Lavender Kissหลังจากที่ผมจบการศึกษา ผมได้ทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง หน้าที่การงานกำลังไปได้ดี และเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหน้านี้ไอ้หนึ่งรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยได้ส่งบัตรเชิญไปงานแต่งงาน สองปีที่ผ่านมาเรายังคงติดต่อกันเรื่อยมา เพียงแต่น้อยลงเพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ ผมทำงานหนักเพื่อสร้างรากฐานให้กับตัวเอง ส่วนพวกรุ่นน้องผมเดาว่าก็คงไม่ต่างกันนัก ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องคนอื่นว่าเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน มารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อไอ้หนึ่งทักมาในเฟสบุ๊คเพื่อชวนผมไปร่วมงานแต่งงาน ผมถามมันว่าทำไมถึงได้แต่งงานเร็วขนาดนี้ทั้งๆที่เพิ่งจะเรียนจบได้ไม่นาน มันตอบกลับมาอย่างสบายๆว่ามันทำผู้หญิงท้อง เมื่ออ่านข้อความนั้นจบจะว่าตกใจก็ใช่ จะว่าไม่ตกใจก็ไม่เชิง แค่เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้พบเจอบ่อยนักจึงไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไป สุดท้ายก็แค่ตอบตกลงที่จะไปงานแต่งงาน
ในงานแต่งงานไอ้หนึ่งยืนอยู่กับเจ้าสาวเพื่อต้อนรับแขก โรงแรมที่จัดงานอยู่ใกล้ๆออฟฟิศที่ทำผมทำงานพอดี ผมจึงมาถึงที่งานเร็วกว่าคนอื่นนิดหน่อย พอไอ้หนึ่งเห็นผมเดินเข้ามามันรีบปลีกตัวแยกออกมาจากเจ้าสาวและสวมกอดผมอย่างแนบแน่นให้สมกับความคิดถึง เราพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผมถามมันอีกครั้งอย่างเจาะจงรายละเอียดกับการแต่งงานครั้งนี้ มันเล่าให้ฟังว่าไปเจอผู้หญิงคนนี้ตอนฝึกงาน สาวออฟฟิศวัยเกือบสามสิบ มีวุฒิภาวะ ไม่จู้จี้จุกจิก และมีเสน่ห์ในแบบของสาววัยทำงาน มันเล่าว่าเห็นข้อดีของพี่สาวคนนี้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าไอ้หนึ่งจะกำลังเป็นพ่อคน ไอ้หนึ่งที่บ้าๆบวมๆออกจะไร้สาระแบบนั้นกำลังแต่งงานมีครอบครัว ผมอวยพรขอให้มันมีความสุข ตั้งใจทำงานและดูแลคนรัก ดูแลลูกให้ดี ไอ้หนึ่งพาผมเข้าไปสวัสดีผู้ใหญ่แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรให้มากความ ไอ้เจ้าพวกรุ่นน้องก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายเช่นเคย ไอ้เฟริสท์ หนูนุ่น และไอ้บอมเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับอ้อมกอด พวกมันแย่งกันพูด ทั้งเรื่องฝึกงาน เรื่องงานประจำของพวกมัน และนินทาคนในออฟฟิศ
“ว่าแต่พี่เป็นยังไงมั่งอะ ทำงานอยู่ที่ไหน” หนูนุ่นเอ่ยถามหลังจากที่ประเด็นเหม็นขี้หน้าเอชอาร์ของบริษัทจบลง
“กำลังจะเปลี่ยนงานว่ะ สมัครงานที่สิงคโปร์ไว้ เค้าคอนเฟอเรนคอลมาแล้วรอบนึงกำลังรอผลอยู่เนี่ย”
“อ้าว นี่แสดงว่าจะย้ายไปนู่นเลยเหรอ”
“เออ ไม่อยากอยู่ที่ไทยว่ะ คิดไว้ว่าจะทำงานในเอเชียพักนึง แล้วค่อยไปสมัครงานที่อเมริกา อยากไปอยู่ที่นู่นอะ”
สิ้นคำไอ้พวกรุ่นน้องก็ส่งเสียงโห่ร้อง ผมหัวเราะไปกับพวกมันก่อนจะพากันเข้างานเพื่อไปหาอะไรลงท้อง พวกเราโหวกเหวกโวยวายกันตามประสา ไอ้หนึ่งทำท่าอยากจะตามเข้ามาแต่เพราะมันเป็นเจ้าบ่าวจึงต้องอยู่ที่หน้างานเพื่อต้อนรับแขกเรื่อ ภายในงานเล็กๆที่มีแต่คนรู้จักทำให้ผมรู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆในสมัยเรียน พวกเราคุยเรื่องไร้สาระ อัพเดทเรื่องราวคนนู้นคนนี้กันอย่างสนุกสนาน ไอ้บอมช่วยกิจการของที่บ้าน ไอ้นุ่นได้งานที่บริษัทโฆษณาเล็กๆแห่งหนึ่ง ส่วนไอ้เฟริสท์เรียนต่อ จะว่าไปก็ยังขาดเดอะแก๊งส์อีกคนหนึ่งนะ เป็นคนที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงเมื่อได้พบกันอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากถามออกไปโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นขึ้น กลายเป็นว่าเจ้านายของผมโทรมาเพราะต้องการให้แก้ไขงาน ผมรับบรีฟงานใหม่ในส่วนจุดที่ต้องแก้ไขอีกครั้งแต่ดูเหมือนเสียงเพลงในงานจะดังจนคุยไม่รู้เรื่องเท่าไหร่จึงปลีกตัวออกมายังลานจอดรถ เพื่อที่จะคุยงานไปพร้อมๆกับแก้ไขงานจากในคอมพิวเตอร์ด้วยเลย
“พี่โป้ง ผมแก้งานนี้มาสามรอบแล้วนะ ลูกค้าแม่งเรื่องมากหรือว่าผมทำงานไม่ดีวะพี่”
“เอาน่า ไอ้พล แต่ถ้าแม่งรอบนี้ยังไม่ไฟนอลอีกกูก็จะด่าแม่งไปเลย”
ผมหัวเราะใส่หัวหน้าผ่านทางโทรศัพท์ขณะที่กำลังแก้ไขไฟล์งานตามที่หัวหน้าสั่ง “พี่จะด่าจริงเหรอ”
“ด่าสิ... แต่ด่าลับหลังนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
โลกทำงานนี่โหดร้ายพอควร ต่อหน้าเราก็ต้องเต็มพร้อมไปด้วยวุฒิภาวะและมืออาชีพ แม้ในใจเราอาจจะกำลังด่าถึงบรรพบุรุษของเขาอยู่ก็ได้ “พี่จะเอากี่โมง ผมมางานแต่งงานรุ่นน้องอยู่เนี่ย ให้โอทีผมด้วยนะ”
“เคี่ยวชิ้บหาย เออๆ เดี๋ยวกูแอพพรูฟโอทีให้มึงสองชั่วโมง แต่ของานก่อนสามทุ่มนะเว่ย กูต้องส่งงานให้อิปลา AE อีก ไอ้ชิ้บหายเอ้ย แม่งยิ่งไม่ถูกกับกูอยู่ด้วย”
“โดนพี่ปลาด่าแน่ๆพี่โป้ง” หลังจากนั้นหัวหน้าของผมก็บ่นถึงซีเนียร์ฝ่ายเออีที่ชื่อปลาอยู่สักพักก่อนจะวางสายเพื่อปล่อยให้ผมทำงานได้อย่างเต็มที่ ความจริงงานที่แก้ก็ไม่ยากอะไรมากหรอก แค่เปลี่ยนจากแผนแรกที่เลือกไว้มาเป็นแผนสอง ผมก็ต้องมาแก้เอาสิ่งที่ลูกค้าต้องการใส่ลงไปในแผนสองแทน นี่โชคดีว่ายังเป็นแค่ดราฟที่ส่งให้ลูกค้าพิจารณา ไม่งั้นถ้าต้องมาแก้งานจริงคงจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ ผมเร่งมือทำงานเพื่อที่จะได้กลับเข้าไปในงานแต่งงานของไอ้หนึ่งให้ทันเวลา มาถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่อยากให้การทำงานบงการชีวิตมากจนไม่สังคมกับคนไหนเลย สุดท้ายหลังจากที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งงานเสร็จเรียบร้อย ผมก็รีบออกจากรถและวิ่งกลับเข้าไปที่งาน
กลับมาอีกทีประตูห้องที่จัดงานก็ปิดแล้ว ผมจึงค่อยๆแง้มเปิดเข้าไปเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ไอ้หนึ่งกับเจ้าสาวอยู่กลางเวที กำลังอยู่ในช่วงเล่าความหลังแสนซึ้งหวานโรแมนติค พอเดินเข้าไปใกล้กลุ่มรุ่นน้องผมก็เห็นนายในชุดสูทสีอ่อนเข้าชุดกับเดอะแก๊งส์เพราะว่าพวกมันเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ชุดสีน้ำตาลเรียบๆนั่นไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่รอยยิ้มของนายกลับทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง หัวใจของผมมันเต้นแรง เรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรามันย้อนฉายเหมือนภาพสไลด์ ยิ่งวินาทีที่หันกลับมาผมก็แทบจะลืมการหายใจไปชั่วขณะ
“ว่าไง ไอ้ตูดหมึก”
ผมทักนายและเขาก็ยิ้มให้ผมแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
“อ้าว พี่พล เพิ่งจะกลับมาเหรอ เนี่ยพลาดตอนไอ้หนึ่งพูดถึงพี่ด้วยนะ เรื่องที่ติวสอบให้อะ” ไอ้เฟริสท์หันมาพูดแล้วหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ด้านข้างให้ผม “พวกเราไม่เคยลืมเลยนะพี่”
“เออ พวกมึงสอบผ่านกูก็ดีใจ” ผมตอบเจ้ารุ่นน้องคนนี้ไปก่อนจะจิบน้ำแก้เขิน มาทำซึ้งต่อหน้าผมก็มีอารมณ์เขินบ้างเหมือนกันนะ “เราเป็นยังไงมั่งล่ะ” ผมเอ่ยถามนายหลังจากที่หนูนุ่นกับไอ้เฟริสท์เดินออกไปเพื่อแย่งชิงช่อดอกไม้จากเจ้าสาว
“สบายดีครับ”
“แล้วได้งานที่ไหน”
นายบอกว่าได้งานที่บริษัทโปรดักชั่นแห่งหนึ่งจากนั้นก็เงียบไปตามสไตล์ของเขา
“แล้วหลังจากเสร็จงานนี้จะไปต่อที่ไหนกันรึป่าว”
“ไปร้านเดิมครับ”
เอาล่ะ ถึงเวลาที่ผมควรจะหยุดถามได้แล้วสินะ ถามคำตอบคำแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดีเหมือนกัน ผม ไอ้บอม และนายเรายืนอยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่งก่อนที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะลงมาจากเวที เป็นอันว่างานเลี้ยงฉลองได้จบลงแล้ว
เจ้าพวกรุ่นน้องของผมแห่กันมาที่ร้านเที่ยวในย่านเอกมัยเหมือนเคย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือไอ้หนึ่งดันมาด้วยเนี่ยสิ พอถาม มันก็บอกว่าภรรยาให้มาเที่ยวเพราะเห็นว่านานๆเจอเพื่อนทีโดยที่มันไม่ได้เรียกร้องเลย ผมนี่ยอมใจภรรยาของไอ้หนึ่งจริงๆ เราสังสรรค์ด้วยเหล้าแพงที่ได้เป็นของขวัญมาจากเพื่อนของภรรยาไอ้หนึ่ง แต่พอโตขึ้นมาอยู่ในวัยทำงาน การดื่มของพวกเราลดน้อยลงและแทนที่ด้วยการพูดคุยถึงเรื่องต่างๆในระหว่างที่ไม่ได้เจอกันแทน ผมเล่าชีวิตการทำงานให้พวกมันฟัง และพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจว่าจะไปทำงานที่ต่างประเทศและคิดที่จะไปตั้งรกรากที่อื่น พวกมันมีคำถามต่างๆอีกมากมายเกี่ยวกับความคิดนี้ ทั้งเรื่องพ่อแม่ เรื่องการปรับตัว ภาษา เรื่องอื่นต่างๆอีกมากมาย
“เดี๋ยวก่อนนะ ให้กูได้งานที่สิงคโปร์ก่อนก็แล้วกัน กูก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดที่นู่นหรือเปล่าเลย แต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้วว่ะ”
“โห พี่นี่สุดยอดอะ พวกผมยังแค่คิดทำงานในไทยเอาตัวรอดไปวันๆ” ไอ้หนึ่งพูดแล้วดื่มเครื่องดื่มไปอีกอึกใหญ่ “เออ แล้วมึงล่ะไอ้นาย ทำไมไม่ค่อยตอบไลน์พวกกูเลยวะ”
เจ้าตัวที่ถูกเพื่อนโยนคำถามมาถึงกับทำหน้าเหวอ “กูเหรอ กูออกกองบ่อยอะ แทบไม่ได้แตะมือถือเลย”
“ไม่ใช่ว่ามึงไม่อยากคุยกับพวกกูหรอกเหรอ” ไอ้หนึ่งจี้ถามอีก
แต่ยังไม่ทันที่นายจะได้ตอบไอ้บอมที่นั่งจิบเครื่องดื่มแบบหล่อๆอยู่กลับโผล่หน้าเข้ามาแทน “ย้ายห้องแล้วใช่มั้ยวะ”
ประโยคนั้นทำให้ชาวแก๊งส์แสดงสีหน้าประหลาดใจปนความสงสัยออกมา
“ยังไง อะไร พูด” ไอ้เฟริสท์เสนอหน้าถาม
“อ้าว มึงยังไม่ได้บอกไอ้พวกนี้เหรอ โทษที” ไอ้บอมตัวต้นเรื่องยิ้มแหยๆ
สีหน้าของนายไม่ได้บ่งบอกอะไรเป็นพิเศษ เขาเล่าให้ฟังว่าได้ไปปรึกษากับบอมเรื่องจะซื้อห้องพักเล็กๆเพราะว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อที่ไหน ทุกอย่างดูราบเรียบเป็นชีวิตปกติของคนวัยทำงาน จากนั้นพวกเราก็ดื่มกันหมดแก้วไม่มีใครซักถามอะไรมากมาย กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วจากที่ตั้งใจจะมาดื่มสังสรรค์แบบสวยหล่อ นิสัยเดิมสมัยเรียนก็ย้อนกลับมา เราดื่มหนัก เสียงดัง ปลดปล่อยตัวเองเต็มที่ จะมีก็แต่นายที่ดื่มน้อยลงจนผมสังเกตเห็น เขายิ้มแย้มกับเพื่อน เขาเต้นท่าแปลกประหลาด เขาสูบบุหรี่บ่อย แต่ดื่มน้อยลงจริงๆ
“ทำไมวันนี้ดื่มน้อยจัง” ผมขยับเข้าไปใกล้และเอ่ยถามข้างหูของนายท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่ม
“นายมีออกกองตอนตีสี่อะ” เขาขยับเข้ามาใกล้และตอบเหมือนเคย ไม่ได้มีท่าทีห่างเหินมากนัก
“ออกกองที่ไหน”
“ไปเซ็ทฉากที่สมุทรปราการ”
ผมกอดคอเขาไว้ไม่ให้ขยับตัวออกก่อนจะตัดสินใจชวนเขาออกไปข้างนอก “นาย ออกไปดูดบุหรี่กัน”
ที่ที่เรามายืนดูดบุหรี่คือบริเวณร้านไก่ทอด แต่ตอนนี้ไม่มีของพวกนั้นขายแล้ว ผมยื่นบุหรี่รสเดิมที่เคยสูบให้นายแต่เขาไม่รับและบอกว่าจะสูบของตัวเอง นายยกเบียร์ขึ้นดื่มก่อนจะอัดบุหรี่อึกใหญ่ ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อและดวงตาปรือลงเล็กน้อยจากผลของเครื่องดื่มต่างๆที่เราดื่มกันในร้าน ความรู้สึกบางอย่างคุกรุ่นอยู่ภายใต้จิตใจ ครั้งหนึ่งผมเคยมีอะไรกับนายและเวลานี้ก็กำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าชอบอะไรในตัวนาย ความสุขในเรื่องที่เราเคยมีอะไรกันนั้นยังแฝงตัวอยู่ในห้วงลึก วันนี้เมื่อพบหน้ากันอีกผมก็ไม่อาจปัดป้องสิ่งเหล่านั้นได้เช่นเคย ผมได้แต่หวังว่านายจะยังมีความรู้สึกเหล่านั้นอยู่บ้าง
“พี่พลจะไปทำงานที่เมืองนอกจริงเหรอ”
“จริงดิ พี่ไม่อยากอยู่เมืองไทยอะ”
“นายก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน แต่ติดตรงที่นายไม่เก่งเหมือนพี่พล”
เขาพูดแล้วอัดบุหรี่เข้าไปอีกครั้ง ริมฝีปากที่ผมเคยจูบนั่นดูชุ่มชื้นจากเบียร์ที่เขาดื่ม
“แล้วพี่พลเป็นยังไงบ้าง มีแฟนแล้วหรือยัง”
ครั้งหนึ่งนายเคยลองเชิงถามผมในเรื่องนี้แบบทางอ้อม แต่เวลานี้เขากล้าที่จะถามผมอย่างตรงไปตรงมา น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันนะ “ไม่มีเลย ทำแต่งาน”
“งานแม่งเอาเวลาส่วนตัวไปเกือบจะหมดทั้งวัน นายโคตรเบื่อเลยอะ แต่ก็สนุกกับงานนะได้ออกกองบ่อยๆสนุกดี”
“ฟังดูย้อนแย้งนะเรา”
เขาหัวเราะแล้วยิ้ม “นายสนุกกับงาน แต่ก็อยากมีเวลาไปเที่ยวมากกว่านี้อะ”
“แล้วเราจะซื้อคอนโดที่ไหน”
“แถวจตุจักร ที่จริงนายซื้อแล้วล่ะ แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่”
ผมพยักหน้ารับรู้ นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเด็กเพิ่งจบใหม่ทำงานได้ไม่นานเงินเดือนยังไม่มากจะสามารถซื้อคอนโดได้เร็วถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องให้ความสนใจจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม สิ่งที่สนใจจริงๆก็คือ… “ไว้พาไปดูห้องหน่อยได้ป้ะ”
“ไว้เดี๋ยวบอกอีกทีนะ” นายตอบแบบไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขายังคงสูบบุหรี่พลางดื่มเบียร์อย่างเพลิดเพลิน กลายเป็นผมนี่แหละที่รู้สึกวูบโหวงอยู่ในอก ทำไมระหว่างเราถึงเกิดความลังเลขึ้น หรือว่านายจะยังไม่พอใจกับเรื่องสมัยก่อนอยู่
“นาย… ยังโกรธพี่เรื่องนั้นเหรอ”
นายหันหน้ามามองด้วยสายตานิ่งๆไม่ได้สื่ออารมณ์ใดๆ “นายไม่ได้โกรธพี่พลนะ นายแค่ผิดหวังอะ…” เขาเงียบลงแต่ดวงตายังคงจ้องมองผมไว้ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจากการใช้ความคิด “นายหวังว่าเรื่องของเราจะเป็นได้มากกว่าพี่น้อง แต่นายก็รู้แล้วว่านายรู้สึกไปเองทั้งนั้น”
“เพราะเรื่องนั้นเหรอ ที่นายกับพี่…”
“ก็มีส่วน”
สิ่งที่นายตอบก็ไม่เกินกว่าที่ผมคาดไว้อยู่หรอก
“พี่พลดีกับนายมาก นายก็เลยคิดไกลเกินไปเอง”
คำตอบของนายซื่อตรงสมกับเป็นตัวเขา นั่นอาจจะเป็นอีกจุดนึงที่ทำให้ผมเอ็นดู ผมเอื้อมมือไปโอบไหล่ของนาย ตัวของของเราแนบชิดติดกัน นายไม่ได้ขืนตัวออกแม้แต่ตอนที่ผมเลื่อนมือลงต่ำจนโอบเอวของเขาไว้ ในใจของผมฮึกเหิมด้วยคิดว่านายอาจจะยังมีความรู้สึกดีๆระหว่างเรา “แล้วตอนนี้เรายังรู้สึกเหมือนเดิมรึเปล่า”
นายเงียบไม่ได้ตอบอะไร ผมจึงขยับเข้าไปเบียดให้เราแนบชิดมากกว่าเดิม แต่เมื่อถึงจุดนี้นายกลับขยับตัวออกห่างแม้จะยังรักษาระยะไว้ไม่ให้น่าเกลียด เพียงเท่านั้นผมก็พอจะรู้แล้วว่านั่นคือคำตอบจากนาย
“นายกลับเข้าไปก่อนนะ”
เขาทิ้งบุหรี่ลงบนพื้น ใช้เท้าขยี้มันให้ดับก่อนจะเดินหายไปในร้าน ผมมองบุหรี่ที่มอดไหม้ความรู้สึกบางอย่างมันระอุอยู่ในอก ไม่ใช่เพราะความเสียใจหากแต่เป็นความผิดหวังที่กำลังมอดไหม้หัวใจของผม ไม่ต่างจากบุหรี่ที่นายทิ้งไว้บนทางเดินนี้
ผมเดินตามหลังนายเข้าไปในร้านพร้อมทั้งสลัดทิ้งเรื่องนั้นไว้ด้านนอก เราเลี้ยงฉลองให้ไอ้หนึ่งด้วยความสนุกสนานไม่ต่างไปจากเมื่อครั้งสมัยเรียน เฮฮาบ้าบอไปตามประสา แม้จะลดดีกรีความบ้าน้อยลงแต่ก็ยังสนุกเหมือนเดิม ผมมองเห็นนายเล่นโทรศัพท์มือถือ แสงสว่างจากหน้าจอและแสงไฟวิบวับในร้านพอจะทำให้เห็นสีหน้าของเขา แต่แล้วไอ้หนึ่งก็ชวนทุกคนชนแก้วนายถึงได้เก็บโทรศัพท์มือถือลง เราดื่มกันอีกพักใหญ่จนผมเองก็เริ่มมึนหัว เวลานั้นคงจะประมาณเที่ยงคืนได้ เด็กวัยรุ่นที่พลังงานล้นเหลือต่างออกสเต็ปเต้นกันอย่างเมามัน ส่วนพวกเราที่เข้าสู่วัยทำงานทำได้เพียงแค่โยกตัวเล็กน้อยเพราะพลังงานนั้นหมดไปกับการทำงานเสียแล้ว ในร้านนั้นยังคงมีกลุ่มสาวสวย หนุ่มหล่อ กลุ่มกะเทยเต้นแรง คนที่เข้ามาเพื่อนหวังวันไนท์สแตนด์เช่นเคย ผมสนุกไปกับสิ่งเหล่านี้เพราะมีเพื่อนที่นานๆจะได้เจอกัน แต่ถ้าจะให้กลับไปเที่ยวโชกโชนเหมือนเมื่อก่อนคงจะไม่ไหว แต่ในช่วงที่ผมรู้สึกเริ่มเมื่อยกับการยืนนานไอ้หนึ่งก็เอ่ยปากบอกว่าจะกลับบ้าน เวลานั้นชาวเดอะแก๊งส์รุ่นน้องของผมก็ทยอยออกจากร้านกันแต่โดยดี
ด้านหน้าร้านนั้นเราออกมาคุยกันอีกพักใหญ่ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเราไปอัดอั้นมาจากไหนถึงได้มีเรื่องคุยไม่หยุดหย่อน ทุกคนรุมกอดไอ้หนึ่งก่อนที่มันจะขึ้นรถและขับออกไปเป็นคนแรก จากนั้นพวกเราก็ไปเรียกแท็กซี่ให้เฟริสท์เพราะมันจะไปต่อกับเพื่อนอีกกลุ่ม ตอนนี้ก็เหลือแค่หนูนุ่น ไอ้บอม และผมกับนาย ในช่วงที่ไอ้บอมกำลังตกลงกับนุ่นว่าจะไปส่งที่ไหนนั้นนายก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย ผมจับใจความได้ว่าใครบางคนที่จะมารับนั้นใกล้จะมาถึงหน้าร้านแล้ว ผมนึกสงสัยจึงยังไม่ได้ขึ้นรถตัวเองและบอกเจ้าพวกรุ่นน้องว่าจะรอส่งทุกคนกลับบ้านก่อน ทั้งที่ความจริงผมตั้งใจจะรอดูว่าใครมารับนาย ผมคิดว่าตัวเองคงไม่ได้จะเจ็บปวดอะไรมากมายกับถูกปฏิเสธ เราไม่ได้ผูกพันธ์กันขนาดนั้น เราไม่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆที่เป็นเหมือนสายใยเชื่อมโยงกันมากพอ เราแค่ชอบกันอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อเห็นนายก้าวขาเข้าไปหาชายหนุ่มในชุดเสื้อสีขาวกับกางเกงแสล็คสีดำ ในส่วนลึกของผมกำลังประท้วงอยู่ในอก หลังของผมผุดซึมด้วยเหงื่อ มือเย็นขึ้น และหัวใจเต้นแรง
บุญเดินเข้ามาทักทายไอ้บอมกับหนูนุ่นก่อนมองมาทางผมและกล่าวสวัสดี เขายังอยู่ในชุดนิสิตและมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมโทรมงี้วะหมอบุญ” ไอ้บอมเอ่ยทักทำท่าจะเข้าไปกอด แต่บุญกลับขยับตัวออกห่างเล่นเอาไอ้บอมหน้าเหวอ
“โทษที เราเพิ่งถอดเล็บคนไข้มา หนองกระฉูดใส่จนซึมเข้ามาในเสื้อนิสิตเลยอะ”
เป็นว่าหลังจากฟังคำอธิบายทุกคนต่างกรูถอยห่างแทน “เฮ้ย ดีใจที่ได้เจอบุญนะ” หนูนุ่นยิ้มแย้มเอื้อมมือไปตบบ่าอย่างเป็นกันเอง “คิดถึงๆ”
“เป็นไงมั่งวะ เรียนหมอต้องทำตัวโทรมขนาดนี้เลยเหรอ”
“โห ไม่โทรมได้ไงวะบอม เราแทบไม่ได้นอน แล้วหนึ่งกับเฟริสท์กลับไปแล้วเหรอ”
“เออ มันกลับไปแล้ว เรากำลังจะไปส่งนุ่นอะ จะติดรถเราออกไปด้วยมั้ย”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูจะไปหาอะไรกินกับบุญก่อนกลับ” คราวนี้เป็นนายที่ตอบเอง “ไปละพวกมึง” เขากล่าวพลางเดินเข้าไปกอดเพื่อนทั้งสองให้หายคิดถึงด้วยการตบหลังอย่างไม่ออมแรง จากนั้นเขาก็มองมาที่ผมซึ่งยืนอยู่ถัดไป “นายไปก่อนนะพี่พล” ร่างของผมถูกแช่แข็งไปชั่วขณะเมื่อนายเดินเข้ามากอด กลิ่นน้ำหอมจากตัวของนายจางหายไปเรื่อยๆยามที่เขาผละตัวออก มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เขากอดผม รวดเร็วเสียงจนผมตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้แม้แต่จะกอดตอบเขาเลยด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ไอ้บอมตะโกนไล่หลังสองคนที่กำลังเดินออกไป
“ย้ายเข้าห้องเมื่อไหร่บอกกูด้วยนะไอ้นาย”
ผมเห็นบุญหันมายิ้มและโบกมือลาพวกเราอีกครั้ง ส่วนนายก็มีสีหน้านิ่งเฉยเช่นเดิม มันเป็นสีหน้าที่พยายามนิ่งเฉยและผมรู้ว่านายกำลังเขินอาย สองคนนั้นเดินห่างออกไปเรื่อยๆแต่ยังอยู่ในระยะสายตา สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือตอนที่บุญโอบคอและลูบศีรษะของนาย มันอาจจะไม่ใช่แรงที่ทำให้รู้สึกอ่อนโยนเหมือนคู่รักนัก ออกจะเป็นการหยอกเล่นเหมือนเพื่อนที่เล่นหัวกันได้ แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของนายที่มอบให้บุญก็ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเสียจนผมรู้สึกจุกเสียดขึ้นมากลางหัวใจ
มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสดชื่นเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้าเขียวขจี เหมือนได้สูดอากาศในตอนเช้าบนยอดดอย เสียงหัวเราะของเขาดังลั่นตอนที่คว้าคอของบุญลงมาแล้วแกล้งต่อยท้อง ความรู้สึกเก่าๆพรั่งพรู วินาทีนั้นผมตระหนักได้ว่าตัวเองหลงชอบนายและยึดติดเขาไว้ในหัวใจมากกว่าที่คิด
รอยยิ้มของนายยังคงเหมือนเก่าก่อน เพียงแต่เวลานี้เขายิ้มให้บุญไม่ใช่ผม ไม่ใช่พี่พลคนนี้อีกต่อไป
************************************
https://youtu.be/Y_8vucksxrs