KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ  (อ่าน 10281 ครั้ง)

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 46 ความมั่นใจ

                พาร์ทฮ่องเต้

                “โอ๊ยยยยย”

                ไอ้โฟโต้ร้องเสียงดังลั่นห้อง หลังจากที่ผมใช้สำลีชุบยาจิ้มไปที่แผลมัน เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าห้องไอ้โฟโต้ (หมายถึงตอนที่มีสติครบถ้วนดีนะครับ) ซึ่งเป็นห้องที่ของน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะว่ามันเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ ข้าวของในห้องเลยไม่มากเท่าคนที่อยู่หอมาสี่ปีอย่างผม

                “สำออยนะ” ผมแซวขณะที่พยายามจะเบามือที่กำลังทำแผลให้คนตรงหน้า

                “ก็มันเจ็บนี่ครับ” ผมพูดเสียงอ่อย

                “ใครใช้ให้มึงไปฟัดกับเขาล่ะ”

                นี่ดีนะครับ ที่ปากแตกแค่นิดหน่อย นอกนั้นก็มีแค่ช้ำบ้าง คาดว่าน่าจะหายทันงานประกวดอยู่หรือไม่ก็อาจจะต้องเพิ่งเครื่องสำอางนิดหน่อย

                “อะไร...” ผมหันไปมองมันแบบงงๆ  เมื่อจู่ๆ  มันก็ดึงสำลีออกไปและใช้มือของมันมาจับมือของผมเอาไว้แทน ก่อนที่มันจะมองสำรวจไปตามแขนของผม

                “ผมไม่อยากให้ใครมาทำอะไรพี่นี่ครับ ดูสิ ผิวขาวๆ ของพี่มีแต่รอยหมดเลย”

                ก่อนที่มันจะหยิบยามาทาที่แขนให้กับผมอย่างเบามือ ซึ่งผมก็ได้แต่ปล่อยให้มันทำแบบนั้น โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกไปสักคำ มันเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมได้มีโอกาสได้มองสำรวจมันใกล้ๆ แบบนี้ (ไอ้ที่ผ่านมาไม่นับครับ เพราะมันจู่โจมจนผมกลัว) มันเองก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาคมคายใช้ได้ แม้ว่าผิวของมันจะไม่ได้ขาวมาก แต่ทุกส่วนผสมบนใบหน้าของมันกลับมีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกๆ โดยเฉพาะริมฝีปากและดวงตาของมันที่มักจะสร้างความสดใสให้กับคนรอบตัวได้เสมอ

                “ยิ้มอะไรอยู่คนเดียวครับ”

                ผมหลุดออกจากภวังค์มองหน้าคนที่กำลังยิ้มอย่างล้อเลียน ก่อนที่มันจะใช้มือป้ายยาและบรรจงทาบนใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา แม้ว่าผมจะพยายามทำเป็นไม่มองหน้ามันมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายสายตามันกลับเอาแต่ใจเหลือบไปมองใบหน้าของมันกำลังเข้าใกล้ผมมากเข้าไปทุกที

                ก่อนที่สายตาของมันจะเหลือบขึ้นมาประสานเข้ากับสายตาของผมที่มองมันอยู่ก่อนหน้า...

                เพียงชั่ววินาที มันก็ค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราเฉียดกัน ก่อนที่ริมฝีปากของมันจะสัมผัสกับริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา โฟโต้ผละออกไปเพียงแค่เล็กน้อยพร้อมกับสายตาที่จดจ้องมาที่ริมฝีปากของผมอีกครั้ง ก่อนที่มันจะบรรจงจูบผมด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะหักห้ามใจได้อีกต่อไป

                มันค่อยๆ พาผมด่ำดิ่งลงไปในห้วงความรู้สึกอันลึกซึ้งเกินกว่าจะใช้คำพูดใดมาพรรณนา แม้ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยรสหวานอันบางเบา แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงในตอนท้าย 

                กว่าจะรู้ตัว ร่างของผมก็แนบลงไปกับเตียงแล้วเรียบร้อย ไอ้โฟโต้ผละออกมามองหน้าผมพร้อมกับยิ้มละมุน ก่อนที่มันจะจรดริมฝีปากบนหน้าผากของผมอีกครั้ง ผมหลับตาพริ้มอย่างไม่อาจจะต้านทานสัมผัสที่คนตรงหน้ามอบให้ได้ ก่อนที่ผมจะลืมตาขึ้นมามองใบหน้าของโฟโต้ เด็กปีหนึ่งเพียงคนเดียวที่มีอิทธิพลกับหัวใจของผมมากที่สุดในตอนนี้

                “ขอบคุณนะครับ ผมมีความสุขมากจริงๆ”

                มือของมันสัมผัสเส้นผมที่ปรกลงบนใบหน้าของผมด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขเหมือนอย่างที่มันพูดจริงๆ

                “ผมยาวแล้วนะครับ พรุ่งนี้ ผมพาไปตัดที่ร้านนะ”

                ผมอกยิ้มออกมาไม่ได้ ความเอาใจใส่ของมันทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับการเอาใจใส่จากคนใกล้ตัว นอกเหนือจากคนในครอบครัวของผมเอง

                “พี่เต้...?”

                ผมแอบสะดุ้งที่จู่ๆ มันก็เรียกผมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เหมือนมันกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนที่นิ้วของมันจะสัมผัสลงที่หางตาของผมและบรรจงเช็ดน้ำตาออกมาเบาๆ

                “ร้องไห้ทำไมครับ”

                ผมมองหน้ามันแบบมึนๆ เพราะเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองน้ำตาไหล

                “เปล่า ไม่มีอะไร” ผมร้องบอกพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างนึกขำตัวเองที่จู่ๆ ก็น้ำตาไหลออกมาเสียได้ ก่อนที่ผมจะผงกตัวลุกขึ้นมานั่ง

                “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับก่อนนะ”

                “เดี๋ยวสิครับ...” ผมหันไปมองไอ้โฟโต้ที่คว้าแขนผมที่กำลังจะลุกไว้ “...นี่ก็ทุ่มกว่าแล้วนะครับ อย่าเพิ่งขับรถกลับหอเองเลย”

                “ไม่เป็นไรหรอกน่า กูโอเคขึ้นเยอะแล้ว” ผมพยายามยิ้มให้มันเห็นว่าผมไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นแล้ว

                “แต่ผมเป็นห่วง”   

                ประโยคสั้นๆ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ทำให้ผมลังเลใจไปได้

                “นะครับ อย่างน้อยเราจะได้ผ่านคืนนี้ไปด้วยกันไง”

                ฟังทีแรกก็ซึ้งใจดีหรอกครับ แต่ทำไมผมถึงได้ตงิดๆ กับไอ้ประโยคนี้อยู่

                “ไอ้คืนนี้ที่ว่าเนี่ย หมายถึงอะไรไม่ทราบ” ผมหันไปถามมันอย่างจับพิรุธ

                “ผมแค่อยากแน่ใจว่าพี่โอเคแล้วจริงๆ แล้วก็...” มันเว้นจังหวะพลางเดินมากอดผมจากทางด้านหลัง “...จะได้ใช้ช่วงเวลานี้สร้างความทรงจำดีๆ ให้กับก้าวแรกของเราไงครับ”

                ไอ้เด็กนี่...ทำไมชอบทำให้คนอื่นใจเต้นอยู่เรื่อย

                “ไม่ต้องเลย...”

                “ต้องสิครับ พี่ต้องนอนที่ห้องผม”

                “ปล่อยได้แล้ว” ผมบอกพร้อมกับพยายามผลักมันออก แต่มันกลับเพิ่มแรงกอดกระชับผมแน่นกว่าเดิมเสียอีก

                “ไม่ครับ จนกว่าพี่จะยอมนอนที่ห้องผมคืนนี้”

                “ชักจะเอาใหญ่แล้วนะมึง ปล่อย”

                “พี่ยังจำที่ผมเคยเตือนพี่เอาไว้ว่าอย่าดื้อกับผมได้ไหมครับ ผมบอกแล้วนะครับ ว่าถ้าพี่ดื้อเมื่อไหร่ ผมจะอัพสกิลการจีบไปตามความดื้อของพี่...”

                ผมนิ่งทันทีที่มันโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหู

                “...แล้วไอ้การที่พี่ไม่ยอมนอนที่ห้องผมคืนนี้ จะเรียกว่าพี่กำลังดื้อกับผมได้หรือเปล่าน้า”

                สรุปว่ามันจะให้ผมนอนที่นี่ให้ได้เลยใช่ไหม แล้วถ้าผมปฏิเสธมันก็จะทำทุกทางเพื่อให้ยอมนอนที่นี่กับมันอย่างนั้นใช่ไหม เอาเป็นว่าผมไม่สามารถจะหนีมันได้ใช่ไหมครับ

                “ว่าไงครับ จะยอมตั้งแต่ตอนนี้หรือรอให้ผมทำมากกว่านี้”

                “เออ กูนอนนี่ก็ได้!” ผมนี่โพล่งออกไปแทบไม่ทัน ก็เพราะมันเล่นเอามือมาจับเข้าที่ต้นขาของผมด้วยน่ะสิ เลยเป็นเหตุให้ไอ้โฟโต้หัวเราะร่วนเลยครับ

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ ผมจะลงไปซื้อข้าวเย็นมาให้”

                ผมมองตามมันที่เดินไปค้นตู้เสื้อผ้าและเดินกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือ

                “สบายใจได้ครับ ชุดพวกนี้ผมยังไม่เคยใส่”

                “กูไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้น”

                เว้นเสียแต่ว่ามันจะเอาเชื้ออะไรมาแพร่ใส่ผมเท่านั้นแหละครับ

                “ครับ งั้น...เดี๋ยวผมมานะ”

                ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่มันจะออกไปจากห้อง ส่วนผมก็อาบน้ำสิครับ

 

                หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมไปนั่งเช็ดผมที่ปลายเตียงของไอ้โฟโต้และจังหวะนั้นเอง ที่ผมเหลือบไปเห็นกล่องใส่ของที่มีข้อความเขียนติดเอาไว้ว่า ของขวัญจากพี่รหัสปีสี่ ที่ถูกวางเอาไว้ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ ผมจึงลุกขึ้นเดินไปดูด้วยความอยากรู้ ผมถือวิสาสะเปิดกล่องนั้นดูและก็พบว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือสิ่งที่ผมเคยให้ไอ้โฟโต้เอาไว้ และของพวกนั้นก็มีกระดาษข้อความแปะติดครบหมดทุกอัน

                ทั้งรองเท้าแตะสีน้ำตาล...ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า รองเท้าแตะที่ใส่แล้วสบายที่สุดในโลก

             ถุงเท้าคู่ใหม่ซึ่งยังไม่ได้แกะแม้กระทั่งถุง...ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ถุงเท้าคู่ใหม่ที่ผมไม่อยากใส่ แต่อยากเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำดีๆ

            รองเท้าผ้าใบของไอ้โฟโต้...ที่มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ผมเป็นพวกไม่ค่อยรักษาของ แต่พี่ทำให้ผมเริ่มที่จะรักษารองเท้าคู่นี้เอาไว้เพราะเป็นรองเท้าคู่แรกที่พี่ซักให้ผม

            ผมได้แต่อมยิ้มกับข้อความพวกนั้นอย่างไม่อาจจะหยุดได้ ในหัวของผมนึกย้อนกลับไปถึงวันแรกที่ผมกับมันได้เจอกัน แม้ว่าจะเป็นการเจอกันที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ (เด็กปีหนึ่งกับคลิปอย่างว่าในห้องน้ำ) แต่มันกลับทำให้ผมจดจำมันได้ขึ้นใจ หลังจากนั้น มันก็เอาแต่ตามตื๊อผมเป็นบ้าเป็นหลัง ขณะที่ผมก็เอาแต่หนีมันอยู่ตลอด โดยที่ผมไม่ทันได้คิดว่ามันจะเหนื่อยกับการต้องมานั่งอดทนหรือพยายามวิ่งตามผมมากแค่ไหน เพราะความงี่เง่าและเอาแต่กลัวเรื่องอาถรรพ์สายรหัสของตัวเอง จนมองข้ามความจริงใจที่ไอ้โฟโต้พยายามจะแสดงให้ผมเห็นอยู่เรื่อยมา

                แต่ตอนนี้  ผมมองเห็นมันแล้วครับ ที่สำคัญ ผมก็พร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเต็มที่ เพียงแค่มันคอยจับมือและอยู่ข้างผมแบบนี้ ผมเองก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไป

                เสียงประตูทำให้ผมสะดุ้งและรีบเก็บของเข้ากล่อง จัดแจงให้ทุกอย่างเหมือนเดิม

                “ทำอะไรอยู่ครับ”

                ผมหันไปมองคนที่หิ้วของพะรุงพะรังเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้มสดใสของมัน

                “มากินข้าวกันครับ” มันว่าพร้อมกับชูถุงกับข้าวให้ผมดู ก่อนที่มันจะเดินไปหยิบจานชามมาจัดโต๊ะให้

                “เดี๋ยวกูช่วย” ผมบอกพร้อมกับเข้าไปช่วยมัน ทว่ามันกลับแย่งกล่องใส่ข้าวไปจากมือผม

                “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมทำให้” ก่อนที่มันจะดันตัวผมให้นั่งลงที่เก้าอี้และปล่อยให้ผมนั่งมองมันที่จัดการเอาข้าวใส่จานจนเสร็จสรรพ

                ผมมองการกระทำนั้นด้วยความรู้สึกดีไม่น้อยเพราะด้วยความเป็นพี่...ทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายดูแลคนอื่น มากกว่าให้คนอื่นมาดูแล ทำให้เกิดความเคยชินในการทำตัวเป็นพี่เสียส่วนใหญ่ จะมีบ้างประปรายที่มีคนที่โตกว่าเข้ามาดูแล แต่กับตอนนี้...อาจจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่มีคนมาเอาใจใส่เขา แม้แต่กับเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ก็ไม่ยอมปล่อย

                ...และนั่นทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

                “ยิ้มบ่อยไปแล้วนะครับ”

                “ทำไม ยิ้มไม่ได้หรือไง”

                “ได้ครับ แต่ยิ้มแค่เฉพาะตอนอยู่กับผมนะครับ ผมหวงอ่ะ”

                “จะให้กูทำหน้าบึ้งใส่ทุกคนหรือไง” ผมส่ายหน้าให้มัน เด็กก็คือเด็กนั่นล่ะครับ งอแงไปเสียหมด

                “ก็ดีนะครับ จะได้ไม่ต้องมีคนมาจีบพี่”

                ผมขมวดคิ้วพลางมองหน้ามัน “กูก็ไม่เคยยิ้มให้มึงนะ ทำไมมึงยังมาจีบกูอีก”

                “ที่พูดนี่ไม่รู้ตัวจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ครับ ว่าที่ผมจีบเนี่ยก็เพราะความน่ารักของพี่ล้วนๆ”

                “เลิกพูดว่ากูน่ารักได้แล้วน่า” ผมทำเป็นมองกับข้าวตรงหน้า

                “เลิกพูดว่าน่ารัก แต่พูดว่าที่รักแทนได้ใช่ไหมครับ”

                ผมชะงักมือทันทีที่มันพูดออกมา เงยหน้าขึ้นสบตากับไอ้คนที่เอาแต่มองผมเล็กน้อย ก่อนจะรีบกินข้าวในจานต่อให้เสร็จเพราะผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับมันแล้วครับ พูดอะไรไป มันก็ปรับเปลี่ยนคำจนผมตอบโต้อะไรมันไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ สู้เงียบเอาไว้ดีกว่า

               

                ผมกินข้าวจนเสร็จก็ไปช่วยไอ้โฟโต้ล้างจาน ก่อนจะไล่ให้มันไปอาบน้ำอาบท่า ส่วนผมก็กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง กดเล่นมือถือไปพลางๆ  ก่อนที่ผมจะเลื้อยตัวลงไปนอนเพราะความง่วง

                ไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมจึงแสร้งทำเป็นหลับทันที

                “นอนเร็วแบบนี้ สงสัยจะเหนื่อย”

                ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นบนหน้าผากของตัวเองและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพู ไม่ก็สบู่ของคนที่แอบเข้ามาใกล้ผม ก่อนที่แสงสว่างในห้องจะหายไปพร้อมกับการขยับตัวของใครบางคนบนเตียง

                “ฝันดีนะครับ พี่เต้”

                ผมได้ยินมันพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้ความเงียบ ขณะที่ผมได้แต่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวไปทางไอ้โฟโต้และเอื้อมมือไปกอดมันเอาไว้ อีกฝ่ายดูเหมือนจะนิ่งไปกับการกระทำของผม เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่มันจะกระเถิบเข้ามาใกล้และดึงผมเข้าไปสู่อ้อมแขน

                คืนนี้คงเป็นคืนที่อบอุ่นที่สุดสำหรับผม

 

               

 

 

 

 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 47 ภาพสุดท้าย

                เพราะวันนี้เป็นวันประกวดดาวเดือนคณะ ทำให้ช่วงสองสามวันก่อนหน้านั้น ไอ้โฟโต้ต้องซ้อมหนักเป็นพิเศษ ผมกับมันไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกันเท่าไหร่นัก จะมีบ้างก็แค่ช่วงเวลาก่อนไปเรียน ไม่ก็ช่วงที่มันพักซ้อม มันเองก็เอาแต่พูดว่าตื่นเต้นมาตลอด โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้ผมเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้มัน

                “สรุปว่ายังไงครับ ท่านฮ่องเต้” ไอ้นิวหันมาถามผมเสียงระรื่น ขณะที่รอดูพวกดาวเดือนอยู่หน้าเวที

                “อะไรยังไงของมึง”

                “เอ้า ก็เรื่องไอ้น้องโฟโต้นั่นไง สรุปว่ายังไงครับ”

                “ก็...ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะน่า” ผมหันไปตอบพลางเสมองไปทางอื่น ทว่าไอ้นิวกลับเอามือจับหน้าผมให้กันกลับมามองหน้ามัน

                “ถ้าไม่มีอะไร ทำไมวันนี้มึงถึงได้มายืนอยู่หน้าเวที รอดูน้องมันด้วยล่ะ”

                ผมหันไปปัดมือมันออก “ทั้งสายรหัสทั้งสายเทคกูได้เป็นตัวแทนทั้งที กูก็ต้องมาให้กำลังใจน้องมันสิวะ”

                “เหรออออออ” มันลากเสียงจนน่าหมั่นไส้ “รอเจอเซอร์ไพรส์ก่อนเหอะมึง”

                “เซอร์ไพรส์ไรวะ”

                ไอ้นี่ก็มีพิรุธซะจนผมอยากรู้ แต่มันกลับยักไหล่ใส่ผมเฉย ก่อนที่พิธีกรจะเริ่มทำหน้าที่ในงานประกวดดาวเดือน

                ตัวแทนของคณะแต่ละคนต่างก็ออกมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะไอ้โฟโต้กับไอ้นัทที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเก็งเดือนคณะในค่ำคืนนี้ ส่วนตัวเก็งฝ่ายหญิงคงหนีไม่พ้นน้องฝ้าย สาวสวยปีหนึ่งซึ่งเป็นที่หมายตาและพูดถึงมากที่สุดตั้งแต่วันรายงานตัวเข้าคณะ จนกระทั่งมาถึงช่วงเวลาการแสดงความสามารถของแต่ละคน ส่วนใหญ่ไม่ร้องเพลง เต้น เล่นดนตรี ก็ความสามารทางนาฏศิลป์เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับนำมาแสดงบนเวทีที่สุดแล้วล่ะครับ

                หลังจากการแสดงของดาวเดือนจบไปคนแล้วคนเล่า ในที่สุดก็มาถึงคิวของไอ้นัทแล้วครับ ยอมรับว่ามันดูดีมากเพราะออร่าของมันนี่นับว่าเป็นนายแบบแนวหน้าได้สบายๆ แต่ที่ดูแปลกตาออกไปเห็นจะเป็นเสื้อผ้าที่คุมโทนมืดอย่างไม่ผมไม่เคยเห็นมันใส่เลยสักครั้ง ทำให้มันดูหล่อร้ายไปอีกแบบ

                ผมมองมันที่เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกีต้าร์ในมือ เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่จะได้เห็นมันในมุมนี้ มันจัดแจงทุกอย่างจนเรียบร้อยก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ แนะนำตัวเองเล็กน้อยและเริ่มการแสดง

                “เสียงของผมอาจจะไม่เพราะจนสามารถกุมหัวใจใครได้ แต่ที่ผมยังคงเลือกที่ร้องเพลงเพราะผมแอบหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าความรู้สึกของผมที่ได้ถ่ายทอดผ่านบทเพลงต่อไปนี้ จะส่งถึงหัวใจของเขาได้...แม้จะเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตาม”

                ใจของผมแอบกระตุกเล็กน้อยกับคำพูดของไอ้นัท ก่อนที่ผมจะเหลือบหันไปมองคนข้างๆ ของผมที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอการแสดงของน้องมันเอาไว้ สายตาของมันที่กำลังมองน้องอยู่ทำให้ผมเอะใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่ผมจะหันกลับไปมองไอ้นัทบนเวทีที่กำลังเล่นกีต้าร์อยู่

                ฉันเองไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เธอได้เดินเข้ามาในสายตา

            หากแต่เพียงได้รักเธอไป

            เพราะว่าฉันนั้นไม่อาจจะห้ามใจ มันเอาแต่คิดถึงเพียงเรื่องของเธอ

            คงไม่ผิดอะไรใช่ไหม หากว่าฉันจะเข้าไปบอกเธอ

            บอกคำว่ารักให้เธอได้ยิน เผื่อหัวใจเราตรงกัน

            จะเดินไปบอกรักเธอ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฉันรัก

            แม้เวลาจะเปลี่ยนเท่าไหร่

            ไม่ว่าเธอจะเลือกใคร ฉันเลือกเธอ

            เป็นแบบนั้นเสมอ ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนใจฉันได้

            ขอให้เธอได้รับรู้ ในวันที่เธอเจ็บช้ำจากใคร

                 ได้โปรดหันกลับมาเพราะฉันจะอยู่ตรงนี้เพื่อเฝ้ามองเธอไปตลอดกาล

            ทั้งดนตรีและเสียงร้องที่เจือไปด้วยความรู้สึกบางอย่างสร้างความใจหายให้กับคนฟังได้เป็นอย่างดี ไอ้นัทอาจจะไม่ใช่คนที่ร้องเพลงเพราะที่สุด แต่เสียงของมันกลับกุมใจคนฟังเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด ก่อนที่มันจะจบการแสดงและทยอยเก็บอุปกรณ์

                “ความรักที่มันน่ากลัวเนอะ”

                ผมหันไปมองไอ้นิวอีกครั้ง มันเองก็หันมามองผมเช่นเดียวกัน หน้าตามันดูซึมๆ เหมือนเพิ่งจะผ่านเรื่องเจ็บปวดมาก็ไม่ปาน แต่ผมก็ยังคงรับฟังในสิ่งที่มันกำลังจะพูดต่อ

                “ไอ้นัทมันจะรู้สึกเหมือนกับเพลงที่มันร้องหรือเปล่า”

                ผมนิ่งไปเล็กน้อยพลางหันกลับไปมองคนที่กำลังเดินลงจากเวที “ไม่รู้สิ มันอาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกอะไรก็ได้”

                ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้ง เมื่อไอ้โฟโต้เดินขึ้นมาบนเวที วันนี้มันดูดีผิดหูผิดตาไปถนัดเลยครับ เพราะปกติ มันจะแต่งตัวสบายๆ ไม่ค่อยใส่ใจเสื้อผ้าหน้าผมอะไรมาก (แต่มันก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดีนั่นแหละ) มันมาพร้อมกับลูกทีมอีกหลายคน ขณะที่ผมเองก็ได้แต่คาดหวังว่ามันจะแสดงอะไรเพราะที่ผ่านมามันเอาแต่เงียบ ถามกี่ทีก็ไม่ยอมบอกหรือแม้กระทั่งหลุดปากออกมาเลยครับ

                ก่อนที่ไฟทั้งหมดจะดับลง ไม่นานนักเสียงไวโอลินก็ค่อยๆ ดังพร้อมกับแสงไฟที่สว่างขึ้นทีละนิด ภายตรงหน้าคือภาพของไอ้โฟโต้ที่กำลังยืนเล่นไวโอลินท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกก่อนที่จังหวะจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนจนกระทั่งมันหยุดสีไวโอลิน ทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ มันเงยหน้าขึ้นมามองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาเศร้าๆ และนั่งลงบนเก้าอี้ยาวบนเวที ก่อนที่ไฟจะดับลงและเปิดพรึบขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับฉากที่เปลี่ยนไป เหลือเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะโผล่เข้ามาจากทางด้านหลังและเซอร์ไพรส์เธอด้วยการเล่นมายากลเสกดอกกุหลาบให้กับผู้หญิงคนนั้น และมันก็เล่นกลอีกหลายอย่างก่อนที่จะลงท้ายด้วยการขอผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟน

                “คุณยังจำได้ไหม ในวันที่ผมขอคุณเป็นแฟน คุณได้ให้สัญญากับผมเอาไว้ว่าวันนี้ คุณจะให้คำตอบกับผม...”

                ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมากับคำพูดของไอ้โฟโต้ ก็มันคับคล้ายคับคลากับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผมนี่ครับ

                “...แล้วถ้าผมจะขอคุณเป็นแฟนตอนนี้ คุณจะยอมคบกับผมไหม”

                ผมมองไอ้โฟโต้ที่นั่งคุกเข่าลงไปตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น ขณะที่เธอเองก็มองมันด้วยความเขินอาย ก่อนที่เสียงดนตรีจะดังขึ้นและไอ้โฟโต้ก็เริ่มร้องเพลง

 

                เธออาจจะคิดว่าวันนั้น เป็นวันที่เราได้เจอกันครั้งแรก

            แล้วฉันจึงตกหลุมรักเธอ จนยากจะถอนตัวเช่นนี้

            แต่เธอรู้ไหมว่าวันนั้น เป็นอีกครั้งที่ฉันได้เจอกับเธอ

            เพราะฟ้ากำหนดให้เราได้มาใกล้กัน โดยที่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธหัวใจของตัวเองได้อีก

            นานแค่ไหนที่เราไกลห่าง ใจของฉันเฝ้าแต่โหยหาเธอมานานแสนนาน เพื่อตามหาคำตอบของหัวใจเธอ

            แล้วเธอคิดเหมือนกันไหม ฉันอาจจะไม่ได้ดีเหมือนใคร

            แต่ฉันก็รักเธอเพียงคนเดียว จวบจนวันนี้ที่ฉันได้มีโอกาสที่จะรัก

 

            “แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะมอบคำตอบนั้นให้กับผมหรือยัง”

                ทั้งคู่มองหน้าสบตากันอยู่สักพัก ผู้หญิงขยับปากเหมือนพูดอะไรไปสักอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย ก่อนที่ไฟจะดับลงและเปิดขึ้นมาพร้อมกับฉากที่ไอ้โฟโต้นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดิม มันเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ สายตาของมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาบางอย่าง

                “หากในวันนั้น เธอไม่ปฏิเสธ...ผมคงได้มีโอกาสเล่นไวโอลินที่ผมรักมากที่สุด ให้กับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด”

                ผมมองมันที่นิ่งไปอย่างใจหาย ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นมาและพูดต่อ

                “และถ้าวันนี้ ผมมีโอกาสอีกครั้ง ผมก็หวังเอาไว้ว่าเธอจะตอบตกลง”

                เพียงเท่านั้น ก่อนที่ไฟจะดับพรึบและการแสดงของไอ้โฟโต้ก็จบลงไป ท่ามกลางใจของผมที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ผมก็ทำได้เพียงดูการแสดงของน้องๆ คนอื่นจนครบ จนกระทั่งมาถึงการประกาศผู้เข้ารอบหกคนสุดท้าย ซึ่งไอ้โฟโต้กับไอ้นัทก็เข้ารอบไปตามระเบียบ ผมปรบมือแสดงความยินดีให้กับพวกมันทั้งคู่ ก่อนที่จะมีการเริ่มตอบคำถาม ซึ่งเป็นช่วงที่วัดปฏิภาณไวพริบเอามากๆ  ผมเองก็เคยเกือบตายกับคำถามพวกนั้นตอนลงประกวดเช่นกัน

                “คำถามสำหรับหมายเลขสาม น้องนัทของเรานะคะ ถามว่า หากคุณได้เป็นเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้ คุณจะทำอะไรบ้างคะ”

                ก่อนที่กรรมการจะทวนคำถามและไอ้นัทจะเริ่มตอบคำถามของตัวเอง

                “ก่อนอื่น ผมคงต้องขอบคุณสำหรับตำแหน่งอันมีค่าที่ผมได้รับครับ ผมจะใช้ช่วงเวลาทั้งหมดในรั้วมหาวิทยาลัยในการทำประโยชน์เท่าที่ผมจะสามารถทำได้ ทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมและการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักศึกษา รวมถึงสร้างชื่อเสียงในด้านต่างๆ ให้กับมหาวิทยาลัยต่อไปในอนาคตครับ”

                เสียงปรบมือดังขึ้นแทบจะทันทีที่ไอ้นัทพูดจบ คำตอบของมันใช้ได้เลยทีเดียวครับ มีแต่คนชมมันกันใหญ่ ก่อนที่น้องๆ คนต่อไปจะตอบคำถามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงคิวของไอ้โฟโต้

                “ต่อไปนะคะ หมายเลขเจ็ด น้องโฟโต้นะคะ คำถามถามว่า หากคุณได้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย คุณจะสร้างระเบียบวินัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์ในมหาวิทยาลัยอย่างไรบ้างคะ”

                ผมมองไอ้โฟโต้ที่พยายามตั้งสติฟังพิธีกรทวนคำถามอีกครั้ง ก่อนที่มันจะนิ่งเงียบไปจนใจคอผมไม่ดีตาม

                “ขอบคุณสำหรับคำถามครับ”

                มันค่อยๆ พูดออกมาพร้อมกับพยายามยิ้มให้ดูปกติมากที่สุดจนเรียกได้ว่าถ้าใครไม่เป็นมันคงไม่มีทางรู้แน่ว่าไอ้การที่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น มันทั้งตื่นเต้นและกดดันมากแค่ไหน

                “ถ้าผมได้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ผมจะเชิญชวนให้นักศึกษาหันมาใส่ใจความปลอดภัยบนท้องถนน จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ ทั้งประโยชน์และภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากไม่ระมัดระวังในการขับรถ โดยทั้งนี้ ผมจะเริ่มจากตัวเอง ผมจะแสดงให้นักศึกษาเห็นครับ ว่าการขับขี่อย่างปลอดภัยต้องทำอย่างไรครับ”

                ถึงแม้จะฟังดูแปร่งๆ ไปบ้าง แต่ถือว่ามันก็เอาตัวรอดได้ดีกับคำถาม นั่นทำให้คนที่คอยตามเชียร์มันโล่งใจไปไม่มากก็น้อย ก่อนที่จะมีการประกาศผู้เข้ารอบสามคนสุดท้าย แน่นอนว่าไอ้ตัวเก็งของคณะอย่างไอ้โฟโต้และไอ้นัทต้องเป็นหนึ่งในนั้น แต่จะได้ตำแหน่งไหนคงต้องลุ้นต่อจากนี้แล้วล่ะครับ

                การประกาศรางวัลถูกคั่นด้วยการตอบคำถามดาวเทียมที่เรียกเสียงเฮฮาและความเกี้ยวกราดในการตอบคำถามได้เป็นอย่างดี นี่อาจจะเป็นอีกสีสันหนึ่งในการประกวดเลยก็ว่าได้ครับ

                ก่อนที่เวลาจะล่วงเลยมาถึงการประกาศรางวัลดาวเดือนคณะ ฝ่ายชายมีไอ้นัทกับไอ้โฟโต้ที่เข้ารอบสองคนสุดท้ายไปอย่างลุ้นๆ ส่วนฝ่ายหญิงมีน้องฝ้ายและน้องมิ้นตามเสียงเชียร์ที่มีมาตลอดของพวกผู้ชายนั่นแหละครับ

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ เราจะมาประกาศรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งกันนะคะ”

                เสียงพิธีกรทำเอาท้องไส้ผมปั่นป่วนขึ้นมาแบบสุด ตั้งแต่เกิดมา นี่อาจจะเป็นครั้งที่สามก็ว่าได้ที่ผมตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้  (ครั้งแรกตอนสอบเข้ามหา’ลัย ส่วนครั้งที่สองตอนประกวดเดือนตอนปีหนึ่งนั่นแหละครับ)

                “ชนะเลิศอันดับหนึ่งได้แก่...”

                จะเว้ยจังหวะให้กูหยุดหายใจทำไมวะเนี่ย ผมกลืนน้ำลายลงคอ มือไม้เกร็งไปหมดแล้วครับ

                “...น้องฝ้ายและน้องนัทค่า!”

                ผลประกาศของพิธีกรเป็นไปตามที่แอบคิดเอาไว้ กะไว้แล้วเชียวว่าไอ้นัทต้องได้ตำแหน่งเดือนคณะแน่ๆ ผมรู้สไตล์กรรมการดีครับ ไม่ว่าจะไอ้นัท ไอ้กรีนหรือเดือนปีผมอย่างไอ้เจมส์ ก็ออร่าแบบเดียวกันเป๊ะ ดีไม่ดี ปีนี้นิติศาสตร์อาจจะคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยอีกปีหนึ่งก็ได้นะครับ

                “แน่นอนนะคะว่าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับหนึ่งก็ตกเป็นของน้องโฟโต้และน้องมิ้น ขอเชิญทั้งคู่ออกมารับรางวัลด้วยค่า”

                ผมมองไอ้โฟโต้ที่เดินออกมารับรางวัลจากรองเดือนปีที่แล้วอย่างอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก็วันนี้มันทำออกมาได้ดีเลยนี่ครับ ถ้าไม่มีไอ้นัท ตำแหน่งเดือนคณะก็คงไม่พ้นมันอยู่ดี ก่อนที่งานจะเสร็จสิ้นลงไปท่ามกลางความปีติยินดีของบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ

                ผมเดินฝ่าฝูงชนออกไปจากบริเวณหน้าเวทีและไปรอไอ้โฟโต้ที่ด้านหลัง ตอนนี้ มันกำลังชุลมุนกับการถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้ไปทั่วตามประสาคนได้ตำแหน่งนั่นแหละครับ ผมก็เลยไปหาที่นั่งรอมันไปพลางๆ แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกันครับ กว่าไอ้รองเดือนคณะปีหกศูนย์จะเดินกลับเข้ามาด้านหลังเวที

                “พี่ฮ่องเต้...”

                ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก็เห็นไอ้โฟโต้หอบของขวัญพะรุงพะรังเข้ามาพร้อมๆ กันกับไอ้นัท ฝ่ายหลังได้แต่มองผมสลับกับไอ้โฟโต้และยิ้มบางๆ ออกมา

                “พี่ฮ่องเต้! มาด้วยเหรอคะเนี่ย” เสียงกระเทยรุ่นพี่เรียกให้ผมหันไปมอง ก่อนจะยิ้มให้กับพวกเธอ

                “ไหนๆ ก็อยู่กับสายรหัสแล้ว ขอถ่ายรูปคู่หน่อยได้ไหมคะ”

                ผมชะงักพลางหันไปมองหน้าไอ้โฟโต้ ก่อนจะหันกลับมามองพวกเธอเลิกลัก ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาโอบไหล่ผมพร้อมกับยิ้มหน้าระรื่น

                “ได้สิครับ ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ ก็ควรเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึกสิ”

                ที่ระลึก...แบบไม่ถามกูสักคำเลยนะ

                แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของไอ้โฟโต้จะทำให้คนรอบข้างส่งเสียงดีใจกันยกใจอย่างถูกอกถูกใจ จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นไอ้นัท มันทำเป็นหลบสายตาด้วยใบหน้าที่ดูก็รู้ว่ามันกำลังรู้สึกน้อยใจมากขนาดไหน และนั่นมันก็ทำให้ผมต้องทำอะไรบางอย่าง

                “จะถ่ายสายรหัสอย่างเดียวได้ยังไง สายเทคพี่ก็ได้ตำแหน่งนะ” ก่อนที่ผมจะหันไปเรียกไอ้นัท “มาถ่ายรูปกับกูหน่อยดิ”

                ไอ้นัทดูเหมือนจะอึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่มันจะทำท่าปฏิเสธ ผมเลยเดินเข้าไปลากมันมาถ่ายด้วย ส่วนไอ้โฟโต้นี่นิ่งเงียบไปเลยครับ มันคงน้อยใจที่ผมไปลากไอ้นัทมา แต่ผมเองก็จะปล่อยให้สายเทคตัวเองน้อยใจไปได้ยังไงกัน ถ้าเป็นผม...ผมเองก็คงน้อยใจเหมือนกันนั่นแหละครับ ไม่มีสายรหัสก็ว่าเฟลแล้ว แต่พี่เทคไม่สนใจมันเฟลกว่าร้อยเท่า

                พวกผมสามคนถ่ายรูปกันจนเสร็จ ผมก็พูดคุยแสดงความยินดีกับไอ้นัทต่ออีกเล็กน้อย

                “กูดีใจด้วยนะเว้ย มึงเหมาะสมแล้วกับตำแหน่งนี้”

                “ขอบคุณนะครับ” ไอ้นัทยิ้มพร้อมกับมองหน้าผมเพื่อแสดงความจริงใจ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ ผมมีความสุขมากที่มีพี่เป็นพี่เทคของผม”

                วูบหนึ่งที่ผมเห็นแววตานั้นสั่นระริก มันทำให้ใจของผมไหววูบไปตามๆ กัน

                “ขอบคุณมึงเหมือนกันนะ ที่เลือกเรียนที่นี่ ไม่อย่างนั้น กูคงไม่ได้มีน้องเทคหล่อๆ แถมพ่วงตำแหน่งเดือนแบบมึง”

                พูดจบ คนตรงหน้าก็หัวเราะออกมาเบาๆ

                “นั่นสิครับ ผมเป็นถึงเดือน แต่พี่กลับมองข้ามผมไปได้”

                เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นมันกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

                “เอาน่า สักวันคนที่ใช่ จะเข้ามาหาในเวลาที่ใช่เอง”

                ผมปลอบใจมันได้ดีที่สุดก็เท่านี้แหละครับ ก่อนที่เพื่อนรักของผมจะเดินเข้ามาที่หลังเวที มันชะงักมองผมกับไอ้นัทเหมือนว่าทันกำลังเข้ามาขัดจังหวะ

                “เดี๋ยวกูไปรอที่รถนะ” มันหันไปบอกไอ้นัทก่อนจะรีบชิ่งออกไปโดยมไม่สนใจไอ้ผมที่กำลังจะอ้าปากคุยกับมันเลย ทำให้ผมต้องหันกลับมาถามไอ้นัทแทน

                “ช่วงนี้มึงดูสนิทกับมันนะ”

                ไอ้นัทหัวเราะออกมาน้อยๆ พลางมองไปทางที่ไอ้นิวเพิ่งจะเดินไป “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกับพี่นิวสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน”

                “ไอ้นิวมันเฟรนลี่ล่ะมั้ง ปกติมันก็เข้ากับคนง่ายจะตายไป มึงก็ไปทำงานกับมันด้วยไม่ใช่เหรอ”

                “ครับ” ไอ้นัทหันมาตอบ “แต่ที่ผมสนิทกับพี่เขา บางทีอาจจะเป็นเพราะความเหมือนของผมกับพี่นิวก็ได้”

                ผมฟังคำตอบของมันแล้วได้แต่อมยิ้มกับตัวเอง ดูเหมือนว่าไอ้ซันจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวซะแล้วล่ะครับ

                เออ จะว่าไป...ไอ้ซันมันก็หายหัวหายตัวไปไหนของมันกัน นอกจากในคาบเรียนแล้ว ผมก็แทบจะไม่เจอมันเลย

                “ผมว่าพี่ฮ่องเต้รีบไปดีกว่านะครับ ท่าทางคนทางนั้นจะงอนใหญ่แล้ว”

                ผมหันไปมองตามสายตาของไอ้นัท ก็เห็นไอ้โฟโต้ทำหน้ามุ่ยเก็บข้าวของอยู่

                “อืม กูหาเรื่องให้มันงอนเองแหละ คงต้องง้อยาวแน่”

                “ก็ไม่แน่หรอกครับ สุดท้ายคนที่ง้อพี่เต้ก็คือไอ้โฟโต้อยู่วันยังค่ำ ไม่เชื่อพี่ก็รอดูได้เลย”

                ผมหันไปมองหน้าไอ้นัทอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ทันได้ถามอะไรต่อเพราะไอ้นัทขอตัวไปตามไอ้นิว ผมเลยได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปหาคนที่เพิ่งจะเก็บของเสร็จ มันหันมามองหน้าผมด้วยสายตานิ่งเรียบ

                “จะกลับเลยป่ะ”

                “ครับ แต่ถ้าพี่อยากอยู่ต่อ เดี๋ยวผมกลับก่อนก็ได้นะครับ”

                ฮั่นแน่ ทำเป็นงอน ทำตัวเป็นเด็กไปได้

                “กูไม่อยากอยู่ต่อหรอก ถ้ามึงไม่อยู่” ผมมองหน้ามันพร้อมกับอมยิ้มไปด้วยและนั่นทำให้ไอ้โฟโต้มีสีหน้าดีขึ้นมานิดหน่อย แต่มันยังคงดึงหน้าทำเป็นโกรธผมอยู่

                “กลับกันเถอะ” ผมบอกก่อนจะหันไปช่วยมันถือของและเดินนำหน้ามันไป แต่เป็นอันต้องหันหลังกลับมาอีกรอบเพราะไร้วี่แววของคนข้างหลังว่าจะเดินตามมานี่แหละครับ

                “ไม่รีบกลับเหรอ เลยเที่ยงคืนวันนี้ไป กูไม่ให้คำตอบมึงแล้วนะเว้ย”

                ไอ้โฟโต้ขมวดคิ้วเป็นปมอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของผม

                “คำตอบ...?” ก่อนที่มันจะเบิกตากว้างอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

                “เฮ้ย!! ได้ไงเล่า พี่สัญญาแล้วนี่ว่าจะตอบผม”

                “ก็รีบตามมาดิ” พูดจบ ผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินหนีมันไปที่รถ ระหว่างที่ไอ้โฟโต้รีบวิ่งตามผมมาติดๆ

                ถึงเวลาสักทีสินะครับ ที่ผมจะให้คำตอบกับมัน

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 48 ตอนจบ

                ไอ้โฟโต้ขับรถไปฮัมเพลงไปพลางอย่างอารมณ์ดีจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าคิดของอะไรของมันอยู่

                “อารมณ์ดีอะไรเบอร์นั้นวะ” ในที่สุดผมก็อดใจที่จะหันไปถามมันไม่ได้

                มันชำเลืองตามามองผมก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้า “คนกำลังจะมีเมีย...”

                ผมสะดุ้งหันขวับไปมองด้วยความตกใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา

                “กูได้ยินนะ ไอ้คำว่าเมียน่ะ”

                “ผมหมายถึง แฟน ต่างหากล่ะครับ คนกำลังจะมีแฟน ก็ต้องอารมณ์ดีเบอร์นี้นั่นแหละ” และมันก็เอาแต่ยิ้มหน้าระรื่น ขณะที่ผมได้แต่คิดว่าเจ้าเล่ห์อย่างมัน ผมเผลอไปมีใจให้ได้ยังไงกัน

                แต่ก็นั่นแหละครับ ในเมื่อคนมันรักไปแล้ว เรื่องความเจ้าเล่ห์ใดๆ ที่มันใช้กับผม ค่อยหาทางรับมือกันทีหลัง

                “แต่จะใช้คำไหน มันก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ” มันหันมายิ้มอย่างมีเลสนัย “คืนนี้ ยังไงๆ พี่ก็ต้องยอมผม”

                “ขับรถไปเลย!” ผมผลักหน้ามันไปทีหนึ่งอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้

                “ทำไมครับ หรือพี่จะไม่ยอม คราวนี้เนี่ยผมไม่ปล่อยพี่ไปแล้วนะครับ”

                “แล้วใครบอกว่ากูจะยอม”

                ในเมื่อมันยังไม่หยุด ผมก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายหยุดหรอกนะเว้ย เสียเชิงรุ่นพี่หมด อย่าลืมว่าผมอยู่ปีสี่ ส่วนไอ้เด็กนี่ มันเป็นเด็กปีหนึ่งนะครับ

                “พี่ไม่ยอม ผมก็พร้อมจะจับพี่กดนะครับ”

                “ไอ้โฟโต้!”

                “ส่วนกดแล้วจะทำอะไรถึงขั้นไหน คงต้องรอดูความประพฤติของพี่ก่อนว่าจะยอมตั้งแต่ขั้นแรกหรือต้องรอให้ถึงขั้นสุดท้าย”

                “ถ้าอย่างนั้น มึงปล่อยกูลงตรงนี้เลย!”

                นับวันแม่งยิ่งเป็นเด็กอันตรายฉิบหาย

                “เอาสิครับ ทางเปลี่ยวๆ แบบนี้ กับบรรยากาศในรถนี่...คงจะได้ฟีลเนอะ แถมยังไม่มีคนมาขัดจังหวะเราสองคนอีกด้วย”

                “ขับรถต่อไปเถอะ มึงอ่ะ” ผมว่าหน้านิ่งพลางชำเลืองมองออกไปข้างนอกรถด้วยความเสียวสันหลังวาบๆ เพราะความที่รถติดมา ไอ้โฟโต้เลยต้องขับเลี่ยงการจราจรมาทางนี้ ที่โคตรจะมืดและโคตรจะเปลี่ยว

                ไอ้โฟโต้หัวเราะชอบใจยกใหญ่

                “แบบนี้ แสดงว่าพี่ยอมผมแล้วใช่ป่ะ”

                “ยอมอะไร ใครว่ากูจะยอม” ผมหันไปแหวใส่มัน ก็ผมไม่ยอมอ่ะ ผมไม่ยอม!

                “ยอมเป็นเมียผมไงครับ ยังไงพี่ก็ต้องยอม”

                ยิ่งยอมเป็นเมียด้วยแล้ว ผมยิ่งต้องไม่ยอม เป็นพี่ใหญ่ผมก็ต้องเป็นฝ่ายได้ (เปรียบ) มากกว่าเสีย (เปรียบ) สิครับ

                “กูบอกเมื่อไหร่ว่ากูจะเป็นเมีย”

                “ทำไมครับ หรือพี่จะจับผมทำเมีย”

                “เออ!” ผมหันไปยิ้มอย่างมีแผนการร้ายในหัว แต่ทว่ามันกลับหัวเราะร่าออกมาเหมือนเห็นผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่กำลังพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้

                “ถนัดเหรอครับ รุกน่ะ”

                “เดี๋ยวมึงก็รู้”

                “ใช้คำว่า ‘เดี๋ยว’ แบบนี้ หมายความว่าพี่จะจัดคืนนี้เลยใช่ป่ะ”

                “ไม่ใช่เว้ย!!” ผมหันไปปฏิเสธมันทันที ดูเหมือนบทสนทนาในวันนี้จะมีแต่เรื่องเมียๆ ยังไงก็ไม่รู้ มันทำให้ผมคิดได้ว่าวันนี้ผมจะไม่มีทางอยู่กับไอ้โฟโต้สองคนในสถานที่ที่เป็นใจแน่ๆ

                “เอาเถอะครับ ไม่ว่าพี่จะจัดให้ผมวันไหน ยังไงผมก็ไม่ยอมให้พี่จับผมทำเมียได้ง่ายๆ หรอกครับ”

                มันยังไม่ยอมจบยอมสิ้นกับเรื่องเมียๆ อีกนะเฮ้ย ผมหันไปมองหน้ามันที่หันมาทำหน้ายู่ใส่ผม

                “ก็ผมไม่ถนัดเป็นเมียใครนี่ อีกอย่าง พี่น่ารักขนาดนี้ ต่อให้ผมจะยอมยังไง สุดท้ายผมก็อดใจไม่ไหวรุกพี่กลับอยู่ดีนั่นแหละ”

                และมันก็เว้นจังหวะ ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับผมระหว่างที่กำลังจะขับออกจากซอยทางลัด

                “ผิวขาวๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ แถมยังหุ่นของพี่นั่นอีก มันโคตรน่าจับฟัดเลยรู้ไหมครับ”

                “มึงถอยออกไปเลย!!” ผมแหวใส่พร้อมกับเอามือดันตัวมันออกไป

                “พี่ก็เลิกน่ารักก่อนสิครับ ไม่อย่างนั้นผมคงอดใจไม่ไหวแน่ๆ”

                “มึงนี่มัน...กูจะไม่เป็นแฟนมึงก็เพราะแบบเนี่ย!!”

                “พี่ว่าไงนะครับ” มันยิ้มอย่างล้อเลียน ทำให้ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ก่อนที่มันจะเงียบและหันไปขับรถต่อ แต่เป็นอันที่ผมต้องแปลกใจเพราะไอ้ทางที่มันขับมาดันไม่ใช่ทางกลับหอพักของผมเสียอย่างนั้น แถมมันยังไม่ใช่ทางไปหอพักมันอีกด้วย

                “มึงจะพากูไปไหนเนี่ย”

                ผมมองตามทางที่มันขับผ่านไปแบบงงๆ ทางนี้มันออกนอกโซนมหา’ลัยนี่หว่า จะไปไหนของมันกันเฮ้ย

                “ก็พาพี่ไปสารภาพความในใจไงครับ”

                มันยิ้มก่อนจะขับรถต่อจนกระทั่งถึงที่หมาย...

                มันคือร้านของพี่กราฟฟิกครับ ร้านอาหารที่ผมมากินหลายครั้งหลายหน แต่เพิ่งจะมีโอกาสมารู้ว่ามันเป็นร้านของพี่ชายไอ้คนที่นั่งข้างๆ ผมนี่แหละครับ และก็ได้แต่มองมันที่เลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหลังร้านและดับเครื่อง ก่อนที่มันจะลงไปเปิดประตูรถให้ผม

                “เชิญครับ พี่ฮ่องเต้”

                ผมขมวดคิ้วเป็นปมมองมันแบบงงๆ “ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย”

                “พาพี่มา กิน ของอร่อยไงครับ” ก่อนที่มันจะพยายามฉุดผมให้ลงจากรถ “เอาน่า ไหนๆ ผมก็พาพี่มาถึงที่นี่แล้ว ลงมาเถอะครับ”

                ผมมองมันอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจลงจากรถและตามมันเข้าไปในร้าน ซึ่งต้องเข้าทางประตูหลังร้านนะครับ เพราะร้านเปิดถึงแค่สามทุ่ม ส่วนตอนนี้ปาเข้าไปถึงห้าทุ่มกว่าแล้วครับ

                “มาครับ” ไอ้โฟโต้จูงมือผมให้เดินขึ้นบันไดตามมันไปจนกระทั่งถึงชั้นข้างบนสุดของร้าน มันพาผมมาหยุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่งก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างสื่อความหมาย

                “พร้อมหรือยังครับ”

                ผมหันไปมองหน้ามันแบบงงๆ

                “พร้อมอะไร”

                “พร้อมที่จะให้คำตอบผมหรือยัง”

                ใจของผมกระตุกวูบขึ้นมาทันทีอย่างกับว่ามีอะไรอยู่หลังประตูบานนั้น

                “ถ้าพี่พร้อมแล้ว ก็เปิดเลยครับ”

                ผมหยุดนิ่งมองหน้ามัน ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองประตูบานนั้นด้วยความตื่นเต้น มือของผมที่เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อเอื้อมไปจับลูกบิดช้าๆ ก่อนจะกลั้นใจและเปิดประตูเข้าไป!

                ...

                เงียบ

                มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้นที่กำลังครอบครองทุกอย่างตรงหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด เท้าของผมขยับก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว...สองก้าว... ขณะที่สายตาก็จับจ้องไปยังดอกไม้ แสงไฟและของตกแต่งมากมายที่รายล้อมไปทั่วบริเวณชั้นดาดฟ้าของร้านอาหาร ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะเดินตามเข้ามา มันหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับยิ้มละมุนออกมา

                “พี่ฮ่องเต้ครับ ยังจำได้ไหม ในวันงานเปิดสายรหัส ผมขอพี่เป็นแฟน และพี่ก็ได้ให้สัญญากับผมเอาไว้ว่าหลังจากงานดาวเดือนจบลง พี่จะให้คำตอบกับผม...”

                ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยใจที่เต้นแรงขึ้นอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ แม้ผมจะบอกให้ตัวเองใจเย็นแค่ไหนก็ตาม

                “...ตอนนี้ผมมีโอกาสอีกครั้งที่จะขอพี่เป็นแฟน พี่จะยอมคบกับผมไหม”

                ก่อนที่ผมจะเบิกตากว้างด้วยความอึ้งเมื่อจู่ๆ มันก็คุกเข่าลงตรงหน้าผมและยื่นช่อดอกไม้มาให้ ทำเอาใจผมสั่นมากขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า มันชักจะทำให้ผมเริ่มควบคุมสติอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้วนะครับ ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะบ้าตายไปกับการกระทำของมัน ทั้งอยากจะยิ้ม หัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน

                ผมมองคนตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มและรอคอยคำตอบจากผมอยู่อย่างนั้น ก่อนที่มันจะร้องเพลงออกมา เพลงเดียวกันกับที่มันร้องบนเวที แม้ว่าผมจะได้ยินเพลงนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้มันกลับแตกต่างเพราะเสียงของมันเปล่งออกมาโดยไม่มีเสียงดนตรีใดคอยบรรเลงให้ มันทำให้ผมสัมผัสความรู้สึกผ่านน้ำเสียงของมันได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญ ตอนนี้ ผมยังได้เห็บสีหน้า รอยยิ้มและแววตาของมันใกล้ๆ  ทำให้ผมรู้สึกมากกว่าตอนที่เห็นมันอยู่บนเวที

 

                เธออาจจะคิดว่าวันนั้น เป็นวันที่เราได้เจอกันครั้งแรก

                แล้วฉันจึงตกหลุมรักเธอ จนยากจะถอนตัวเช่นนี้

                แต่เธอรู้ไหมว่าวันนั้น เป็นอีกครั้งที่ฉันได้เจอกับเธอ

                เพราะฟ้ากำหนดให้เราได้มาใกล้กัน โดยที่ฉันไม่อาจจะปฏิเสธหัวใจของตัวเองได้อีก

                นานแค่ไหนที่เราไกลห่าง ใจของฉันเฝ้าแต่โหยหาเธอมานานแสนนาน เพื่อตามหาคำตอบของหัวใจเธอ

                แล้วเธอคิดเหมือนกันไหม ฉันอาจจะไม่ได้ดีเหมือนใคร

                แต่ฉันก็รักเธอเพียงคนเดียว จวบจนวันนี้ที่ฉันได้มีโอกาสที่จะรัก

 

                “แล้วพี่ฮ่องเต้ล่ะครับ พร้อมที่จะมอบคำตอบนั้นให้กับผมหรือยัง”

                ผมอดยิ้มออกมาด้วยความตื้นตันใจไม่ได้จริงๆ

                “ผมรักพี่นะครับ พี่ฮ่องเต้”

                ผมมองมันที่ส่งยิ้มละมุนมาให้ สบสายตากับไอ้เด็กปีหนึ่งที่คอยตามตื๊อรุ่นพี่ปีสี่อย่างผมมาตั้งแต่ตอนรับน้อง จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ที่มันกำลังขอคบกับผมและผมเองก็ดันรู้สึกกับไอ้เด็กคนนี้ไปแล้วด้วยสิครับ

                “ที่ผ่านมา กูอาจจะงี่เง่าและเอาแต่หนีมาโดยตลอด ทีแรก กูก็เอาแต่คิดนะเว้ย ว่าไอ้ที่มึงตามจีบกู เป็นเพราะว่ามึงอาจจะแค่สับสนและสักวัน มึงก็อาจจะเบื่อและเลือกที่จะทิ้งกูไป”

                ผมเว้นจังหวะ มองหน้าคนที่กำลังตั้งใจฟังผม

                “กูขอบคุณมึงมากนะ ขอบคุณมากจริงๆ ที่เข้ามาในชีวิต ที่ทำให้กูรู้ว่า...อาถรรพ์สายรหัสไม่ได้มีแค่ด้านมืด แต่ยังมีความรักที่เป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิต มอบให้คนอย่างกู”

                “...”

                “กูรักมึงนะและกูก็พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้ากับมึง ไม่ว่าทางข้างหน้ามันจะเป็นยังไงก็ตาม”

                “ในเมื่อพี่รักและก็พร้อมจะเดินไปกับผม ถ้าอย่างนั้น...” มันเว้นจังหวะมองผมด้วยความตื่นเต้นที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน “เป็นแฟนกันนะครับ”

                ผมยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มออกมาเต็มที่ด้วยความสุขที่ก่อตัวขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะรับช่อดอกไม้มาและเอ่ยปากพูดกับคนตรงหน้า

                “เออ...” ผมมองหน้ามันด้วยแววตาจริง “...นับตั้งแต่วินาทีนี้ไป มึงกับกูเป็นมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องแล้วนะ เราจะอยู่ในฐานะแฟน...ตลอดไป”

                ไอ้โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจทันทีที่ได้ยินผมพูดเช่นนั้น มันลุกขึ้นและเข้ามากอดผมเอาไว้แน่น ผมเองก็ยกแขนขึ้นกอดมันอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ เช่นกัน ก่อนที่ไอ้โฟโต้จะคลายอ้อมกอดและมองหน้าผมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความตื้นตันอย่างปิดไว้ไม่มิด

                “ขอบคุณนะครับ ที่เลือกผม...”

                “...”

                “แล้วผมจะทำให้พี่เห็นว่าพี่เลือกคนไม่ผิด”

                ผมอมยิ้ม ส่งสายตาจริงจังไปให้กับมัน “กูก็ขอบคุณมึงเหมือนกันนะ ขอบคุณที่มึงเลือกที่จะรักคนอย่างกู โดยไม่มีเงื่อนไขอะไร”

                “ผมรักพี่นะครับและจะรักไปตลอดชีวิตของผม แล้วพี่ล่ะ รักผมหรือเปล่า”

                ผมทำหน้ายู่พลางหลบสายตามัน “กูก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

                “บอกอีกไม่ได้เหรอครับ ผมอยากได้ยินให้ชื่นใจนี่นา”

                “ได้คืบเอาศอกนะ”

                “ไม่ได้จะเอาศอกครับ จะเอา...คำว่ารัก...จากพี่ต่างหาก”

                ผมมองหมั่นด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้าเล็กน้อย (บอกรักมันทั้งทีก็ขอให้มันพิเศษหน่อยสิครับ) และตะโกนออกไปดังๆ ว่า

                “ฮ่องเต้รักโฟโต้ครับ!!”

                ทันทีที่ผมพูดจบ เสียงโห่แซวก็ดังมาแต่ไกล เล่นเอาซะจนผมหันกลับไปมองแทบไม่ทัน ก่อนที่หน้าของผมจะร้อนผ่าวด้วยความเขินอายเมื่อนิวกับสีฝุ่น เดินเข้ามาหาพร้อมกับเพื่อนของโฟโต้อย่างเปรมและกาฟิวด์ รวมถึง...พี่กราฟฟิก

                มากันพร้อมหน้าขนาดนี้ ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันล่ะโว้ยยยย

                “หน้าแดงหมดแล้ว ไอ้เต้” ไอ้นิวหันมาแซวผมทันที ไอ้นี่ก็แซวกูตั้งแต่เริ่มยันจบเลยนะ

                “ในที่สุดเพื่อนเราก็มีแฟนกับเขาสักทีวะ” ไอ้ซันตามมาติดๆ

                “กูดีใจกับมึงด้วยนะ” น้องกาฟิวด์หันไปบอกไอ้โฟโต้ ก่อนที่ไอ้น้องเปรมจะพูดเสริม

                “คบกันแล้ว ก็รักกันไปนานๆ นะเว้ย”

                “ผมอิจฉาอยู่นะเฮีย รู้บ้างไหมเนี่ย”

                ผมหันไปมองไอ้สีฝุ่นที่ทำหน้าตาน่าหมั่นไส้แบบงงๆ

                “อิจฉาอะไรของมึง”

                มันปลายตาไปมองคนข้างกายอย่างน้องกาฟิวด์เล็กน้อยก่อนจะตอบ

                “อิจฉาที่เฮียได้คบกับโฟโต้ไง แต่ไม่รู้ทำไมเพื่อนของแฟนเฮียเนี่ย ยังไม่ใจอ่อนสักที” ก่อนที่มันจะหันหน้าไปหาไอ้โฟโต้ “ในฐานะแฟนเฮีย พี่คงต้องขอความช่วยเหลือจากเราแล้วล่ะมั้ง”

                คำพูดของไอ้สีฝุ่นทำเอาไอ้โฟโต้นิ่งไปสักพัก หน้าตาของมันเหมือนกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ สงสัยจะยังงงๆ  กับเรื่องระหว่างลูกพี่ลูกน้องของผมกับเพื่อนของมัน แต่ก็นั่นแหละครับ สักพักมันก็หัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้

                “ได้สิครับ แต่คง...” มันเว้นจังหวะและหันมามองหน้าผม “...ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสักหน่อย”

                ผมมองหน้ามันสลับกับไอ้สีฝุ่น สายตาของพวกแม่งสองคนที่กำลังเหลือบมามองผมอยู่นี่โคตรของโคตรไม่น่าไว้วางใจเลยครับ

                “พอเลยพวกมึง! ห้ามทำอะไรแผลงๆ แกล้งกูเด็ดขาดนะเว้ย” ผมหันไปขู่พวกมัน แม่ง ยังไม่ทันได้รู้จักกันดีก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียแล้ว แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ครับ

                 (มีต่อ....)

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 พวกผมยืนคุยกันได้สักพัก พี่กราฟฟิกก็ชวนให้ทุกคนให้ไปนั่งชิล คุยไปกินไปที่โต๊ะซึ่งพี่กราฟฟิกเป็นคนจัดเตรียมเอาไว้ให้ รวมถึงอาหารทุกอย่างที่อร่อยสมกับเป็นร้านอาหารชื่อดังในย่านนี้เลยครับ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเดินรับลมชมวิวกันคนละมุม

                รวมถึงผมกับไอ้โฟโต้...

                ผมกับมันยืนดูวิวตอนกลางคืนด้วยกัน สายลมพัดพาความหนาวเย็นมาปะทะร่างกายของผม อากาศอันบริสุทธิ์แบบนี้ มันช่วยให้ผ่อนคลายได้มากเลยครับ ยิ่งได้เห็นดวงดาวที่เกลื่อนฟ้ากับดวงจันทร์ที่คล้อยไปตามช่วงเวลาด้วยแล้ว นับว่าเป็นวิวที่ราคาแพงได้เหมือนกันครับ

                “พี่เต้...”

                “ว่าไง” ผมพูดโดยไม่หันไปมองหน้ามัน

                “...ผิดหวังหรือเปล่าครับ ที่ผมไม่ได้เป็นเดือนคณะ”

                ผมชะงักไปกับน้ำเสียงปนเศร้าของมัน ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่กำลังมองผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว ผมยิ้มแบบสบายๆ และพูดกับมันเหมือนไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับเรื่องนี้

                “ไม่หรอก กูดีใจเสียด้วยซ้ำ ไอ้ตอนที่พิธีกรประกาศให้ไอ้นัทได้ตำแหน่งเดือนคณะ”

                “แปลว่าพี่ไม่อยากให้ผมได้ตำแหน่งนั้นตั้งแต่แรก แต่อยากให้ไอ้นัทได้แบบนั้นใช่ไหมครับ”

                ผมแอบขำเบาๆ กับสีหน้าที่ดูเหมือนเด็กกำลังน้อยใจของมัน

                “ก็เออดิ ขืนมึงได้ไปต่อ มีหวังได้ทำกองประกวดของมหา’ลัยเขาวุ่นวายกันพอดี”

                “ผมดูเป็นคนวุ่นวายขนาดนั้นเลยหรือไงกัน”

                ผมมองดูคนที่ละสายตาไปมองวิวด้านล่าง ชักสีหน้าบึ้งตึงใส่ผมอีกแหนะ มันคงไม่รู้หรอกครับ ว่าไอ้การทำหน้าตาเหมือนเด็กเล็กโคตรจะขัดกับหน้าของมันจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้เลย แถมยังดูน่าแกล้งเข้าไปอีก

                “หัวเราะอะไรของพี่เนี่ย”

                มันหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ผมจะหยุดหัวเราะและยิ้มกริ่มอย่างนึกอะไรขึ้นได้

                “มึงจะคิดมากทำไมกับเรื่องพวกนี้วะ...”

                ผมเหลือบไปมองไอ้โฟโต้ที่ยังคงมึนงงกับสิ่งที่ผมกำลังพูดออกไป ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจเข้าลึก แสร้งมองไปข้างหน้าและพูดต่อ

                “...อันที่จริง ตำแหน่งรองเดือนคณะมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก” ก่อนที่ผมจะหันไปสบตากับมันที่รอคอยประโยคถัดไปจากผม

                “เพราะอย่างน้อยมึงก็จะได้เป็นรองเดือนคณะคู่กับกูไง”

                มันยิ้มแก้มปริทันทีที่ผมพูดจบ ขณะที่ผมแกล้งหันไปมองทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย

                “พี่ฮ่องเต้...” ไอ้โฟโต้เรียกผมเสียงดุ

                “อะไร?”

                “...หยุดทำตัวน่ารักสักพักเถอะครับ ผมจะคลั่งตายอยู่แล้วนะ”

                ผมย่นจมูกใส่มันอย่างหมั่นไส้ ก่อนที่มันจะเอาแต่จ้องมาที่หัวของผมเหมือนกับว่ามีอะไรผิดปกติ จนผมอดหันไปมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่ามีอะไรอย่างเสียไม่ได้

                “มีอะไรติดอยู่ที่ผมของพี่ไม่รู้ เดี๋ยวผมเอาออกให้นะครับ”

                พูดจบมันก็เอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างออกจากผมด้านข้างของผม ก่อนที่มันจะชักมือกลับมา ผมมองตามกำปั้นของมันแบบงงๆ

                “อะไรติดผมกูวะ”

                มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะตอบ “ความรักครับ”

                “...”

                “พอดีความรักของผมมันติดผมพี่ ผมเลยช่วยเอาออกให้”

                “กวนตีน”

                มันหัวเราะออกมาเบาๆ “พี่ไม่เชื่อผมเหรอ”

                “ไม่...” ผมตอบก่อนจะหมุนตัวกะจะเดินหนีมุกเอือมๆ ของมัน ทว่าไอ้โฟโต้กลับเอามือมารั้งแขนผมไว้ให้หันกลับมา

                “เดี๋ยวก่อนสิครับ ถ้าพี่ไม่เชื่อเนี่ย ผมพิสูจน์ให้พี่ดูก็ได้นะครับ ว่าไอ้ที่ติดอยู่ที่ผมพี่เนี่ย มันคือความรักของผมจริงๆ หรือเปล่า”

                ผมชะงักอย่างช่างใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยืนกอดอกมองหน้าอย่างท้าทาย

                เอาสิครับ จะเล่นอะไรอีก เอาเล้ย เอาให้เต็มที่!

                “ไหน พิสูจน์มาดิ”

                มันมองผมด้วยสีหน้าพอใจสุดๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปที่หลังหูของผมอีกครั้ง ผมมองตามการกระทำนั้นอย่างไม่คิดอะไร จนกระทั่งมันดึงมือกลับมาพร้อมกับกำมือขึ้นมาตรงหน้าของผม

                “นี่ไงครับ ความรักของผม”

                ก่อนที่มันจะขยับมือและปล่อยให้สร้อยเส้นหนึ่งทิ้งตัวลงมาตรงหน้าผม มันเป็นสร้อยตัวอักษรย่อธรรมดานี่แหละครับ แต่มันกลับทำให้ใจของผมเต้นไม่หยุด ผมได้แต่มองหน้ามันสลับกับสร้อยเส้นนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก

                “อะ...อะไร”

                “ของขวัญชิ้นแรกสำหรับพี่ ในฐานะแฟนยังไงล่ะครับ” ก่อนที่มันจะเดินอ้อมไปข้างหลังและสวมสร้อยเส้นนั้นให้ผมอย่างเบามือ

                “ผมไม่รู้ว่าพี่จะชอบมันไหม แต่ผมก็ตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อพี่...มันมีแค่เส้นเดียวบนโลก”

                ไอ้โฟโต้เดินกลับมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง มันมองสร้อยเส้นนั้นก่อนที่จะเลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้าผมที่ยิ้มแล้วยิ้มอีก ก็มันอดยิ้มไม่ได้จริงๆ นี่ครับ

                “มึงแย่งแผนเซอร์ไพรส์กูไปหมดแล้ว รู้ตัวไหม” ผมว่าอย่างขำๆ ก่อนจะล้วงกล่องในกระเป๋ากางเกงออกมาและหันไปสบตากับคนตรงหน้า

                “ไหนๆ มึงก็เซอร์ไพรส์กูมาเยอะแล้ว กูให้มึงตรงๆ เลยก็แล้วกันเนอะ”

                ผมยื่นกล่องเล็กให้ไอ้โฟโต้ มันมองผมด้วยความตื่นเต้นก่อนจะรับกล่องนั้นไปถือไว้

                “เปิดดูดิ” ผมบอก

                “อะไรครับเนี่ย พี่กำลังทำให้ผมตื่นเต้นนะ”

                ผมมองมันที่ค่อยๆ เปิดกล่อง ก่อนที่มันจะทำตาโตเมื่อเห็นของในนั้น มันเป็นที่คั่นหนังสือที่ทำจากเหล็กพร้อมกับที่ห้อยเล็กๆ เป็นรูปการ์ตูนผู้ชายสองคนและตัวอักษรย่อของผมกับมัน

                “ตอนแรกกูกะจะให้เป็นของขวัญวันเปิดสายรหัส แต่พอดีกูเพิ่งได้ของ เลยเอามาให้วันนี้แทน”

                ไอ้โฟโต้ยิ้มดีใจได้แค่นิดเดียว มันก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาให้ผมแทน

                “หมายความว่าพี่ก็ให้ที่คั่นหนังสือกับไอ้นัทด้วยสิครับ”

                ผมมองหน้ามันอย่างเหลืออด อะไรๆ ก็น้อยใจไอ้นัทไปเสียหมด มันนี่จริงๆ เลย

                “ใช่...” ผมตอบไปตามความจริง ก่อนที่จะมองหน้ามันแบบเขินๆ “...แต่ที่ห้อยของไอ้นัท มีแค่มันคนเดียวนะ”

                ไอ้โฟโต้เงยหน้าขึ้นมามองผมแทบจะทันที “แสดงว่าพี่เลือกผมตั้งแต่แรก”

                “ที่เป็นอยู่นี่ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือไง”

                “พี่เต้...”

                “อะไรอีก!?” เรียกกูอยู่นั่นแหละเฮ้ย

                “...น่ารักกับผมอีกแล้วนะครับ” มันเว้นจังหวะก่อนจะเดินเข้ามาเบียดผม...ทำบ้าอะไรวะเนี่ย “...ถ้าผมอดใจไม่ไหวแล้วทำอะไรพี่ตรงนี้ พี่จะมาโวยวายทีหลังไม่ได้แล้วนะครับ”

                และมันก็ดันผมจนหลังชิดขอบกำแพง (ไอ้ที่กั้นไม่ให้ผมร่วงลงไปจากดาดฟ้าลั่นและครับ) ผมเผลอมองลงไปข้างล่างอย่างนึกกลัว ก่อนที่จะสะดุ้ง เมื่อไอ้โฟโต้มันทะลึ่งเอามือมาคว้าเอวผมไว้และดึงตัวผมให้เข้าไปชิดกับตัวมัน ทำให้หน้าของเราตอนนี้อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

                มันยิ้ม ขณะที่ผมใจกระตุกวูบ...

                สายตาของมันมองสำรวจใบหน้าของผมตั้งแต่หน้าผากจนกระทั่งริมฝีปากของผม ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบก่อนที่มันจะค่อยๆ จรดริมฝีปากทาบทับลงมาจูบผมอย่างแผ่วเบา มันขยับริมฝีปากไปเรื่อยๆ และร้อนแรงขึ้นราวกับต้องการแสดงให้ผมเห็นถึงความต้องการของมันที่เอ่อล้น ผมเองก็ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเช่นนั้น ก่อนที่ผมจะขยับรับรสจูบจากคนตรงหน้า ทว่า...

                เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นทำให้เราต้องผละออกจากกันด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองไอ้สีฝุ่นที่เป็นตัวการในการสร้างความอับอายให้กับผม พร้อมกับสายตาอีกหลายคู่ที่มองมาทางผมสองคนอย่างล้อเลียน

                พวกแม่งนี่...ขัดจังหวะผมดีแท้ อย่าให้ถึงตาพวกมันบ้างนะ ผมสาบานได้เลยว่าจะเข้าไปขัดจังหวะพวกมันยันบนเตียงเลยเหอะ

                “สวีทกันไม่เกรงใจพวกกูแบบนี้ พรุ่งนี้พวกมึงไปตรวจสุขภาพด้วยนะเว้ย” ไอ้นิวยังคงเป็นตัวตั้งตัวตีในการแซวผมไม่หยุดไม่หย่อน ก่อนจะพ่วงมาด้วยสีฝุ่นที่กลายเป็นน้องรักไอ้นิวมาแต่ไหนแต่ไร

                “ทำไมอ่ะ เฮียนิว”

                “ก็เผื่อเบาหวานจะขึ้นตา มองไม่เห็นอะไร จนนึกว่าพวกมันอยู่บนโลกกันแค่สองคนไง”

                และเสียงโห่แซวก็ดังตามมาอีกเพียบ

                “ผมว่าเราอย่าไปขัดจังหวะเขาสองคนเลยครับ เดี๋ยวขาดความหวานต่อเนื่องพอดี”

                 เป็นครั้งแรกที่ได้ยินน้องกาฟิวด์พูดอะไรทำนองนี้กับเขา แต่มันกลับไปเข้าทางไอ้สีฝุ่นเข้าเสียอย่างนั้น

                “นั่นสิครับ เราอย่าไปขัดจังหวะเขาเลยเนอะ พี่ว่า...เราไปหาจังหวะของเราเองดีกว่า” พูดจบไอ้สีฝุ่นก็หันไปคว้าแขนน้องกาฟิวด์ทันที แถมยังออกแรงลากพาน้องเขาไปโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเจ้าตัวเขาเลยแม้แต่น้อย

                ขณะที่พวกผมได้แต่มองตามพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ก่อนที่ไอ้นิวจะหันหน้ามามองผมและยิ้มกริ่ม

                “ไงมึง จะสวีทกันต่อป่ะ กูจะได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก”

                ดูมันพูดเข้า แถมยังทำหน้าท้าทายผมอีกต่างหาก เดี๋ยวเหอะ ไอ้นี่หนิ...

                “พอได้แล้วไหม” ผมอดหันไปค้อนใส่มันไม่ได้

                “เออๆ ไม่ขัดความสุขมึงก็ได้วะ เอาเป็นว่าอย่าสวีทกันจนตื่นสายนะเว้ย อย่าลืมว่าพรุ่งนี้มีเรียน” พูดเสร็จก็รีบทิ้งเพื่อนอย่างผมไว้กับแฟนหมาดๆ อย่างไอ้โฟโต้ทันที

                ดีครับ คิดจะไปก็ไปกันแบบนี้เลย

                ตอนนี้ เลยกลายเป็นว่า เหลือแค่ผมกับไอ้โฟโต้กันสองคน ไม่สิ ยังเหลือพี่กราฟฟิกอีกคนหนึ่งครับ

                “พี่เตรียมห้องไว้ให้แล้วนะ ไหนๆ ก็เป็นแฟนกันแล้ว นอนด้วยกันคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”

                พี่กราฟฟิกทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินจากไป สงสัยพี่คงยังไม่รู้ว่าน้องชายของพี่มันบังคับผมนอนที่ห้องมันสินะ

                แต่เดี๋ยว...เตรียมห้อง? นอนด้วยกัน?

                “นี่กูต้องนอนที่นี่? กับมึง?”

                แบบที่ไม่บอกกูล่วงหน้าเลยด้วย

                “ใช่ครับ...”

                ยังมีหน้ามายิ้มอีก

                “แต่กูไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะ แล้วอีกอย่างทำไมกูต้องนอนกับมึงด้วย”

                ผมเริ่มโวยวายที่มันทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวผมก่อนเลยสักนิด ไม่ถงไม่ถามสภาพจิตใจของผมเลยสักคำ ก็ตอนนี้ ดูเหมือนผมจะใจอ่อนง่ายๆ กับมันไปเสียหมดนี่ครับ ขืนมัน...เกิดขอ...อะไร...

                ผมจะทนใจร้ายกับมันได้นานแค่ไหนกัน!

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมเตรียมทุกอย่างไว้ให้พี่หมดแล้ว” มันเว้นจังหวะแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “หรือว่าพี่ไม่อยากนอนกับผมเหรอครับ”

                มันมาแล้วครับ ไอ้สายตาแบบนี้...เหมือนจะอ้อน แต่ก็เจ้าเล่ห์

                “ใครจะไปอยากนอนกับมึง”

                “แต่พี่ก็นอนมาแล้วนี่ครับ”

                “นั่นมึงบังคับกูไหมล่ะ”

                “งั้นครั้งนี้ผมก็บังคับพี่”

                “เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่...” จะด่าอะไรไปก็ด่าไม่ลงเสียอย่างนั้น ยิ่งเห็นหน้ามันที่กำลังพยายามออดอ้อนผมด้วยแล้ว ยิ่งพาลให้ผมพูดอะไรไม่ออกเลยครับ

                “ไม่ต้องเขินหรอกน่า” มันว่าก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองผมด้วยแววตาจริงจัง “ผมไม่ทำอะไรพี่หรอกครับ ถ้าพี่ไม่เต็มใจ”

                ผมมองหน้ามันอย่างชั่งใจ จะเชื่อได้ไหมครับ กับคำพูดของไอ้คนเจ้าเล่ห์ที่อยู่ตรงหน้าผม อันที่จริง ผมไม่ไว้ใจตัวเองมากกว่าครับ กลัวว่าจะใจอ่อนยอมตามใจมันง่ายๆ

                “เออ ถ้ามึงไม่ทำตามที่พูด กูถีบมึงแน่”

                คำพูดของผมทำให้ไอ้โฟโต้หัวเราะออกมาอย่างนึกขำก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาจับมือผม

                “ไปกันเถอะครับ”

                และผมก็ได้แต่ปล่อยให้เด็กปีหนึ่งอย่างไอ้โฟโต้ฉุดผมให้ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน มือของมันส่งผ่านความอบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจของผม มันกระชับมือผมแน่นเพื่อพิสูจน์ว่ามันจะไม่มีทางปล่อยมือจากผมไปอย่างแน่นอนและเพราะผมเองก็เชื่อแบบนั้น ผมจึงกระชับมือของตัวเองและก้าวไปข้างหน้าอย่างด้วยความมั่นใจ

                จนกระทั่ง ถึงประตูทางออกของดาดฟ้า โฟโต้หันมามองผมพร้อมกับรอยยิ้มของมัน ก่อนจะหันไปเปิดประตูและพาผมออกไปจากความทรงจำอันสวยงาม ณ สถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าผมจะเจออะไร สายใยแห่งความทรงจำจะนำพาให้ผมผ่านพ้นทุกเรื่องราวไปพร้อมกับคนที่รักผมมากที่สุด

                ผมมีความสุขและอยากจะขอบคุณมันด้วยใจจริง ที่มันตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตของผม โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

                นับจากนี้และตลอดไป เพียงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด คือผู้ชายที่ชื่อ... โฟโต้ รหัส 178 

               

 

 

 

 
SS2 Coming Soon

จบแล้ว จบแล้วอ่าาาา
ใจหายเหมือนกันนะ ขอบอกเลย แต่อย่าลืมติดตาม SS2 กันด้วยนะ ตอนนี้ขอพักหายใจหายคอให้ทั่วท้องก่อนนน ฮ่าๆ
ขอบคุ๊นักอ่านที่คอยติดตาม ช่วยอุดหนุนและให้กำลังใจกันมาตั้งแต่ตอนแรกนะคะ เรื่งนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนมาได้ขนาดนี้ (หลังจากที่ผ่านมาคือไม่เคยถึงสิบตอน ฮ่าๆ ) เอาไว้ไปเม้ามอยกันในทวิตเตอร์กันได้น้า และจะกลับมาพร้อมกับเรื่องใหม่ จะเป็นเรื่องอะไร รอติดตามกันได้เลยจ้าาาา

ออฟไลน์ Fengfang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ในที่สุดก็สมหวังนะโฟโต้  :man1: ขอบคุณไรท์ที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านงับ

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด