7
“ฟังแล้วจำด้วยนะ จะได้เลิกคิดอะไรบ้าบอสักที”
ตี๋กัดฟันพูดด้วยความหงุดหงิด ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไง ยังคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดเขาไม่รักไม่ชอบขึ้นมาจริง ๆ พี่เอสมันจะเป็นขนาดไหนเนี่ย
...ช่างพี่น้องห่าเหวอะไรนั่นแล้วโว้ย!
“พูดตามตรงนะ ตี๋ชอบที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้มาก” เขาเอื้อมไปจับมือที่ใหญ่กว่าของเอส “ชอบที่พี่กุมมือแบบนี้ ชอบที่พี่ลูบหัว และถึงตี๋จะไม่ได้สระผมมาสามวันพี่ก็ยังดมได้ แม่ง..โคตรใจเลยว่ะ นอนกับพี่ก็ดีนะ ถึงพี่จะมือไวไปหน่อยก็เถอะ ชอบที่เวลาพี่ยิ้มและหัวเราะให้ตี๋ ยิ้ม...ที่มันไม่เหมือนกับที่พี่ให้คนอื่น เพราะยิ้มแบบนั้นมันดูจอมปลอมมากเลยว่ะ แล้วก็กับข้าวของพี่อร่อยมากเลย ตี๋ชอบนะ แต่เป็นอันดับสองรองจากกับข้าวของม๊าอ่ะ ชอบที่พี่ยอมตี๋ทุกอย่าง ถึงแม้จะเอาแต่ใจมากก็ตาม”
เจ้าตัวหยุดหายใจ “แล้วยังยอมเลิกบุหรี่ให้ด้วย แค่นี้แหละ...พอใจยัง”
เอสเผยยิ้มบางออกมาหลังจากที่ฟังอีกฝ่ายพูดคำว่าชอบเสียยาวเหยียดด้วยสีหน้าหาเรื่องจนจบ ทั้งที่เป็นคนไม่ค่อยพูด...แต่เพื่อเขาอีกฝ่ายกลับยอมพูดมากเป็นพิเศษ เขากดจูบที่หลังมือขาวก่อนจะพูดว่า “ยังไม่พอเลย”
“โลภมากฉิบหายเลยว่ะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน
“รู้ไหม..พออยู่กับตี๋ทีไร พี่ก็กลายเป็นคนโลภมากทุกครั้งเลย เวลาที่ได้หอมแก้ม พี่กลับอยากจูบ เวลาที่ได้กอด พี่ก็อยากจะทำมากกว่ากอดซะด้วยซ้ำ พี่อยากให้ตี๋รักพี่..อยากได้พี่เป็นของตัวเองบ้าง” เอสเว้นวรรค ยิ้มบาง ๆ ให้คนที่นั่งฟังตาแป๋ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาสั้น ๆ “รังเกียจหรือเปล่าที่พี่เป็นแบบนี้?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดความในใจออกมามากขนาดนี้ เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไรเด็กคนนี้จึงเป็นคนเดียวที่ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาเสมอ ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน
ตัวจริง...ที่มันทั้งน่าเกลียดและเห็นแก่ตัว อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจดี เลยเอาจุดนี้ของตี๋มาใช้ล่ะมั้ง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาเองก็คงไม่อาจทนอยู่กับอีกฝ่าย...ที่ไม่สามารถรักเขาได้ และถ้าตี๋จะต้องทนอยู่กับเขาเพราะว่าความสงสาร ไม่ช้าก็เร็วก็เป็นตัวเขาเองนี่แหละจะเป็นฝ่ายไปเอง
“ไม่นิ ก็บอกแล้วว่าชอบ ไม่ได้เข้าหัวสมองเลยรึไงเนี่ย”
“จริงอะ”
“ก็จริงดิ”
“จริง ๆ นะ”
“เออออ!”
เอสไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มบาง “งั้นพี่ขอจูบเราหน่อยได้ไหม?”
คนตัวใหญ่กว่าไม่พูดเปล่า เขาใช้มือคว้าต้นคอของตี๋เข้ามาประชิดหมายจะประทับจูบลงไปทั้งที่เจ้าของปากยังไม่ได้อนุญาต แต่มือของตี๋กลับไวกว่ายกขึ้นมาปิดปากคนฉวยโอกาสไว้ได้ทันพร้อมกับร้องเฮ้ยออกมาลั่น
“ยังไม่ได้อนุญาตเลยโว้ย!”
“เอ้า”
“จะมาเอ้าทำไม จูบนี่ไว้เป็นแฟนก่อน ค่อยทำละกัน”
“อ้าว” เอสทำหน้าเหลอหลา “นี่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ?”
“ใครขอกันวะ!”
“ก็เห็นบอกว่าชอบ ไม่นึกว่าจะต้องขอด้วย ทั้งที่ก็ใจตรงกันแล้วนี่”
“อย่ามาเนียนว้อย ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันก็ห้าม!”
“งั้น เป็นแฟนพี่นะ” เอสชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย กระดิกมันไปมาหมายจะหยอกให้อีกคนหายหงุดหงิด
คนเด็กกว่าทำปากคว่ำใส่ก่อนจะพูดเสียงลั่น “ไม่โว้ย!”
“งอนอะไรพี่อีกล่ะเนี่ย” เขาถามงง ๆ เมื่อกี้ยังโกรธเรื่องไม่ขอเป็นแฟนอยู่เลย แล้วพอขอทำไมถึงปฏิเสธล่ะ
“ขับรถกลับบ้านได้แล้ว”
“ตอบพี่มาก่อนสิว่างอนอะไร”
ตี๋ตวัดสายตามองฉับ ยิ่งตาชั้นเดียวยิ่งคมกริบราวกับโดนมีดแทง
“มีที่ไหน ต้องให้เตือนสติว่าต้องเป็นแฟนกันก่อนถึงจะจูบได้ นี่ถ้าไม่พูดก็คงไม่ของั้นสิ” ตี๋โวยวายเสียงลั่นรถ
“โอ๋ ๆ พี่ขอโทษนะครับ”
“คิดว่าแค่ขอโทษแล้วจะหายเหรอวะ ห๊า!” เขาหันไปแหกตาใส่อีกฝ่าย
เอสที่กำลังพยายามกลั้นขำก็หลุดหัวเราะออกมา พอเป็นแบบนี้ตี๋ก็ยิ่งแหกตาใส่เขาเข้าไปอีก แต่เขาไม่ได้ตั้งใจนี่นา
“ตี๋อยากให้พี่ทำอะไร พี่ทำให้หมดเลยนะ คนดี” เอสยื่นมือไปลูบหัวของตี๋อย่างแผ่วเบาพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
เพียงแค่นี้หัวใจของตี๋...ก็อ่อนยวบ
...เกลียดตัวเองชะมัด...
เกลียดที่ตัวเองไม่สามารถโกรธอีกฝ่ายได้อย่างจริงจังเลยสักครั้ง เกลียดที่ตัวเองใจอ่อน เกลียดที่ปฏิเสธคนตรงหน้าไม่ได้
เกลียดที่เขาแพ้ทางคนตรงหน้านี้เสมอ...
“งั้นช่วยขับรถกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“โถ่”
“แล้วที่จริง..ตี๋ก็ไม่ได้งอนด้วย”
จากที่หน้าเหี่ยว ๆ พอคนน้องบอกว่าไม่ได้งอนก็พลันหน้าบานขึ้นมาทันควัน เจ้าตัวหันไปขับรถเลี้ยวเข้าซอยบ้านด้วยท่าทีอารมณ์ดี ซึ่งมันแตกต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ลิบลับจนตี๋อยากจะหัวเราะออกมาด้วยความตลกในท่าทางเหมือนเด็กของคนพี่ที่นาน ๆ จะได้เห็นซักที
“แล้วนี่จะมากินข้าวเย็นที่บ้านพี่หรือเปล่า?” เอสถามหลังจากที่ลงจากรถเรียบร้อยแล้ว เห็นตี๋มีท่าทีลังเลใจอยู่สักพัก จนเขาตั้งใจที่จะบอกว่าไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ชิงพูดก่อน
“เดี๋ยวมา ขอไปบอกม๊าก่อน”
เอสยิ้มบางก่อนจะบอก “พี่จะรอนะ”
ตี๋โบกมือไหว ๆ เป็นคำตอบก่อนจะเดินออกไปด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ จู่ ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุกับคำว่าจะรอของอีกฝ่าย ส่วนเรื่องที่เขาบอกไปว่าชอบนั้นมันคือเรื่องจริงไม่ได้โกหกแต่อย่างใด..แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคำว่าชอบของเขากับอีกคนนั้นมันเหมือนกันหรือแตกต่างกันตรงไหน
ตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะบอกที่บ้านอย่างไรดีว่าจะมากินข้าวบ้านอื่นอีกแล้ว เอาเข้าจริง ๆ ขนาดตัวเขาเองยังคิดเลยว่ามันบ่อยจนดูผิดปกติ เพียงแต่มันไม่ได้มีการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาทั้งสองคนเป็นอะไรกัน อาจจะสนิทตามประสาพี่น้องธรรมดา
แต่ถ้าวันใดที่ป๊ากับแม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ล่ะ
...ผลที่ตามมามันจะเป็นยังไงกันนะ
------------------------------
“ม๊าทำไรอยู่เหรอ?” เขาเดินเข้ามาในครัว เพราะตอนนี้เป็นเวลาเตรียมกับข้าวมื้อเย็นของคนเป็นแม่
“ทำกับข้าวน่ะสิถามได้”
รู้ว่าตัวเองถามคำถามโง่ ๆ ออกไป แต่ก็เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีเนี่ยแหละ เขาเองไม่ได้พูดอะไรต่อบทสนทนากับม๊าอีก ขายาวก้าวเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับโต๊ะเตรียมวัตถุดิบเงียบ ๆ เพื่อที่จะหาจังหวะบอกว่ามื้อเย็นนี้ไม่ต้องเตรียมในส่วนของตนเอง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มตอนไหนดี
“มีอะไรรึเปล่า หื้ม?” พอเห็นลูกชายคนเล็กเงียบไปก็อดสงสัยไม่ได้ เลยเอ่ยปากถามออกไป
“คือ...เย็นนี้ตี๋ไปกินข้าวบ้านพี่เอสนะม๊า” ตอบเสียงอ่อยด้วยความเกรงใจ
“เอาสิ เดี๋ยวเอาต้มผักกาดดองที่ม๊าเคี่ยวเอาไว้ไปฝากด้วยละกัน อยู่กันแค่สองคนคงเหงาแย่ ตี๋ก็เป็นเด็กดีอย่าไปกวนพี่เขานะ รู้ไหม”
ตี๋มองม๊าตาปริบ ๆ ก่อนจะพูดหน้างอง้ำ “ตี๋ไม่เคยไปกวนเขานะ...มีแต่พี่เอสต่างหากที่กวน” แล้วพอถึงปลายประโยคจึงลดเสียงพูดในคองึมงำเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน
คนเป็นแม่ก็ได้แต่ยิ้มขำลูกชายของตัวเอง เธอมีลูกชายสองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ แต่ถ้าพูดถึงนิสัยแล้ว ทั้งคู่มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลูกชายคนเล็กของเธอเป็นคนใจดี ใจอ่อน และขี้สงสาร ไม่ชอบมีเรื่องกับใคร อะไรยอมได้ก็ยอม นิสัยแบบนี้ของตี๋นั้นทำให้เธอเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย กลัวว่าถ้าไปเจอคนไม่ดีจะโดนเอาเปรียบได้ แต่ก็ยังดีที่ตี๋นั้นเป็นคนเข้ากับคนยากก็ทำให้เธอหายห่วงไปบ้าง
“กลับมาสนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วเหรอ?”
คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี เพราะจะตอบว่าไม่ใช่มันก็ดูเหมือนโกหก “ตี๋ว่ามันก็ไม่เท่าเก่านะ”
...จริง ๆ เรียกว่าไม่เหมือนเก่าน่าจะเหมาะกว่า...
“เดี๋ยวถ้าเอสเขาได้กลับมาอยู่ที่นี่ก็สนิทกันเหมือนเดิมแหละ” คนเป็นแม่พูดยิ้มบาง เตรียมกับข้าวไม่หยุดมือ
ลูกชายคนเล็กขยับเก้าอี้มานั่งเท้าคางมองแม่ตัวเองด้วยท่าทีเหม่อลอยเพราะสมองมันดันคิดอะไรไปเรื่อย ความกังวลและสับสนมากมายในหัวทำให้เขาไม่รู้ว่าจะคิดเรื่องไหนก่อนดี แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดมันออกไป อย่างน้อยก็ยังไม่อยากจะพูดอะไรในตอนนี้ รอให้อะไร ๆ มันชัดเจนมากกว่านี้ดีกว่า ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที ระหว่างที่กำลังรอเขาก็ไลน์ไปบอกอีกฝ่ายไว้แล้วว่าไม่ต้องทำเยอะเพราะม๊าฝากกับข้าวไปให้หลายอย่าง
พอกลับไปอีกครั้งอีกฝ่ายเห็นเขาก็ถามว่าทำไมมาทั้งชุดนักศึกษาด้วยใบหน้างุนงง เขาก็ตอบไปตามตรงว่าไม่ได้คิดจะมานอนค้างเลยไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดมา
“ไอ้เราก็อยากจะให้ค้างด้วยแท้ ๆ” เอสทำปากยู่
“พอเลยมึง กูนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งคน”
ตี๋ที่กำลังจะอ้าปากว่าก็ต้องหุบปากฉับ เพราะถ้าขืนพูดอะไรออกไป สงสัยจะมิวายโดนแซวจากทางป๊าพี่เอสอีกแน่นอน เลยเลือกที่จะนั่งกินไปเงียบ ๆ ดีกว่า ฟากเอสเห็นแบบนี้ก็หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขาก่อนจะเริ่มลงมือกินข้าวบ้าง
“กับข้าวของม๊านี่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยเนอะ” หลังจากตักเข้าปากไปคำแรกเจ้าตัวก็ชมเปาะ ไม่ได้ชมเพราะเอาใจอะไร นี่มันก็นานแล้วที่เขาไม่ได้กินกับข้าวฝีมือม๊าของตี๋ แต่ฝีมือกลับไม่ได้ตกลงไปเลย
“เดี๋ยวจะบอกม๊าให้นะ” ตี๋บอกแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย รู้สึกชอบใจเมื่อมีคนชอบกับข้าวที่ม๊าของเขาทำ
“แล้วนี่เอ็งสองคนคบกันแล้วรึยัง?”
พอจบคำถามจากคนที่อาวุโสที่สุดในบ้าน ตี๋ที่กำลังซดน้ำซุปลงคอ ถึงกับสำลักไอคอกแค่ก ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงกำแต่ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือสำลักน้ำกันแน่
“ป๊าถามอะไรเนี่ย” เอสที่วิ่งไปเอากระดาษทิชชู่มาให้คนสำลักเช็ดปากหันมาว่าอีกฝ่ายแบบไม่ได้จริงจังนัก เพราะตัวเขาเองก็ยังแอบหัวเราะไปเหมือนกัน แค่ตี๋ไม่ทันได้สังเกตแค่นั้นเอง
“กูเป็นพ่อมึงแล้วทำไมกูจะถามไม่ได้”
“แล้วทำไมไม่มาถามตอนเอสอยู่คนเดียวเล่า”
“เอ้า แล้วทำไมกูถามไม่ได้วะ”
“ก็น้องมันอาย”
ตี๋อยากจะบอกเอสว่า ‘กูอายตอนมึงพูดนี่แหละพี่’
“อ่าว เรอะ โทษที” คนสูงอายุหันไปบอกด้วยใบหน้าที่ไม่ได้มีความรู้สึกผิดใด ๆ เลยแม้แต่นิด
ตี๋แอบก่นด่าในใจ ‘กูรู้แล้วว่าไอ้พี่เอสมันได้ความกวนตีนมาจากใคร’
“ยั- ยังไม่ได้ แค่ก- คบกันครับ” ตี๋พยายามที่จะตอบออกไปแม้จะยังมีอาการสำลักอยู่ เอสหยิบน้ำขึ้นมาให้ดื่มพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวลูบหลังให้อาการดีขึ้น
ป๊าเหลือบตาหันไปมองลูกชายตัวเองก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย”
เขาไม่ได้ว่าลูกชายตัวเองเป็นไก่อ่อนเพียงเพราะยังไม่ได้ไอ้หนูตรงหน้านี้เป็นแฟนแค่เรื่องเดียว แต่มันรวมไปถึงการเอาอกเอาใจและยอมเจ้าตี๋นี่มากซะเหลือเกิน
“เกี่ยวอะไรกันล่ะป๊า!”
“คิดเอาเอง”
คำตอบสั้น ๆ ที่ปิดประตูคำถามและคำตอบทั้งหมด เอสรู้ว่าถามอะไรออกไปคนเป็นพ่อคงไม่ตอบอีก เขาก็เลยหันมาสนใจตี๋แทน
“เป็นไงบ้าง กินข้าวต่อได้ไหม”
“ได้สิ”
“พี่กลัวว่าเราจะอ้วก เมื่อก่อนนะสำลักนิดหน่อยเราก็อ้วกแล้ว คอตื้นมากเลย”
“ตอนนี้ตี๋โตแล้วนะ” เจ้าตัวว่าคิ้วขมวด หงุดหงิดทุกครั้งที่มีคนมาทำเหมือนว่าเขายังคงเป็นเด็ก
“กินข้าวให้เสร็จกันได้แล้ว เดี๋ยวค่อยจีบกันก็ได้” คนอายุมากบอก ทั้งสองคนเลยก้มหน้ากินข้าวต่อโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพราะเอสก็กลัวตี๋จะเขินเพราะโดนป๊าแซวไปมากกว่านี้
--------------------------
“อิ่มโคตร”
“อย่าเพิ่งนอนหลังกินข้าวสิ เดี๋ยวจะเป็นกรดไหลย้อนเอานะ” เอสว่าทันทีเมื่อตี๋ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนของเขา
“พี่นี่พูดเหมือนป๊าตี๋เลย จะเป็นป๊าคนที่สองหรือไง” เจ้าตัวพลิกนอนตะแคงเอามือยันหัวตัวเองขึ้นมองเอสที่กำลังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้
“ฮึ พี่ไม่ได้อยากจะเป็นป๊าเราสักหน่อย”
“ก็แล้วแต๊~~” ไม่มีวันซะหรอกที่เขาจะย้อนในประโยคที่อีกฝ่ายอยากจะได้ยิน เพราะถ้าขืนพูดออกไปมันจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองน่ะสิ ไม่เอาหรอก
“โธ่ ไม่เล่นกับพี่หน่อยเหรอ”
“ไม่อะ” ตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
เอสยิ้มมุมปากก่อนจะเดินตรงเข้าไปนั่งที่ริมเตียงติดกับตี๋แล้ววางมือลงบนหัวอีกฝ่ายขยี้เบา ๆ พอให้ผมยุ่งด้วยความมันเขี้ยวแล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบผมให้เข้าทรงอย่างอ่อนโยน “ฉลาดนักนะ”
ตี๋เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ริมเตียงไม่หยุดลูบผมเขาสักทีเลยเปลี่ยนเป็นนอนหงายแล้วยกมือขึ้นไปจับมืออีกฝ่ายมาประกบฝ่ามือของตนเองลงไป อยากรู้ว่ามือของเอสใหญ่กว่ามือของเขาขนาดไหนกันรู้สึกว่าจับหัวเขาทีนี่แทบมิดเลย
“ทำไมมือใหญ่นัก” คิ้วเรียวขมวดด้วยความขัดใจ ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ตัวก็สูงพอ ๆ กัน แต่ทำไมมือเขาถึงได้เล็กกว่าอีกฝ่ายนัก ทั้งฝ่ามือและเรียวนิ้วนี่คนละขนาดกันเลย นี่ยังไม่รวมขนาดตัวนะ
“กระดูกมันคนละเบอร์ไง” เอสว่าพร้อมกับประสานนิ้วเข้าหามือของอีกฝ่ายกุมเอาไว้แน่น
“มือพี่แม่งร้อนว่ะ” ตี๋หาข้ออ้างที่จะดึงมือออก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังดึงเข้าไปจูบที่หลังมืออีกต่างหาก
“ไปขี้มายังไม่ได้ล้างมือเลยนะ”
“หึ ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้รังเกียจ”
“พี่นี่โคตรเหี้ยเลยว่ะ” ตี๋ทำหน้าแหยงแทน
“ขอจูบได้ไหม” เขาไม่ได้สนใจคำด่าว่าของอีกฝ่าย เพราะตอนนี้อารมณ์ที่ไม่ได้ปลดปล่อยมานานมันเริ่มปะทุแล้ว ในอกมันร้อนรุ่มจนแทบจะระเบิดออกมาถ้ามันไม่ได้รับการปลดปล่อย...ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ห๊ะ ทะ-ทำไม”
“พี่ไม่ไหวแล้วตี๋” เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดจนจบ “ก็เราเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ยอมให้พี่ไปมีใครอีก”
“ไม่ได้พูดแบบนั้นโว้ย!”
ที่เขาพูดคือไม่อยากให้อีกฝ่ายไปมีอะไรกับใครมั่วไปหมดอีก ไม่ได้หมายถึงห้ามไปมีใครสักหน่อย โคตรมั่วเลย
“หรือเราอยากให้พี่ไปมีอีก เราก็ผู้ชาย...น่าจะเข้าใจพี่นะ”
“ตี๋ไม่เข้าใจหรอก” เขาพยายามที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย เรื่องอารมณ์หงี่เนี่ยก็พอจะเข้าใจบ้าง แต่รุนแรงขนาดนี้ อย่างเขาจะไปเข้าใจได้ยังไง
“พี่สัญญานะ” พูดพร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างคร่อมคนข้างใต้เอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้ “พี่สัญญาว่าจะมีแค่ตี๋”
เอสแนบหน้าผากของตัวเองลงกับหน้าผากของคนข้างใต้ หลับตาลงอย่างอดกลั้นไม่ให้ตนบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้อนุญาต
“ขอร้องล่ะ”
ตี๋กัดปากเมื่อโดนอีกฝ่ายร้องขอ ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับจมูกของเขา ลมหายใจร้อนพ่นเข้าออกรุนแรงด้วยแรงอารมณ์ เขาไม่รู้ว่าเอสต้องอดกลั้นมากขนาดไหน คนที่เคยมี...ไม่ได้ขาดแบบนี้ พอขาดไปก็คงจะเหมือนกับลงแดงหรือเปล่านะ เรื่องพวกนี้เขาไม่เข้าใจหรอก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีอารมณ์ เวลามีเขาก็แค่ช่วยตัวเองมันก็จบ แต่อารมณ์ที่รุนแรงแบบนี้เขาไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี ทำได้แต่เห็นใจ เพราะเขาก็เป็นฝ่ายพูดไม่ให้คนตรงหน้านี้ไปมีอะไรกับใครโดยไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเอง ส่วนถ้าจะให้ไปหาแฟน...ก็ดันจีบเขาอยู่อีก
...หงุดหงิดโว้ยยยยย...
“แค่จูบเท่านั้นนะ”
เอสเงยหน้าขึ้นมองคนข้างใต้ที่ทำหน้าหงิกแต่แก้มใสกลับแดงระเรื่อ เขายิ้มด้วยความเอ็นดูกับท่าทางน่ารักของตี๋ “ได้สิ ถ้าเราไม่ให้อย่างอื่นพี่ก็ไม่ทำ”
“จริงนะ”
“อื้ม”
พอเห็นว่าตี๋ไม่ได้ว่าอะไรอีก เอสก็เริ่มจากการลงไปหอมแก้มขาวที่มีสีชมพูอ่อนแต้มอยู่ อีกฝ่ายเป็นคนที่ผิวขาวมาก พอมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเจ้าตัวก็จะสังเกตเห็นได้ง่าย ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เวลาที่น้องแก้มแดงทีไร...เขาก็จะรู้สึกว่ามันน่ารักมาก ๆ ทุกครั้ง จึงทำให้อดไม่ได้ที่จะแอบหอมแก้มเวลาที่อีกคนเผลอ
ริมฝีปากของเอสผละออกจากแก้มที่ถึงแม้จะไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนหญิงสาวแต่ผิวก็ใสและเรียบเนียนดี เป้าหมายต่อไปคือริมฝีปากบางสีชมพูสวยของอีกฝ่าย พอเห็นว่าตี๋ทั้งหลับตาปี๋แถมยังเม้มปากซะแน่นก็ทำเอาเขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นมาไล้ไปมาที่ปากของอีกฝ่าย
“อย่าเม้มปากแน่นขนาดนี้สิ...พี่จูบไม่ได้นะ” เขากระซิบเสียงพร่าในท้ายประโยค
เจ้าตัวลืมตาโพลงทันที เพราะลมหายใจที่รดใบหูเมื่อครู่มันทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่ ปากบางอ้าออกเพื่อผ่อนลมหายใจที่มันอัดแน่นอยู่ข้างในเพราะเมื่อครู่เจ้าตัวเกร็งเสียจนลืมหายใจไปพักหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะหายใจได้เต็มปอดดีก็โดนอีกคนประกบริมฝีปากเข้ามาก่อน
“เดี๋ย-”
“ไม่เดี๋ยวแล้ว” เอสดึงมือของตี๋ที่กำลังพยายามดันตัวเขากดลงกับที่นอน อีกฝ่ายหยุดดิ้นไปเพราะไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว เลยจำยอมให้อีกฝ่ายจูบเพื่อปล่อยอารมณ์ออกมา คนมีประสบการณ์มากกว่าไล่จูบเม้มริมฝีปากบนทีล่างที กดจูบย้ำดึงดูดอยู่หลายครั้ง
“อ้าปากหน่อยสิ”
“หะ”
“อ้าปากหน่อย”
“อ้าทำไม!”
“เดี๋ยวจะสอนจูบแบบผู้ใหญ่ให้”
...ใครมันจะไปอยากรู้กันโว้ย...ถึงในใจจะปฏิเสธ แต่ร่างกายกลับโอนอ่อนตามที่อีกฝ่ายขออย่างง่ายดาย อาจจะเพราะลึก ๆ แล้วเจ้าตัวคงอยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าไอ้จูบแบบผู้ใหญ่ที่ว่ามันจะเป็นแบบไหนกันนะ
“เด็กดี” เอสเอ่ยชม แล้วค่อยลงมือจัดการปากสีชมพูที่กำลังเชิญชวนเขาอยู่ข้างหน้านี่ พอลิ้นร้อนเริ่มแทรกเข้าไปตี๋ก็ย่นคอหนีจนเขาต้องสอดมือเข้าไปช้อนคอให้เจ้าตัวแหงนหน้าขึ้นมา เรียวลิ้นที่ไม่ประสาของคนตรงหน้าเรียกอารมณ์ของเขาได้ดีทีเดียว เอสจูบจนร่างข้างใต้เบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะหายใจไม่ทัน
“เร็- เร็วเกินไปแล้ว” ตี๋ต่อว่าหอบหายใจหนัก
“ก็เราน่ารักเกินไปนี่นา”
“ความผิดตี๋เรอะ!” เจ้าตัวตวาดพร้อมกับหันหน้ามามองอีกฝ่าย พอเห็นรอยยิ้มของเอสแล้วเขาเองก็หุบปากฉับเพราะความเขินมันวิ่งเข้าจู่โจม ยิ่งมือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยคราบน้ำลายที่เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ทิ้งไป เขาก็ยิ่งใจสั่น
“เป็นแฟนกับพี่นะ”
“...”
พอโดนขอเป็นแฟนจริงจังแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกเขินมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก เมื่อตอนที่จูบกันเขายังไม่รู้สึกเขินเท่านี้เลยด้วยซ้ำ มากขนาดที่เขาเองก็พูดอะไรไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าจะต้องตอบอีกฝ่ายไปว่ายังไงดี
“ว่าไง? เป็นแฟนกับพี่นะ” เอสถามย้ำเมื่อไม่เห็นว่าตี๋จะตอบอะไร เห็นแค่หน้าแดงเป็นลูกตำลึกและไม่สบตาเขาอีกต่างหาก
ตี๋ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแล้วซุกหน้าลงกับไหล่หนาก่อนจะตอบเสียงเบา “อื้อ”
“อะไรนะ” เอสแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“เอออ เป็นก็เป็นสิวะ!” ตี๋แว๊ดเสียงดังเพราะโดนถามซ้ำ เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินแน่นอน แต่โกหกทำเป็นไม่ได้ยิน
“พูดจาดี ๆ หน่อยสิ”
“ไม่”
...แค่นี้ก็อายจะตายห่าแล้วโว้ย...
เอสพยายามจะดึงตัวเองขึ้นออกจากอ้อมกอดของคนด้านใต้ แต่ฝ่ายนั้นก็กอดซะแน่นเหลือเกิน เพราะตี๋รู้ว่าถ้าเห็นหน้าของเอสตอนนี้ เจ้าตัวอาจจะเขินจนช็อกตายไปเลยก็ได้
“ขอพี่เห็นหน้าเราหน่อยซี่~”
“ม่ายยยยยยย!”
เอสหัวเราะด้วยความตลกขบขัน เขาทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้าง เพราะเกรงว่าคนด้านใต้จะโดนเขาทับจนแบนเสียก่อน แต่ตี๋เองก็ยังไม่ยอมปล่อย ยังคงกอดแล้วเอาหน้าซุกอกเขาอยู่แบบนั้น คนโตกว่าก้มลงหอมหัวทุย ๆ นั่นด้วยความเอ็นดู
“ไม่ก็ไม่ แค่นี้พี่ก็มีความสุขแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”
TBC...
ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันไป
พี่เอสเห็นตามใจน้องแบบนี้ก็ร้ายใช่ย่อยนะ 5555