[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 14# Pie ปรับความเข้าใจ
“วะ...ว่าไงนะ?” ผมแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เรื่องที่อินน์บอกว่าไม่ได้คบกับเพลิงยังไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องที่อินน์บอกว่าเพลิงมีพี่ชายฝาแฝดชื่อพฤกษ์ เรื่องที่ฟังดูน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นมันคือเรื่องจริงแน่หรอ?
“พายอาจจะไม่เชื่อ แต่ว่าเราพูดความจริงนะ เอาเรื่องที่เพลิงมีพี่ชายฝาแฝดชื่อพฤกษ์ก่อน เรามีทั้งรูปแล้วก็คลิปยืนยันเลย” อินน์พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา จากนั้นก็เข้าเฟซบุ๊คแล้วค้นหาชื่อแฟนเพจอะไรวายๆ สักอย่างแต่ผมดูไม่ทัน จากนั้นอินน์ก็เลื่อนฟีดลงมาสักพักจนเจอคลิป VDO หนึ่งก็กดเล่นแล้วส่งให้ผมดู
คลิปนั้นเป็นคลิปของผู้ชายคนหนึ่ง ถึงจะมองหน้าไม่ค่อยชัดเพราะแสงค่อนข้างน้อยและคลิปค่อนข้างสั่น แต่ผมก็พอมองออกว่ารูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนกับเพลิงมาก ต่างกันก็แค่ทรงผมและคนคนนั้นสวมแว่นสายตา ลุคเดียวกันกับที่ผมเห็นในหอสมุดนั่นแหละ โดยที่เขากำลังร้องเพลงและหอบช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินขนาดใหญ่ทำเซอร์ไพรส์ผู้ชายที่ผมเห็นอยู่ด้วยกัน บรรยากาศดูอบอุ่นและโรแมนติกมากจนผมนึกอิจฉาในใจ
หลังจากนั้นอินน์ก็เลื่อนคลิปไปจนถึงช่วงท้ายๆ ตอนนั้นมีเสียงกองเชียร์ตะโกนให้ทั้งคู่จูบกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้ชายที่คนหน้าตาเหมือนเพลิงทำเซอร์ไพรส์ให้ถึงกับเหวอและลนลาน
‘ทำไงดีวะไอ้พฤกษ์’
‘ก็ไม่ต้องทำยังไง ทำตามที่พวกนั้นบอกก็จบ’
‘เฮ้ยๆๆ นี่มึงเอาจริงดิ’
‘จริงไม่จริงเดี๋ยวมึงก็รู้’
‘อะ...ไอ้...ไอ้พฤกษ์...’และแล้วเสียงของเขาก็เงียบไปแต่เพียงเท่านั้น เพราะโดนริมฝีปากของผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเพลิงแนบลงมาปิดเอาไว้ซะก่อน แต่ว่าคิสซีนนั้นผมและผู้ชมที่รายล้อมอยู่มองไม่เห็น เนื่องจากผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเพลิงเอื้อมมือไปคว้าช่อดอกไม้ที่ทำจากเงินมาปิดบังใบหน้าของพวกเขาเอาไว้
“พายได้ยินชัดเลยใช่มั้ยว่าผู้ชายที่อยู่ในคลิปชื่อพฤกษ์ไม่ใช่ชื่อเพลิง” อินน์ถามผมเมื่อคลิปจบลง
“อืม” ผมพยักหน้า คลิปที่ยอดดูเกือบล้านขนาดนี้คงไม่ใช่คลิปที่จัดฉากขึ้นเพื่อหลอกผมแน่ๆ อีกอย่างวันที่ที่ลงมันก็ตั้งแต่เทอมที่แล้ว เพลิงคงไม่หยั่งรู้อนาคตจนสร้างคลิปนี้มาเตรียมเอาไว้หรอก
ชักรู้สึกผิดขึ้นมาเลยแฮะ
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วแหละว่าทำไมวันนั้นเพลิงถึงได้เกรี้ยวกราดถึงขนาดนั้น...
“จริงๆ คลิปนี้มันดังมากเลยนะ แต่พายไม่เคยเห็นเพราะไม่ค่อยเล่นโซเชียลใช่มั้ยล่ะ”
“อืม” ผมพยักหน้า ถึงอย่างนั้นก็เถอะแต่ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ แล้วก็อินสตราแกรมผมมีแอคเคาท์ทั้งหมดเลยนะ แต่ที่ผมแทบไม่ได้เข้าจนฟีดรกร้างเป็นเพราะผมไม่รู้จะเข้าไปทำไม ก็ผมแทบไม่มีเพื่อนสักคนเลยนี่นา เวลาโพสต์อะไรสักอย่างคนกดถูกใจแทบจะเป็นศูนย์
“จะว่าไป ถ้าอินน์รู้เรื่องคลิปนี้ แสดงว่าอินน์ก็รู้อยู่แล้วงั้นหรอว่าเพลิงมีพี่ชายฝาแฝดชื่อพฤกษ์” แต่ก็น่าแปลกนะ ถ้าอินน์รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนนั้นอินน์จะแนะนำให้ผมเปลี่ยนชื่อเป็นพฤกษ์เพื่อหนีเพลิงทำไม ชื่อที่เหมือนกับฝาแฝดของตัวเองขนาดนี้ยิ่งจะสะดุดตาล่ะสิไม่ว่า
“เราเคยเห็นคลิปนี้มาแล้วแต่เราไม่รู้ว่าเป็นเพลิง พายก็เห็นนี่ว่าคลิปมันทั้งมืดทั้งสั่น แถมผู้ชายในคลิปยังใส่แว่นแล้วก็ชื่อพฤกษ์อีกต่างหาก”
ส่วนเรื่องที่ว่าอินน์รู้เรื่องนี้ได้ยังไง ก็เป็นเพราะวันนั้นหลังจากที่เพลิงลากอินน์ออกไป พี่ชายฝาแฝดของเพลิงก็โทรมาถามข่าวคราวพอดี เพลิงเลยเล่าให้ฟังทั้งหมด จากนั้นก็หันมาขู่อินน์ว่าถ้าเอาเรื่องนี้มาบอกผมจะกระทืบให้ตาย
“กระทืบเนี่ยนะ!? ทำไมเพลิงถึงได้ใจร้ายแบบนั้น! อย่างน้อยอินน์ก็เป็น...” ตอนแรกผมก็กะจะพูดว่าเป็นคนที่คบด้วย แต่พอนึกออกว่าก่อนหน้านี้อินน์บอกว่าไม่ได้คบกับเพลิง ผมเลยชะงักแล้วก็เงียบไป
“เราไม่ได้เป็นอะไรกับเพลิงทั้งนั้น ขนาดเพื่อนยังเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วเพลิงจะดีกับเราทำไม อีกอย่างทั้งโลกคงมีแค่พายคนเดียวแหละมั้งที่เพลิงดีด้วย พายอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ว่าเพลิงคอยเฝ้าดูพายอยู่ห่างๆ ตลอดเลยนะ”
“เฝ้าดู...งั้นหรอ?” ผมพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอค่อยๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาดูผมก็ถึงได้เข้าใจ เหตุการณ์ที่หน้าห้องสอบเพลิงคงตั้งใจจะมาช่วยผมจริงๆ สินะ ส่วนเรื่องที่ตอนผมเปลี่ยนลุคใหม่ๆ แล้วมีหลายคนเข้ามาคุยด้วยแต่จู่ๆ ก็หายไป คิดว่านั่นก็คงจะเป็นฝีมือของเพลิงเหมือนกัน
อีตาบ้าเอ๊ย
ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมองว่าการกระทำแบบนั้นของเพลิงมันน่ารักหรือว่าน่าหมั่นไส้ดี
“ที่เราได้อยู่ข้างๆ เพลิง ก็เพราะเพลิงให้เราคอยจับตาดูพาย แล้วก็ให้รายงานเรื่องพายให้ฟังนี่แหละ” น้ำเสียงของอินน์ที่ติดจะเศร้าๆ เล็กน้อยทำให้ผมที่กำลังอมยิ้มอยู่ถึงกับต้องรีบหุบลง ถึงแม้ตอนนี้ผมกับอินน์จะไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมจะไปมีความสุขในขณะที่เพื่อนกำลังทุกข์ได้ยังไง
“แรกๆ เราคิดว่าแค่ได้อยู่ใกล้เพลิงเท่านี้ก็มีความสุขมากแล้วนะ แต่หลังๆ เราแทบจะลืมไปแล้วว่าความสุขมันคืออะไร และที่เราเสียใจมากที่สุดก็คือตอนที่เลือกเพลิงแล้วหันหลังให้พาย ในสายตาของพายเราคงจะเป็นเพื่อนที่เลวมาก แล้วเราก็ไม่คิดหรอกนะว่าพายจะยอมยกโทษให้ แต่ว่าอย่างน้อยก็ขอให้รับคำขอโทษของเราเอาไว้เถอะนะ...เราขอโทษจริงๆ” อินน์พูดทั้งน้ำตา ผมรับรู้ได้ถึงความจริงใจในคำขอโทษ ที่ผ่านมาอินน์รู้สึกผิดต่อผมจริงๆ
“ไม่ต้องร้องไห้นะอินน์ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วอย่าไปคิดมากเลย” ผมพูดจบก็สวมกอดอินน์เอาไว้ การกระทำนั้นยิ่งทำให้อินน์ร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่แล้วขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมา
ผมกอดปลอบและลูบหลังอินน์อยู่สักพัก ในขณะนั้นผมกำลังก้มหน้าอยู่เลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง จนกระทั่งอินน์หยุดร้องนั่นแหละผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลมาก ผมเห็นสีหน้าของเขาอย่างชัดเจนว่ากำลังเศร้าแค่ไหน
“เพลิง...” ผมพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่อินน์ก็ได้ยินจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกมา จากนั้นก็ใช้หลังมือปาดน้ำตาที่นองหน้าของตัวเองทิ้ง
“พายไปปรับความเข้าใจกับเพลิงเถอะนะ” อินน์ตบที่บ่าของผมเบาๆ โดยที่ใบหน้ายังคงเปื้อนคราบน้ำตา แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าอินน์เอาใจช่วยให้ผมคืนดีกับเพลิงจากใจ เพราะรอยยิ้มของอินน์นั้นกลับมาสดใสเหมือนกับที่เคยเป็นแล้ว
ผมส่งยิ้มให้แล้วมองแผ่นหลังของอินน์ที่ค่อยๆ เดินจากไปสักพัก จากนั้นจึงหันไปหาเพลิงที่กำลังเดินใกล้เข้ามา จนกระทั่งเพลิงมายืนอยู่ตรงหน้าผม เราสองคนจึงได้เอ่ยปากพูดออกมาพร้อมกัน
“เราขอโทษนะ”
“กูขอโทษนะ”
ผมกับเพลิงเราสองคนถึงกับอึ้งและทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่าต่างฝ่ายต่างก็ตั้งใจจะขอโทษตัวเอง พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ผมกับเพลิงเลยยิ้มออกมาน้อยๆ ความประหม่าจากการที่ไม่ได้เผชิญหน้ากันมาอย่างยาวนานจึงค่อยๆ จางลง
“กูขอเป็นคนพูดก่อนแล้วกัน” เพลิงเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อนทั้งที่ผมก็ตั้งใจจะพูดแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยอมพยักหน้าลง
“ที่ผ่านมากูมักจะเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง แถมยังทำประชดมึงหลายๆ อย่างทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ กูขอโทษที่ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ค่อยได้ ขอโทษที่กูมีทิฐิมากเกินไป แล้วก็ขอโทษที่กูทำให้มึงเสียใจนะพาย”
“เราก็ต้องขอโทษนายเหมือนกัน ที่ผ่านมาเราเอาแต่หนีปัญหา เราปิดกั้นทุกอย่างเพราะไม่กล้าเผชิญความจริง เราอาจจะผิดมากกว่านายด้วยซ้ำก็ได้ อย่างที่นายเคยบอกว่าเราไม่เคยถาม ไม่เคยเปิดโอกาสให้นายได้แก้ตัว เราขอโทษจริงๆ”
“ไม่ กูต่างหากที่ผิดมากกว่า ทั้งๆ ที่กูรู้อยู่แล้วว่ามึงเข้าใจผิดเรื่องอะไร แต่กูก็ไม่พยายามอธิบายให้มากพอ แถมกูยังหัวร้อนจะจับเพื่อนมึงทำเมียประชด แล้วหลังจากนั้นก็แกล้งทำเป็นคบกันด้วย เพราะงั้นคนที่ควรขอโทษก็คือกู กูผิดไปแล้ว ยกโทษให้กูเถอะนะ”
น้ำเสียงของเพลิงอ้อนวอนผมมากกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยได้ยินมา ส่วนสายตาและสีหน้าก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังรู้สึกผิดและเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริงๆ เพราะงั้นผมจึงได้คลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปสัมผัสที่ข้างแก้มของเพลิงด้วยความอ่อนโยน
“อืม” เท่านั้นแหละเพลิงก็พุ่งเข้ามากอดผมทันที วินาทีแรกผมรู้สึกตกใจจนตัวแข็งค้าง แต่หลังจากนั้นความคิดถึงและโหยหามันก็ทำให้ผมน้ำตารื้นขึ้นมา ก่อนที่ผมจะกอดตอบเพลิงอย่างแนบแน่นไม่แพ้กัน
“กูรักมึงนะพาย รักมาก รักแบบที่ไม่เคยรักใคร แล้วกูก็คิดว่าทั้งชีวิตของกูคงจะรักมึงได้แค่คนเดียว”
คำสารภาพรักที่แทบไม่อ่อนหวาน แถมยังติดจะแข็งกระด้างไปด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกถึงความหนักแน่นและจริงใจที่เพลิงส่งมาให้ ซึ่งนั่นก็ทำให้น้ำตาของผมที่เอ่อคลออยู่มันไหลลงมาเป็นสายทันที
“เราก็รักนายเหมือนกันเพลิง” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าหลงรักเพลิงตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีผมก็รักเพลิงเข้าให้แล้ว และผมก็ไม่เคยเสียใจที่รักเพลิงเลยแม้แต่เสี้ยววินาที เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าสำหรับผมความรักแม้จะสมหวังหรือผิดหวังมันก็ยังสวยงามเสมอ
“เรื่องที่มึงจะไปเรียนต่อที่ลอนดอน กูจะไม่บอกว่าจะไม่ให้มึงไป เพราะไม่ว่ามึงจะไปที่ไหนกูก็จะตามมึงไปด้วย...กูไม่อยากอยู่ห่างจากมึงอีกแล้ว” พูดถึงตรงนี้เพลิงก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ความรู้สึกเศร้า เหงา เดียวดาย และเสียใจส่งผ่านเข้ามาจนถึงหัวใจของผม ซึ่งแน่นอนว่าตลอดมาผมก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
“ขอบคุณนะที่นายคิดจะทำเพื่อเราขนาดนี้ เราก็ไม่อยากอยู่ห่างจากนายเหมือนกัน” พูดจบผมก็ออกแรงกอดรัดเพลิงให้แน่นขึ้นพลางหลับตาลง เพื่อให้รู้สึกถึงความรักและความอบอุ่นของเพลิงให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ผมจะกลั้นใจดันอ้อมกอดนั้นออก แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
“แต่เราว่านายอยู่ที่นี่ไม่ต้องตามเราไปหรอกนะ” ทันใดนั้นจากสีหน้าที่มีความสุขของเพลิงก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ
“ทำไม...”
“นายควรจะเลือกทางเดินของตัวเองไม่ใช่เดินตามทางของใคร อีกอย่างเราสองคนก็ห่างกันนานเกินไป จนเราคิดว่ามันเลยจุดที่จะบอกรักกัน คบกัน แล้วก็อยู่ด้วยกันแล้ว” ระยะเวลาหลายเดือนที่ห่างกับเพลิงทำให้ผมชินที่ต้องอยู่คนเดียว จริงอยู่ที่บางเวลาผมอาจจะเหงาอยู่บ้าง แต่ผมก็สามารถอยู่กับมันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
“ที่ผ่านมาเราสองคนอาจจะรักกันไม่พอ ถึงไม่เคยพยายามจะเข้าใจอีกฝ่ายและปรับความเข้าใจกัน เพราะงั้นเราสองคนลองห่างกันอย่างจริงๆ จังๆ ดูนะ เผื่อจะทำให้เราสองคนรักกันมากขึ้น ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคบกันนะเพลิง” พูดถึงตรงนี้ผมก็น้ำตาคลอ แต่ผมก็พยายามจะไม่ร้องไห้ เพราะที่ผ่านมาผมร้องไห้มามากเกินพอแล้ว
“มึง...ต้องอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่” น้ำเสียงของเพลิงดูสั่นนิดๆ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดราวกับจะขาดใจเมื่อได้ยินคำตอบของผม
“เราต้องเรียนที่นั่น 2 ปีและทำงานใช้ทุนอีก 2 ปี”
“4 ปีเลยงั้นหรอ” เพลิงเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง คงจะไม่อยากให้ผมเห็นดวงตาแดงก่ำที่ราวกับจะร้องไห้ออกมา
“ถ้าหาก 4 ปีที่เราอยู่ที่นั่นนายรอเราไม่ได้เราก็ไม่...”
“ยังไงกูก็จะรอ!” โดยไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยคเพลิงก็พูดขัดขึ้น สายตาคู่นั้นถึงแม้จะแดงก่ำแต่ผมก็เห็นถึงความจริงจัง หนักแน่น และมั่นคง
“นายยังไม่ต้องรีบตอบเราตอนนี้ก็ได้”
“จะตอนนี้หรือตอนไหนคำตอบของกูมันก็คือคำเดิม กว่าจะมาเจอมึงจนได้รักมึงกูยังรอตั้ง 22 ปีได้เลย เพราะงั้นกะอีแค่ 4 ปีทำไมกูจะรอไม่ได้ ระหว่างนี้กูจะพยายามเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อรอมึงกลับมา” เพลิงฝืนยิ้มแม้ว่าที่ใบหน้ากำลังมีน้ำตาไหลลงมา ภาพที่เห็นทำเอาผมรู้สึกเจ็บปวดและทรมานมากไปถึงใจกลางของหัวใจ
น้ำตาของลูกผู้ชายมันไม่ได้ไหลออกมาง่ายๆ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ...
“แม่งเอ๊ย ให้มึงเห็นสภาพแย่ๆ ของกูจนได้ นี่กูเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” เพลิงสบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา แต่ผมก็ใช้มือคว้าเอาไว้แล้วยื่นอีกข้างขึ้นไปเช็ดน้ำตาของเพลิงแทน
“ขอโทษนะที่เราอาจดูเหมือนเอาแต่ใจ แต่เราสัญญาเลยว่าหลังจากกลับมาเราจะไม่ห่างนายไปไหนอีกแน่นอน” คำสัญญานี้ผมขอใช้ชีวิตและหัวใจของตัวเองเป็นหลักประกัน
“4 ปีที่มึงอยู่ที่นั่นกูขอไปหามึงบ้างได้มั้ย”
“ไม่ต้องมาหรอกเพลิง เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย อีกอย่างเราคงตั้งหน้าตั้งตาคอยจนไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนแน่ๆ”
เรื่องนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญคือผมไม่อยากให้เพลิงเสียเวลาและเสียเงินตั้งมากมายเพื่อผม ถ้าบินตรงไปกลับครั้งนึงก็เสียเวลาไปเต็มๆ 1 วัน ส่วนราคาตั๋วก็น่าจะเหยียบ 2 แสนได้ คนอย่างเพลิงไม่มีทางรอต่อเครื่องและนั่งชั้นประหยัดเพื่อเซฟค่าใช้จ่าย แล้วไหนจะค่ากินค่าอยู่ในระหว่างที่อยู่ที่นั่นอีก
“ถ้ามึงจะพูดแบบนี้กูก็คงทำได้แค่รออย่างเดียวสินะ” เพลิงพูดอย่างเศร้าๆ จากนั้นก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อเอาอะไรสักอย่างออกมา ก่อนที่ผมจะเห็นว่าเป็นสร้อยเกียร์ 2 เส้น เส้นหนึ่งเป็นของผม ส่วนอีกเส้นเป็นของเพลิงที่ผมฝากอินน์เอาไปคืนตั้งแต่เทอมที่แล้ว
“เรานึกว่านายทำของเราหายไปแล้วซะอีก” เพราะหลังจากที่ผมฝากสร้อยเกียร์ไปคืนให้เพลิง อินน์ก็บอกว่าเพลิงหาของผมไม่เจอจนคิดว่ามันน่าจะหายไปแล้ว
“กูเก็บเอาไว้อย่างดีเลยต่างหาก แต่กูไม่กล้าคืนเกียร์ให้มึง เพราะกูทำใจไม่ได้ถ้าต้องปล่อยมึงไป” พอได้รู้แบบนี้ จากที่เคยเสียใจและน้อยใจต่างๆ นานา แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกมีความสุขจนมันเอ่อล้นไปทั้งหัวใจ
“มึงช่วยรับเกียร์ของกูไปอีกครั้งจะได้มั้ย” เพลิงถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ครั้งที่แล้วเพลิงเป็นคนบังคับให้ผมใส่ แต่ครั้งนี้ผมยินดีและเต็มใจ แถมยังสัญญาด้วยว่าจะใส่ติดตัวและจะรักษามันเป็นอย่างดีแน่นอน
“อืม” เมื่อผมพยักหน้าเพลิงก็สวมสร้อยเกียร์เข้าที่คอของผม ก่อนที่เราสองคนจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย คำพูดแทนใจนับร้อยพันถูกส่งไปถึงกันและกัน ก่อนที่สักพักผมจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเมื่อเพลิงเคลื่อนใบหน้าลงมาหาผมช้าๆ
จูบนี้ไม่มีความเร่าร้อนและไม่ได้เป็นจูบที่ลึกซึ้ง เป็นเพียงแค่การที่ริมฝีปากสัมผัสกันอย่างแผ่วเบาเท่านั้น แต่ผมกลับรับรู้ได้ถึงทุกความรู้สึกของเพลิงที่ส่งผ่านมา โดยเฉพาะความรักที่ตอนนี้ได้อัดแน่นและตราตรึงอยู่ในหัวใจ
ผมจะจดจำช่วงเวลานี้ไว้ในความทรงจำตลอดไป...
“กูรักมึงนะพาย”
“อืม เราก็รักนายเหมือนกัน”
แล้วหลังจากวันนั้นเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ผมก็ต้องขึ้นเครื่องไปลอนดอน ที่ผมต้องไปก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่เปิดเทอมเป็นเพราะต้องไปเรียนคอร์สปรับพื้นฐานด้านภาษา ในวันนั้นมีแค่ครอบครัวของผมมาส่งเพราะผมขอร้องไม่ให้เพลิงมา ช่วงเวลาที่ต้องจากลามันคงจะเศร้าและหน่วงมาก ผมไม่อยากจากไปด้วยความรู้สึกแบบนั้น แล้วผมก็ไม่อยากให้เพลิงต้องรู้สึกแบบเดียวกันด้วย
แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าในวันนั้นเพลิงได้แอบมา โดยมองส่งผมเข้าเกทจนแผ่นหลังลับสายตา จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างแล้วมองเครื่องบินที่ผมนั่งไปจนลับขอบฟ้า ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยใบหน้าอันแสนเศร้า
“รีบกลับมานะพาย...”
2BC
สวัสดีค่า Rabid หัวใจคลั่งรัก ตอนที่ 14 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า ตอนนี้มันก็จะเศร้าๆ ซึ้งๆ หน่วงๆ นิดนึงเนอะ ยื่นทิชชู่ให้ทุกคนซับน้ำตา ถ้าม้วนนึงไม่พอมาขอเพิ่มได้เลยนะคะที่รัก
ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเรียกว่าแฮปปี้เอนดิ้งหรือแซดเอนดิ้งดี แต่สำหรับเค้ามันก็คือแฮปปี้เอนดิ้งนะ เพลิงกับพายสารภาพว่ารักกัน แถมยังปรับความเข้าใจกันได้อีกต่างหาก ถึงจะต้องจากกัน 4 ปี แต่หลังจากนี้ถ้าได้คบกันก็คงจะยิ่งรักกันมากกว่าเดิม เพราะความห่างมันก็คงจะทำให้ยิ่งคิดถึงและโหยหากันและกันล่ะเนอะ
ส่วนตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายนะคะ จะเป็นบทสรุปและตอนจบที่แท้จริงของคู่นี้ว่าจะเป็นยังไง แล้วก็จะเชื่อมโยงไปถึงคู่น้องวาที่หลายๆคนกำลังตั้งตารอด้วย แล้วเจอกันวันศุกร์ช่วงค่ำๆนะคะที่รัก บ๊ายบายยยยยย
(24 ก.ค. 61)