดินหัวเราะกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมถาดที่มีของใส่บาตรครบครัน
“พระท่านจะเดินมาตรงนี้ไหมอาแปะ”
“ต้องไปใส่ตรงหน้าสำนักงานของอาพญา แต่วันนี้ฝนทำท่าจะตก ไม่รู้ว่าพระท่านจะลงมาไหม”
“อ้าว...” หนูรู้สึกห่อเหี่ยวเมื่อมองไปที่ท้องฟ้า มันตั้งเค้ามาตั้งแต่ก่อนจะสว่างแล้ว อุตส่าห์ตั้งใจมาใส่บาตรให้หลวงพ่อกับหลวงพี่เสียหน่อย
“แต่คงมาแหละ ท่านรู้ว่ามีคนรอ” อาแปะซ้งปลอบใจเมื่อเห็นท่าทางของหนู
“งั้นเราเดินไปรอที่หน้าสำนักงานกันเถอะอาแปะ”
“ลื้อก็ไปสิ มาชวนอั๊วทำไม อั๊วใส่บ่อยแล้ว”
“ก็หนูอยากเกิดมาเจออาแปะอีก หนูรักอาแปะนะ อยากเจอทุกชาติทุกชาติ ไป นะๆ ไปทำบุญด้วยกัน”
“ใครจะไปอยากเจอลื้อทุกชาติ อะๆ ไปก็ไป อั๊วไปเตรียมของใส่บาตรเพิ่มก่อน”
“หนูรู้น้าว่าอาแปะก็รักหนู” หนูหยอกอาแปะก่อนจะรีบเดินนำไป เพราะขืนแกล้งแกมากไปกว่านี้คงจะโดนอาแปะบ่นจนหูชา
แล้วเมฆที่ตั้งเค้าก็ส่งพระพิรุณลงมาจนได้ ถึงจะเป็นแค่ปรอยฝนแต่ถ้ายืนตากฝนนานๆ ก็ทำให้เปียกได้เหมือนกัน หนูตัดสินใจพาอาแปะเข้ามาหลบละอองฝนในสำนักงานก่อน อาแปะแกแก่มากแล้ว ไม่อยากให้ป่วย ในใจก็คิดว่าฝนตกแบบนี้หลวงพ่อกับหลวงพี่คงไม่ได้ลงมารับบิณฑบาตแล้ว แต่เมื่ออาแปะหันมาบอกว่าพระท่านมาแล้วหนูจึงรีบชวนอาแปะออกมายืนตรงด้านหน้าซึ่งมีหลังคาคุ้มฝนอยู่
“โยมกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” หลวงพ่อทักหนู ส่วนอาแปะรีบถวายผ้าขนหนูให้หลวงพ่อกับหลวงพี่ ท่านรับไปเช็ดน้ำฝนออกจากใบหน้าก่อนจะส่งให้ลูกศิษย์วัดนำไปเก็บ
“เมื่อคืนฮะ พาน้องแฝดมาหาคุณตากับน้าเยีย”
“สบายดีไหม” คราวนี้หลวงพี่ถามหนู หนูมองหน้าหลวงพี่ บอกตามตรงว่าน้ำตาจะไหล หนูคิดถึงหลวงพี่มากๆ พร้อมกันนั้นก็นึกเลื่อมใสความสงบเยือกเย็นของหลวงพี่ แววตาของท่านยังคงมีแต่ความอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนเคย
“สบายดีฮะ” หนูตอบสั้นๆ กลัวจะไปแสดงท่าทีที่ทำให้หลวงพี่เป็นกังวล
“มาใส่บาตรกันอาหนูด้วง” อาแปะยกถาดมาให้หนูก่อนจะหันไปพูดกับหลวงพ่อ “ฝนตกพื้นเฉอะแฉะแบบนี้ อั๊วใส่รองเท้าได้ไหมหลวงพ่อ”
“หนูว่าใส่แค่ข้าวปลาอาหารก็พออาแปะ บาตรหลวงพ่อคงรับรองเท้าของอาแปะไม่หมดหรอก” หนูหันไปบอก เห็นหน้าอาแปะเหรอหราแล้วต้องกลั้นขำ
“ไอ้หย๋าอาหนูด้วง หาบาปมาให้อั๊วแล้วไง อั๊วหมายถึงอั๊วขอสวมรองเท้าใส่บาตรได้ไหมต่างหาก พื้นมันเปียก ไม่ใช่เอารองเท้าไปใส่ในบาตร ลื้อนี่น้า ไม่ไหวไม่ไหว”
“หนูล้อเล่น มาๆ อาแปะใส่ก่อน”
หนูเห็นหลวงพี่อมยิ้มแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ได้แต่ลอบมองแต่ไม่กล้าสบตาตรงๆ เมื่อใส่บาตรเรียบร้อยแล้วก็รับพร จากนั้นหลวงพ่อกับหลวงพี่ก็เดินไปรับบิณฑบาตต่อ หนูออกไปยืนมองจนทั้งสองท่านลับสายตาไป ความคิดถึงที่มีมันบีบรัดจนต้องแอบร้องไห้ออกมา รู้ว่าต้องอดทน แต่ขอออกไปยืนร้องไห้กลางสายฝนแบบนี้คงไม่มีใครรู้หรอกมั้ง แต่หนูคิดผิด
“ลื้อร้องไห้ทำไมอาหนูด้วง”
“อาแปะเห็นได้ไง”
“ก็เบะจนปากล่างยื่นออกมาเป็นเมตร แถมยังทำหน้าตาเหยเกอย่างกับเป็ดจะโดนต้ม”
“เป็ดมันเบะปากได้ด้วยเหรออาแปะ”
“ได้สิ”
“ทำไมหนูไม่เคยเห็น”
“บางอย่างไม่เคยเห็นก็ใช่ว่ามันไม่มีนาอาหนูด้วง”
“คมคายสุดๆ”
“ความอดทนของลื้อไม่เสียเปล่าหรอก เคยทนมาได้ตั้งแต่เด็ก อีกนิดเดียวไม่เห็นจะเป็นไร จริงไหม เอาแบบนี้ เดี๋ยวอั๊วจะต้มเป็ดพะโล้ ลื้อตามมาดูว่าเป็ดมันเบะปากได้ไหม”
“ไม่เอาหรอก เพิ่งจะทำบุญเสร็จก็จะให้หนูไปดูอาแปะทำบาป ระวังนะอาแปะ กระดูกกระเดี้ยวก็ไม่แข็งแรง ปีนต้นงิ้วไหวเหรอฮะ” หนูรีบเช็ดน้ำตาแล้วกลับมาเป็นหนูด้วงที่ชอบต่อล้อต่อเถียงกับอาแปะเหมือนเดิม
“เฮ้อ อั๊วไม่น่ามาใส่บาตรกะลื้อเลยจริงๆ แค่เจอชาติเดียวอั๊วก็ปวดหัว”
“อ้าวอาแปะ เดินตากฝนไปได้ยังไง หนูไปเอาร่มมากางให้ก่อน รอหนูก่อนฮะอาแปะ”
“อั๊วขอตากฝนดีกว่า”
“ดื้อกว่าหนูก็อาแปะนี่แหละ”
อาแปะให้มาทำมือมะเหงกส่งให้หนู พออาแปะเดินไปไกลหนูก็ลอบถอนหายใจเมื่อต้องอยู่ตามลำพัง แต่แล้วอาแปะก็หันมายิ้มโชว์ฟันหลอให้ “ถ้าเหงา...ก็มาช่วยอั๊วขายของ ค่าแรงไม่ให้เพราะหักจากที่ลื้อมาหลอกกินของฟรีตั้งแต่พูดไม่ชัด”
“ก็ได้ก็ได้ฮะ” หนูระบายยิ้มให้คู่ปรับของหนูก่อนจะวิ่งฝ่าฝนตามออกไป ก็แค่อีกนิดเดียวอย่างที่อาแปะบอก มันไม่เห็นจะเป็นไร...
หลังจากไปป่วนอาแปะกับชาวตลาดจนเริ่มง่วงเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับแถมยังตื่นมารอใส่บาตรแต่เช้า เย็นนี้คุณตาก็โทรมาชวนไปกินข้าวที่โรงแรม หนูเห็นว่ายังเหลืออีกสองสามชั่วโมงจึงคิดว่าจะหลับสักงีบสองงีบแล้วค่อยตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว
หนูเลือกที่จะเข้ามานอนในห้องวังของเรา หยิบหมอนลงมานอนหน้าตู้ปลา นอนดูลูกๆ ของหนูจนเคลิ้มหลับไป หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้หรอกฮะ รู้แต่ว่ายังนอนไม่อิ่มก็มีอะไรบางอย่างมากวนให้ตื่น เหมือนถูกอะไรอุ่นๆ มาแปะแถวๆ ใบหน้าของหนู ตั้งแต่หน้าผาก ตา จมูก ปาก และคาง พอยกมือขึ้นมาเกา มือของหนูก็ถูกใครบางคนจับเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าชายมาปลุกแล้ว เจ้าหญิงนิทรายังไม่ยอมตื่นเสียที”
เสียงของพี่โอบ หนูฝันถึงอีกแล้ว
“คนดีของพี่...”
หนูกำลังฝันดี...แต่ทำไมหนูอยากร้องไห้จัง
“ร้องไห้ทำไมครับ คิดถึงพี่เหรอ”
ก็ใช่น่ะสิ หนูคิดถึงพี่ คิดถึงมาก
“พี่กลับมาแล้ว”
กลับมาแค่ในฝัน เดี๋ยวพอหนูตื่นหนูก็อยู่คนเดียวตามเคย หนูจะไม่ตื่น เดี๋ยวพี่โอบจะหายไปอีก
“ดื้อแม้ตอนหลับเลยนะครับ”
เสียงของพี่โอบอยู่ใกล้มากจนคิดว่าฝันครั้งนี้เหมือนจริงเหลือเกิน จนกระทั่งมือของหนูไปสัมผัสความลื่นเย็น ลองลูบไปมาอยู่นาน หนูคิดว่านี่คงไม่ใช่ความฝันแล้ว สิ่งที่สัมผัสมันทำให้หนูต้องเด้งตัวขึ้นมามอง
...อย่าคิด 20+ กันสิฮะ ที่หนูลูบอยู่มันคือหัวล้านๆ ของคนตรงหน้าต่างหาก...
“พี่โอบ เอ้ย! หลวงพี่ เอ้ย! ทิดโอบ”
“ฮ่าๆๆ ใครสอนให้หนูเรียกพี่แบบนั้น”
“ปู่ช้วนฮะ แล้ว...พี่สึกแล้วเหรอฮะ ทำไมไม่ใส่ชุดพระ” หนูยังคงมองคนตรงหน้าและใช้สองมือจับไปทั่วตัว อยากให้แน่ใจว่ามันไม่ใช่ความฝัน
“ครับ พี่สึกเมื่อตอนสายๆ แต่ช่วยหลวงพ่อท่านซ่อมคอมพิวเตอร์ที่ห้องสมุดอยู่เลยกลับมาช้าไปหน่อย”
หนูขยับไปสวมกอดพี่โอบทันทีที่รู้ว่าทำได้แล้ว จากที่คิดว่าจะอดทนไม่ร้องไห้ ตอนนี้ความตั้งใจนั้นมันไม่เป็นผล หนูร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของคนที่คิดถึงจนสุดหัวใจ
“พี่ขอโทษนะครับที่ทำให้หนูร้องไห้อีกแล้วทั้งที่เคยสัญญาเอาไว้ ตอนบวชพี่ตั้งใจมากๆ ปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้ครบสมบูรณ์ นอกจากทดแทนผู้มีพระคุณแล้ว พี่อยากให้ผลบุญพาพี่ขึ้นสวรรค์ พี่กลัวจะตกนรกแล้วไม่ได้อยู่กับหนู จากนี้ไปพี่จะได้อยู่กับหนูในทุกๆ ที่”
“หนูทำให้พี่ต้องสึกรึเปล่าฮะ”
“เปล่าครับ กำหนดฤกษ์สึกของพี่คือวันนี้พอดี พี่ไม่ได้บอกหนูเพราะไม่อยากหนูจดจ่อ”
“บังเอิญจังที่หนูมาที่นี่พอดี หนูเลยได้กอดพี่โอบแล้ว”
“เรื่องบังเอิญของเราอาจจะเป็นเรื่องที่เบื้องบนตั้งใจให้เกิด ลุกขึ้นไปอาบน้ำและแต่งตัวนะครับ ทุกคนรออยู่”
“หนูยังอยากกอดพี่อยู่เลย”
“คืนนี้พี่จะให้หนูกอดจนเหนื่อยเลย ดีไหม”
“ดีที่สุดฮะ แต่พี่อย่าลืมสัญญาของเรา”
“หืม...”
“พี่บวชแล้วต้องเบียดหนูนะฮะ”
“ก็ได้ก็ได้ครับ พี่รักหนูมากนะ คนดีของพี่”
“หนูก็รักพี่ทิดโอบคนดีของหนู” อากาศที่ว่าเย็นสดชื่นยังไม่เท่าจิตใจของหนูในตอนนี้ มันเบ่งบานและแสนจะสดใสยิ่งกว่าออกไปวิ่งสูดอากาศอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีสายรุ้งเจ็ดสีทอประกายอยู่ พี่โอบของหนูกลับมาแล้วฮะทุกคนทุกคน
…
เพราะเมื่อเช้ามีฝนตกลงมา ตกค่ำเลยทำให้อากาศชายทะเลในวันนี้เย็นสบายกว่าทุกวัน ที่หนูเล่าว่าคุณตาชวนมาทานอาหารเย็นด้วยกัน หนูก็นึกว่าคุณตาจัดเลี้ยงเฉพาะคนในครอบครัว แต่เท่าที่เห็นนี่มันไม่ใช่อย่างที่คิด ถึงจะไม่ได้ใหญ่โตเท่าตอนที่คุณตาจัดงานวันเกิด แต่คนที่หนูรู้จักก็มากันจนครบ คนในครอบครัวมณีรัตน์ ภูมิเทพ นฤวิทย์ ครอบครัวอาน้อง เพื่อนๆ ของหนู เพื่อนของพี่โอบ คนในตลาด ทุกคนมารวมตัวกัน แถมแต่งตัวดีจนหนูนึกแปลกใจ
“เขามางานแต่งของเรา”
“อะไรนะฮะ” ผมถามอีกครั้งเมื่อพี่โอบมากระซิบที่ข้างหู
“นี่คืองานแต่งของเรา พี่ไม่ได้บอกล่วงหน้าเพราะอยากให้หนูประหลาดใจ”
“......”
“งานสบายๆ ริมทะเลแบบที่หนูเคยบอก เชิญมาแค่คนที่เรารักและรักเรา”
“.......”
“นอกจากญาติๆ เพื่อนฝูงคนสนิท พี่พาลูกๆ ของหนูมาด้วย” พี่โอบชี้ไปที่ตู้ปลาใบใหญ่ ด้านในมีน้องปลาว่ายอยู่เต็มไปหมด ใกล้กันนั้นก็มีสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ของหนู พวกมันถูกจัดให้อยู่ในคอกกั้นที่ตกแต่งสวยงาม
“หนูดูดีไหมฮะ ไม่ได้เตรียมตัวเลย” หนูถามพี่โอบทั้งที่น้ำตามันเอ่อคลออยู่ ยอมรับฮะว่าหนูดีใจจนกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่
“หนูดูดีเสมอในสายตาของพี่”
“มากันแล้วเหรอเจ้าของงาน” อาน้องเดินเข้ามาหา หนูรีบเดินไปกอดอาน้องเพราะรู้ว่าอาน้องต้องเป็นคนจัดงานนี้ให้ “คนขี้แยแห่งปี” อาน้องบ่นหนูทั้งที่ตัวอาน้องก็น้ำตาซึมอยู่
“ก็หนูดีใจนี่ฮะ”
“น้องโอบไปรอตรงที่อาบอกก่อน ได้เวลาแล้ว”
“พี่โอบจะไปไหนเหรอฮะ”
“พี่เขาไม่หนีไปไหนแล้วครับคนเก่ง” อาน้องรีบบอกเมื่อเห็นหนูทำท่าตกใจ
หลังจากนั้นอาน้องก็พาหนูเดินไปหาแด๊ดดี้ แด๊ดดี้ยื่นมือมาให้หนูจับและพาเดินไปยังซุ้มดอกไม้รูปทรงโค้งเหมือนประตู มองไปด้านหน้าก็เห็นว่ากลุ่มเพื่อนของหนูยืนเรียงแถวกันอยู่ หนูต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่ร้องไห้ออกมาเพราะว่าดีใจที่ทุกคนที่หนูรักมารวมตัวกันมากมาย มองตรงไปอีกก็เห็นพี่โอบยืนรออยู่ตรงแท่นพิธี มียุงพญายื่นอยู่ถัดไปทางด้านหลัง
เสียงเพลงเริ่มบรรเลงขึ้นโดยสมาชิกวงเดอะบ็อกซ์ เพลงบรรเลงนี้เป็นเพลงที่หนูคุ้นเคยเพราะมันเป็นเสียงดนตรีจากมิวสิคบ็อกซ์อันที่พี่โอบส่งมาให้หนูเป็นของขวัญ ‘Canon in D Major’ พี่โอบเคยบอกหนูว่า...เพลงนี้มีความหมายในทางดนตรี คือการเล่นวนซ้ำไปซ้ำมาโดยใช้เครื่องดนตรีเพียงสี่ชิ้นที่มาประกอบเป็นเพลงนี้ แต่ในทางความรักของพี่โอบนั้น ก็คือการได้เจอกับหนูและได้รักหนูซ้ำไปซ้ำมา เครื่องดนตรีทั้งสี่ชิ้นของครอบครัวเราก็คือ พี่โอบ หนู และน้องไม้กับน้องหม่อน เป็นเพลงที่เราจะบรรเลงไปด้วยกัน ‘ซ้ำไปซ้ำมา’
แด๊ดดี้พาหนูเดินผ่านกลุ่มเพื่อน ทุกคนส่งยิ้มให้หนู ถึงแม้ไม่มีคำพูดใดๆ หนูก็สัมผัสได้ว่าทุกคนดีใจที่หนูมีความสุข โดยเฉพาะสิงโต หนูอยากให้สิงโตได้รับความสุขเหมือนอย่างที่หนูได้รับ ภาวนาให้คนที่ยืนข้างสิงโตในวันนี้เป็นคนที่ได้อยู่เคียงข้างสิงโตตลอดไป
จนกระทั่งแด๊ดดี้พาหนูมาถึงตรงที่พี่โอบยืนอยู่ หนูหันกลับไปกอดแด๊ดดี้เอาไว้
“ขอบคุณฮะแด๊ด แด๊ดดี้คือพ่อที่ดีที่สุดของหนู”
“หนูก็เป็นลูกที่แด๊ดดี้รักที่สุด” แด๊ดดี้ส่งมือของหนูให้กับพี่โอบ
หนูแอบเห็นว่าไม่ใช่แค่หนูที่มีน้ำตา เจ้าของมือที่กระชับมือของหนูเอาไว้ก็กำลังปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลลงมาไม่ต่างกัน พี่โอบกำลังรู้สึกเหมือนที่หนูรู้สึก หนูมั่นใจว่าเป็นแบบนั้น หนูแอบเหลือบตามองไปด้านหลังอีกนิด ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเกาะใบไม้ครามกำลังกลั้นน้ำตาจนปากสั่นไปหมด หนูรู้ว่ายุงก็ดีใจที่เห็นหลานและลูกได้แต่งงานกัน ใช่ไหมฮะยุง...
คนที่มาทำหน้าที่ตรงกลางแท่นพิธีให้เราไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นปู่ช้วนที่แต่งตัวเลียนแบบบาทหลวงในหนังซะเหมือนเป๊ะ หนูกับพี่โอบพูดคำสัญญาตามที่ปู่ช้วนพูดนำให้ เป็นคำสัญญารักในแบบสไตล์ของปู่ช้วน เรียกเสียงหัวเราะและความซาบซึ้งให้แขกในงานได้ทุกคน
จากนั้นเสียงเพลงก็บรรเลงดังขึ้นอีกครั้ง มัมๆ กับแม่เรืองจูงน้องไม้กับน้องหม่อนเข้ามา ในมือของน้องแฝดอุ้มตุ๊กตาน้องด้าวมาคนละตัว และในมือของน้องดาวที่น้องไม้อุ้มมามีกล่องแหวนสองกล่อง ส่วนตัวที่น้องหม่อนอุ้มมามีช่อดอกไม้
“เอ้า แลกแหวนกัน ใส่แล้วต้องใส่ตลอดไป ห้ามเอาไปขายหรือจำนำ” ปู่ช้วนตะโกนบอก
หนูมองหน้าน้องแฝดด้วยความกังวล หนูไม่รู้ว่าน้องเข้าใจแค่ไหนกับงานที่ถูกจัดในวันนี้ และไม่รู้ว่าน้องยอมรับได้แค่ไหนที่จะมีหนูก้าวเข้ามาอยู่ในชีวิตของพี่โอบ แต่แล้วความกังวลใจของหนูก็ถูกทำลายเมื่อน้องไม้กับน้องหม่อนดึงหนูลงมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสามคน
“น้องหม่อนดีใจที่พี่หนูด้วงจะมาเป็นแม่ของน้องหม่อน แต่พี่หนูด้วงต้องสัญญาว่าจะไม่ห้ามน้องหม่อนกินของในตู้เย็นเหมือนคุณเชนนะ คุณเชนขี้หวงและดุน้องหม่อนบ่อยๆ”
“ตกลง พี่หนูด้วงจะซื้อตู้เย็นจัมโบ้ไซส์ให้น้องหม่อนเลย พี่หนูด้วงรวย แล้วก็ไม่ให้ใครมาดุน้องหม่อนได้อีก ยกเว้นนาโม” หนูพูดจบน้องหม่อนก็ยิ้มกว้างแล้วยื่นดอกไม้ให้ จากนั้นก็เป็นคิวของน้องไม้ คนนี้แหละฮะที่หนูกลัวใจเป็นที่สุด
“พี่หนูด้วงรักนาโมมากไหม” น้องไม้ถามหนู หนูจึงพยักหน้าให้แทนคำตอบ “ถ้าพี่หนูด้วงเข้ามาอยู่กับเราแล้ว จะไม่ให้นาโมทิ้งเราไปใช่ไหม” หนูอึ้งเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนจะรีบส่ายหน้าให้แทนคำตอบเพราะมันพูดไม่ออกเมื่อเห็นแววตาที่หวั่นไหวของเด็กน้อย “พี่หนูด้วงเองก็จะไม่ทิ้งเราไปใช่ไหม”
“ไปไหนไปด้วยกันตลอดไป ตลอดชีวิต” หนูตอบน้องไม้
“อย่าผิดสัญญานะ” น้องไม้ยื่นกล่องแหวนให้หนู หนูดึงน้องแฝดมากอด ทั้งกอดทั้งหอมเพราะรู้ดีว่าการกอดคือคำพูดที่ดีที่สุดของการกระทำ
เมื่อพิธีให้คำสาบานและสวมแหวนเสร็จสิ้น หนูก็โยนช่อดอกไม้ คนที่ได้รับคืออาน้อง ยุงพญาหัวเราะชอบใจก่อนจะประกาศว่าจะจัดงานแต่งงานอีกรอบ จากนั้นก็ถึงเวลาที่เราสองคนพูดขอบคุณทุกคนที่มาในงาน หนูให้พี่โอบเป็นฝ่ายพูดก่อนเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาเลย ถึงหนูจะรอคอยวันนี้มาแสนนาน แต่ถึงเวลาจริงทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก ร้องไห้เก่งจนถูกเพื่อนๆ แซวว่าเป็นคนเจ้าน้ำตา
“คำขอบคุณคงเป็นอย่างแรกที่ผมอยากบอกทุกคน มันคงจะยาวจนกินเวลาข้ามคืนถ้าผมต้องบอกสิ่งที่รู้สึกจนครบ กว่าจะมีวันนี้มันนานเหลือเกินสำหรับผม แต่มันก็คุ้มค่ามากกว่าเวลาที่สูญเสียไป ผมขอใช้เวลาของชีวิตที่เหลือเพื่อจะรักและดูแลผู้วิเศษคนนี้ให้ดีที่สุดแทนคำขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนที่ทำให้วันนี้มันเกิดขึ้น ผมได้ศึกษาธรรมจากการบวชที่ผ่านมา ทำให้ผมเข้าใจคำว่าไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ผมมั่นใจและคิดว่ามันแน่นอนสำหรับผม มันคือความรักที่ผมมีให้กับน้อง จริงอยู่ว่ามันจะอาจจะเปลี่ยนไป แต่มันไม่ใช่การน้อยลง มันจะมากขึ้นตามวันเวลา รวมถึงความรักที่ผมมีให้น้องไม้และน้องหม่อนด้วยครับ ผมจะทำให้ครอบครัวของผมมีความสุข อืม...ลืมครับ อีกคนในครอบครัวของเราที่จะลืมไม่ได้นั่นก็คือน้องด้าว ผมจะรักและดูแลเขาให้ดีเช่นกัน”
เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อพี่โอบพูดจบ คราวนี้ทุกคนหันมามองหนู หนูรับผ้าเช็ดหน้าจากอาน้องมาซับน้ำตา มันมีคำพูดมากมายแต่หนูกลับพูดไม่ออก ยืนนิ่งอยู่นานจนพี่โอบถามว่าหนูไหวไหม หนูพยักหน้าและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ ทุกคนก็ดูจะรอคอยว่าหนูจะพูดอะไร
“หนูจะเป็นเมียและแม่ที่ดีฮะ”
หนูพูดจบเสียงกลองให้จังหวะ ‘ตึ่งโป๊ะ’ ทันที แอบเห็นยุงพญาขาอ่อนไปวูบหนึ่งหนูจึงหัวเราะออกมา
“หนูล้อเล่นฮะ แต่หนูไม่รู้จะบรรยายยังไงกับความรู้สึกที่มี รู้แต่ว่าหนูโชคดีเหลือเกิน โชคดีที่มีทุกคนที่นี่ในชีวิต โชคดีที่เติบโตมาอย่างมีความสุข โชคดีที่ได้รับความรักมากมาย โดยเฉพาะกับผู้ชายที่ยืนข้างๆ หนู หนูเคยนึกว่ามันจะไม่ง่ายที่เราจะรักกัน แล้วมันก็ไม่ง่ายจริงๆ แต่แล้วกาลเวลาก็พิสูจน์ว่าความยากมันหอมหวานตรงที่มันจะไม่มียากสำหรับเราสองคนอีกแล้ว หนูไม่สัญญาว่าจะไม่ดื้ออีก หนูไม่สัญญาว่าจะไม่วุ่นวายอย่างที่เคยเป็น หนูไม่สัญญาอะไรทั้งนั้นเพราะหนูคือตัวป่วนของทุกคนทุกคน แต่หนูสัญญาว่าทุกการกระทำของหนูจะเป็นบทเรียนที่จะสอนให้หนูดีขึ้นกว่าเดิม” หนูพูดถึงตรงนี้ก็หันไปหาพี่โอบ “อย่าเบื่อที่จะรักหนูนะฮะ หนูดื้อแต่หนูจะน่ารักให้มากขึ้น”
“พี่เชื่อครับว่าหนูน่ารักมากขึ้นทุกวัน”
“เจ๋ง จูบเลย จูบเลย” น้องเม่นตะโกนขึ้นมาหลังจากที่พี่โอบพูดจบ จากนั้นทุกคนก็ตะโกนตามน้องเม่น หนูยอมรับว่าเขินมากแต่ก็หลับตารอรับจูบจากพี่โอบแล้วฮะ
จูบที่อ่อนโยนและแสนหวานเหมือนเคย หนูรักพี่โอบจัง รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว
งานแต่งงานของเราจบลงด้วยความสุข มันเป็นจุดสิ้นสุดการรอคอยของเราสองคนก็จริง แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการรักษาครอบครัวให้คงอยู่เหมือนดั่งที่เราหวังเอาไว้ มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างที่หนูบอกไป มันคงไม่มีอะไรที่ยากสำหรับเราอีกแล้ว บทเรียนคงมีเข้ามาทดสอบเราสองคนเรื่อยๆ แต่บทเรียนที่สำคัญเราได้เรียนรู้มาแล้ว เรารู้แล้วว่าการจากกันมันเจ็บปวดและทรมานที่สุด เพราะฉะนั้นเราจะไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเราอีก
.
.
.
“มัมๆ โตขึ้นหนูจามีความฉุดมั้ย จะมีคนมาตีหนูมั้ย หนูอยาดให้ทุดคนทุดคนยักหนู หนูไม่ชอบให้คนไม่ยักหนู”
“เราไม่มีทางรู้เรื่องที่ยังไม่เกิดหรอกครับ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด แต่มัมคนนี้จะปกป้องหนูด้วงเอง”
‘ในตอนที่ฉันยังเป็นเด็กน้อย ฉันถามแม่ว่า ฉันจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า ฉันจะสวยไหม ฉันจะรวยไหม และนี่คือสิ่งที่แม่ของฉันได้บอกกับฉัน... Que sera sera อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อนาคตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรานั้นจะมองเห็น อะไรจะเกิด มันก็จะเกิดไปของมันเอง’
ตอนนั้นหนูยังเด็กจึงไม่เข้าใจคำตอบของมัม ทำไมมัมถึงตอบหนูถึงเรื่องราวของอนาคตไม่ได้ แล้วหนูเป็นผู้วิเศษ หนูจะเสกทุกอย่างให้เป็นอย่างใจฝันไม่ได้เลยหรือ?
.
.
.
“พี่โอบฮะ เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไปหรือเปล่า”
“พี่ไม่รู้ว่าตลอดไปมันนานแค่ไหน แต่พี่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดนะครับ”
‘พอฉันโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นหน่อย ฉันก็มีความรัก ฉันเลยได้ถามที่รักของฉัน ว่าอะไรกำลังรอเราข้างหน้านะ เราจะมีอนาคตที่สดใสในทุก ๆ วันใช่ไหม และนี่คือสิ่งที่เขาได้บอกกับฉัน... Que sera sera อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อนาคตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรานั้นจะมองเห็น อะไรจะเกิด มันก็จะเกิดไปของมันเอง’
หนูเริ่มโตพอที่จะรู้ว่าเราไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา แต่ ณ วันนั้นหนูก็หวังเอาไว้เสมอว่าหนูจะไม่ยอมให้อะไรมาพรากเราจากกัน จนกระทั่ง...
.
.
.
“พี่หนูด้วงครับ นาโมกับพี่หนูด้วงจะอยู่กับพวกเราตลอดไปใช่ไหม น้องหม่อนกับน้องไม้อยากให้นาโมกับพี่หนูด้วงอยู่กับเราสองคนไปตลอดเลย”
‘ตอนนี้ฉันก็เป็นแม่คนแล้ว ลูก ๆ ของฉันก็เฝ้าแต่ถามฉันว่า แล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะหล่อไหม เขาจะรวยไหม ฉันเลยได้บอกกับเขาด้วยความรักว่า... Que sera sera อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อนาคตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรานั้นจะมองเห็น อะไรจะเกิด มันก็จะเกิดไปของมันเอง’
หลังจากที่น้องแฝดถามคำถามนี้กับหนู หนูเข้าใจลึกซึ้งแล้วในสิ่งที่มัมและพี่โอบบอกกับหนู ไม่มีอะไรชนะกาลเวลา ทุกอย่างจะเป็นไปในสิ่งที่มันจะเป็น การพรากจากคนหรือของอันเป็นที่รักมันคือสัจธรรม เราไปหยุดยั้งมันไม่ได้ แต่สิ่งเดียวที่เราทำได้ หนูจะสอนสิ่งนั้นให้กับน้องแฝด…
“อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอแค่เราทำทุกวันให้มันดีที่สุด ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ แต่น้องไม้กับน้องหม่อนต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขและยับยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำซาก แล้วเมื่อถึงวันหนึ่งในอนาคต เราจะไม่เสียใจกับผลของมันเพราะเราทำดีที่สุดแล้ว พี่หนูด้วงตอบไม่ได้ว่าเราจะอยู่กับคนที่เรารักได้นานแค่ไหน แต่มีคนเคยบอกพี่หนูด้วงว่า เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ เราจะย้ายไปอยู่ในหัวใจและความทรงจำของใครคนนั้นแทน”
“น้องหม่อนจะทำดี จะได้อยู่ในหัวใจของคนที่เรารักตลอดไป ใช่ไหมน้องไม้”
“อืม น้องไม้ก็จะเป็นคนดี”
‘Que sera sera อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อนาคตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรานั้นจะมองเห็น อะไรจะเกิด มันก็จะเกิดไปของมันเอง’
เราทุกคนมีเพลงรักเป็นของตัวเอง เพลงรักที่อาจจะไม่มีคำว่ารัก เพลงรักที่อาจจะไม่ได้สุขสมหวังเสมอไป แต่มันก็ขับเคลื่อนด้วยความรัก พี่โอบบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นนกฮูกกับพี่ป้าย หรือสิงโตกับตี๋น้อย ทุกคนจะต้องเรียนรู้เพลงรักนั้นด้วยตัวเอง บางคู่อาจจะไม่ได้มีเพลงรักเพียงแค่เพลงเดียว อาจจะต้องผ่านบทเพลงที่สุขจนต้องยิ้มออกมาหรือทำให้ต้องร้องไห้เสียใจ แต่สุดท้ายเราจะเจอเพลงที่ใช่ในแบบของเรา อาจจะเป็นเพลงที่หายไปในช่วงชีวิตหนึ่ง แต่เมื่อได้กลับมาฟัง เพลงที่ทำให้เราร้องไห้ในวันนั้น อาจจะกลายเป็นเพลงที่ทำให้เรายิ้มได้เมื่อนึกถึงในวันนี้ฮะทุกคนทุกคน
~ จบบริบูรณ์พูนสุข ~
ขอบคุณพี่จ๋าทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนจบของซีรีส์เซ็ทนี้ มันใช้เวลายาวนานมากเลยนะคะ
เรียกได้ว่าถ้าเราเป็นเพื่อนกันก็คงสนิทกันระดับหนึ่งเลยเชียว
บางคนก็เห็นหนูด้วงเป็นลูกเป็นหลานไปล้าววววว
หลายคนที่เข้ามาทักทาย ทั้งในนี้ทั้งในเว็บต่างๆ หรือทางเพจและทวิต จนคุ้นชื่อไปหมด
ขอบคุณมากนะคะสำหรับมิตรภาพและกำลังใจที่มอบให้กัน มันมีค่ามากเลยค่ะ
บอกตรงๆ ว่ากว่าจะแต่งตอนจบนี่ลบไปหลายรอบมาก ถึงวันนี้ก็คิดว่ามันน่าจะจบได้สวยกว่านี้
ยังไงก็ขออภัยพี่จ๋าไว้ก่อนหากมันยังมีอะไรค้างคา เลิฟจะกลับมารีไรท์ให้มันโอเคกว่านี้
แต่ตอนนี้ขอหยุดไปพักสมองสักระยะหนึ่งก่อนเด้อ มันตันจริงๆ
ส่วนคู่ของตัวรองจะอยู่ในตอนพิเศษฉบับรวมเล่มนะคะพี่จ๋า
ปิดท้ายขายของ #ปลดล็อกให้ความรักตีพิมพ์แล้วนะคะ พี่จ๋ามีในครอบครองอ๊ะยังงง
ตอนพิเศษสนุกสนานเฮอาน้า ไปตำกันเถอะจ่ะ
...รัก...