Chapter 5
“กริ๊งงงงงงงง!!!” เสียงนาฬิกาปลุกจากโต๊ะที่หัวเตียงดังลั่นทำให้ผมต้องรีบเด้งตัวขึ้นไปปิดอย่างรวดเร็วจนรู้สึกหน้ามืดเพราะกลัวคนข้างๆจะสะดุ้งตื่น ในตอนที่ความรู้สึกเลือนรางผมรู้สึกเหมือนมีอะไรผละออกไปจากตัวผมตอนตื่น ตอนแรกผมคิดว่าเป็นเจย์ แต่เมื่อหันไปมองเขากำลังนอนหลับสนิทโดยหันหลังให้ผมอยู่…สงสัยจะคิดไปเอง
ผมค่อยๆก้าวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบาและเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ ไม่ลืมดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปถึงเอวขึ้นคลุมให้กับคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ผมต้องตื่นเช้าเป็นประจำบางครั้งนาฬิกาปลุกก็ไม่ค่อยจะจำเป็นเท่าไหร่ เพราะรู้ตัวอีกทีผมก็มักจะตื่นเวลาเดิมทุกๆวันแถมส่วนใหญ่ยังตื่นก่อนนาฬิกาปลุกด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนวันนี้ผมจะหลับสนิทไปหน่อย
ผมล้างหน้าก่อนจะมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ผมรู้สึกว่าผมเริ่มยาวขึ้นนิดหน่อย แต่ผมก็ขี้เกียจจะไปร้านตัดอยู่ดี ถึงจะอยู่ถัดไปแค่ไม่กี่ซอยก็เถอะ มือคว้าหนังยางสีดำขึ้นมารวบผมไว้ครึ่งศีรษะแบบที่ชอบทำประจำ(คาดว่าถ้าผมไม่ไปตัดเร็วๆนี้มันจะมัดรวบได้ทั่วทั้งศีรษะอย่างแน่นอน) แต่วันนี้มันทำให้ผมเห็นรอยอะไรบางอย่างบริเวณต้นคอ
ร้อนจ้ำสีแดงหลายจุดบริเวณต้นคอและหน้าอกทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น เพราะไม่รู้สึกคันหรือเจ็บเลยไม่รู้ตัวว่ามีรอยพวกนี้อยู่ ผมใช้ปลายนิ้วลูบบริเวณรอยพวกนั้นเบาๆ …แมลงแปลกๆต้องมาอาศัยอยู่บนที่นอนแน่ๆ ดูเหมือนผมจะต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนแล้วล่ะ
ผมเดินอย่างเงียบๆมาจนถึงห้องครัวชั้นล่างและเริ่มค้นวัตถุดิบในการทำขนมวันนี้และได้พบว่าวัตถุดิบทั้งหมดพร่องไปเกินกว่าครึ่งแล้ว โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ร้านเปิดถึงแค่ช่วงเที่ยงเท่านั้น ผมคงจะต้องออกไปซื้อของเข้ามาเพิ่มสำหรับวันต่อไปแล้วล่ะ…
“เจเจ?? ตื่นเช้าจัง” ขณะที่กำลังร่อนแป้งสายตาก็เหมือนไปเหมือนเด็กหนุ่มที่ยืนพิงประตูห้องอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“โกหก ไหนว่าไม่มีชุด” เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ผมเพิ่งสังเกตว่าเจ้าตัวไม่ได้ใส่ชุดนอนลายหมีน่ารักแบบเมื่อคืนแล้ว แต่เป็นเสื้อยืดพอดีตัว(ที่ดูเหมือนจะคับนิดหน่อย)กับกางเกงสามส่วนที่ผมคุ้นๆว่าจะเป็นของตัวเอง
“อ๊ะ เปล่านะ พี่ไม่เคยบอกว่าไม่มีนา หึหึ หิวรึยัง พี่ทำอะไรให้กินมั้ย” ผมแก้ตัวก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงความผิด(?)
เจย์บ่นงึมงำอะไรซักอย่างในลำคอก่อนจะเดินเข้ามาและลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆโต๊ะทำขนมโดยไม่พูดอะไร ดูเขาจะสนใจการทำขนมไม่น้อย ผมให้เขาช่วยทำบ้างและก็อดขำกับท่าทีของเขาไม่ได้ และเจย์จะหันมาทำตาขวางใส่ผมทุกครั้งที่หลุดขำออกไป
การทำขนมไปสอนเด็กหนุ่มที่ทำขนมไม่เป็น(แม้แต่แป้งเจย์ก็ยังจำสับสน)ไปด้วยก็สนุกดีแต่มันก็ทำให้ผมทำขนมได้ช้ากว่าปกติอยู่มากทีเดียว กว่าจะเสร็จและยกมาวางหน้าร้านได้ก็ก่อนที่ลูกค้าคนแรกจะเข้ามาแค่ไม่กี่นาที
ความวุ่นวายภายในร้านเริ่มมากขึ้นเมื่อเข็มนาฬิกาชี้เวลาเจ็ดโมงครึ่ง ถึงจะเป็นวันหยุดแต่ก็มีหลายบริษัทที่ยังทำงานอยู่รวมถึงเด็กๆที่ต้องออกมาเรียนพิเศษกันแต่เช้า ถึงคนจะน้อยกว่าวันธรรมดาแต่ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าไม่เหนื่อย
“ไปไหน” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังเมื่อผมพลิกป้ายแสดงสถานะปิดร้านและเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
“ไปซุปเปอร์มาร์เกตใกล้ๆนี่เอง…ไปด้วยกันมั้ย” เจย์นิ่งคิดไม่นานก็พยักหน้าเบาๆเป็นการตอบตกลง ผมเช็คความเรียบร้อยของกลอนประตูหน้าต่างตามคำบอกของเจย์เป็นรอบที่สองก่อนที่เราจะเดินออกมาจากร้านได้ ผมสังเกตว่าเจย์ดูจะหงุดหงิดเป็นพิเศษเมื่อผมละเลยการล็อกกลอนประตูหน้าต่าง แต่ก็ดีนะครับเพราะมันทำให้เขาพูดมากขึ้น…พูดมากขึ้นเพราะบ่นผมน่ะนะ…
ไม่ถึงสิบนาทีเราก็มาหยุดยืนหน้าซุปเปอร์มาร์เกตขนาดกลางมีความสูงสองชั้นที่วันนี้ดูเหมือนคนจะเยอะเป็นพิเศษ อาจเพราะเป็นวันหยุดและช่วงต้นเดือนด้วย ผมหยิบเศษกระดาษเล็กๆที่จดรายการที่ต้องการซื้อเอาไว้ขึ้นมาดู เกินกว่าครึ่งเป็นวัตถุดิบในการทำขนม ส่วนที่เหลือเป็นของสดและของใช้จำเป็นเล็กน้อย
ผมเดินตรงไปยังแผนกขายวัตถุดิบทำขนมก่อนเป็นอันดับแรกและเลือกซื้ออย่างตั้งใจจนลืมอีกคนที่มาด้วยไปเสียสนิท อาจเพราะผมมาคนเดียวเป็นประจำทำให้ผมลืมสนใจคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง พอรู้ตัวอีกทีเขาก็หายไปไหนก็ไม่รู้
"ไปไหนของเขา.." ผมพึมพำเบาๆขณะสอดส่ายสายตามองหาร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่ก็ต้องละสายตาหันกลับไปมองตามเสียงเรียกที่ดังขึ้นด้านหลัง
"คุณมิณ"ชายหนุ่มเชื้อสายต่างชาติในชุดสูทเรียบร้อยร้องทักผม ในมือหิ้วตะกร้าใบเล็กที่ข้างในใส่ของใช้จำเป็นสองสามอย่าง
"คุณรอน?" ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะเจอเขาในที่แบบนี้
"บังเอิญจัง มาซื้อของทำขนมเหรอครับ"
"ครับ อาทิตย์ก่อนผมไม่ได้มาซื้อ คราวนี้วัตถุดิบเลยขาดน่ะครับ"
"แล้วจะทำขนมอะไรครับ" เขาชำเรืองมองของในรถเข็นของผมอย่างสนใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจนักว่ามันคืออะไรบ้าง
"อืม พรุ่งนี้ผมกะจะอบคุกกี้ครับ ส่วนวันต่อไปผมจะทำครัวซอง อ่า... แต่ผมยังคิดเมนูวันถัดไปไม่ออกน่ะ" ผมยิ้ม ยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อเพราะผมไม่เคยคิดเมนูขนมล่วงหน้าได้เกินสองวันเลยซักครั้ง
"หึหึ คุณนี่ถ้าเป็นเรื่องขนมละก็ดูตั้งใจมากๆเลยนะครับ"
"ฮะๆ ก็ผมเป็นเจ้าของร้านขนมนี่ครับ" ผมหัวเราะตามเขาและเราก็เริ่มหัวเราะพร้อมๆกัน
ตั้งแต่ผมรู้จักกับเขามา รอนเป็นคนนิสัยดีมากเลยทีเดียว ไม่เคยถือตัวกับใครๆรวมถึงผมที่เป็นแค่เจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ เขาและคุณวิคเตอร์เป็นหนึ่งในลูกค้าประที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด นั่นทำให้ผมรู้สึกโชคดีแทนองค์กรที่ได้คนเก่งๆแถมนิสัยดีแบบทั้งสองคนไปร่วมงานด้วย
"คุณมิณ...ขอโทษนะครับ ที่คอ..." เขาชี้มือวนๆแถวคอตัวเองพร้อมกับส่งสายตาเป็นคำถามมาให้ผม
"อ๋อ นี่เหรอครับ ผมว่าผมน่าจะโดนแมลงกัดนะ แต่ก็ไม่ยักกะคัน"
"ขอโทษนะครับ" เขาว่าพลางขยับเข้ามาใกล้ พร้อมกับมือที่ปัดปอยผมบริเวณต้นคอของผมขึ้นเบาๆ
"ฉึบ!!!!" เสียงวัตถุบางอย่างตัดผ่านอากาศเสียงดังเฉียดปลายจมูกผมไปเล็กน้อย มันคือหนังสือเตรียมสอบมหาวิทยาลัยเล่มหนาลอยกั้นระหว่างหน้าผมกับมือของรอน...ใช่ และเจ้าของก็คือคนที่เพิ่งจะทำให้ผมต้องตามหา
"เฮ่!?" รอนอุทานอย่างตกใจปนหงุดหงิดพร้อมหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนคั่นกลางผมและเขาอยู่
"อย่าแตะ" เจย์พูดเสียงรอดไรฟันด้วยแววตาหงุดหงิด
"นี่..!!!"
"เออ รอนครับ ใจเย็นๆก่อน นี่น้องผมเอง" ผมรีบห้ามก่อนที่พวกเราจะเป็นเป้าสายตามากกว่านี้ เพราะเสียงการพูดคุยที่ดังกว่าปกติและคนที่เป็นจุดดึงดูดสายตาคนอื่นๆถึงสองคน...แน่นอนว่าไม่รวมผม
คนสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาดูดีจนดึงดูดสายตาลูกค้าและพนักงานหญิงเกือบค่อนซุปเปอร์มาร์เกต และยิ่งมายืนด้วยกันแบบนี้ รอนดูมีเสน่ห์แบบชายหนุ่มวัยทำงานที่ดูจริงจังแต่ก็มีแววขี้เล่น ส่วนเจย์ถึงจะอายุยังน้อยแต่เขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่ดูดีเอามากๆ แบบที่เด็กสาวสมัยนี้ชอบเรียกว่าสไตล์เกาหลีอะไรประมาณนั้น
"น้อง? คุณมิณมีน้องด้วยเหรอครับ?"
"เออ ก็ ไม่เชิงน่ะครับ" ผมยิ้มแห้งๆตอบกลับไปหลังจากได้สายตาเป็นคำถามส่งมา
"ผมต้องขอโทษแทนน้องด้วยนะครับ ช่วงนี้เขาเครียดๆ" ผมเหลือบมองหนังสือเล่มหนาในมือของเจย์
"...ไม่เป็นไรครับ ถ้าเป็นน้องคุณมิณล่ะก็ อืม..ผมคงต้องไปแล้ว พรุ่งนี้ผมจะแวะไปกินคุกกี้นะครับ" เขาชำเรืองมองเจย์อย่างเคืองเล็กน้อย ว่าหลังจากยกนาฬิกาข้อมือเรือนแพงขึ้นมาดู ผมขอโทษเขาอีกครั้งก่อนแยกย้ายกันและหันมาให้ความสนใจเด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้าบูดอยู่ข้างๆ
"เจเจ..."
"พอเลย หยุดบ่น!"
"หยุดอะไร พี่ยังไม่ได้เริ่มเลยนะ"
"..."
"นี่ รู้มั้ย คุณรอนเป็นลูกค้าที่ร้านนะ เธอทำอย่างนั้นมันไม่ดีรู้มั้ย แถมเขายังอายุมากกว่าเธอตั้งเยอะ แบบนั้น..."
"ไม่ฟังๆๆๆ" เจย์ร้องพร้อมกับวางของในมือลงในตะกร้ารถและยกมือขึ้นอุดหูทั้งสองข้างเหมือนเด็กเล็กๆกำลังงอแงเพราะโดนแม่ดุ ...แต่ปัญหาคือคนตรงหน้านี้ดันเป็นเด็กม.ปลายตัวโข่งน่ะสิ
"เจเจ...."
"...."
"เฮ้อ.. คราวหน้าอย่าทำแบบนั้นอีกนะ เป็นเด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ เข้าใจมั้ย"
"...ฮึ" เขาส่งเสียงขึ้นจมูกพลางเสมองไปอีกทาง เฮ้อ นี่ผมกำลังโดนงอนอยู่รึเปล่านะ
"อะ นี่เธอซื้อเสื้อผ้ามาทำไมน่ะ ยังจะไม่กลับบ้านเหรอ" ในตะกร้ารถเข็นมีของเพิ่มมาเล็กน้อย เสื้อผ้าสองสามชุด ของใช้ส่วนตัว และถุงจากร้านหนังสือ
"อืม...ทำไม จะไม่ให้อยู่รึไง"
"เปล่าๆ เธอจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้แหละ แต่ต้องบอกที่บ้านก่อนนะ"
"เออ โทรบอกแล้ว" เขาตอบเสียงห้วน ผมหรี่ตามองเขาอย่างพิจารณาแต่ก็โดนเขาเบียดตัวเข้ามาทำหน้าที่เข็นรถแทนซะก่อน
ผมเดินซื้อของต่อตามรายการที่จดไว้โดยมีเจย์เข็นรถตามมาเงียบๆ ผมซื้ออาหารและผักสดไปไม่มากเพราะที่ร้านยังมีอยู่ แถมวันนี้ยังเดินมา ซื้อของเยอะจะเป็นภาระเปล่าๆ
การซื้อของที่แผนกผักสดวันนี้ทำให้ผมรู้ว่าเจเจแยกความแตกต่างระหว่างผักชีกับขึ้นฉ่ายไม่ออก(ตลกมากครับ เขาบอกว่า ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เห็นความแตกต่างอยู่ดี) แถมยังเป็นเด็กที่เกลียดการกินผักสีเขียวแทบทุกชนิดแต่แปลกที่เขาชอบกินพวกผักที่มีสีสันเช่น แครอทกับมะเขือเทศ
"เย็นนี้ทำข้าวผัดดีมั้ย ชอบกินรึเปล่า" ผมถามขณะที่เราเดินทอดน่องเอื่อยๆบนทางเท้าเพื่อกลับร้าน ในมือผมหิ้วถุงสองใบ ต่างจากเจย์ที่ของวันนี้เกือบทั้งหมดเขาเป็นคนหิ้ว แถมไม่ยอมแบ่งผมอีกต่างหาก
"...อื้อ ไข่ดาวด้วยนะ ไข่แดงไม่สุก"
"ได้สิ แต่ต้องไข่แดงสุกๆนะ"
"หา? ก็เมื่อกี้บอกว่าไม่สุกไง" เจย์หันควับมาขมวดคิ้วใส่ผมทันที
"ไม่ได้ๆ ไข่แดงไม่สุกมันอันตรายนะ"
"อันตรายอะไร"
"ก็ไข้หวัดนกไง แต่กินของไม่สุกยังไงก็ไม่ดีอยู่แล้วล่ะ"
"จะบ้ารึไง ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นกันหรอก"
"อื้ม ตกลงนะ ข้าวผัดกับไข่ดาวสุกๆ" ผมยิ้มกว้างและเร่งฝีเท้าให้เดินนำออกไป
"เฮ่ย! ก็บอกว่าไม่สุกไง" เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆไล่ตามมาพร้อมเสียงบ่นงึมงำที่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน
ตลอดทั้งเย็นเราเถียงกันเรื่องไข่ดาวสุกหรือไม่สุก ถึงแม้เจย์จะพยายามมายืนใกล้ๆตอนที่ผมทำอาหารเพื่อกดดันให้ผมทอดไข่ดาวไม่สุกก็เถอะแต่เขาก็ต้องยอมแพ้ให้กับน้ำมันร้อนๆที่แตกออกจากกระทะและยอมไปนั่งเงียบๆบนโต๊ะอาหารแต่โดยดี ลามไปถึงเถียงกันเรื่องที่เขาไม่ยอมกินผักสีเขียว เพราะเจย์เขี่ยถั่วที่ผมใส่ลงไปในข้าวผัดทิ้งทั้งหมด เขาให้เหตุผลว่าสีเขียวไม่น่าจะเป็นสีของอาหารเพราะมันดูไม่น่าอร่อย แต่สุดท้ายเขาก็ยอมกินไข่ดาวแบบสุกๆแถมกินถั่วไปอีกนิดหน่อยเพราะทนฟังผมบ่นไม่ไหว
คืนนั้นผมนอนได้สบายตัวมากขึ้น ไม่รู้สึกเหมือนมีมดมากัดเหมือนคืนก่อน แต่ความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกอะไรซักอย่างรัดก็ยังคงอยู่ อาจเพราะมีเจย์อยู่ด้วยก็เลยนอนเบียดกันรึเปล่าผมก็ขี้เกียจจะคิดจึงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปและจมลึกลงในความมืดมิดของการนอนจนรุ่งสาง และผมก็ไม่คิดจะใส่ใจเรื่องแบบนั้นอีก …บางทีอาจจะเพราะผมเริ่มอายุมากขึ้นกระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยจะดี เลยรู้สึกอึดอัดรึเปล่านะ…?
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ภายนอกร้านจึงดูคึกคักเป็นพิเศษทั้งครอบครัวที่พากันออกไปเที่ยวพักผ่อนและเด็กวัยรุ่นรวมกันเป็นกลุ่มเดินไปมา ตรงข้ามกับร้านอีกฟากหนึ่งของถนนเป็นตึกสูงใหญ่ของบริษัทชื่อดังแต่พื้นที่ติดกันเป็นสวนสาธารณะเล็กๆที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆแถวนี้เป็นอย่างมาก และวันนี้ก็เต็มเหมือนทุกๆวันหยุดที่ผ่านมา
ผมเหลือบมองเจย์ที่ยึดที่นั่งติดกระจกใสหน้าร้านตั้งแต่ช่วงเช้า บนโต๊ะคือหนังสือเตรียมสอบเล่มหนาและเครื่องเขียนสองสามอย่าง สายตาเหม่อมองออกไปข้างนอกโฟกัสที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้าม เด็กๆกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน รอบๆตัวมีผู้ปกครองหลายคนบ้างก็ยืนคุยกันบ้างก็เล่นกับเด็กๆ เป็นภาพที่น่ารัก แต่สายตาที่เจย์มองออกไปกลับให้ความรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“หิวรึยัง…ตอนเช้าเธอกลับไปที่บ้านเหรอ” ผมถามพร้อมกับวางคุกกี้ลงบนโต๊ะ เจย์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองผม
“อืม กลับไปเอาชุดนักเรียน”
“ที่บ้านเธอไม่ได้ว่าอะไรใช่มั้ย ที่มาค้างที่อื่นแบบนี้"
ไม่หรอก” เขาตอบเบาๆและก้มหน้าลงอ่านหนังสือที่ค้างไว้ต่อ ในขณะที่ผมกำลังจะพูดต่ออยู่นั้นเสียงกระดิ่งจากประตูร้านก็ดึงความสนใจของผมให้หันไปมอง เด็กผู้ชายตัวเล็กน่าจะอายุประมาณเจ็ดขวบเดินเข้ามาในร้านอย่างสนอกสนใจ ดวงตากลมโตใสแจ๋วจับจ้องแผ่นป้ายที่สกรีนเมนูขายดีของร้านไม่วางตา
“สวัสดีครับ อยากทานขนมอะไรเอ่ย” ผมเดินเข้าไปทัก เด็กชายไม่พูดอะไรแต่ชี้นิ้วมือเล็กๆไปที่ผ่านป้ายที่จ้องอยู่เมื่อครู่ เป็นเมนูคาปูชิโน่ปั่นโปะด้วยวิปครีมและผงกาแฟโรยหน้า เมนูขายดีประจำช่วงนี้
“ผมมีเงินเท่านี้ ผมกินได้มั้ยครับ” ในมือของเด็กชายกำธนบัตรสีแดงไว้จนยับยู่ยี่
“ได้สิ แต่เธอไม่อยากลองกินชอกโกแลตเย็นดูเหรอ” ผมยิ้มและยกตัวเด็กตัวเล็กขึ้นนั่งบนเก้าอี้หน้าบาร์ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมไปอยู่ที่ประจำหลังเคาน์เตอร์
“ไม่ครับ ผมอยากกินกาแฟ”
“ทำไมล่ะครับ กาแฟน่ะขมมากๆเลยนะ”
“อ๊ะ..ขมเหรอ..แต่คุณแม่ผมกินทุกวันเลย ทำไมคุณแม่ไม่ขมล่ะ” ใบหน้าเล็กๆเงยหน้ามองผม คิ้วบางเหนือดวงตากลมโตขมวดลงอย่างสงสัย
“ก็เพราะคุณแม่โตแล้วไง แต่เธอยังเด็กอยู่ แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ พี่ชื่อมิณนะ”
“ชื่อซันครับ”
“อื้ม กาแฟน่ะเป็นเครื่องดื่มของผู้ใหญ่นะ เด็กๆแบบซันกินมันไม่ดี”
“ไม่ดียังไงเหรอครับ”
“เออ…มันก็…” คราวนี้เป็นผมที่เป็นฝ่ายเงียบ ถึงผมจะชอบเด็กๆแต่การรับมือกับคำถามของเด็กน้อยไร้เดียวสาเป็นอะไรที่ผมไม่ถนัดเอาเสียเลย
“นายก็จะความจำเสื่อมแถมจะโง่ด้วยน่ะสิ” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของที่กระแทกตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆพร้อมกับส่งสายตายียวนไปให้เด็กตัวเล็กที่ต้องแหงนหน้ามองเขาจนคอตั้ง
“เจเจ!! ทำไมพูดแบบนั้น” ผมร้องตามด้วยความรู้สึกอยากหยิบอะไรสักอย่างมาตีเขา
“อะไร ก็มันเรื่องจริง” เขายักไหล่ทำท่าไม่รู้ไม่รู้
“ไม่จริง พี่โกหก ถ้ากินแล้วความจำเสื่อม ทำไมแม่ยังจำผมได้ล่ะ” เด็กน้อยว่าอย่างไม่ยอมแพ้
“ก็เพราะนายยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกไง!”
“ไม่จริง ผมโตแล้ว!!”
“อ้อ เหรอ” เจย์ลากเสียงยาวพร้อมกับเหล่ตามองเด็กตัวเล็กข้างๆอย่างดูแคลน ส่งผลทำให้คนถูกมองเริ่มเบะปาก
“เหอะ ขี้แย”
“เจเจ!! อย่าแกล้งน้อง!” ผมร้องแต่คราวนี้มาพร้อมกับช้อนกาแฟที่ตีลงบนแขนเขา
“โอ๊ย! มันเจ็บนะ!” ผมเมินเจย์ที่กำลังทำหน้าบูดและยกแก้วชอกโกแลตเย็นพร้อมวิปครีมมาวางลงตรงหน้าของซัน
“โอ๋ อย่าสนใจพี่เขาเลยนะ มากินชอกโกแลตเย็นดีกว่า กาแฟน่ะเป็นเครื่องดื่มของผู้ใหญ่ เด็กๆกินมันไม่ดี อีกอย่าง มันอร่อยสู้ชอกโกแลตไม่ได้หรอก” ผมยิ้ม
“…ว้าวว อร่อยจริงๆด้วย” เด็กชายว่าหลังจากจิบชอกโกแลตไปหนึ่งอึก
“หึหึ ใช่มั้ยล่ะ วันนี้พี่เลี้ยงแล้วกันนะ เอาเงินไปหยอดกระปุกออกสินซะล่ะ” ผมลูบหัวเด็กชายเบาๆส่วนเจ้าตัวก็พยักหน้ารัวๆจนผมสีน้ำตาลเข้มนั้นสะบัดไปมา ก่อนจะวางชอกโกแลตอีกแก้วลงตรงหน้าเด็กโข่งที่อยู่ข้างๆ
“ฮื้อ ไม่เอาอ่ะ จะกินกาแฟ”
“ไม่ได้ พี่บอกแล้วไงว่าเด็กๆไม่ควรกิน”
“นี่โตแล้ว ไม่ใช่เด็ก!” เหมือนเด็กตัวโตตรงหน้าจะงอแงซะแล้วสิ
“นี่ๆ พี่มิณครับ เด็กๆกินกาแฟไม่ดีใช่รึเปล่า” ซันใช่มือกระตุกแขนเสื้อผมแล้วกระซิบเบาๆ
“อื้ม ใช่แล้ว”
“งั้นพี่ชายคนนี้ก็เป็นเด็กไม่ดีใช่มั้ยครับ” เด็กตัวเล็กยิ้มกว้างและชี้ไปทางเจเจที่ตอนนี้กำลังทำสีหน้าไม่ถูก ทั้งๆที่เป็นฝ่ายแกล้งเขาก่อนแท้ๆเลยน้า
“นี่!! ไอ้เปี๊ยก!”
“อุ๊บ! ฮ่าๆๆ เจเจเป็นเด็กไม่ดีนะที่กินกาแฟ น้องยังรู้เลย เพราะฉะนั้นกินชอกโกแลตเย็นนี่เลยนะ” ผมกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นสีหน้าของเขา
เจยกัดฟันกรอดมองผมเหมือนคาดโทษก่อนจะดึงแก้ชอกโกแลตไปดื่มอึกใหญ่ ส่งผลให้วิปครีมเนื้อนุ่มติดอยู่เต็มริมฝีปากและบางส่วนไปติดอยู่ที่ปลายจมูกโด่งนั่นด้วย
“อ๊ะ พี่กินมูมมามจัง” ซันว่าและขยับออกห่างแต่ไม่ลืมส่งกระดาษทิชชูไปให้
“ฮะๆ ฮ่าๆ เจเจตลกจัง” ผมหัวเราะจนรู้สึกปวดท้องไปหมดและรับรู้ได้ถึงน้ำตาที่ซึมอยู่บริเวณหัวตา
“นี่!! หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ!!” เจย์ถลึกตามองมาทางผมอย่างกินเลือดกินเนื้อฮะๆ เขาจะรู้มั้ยนะว่าการทำสีหน้าแบบนั้นโดยมีวิปครีมติดอยู่ที่ปลายจมูกมันดูไม่น่ากลัวเลยซักนิด หึ!! ไม่สนใจเจเจเลยนะ พี่มิณ!! เจย์จะงอนแล้วนะ
........................................
สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะะะะะ!!!
จริงๆแล้วคนเขียนไม่ได้หายไปไหนนะคะ ก็ยังคงซุ่ม(ย้ำว่าซุ่ม) แต่นิยายอยู่เงียบๆนี่ล่ะค่ะ
แต่ไม่ค่อยได้เข้าบอร์ดเท่าไหร่ กะว่าจะลงก็ไม่ได้ลงซักที (อู้นั่นเอง)
วันนี้เข้ามาถึงกับงงเลยค่ะที่มีบอร์ดเรื่องสั้นขึ้นมา ตอนแรกเข้ามาไม่ได้สนใจอะไรเลย มุ่งตรงจะอัพนิยายค่ะ สรุปหาเรื่องตัวเองไม่เจอ
นี่รีเฟสดูอีกรอบถึงรู้ค่ะว่ามีบอร์ดใหม่ (ฮา)
ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามเหนียวแน่นหนึบไม่ไปไหนนะคะ
พี่มิณกับน้องเจย์กลับมาแล้วน้าาา
ป.ล.ทำไมรู้สึกว่า ยิ่งเขียนไป พี่มิณยิ่งขี้แกล้งขึ้นทุกวันเลยนะเนี่ย