ปรสิต | 09
ชนกันต์ได้ยินเสียงเพลงคลอเบา ๆ ในหู แต่ไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร
ไม่สิ เขาเคยรู้ แต่ตอนนี้ในหัวมันไม่สามารถประมวลผลของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างเคย ตาของเขาเหม่อมองไปข้างทาง ทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกรถคันหนึ่งแซงไปแล้ว แต่ผ่านไปแค่สองวินาทีก็จำไม่ได้ว่ารถคันนั้นสีอะไร ตอนนี้เสียงเพลงแทบไม่เข้าหู ชนกันต์นึกออกแค่เสียงฝน รถราที่ประกบอยู่ทางด้านข้างก็กลายเป็นพงหญ้าขึ้นสูง ร้านรวงตอนเช้าตรู่หายไป เหลือเพียงท้องฟ้าครึ้ม ๆ เหมือนว่าพระอาทิตย์กำลังปิดสวิทช์ตัวเอง มือที่วางอยู่บนกระเป๋าตรงหน้าตักนั้นชวนให้รู้สึกเกะกะอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากอวัยวะส่วนเกินซึ่งเขาไม่รู้จะทำยังไงกับมัน เด็กหนุ่มเกร็งไปทั้งร่าง ทั้งที่เขาควรทำแค่นั่งเฉย ๆ
มันเป็นอย่างนี้มาสองวันแล้ว
รู้สึกได้ถึงการเบี่ยงออกทางซ้ายของรถ ข้างหน้าค่อนข้างชุลมุน ชนกันต์ยังคงปล่อยให้สายตาล่องลอยอยู่กับสิ่งข้างนอกบานกระจก รถมอเตอร์ไซค์ส่งของล้มเยินอยู่ทางหนึ่ง มีรถยนต์สีบลอนด์เงินจอดอยู่อีกทางหนึ่ง ส่วนรอบ ๆ คือผู้คนมากมายที่พากันยืนล้อมรอบโศกนาฏกรรม
ถึงจะทำงานในโรงพยาบาลแต่สมองก็ตื่นตัวขึ้นมาในตอนที่เห็นเลือด ร่างหนึ่งกำลังถูกเจ้าหน้าที่กู้ภัยห่อใส่ผ้าขาวและลำเลียงขึ้นไปไว้บนรถกระบะแบบมีตู้หลัง นายตำรวจยืนจัดการจราจรซึ่งไม่น่าจะติดขัดขนาดนี้ในช่วงเช้าขนาดที่แดดยังไม่ทันออก สายตาชนกันต์วกกลับมาอีกศพ เขาไม่ชอบตัวเองเวลารู้สึกสะอิดสะเอียนกับภาพตรงหน้านี่สักเท่าไหร่ ทั้งที่อยู่ในรถ แต่กลับคิดว่านี่มันงี่เง่าสิ้นดีกับการได้กลิ่นเหม็นคาวราวกับยืนอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ตรงนั้น
“....!”ทั้งใจกระตุกวูบเพียงแค่เห็นเท้าเปรอะ ๆ คู่หนึ่งยืนอยู่รวมกับฝูงชน ชายกระโปรงเปรอะโคลนนั้นคล้ายกำลังขยายใหญ่ขึ้นจนเข้ามาครอบคลุมเต็มสองใจเขา ชนกันต์ห้ามตัวเองว่าอย่ามอง อย่าเลื่อนสายตาขึ้นไปสูงกว่านั้น ให้แพ้ความกลัวไปเสียตั้งแต่ตอนนี้
แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
ดวงตาสีดำด้านนั้นเด่นชัดจากระยะไกล ถึงอย่างนั้นร่างเล็กก็แน่ใจว่ามันกำลังมองสบกับเขาไม่ผิดแน่ ผู้หญิงคนนั้น คนที่ชนกันต์ไม่แม้แต่จะรู้จัก
สีหน้าของเธอเรียบเฉย แต่เขาแน่ใจว่าเธอกำลังโกรธ – โกรธเคืองทุกอย่างบนโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจเป็นตัวเขา
ความกลัวกินหัวใจดวงนี้อยู่ แต่มันก็แค่ส่วนเดียว
‘ …. ’ริมฝีปากซีดแตกนั้นขยับเป็นคำพูดบางอย่าง เด็กหนุ่มไม่ได้ยิน แต่เธอพูดกับเขา พูดทั้งที่เปลือกตาไม่กระพริบปิดแม้แต่เสี้ยววินาที
“....”
มือเรียวกำเข้าหากันแน่นเสียจนเขาแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อปลายเล็บจิกเข้ากลางฝ่ามือ เจ้าของร่างเปรอะโคลนกำลังเดินมาทางนี้แล้ว เธอสะกดสายตาเขาไว้ราวกับต้องการบอกให้ตั้งใจดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้
มาแล้วเธอมาแล้ว
แล้วหัวใจที่เต้นระรัวจนทรมานนี่ก็เหมือนหยุดลงไปชั่วขณะ เจ้าหน้าที่กู้ภัยเดินผ่านหน้ารถเขาไปพร้อมกับพาร่างผู้หญิงคนนั้นให้หายวับไปจากสายตา
หายไปเหมือนสายลม
และน่ากลัวว่ามันจะโหมกระหน่ำขึ้นในไม่ช้า
“-- กันต์”
“....”
“ชนกันต์”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสอุ่น ๆ ของใครบางคนแตะลงบนมือ ชนกันต์คลายมือสั่นเทาออกจากกันแล้วปล่อยให้มันวางราบอยู่บนกระเป๋าดังก่อนหน้า แต่ใช่ -- มันไม่หายสั่น เช่นเดียวกับริมฝีปากแห้งผากและบังคับไม่ได้ แอร์ในรถหนาวจับใจ ดวงตาของอธิศจับจ้องมาทางเขา มันทั้งคลางแคลง สงสัย และเป็นห่วงในคราเดียวกัน
ทำให้อยากจะร้องไห้ออกมา
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หมอรู้ทันเสมอ รู้ว่าควรถามอะไรและพูดมันออกมาเมื่อไหร่ แต่ทำไมกัน ทำไมถึงได้รู้สึกกลัวความใจดีนี้จนอยากวิ่งหนีไปให้ไกล
“ผม...”
เขาทำมันจริง ๆ เหรอ“ผม...”
ไม่หรอก... ไม่ใช่“ผมไม่เป็นไร”
ยังไงก็ไม่ใช่ถ้าเป็นทุกทีคงโผเข้าเกาะแขนหมอไว้แล้วเอาแต่พูดว่า
ช่วยด้วย มันมาแล้ว เธอมานั่นแล้ว แต่ตอนนี้ชนกันต์พูดไม่ออก ทุกอย่างมันจุกอยู่ตรงคอ อัดอั้นไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลาจนต้องผินหน้าหนีความห่วงใยนั้นไปอีกทาง
“....”
พอไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว อธิศก็จำต้องเบนสายตากลับไปมองถนนเบื้องหน้า นายแพทย์หนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก สายตาเขาเหมือนรู้ แต่ก็ไม่รู้
เมื่อไรก็ตามที่พยายามจัดการทุกอย่างให้อยู่ระเบียบของเรา เมื่อนั้นใจจะวุ่นวาย
--------------------------------------------------
หลังจากส่งชนกันต์เข้ากะแล้ว เขายังมีเวลาเหลือเฟือจนเกินไป กลิ่นกาแฟร้อนหอมฉุยจากร้านหน้าโรงพยาบาลไม่ได้ทำให้จันทร์นี้เป็นเช้าที่ดีนัก บนเส้นทางผ่านมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น แล้วเด็กคนนั้นก็ไม่ได้พูดจาเกรงอกเกรงใจอย่างทุกทีเรื่องเขาต้องถ่อมาโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ใช่เวลาเข้างาน ชนกันต์แปลก ๆ มาสองวันแล้ว มีทั้งอาการเหม่อลอยและจมอยู่กับความคิดบางอย่างซึ่งเจ้าตัวจงใจปิดมันไว้เป็นความลับ
อ้อใช่ คุณห้ามไม่ให้จิตแพทย์รู้ได้ แต่ห้ามไม่ให้พวกเขาดูอาการคุณออกไม่ได้หรอก
มือแกร่งเลื่อนไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นจิบ เสียงฝนโปรยปรายจากด้านนอกชวนให้เย็นวาบขึ้นมาราวกับนี่เป็นกลไกมหัศจรรย์บางอย่าง แผนกจิตเวชไม่เปิดแอร์จนกว่าจะเจ็ดโมงครึ่ง และถ้าย้อนไปประโยคก่อนหน้า นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้รู้สึกร้อนอะไร
จริง ๆ แล้ววันนี้อธิศมีความตั้งใจอย่างหนึ่ง แต่ดูจากเวลาแล้ว กองระเบียนของคณะแพทยศาสตร์คงยังไม่เปิด
ไม่เป็นไร ชายหนุ่มพูดกับตัวเองหลังจากเปิดแล็ปท็อปคู่ใจเอาไว้แล้วหมุนเก้าอี้หันไปทางตู้เก็บหนังสือและเอกสารทางด้านหลัง
อธิศสลัดเรื่องความผิดปกติของชนกันต์ออกไปจากหัวไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เขาแบ่งเวลาในสองวันที่ผ่านมาให้จดจ่อไปกับชื่อของ
แพรพลอยและและสิ่งที่นางสุพิศพูด ใบหน้าในภาพถ่ายนั้นเรียบเฉยประสารูปติดบัตร มันไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ เช่นเดียวกับตอนที่เจอเธอในห้องนั้น แต่เขาเชื่อว่าแพรพลอยอาจกำลังเศร้าสร้อย ยิ่งถ้าได้เห็นสภาพครอบครัวซึ่งแตกร้าวไม่มีชิ้นดีขนาดนี้แล้ว แม้แต่ตอนที่ยืนอยู่กับนางสุพิศเพื่อรอสามีมารับ หล่อนก็ยังเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ความปวดร้าวของคนเป็นแม่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนอื่นจะยื่นมือเข้าไปยุ่ง
คุณมนตรีเป็นผู้ชายรูปร่างท้วม อธิศเชื่อว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้าท้องของชายวัยกลางคนคงอ้วนพลุ้ยกว่านี้ ถ้าแพรพลอยได้ตาและปากมาจากแม่ จมูกก็คงได้มาจากพ่อ ชายแก่โค้งตัวขอบคุณเขาเสียยกใหญ่ทั้งที่โหลสะโหลสะเหลเต็มทน ถึงอย่างนั้นจิตแพทย์หนุ่มกลับไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าข้อมูลการสั่งยาและกำชับให้กินมันตรงเวลา
ลูกสาวคุณเสียชีวิตแล้ว ประโยคนี้คาอยู่ที่ปาก
การบอกคนเป็นพ่อแม่ถึงจุดจบของบุตรสาวในไส้มันใจร้ายเกินไป อธิศจึงทำแค่ยิ้มรับและเลือกเป็นคนนอกต่อไป มันคือทางที่ดีกว่า ตราบใดที่เขายังไม่รู้อะไรแน่ชัดมากไปกว่านี้
แล้วแพรพลอยมาตามติดชนกันต์ทำไม?
เคยมีความคิดที่ว่าถ้าได้รู้ตัวตนของผู้หญิงคนนั้นแล้วคงจะสามารถสาวต่อไปถึงมูลเหตุของเรื่องทั้งหมดได้ แต่หลังจากรู้แล้วชายหนุ่มก็ยังปล่อยให้สองวันมานี้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า เขาไม่ได้เอ่ยปากถาม
ไม่สิ ที่ไม่เอ่ยปากถาม ก็เพราะว่าคิดว่ามันต้องมีอะไรนี่แหละ
ครืดละสายตาจากสันหนังสือมากมายบนชั้นเพื่อหันกลับไปมองต้นเสียง เป็นเสียงเก้าอี้ถูกลากออก
“....”
แต่มัน
ว่างเปล่าเขาอาจหูแว่วเพราะไม่มีสติมากพอ ไม่มีทั้งคนไข้ พยาบาล หรือใครสักคนที่เปิดประตูเข้ามา ฉะนั้นแล้วเสียงเมื่อครู่ถือเป็นโมฆะเมื่อเทียบกับความเป็นไปได้ อาจเป็นเพราะเขายังปรับตัวกับการตื่นเวลานี้ไม่ได้กระมัง คิดได้อย่างนั้นจึงหมุนเก้าอี้หันกลับเข้าตู้หนังสืออีกครั้งเพื่อรื้อหาสิ่งที่ต้องการ
“....!”
ครืดนายแพทย์หนุ่มเลื่อนเก้าอี้ถอยห่างจากตู้ทันทีที่หันกลับไป หัวใจคล้ายหยุดไปชั่วขณะ จากนั้นมันก็เต้นแรงจนส่งผลกระทบไปถึงมือที่ถือปากกาให้ปล่อยมันร่วงตกไปบนพื้น เงาสะท้อนเผยให้เห็นร่างของใครบางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้คนไข้ แน่นอนมันเลือนราง แต่อธิศไม่คิดว่าเขามองผิด
“....”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ และหลังจากเอาชนะความตกใจได้เขาก็คิดว่าภาพในกระจกมันชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาสีดำด้านนั้นกำลังมองเช่นที่เขามองเธอ
เธอคือผู้หญิงที่เขาจำได้ขึ้นใจ หลังจากวันนั้น อธิศไม่เคยเจอเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไรอีก เว้นเสียแต่ตอนนี้ แล้วถ้าเขาหันหลังกลับไปเธอจะยังนั่งอยู่ที่เดิมหรือเปล่า และความไม่แน่ใจนั้นจึงเป็นเหตุผลให้นายแพทย์หนุ่มยังนั่งอยู่โดยไม่ละสายตาจากเงาสะท้อนบนกระจก
“คุณคือ
แพรพลอยใช่ไหม” เขาถามย้ำ รอลุ้นว่าจะได้รับคำตอบใดกลับมาหรือเปล่า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่
มันนานพอสมควรที่แพรพลอยนั่งอยู่ตรงนั้น เธอไม่ได้ทำอะไรอย่างเช่นอ้วกเป็นโคลนหรือกรีดร้องอย่างที่เคยทำกับชนกันต์ แค่นั่งนิ่ง ๆ มองเขา... มองอยู่อย่างนั้นจนชวนให้รู้สึกขนลุกอย่างประหลาด
เธอทำตัวเหมือนเป็นคนไข้
แต่มันไม่เหมือนอธิศอยากถามว่าทำไมครั้งนี้ถึงเป็นเขา แต่ก็คิดอีกว่าเธอคงไม่ตอบ
“คุณแพรพลอย” นายแพทย์กลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง ภาพของหญิงสาวบางทีก็เลือนราง บางทีก็เด่นชัดขึ้นมาเหมือนคนจริง ๆ “คุณต้องการให้ผมช่วยอะไรหรือเปล่า” เขามองอีกฝ่ายในขณะที่คิดถึงดวงตาปูดโปนรื้นน้ำตาของมารดาเธอ คิดถึงความทรุดโทรมของนายมนตรี และเมื่อรู้สึกถึงความทรมานของครอบครัว ราวกับบรรยากาศเย็นเยือกภายในห้องนี้จะยิ่งหนาวเหน็บและอ้างว้างขึ้นเท่าทวี
คงตลกดีถ้าบอกใครต่อใครว่าจิตแพทย์กำลังพูดคุยกับวิญญาณ เขาเองก็ไม่เชื่อ ทว่ารู้ตัวว่ากำลังทำมันอยู่จริง ๆ มีคำพูดมากมายที่อยากพูดออกไป อย่างเช่นว่า
ครอบครัวคุณกำลังเป็นห่วง หรือ
คุณเสียชีวิตอย่างไร แต่ก็นั่นแหละ แพรพลอยไม่มีทีท่าว่าจะตอบ
เขาอยากทำเหมือนเธอเป็นมนุษย์
แต่เธอไม่ใช่อัตราการเต้นของหัวใจสงบลงเหมือนท่าทีของชายหนุ่ม อธิศตัดสินใจหมุนเก้าอี้หันไปหาเก้าอี้ว่างเปล่า แต่พอเขาหันกลับมามองตู้กระจกอีกที แพรพลอยก็หายไปแล้ว
ต้องการมาปรากฏตัวให้เห็น
เพื่ออะไร--------------------------------------------------
ทันทีที่ตรวจคนไข้รายสุดท้ายในช่วงเช้าเสร็จ ร่างสูงก็รีบพาตัวเองเดินผ่านบุคลากรและคนไข้ของแผนกอื่น ๆ ไปยังตึกคณะแพทย์ทันที ฝนหยุดตกแล้ว แต่บรรยากาศในวันนี้ยังคงเย็นยะเยือกและมืดครึ้มจนชวนให้รู้สึกหดหู่ บางทีเขาคงปล่อยเวลาให้ผ่านทิ้งเฉย ๆ นานเกินไป
แพรพลอยอาจไม่ต้องการให้เขายุ่งเรื่องนี้ นี่เป็นครั้งที่สามสำหรับการเจอกันถ้านับรวมเรื่องเมื่อราว ๆ สองสัปดาห์ก่อนเข้าไปด้วย แต่วิญญาณอาจเหมือนกับจิตก็ได้ เขาไม่แน่ใจนัก แต่ถ้าให้พูดในฐานะจิตแพทย์ก็คงประมาณนั้นนั่นแหละ
อธิศไม่เคยเป็นวิญญาณ ฉะนั้นแล้วเขาไม่มีทางรู้หรอกว่าดวงวิญญาณมีภาวะทางจิตซับซ้อนแค่ไหน มันอาจแบ่งแยกไม่ได้ด้วยทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ หรือหนังสือสยองขวัญสักเล่มที่พยายามบรรยายความนึกคิดของจิตหลังความตายไว้ใกล้เคียงกับภาวะจิตไร้สำนึก แต่ถึงอย่างนั้น ในเมื่อ
พวกเขาสั่งการตัวเองได้ อธิศก็ขอเชื่อในทฤษฎีที่ว่าวิญญาณคือมนุษย์ไร้กายเนื้อ และถ้าให้คาดเดาจุดประสงค์ของผู้หญิงคนนั้นกับการปรากฏตัวเมื่อเช้านี้ อธิศคิดว่าเธอไม่ได้มาเพื่อจุดประสงค์เดียวกันกับที่เธอกระทำต่อชนกันต์
“สวัสดีค่ะหมอ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
“ผมมีเรื่องอยากรบกวน” เขาทอดสายตามองหญิงวัยสามสิบต้น ๆ หลังบานกระจกเลื่อนออกจากช่องติดต่อขนาดเล็ก “เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีนักศึกษาแพทย์ปีไหนมีการเรียนการสอนที่นี่หรือเปล่าครับ”
หล่อนนึก หันไปถามเจ้าหน้าที่รุ่นพี่ซึ่งนั่งอยู่ทางโต๊ะด้านหลังให้แน่ใจอีกครั้ง “น่าจะเป็นพวกปีสี่ปีห้าน่ะค่ะ หมอมีอะไรหรือเปล่าคะ”
นั่นเป็นคำตอบที่อธิศรู้อยู่แล้ว นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งถึงปีสามจะเรียนอยู่อีกวิทยาเขต เมื่อขึ้นชั้นคลินิกแล้วจึงได้ย้ายวิทยาเขตมาอยู่ในโรงพยาบาล เขาควรเจาะจงลึกกว่านั้น
“แล้วแพรพลอยล่ะครับ เธออยู่ภาควิชาไหน”
“....”
ทั้งห้องระเบียนเงียบกริบ หญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่โต๊ะทางด้านในตัดสินใจเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาพูดคุยกับนายแพทย์เสียเองหลังจากได้ยินชื่อนั้น “หมอมีอะไรหรือเปล่าคะ”
หล่อนถามซ้ำด้วยประโยคเดิมเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้อธิศก็ตีสีหน้าเคร่งเครียดเพื่อใช้ความเป็นหมอต่อรองออกไปทางสายตา
“ผมขอดูระเบียนประวัติของแพรพลอยด้วย”
เขาจัดการเปิดใบระเบียนของนักศึกษาแพทย์ปีสี่อย่างช้า ๆ มันไม่ได้เยอะถึงขนาดที่จะเสียเวลาค่อย ๆ ดูทีละแผ่นไม่ได้ หน้าค่าตาของบางคนในนี้ อธิศเองเคยเห็นผ่าน ๆ มาก่อน แต่แผนกจิตเวชสันโดษเกินกว่าจะมีโอกาสได้จดจำคนครบทั้งโรงพยาบาล
“....”
เจอแล้วรหัสนักศึกษาพาเธอมาอยู่ช่วงท้าย ๆ เล่มของแฟ้มระเบียน รูปบนนั้นเป็นรูปคล้ายกับที่นางสุพิศเอาให้ดู แต่น่าจะอ่อนวัยลงไปอีกสักราว ๆ สองสามปี ผมของเธอเป็นสีดำยาวมาแต่ไหนแต่ไร ผลการเรียนอยู่ระดับต้น ๆ และมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดพิจิตร
น่าเจ็บปวดตรงที่เธอเป็นลูกคนเดียว
ชายหนุ่มถ่ายรูปข้อมูลบนใบระเบียนนั้นด้วยโทรศัพท์มือถืออย่างคร่าว ๆ ถ้าลำพังตำรวจยังหาไม่เจอแล้วหมออย่างเขาจะทำอะไรได้ แต่ถึงอย่างนั้น อธิศก็คิดว่าเขาควรทำ มือแกร่งจัดการเปิดใบระเบียนต่อ ๆ ไปเผื่อว่าสามารถสุ่มเลือกไปถามเรื่องเด็กสาวจากใครสักคนในนี้ได้
“....”
หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อสายตาหยุดอยู่มุมบนขวาของระเบียนนักศึกษาคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่คุ้นตา แต่เขาจำได้ดีว่าเป็นคนที่เพิ่งไปนั่งดื่มด้วยกันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี่เอง
รามิลรีบกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนร่วมงานทันที รอไม่นานนักปลายสายก็กดรับ เสียงทุ้มจึงรีบกรอกเสียงลงไปโดยพยายามปรับโทนเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“เสือ ฉันมีเรื่องจะรบกวน”
และในตอนที่นำระเบียนประวัติไปคืน จิตแพทย์หนุ่มยังได้ข้อมูลใหม่เพิ่มด้วยว่าค่ายกิจกรรมของนักศึกษาปีสี่เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน เดินทางไปที่ระยอง
--------------------------------------------------
“รออีกสักสิบยี่สิบนาทีก็แล้วกัน เก้ายังไม่ออกเวรเลย”
ศรัณย์ถามเหตุผลตั้งแต่ในโทรศัพท์ แต่อธิศไม่ยอมบอก
มือเรียววางแก้วกาแฟดำลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสภายในศูนย์อาหารของโรงพยาบาล ศรัณย์ไม่ได้อยู่ในชุดกาวน์ ใบหน้าที่มักจะแย้มยิ้มนั่นดูทรุดโทรมยิ่งขึ้นภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ มันแย่ยิ่งกว่าตอนไปดื่มกันเมื่อวันศุกร์ และชัดเจนดังที่คิดเมื่อดวงตาสีเข้มนั้นสะท้อนแสงไฟจากหลอดนีออนเหนือหัว ทอประกายเคร่งเครียดเหมือนคนกำลังแบกโลกทั้งใบ
อธิศยกคาปูชิโนร้อนขึ้นจิบ ครั้นวางมันลงบนโต๊ะก็ยังเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องแก้วประดาษสีเขียวแบบเดียวกันกับแก้วตรงหน้า วันนี้กาแฟดำอาจจะไม่อร่อยเพราะอายุรแพทย์หนุ่มยังไม่ได้ดื่มมันเลยสักอึกเดียว
“นายดูเหนื่อย ๆ นะ” คนตัวสูงกว่าทัก เอนกายพิงพนักแข็ง ๆ แล้วจับจ้องอย่างที่จิตแพทย์มักจะทำเสมอเวลาต้องเจอคนไข้ แน่นอนว่าศรัณย์ไม่ชอบให้เขาใช้สายตาแบบนี้นักถึงได้ขยับเขยื้อนตัวพลางสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้าที่ดูจะมีสติกว่าเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
“นิดหน่อย”
“งานหนักเหรอ” อธิศถามอีก เขาแกล้งมองข้ามอาการกระสับกระส่ายของเพื่อนได้ไม่ดีเท่าไหร่
“ก็ไม่เชิง มีเรื่องให้ต้องคิดน่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบแล้วคนถามกลับไม่ได้ต่อบทสนทนาในทันที จริงอยู่ว่าพวกหมอติดกาแฟ แต่นั่นเป็นเหตุผลรองลงมาทีเดียวถ้าเทียบกับการยกมันขึ้นดื่มเพื่อลดอาการประหม่าสำหรับการพูดคุยเครียด ๆ สักเรื่อง ยังมีเวลาอีกพอสมควรกว่ารามิลจะมาตามที่นัด เพราะศรัณย์รู้ ถึงได้แต่ชั่งใจว่าควรพูดมันออกมาดีหรือไม่
ศูนย์อาหารในช่วงเย็นคนค่อนข้างพลุกพล่าน แต่แพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาลมักมีมุมเฉพาะที่ไม่ต้องไปเบียดเสียดและคอยขยับเก้าอี้ให้ทางเพราะกลัวน้ำซุปร้อน ๆ จะหกใส่ พวกเขาสามารถไปคุยกันในที่ส่วนตัวกว่านี้ก็ได้ แต่อธิศมองว่านั่นดูจงใจเกินไปสำหรับการเริ่มต้นสอบถามอะไรบางอย่างในขณะที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
“อันที่จริง --” เสียงนุ่มเปิดบท ทิ้งระยะราวกับจะบอกให้ผู้ฟังเตรียมใจ “ระยะนี้มีแต่เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น”
“แปลกแบบไหน”
“ขอฉันเรียบเรียงว่าควรจะเริ่มเล่ายังไง”
ศรัณย์เคยเล่าเรื่องทำนองคล้าย ๆ กับชนกันต์ รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวและมีกลิ่นโคลนติดจมูก ซึ่งมันน่าสนใจตรงที่อธิศเริ่มให้ความสำคัญกับ
โคลนขึ้นมาหน่อยแล้ว ดวงตาคมแฝงแววกระสันอยากรู้ บางทีคนตรงหน้าอาจกำลังพูดไปถึงเรื่องอื่นก็ได้ ทว่าในใจของจิตแพทย์หนุ่มกลับเต้นรัวเหมือนจังหวะโหมโรงเมื่อสร้างทางเลือกขึ้นมาว่ามันอาจเป็นเรื่องเดียวกัน
“เมื่อวันก่อนตอนกลับบ้าน” เงียบไปราวสามวินาทีเพื่อเรียบเรียงคำพูดที่สื่อให้คนฟังเข้าใจได้ “ฉันขึ้นลิฟท์ไปพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เห็นกับตาว่าเธอเปิดประตูเข้าไปในห้องฉัน”
“....”
“แต่พอรีบวิ่งตามไป คือ -- อาจเป็นเพราะฉันลนลานเองก็ได้ แต่ประตูเปิดไม่ออก”
“....”
“หลังจากนั้นเก้า --” ชะงักไปหลังจากหลุดชื่อคนรักออกมา อธิศไม่เคยรู้เรื่องนี้ พูดให้ถูกคือไม่มีใครรู้นอกจากเขาสองคน แต่ถึงอย่างนั้นมันคงไม่ผิดอะไรถ้ารุ่นน้องอยู่ห้องเดียวกันกับรุ่นพี่ที่สนิท “เก้าก็มา เราพักอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว”
จิตแพทย์หนุ่มยังคงเงียบฟังโดยที่ไม่พูดอะไร ร่างสูงกอดอกหลวม ๆ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เพื่อฟังศรัณย์เล่าเรื่องประหลาดนี้ให้จบ
“เก้าใช้กุญแจของฉันเปิดประตูเข้าไปได้ง่าย ๆ แต่นายเชื่อไหม ในห้องนั้นไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว ฉันไล่เช็กหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นปิดประตูใส่แค่ไม่ถึงสามนาที” ร่างผอมเล่าออกอารมณ์มากขึ้นในช่วงหลัง นัยน์ตากลมโตนั้นดูสับสน ข้องใจ และหวาดกลัวที่จะหาคำตอบ
“แล้วเก้าล่ะ เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม”
“ไม่ได้ถาม แต่คิดว่าคงไม่เห็น เด็กคนนั้นไม่ได้มีท่าทีอะไร”
พูดจบศรัณย์ก็เอนหลังพิงพนักหน้าอี้แล้วล้วงมือหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขณะที่อีกมือวางเคาะนิ้วอยู่บนขอบโต๊ะเป็นจังหวะแปลก ๆ และถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดไปเมื่อตัดสินใจพูดประโยคต่อมา
“น้ำที่ฉันกิน... ทั้งที่เพิ่งแกะซีนออกจากขวดแต่มันดันมีกลิ่นดินจนกินไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเคยเล่าหรือเปล่า แต่เก้าดื่มมันได้ปกติ” อธิศรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามใช้คำว่า
ดื่มหลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวกลับยิ่งดูสับสนขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากหันไปหมกมุ่นกับความคิดในหัว “ตอนอาบน้ำฉันได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุดทั้งที่เก้าก็ไม่ได้ยินมัน หรือแม้แต่รูบิก”
ทำมือเป็นรูปการจับลูกบาศก์ในความคิดก่อนจะกำเข้าหากันแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างเนิบนาบ
“มันเปลี่ยนรูปร่างเอง”
“....” ถึงตรงนี้คิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พยายามไล่เรื่องจิตหลงผิดของชนกันต์และลักษณะเริ่มต้นของอาการดังกล่าวออกไปให้เป็นอีกเรื่อง
“ฉันหมายถึง -- ฉันเล่นจนมันเป็นสีเดียวกันทุกด้านก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ” ศรัณย์ละแผ่นหลังออกจากพนักก่อนใช้สองมือทำท่าบิดรูบิกลมประกอบ “แต่พอออกมามันดันสุ่มสีมั่วไปหมด”
“นายแน่ใจหรือเปล่า”
คนถูกถามพยักหน้าแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก “ถ้าฉันไม่แน่ใจ นายจับฉันส่งโรงพยาบาลบ้าได้เลย”
อธิศกำลังชั่งใจ ในหัวเขามีเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างคำว่าคนละเรื่องและเรื่องเดียวกันซึ่งตั้งท่ากระโจนกันมั่ว ความบังเอิญในเรื่อง
ผู้หญิงกับ
ดินโคลนค่อนข้างน่าคิด คนตรงหน้าไม่เคยรู้เรื่องชนกันต์ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาทำใจยอมรับและพยายามจะพูดคุยกับสิ่งไม่มีตัวตนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ศรัณย์กลัวการถูกหาว่าบ้า แต่ตอนนี้มีคนที่พร้อมจะบ้ากว่าโดยที่เจ้าตัวไม่รู้
“ผู้หญิงคนนั้นลักษณะเป็นยังไง”
ใช่คนที่เขาเห็นไหม แล้วทำไมศรัณย์ถึงได้เข้ามาข้องเกี่ยวด้วย พอคิดได้อย่างนั้นก็เกิดความเป็นไปได้แย้งความบังเอิญขึ้นมาชะงัด
อาจจะไม่ใช่ศรัณย์รู้สึกเย็นเยือกราวกับตรงนี้มีแค่เขากับอธิศ ร่างผอมเกือบจะตอบไปว่าไม่เห็น ถ้าไม่เพียงแต่ดวงตาสีดำด้านนั้นหลอกหลอนขึ้นมาในห้วงคิด หล่อนนอนกอดรามิล แต่นั่นเป็นความฝัน
“ผมยาว ใส่ชุดกระโปรงสีขาว”
“โคลนล่ะ”
“อะไรนะ” อายุรแพทย์ขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกว่าท่าทีของเพื่อนผิดแผกไปจากทุกที ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้เป็นแค่ผู้ฟัง “โคลน...?”
ไม่มีทางเป็นแพรพลอยหรอก อธิศคิด แต่เขากลับขัดคำสั่งตัวเองด้วยการถามออกไป
“น่าจะ เสื้อผ้าเธอค่อนข้างเปรอะ ๆ แต่ฉันไม่ได้สังเกตเสียทีเดียว”
“แล้วนายได้เห็นหน้าเธอหรือเปล่า” มือแกร่งเลื่อนลงจากโต๊ะไปจับอยู่ที่กระเป๋ากางเกงเพื่อกำโทรศัพท์เอาไว้ แค่รอให้คนตรงหน้าตอบว่าเคยเห็น แล้วทุกอย่างก็จะกระจ่างถ้าได้เอารูปที่ถ่ายมาจากแฟ้มระเบียนให้ดู
โอกาสเป็นไปได้น้อยนิด แต่เหลือเชื่อว่าในส่วนน้อยนิดนั้นคือความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเขาสี่คนอย่างปฏิเสธไม่ได้
ศรัณย์นิ่งคิด เขาบอกตัวเองให้ปักใจเชื่อว่านั่นคือความฝันและชั่งใจว่าควรเล่าดีหรือไม่ “คือ -- ฉันไม่แน่ใจนะอธิศ แต่เมื่อวันศุกร์ ฉันว่าฉันอาจจะเห็น”
“....”
“มันก้ำ ๆ กึ่ง ๆ ว่าฉันอาจจะฝัน คืออาจจะไม่ใช่คนเดียวกันก็ได้ ฉันอาจจะติดตามาจากที่ไหนสักที่ แต่ --”
นายแพทย์ศรัณย์เอาแต่พูดคำว่า
อาจจะ เหมือนคนติดอ่างที่พยายามพูดเร็ว ๆ เพื่อกลบเกลื่อนอาการนั้นไม่มีผิด มันไม่มีความน่าเชื่อ แต่ความรู้สึกสยดสยองแบบนั้นเขากลับจำมันได้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร
“ฉันอาจจะเมาเกินไป”
ศรัณย์พูดคำว่า
อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย
“แต่มีผู้หญิงนอนกอดเก้าอยู่”
อธิศตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า เสียงโหมโรงในใจสั่งให้รีบสไลด์หน้าจอเปิดไฟล์ภาพล่าสุดภายในเครื่องให้เร็วที่สุด อยากรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ สิ่งที่ชนกันต์และเขาเจอนั้นยังมีความเกี่ยวข้องซึ่งทอดวงกว้างออกไปเป็นแหผืนใหญ่แค่ไหน
รูปถ่ายของแพรพลอยปรากฏอยู่บนกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าจอเล็ก ๆ แต่จิตแพทย์หนุ่มก็ต้องรีบคว่ำมันลงเมื่อเงยหน้าขึ้นพบบุคคลที่สาม
------------------------------------------------------
( มีต่อ )