บุหรงเริงไฟ
บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน
“ถอดสิ”
ดวงตาที่ฉายแววปรารถนาแบบที่ไม่คุ้นเคยทำให้กลิ่นแก้วสั่นขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะกลัวหรือเพราะอะไรก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้ในเวลานี้ เมื่ออีกคนก้มลงมาหา ยิ่งสบเข้ากับดวงตาคู่คมราวถูกสะกดตรึง ริมฝีปากเผยอขึ้นรับจูบที่แตะแผ่วเหมือนยั่วเย้า ค่อยกดเบา ๆ ราวล่อหลอกให้ตามติดเมื่อถอยห่าง ก่อนครอบครองทั้งหมดเมื่อเผลอไผล
รสจูบที่ได้รับมันช่างต่างจากทุกครั้ง แม้แต่จูบเมื่อกลางวันยังไม่เทียมเท่า เมื่อผนวกกับสัมผัสจากมือสากที่ลูบไล้ผิวกาย ยิ่งปลุกความรู้สึกในส่วนลึกขึ้นมาจนยากจะห้ามไหว
มือหนาลูบขึ้นมาตามแนวแขน กุมไหล่มนแล้วดันร่างแบบบางให้หันกลับมาหา ริมฝีปากยังตามติดเมื่อดันตัวอีกฝ่ายชิดผนังห้องอาบน้ำเย็นชืด แขนเรียวยกขึ้นคล้องกอดคอเขาตามสัญชาตญาณ ทั้งบดเบียดร่างกายเข้าหา มือเขาละลงมาจับช่วงเอว รั้งให้ชิดกับกายตนมากขึ้น ขณะที่ริมฝีปากของพวกเขายังคงบดจูบหนักหน่วง
ลิ้นร้อนตวัดรัด ไล่ต้อน ทั้งปาดชิมความหวาน ตะกรุมตะกรามราวนักเดินทางกลางทะเลทรายผู้หิวกระหาย เมื่อได้ดื่มน้ำหวานล้ำจนพอใจถึงได้ผละมาข้างแก้มเนียน ไถลเลยมายังใบหูทั้งลมหายใจกระเส่าซ่าน ใบหน้าเรียวเบี่ยงหลบให้ได้กดจูบซุกไซ้
“เอวาน...”
เสียงพร่าสั่นนั้นเหมือนโลกทั้งใบถูกเหวี่ยงกลับ เวลาอาจหยุดหมุนไปชั่วขณะเมื่อเอวานชะงักอยู่เพียงซอกคออุ่น ท่ามกลางความเงียบพวกเขานิ่งอยู่เป็นนาน กระทั่งเสียงลมหายใจหอบกระชั้นค่อยเบาลงจนกลับมาเป็นปรกติ
เอวานเสยผมที่ยังเปียกหมาด ก้าวถอยไปเล็กน้อยอย่างตัดใจ แขนที่คล้องกอดคอเขาค่อยละลงมาข้างตัวอย่างน่าใจหาย ใบหน้าเรียวนั้นเบือนหลบ ทำให้เขาต้องปล่อยเอวบางให้เป็นอิสระแล้วห่างออกมาอีกนิด
“อาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”
กลิ่นแก้วยังคงยืนพิงผนังห้องน้ำนิ่ง ค่อยยกแขนขึ้นกอดอกราวปกป้องตัวเองจากความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น มองแผ่นหลังของเอวานที่ก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวแล้วเปิดน้ำชำระกายโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่ร่างสูงใหญ่นั้นจะคว้าผ้าขนหนูมาพันเอวเมื่ออาบน้ำเสร็จ
“ให้ช่วยรึเปล่า?”
สติที่เลื่อนลอยดูเหมือนจะกลับเข้าร่างเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยถาม กลิ่นแก้วส่ายหน้าเบา หันหลังให้คนถามแล้วถอดชุดที่สวมใส่ รู้ว่าอีกคนกำลังมองอยู่ แต่ไม่อยากอ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำนี้นานนัก ซึ่งฝ่ายนั้นก็คงเข้าใจถึงได้ผละออกไปให้เขาหายใจหายคอได้คล่องขึ้นอีกนิด
บนเตียงภายในห้องนอน เอวานที่สวมเพียงกางเกงนอนตัวเดียวเป็นปรกตินั่งเอนหลังพิงหัวเตียง มองเด็กที่สวมชุดนอนตัวโตของตนยืนเคว้งอยู่กลางห้องหลังอาบน้ำเสร็จ ก่อนตบที่นอนข้าง ๆ ให้ก้าวมาหา ซึ่งเด็กของเขาก็ว่าง่าย ยอมขึ้นเตียงมานั่งข้างเขาเงียบ ๆ
“โกรธเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อเด็กข้างกายเงียบผิดปรกติ มันก็น่าโกรธอยู่หรอก เล่นอะไรเลยเถิดแบบนั้น “ฉันขอโท...”
นิ้วเรียวแตะริมฝีปากทำให้เอวานชะงักคำ
“อย่าขอโทษได้ไหม?”
“.........”
“อย่าทำเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความผิดพลาด”
ดวงตาคู่โตที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสกลับต้องมีแววเจ็บร้าวเช่นนั้น เล่นเอาหน่วงไปทั้งใจ เอวานคว้าเด็กข้างกายมากอด จะทำเป็นหลับหูหลับตาต่อไปอีกได้อย่างไร ทั้งความรู้สึกของเด็กในอ้อมแขนและของตัวเขาเอง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะทบทวนมันอย่างจริงจังเสียที
“ที่อยากขอโทษ ไม่ใช่เพราะมันคือความผิดพลาด แต่เพราะกลัวเธอจะไม่พอใจ” เขาอธิบายช้า ๆ อยากให้เข้าใจตรงกัน “ถ้าเธอไม่ชอบ ไม่อยากทำ ฉันก็ไม่ควรบังคับ การที่เธอยอมให้ฉันทำอะไรตามแต่ใจ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะคิดอะไรมากไปกว่าแค่อยากตามใจฉัน เหมือนที่เคยเป็น”
“.........”
ดันตัวอีกฝ่ายออกมา มองสบสายตาด้วยแววจริงจัง “ฉันไม่ควรเอาเปรียบเธอแบบนี้ เธอเองก็ไม่ต้องฝืนใจตัวเองเพื่อฉัน เธอโตแล้ว มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรือไม่อยากทำ...”
คำพูดที่มีสะดุดลงเมื่อเด็กตรงหน้าดันตัวขึ้นมาแตะจูบ ดวงตาทั้งคู่สบกันระยะใกล้
“ผมไม่ได้ฝืนใจตัวเอง ไม่ได้แค่อยากเอาใจคุณ ถ้าผมไม่อยากทำ ผมจะบอกคุณเอง”
“กลิ่นแก้ว...” เอวานคราง มันจะห้ามตัวเองไม่อยู่ก็เพราะอีกคนก็ช่างรู้เห็นเป็นใจ
กายผอมถูกดันลงไปนอนบนเตียงนุ่ม ตากลมเบิกโตมองคนที่ขยับขึ้นคร่อมอยู่เหนือกาย ทั้งเท้าแขนกักตัวไว้เสียอีก แววตาแปลก ๆ นั้นกลับมาอีกหน ทำเอากลิ่นแก้วหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย
“เอวาน...” มันใช่เสียงเขาแน่ใช่ไหม ทำไมถึงสั่นแบบนี้ไม่รู้
“หืม?”
ใจจะกระดอนออกมานอกอก แค่การขานรับธรรมดาเองกลิ่นแก้ว ใจเย็น ๆ “ผม... ผม...”
“กลัวเหรอ?”
ความไม่มั่นใจปรากฏให้เห็นในแววตา แต่เจ้าตัวก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมแค่รู้สึกแปลก ๆ...”
“หึ ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่รู้สึก...”
ใบหน้าคร้ามคมโน้มก้มลงใกล้ มือเรียวถูกรั้งไปวางแนบอกเปลือย นัยน์ตาสีควันบุหรี่นั้นสะกดอีกฝ่ายนิ่ง
“ฉันรู้สึกมากกว่าเธอเสียอีก”
ริมฝีปากอิ่มเผยอรับจูบร้อนเมื่อสิ้นเสียงกระซิบแผ่ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเย้าหยอกหลอกล่อไปทิศทางใดก็คล้อยตามไปเสียหมด มือเรียวลูบไล้แผงอกแน่นตึง เลื่อนเลื้อยลงสู่เบื้องล่างตามแรงรั้งจากอุ้งมือใหญ่ ลูบวนไม่รู้เบื่อก่อนจะสัมผัสกับบางสิ่งที่ไม่ควร ดวงตากลมเบิกโต มองหน้าคนด้านบนด้วยความพรึงเพริด
“เห็นไหม?”
เสียงนั้นออกจะแปร่งหูอยู่สักหน่อย ขณะที่ใบหน้าเด็กใต้ร่างเห่อร้อนเมื่อสิ่งที่มือสัมผัสมันกำลังตื่นตัว อาจเพราะอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ก่อนแล้ว เพียงถูกกระตุ้นจึงพร้อมรบเช่นนี้ กลิ่นแก้วอยากจะถอยมือกลับ แต่เพียงขยับเอวานก็สูดปากเบา พาเอาอยากร้องไห้บอกไม่ถูก
เห็นแววหวาดหวั่นในดวงตาคู่นั้นแล้วเอวานก็จำต้องข่มใจ ถึงแม้กลิ่นแก้วจะพูดราวเปิดทาง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องตระหนักเอาไว้ถึงความไม่ประสาที่อีกฝ่ายมี เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนมันออกช้า ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความกำหนัดที่เกิดขึ้น
“นอนเถอะ” จูบหน้าผากอุ่นเบา ๆ ก่อนผละพลิกกายลงนอนข้าง
ความเงียบโอบล้อมรอบกายคนทั้งคู่ ขณะที่จังหวะหัวใจกลิ่นแก้วยังเต้นรัวไร้หนทางสงบ ต้องปล่อยให้เวลาที่มันเดินอย่างเชื่องช้านั้นปลอบประโลม
“เอวาน...” เอ่ยเรียกคนข้างกายเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่
“ไม่เป็นไร”
“.........”
กายผอมตะแคงมาหาคนที่นอนทับแขนหลับตานิ่ง แขนเรียวพาดกอดพลางขยับตัวขึ้นไปนอนอิงอกแกร่ง เอวานกำลังอดทน เขารู้ แต่สิ่งที่เด็กโง่ ๆ อย่างเขาไม่รู้ก็คือ ในสถานการณ์เช่นนี้ควรทำอย่างไร
หลุบสายตาลงมองคนที่นอนอิงอกแล้วเอวานก็พรูลมหายใจ ละแขนข้างที่ใช้หนุนนอนมากอดไว้ แค่ได้เชยได้ชมแต่เพียงน้อยนิด ก็เหมือนก้าวขาเข้าตารางไปข้างหนึ่งแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ยิ่งของยั่วใจอยู่ใกล้มือ ยิ่งยากจะดึงตัวเองกลับมาได้ทุกครั้ง หากวันใดที่ยั้งใจไว้ไม่อยู่ เขาคงไม่ต่างอะไรกับตาเฒ่าโรคจิตอย่างริชาร์ด พาร์เลอร์
บ่ายวันต่อมา เอวานพาเด็กมาส่งเจฟเฟอร์สันตามที่ได้บอกกับมารดาของตนเอาไว้ ก่อนที่จะเลยไปสนามบินเพื่อเดินทางไปทำธุระยังต่างแดน เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ กลิ่นแก้วก็เอี้ยวตัวเปิดประตู แต่มือที่เอื้อมมาแตะแขนทำให้ต้องหันกลับมา บอดีการ์ดสองนายที่เบาะหน้าเองก็เหลือบสายตาขึ้นมองกระจกโดยไม่ได้นัดหมายเช่นกัน
“Goodbye kiss ล่ะ?”
“........” คำถามนั้นทำเอากลิ่นแก้วอ้าปากหวอ ขณะที่สองบอดีการ์ดรีบเบือนสายตามองนอกหน้าต่างรถด้วยความเร็วแสง
“ล้อเล่นน่ะ” เอวานยิ้มขำ
กลิ่นแก้วเม้มปาก ถึงเอวานจะบอกว่าล้อเล่น แต่เขาก็อยากทำ ตากลมเหลือบมองบอดีการ์ด เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงจุ๊บแก้มเอวานเบา ๆ แล้วยิ้มให้
“เดินทาง...”
ยังไม่ทันจะจบประโยคดี มือหนาก็สอดมารั้งหลังคอพร้อมฉกจูบกลีบปากนุ่ม กดหนัก ๆ ให้พอรู้สึกก่อนถอยออกมา เพียงแค่นั้นก็ทำเอาคนที่เพิ่งทำใจกล้าจุ๊บแก้มคนอื่นไปเมื่อครู่หน้าร้อนวูบวาบ
เอวานค่อยเลื่อนมือมากุมแก้มเด็กตรงหน้า นิ้วหัวแม่มือปัดไล้ริมฝีปากที่เผยอน้อย ๆ นั้น ก่อนก้มลงหาแล้วกดจูบอีกรอบ ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่เพียงกดแนบ แต่ค่อยเลาะเล็มช้า ๆ พาให้ใจสั่น ครู่หนึ่งถึงได้ถอนจูบ
“เดินทางปลอดภัยครับ” เอ่ยบอกเสียงเบาราวกระซิบ ก่อนเปิดประตูลงรถไป
คนพูดลงจากรถไปแล้ว แต่คนบนรถยังคงยิ้มเมื่อมองตามร่างนั้นเดินเข้าตัวคฤหาสน์ไป กระทั่งหันมาแล้วเห็นว่าบอดีการ์ดของตนรีบหลบสายตากันพัลวัน หัวคิ้วเข้มก็มุ่นเล็กน้อย
“มองอะไรกัน?”
“เปล่าครับ” บอดีการ์ดหนุ่มทั้งสองนายรีบปฏิเสธราวนัดกันมา
เอวานไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านั้น ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อเอนหลังพิงเบาะ ประสานมือบนหน้าตักด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ขณะที่รถค่อยเคลื่อนออกจากหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ไป
.........
ห้างสรรพสินค้าของเกวน ช่วงเย็นวันสุดท้ายของการทำงานเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน บ้างก็มาหย่อนใจ จับจ่ายซื้อของ หรือแม้แต่รวมกลุ่มสังสรรค์ตามร้านรวงที่เปิดให้บริการมากมาย
ฟรานเชสโก้ก้าวออกมาจากฝั่งสำนักงานพร้อมลูกน้องผู้ภักดี ปรกติคนแบบเขามักไม่อยู่ในที่สว่าง ใครต้องการพบก็ต้องเข้าไปในถิ่นของเขา แต่ช่วงนี้กำลังมองธุรกิจด้านสว่างเพื่อขยับขยายงานอยู่ สัตว์ล่าเนื้อเช่นเขาจึงต้องออกจากถ้ำมาเช่นนี้
“พุงจะแตก”
ลอยน์ลูบท้องตนเองเพื่อประกอบคำพูด ขณะที่ตนกับกลิ่นแก้วและคาร์เตอร์ สามเพื่อนซี้เดินออกจากร้านอาหารในตัวห้างสรรพสินค้ามา
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อใหญ่” ลอยน์ว่าพลางฉีกยิ้ม
วันนี้กลิ่นแก้วเป็นเจ้ามือ นาน ๆ ทีเจ้าเพื่อนตัวเล็กจะควักกระเป๋า ทำตัวสมถะเสียยิ่งกว่าอะไร จนคิดว่าจะเก็บเงินไว้สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่แข่งกับพี่ชายอย่างเอวาน เวสส์ หรือเปล่า
ว่าไปแล้วมีเพื่อนเป็นลูกหลานเจ้าของห้างฯก็ดีไปอย่าง ได้ส่วนลดร้านในเครือด้วย นักเรียนอย่างพวกเขาไส้แห้งมาตั้งนาน เพราะอยากใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จะกินจะใช้เกินกำลังก็ไม่ได้ นอกจากจะกลับไปอ้อนที่บ้านถึงจะได้กินของดี ๆ สักทีหนึ่ง
“คนเยอะเหมือนกันนะ” คาร์เตอร์เปรยเมื่อมองรอบ ๆ ตอนอยู่ในร้านอาหารก็รอนานเหมือนกัน ดีที่กลิ่นแก้วมีอภิสิทธิ์ เลยไม่ต้องรอจนรากงอก
“ปรกติ แถวนี้คนพลุกพล่าน” กลิ่นแก้วว่า
พวกเขาลงบันไดเลื่อนแล้วเดินออกมาลานหน้าห้างสรรพสินค้าด้วยกันพอให้อาหารย่อย วันนี้กลิ่นแก้วแค่พาเพื่อนแวะมาหาอะไรกินกันเท่านั้น ช่วงวันหยุดถึงจะมาช่วยมาดามที่นี่ ตอนนี้มาดามคงกำลังอยู่ในสำนักงาน เอวานก็ยังไม่กลับ เขาคงต้องกลับไปนั่งเหงาที่บ้านคนเดียวอีกแล้วสิ
“อะไร?” คาร์เตอร์เอ่ยถามเมื่ออยู่ ๆ กลิ่นแก้วก็หยุดเดิน ทำให้ลอยน์ต้องหยุดแล้วหันมามองด้วยอีกคน
กลิ่นแก้วที่สะดุดตากับใครบางคนจนต้องเหลียวหลังยังไม่ตอบคำถามเพื่อน แต่รังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากคนกลุ่มนั้นก็ทำให้ลอยน์ถึงกับทำท่าขนลุก พลางสะกิดคาร์เตอร์ให้ดู
“แค่มาเฟียมาเที่ยวห้างฯ น่าสนใจตรงไหน?” คาร์เตอร์ว่า
แม้ว่าเพื่อนจะละความสนใจไปแล้ว แต่กลิ่นแก้วกลับยังคงมอง คิ้วเขาเริ่มขมวด ก่อนที่ขาจะก้าวออกไปโดยอัตโนมัติ
“เฮ้ย จะไปไหนวะ?”
ไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนไปไหน แต่เด็กหนุ่มอีกสองคนก็วิ่งตามกันมา ก่อนจะพากันตะลึงตาค้างเมื่อตัวผอม ๆ นั้นกระโดดถีบกลางหลังบุคคลต้องสงสัยจนถลาไปหาคนของมาเฟียใหญ่ที่คาร์เตอร์เพิ่งพูดถึง ด้วยระยะประชิดทำให้เกิดการประมือกันชุลมุน ผู้คนรายรอบต่างแตกตื่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ฟรานเชสโก้ถูกกันให้ถอยห่างจากจุดเกิดเหตุ ขณะที่จะเลี่ยงออกไปเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจอย่างเงียบเชียบกลับต้องหยุดความคิดนั้น เมื่อร่างที่ถูกคนของตนฟาดจนล้มฟุบไปนั้นผุดลุกขึ้นมาคว้าตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ พร้อมมีดที่ชักออกมาจี้คอหอย ภาพตรงหน้าทำให้ฟรานเชสโก้ยืนนิ่ง ยกมือขึ้นหยุดลูกน้องที่เร่งให้ไปจากที่นี่ ดวงตาคมจับจ้องอย่างประเมิณสถานการณ์
ปลายมีดที่จ่อคอทำให้กลิ่นแก้วแทบไม่กล้ากลืนน้ำลาย ขยับเพียงนิดมีสิทธิ์เลือดกระฉูด เรื่องป้องกันตัวหรือเอาตัวรอดในกรณีฉุกเฉินเขาเคยแต่เรียนในห้องซ้อม พอได้มาเจอสถานการณ์จริงแบบนี้ความรู้สึกมันช่างต่างกันลิบลับ ข่มใจให้สงบไม่ได้เลยจริง ๆ
ขณะที่คนร้ายลากตัวประกันให้ถอยห่างเหล่าชายฉกรรจ์ด้านหน้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้เอะใจเลยว่ามีใครเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง ฝ่ายนั้นอาศัยจังหวะเผลอพุ่งเข้าชาร์จ อารามตกใจทำให้ปลายมีดตวัด ก่อนจะกระเด็นไปไกลเมื่อถูกคว้าแขนแล้วบิดแรงจนร้องโอดโอย
ร่างสันทัดนั้นถูกทุ่มลงพื้นไม่ปรานีปราศรัย คนของฟรานเชสโก้เข้ามาช่วย ก่อนจะจัดการทุกอย่างต่อเมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข้ามาระงับเหตุ ขณะที่คาร์เตอร์และลอยน์รีบเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนขึ้นมา ทั้งตรวจดูเนื้อตัวด้วยความห่วงใยระคนตกใจไม่หาย
เมื่อสถานการณ์สงบลงกลิ่นแก้วก็หันไปขอบคุณคนของเอวาน เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเข้ามาช่วย แค่รอจังหวะเท่านั้น ออกจะรู้สึกผิดที่ทำให้ต้องลำบาก เพราะโดยปรกติคนคนนี้มีหน้าที่เพียงติดตามดูความเคลื่อนไหวและคุ้มกันเขาจากอันตรายที่อาจจะเข้ามาหา ไม่ใช่เขากระโจนเข้าหาอันตรายเองแบบนี้
เอวานไม่เคยบอกเรื่องให้คนตามเขา และเขาเองก็ไม่พูดเรื่องที่รู้ว่ามีคนคอยตามประกบ เพราะรู้ว่ามันมาจากความหวังดีของเอวาน จึงเลือกที่จะเงียบและใช้ชีวิตเป็นปรกติ มีวันนี้ละที่เขาใช้ประโยชน์จากคนของเอวาน แถมยังเสี่ยงมากด้วย
“บาดเจ็บตรงไหนไหม?”
เสียงถามไถ่ที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสามหันมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร กลิ่นแก้วก็ถึงกับนิ่งไป ก่อนส่ายหน้าเบา
“ไม่ครับ”
“ไม่อะไรวะ เลือดออกขนาดนี้” คาร์เตอร์โวย เมื่อเห็นอยู่คาตาว่าเลือดมันไหลจากแผลที่คอจนเพื่อนต้องกดไว้
คิ้วฟรานเชสโก้ขมวด มองเด็กที่ขึงตาใส่เพื่อนไม่ให้พูดมากแล้วว่า “ไปที่รถ ฉันจะพาไปโรงพยาบาล”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรจริง ๆ เดี๋ยวเลือดหยุดแล้วล้างแผลนิดหน่อย...”
“ไม่ได้”
“.......”
“ฉันคงไม่ใจจืดใจดำให้คนที่เข้ามาช่วยจนได้รับบาดเจ็บต้องไปทำแผลเองหรอก ติดเชื้อขึ้นมาจะลำบาก” สายตาคมปรายมองคาร์เตอร์และลอยน์ พลางสั่ง “พาเพื่อนไปที่รถ”
คนสั่งก้าวนำไปก่อนแล้ว ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสามคนยังยืนมองหน้ากันว่าจะเอาอย่างไรดี ก่อนที่คาร์เตอร์จะพยักหน้าส่ง ๆ ว่าเอาอย่างไรก็เอาเถอะ ให้ฝ่ายนั้นได้รับผิดชอบบ้าง แค่นี้ขนหน้าแข้งมาเฟียใหญ่ไม่ร่วงหรอก
โรงพยาบาลเอกชนที่ผู้เข้ารับการรักษาต้องติดต่อล่วงหน้า หากกรณีฉุกเฉินก็ต้องรอตามลำดับก่อนหลัง เว้นแต่จะใช้อภิสิทธิ์ส่วนตัวเช่นเจ้าพ่อคาสิโนอย่างฟรานเชสโก้ ไรท์ ทำให้กลิ่นแก้วได้รับการรักษาทันทีทันใดที่ไปถึง
คาร์เตอร์และลอยน์นั่งรอเพื่อนทำแผลอยู่หน้าห้อง ขณะที่มาเฟียใหญ่ยืนกอดอกเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่หน้าประตู ถ้าไม่เกรงใจหมอสักหน่อยคงได้เข้าไปนั่งในห้องทำแผลด้วยแน่ ๆ ทีเดียว
แผลของกลิ่นแก้วไม่ถึงต้องกับต้องเย็บ แค่ปลายมีดมันบาดผิวทำให้ปริเป็นทางยาวเท่านั้น ดูแลรักษาความสะอาดรอให้แผลสมานกันดี หากไม่ติดเชื้อก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“แน่ใจนะว่าจะไม่นอนดูอาการสักคืน?” ฟรานเชสโก้เอ่ยถามเด็กที่นั่งหน้าซีด ขณะส่งถุงยาให้
“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับ หมอก็บอกอยู่ว่าไม่เป็นอะไรมาก” กลิ่นแก้วรับถุงยามา พลางว่าด้วยความเกรงใจ
“ยา กินให้ตรงเวลาด้วย” อีกฝ่ายกำชับ
“ขอบคุณครับ”
“บัตรนัดทำแผลครั้งต่อไปอยู่ในถุง มาคราวหน้าก็เข้ามาหาหมอได้เลย ไม่ต้องรอคิว”
“ครับ”
จบบทสนทนานั้นแล้วทั้งสองคนก็เงียบไป บรรยากาศพากระอักกระอวนแปลก ๆ
“เอ่อ...”
“กลับเถอะ ฉันจะไปส่ง”
“.........” มองคนสั่งแล้วกะพริบตาปริบ แต่ไม่อยากจะขัดอะไรเพราะเริ่มเจ็บแผลหนึบ ๆ ขึ้นมาแล้ว จึงตอบรับอย่างว่าง่าย “ครับ”
ลอยน์กับคาร์เตอร์ถูกส่งขึ้นรถประจำทางไปแล้วช่วงที่กลิ่นแก้วรอรับยาอยู่ ทำให้เวลานี้กลิ่นแก้วต้องนั่งรถกลับเจฟเฟอร์สันพร้อมฟรานเชสโก้และลูกน้อง การที่ต้องมานั่งข้างกันในรถมันชวนอึดอัดบอกไม่ถูก กลิ่นแก้วรู้ว่าเขาเป็นใคร และเขาก็คงรู้ว่ากลิ่นแก้วเป็นใคร แต่ไม่ได้พูดหรือทำอะไรเหมือนโอลิเวอร์ ไรท์คนนั้นเคยทำ เลยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เขาจะกลับเมื่อไร?”
อยู่ ๆ คนข้างกายก็เอ่ยถามขึ้นมา ทำให้กลิ่นแก้วต้องหันมอง
“ครับ?”
“เอวาน เวสส์จะกลับมาเมื่อไร?” อีกฝ่ายทวนถามพร้อมขยายความ
“... พรุ่งนี้ครับ”
บอกไปเช่นนั้นแล้วเหมือนจะได้ยินเหมือนเสียงหึในลำคอแว่วมา แต่กลิ่นแก้วก็ไม่กล้าถามอะไร ไม่อยากต่อความ อยากให้ถึงเจฟเฟอร์สันเร็ว ๆ เสียมากกว่า
เมื่อกลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน ดูเหมือนมาดามเจฟเฟอร์สันจะรู้เรื่องจากคนของเอวานแล้วจึงได้มายืนรอถึงหน้าคฤหาสน์ ท่านบอกให้เขาขึ้นไปพักแล้วเรียกฟรานเชสโก้ ไรท์เข้าไปคุยด้านใน ตามศักดิ์แล้วทั้งสองเป็นน้ากับหลาน ทำให้ฟรานเชสโก้ดูจะเกรงมาดามของเขามากอยู่
กลิ่นแก้วไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน เพราะพอขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่มาดามสั่ง ออกมาแกะยากินเพราะปวดแผลแล้วก็ขึ้นเตียงนอน ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย
..........
ต่อด้านล่างค่ะ