ตอนที่ 6
หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ หกหนุ่มก็ออกเดินทางด้วยรถตู้ของเรวัต โดยมีคนขับรถของเตชิตขับตามไปอีกคัน ในตอนแรกเรวัตแค่จะขอติดตามไปด้วยโดยการขับรถตามรถเตชิตไปเพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของธนินทร์ แต่เตชิตและกานต์รวียืนยันให้ไปด้วยกัน หนูน้อยทั้งสองคนจะได้เล่นกันระหว่างที่ป๋า อา น้า เฮีย ทำงานกัน แต่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่มั่นใจว่าตัวเองจะมีธุระต่อที่ไหนหรือไม่ เตชิตจึงให้คนขับรถอีกคันตามไปเผื่อจะแยกกันกลับ
“ความจริงคุณเตชิตนั่งข้างหลังก็ได้นะครับ จะได้คุยเรื่องบ้านได้สะดวกๆ” เรวัตบอกเพื่อนร่วมทางที่ขึ้นมานั่งข้างหน้าคู่คนขับอย่างเขา หนุ่มร่างโตขับรถด้วยความเร็วพอเหมาะ แม้จะมั่นใจในประสิทธิภาพรถ แต่อุบัติเหตุเกิดไม่เลือกเวลา และเขาก็มีประสบการณ์มาแล้ว ดังนั้นจึงเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อน โดยเฉพาะเมื่อมีเด็กเล็กๆ มาด้วยถึงสองคน
“ไม่เป็นไรครับ ให้วีจัดการไปคนเดียวดีกว่า ผมอยากให้เขาได้แบบที่เขาชอบ ผมไปคุยด้วยเดี๋ยวจะไปค้านเขาเปล่าๆ” เตชิตยิ้มให้หนุ่มตัวโตแต่อายุน้อยกว่า
ที่ดินผืนนี้เป็นของพ่อเตชิต เขาเคยออกปากขอเพื่อจะสร้างบ้านพักเวลามาเที่ยวทะเล พ่อเขากลับหวงไม่ยอมยกให้เสียที แต่เมื่อหนูน้อยโมจิเอ่ยปากบอกว่าอยากไปเที่ยวบ้านริมทะเลเหมือนในโทรทัศน์ที่ดู คุณพ่อเขาก็ทำตัวเป็นคุณปู่ใจดียกที่ดินให้หลานหน้าตาเฉย พอเขาออกอาการน้อยใจก็โดนต่อว่าว่าอิจฉากระทั่งลูก
เมื่อได้ที่ดินมาก็ตัดสินใจจะสร้างบ้าน ด้วยพื้นที่จำกัดเพียงร้อยตารางวาเศษที่กานต์รวีระบุชัดว่าต้องการให้มีต้นไม้มากๆ บ้านจึงต้องเล็กลงไปโดยปริยาย และค่าก่อสร้างนั้นกานต์รวียืนยันจะออกเองทั้งหมด หรืออย่างน้อยก็เกือบทั้งหมด เตชิตจึงต้องวางแผนเผื่อเหตุการณ์งบบานปลายเอาไว้ไม่ให้คนรักรู้
“คุณวีโชคดีจังครับ ได้แฟนตามใจอย่างนี้” เรวัตกล่าวชื่นชม ไม่ใช่เพียงความเอาใจใส่ แต่เขายังอิจฉาไปถึงการที่ได้ใช้ชีวิตคู่กับคนที่รัก ซึ่งผิดกับเขาที่ไม่มีทางสมหวัง
“ต้องตามใจสิครับ รายนั้นใจแข็งผิดหน้าตาเชียวล่ะ ผมไม่กล้าขัดใจเขาหรอก” เตชิตหัวเราะร่วน แต่ไม่กล้าเสียงดังนัก กลัวหัวข้อสนทนาจะได้ยินเข้าแล้วเขาจะลำบาก
...........................................
“ผมอยากได้ห้องครัวอยู่นอกบ้านน่ะครับ เวลาทำกับข้าวกลิ่นจะได้ไม่อบอยู่ในบ้าน” กานต์รวีอธิบายความต้องการของตัวเองให้ธนินทร์ฟัง มือเล็กจดรายละเอียดลงบนสมุดอย่างรวดเร็ว
“ครัวไทยนะครับ อืม เห็นพี่วุฒิ เอ่อ คุณสุรวุฒิน่ะครับบอกว่า คุณวีร์กับคุณเตชิตอยากได้บ้านหลังเล็กหน่อยใช่ไหมครับ” ธนินทร์เอ่ยถาม พลางคิดแบบคร่าวๆ ไว้ในหัว
“ครับ ผมอยากให้มีสวนมากกว่าตัวบ้าน โมจิจะได้มีที่ให้วิ่งเล่นเยอะๆ เนอะโมจิเนอะ” กานต์รวีหันไปพยักพเยิดกับหลานชายที่เบาะช่วงกลางแล้วหัวเราะขำ “โมจิแย่งพี่เขากินขนมได้ไงครับ หืม”
อัมพุทบิแซนด์วิชหลากหลายไส้ที่ทำมาเมื่อเช้าป้อนเข้าปากเล็กให้อย่างต่อเนื่อง หนูน้อยวัยสองขวบเศษเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มป่องออกทั้งสองข้าง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พุดทำมาเยอะแยะเลย ใช่ไหมครับ” ธนินทร์หัวเราะตาม เหมือนแม่นกป้อนข้าวลูกไม่มีผิดเลย
“ครับ น้าวีเอาไส้อะไรครับ” อัมพุทชักชวนอย่างใจดี
“น้าวียังไม่หิวเลย นี่พุดทำเองเหรอครับ เก่งจัง” กานต์รวียอหนูน้อยจนเจ้าตัวยิ้มเขิน
“อาม่าสอนครับ พุดทำเองไม่เป็น” อัมพุทออกตัว แล้วต้องรีบหันไปป้อนโมจิอีกเมื่อมือเล็กกระตุกชายเสื้อเขา และทำท่าจะลุกขึ้นยืนมางับขนมปังในมือเสียเอง
“คุณพ่อคุณแม่ของพุดไปทำงานเหรอครับ” กานต์รวีหันมาถามธนินทร์ ปล่อยให้หลานชายสองคนป้อนขนมกันต่อไป
“เพิ่งเสียไปน่ะครับ ทั้งคู่เลย” ธนินทร์ยิ้มให้พร้อมคำตอบแต่สีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“ขอโทษครับ ผมนี่แย่จริง ถามอะไรไม่เป็นเรื่อง” กานต์รวีรีบขอโทษ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ธนินทร์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครๆ จะถามถึงพ่อแม่ของเด็ก เพราะย่อมจะเป็นเรื่องที่แปลกกว่าถ้าเด็กอยู่กับน้าตลอดเวลาโดยไม่มีพ่อแม่
“งั้นพุดกับโมจิก็เหมือนกันเลยสิครับ” กานต์รวียิ้มให้บางๆ ธนินทร์กับเขาชะตากรรมคล้ายกันเสียเหลือเกิน
“เอ๊ะ? อา เสียใจด้วยนะครับ” ธนินทร์เอ่ยเบาๆ ชีวิตคนเราช่างไม่แน่นอนเสียจริง
“นานแล้วล่ะครับ ตั้งแต่โมจิอายุไม่กี่เดือน”
“คุณวีคงลำบากสินะครับ” ธนินทร์ถามอย่างเห็นใจ เด็กทารกต้องมีคนเอาใจใส่ใกล้ชิดตลอดเวลายิ่งกว่าเด็กวัยเดียวกับอัมพุทเสียอีก
“ก็มีบ้างน่ะครับ ช่วงแรกที่พี่เพิ่งเสีย ผมต้องเอาโมจิไปฝากเลี้ยงก่อนไปทำงาน ไหนจะยังเรื่องฟ้องร้องทางญาติฝ่ายพี่สะใภ้ผมอีก เขาอยากได้ตัวโมจิไปเลี้ยงน่ะครับ”
“แย่จัง” หนุ่มอายุน้อยกว่ารำพึงเสียงแผ่ว
“แต่ได้คุณทา...เอ้ย คุณเตชิตช่วยไว้น่ะครับ ให้เอาโมจิมาเลี้ยงที่ทำงานได้ แถมยังช่วยเรื่องทนายความจนผมชนะคดีได้อีก ถ้าไม่มีคุณเตชิต ผมกับโมจิก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง” กานต์รวีเหลือบมองหนุ่มคนรักพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เตชิตยังคงคุยกับเรวัต และดูเหมือนหัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องธุรกิจเสียแล้ว
“ดีจังนะครับ คุณเตชิตกับคุณวีก็ดูเหมาะสมกันดี ตอนแรกผมยังนึกสงสัยว่าครอบครัวสามหนุ่มที่พี่วุฒิบอกว่าน่ารักจะเป็นยังไง พอได้เห็นเองก็ไม่แปลกใจเลยครับ น่ารักจริงๆ” ธนินทร์เอ่ยชื่นชม ครอบครัวนี้ดูอบอุ่นไม่ต่างจากครอบครัวหญิงชายตรงไหนสักนิด
ธนินทร์ถอนหายใจเล็กน้อย เขายังโชคดีกว่ากานต์รวีตรงที่ไม่มีญาติฝ่ายไหนเข้ามาแย่งเลี้ยงดูหลาน เพราะไม่รู้ว่าเด็กเพิ่งจบ การงานยังไม่เข้าที่เข้าทางอย่างเขา จะมีปัญญาตรงไหนไปต่อสู้ให้ชนะคดี
“ขอบคุณครับ” กานต์รวียิ้มเขิน เสมองไปหาหลานชายแทน “อ้าว หลับทั้งคู่เลย” กานต์รวีและธนินทร์อมยิ้มกับภาพที่เห็น โมจินอนเหยียดบนเบาะใช้ขาของอัมพุทหนุนหัว บนปากจิ้มลิ้มยังมีเศษขนมปังติดอยู่ ส่วนอัมพุทเอนตัวพิงเบาะหลับสนิทในมือยังถือแซนด์วิชที่เหลือค้างไว้เกือบครึ่งชิ้น
....................................
เสียงคลื่นซัดสาด แสงแดดแรงจ้า ฟ้าใสแจ๋ว บรรยากาศเงียบสงบดูดีไปเสียหมดถ้าลดอุณหภูมิลงสักสิบองศา หกหนุ่มเดินทางมาถึงที่ดินในช่วงใกล้เที่ยง หลังจากแวะรับประทานอาหารตามร้านริมเส้นทางเรียบร้อยก่อนแล้ว เด็กชายสองวัยตาโตอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นชายหาดขาวสะอาดอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“อาวีๆ โมจิจาว่ายน้ำ” มือน้อยๆ กระตุกขากางเกงคุณอาคนสวยยิกๆ
“โมจิว่ายเป็นเหรอครับ ทะเลมีคลื่นนะ” กานต์รวีถามหลานชายพลางหัวเราะเอ็นดู
“คื่นคืออาไย” เสียงเล็กใสยังพูดไม่ค่อยชัดเจนนัก
“โน่นไงครับ น้ำที่ซัดมาแรงๆ แล้วกลายเป็นฟองสีขาว แล้วมันก็ไหลกลับลงไปในทะเล” กานต์รวีอธิบายให้พ่อหลานชายแสนรักฟัง
“คื่นอาหย่อยไหมคับ” โมจิน้อยทำตาปริบๆ อย่างมีความหวัง
“ไม่อร่อยหรอกลูก คลื่นก็เป็นน้ำทะเลแหละครับ เค็มปี๋” คุณอาหนุ่มหัวเราะร่วน หลายชายอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ป๊ะป๋ากับคุณปู่คุณย่าจึงตามใจ อยากกินอะไรก็หามาให้ จนเจ้าหนูของเขามองอะไรเป็นของกินไปเสียทุกอย่าง
“อยากเล่นน้ำเหรอลูก” เตชิตเข้ามาคว้าร่างเล็กจ้อยขึ้นอุ้ม หลังจากได้กินได้นอนมาจนเต็มอิ่มตั้งแต่นั่งรถ เจ้าหนูโมจิก็อารมณ์แจ่มใสขึ้นเป็นกอง
“คับป๋ม” โมจิรับคำแล้วกอดคอเตชิตออดอ้อนเอาใจ
“ยังให้เล่นไม่ได้หรอกครับ ตะวันตรงหัวอย่างนี้ ไม่สบายกันพอดี เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอามาเปลี่ยนด้วย” กานต์รวีรีบบอกเสียก่อนที่เตชิตจะตามใจลูก
“งั้นรอแดดร่มกว่านี้ก่อนนะครับโมจิ ไปเล่นกับพี่พุดตรงโน้นดีกว่า” สามหนุ่มเดินไปหาธนินทร์ที่กำลังสำรวจพื้นที่อย่างตั้งอกตั้งใจ โดยมีหลานชายเดินตามทุกฝีก้าว
“เป็นยังไงบ้างครับคุณนิน” เตชิตเป็นคนเอ่ยถามขึ้นก่อน เพราะตั้งแต่ร่วมเดินทางกันมาเขาได้คุยกับธนินทร์เพียงไม่กี่คำ
“ที่สวยมากเลยครับ ติดทะเลหน้ากว้าง ทิศทางลมก็ดี” ตั้งแต่ก้าวลงจากรถเห็นที่ผืนนี้เต็มตา ภาพของบ้านหลังน้อยในส่วนร่มรื่นก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที จึงรีบลองวางผังคร่าวๆ ลงในกระดาษ
“พุดครับ น้าวีฝากดูน้องหน่อยได้ไหมลูก” กานต์รวีถามอาสาสมัครรุ่นจิ๋ว “พาน้องไปเล่นกันตรงนั้นนะ น้าวีปูเสื่อไว้ให้แล้ว”
“ได้ครับ” อัมพุทยิ้มรับในทันที เตชิตจึงปล่อยลูกชายลงเดินเอง โดยมีอัมพุทคว้ามือน้อยจูงไปหาร่มเงาเล่นขุดทรายกัน
“บ้านเสร็จแล้วเรามาพักกันบ่อยๆ ดีไหมวี” เตชิตชวนคนรักเสียงอ่อนหวาน ตั้งแต่ที่กานต์รวีกลับไปช่วยทำงานที่บริษัท อีกทั้งยังย้ายไปอยู่กับพ่อและแม่ของเขา เวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองก็น้อยลงไป
“หาเรื่องโดดงานเหรอครับคุณทาโร่” กานต์รวีเบี่ยงตัวเล็กน้อยเมื่อแขนแข็งแรงที่โอบบ่าเขาอยู่ชักจะแนบแน่นเกินเลย ถ้าเป็นในบ้านกานต์รวีคงไม่ลังเลที่จะกอดตอบ แต่ต่อหน้าคนอื่นอย่างนี้ คงจะแสดงความรักกันอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้
สองหนุ่มครอบครัวรามิลโชติช่วงยังคงคุยกันกระหนุงกระหนิงจ๊ะจ๋าไปตามเรื่องตามราว ปล่อยให้สถาปนิกหนุ่มทั้งสองเดินสำรวจพื้นที่ต่อไป
“วุ้ย มดกัด” เรวัตบ่นอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ยังเดินตามธนินทร์ช่วยเก็บรายละเอียดไปด้วย
“อิจฉาเขาเหรอเฮีย” เสียงใสหัวเราะเบาๆ พลางกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูป เก็บภาพให้ได้ทุกมุม
“เออเดะ กูไม่มีแฟนบ้างให้มันรู้ไป” เรวัตยอมรับหน้าตาเฉย
“ไว้ชวนเทียนมาจู๋จี๋สิเฮีย เอาแบบทะเลกลายเป็นน้ำเชื่อมเลย”
“ฝันไปเหอะมึง เทียนมันจะได้ด่ากูเข้าให้น่ะสิ ชมหน่อยเดียวแทนที่มันจะเขิน มันตอบกลับมาคำเดียวว่า เสี่ยวแดก แล้วมึงว่ามันจะยอมมาเดินจูงมือกะกูเหรอวะ” เสียงทุ้มพูดอย่างขัดเคืองแต่อารมณ์แจ่มใส เมื่อนึกใบหน้าหวานใสของหนุ่มน้อยปากจัด ขี้งอนของเขา
“อ้าว งี้เฮียก็ต้องอิจฉาคุณเตชิตกับคุณวีร์ต่อไปน่ะแหละ”
“ไม่โว้ย เดี๋ยวกูจู๋จี๋กะมึงแทนก็ได้ มามะ ไอ้น้องนินที่รัก” คว้าร่างบอบบางของน้องชายมากอดแน่นจากด้านหลัง แถมหอมแก้มไปหนึ่งฟอดใหญ่ๆ
“เฮ่ย เฮีย เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าหรอก” ธนินทร์ร้องเตือน แต่ไม่ได้นึกรังเกียจหรือตกใจแต่อย่างใด เพราะเรวัตมักกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเขาจนเคยชินไปแล้ว
“แดดเปรี้ยงอย่างนี้จะผ่าได้ไงวะ แต่ผ่าหน่อยก็ดี กูอยากตัวดำ แม่งขาวเกินแล้วดูซีดๆ ว่ะ” ชายหนุ่มตัวโตผิวขาวตามแบบคนเชื้อสายจีน จึงหมั่นออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อให้สีผิวไม่ซีดจางจนเกินไป
“อ้าว ไหนว่าชอบคนตัวขาวไงล่ะเฮีย” ธนินทร์เอี้ยวตัวหันหน้าไปถามเพราะเรวัตยังกอดเขาไม่ปล่อย
“ก็ชอบน่ะสิวะ ขนาดมึงนี่กำลังแจ่มเลย แต่ไม่ชอบให้ตัวเองขาวว่ะ”
“อ้อ” เสียงใสรับคำในคอ “ว่าแต่ปล่อยก่อนเหอะเฮีย ร้อน” บิดซ้ายบิดขวาเริ่มเหงื่อแตกเพราะกล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างที่กอดรัดไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ถ้าอากาศหนาวๆ เขาจะยอมอยู่นิ่งๆ ให้เรวัตกอดเล่นจนพอใจ แต่อากาศร้อนตับแตกอย่างนี้เห็นทีจะไม่ไหว
“ไม่ กูจะจู๋จี๋กะมึง ใครจะทำไม” หน้ากวนโทสะมาพร้อมรอยยิ้มกว้างกึ่งสะใจ อากาศร้อนแค่นี้เทียบกับการจะได้แกล้งน้องนิดๆ หน่อยๆ เขาทนได้อยู่แล้ว แถมธนินทร์ก็ตัวเล็กๆ น่ากอด แก้มก็หอมชวนสูดกลิ่นหลายๆ รอบ
“เฮ่ยเฮีย พอแล้ว เดี๋ยวคุณเตชิตกับคุณวีร์เขาเข้าใจผิดหรอก” เสียแก้มไปอีกข้างอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างบอบบางพยายามหันมาดันตัวออก
“ช่างเขาเดะ อย่างมากกูก็ทำให้เขาเข้าใจถูกเท่านั้นเอง” เรวัตยักไหล่ไม่ใส่ใจ แต่ยอมคลายอ้อมกอดออกโดยง่าย ใครจะคิดว่าเขาเป็นแฟนกับธนินทร์เขาก็ไม่เห็นจะต้องใส่ใจ เพราะถ้าจะให้เป็นจริงๆ เขาก็เป็นได้
“เดี๋ยวก็รู้ไปถึงหูเทียนหรอกเฮีย” ธนินทร์เบะปาก สายตามองแบบไม่เชื่อในคำพูดของพี่ชาย เขาเคยเห็นเทียนงอนเรวัตครั้งที่เรวัตไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ทั้งกลุ่มรวมธนินทร์เองด้วย แต่เทียนดันไปเห็นเอาตอนที่เรวัตเดินควงแขนเล่นๆ กับเพื่อนผู้หญิง ตอนนั้นเขาจำได้ว่า เรวัตหน้าเสียวิ่งตามหนุ่มน้อยหน้าใสไปแทบไม่ทัน จนเพื่อนๆ รอบข้างงงเป็นไก่ตาแตก ร้อนถึงเขาที่ต้องตามไปช่วยอธิบายให้เทียนเข้าใจ
“โอ๊ย กะมึง เทียนไม่ว่าไรหรอก” เรวัตโบกไม้โบกมือพลางส่ายหน้า เทียนรู้ดีว่าเขารักและสนิทกับธนินทร์มากแค่ไหน
ในความเป็นจริงเทียนไม่เคยก้าวก่ายเรื่องที่เขาจะคบหากับใคร อาจจะมีงอนบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น เขาเองก็เช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไร ความรักครั้งนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ จึงต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีความรักครั้งใหม่ที่เป็นไปได้มากกว่า และดูเหมือนเทียนเองก็ต้องการให้เขาลงเอยกับธนินทร์เสียด้วย แต่สำหรับเขานั้นพูดได้แค่ปาก แต่หัวใจยังรับไม่ได้ถ้าเทียนจะมีคนรักขึ้นมาจริงๆ
....................................