Chapter One
At the beginning.ดวงตาเรียวรีกวาดอ่านอักษรทุกตัวบนหน้ากระดาษอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อพบว่าไม่มีตรงไหนติดขัดจึงวางนิ้วมือลงบนแท่นหมึกสีน้ำเงิน ประทับรอยนิ้วมือลงในตำแหน่งชื่อตัวเองจากนั้นจึงส่งให้ผู้จัดการส่วนตัวทำต่อกัน เมื่อเอกสารถูกส่งกลับให้ฝ่ายนั้นก็เป็นอันว่าสัญญาฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์
“ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้ค่ะ” คนพูดยกมือขึ้นไหว้หลังจากเก็บเอกสารลงในกระเป๋านิรภัยแล้วเรียบร้อย
“อย่างที่เราแจ้งไปว่าจะต้องมีการทความคุ้นเคยกันก่อนทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นการละลายพฤติกรรมและถือเป็นการประเมินความพอใจของลูกค้าก่อนเริ่มงาน...ขอเชิญคุณภาวิดาที่ห้องรับรองสักหนึ่งชั่วโมงนะคะ”
ผู้จัดการหญิงวัยทำงานเหลือบมองคนในความดูแลของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
“หวังว่าลูกค้าของเราจะพึงพอใจ สวัสดีค่ะ”
พูดจบก็หยัดกายลุกขึ้นพร้อมกระเป๋าเอกสารในมือ ตามด้วยภาวิดาที่ต้องเดินออกไปด้วยกัน กระทั่งประตูห้องชุดสุดหรูปิดลง ทิ้งให้คนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองหน้ากันเงียบๆ หากแต่ไม่นานนักคนตัวเล็กกว่าก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งให้
“ขออนุญาตครับ”
สิ้นเสียงคำขออนุญาตอีกคนก็เดินมาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน
ปารินทร์จ้องมองทุกการกระทำนั้นด้วยความอยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรและทำอย่างไร
แล้วสิ่งที่อยากรู้ก็เริ่มได้คำตอบ กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกไปหนึ่งเม็ดอย่างนุ่มนวล ใบหน้าเล็กโน้มและเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนที่ริมฝีปากบางได้รูปจะประทับลงบนผิวเนื้อตรงต้นคอแผ่วเบาคล้ายกับขออนุญาตอีกครั้ง และเมื่อไม่มีคำกล่าวว่า แรงจูบซับจึงเพิ่มมากขึ้น
ปารินทร์ไม่ได้ตกใจกับการรุกรานนั้น ชายหนุ่มไม่ได้ไก่อ่อนขนาดที่จะต้องตื่นเต้น มันมีเพียงความอยากรู้ระคนสงสัย
อยากรู้ว่าภายใต้ท่าทางเรียบนิ่งที่เขาถูกใจตั้งแต่วินาทีแรกนี้จะมีอะไรซ่อนอยู่...
สัมผัสซึ่งแต่งแต้มไปตามลำคอค่อยเป็นค่อยไป ความใกล้ชิดนำพากลิ่นหอมอ่อนของบางอย่างซึ่งมาจากตัวของอีกฝ่ายเข้าจมูก ผู้ชายวัย 22 ปีที่อยู่ในช่วงพลุ่งพล่านถูกกระตุ้นได้ไม่ยาก เพียงเท่านี้ร่างกายของปินก็เริ่มมีปฏิกิริยา ลมหายใจร้อนขึ้นกว่าที่เป็น
“จูบหรือเปล่าครับ”
ริมฝีปากนุ่มอุ่นผละออกมาถาม คนที่กำลังถูกทำลายสติสัมปชัญญะอย่างช้าๆ จึงขมวดคิ้วเพราะไม่ค่อยเข้าใจนัก
“...”
“เราไม่มีสิทธิ์จูบหากลูกค้าไม่อนุญาต” ปารินทร์ถึงบางอ้อ
ทำงานละเอียดกันจริงๆ
“จูบสิครับ ผมอนุญาต” คำตอบที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งเป็นสัญลักษณ์การค้าของนักร้องคนดังทำเอาคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอดถึงกับหายใจผิดจังหวะ แม้จะเพียงเสี้ยวเดียวที่อีกคนไม่มีทางสังเกตเห็นแต่
ฝุ่นก็รู้ตัวเองดีว่ากำลังถูกความอ่อนโยนของ ปิน ปารินทร์ เล่นงาน
แต่ไม่ว่าอย่างไรความสั่นไหวเล็กๆ ก็ต้องถูกสลัดทิ้งไป ริมฝีปากบางทำหน้าที่ต่อด้วยการเคลื่อนเข้าไปใกล้ ยามมันแนบสนิทเข้าหาส่วนเดียวกันจูบแรกระหว่างคนทั้งสองจึงเริ่มขึ้น
ปารินทร์ปล่อยให้ปลายลิ้นเล็กเป็นฝ่ายรุกเร้า ฝุ่นทำได้ดีตามที่ถูกเทรนมา จูบนี้จึงหวานละมุนและเจือความร้อนแรงเอาไว้ได้อย่างลงตัว
“อยากให้ผมอ่อนโยนหรือรุนแรงขึ้นกว่านี้” ฝุ่นผละออกมาถามอีกครั้งเพื่อให้สัมผัสนี้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด
คำถามที่ทำให้ปินยกยิ้ม คล้ายกับมีความขันเจืออยู่
ไม่ให้ขันได้อย่างไร ดูคำถามที่แสนล่อแหลมนั่นสิ...แบบนั้นเขาควรจะเป็นฝ่ายถามมากกว่า
“แล้วคุณชอบแบบไหนครับ” คนถูกถามถามกลับอย่างขี้เล่น คราวนี้อีกคนถึงกับนิ่งไปก่อนจะตอบออกมาแผ่วเบา
“...แล้วแต่สถานการณ์ครับ”
“กับสถานการณ์ตอนนี้ล่ะ?”
“ผมชอบแบบที่จูบไปเมื่อกี้”
สัมผัสเมื่อครู่มันไม่ได้เป็นไปโดยไม่คิดอะไร ทุกการแตะต้องเป็นไปด้วยความใส่ใจในปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
“งั้นผมก็ชอบแบบนั้น” ฝุ่นพยักหน้ารับราวกับจะจดจำเอาไว้ว่าปารินทร์ชอบให้สัมผัสแบบไหน “ว่าแต่...”
“ครับ?”
“เราจะทำความคุ้นเคยกันไปถึงขั้นไหนดีครับ” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือตาฝาด ฝุ่นรู้สึกเหมือนความขี้เล่นนั้นเป็นเพียงสิ่งบดบังหมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวข้างใน ชั่ววินาทีหนึ่งเหมือนกับดวงตาคมจะเป็นประกายขึ้นมา
“ผมมีเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงอยู่นะ”
“...”
“บางทีเราอาจจะมากกว่าแค่คุ้นเคยกัน”
คราวนี้ความไม่แน่ใจแปรเปลี่ยนเป็นแน่ชัด หมาป่าที่พรางตัวอยู่ตลอดปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า
“ความจริงแล้ววันนี้เราจะทำความคุ้นเคยกันแค่ปากกับมือ...แต่ถ้าคุณอยากทำมากกว่านั้นคาดว่าคุณภาวิดาจะรอนานมากนะครับ”
“ทำไมถึงนานมากล่ะ”
“เราจะไม่รีบร้อนในครั้งแรกเพื่อให้ลูกค้าได้รับสัมผัสที่ดีที่สุด”
คนฟังถึงกับหลุดยิ้มกับคำตอบที่ได้รับ ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าที่นี่จะใส่ใจรายละเอียดในทุกขั้นตอนขนาดนี้
แต่ก็อย่างว่า เงินมหาศาลก็ย่อมต้องได้การบริการที่ยอดเยี่ยม
“งั้นก็ทำความคุ้นเคยกันเท่าที่ตั้งใจไว้ตอนแรกก็ได้ครับ ไว้อีกสามวันที่ผมจะย้ายเข้ามาที่นี่ค่อยทำมากกว่านี้”
“...”
“ผมเผื่อเวลาไว้ทั้งคืนอยู่แล้ว”
ขนอ่อนในกายคนฟังลุกชันขึ้นมาอย่างน่าประหลาดทั้งที่ปินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องของอีกสามวันคงต้องเอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมต้องทำต่อแล้วครับ” เพราะกลัวว่าเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงจะไม่ทันการจึงเอ่ยบอกอีกฝ่ายออกไป
“เชิญครับ”
เห็นความจริงจังบนใบหน้านั้นแล้วปินจึงต้องกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้สุดความสามารถ อารมณ์วูบไหวที่มอดดับไปเพราะความขบขันกำลังจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง...
At the moment.“อืม...ดี” คำชื่นชมนั้นทำให้ส่วนล่างที่กำลังทำงานขยับเร็วขึ้น จังหวะที่แตกต่างจากเดิมส่งผลให้ปารินทร์กัดฟันกรอด แหงนเงยใบหน้าไปด้านหลัง เปล่งเสียงครางต่ำด้วยความถูกใจ
เมื่อความต้องการพุ่งสูงขึ้นจนใกล้จะแตะจุดสูงสุดคนด้านบนก็ถูกจับพลิกให้เป็นฝ่ายนอนลง ส่วนที่หลุดออกจากกันสอดแทรกเข้ามาอีกครั้ง โดยที่ขาเรียวก็ขยับเปิดทาง อีกทั้งสะโพกบางยังตอบรับแรงส่งอย่างลื่นไหล
ไม่ให้เสียชื่อคนที่ได้คะแนนระดับท็อปในบททดสอบการใช้สะโพก...
การตอกตรึงรุนแรงต่อเนื่องไปอีกเพียงไม่กี่นาทีร่างกายสูงใหญ่ก็เกร็งขนัด ช่องทางแคบตอดรัดถี่รัวบ่งบอกว่าคนใต้ร่างกำลังรู้สึกไม่ต่าง เสียงครวญครางของคนทั้งสองดังผสมคลอเคลียกับเสียงการเสียดสีอันรุนแรง
ไม่นานนักสะโพกสอบก็กระตุก ปลดปล่อยความต้องการทั้งหมดให้ออกมาคั่งค้างอยู่ส่วนปลายของเครื่องป้องกัน ขณะที่หน้าท้องบางก็เปรอะเลอะด้วยความต้องการของเจ้าตัว
“ลุกออกไปได้แล้ว”
ฝุ่นจำเป็นต้องพูดขึ้นเพราะส่วนที่ยังเชื่อมต่อกันถูกขยับเข้าออกเบาๆ ไม่หยุด แม้การสุขสมจะผ่านพ้นไปหลายนาที หากเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่พ้นว่าคงมีรอบที่สามเกิดขึ้น
“ก็ฝุ่นไม่ยอมหยุดรัด จะออกได้ยังไง”
คนด้านบนตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ประโยคแสนทะลึ่งอาจทำให้คนอื่นอายได้บ้างแต่ฝุ่นที่ชินกับนิสัยของอีกฝ่ายแล้วจึงรู้สึกปกติ
ต่อหน้าคนอื่นนักร้องที่มาแรงที่สุดในยุดนี้อาจดูขี้เล่นและสุภาพ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วคนสุภาพกลับไม่เป็นอย่างนั้นนัก
“ไม่รัดแล้ว ออกไปได้แล้ว”
คนที่ถูกฝึกแม้กระทั่งจังหวะบีบรัดของช่องทางตัวเองเอ่ยบอกพร้อมกับส่วนนั้นที่คลายตัวลง ไม่รั้งปารินทร์เอาไว้อีกต่อไป
“เสียดายจัง จะรัดอีกแน่นๆ ก็ไม่ว่าหรอก”
ไหนล่ะคนสุภาพของแฟนคลับทั้งประเทศ ดูคำพูดคำจา
ฝุ่นถอนหายใจพลางส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะขยับไปหยิบทิชชู่มาเช็ดคราบเลอะอันมากมายบนร่างกาย กระทั่งเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมาทิ้งหลังพิงกับพนักเตียง โน้มตัวไปคว้าผ้าห่มผืนใหญ่บนพื้นมาคลุมตัวเองเอาไว้บางส่วน
“ถอดให้หน่อย”
คนพูดขยับเข้ามาหาในท่าคุกเข่า ฝุ่นปรายตามองสิ่งที่ปินหมายถึง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปดึงมันออกให้แล้วทิ้งลงถังขยะข้างเตียงโดยไม่อิดออด ทั้งยังดึงทิชชู่มาเช็ดส่วนนั้นให้แผ่วเบา
การดูแลปารินทร์มันเป็นหน้าที่ของเขา ต่อให้เจ้าตัวจะบอกว่าให้ใช้ปากทำความสะอาดให้ก็ต้องทำ
อืม ก็ใช่ว่าจะไม่เคย
“เสร็จเองได้แต่ถอดเองไม่ได้ มือเป็นอะไร” บ่นออกไปทั้งที่ก็ทำให้ทุกครั้ง
“ก็ไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากให้ฝุ่นถอดให้” ปารินทร์ยิ้ม แต่ฝุ่นส่ายหน้า
“จะแช่ตัวหรือเปล่า จะได้ไปเตรียมน้ำให้”
“เดี๋ยวผมอาบฝักบัวดีกว่า”
“งั้นก็รีบไปอาบ พรุ่งนี้มีงานตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ”
“อาบด้วยกันไหม” ยังไม่วายเอ่ยถามกันด้วยสายตาวิบวับ
“มีเวลาก็ควรจะพัก” ฝุ่นเพียงแค่ให้คำแนะนำเพราะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใดๆ
หน้าที่ของตัวเองคือคอยดูแลอีกคนในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่หรือตอนไหน หากปารินทร์ต้องการก็ต้องพร้อมเสมอ
“รู้แล้วครับ จะไปอาบน้ำแล้วก็รีบนอนเดี๋ยวนี้เลย”
ตอบรับแบบกวนอารมณ์แล้วก็กดจูบลงมาบนปากเร็วๆ ก่อนจะก้าวลงจากเตียงไปทางห้องน้ำทั้งอย่างนั้น
ฝุ่นโคลงหัวด้วยความอ่อนใจ ตลอดสองปีที่ดูแลปินมาซูเปอร์สตาร์ของใครหลายคนก็ทำเรื่องน่าปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเพราะอายุเพียง 24 ปี จึงมีความซนเจืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าเป็นคนที่ใจดีไม่น้อย
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อยู่สุขสบายทั้งกายและใจแบบนี้...
ระหว่างที่รอปินอาบน้ำเตียงนอนแสนยับย่นก็ถูกจัดการด้วยการเปลี่ยนผ้าปูผืนใหม่ ขยะในถังเล็กถูกมัดปากเรียบร้อย กายเปลือยเปล่าก็ถูกชุดคลุมอาบน้ำปกปิดให้มิดชิด ส่วนชุดนอนของปินนั้นไม่ต้องเตรียมให้เพราะอีกฝ่ายจะสวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวนอน
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เป่าผมให้แห้ง”
ฝุ่นดุเล็กน้อยเมื่อร่างสูงที่ส่วนบนเปิดเปลือยเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่หัวยังเปียกชื้น
“ขี้เกียจ”
“เดี๋ยวก็ได้ป่วย แล้วจะยุ่งไปกันใหญ่”
สุดท้ายคนมีหน้าที่ต้องดูแลจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งผ่านเข้าไปยังห้องแต่งตัว หยิบผ้าผืนเล็กที่ถูกผับไว้ในตู้ติดมือออกมา
“นั่งลงตรงนี้”
ปารินทร์ทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียงตามคำบอก ก่อนฝุ่นจะก้าวขึ้นบนเตียงแล้วขยับไปทางด้านหลัง ต่อมาผ้าผืนเล็กก็ทำหน้าที่ซับความเปียกชื้นออกจากเส้นผม
“อย่าดุนักสิ” อีกคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย้าแหย่
“ไม่ให้ดุยังไง ดื้อขนาดนี้”
“ฝุ่นพูดเหมือนผมเป็นเด็ก”
“ก็เด็กไหมล่ะ”
“เด็กกว่าแค่อายุ ที่เหลือโตกว่าหมดโดยเฉพาะ...” คำสุดท้ายถูกทิ้งช่วงไปนานชวนให้คนฟังคิดลึก
“โดยเฉพาะอะไร”
“ร่างกายไง ฝุ่นตัวนิดเดียว”
ฝุ่นรู้ดีว่าจริงๆ แล้วอีกคนไม่ได้หมายถึงร่างกายหรอก แต่ไม่พูดออกมาย่อมดีแล้ว
เพียงห้านาทีผมที่เปียกชื้นก่อนหน้าก็แห้งหมาด ผ้าเช็ดหัวจึงถูกนำไปเก็บพร้อมทั้งที่ฝุ่นพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำให้เรียบร้อย
“บอกให้นอน ทำไมยังเล่นโทรศัพท์อยู่อีก” ออกจากห้องน้ำมาคิดว่าปินจะหลับไปแล้ว ที่ไหนได้ยังนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่ยอมนอน
“ผมก็ดูข่าวบ้างอะไรบ้าง ทำแต่งานจนแทบจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแล้ว”
ตารางงานแน่นเอี๊ยดยิ่งกว่าผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่บนรถเมล์ เวลานอนยังแทบไม่มี เวลาเล่นโทรศัพท์นั้นจึงไม่ต้องพูดถึง แค่วันนี้ได้กลับมาพักตอนสี่ทุ่มแล้วพรุ่งนี้ไม่มีงานเช้าก็ถือว่าดีมากโข
“ยังไงก็ควรจะรีบนอน เดือนนี้ได้พักแค่วันนี้วันเดียวนะ”
“เฮ้อ เหนื่อยจัง”
ปินทิ้งหัวลงบนตักของคนที่ทรุดตัวนั่งลงบนเตียง เสียงถอนหายใจดังยาวเสียใจฝุ่นไม่กล้าว่าอะไรกับการกระทำนี้
แค่เห็นเขายังเหนื่อยแทน
“อดทนหน่อย เดือนหน้าก็ได้พักมากขึ้นแล้ว”
“ได้พักตั้งสองวันติดแหนะ” แค่ว่างตลอดหนึ่งวันก็ถือว่ามากแล้ว
“ก่อนจะถึงวันนั้นวันนี้ต้องนอนก่อน”
โทรศัพท์บนมือใหญ่ที่วางอยู่กับอกถูกหยิบออกไปวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง หัวของปินถูกช้อนขึ้นโดยมือเล็ก ชายหนุ่มจึงได้แต่ขยับไปนอนดีๆ
“นอนก็ได้”
ฝุ่นเอื้อมมือไปปิดไฟบนหัวเตียงให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด จากนั้นจึงกลับมาบนเตียงอีกครั้ง กระชับผ้าห่มผืนของตัวเองเข้าหาตัว
“ฝุ่น”
“หืม”
“ฝันดีนะ”
“ฝันดี”
--
‘นิตยสารที่ปินขึ้นปกขายหมดเกลี้ยงแผงเลย รู้สึกยังไงบ้าง?’
‘ดีใจครับ ดีใจมากๆ ก็ต้องขอบคุณทุกคนเลยที่ติดตามและให้การสนับสนุนกันดีขนาดนี้ ทีมงานและผมตั้งใจกับงานชิ้นนี้มาก’
‘แล้วเมื่อไหร่จะใจอ่อนรับงานละครสักที?’
‘อันนี้คงอีกสักพักเลยครับ ยังอยากโฟกัสที่งานเพลงให้เต็มที่ เมื่อไหร่ที่พร้อมหรือทุกอย่างลงตัวกว่านี้ถึงจะตัดสินใจอีกครั้ง’
‘แล้วจะได้ฟังซิงเกิ้ลใหม่เมื่อไหร่คะ’
‘ใกล้แล้วครับ อีกไม่นานเกินรอ ยังไงก็ฝากทุกๆ คนติดตามด้วยนะครับ’
คนที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ตั้งใจดูข่าวตรงหน้านี้ไม่น้อยก่อนภาพจะถูกตัดไปเป็นข่าวอื่นในเวลาต่อมา ฝุ่นไม่รู้ตัวว่าตัวเองถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ตุ๊กตาโลมาตัวนุ่มนิ่มบนตักถูกกอดกระชับแน่นขึ้น
ไม่อยากยอมรับหรอกว่าเหงา
เจ้าเด็กดื้อนั่นไม่ได้มาหาเกือบเดือนแล้ว...
หน้าที่ของฝุ่นก็เป็นอย่างนี้ เขาถูกฝึกฝนและคัดเลือกเพื่อให้ดูแลใครสักคนที่มีชื่อเสียงให้ต้องรักษา อาจเป็นดารานักร้อง นักการเมือง หรือนักธุรกิจ
ซึ่งใครคนนั้นสำหรับเขาก็คือนักร้องวัยรุ่นซูเปอร์สตาร์ระดับประเทศอย่าง ปิน ปารินทร์
การฝึกฝนนั้นมีทุกด้าน เริ่มตั้งแต่เรื่องบุคลิกภาพ การวางตัว งานบ้าน และอื่นๆ ไปกระทั่งถึงเรื่องบนเตียง โดยเรื่องสุดท้ายนี้เป็นการฝึกที่ละเอียดและเข้มงวดที่สุด คนที่ผ่านจะได้รับการการันตรีว่าเพียบพร้อมในทุกด้าน
โดยเฉพาะด้านการมอบความสุขทางกาย ทุกคนจะต้องเป็นงาน เชี่ยวชาญทั้งการใช้มือ ปาก และส่วนล่างเพื่อปรนเปรอความสุขให้อีกฝ่าย แต่ละพาร์ทก็จะแบ่งย่อยไปอีกเป็นหัวข้อ เช่น การใช้มือจะต้องเริ่มจากดูแลมือให้อ่อนนุ่ม ฝึกฝนเรื่องน้ำหนักมือและควบคุมจังหวะให้เหมาะสม เป็นต้น
ระยะเวลาฝึกอยู่ที่หนึ่งปีถ้วน ส่วนระยะเวลาการทำงานขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนจ้าง และทุกการฝึกจะใช้อุปกรณ์เทียมเท่านั้น นั่นหมายความว่าทุกคนไม่เพียงแค่เพียบพร้อมแต่ร่างกายจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยต้องมือใครอื่นแม้แต่ปลายก้อย
ถามว่าทำขนาดนี้แล้วได้อะไร...
ฝั่งเขาจะได้เงินตอบแทนมหาศาล ส่วนอีกฝั่งจะได้เรื่องความปลอดภัยอันสูงลิ่ว มั่นใจได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางรั่วไหล นักข่าวหรือคนอื่นไม่มีทางได้กลิ่น
จริงอยู่ที่ว่าจะมีอะไรกับคนทั่วๆ ไปก็ย่อมได้ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนพวกนั้นจะไม่ออกมาพูดหรือเก็บหลักฐานอะไรไว้เพื่อเอากลับมาแบล็คเมล์ทีหลัง
ความเสี่ยงจึงถูกแทนที่ด้วยอะไรที่มั่นคงกว่าหลายเท่า...
ช่องโทรทัศน์ถูกเปลี่ยนไปนานแล้วหลังจากที่ข่าวบันเทิงไม่มีข่าวของปิน เมื่อหันหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลากว่าห้าโมงเย็น ร่างเพรียวจึงกดปิดโทรทัศน์แล้วหยัดกายลุกขึ้นเดินไปทางห้องครัว
จริงๆ จะโทรสั่งจากข้างล้างก็ได้ เพียงแต่ฝุ่นรู้สึกเบื่อกับการไม่มีอะไรทำจึงเลือกที่จะทำมื้อเย็นด้วยตัวเอง
--
“นั่งหน้าบูดเป็นตูดลิงแบบนี้แฟนคลับมาเห็นคงดราม่าตาย”
ผู้จัดการส่วนตัวที่เพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวเอ่ยขึ้นให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับโทรศัพท์ละสายตาไปมอง
“ใครจะไปหน้าบูดใส่แฟนคลับกัน”
“ก็ไม่รู้สิ เห็นนั่งหน้าหงิกแบบนี้กลัวว่าจะเผลอไปทำต่อหน้าคนอื่น”
“ผมไม่ทำหรอกพี่ก็รู้”
“แล้วสรุปหงุดหงิดอะไร อุตสาห์ได้มีเวลาพักตั้งชั่วโมง”
“ผมโทรหาพี่แล้วเขาไม่รับ” เป็นอันรู้กันว่าพี่ที่ว่านั้นหมายถึงใคร
ปารินทร์ไม่มีมีพี่ มีเพียงน้องชาย และเพราะฝุ่นอายุมากกว่าสามปีจึงเรียกแทนอีกคนว่าพี่ยามคุยกับผู้จัดการส่วนตัวเพื่อไม่ให้ใครเอะใจ
“อาจจะนอนอยู่หรือเปล่า”
“ตอนห้าโมงเย็นเนี้ยนะ”
“ไม่ก็ปิดเสียงโทรศัพท์ไว้เลยไม่ได้ยิน” คนฟังถอนหายใจพลางเหลือบสายตามองหน้าจอที่ขึ้นว่ากำลังรอสาย จนมันตัดไปอีกครั้ง
“เก็บอาการหน่อย อย่าให้ใครสังเกตได้” เห็นท่าทางนี้แล้วภาวิดาก็อดเตือนไม่ได้
“ครับ” ปารินทร์รับคำโดยง่าย ลมหายใจแห่งความงุ่นง่านถูกสูดเข้าปอดลึกเพื่อดันให้มันกลับเข้าไป ก่อนเบื้องหน้าจะกลับมาเป็นปารินทร์ของทุกคนเช่นเดิม
“ดีแล้ว พักผ่อนต่อเถอะ ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะต้องถ่ายต่อ เดี๋ยวพี่จะเข้ามาตามอีกที”
“ครับ”
--
หน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบแล้วดับลงไปทำให้คนที่เพิ่งเดินออกจากห้องครัวชะงักกึก ฝุ่นขมวดคิ้ว หยิบเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะขึ้นมากดดู เมื่อเห็นการแจ้งเตือนว่าไม่ได้รับสายปินเกือบยี่สิบสายดวงตาก็เบิกกว้าง นิ้วเรียวรีบกดปลดล็อกหน้าจอจากนั้นจึงเข้าไปที่แอปพลิเคชั่นไลน์ ส่งสติกเกอร์กลับไปอย่างรวดเร็ว
ทำได้เพียงเท่านั้นเพราะไม่สามารถโทรหรือส่งข้อความที่ส่อให้รู้ถึงความสัมพันธ์ใดๆ ได้
ร่างเพรียวทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา สายตาจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ในมือนิ่งกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณสิบนาทีจึงวางมันลงพร้อมทั้งถอนหายใจแผ่วเบา
ปินคงไม่ว่างแล้ว...
--
00.18 น.ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์สั่นครืดคราดจากโต๊ะข้างหัวเตียงทำเอาคนที่เพิ่งหลับลงงัวเงียรู้สึกตัวตื่น มือเล็กเอื้อมไปคว้าอย่างสะเปะสะปะก่อนจะพยายามลืมตามองชื่อของคนที่โทรเข้ามา
พอเห็นว่าเป็นใครก็ขยับลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล” ฝุ่นรับสายด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้แหบพร่า ด้วยระยะเวลานานกับการไม่ได้อยู่ด้วยกันจึงก่อให้เกิดความตื่นเต้นและดีใจเล็กๆ ไม่ต่างจากทุกครั้งที่ปินโทรมา
(ผมโทรหาตอนเย็นทำไมไม่รับ) คนที่มักขี้เล่นอยู่เสมอคราวนี้กลับเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ปินทั้งเหนื่อยกับงานและหงุดหงิดที่ไม่ได้คุยกับอีกฝ่าย เกือบสัปดาห์แล้วที่ไม่ได้ติดต่อกัน พอมีเวลาว่างสักหนึ่งชั่วโมงเขาก็รีบยกโทรศัพท์ ทว่ากลับพบเพียงความผิดหวัง กระทั่งไม่ย่อท้อที่จะพยายามโทรหาฝุ่นอีกครั้งหลังจากเพิ่งเสร็จงานของวันนี้
“ตอนนั้นอยู่ในครัว ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์” ฝุ่นไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของตัวเองแผ่วลงกว่าเคย
(ผมโกรธดีไหม ฝุ่นก็รู้ว่าผมไม่มีเวลามากนักทำไมถึงไม่พกโทรศัพท์ติดตัวเอาไว้ตลอด ไม่ได้คุยกันเป็นอาทิตย์มันน่าหงุดหงิดรู้หรือเปล่า)
ปกติแล้วฝุ่นเป็นคนขี้รำคาญแม้จะเป็นคนที่มีความอดทนสูง การถูกพูดด้วยน้ำเสียงและประโยคแบบนี้ควรทำให้รู้สึกไม่พอใจ หากแต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ริมฝีปากถึงอมยิ้มน้อยๆ ในหัวคิดถึงสีหน้าของคนพูดออกได้อย่างชัดเจน
คงเหมือนโกลเด้นตัวใหญ่ที่กำลังหงุดหงิดเพราะไม่ได้กินข้าว
“อย่าโกรธสิ” คนที่พูดความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่เก่งเอ่ยได้เพียงเท่านั้นทั้งที่อยากพูดอะไรมากมาย
(จะไม่ให้ผมโกรธมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเปล่า)
คิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากัน มืออีกข้างยกขึ้นมาขยี้ตาน้อยๆ ท่าทางคล้ายเด็กเพิ่งตื่นนอน
น่าเสียดายที่ปินไม่ได้เห็นภาพนี้
“อยากได้อะไรล่ะ”
คำถามเข้าทางนั้นทำให้ปินยกยิ้ม ความเกรี้ยวกราดก่อนหน้าเบาบางลง แม้จะรู้สึกง่วงจนแทบสลบแต่ก็ยังถ่างตาคุย
(ใส่ชุดเหมียวให้ดูหน่อย)
“ไม่เอา” ตอบกลับทันควันยามในหัวเผลอนึกถึงภาพตัวเองอยู่ในชุดที่อีกฝ่ายบอก
ชุดเหมียวนั่นปินซื้อมาจากญี่ปุ่น แต่ฝุ่นอายเกินกว่าจะสวมใส่ มันจึงนอนอยู่ในซอกหลืบของตู้เสื้อผ้าเฉยๆ มาแล้วหลายเดือน
(หึ ผมล้อเล่นน่า)
“...”
(เหนื่อยจัง อยากมีฝุ่นมาคอยดูแล)
น้ำเสียงหยอกเย้าเลือนหายกลายเป็นเหนื่อยอ่อน เสียงถอนหายใจยาวบ่งบอกให้รู้ว่าหน้าที่ที่ปินแบกรับนั้นหนักไม่น้อย
“อีกไม่กี่วันก็ได้พักแล้ว” คนทางนี้ก็ทำได้เพียงปลอบประโลม
(เสร็จงานจะรีบกลับไปหาให้เร็วที่สุด)
ฝุ่นไม่ควรจะใจเต้นกับคำพูดที่ไม่ได้คิดอะไรจากอีกคน ทว่าหัวใจเจ้ากรรมกลับไม่เชื่อฟัง จังหวะที่เต้นอย่างราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นถี่ขึ้น ปลายนิ้วบีบบี้ผ้าห่มไปมา
แค่ปินพูดคล้ายกับอยากเจอก็เป็นแบบนี้แล้ว
“...อืม”
(เดี๋ยวผมต้องวางแล้วนะ พรุ่งนี้มีงานเช้า)
“...”
(ฝันดีครับ) ปินเตรียมดึงโทรศัพท์ออกจากหู จำต้องกดวางสายแม้ใจจะไม่อยากวางเลยสักนิด
“ปิน...” แต่แล้วเสียงเรียกแผ่วที่ดังขึ้นก็ทำให้ต้องแนบโทรศัพท์เข้ากับหูอีกครั้ง
(หืม?)
“จะใส่ชุดเหมียวรอ”(...)
“ฝันดี”
แล้วสัญญาณก็ถูกตัดไปโดยไม่รีรอ ริมฝีปากบางถูกกัดแน่น หัวใจเหมือนจะทะลุออกมานอกอกด้วยความกระดากอาย คนพูดถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้า ในหัวมีเพียงประโยคอันน่าอายที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อครู่
บ้าแล้วฝุ่น พูดออกไปได้ยังไง!
To be continued.
I’m back ~
กลับมาแล้วนะคะะะ
หลังจากที่คิดและไตร่ตรองดีแล้ว
จึงได้การดำเนินเรื่องออกมาแบบนี้
และครั้งนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว
หวังว่าทุกคนจะให้ความรักกันอย่างอบอุ่นเช่นเคย
ฝากพี่ฝุ่นกับน้องปิน #secrecyลับรัก
ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ^^