-11-
“นอนหลับสบายดีไหมครับ” ดีนถามขณะผมอ้าปากหาววอดๆ รอเจ้าของห้องที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ “ท่าทางจะไม่ได้นอน”
“ฉันต่างหากที่ไม่ได้นอน” กำลังจะอ้าปากตอบ เสียงดังขัดมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง คนพูดกำลังกลัดกระดุมแขนเสื้อที่ข้อมือ “นอนดิ้นจนฉันแทบตกเตียง”
“บอสอย่ามาใส่ร้าย ผมนอนเรียบร้อยจะตาย” ใครๆ ก็บอกว่าผมนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“อยากดูไหมล่ะ ฉันมีหลักฐาน” ว่าแล้วโทรศัพท์เครื่องแพงก็ถูกหยิบขึ้นมา เจ้าของเครื่องเลื่อนๆ หาคลิปที่ตัวเองถ่ายไว้จนผมต้องรีบวิ่งเข้าไปเกาะแขนอ้อนวอน ดีนที่ยืนรออยู่ถึงกับหัวเราะออกมา “คนเราหนีความจริงไม่ได้หรอกนะ”
“บอสลบทิ้งเลยนะ ถ่ายทำไมก็ไม่รู้”
“ก็รู้ว่าจะมีคนเถียงไง”
ได้แต่เบ้ปากเมื่อไปต่อไม่ได้ หลังจากพร้อมก็ออกเดินทางไปทำงานเช่นทุกวัน ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานที่คลับนี้ มื้อเช้าของผมจะเป็นขนมปังกับนมซะส่วนใหญ่ หรือถ้าตื่นเช้าหน่อยก็จะได้ข้าวต้มอร่อยๆ รองท้อง มีวันนี้ที่ตื่นเช้า แต่อาหารรองร้องกลับเป็นไข่ดาวไส้กรอก นั่นยังไม่อร่อยเท่าแฮมที่ผมกินแบบละเลียด จนนายจักรพรรดิต้องเอาของตัวเองมาให้ผมด้วย
ตลกกินฟรีก็แบบนี้แหละครับ
การจราจรคับคั่งเช่นทุกวัน ขนาดออกมาแต่เช้าก็ยังติด เมื่อไหร่จะมีใบพัดติดหลังคารถนะ หากรถติดเต็มถนนจะได้บินขึ้นท้องฟ้า ลดปัญญาไปได้เยอะมาก
“เช้านี้ทายาหรือยัง” คำถามที่ทำให้ผมละสายตาจากป้ายโฆษณาด้านนอกกลับเข้ามาสนใจ ผมพยักหน้าลงช้าๆ เป็นคำตอบ “อีกไม่กี่วันก็คงหาย ช่วงนี้ก็อยู่กับฉันไปก่อน”
“เดี๋ยวผมไปเช่าห้องอยู่ก็ได้ ไม่กี่วันเอง”
“เปลืองเงินทำไมกัน”
“แต่...” ระหว่างจะเถียง เสียงริงโทนโทรศัพท์ของผมก็ดัง พร้อมแรงสั่นสะเทือนจนต้องรีบรับ “ฮัลโหล”
(ไม่ต้องมาห้าโหล หกโหลเลย กระวานอยู่ไหนเนี่ย ทำไมไม่กลับบ้าน) เสียงดังผ่านปลายสายแทบทะลุแก้วหู เมื่อคืนผมก็คิดที่จะโทรไปบอกที่บ้าน แต่ก็ดันลืม ซวยแล้ว
“พอดีติดงานน่ะ เลยไม่ได้กลับบ้าน” ขอโทษที่พูดปดไป แต่ผมบอกความจริงไม่ได้
(ติดงานก็น่าจะโทรบอกกันบ้าง พ่อกับแม่เป็นห่วงจนจะไปแจ้งความคนหายอยู่แล้ว) โป๊ยกั๊กโวยวายใส่อารมณ์ เวลานี้มันน่าจะอยู่โรงเรียนสิ หรือวันนี้วันหยุดหว่า...
“นายอยู่โรงเรียนเหรอ” ลองหยั่งเชิงถามดู และปลายสายก็ตอบกลับมาเพียงคำว่าอื่อ “งั้นก็ไปเข้าเรียนได้แล้ว”
(รู้แล้วน่า แต่ต่อไปถ้าจะไม่กลับบ้านก็โทรบอกด้วย อย่าทำให้มือถือเป็นแค่เครื่องประดับ เข้าใจไหม)
“ครับๆ ทำไมขี้บ่นจังวะ” นี่น้องผมหรือพ่อผมกันแน่
(ก็เพราะกระวานทำตัวให้บ่นเอง แล้ววันนี้จะกลับไหม)
“ดูก่อน ไว้จะโทรบอกอีกที” แบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่กล้าบอกตรงๆ ว่าไม่กลับ เพราะโป๊ยกั๊กจะต้องถามหาเหตุผลอีกเป็นร้อยแน่ จบมาควรไปเป็นตำรวจแบบพี่ไธม์นะ ซักไซ้คนเก่งเสียจริง
หลังจากวางสาย ผมก็รู้สึกว่ากำลังถูกมอง และมันก็จริง คนนั่งข้างๆ กำลังมองผมอยู่จริงๆ แถมมองด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
“แฟนโทรมา?”
“น้องชายต่างหาก”
“อ่าวเหรอ”
ผมกำลังถูกยั่วโมโหอยู่แน่ๆ ขนาดดีนที่ขับรถอยู่ยังหลุดขำ นิสัยไม่ดีทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง
ฝ่าการจราจรจนมาถึงคลับ ปกติผมมาทำงานเช้ากว่านี้ เพราะนี่เลยเวลาเข้างานมาเกือบชั่วโมง โดนหักเงินเดือนละก็ จะโวยวายให้ดู ลงจากรถมาได้ผมก็รีบเดินเข้าตึก ต้องตอกบัตรเข้างานด้วย อย่างกับทำงานออฟฟิตอย่างงั้นแหละ ที่จริงตอนแรกผมกังวลเรื่องชุดทำงานเหมือนกัน แต่อยู่ๆ เช้ามืดก็มีชุดทำงานแหวนอยู่หน้าตู้ ไม่รู้ใครเอาเข้าไปไว้ แถมซักซะหอม
เข้าตึกทางด้านข้างเพื่อไปตอกบัตร ผมก็ไม่ได้สังเกตว่าจะถูกใครมองไหม เพราะคิดว่าพวกเขาคงหาว่าผมมาทำงานสาย ต้องไปโทษคนตื่นสายนู้น กว่าจะตื่น แถมทำผ้าหลุดอีก ดีที่ใส่กางเกงอยู่ ไม่งั้นผมคงได้เจอหนอนชาเขียวแต่เช้าแน่
แค่ก้าวขาเข้าห้องโถงก็ถูกสายตาพนักงานเกือบทั้งหมดหันมาจ้องเป็นตาเดียวจนเริ่มกังวล หรือผมจะลืมรูดซิบวะ แต่พอก้มมองก็รูดปิดสนิทดี แล้วเขามองกันทำไม กำลังจะอ้าปากถาม แต่ดันมีลูกค้าเข้ามาซะก่อน ผมเลยต้องเดินไปรับ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็สามารถหาหมอนวดที่ถูกใจให้ได้ พร้อมได้ทิปอย่างงามเช่นทุกครั้ง เพราะแบบนี้สินะ ผมถึงถูกแยกจากทุกคน จากที่คิดว่าจะมีเพื่อน สุดท้ายก็โดดเดี่ยว
ผมยังคงตั้งใจทำงาน แต่วันนี้รู้สึกปวดหัวแปลกๆ ทำให้ไม่ค่อยพร้อมที่จะต้องมาทนฟังเสียงเป็นร้อยๆ ความคิดที่ผ่านเข้ามา ผมเลยต้องออกไปหาหูฟังในรถมาเป็นตัวช่วย จังหวะที่กำลังหยิบ สายตาเหลือบไปเห็นรถลีมูซีนคันยาวโฉบเข้ามาจอด มันคงจะไม่น่าสนใจหากคนที่ลงมาไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก ทำไมหอมเพิ่งมาทำงาน แล้วมากับใคร...อย่าบอกว่ามากับลูกค้าวีไอพีคนนั้น
“หาอะไรหรือครับ” คำถามที่ทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปมองก็เจอพี่ยามที่ก้มๆ เงยๆ คงเพราะผมกำลังทำแบบนั้นอยู่แน่ๆ
“หาหูฟังครับ” ตอบส่งๆ แบบขอไปที แต่พี่ยามกลับตีหน้ายุ่ง “ทำไมเหรอครับ”
“หูฟังสีชมพูอันใหญ่ๆ ใช่ไหมครับ” พยักหน้าแทนคำพูด “ที่คอ”
“คอ?”
“มันอยู่ที่คอคุณนั่นแหละครับ”
“อ้อ”
พอจับปุ๊บก็เจอเลย ผมรีบโค้งศีรษะขอบคุณแล้วรีบเดินหนีเข้าตึก ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...อาย นี่ถ้าเป็นงูละก็ มันคงงับคอผมไปแล้ว ส่วนเรื่องของหอม ไว้มีโอกาสค่อยถามก็ได้ ผมกลัวว่าหอมอาจจะถูกหลอกให้เป็นของเล่น ดูๆ แล้ว คนนั้นก็ไม่ธรรมดาเลย ทำไมผมไม่ได้ยินความคิดทั้งหมดของคนอื่นเนี่ย
“มองอะไร” ด้วยความหงุดหงิดเลยเผลอตวาด ก่อนรีบขอโทษเมื่อคนตรงหน้าคือเจ้าของที่นี่
“หงุดหงิดอะไร” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม มือใหญ่ยื่นมาจะแตะที่หน้าแต่ผมเอนตัวหนี “เป็นอะไร”
“เปล่าครับ ผมแค่ปวดหัว บอสมีอะไรหรือเปล่า”
“ลงมาไม่เห็นก็คิดว่าเป็นอะไรไป แล้วนี่ ไปไหนมา”
“พอดีผมออกไปเอาหูฟังมา ถ้าบอสไม่มีอะไร ผมขอตัวไปทำงาน” เพราะไม่อยากหงุดหงิดใส่คนอื่น ผมรีบเดินแยกมาอีกทาง ไม่สนว่าจะถูกมองยังไง เพราะตอนนี้คนก็จ้องมองผมทั้งตึกอยู่แล้ว หนีจากนายจักรพรรดิมาได้ก็มาเจอเจ๊พิมพ์อีก หน้าขาวขึ้นรอยฝ่ามือเด่นชัดกว่าเมื่อวาน แม้จะปกปิดด้วยเครื่องสำอางยังไงก็ยังเห็นอยู่ดี “หน้าเจ๊ดูไม่ค่อยดีนะ”
“หน้านายก็เหมือนกัน เขียวช้ำน่ากลัวมาก”
หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่คนมอง ผมว่าน่าจะใช่
“ไม่รู้กี่วันจะหาย ปวดด้วย”
“กินยาหรือยัง”
ไม่ใช่เสียงเล็ก แต่เป็นเสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปดู เจอนายจักรพรรดิที่ยืนจนชิดตัวผม เดินตามมาตอนไหนเนี่ย ทำไมผมไม่รู้ตัว
“กินแล้ว”
“เมื่อไหร่”
“เมื่อเช้า”
“โกหก”
“ไม่ได้โกหก กินตอนบอสแต่งตัวอยู่ ไม่เชื่อถามดีนสิ”
พูดจบคนตรงหน้าก็หรี่ตามอง แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู คนปลายสายคือดีนและสิ่งที่เขาถามคือถามว่าผมกินยาจริงหรือเปล่า นี่เขาเป็นพ่อของผมอีกคนหรือเปล่าเนี่ย ยุ่งวุ่นวายขนาดนี้ หลังจากได้คำตอบเขาก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม
“บอสมีอะไรหรือเปล่าคะ” เจ๊พิมพ์ขัดขึ้นมา คงเพราะบรรยากาศชวนอึดอัดนั่น “มีอะไรสั่งพิมพ์ได้นะคะ”
“ไม่มีอะไร ก็แค่มาตรวจงาน” พูดจบก็เดินไปเฉย ปล่อยให้ผมกับเจ๊พิมพ์หันมามองหน้ากันด้วยความมึนงงเพราะตามอารมณ์ไม่ถูก “ตอนเที่ยงเอาข้าวไปให้ที่ห้องด้วยนะ” ก่อนจะเข้าลิฟต์ไป ยังมิวายตะโกนมาสั่ง ผมชี้เข้าหาตัวเองซึ่งก็ได้การพยักหน้ากลับมา
อะไรเนี่ย
“นายเอาอะไรให้บอสกินหรือเปล่า” อยู่ๆ เจ๊พิมพ์ก็ถามออกมา ผมก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “แอบเอายาเสน่ห์ให้กินใช่ไหม เพราะถ้าดูจาก...รูปร่างอ้วนๆ นี่ละก็ คงไม่น่าหลง”
“อวบครับอวบ ผมยังไม่อ้วนสักหน่อย” ค่าน้ำหนักกับส่วนสูงยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอยู่เถอะ
“อวบใกล้ระยะสุดท้าย”
“เจ๊” ลากเสียงยาวจนถูกหัวเราะ “ไปทำงานดีกว่า”
“อย่าลืมเอาข้าวเที่ยงไปให้บอสด้วยนะ ระวังจะถูกลงมาตาม เอ๊ย ตรวจงานอีก”
ผมยกมืออุดหูแล้วเดินหนีออกมา โชคดีมีลูกค้าเข้ามาพอดีผมเลยรีบเดินเข้าไปหา งานเชียร์แขกนี่บางครั้งผมก็ว่ามันก็สนุกดีเหมือนกัน ถ้าตัดเรื่องความคิดหื่นๆ ไปน่ะนะ ผมว่า พลังพิเศษของผม เกิดมาเพื่ออาชีพนี้โดยเฉพาะ จะให้ไปทำงานอย่างอื่นหรือนั่งออฟฟิตทั้งวันมันก็คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่
***
เวลาแต่ละชั่วโมงก็ไวราวกับละคร เผลอแป๊บเดียวก็เที่ยง ผมต้องเอาข้าวไปให้บอสตามที่สั่ง ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมาหรือเพราะแค่อยากจะแกล้งผม จากที่ถามคนอื่นๆ หน้าที่นี้เป็นของดีน เพราะมีศัตรูคอยจ้องเล่นงาน ดังนั้นของทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากลูกน้องคนสนิท ไม่เว้นแม้แต่ข้าว ต้องตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบวางยาหรือใส่อะไรปนเปื้อน แล้วนี่ผมต้องตรวจสอบก่อนไหม ต้องกินข้าวในกล่องก่อนที่จะให้หรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่หยิบข้าวกล่องขึ้นไปให้ โดยมีสายตาจับจ้องหลายต่อหลายคู่ สงสัยโดนหาว่าอู้แน่ๆ
“ช้า” ทันทีที่โผล่หน้าเข้าไปก็ถูกตำหนิทันที ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง มันก็เหลืออีกตั้งสองนาทีถึงจะเที่ยงวัน “แล้วข้าวในกล่องนั้นมีอะไร”
“ไม่รู้” ตอบส่งๆ ก่อนจะเปิดต่อหน้าเจ้าของข้าวกล่อง “ข้าวผัดต้มยำทะเลรวม” บอกเมนูอย่างแม่นยำ เพราะนี่ก็เป็นอีกเมนูที่ผมชอบให้พ่อทำให้ในช่วงช่วยงานที่ร้าน ถ้าโป๊ะไข่เจียวลาวาอีกนิดนะ สวรรค์ก็สู้ไม่ได้
“น่าอร่อยดี”
“มันอร่อยมากต่างหาก”
“เคยกินหรือไง”
“บอสถามไม่คิด ข้าวมาจากร้านผมๆ ก็ต้องเคยกินสิ”
ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากการขำในลำคอ ผมเดินออกจากห้องไปหยิบจานที่อยู่ห้องข้างๆ ที่รู้ก็เพราะเคยถูกใช้ให้ไปเอาน้ำดื่ม จัดการเทข้าวลงจาน จัดตกแต่งให้สวยงามก่อนยกมาวางไว้ที่โต๊ะกระจกในส่วนรับแขก นายจักรพรรดิลุกออกจากโต๊ะมานั่ง สายตาคมตวัดมองคล้ายกับจะสั่งให้ผมนั่งด้วย
“บอส ผมกลับลงไปได้หรือยัง” การนั่งดูคนกินข้าวขณะที่ท้องเรายังว่าง เป็นความทรมานอย่างหนึ่งเลยนะครับบอกเลย “บอส”
“ทำไมไม่เอาข้าวนายขึ้นมากินด้วยล่ะ” ถามพร้อมยื่นข้าวคำใหญ่มาจ่อที่ปาก ครั้นจะไม่กิน แต่กุ้งที่อยู่บนช้อนกลับสะกดจิตให้ผมอ้าปาก “หิวล่ะสิ”
“ก็มันถึงเวลาพักของผมแล้ว” พูดไปเคี้ยวไป “ไปได้ยัง”
ไม่มีคำตอบใดๆ เพราะคนที่ผมถามยกหูโทรศัพท์สั่งให้คนข้างล่างเอาข้าวขึ้นมา ทั้งที่ปฏิเสธหัวแทบชนเพดานอยู่แล้ว แต่ก็ขัดไม่ได้ ยังดีที่คนเอาขึ้นมาคือการ์ดของที่นี่ ถ้าเป็นพนักงานด้วยกันคงถูกมองมากกว่าเดิม ผมละเกลียดการถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาด แม้จะถูกมองแบบนั้นมาตลอดชีวิตก็เถอะแต่ก็ไม่ชอบอยู่ดี แค่ทุกวันนี้อยู่มาได้ก็เพราะการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ใส่ใจกับใคร พอได้ข้าวกล่องมาผมก็รีบตักเข้าปากคำใหญ่ เพราะไม่อยากอยู่บนนี้นานๆ
“เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” คนหวังดียื่นน้ำมาให้ ผมก็รีบยกขึ้นดื่มแล้วกินข้าวต่อ ทีนี้ข้าวกับน้ำคงรวมตัวกันเป็นก้อนผมเลยสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล “พูดยังไม่ทันขาดคำ” เสียงบ่นแว่วมาเข้าหู
“บอสแช่งทำไมเล่า” ไอจนแสบคอกว่าจะค่อยยังชั่ว “เสียงหายเลย” ลองกระแอมดู เสียงผมแหบมาก คงเพราะไอมากไป แต่เสียงเหมือนเป็ดกลับทำให้คนข้างๆ หัวเราะออกมา “ไม่ขำ”
“ตลกว่ะ” แล้วนายจักรพรรดิก็ขำออกมาอีกชุดใหญ่ ผมส่งค้อนไปชุดใหญ่ทำท่าจะลุกหนี แต่ก็ถูกคว้าข้อมือไว้แล้วฉุดให้นั่งตามเดิม “โอเคๆ ไม่หัวเราะก็ได้ แต่อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนก่อน...นะครับ”
เหมือนเกิดดาวที่หางตาตัวเองแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม เขาขอร้องผมด้วยน้ำเสียงอ้อน
“ดีนบอก ปกติบอสก็กินคนเดียว” แม้เสียงจะแหบแต่ก็อยากพูด
“ก็นั่นปกติ แต่นี่ไม่ปกติ”
ผมยกมือเกาหัวไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ปกติ กับไม่ปกติ มันคืออะไรวะ
“บอสรีบกินสิ เดี๋ยวผมลงไปทำงานสายจะถูกคนอื่นว่าเอา” ตัดบททันที รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาที่มองมา
“ใครจะกล้า”
ผมเม้มริมฝีปากไม่ตอบโต้อะไรอีก และนั่งอยู่ข้างๆ จนข้าวหมด พอผมจะลุกก็ถูกดึงอีกรอบ
“ผมต้องไป...”
“ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อน”
ไปต่อไม่ถูกเลยทีนี้ รอยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวที่ทำเอาใจสั่น ไอ้กระวานแกจะใจสั่นกับคนอย่างนายจักรพรรดิไม่ได้ เพราะถ้าแกใช้หนี้หมด ก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าแล้วนะ ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เผลอไปกับรอยยิ้มกว้างนั่น แม้มันจะหวั่นไหวไปนิดๆ แล้วก็ตาม
กว่าจะออกจากห้องของนายจักรพรรดิได้ ผมก็เดินชนโซฟาบ้าง ตู้บ้าง หนักสุดคือประตูที่น่าจะเพิ่มรอยช้ำบนหน้าผากตัวเอง ยังดีที่ลงลิฟต์ถูกอยู่ พอลงมาถึงลูกค้าก็แน่นคลับ ผมรีบเดินยิ้มเข้าไปหา แต่กลับถูกเดินหนี และไม่ว่าจะเดินเข้าไปหาใคร ทุกคนก็หนี จนทนไม่ไหวต้องเดินไปนั่งที่เคาน์เตอร์ร้านกาแฟแทน
“ทำผมมีอะไรหรือเปล่า ทำไมเขาถึงกลัว” เอ่ยถามกับพนักงานชงกาแฟที่ขำส่งมาให้ “หน้าผมตลกเหรอ”
“ค่ะ หน้าของคุณตลก ทั้งเขียว ทั้งช้ำ แถมบวมอีก” พนักงานชงกาแฟตอบออกมาตรงๆ ทำให้ผมรีบหันไปส่องกระจกดู “คุณน่าจะขอลานะคะ”
“ถ้าลาก็ต้องถูกหักเงินสิครับ”
“ไม่หรอกค่ะ บอสใจดีจะตายไป” นั่นหรือคือคนใจดี ผมเบ้ปากเมื่อได้ยินคนเยินยอนายจักรพรรดิ ที่จริงก็ทุกคนที่นี่เลยก็ว่าได้ ที่ดูรักและเคารพเขา “ขอให้หายไวๆ นะคะ”
“ขอบคุณครับ” เสียงอวยพรดังตามหลังขณะผมเดินเข้าไปหาลูกค้าอีกรอบ คราวนี้ก็ยังถูกเดินหนี ผมเลยตัดสินใจเข้าไปขอลากับคนดูแลอย่างเจ๊พิมพ์ ซึ่งก็ดูจะลาง่ายจริง ทันทีที่ผมบอก เจ๊แกก็อนุญาตทันที
เออ ดีเนอะ ไม่ยุ่งยากอย่างที่ทำงานอื่น
ผมเข้ามาเปลี่ยนชุดพร้อมหยิบข้าวของออกจากคลับ ผมขับพี่ชมพูออกมาเกือบจะถึงประตู พี่ยามกลับลากป้ายมาขวางไม่ให้ผมออก
“พี่ยามเอามาป้ายมาขวางทำไม” ลดกระจกแล้วตะโกนถาม พี่ยามรีบวิ่งมาหาผมพร้อมตะเบะท่าประจำตัว “พี่ยามช่วยเอาออกให้หน่อย”
“ไม่ได้ครับ” คำตอบกลับทำเอาผมขมวดคิ้ว
“ทำไมไม่ได้ล่ะ ผมลางานแล้วนะ” นี่มันอาบอบนวดหรือโรงเรียนกันแน่ ถึงห้ามไม่ให้ออกก่อนถึงเวลา ขนาดมีรถลูกค้าจอดรอจะเข้ามาพี่ยามแกก็ไม่วิ่งไปเปิดให้
“บอสสั่งมาว่า ให้รอบอสสักครู่ครับ”
“รอบอส? รอทำไม”
“อันนี้ผมก็ไม่ทราบ บอสกำลังลงมา กรุณารอสักครู่ครับ”
คราวนี้พูดจบก็ดันหน้ารถผมให้ถอยหลัง จนผมต้องบอกว่าจะถอยเอง นี่มันอะไรวะ จะห้ามผมไม่ให้ออกไปแบบนี้ก็ได้เหรอ เจ้านายไม่ใช่เจ้าชีวิตสักหน่อย ผมถอยรถไปรอที่ลานจอดตามเดิม ไม่นานเจ้าของอาบอบนวดก็เดินลงมา เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดโชว์ไหปลาร้าสวย รูปร่างสูงโปร่งทำให้ดูดีแม้จะสวมแค่ชุดลำลอง พอนายจักรพรรดิเดินมาถึงก็เปิดประตูเข้ามานั่งที่ข้างๆ พร้อมบ่นว่าร้อน
“บอสเข้ามาทำไม”
“ขี้เกียจทำงาน” ตอบพลางพับแขนเสื้อตัวเอง “อยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย”
“อยากไปก็ให้ลูกน้องบอสพาไปสิ”
“ก็นายจะไปอยู่แล้วนี่ อย่าขี้งกไปหน่อยเลยน่า เดี๋ยวฉันออกค่าน้ำมันให้”
“มันไม่ใช่เรื่องค่าน้ำมัน”
“ไปสิ สตาร์ทรถแบบนี้มันเปลืองน้ำมันนะ”
ผมจะทำยังไงกับคนๆ นี้ดี
“รัดเข็มขัดด้วย”
สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องพาไปด้วย ผมขับรถไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ตอนแรกก็คิดจะไปหาอะไรอร่อยกินแล้วเดินเล่นที่ห้างรับแอร์เย็นๆ แต่พอมีคนมาด้วยก็ต้องเปลี่ยนแผน
“อยากไปตลาดร้อยปี” อยู่ๆ คนที่หลับตาก็เอ่ยออกมา “รู้จักทางไหม”
“ไม่รู้”
“งั้นก็จอด”
“ไม่จอด”
“งั้นก็ขับตามที่บอก”
อ้าปากจะขัด พอดีกับดวงตาคมเปิดพรึ่บแล้วหันมาจ้อง ทำให้ผมรีบเม้มริมฝีปากทันที ทำไมต้องดุกันด้วยสายตาด้วย ผมขับรถออกทางเลี่ยงเมือง ตอนแรกคิดว่าจะเป็นตลาดใกล้ๆ ตัวเมือง ที่ไหนได้ มันอยู่อีกจังหวัดซึ่งไกลพอควร สองข้างทางตอนนี้เริ่มเห็นทุ่งนาที่ต้นข้าวออกรวงสวย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นกล้าทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
แต่ความสบายนั้นอยู่ได้ไม่นานเมื่อนายจักรพรรดิขยับตัวลุกนั่ง ใบหน้าเคร่งเครียดกับคิ้วขมวดทำเอาผมสงสัย สายตาเขาเอาแต่จ้องกระจกมองข้างรถอยู่ตลอด บ่อยครั้งจะหันไปมองด้านหลัง
“บอสเป็นอะไร”
“เดี๋ยวเลี้ยวเข้าไปในปั๊ม”
“ปวดขี้เหรอ”
“มีคนตามมาต่างหาก”
เชี่ย ตกใจยิ่งกว่าปวดขี้อีก ผมหันรีหันขวางไม่รู้จะขับต่อยังไง ดีที่มีมือใหญ่ช่วยจับพวงมาลัยบังคับรถไปด้วย จนพี่ชมพูจอดนิ่งที่ลานหน้าร้านสะดวกซื้อ ผมแอบมองรถที่หลบอยู่หน้าปั๊ม สงสัยจะตามมาตั้งแต่หน้าคลับ ทำไมผมไม่สังเกตเลยวะ
“มันจะยิงเราเหมือนคราวก่อนไหมบอส” ในหัวเริ่มมีภาพสยดสยองจนน้ำตาเอ่อขึ้นมา
“ไม่หรอก ถ้ามันจะยิง คงยิงไปนานแล้ว” คำตอบนั่นไม่ได้ทำให้ผมสบายใจ มือสองข้างสั่นไปหมด “อยู่กับฉัน ไม่ต้องกลัว” ความอุ่นจากมือใหญ่กำลังปลอบให้ผมสบายใจ ยิ่งแรงบีบเบาๆ ที่มือของผมผสมกับสายตาจริงจังหยุดความกลัวของผมได้ชะงัด
เสียงริงโทนโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงทำให้นายจักรพรรดิละสายตาจากผมไป นิ้วยาวกดรับพลางบอกพิกัดที่อยู่ให้ปลายสายรับรู้ ให้เดาคงจะเป็นดีนแน่ๆ และไม่นานเขาก็กลับมายิ้มกว้างให้กับผม
“ดีนเหรอ”
“อืม ใกล้ถึงแล้ว”
“หา?”
งงกับคำว่าใกล้ถึงที่ได้ยิน แปลว่าดีนก็ขับตามมาห่างๆ เหมือนกันเหรอ และความสงสัยก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อมีรถสีดำคุ้นตาโฉบเข้ามาจอดข้างๆ พี่ชมพู พอดีนเปิดประตูรถข้างคนขับออกมา นายจักรพรรดิก็สั่งให้ผมรถจากรถ ตอนนั้นเองผมก็ได้รู้ว่า รถคันสวยนั้นกันกระสุน นอกจากนักการเมืองกับตำรวจแล้ว จะมีคนธรรมดาที่ไหนนั่งรถกันกระสุน ไม่เป็นคนรวยก็มาเฟียแล้วล่ะ ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ ผมก็รีบหันไปมองรถของตัวเองที่ดีนเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย
“ดีนขับรถเก่ง ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ได้ห่วงแบบนั้นสักหน่อย”
“ก็เห็นมอง”
แม้จะถูกแขวะ แต่ผมก็ยังมองออกนอกตัวรถอยู่ พี่ชมพูก็ห่วง แต่ที่ห่วงมากกว่าคือ ไอ้คนที่ขับรถตามนั่นมันหายไปแล้ว สงสัยจะไหวตัวทันแหงๆ ฟู่ว เกือบไปเฝ้ายมบาลอีกรอบแล้ว ตอนนี้รถที่นั่งมุ่งหน้ากลับคลับ ก็นะ ไม่มีกะจิตกะใจออกไปเที่ยวสูดอากาศหรอก และหากไปจริงผมก็คงไม่ออกจากรถแน่ กลัวถูกเป่าสมองกระจาย ไม่คุ้มสักนิด ใช้เวลานานพอสมควรกว่ารถจะเลี้ยวเข้าไปจอดใต้คอนโดหรูและลิฟต์ก็เลื่อนทั้งรถและคนขึ้นไปชั้นจอดรถวีไอพี
“รถผมล่ะ” ถามเพราะตอนนี้ไม่เห็นรถของตัวเอง
“เดี๋ยวดีนก็ขับขึ้นมา” ตอบพลางหาว ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลย “ง่วงจัง เพิ่งจะบ่ายสี่เหรอเนี่ย”
“จะบ่น จะหาว จะบิดขี้เกียจผมก็ไม่ได้ว่า แต่ช่วยยืดแขนยาวๆ ไปทางอื่นได้ไหม นิ้วบอสจะทิ่มตาผมอยู่แล้ว” ว่าไปก็เหมือนกระทบก้อนหิน ยิ่งพูดนิ้วยาวก็ยิ่งทิ่มหน้า แถมยังหัวเราะชอบใจที่แกล้งผมได้อีก “บอส” ช่วงที่ผมขึ้นเสียง คนขับรถหลุดขำออกมาก่อนจะกระแอมขอโทษ แต่นั่นผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ กำลังโมโหคนแกล้งผมอยู่
“นายนี่ตัวนุ่มยังไม่พอ แก้มยังนุ่มอีกนะ”
“บอส”
พูดกำกวมจนคนอื่นคิดไปไหนต่อไหนแล้ว ผมรีบเปิดประตูลงจากรถแล้วเข้ากดลิฟต์เพื่อให้ปิด แต่กดเท่าไหร่ เลขหน้าปัดดิจิตอลก็ไม่ยอมขยับ
“มันไม่ขึ้นมาหรอกถ้าไม่ใส่รหัส” นายจักรพรรดิขำ นิ้วยาวกดใส่รหัสที่แป้นตัวเลขข้างปุ่มกดลิฟต์ เพียงแค่กดเลขตัวสุดท้ายลิฟต์ก็ทำงาน “ขึ้นห้องเรากัน”
“บอสอย่าพูดแบบนี้สิ”
“ทำไมล่ะ”
“คนอื่นเขาจะคิดว่าเรา...”
ผมเหลือบไปมองลูกน้องของนายจักรพรรดิที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ
“เราทำไม”
“ก็คิดว่าเรา...”
“เป็นผัวเมียกัน? โธ่แค่นี้...” รีบยกมือปิดปากคนพูดมาก แถมพูดตรงเกินซะจนผมอยากมุดรูช่องไฟหนี แต่แรงผมเท่ามดคงสู้แรงช้างไม่ได้ มือที่ปิดปากถูกดึงออกอย่างง่ายดาย “จะกลัวคนอื่นไปทำไม แค่ตัวเรารู้ก็พอ”
“คมมาก”
“อยากโดนบาดสักครั้งไหมล่ะ”
“ไม่ล่ะ ผมเกรงใจ”
ผมขอกลับคำได้ไหม ตอนนี้อยากให้เขากลับไปเป็นแบบเดิม เป็นคนที่ไม่นึกถึงเรื่องใดๆ อย่างแต่ก่อน เพราะผมทนฟังไม่ได้ ผมกำลังจะบ้าตายอยู่แล้ว
...TBC
เรื่องความเสี่ยว ไว้ใจนายจักรพรรดิ ฮ่าๆๆๆๆ
แล้วพบกันค่าาาา