┤S i n c e r e├
ใต้ผืนฟ้ากว้าง...เหนือกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่น
หลับตาเถิด แล้วทอดกายเคียงข้างฉัน
กุมมือฉันไว้ และโปรดตอบคำถาม
ความรักมั่นแต่วันวาน คือเรื่องจริงหรือภาพลวง
04 : Realize
“วี! เดี๋ยวก่อน!”
ผมตะโกนเรียกดังกว่าเก่า รีบตามเขาไป อีกนิดเดียวกำลังจะถึงตัว วีไม่ได้วิ่งด้วยซ้ำ เขาเพียงพยายามก้าวขาเร็ว ๆ อย่างเงอะงะ แต่บาสกลับยืนขวางผมไว้อย่างจงใจ
“บาสหลบ”
“...”
ผมขยับไปทางซ้าย หมอนั่นขยับตามมาขวาง แล้วพอย้ายไปทางขวา มันก็เบี่ยงตัวเองมาบังอีกเช่นเคย แต่ระหว่างนั้นวีไม่หันมามองสักนิด
“เฮ้ยบาส!” ผมถึงกับขึ้นเสียงใส่เพื่อน “หลบไป!”
บาสเหลือบมองวีแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาจ้องผมหน้าเครียด เอ่ยคำถามออกมาผิดเวลา
“ทำไมโง่ยอมให้พี่จูนจูบ”
“ไม่ได้ยอม”
“มึงชอบวีไม่ใช่เหรอ!?” มันไม่ฟัง แล้วยังขึ้นเสียงกลับ “ก็ไม่ควรทำให้ร้องไห้ปะวะ”
ผมใบ้กิน ยืนโง่ต่อหน้าเพื่อน มองวีที่กำลังเดินห่างออกไปยิ่งร้อนรน ปฏิเสธจะตอบคำถามบาสด้วยการผลักมันออกให้พ้นทางแล้ววิ่งตามวีไป ขณะที่บาสก็ตามมาด้วยเช่นกัน และหมอนั่นถึงตัววีก่อนผมเสียอีก สีหน้ามันดูหงุดหงิด ไม่เข้าใจเลยว่ามันมายุ่งอะไรเรื่องของผมกับพี่ชาย
“มึงเสือกอะไรวะ!?”
“เหี้ยวิน!” บาสสบถ ผลักไหล่ผมแรง ๆ “มึงมันโง่ เห็นแล้วหงุดหงิดลูกตา บอกไม่ได้ยอมพี่จูน แต่ถ้าเจอแบบนี้บ้างมึงเจ็บไหม?”
พูดไม่ทันขาดคำ ผมยังไม่หายข้องใจด้วยซ้ำว่าบาสหมายถึงอะไร ตอนที่หมอนั่นคว้าต้นแขนวีไว้ ดึงเขาเข้ามาใกล้ กลางสายตาตื่นตะลึงของทั้งผมเองและวี..
หมอนั่นจูบวีต่อหน้าผม“ไอ้สัตว์!”
กำปั้นผมพุ่งใส่หน้ามันก่อนเจ้าตัวจะได้อธิบายอะไรเสียอีก แรงกระแทกจากหมัดส่งร่างบาสเซไปชนวีแล้วล้มลงไปคลุกฝุ่นบนพื้นทั้งคู่ เลือดกำเดาไหลซึมจากจมูกมันช้า ๆ มองมาที่ผมพร้อมริมฝีปากที่กระตุกขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะยิ้มเยาะ แต่ผมไม่เสียเวลากับบาสมากไปกว่านั้น สายตาผมเบนไปจับจ้องอยู่กับคนคนเดียว
“วี!”
พี่ชายผมยกมือปิดปาก นัยน์ตาเบิกโพลง หยดน้ำร่วงผล็อยลงมาตามแก้ม ตัวสั่นน้อย ๆ บนพื้น เขามองผมสลับกับบาสด้วยสีหน้าสับสนอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นก็เม้มปาก ยกหลังมือขึ้นเช็ดตา ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนบนขาตัวเองช้า ๆ ขอโทษบาส แล้วหันหลังให้ผม พึมพำว่าเขาจะกลับคณะ วันนี้อาจไม่กลับห้อง
...ไม่เอา...อย่าไป...ในใจผมกรีดร้อง ทว่ากลับไม่มีเสียงพูด
อย่าหันหลัง อย่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา“วี! เดี๋ยวก่อน!”
ผมร้องออกมาจนได้ ไม่รอให้วีตอบอะไรทั้งนั้น ตามไปกอดเขาไว้จากข้างหลัง กอดแน่นที่สุดทั้งที่รู้ว่าวีต้องยังเจ็บอยู่แน่
“....อยู่กับฉัน...ขอร้องละ...อย่าไปไหน อย่าหันหลังให้ฉันอย่างนี้เลย”
“..วิน...” เขาตอบกลับมาจนได้หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ น้ำเสียงสั่นเครือและเบาหวิว แม้แต่เสียงหัวเราะที่เขาปั้นขึ้นก็ยังฟังราวกับจะขาดใจ “....รู้ไหม...เพราะนายเป็นแบบนี้ไง....คนถึงชอบหาว่าเป็นลูกแหง่ติดพี่..”
“ช่างเขาสิ”
“....”
“กลับเถอะนะ..” ผมอ้อนวอน ซบหน้าผากบนไหล่เขา ไม่สนสายตาใครทั้งนั้น ทั้งไอ้บาสที่ตอนนี้ลุกขึ้นหรือยังก็ไม่รู้ หรือพี่จูนที่อาจสติแตกไปแล้ว เหมือนตอนทะเลาะกันจนเธอบอกเลิกกับผมเมื่อราวสามสัปดาห์ก่อน แค่เขายอมเปิดปากคุยกับผมก็ดีมากแล้ว จะไม่ยอมปล่อยโอกาสให้เขาหลบหน้าผมอีก “กลับด้วยกันเถอะ อย่าเพิ่งไปคณะเลย...ฉันรู้ว่านายไม่ได้มีงานอะไรที่นั่นหรอกใช่ไหม ฉันมีเรื่องอยากบอกกับนายเยอะแยะไปหมด”
“...ถ้าเรื่องคนที่นายชอบ...” เขาก้มหน้าพึมพำ “...ฉันคิดว่า...รู้แล้ว”
ผมยิ่งกระชับอ้อมแขนไว้แน่น กลัวว่าหากปล่อยมือแล้วเขาจะเดินหนีไป วีเข้าใจผิดเรื่องผมกับพี่จูนอยู่แน่ ๆ เขาไม่ได้ยินที่บาสพูดกับผมเมื่อครู่นี้หรือไม่สนใจอยากฟัง
“ไม่...นายไม่รู้”
“...รู้สิ”
“....นายไม่รู้หรอก...ไม่รู้เลย....” ผมกัดฟันเถียง ขอบตาร้อนผ่าว กลั้นไม่ไหวจนปล่อยน้ำตาร่วงลงบนไหล่วี ตอนเห็นบาสจูบเขาเมื่อกี้ผมเหมือนถูกต่อยแรง ๆ จนหน้าชา หลังจากนั้นก็ร้าวไปหมดทั้งอก โกรธจนอยากจะกระทืบเพื่อนตัวเองตรงนั้น แล้ววีที่เห็นพี่จูนจูบผมจะรู้สึกเหมือนกันบ้างหรือเปล่า
“..วิน...ปล่อยเถอะ”
ผมได้ยินเขาชัดเจนทุกคำ แต่ยังดื้อ กอดเขาไว้ด้วยความหวงแหน หลังจากนั้นก็สะอื้นออกมาเองอย่างน่าทุเรศ
“....นายไม่รู้หรอกว่าฉันรักนายขนาดไหน”
...วีไม่รู้หรอก...
ผมเป็นไอ้ลูกแหง่ติดพี่จริง ๆ นั่นละวียอมตามผมกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์ เราใช้เวลาในการเดินมากกว่าปกติ จับมือกันไปเงียบ ๆ โดยไม่มองหน้าหรือสบตากัน ไร้คำพูดคาดคั้นหรือบทสนทนาใดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งเกิด อันที่จริงแล้วเราเกือบจะไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อกันเลยด้วยซ้ำ ทำเหมือนเหตุการณ์สองสามวันก่อนจนกระทั่งผมบอกว่ารักเขาอีกครั้งเมื่อครู่เป็นแค่ความฝัน
วีไม่ถามต่อ และผมก็ไม่อธิบายเพิ่ม ระหว่างทางราวกับว่าเรากลับไปใช้ชีวิตเหมือนตอนก่อนเรื่องวุ่นวายจะเกิดอีกครั้ง ต่างแค่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้จับมือเขาไว้ มีแค่กอดคอ เกาะไหล่บางครั้ง ถ้าไม่นับเมื่อสมัยยังเด็ก ก็ไม่เคยเอื้อมมือไปประสานนิ้วอย่างที่เป็นอยู่อีกสักครั้งจนตอนนี้
วีไม่ได้ห้าม ไม่ได้ดึงมือหนี คล้ายเราต่างรับรู้เงียบ ๆ กับการกระทำนั้น ว่าได้พากันก้าวข้ามเส้นบางอย่างซึ่งไม่มีทางถอยกลับได้อีก แต่กระนั้นผมก็ยังนึกสงสัย ใคร่ครวญอยู่ในบทสนทนาไร้เสียงระหว่างเราตลอดทาง
วีเข้าใจความรักที่ผมพูดถึงว่าอย่างไร?
ผมตั้งใจว่ากลับถึงห้องแล้วจะบอกเขาทั้งหมด ไม่ว่าวีจะคิดกับผมอย่างไรก็ตาม แต่พอถึงเวลา หลังจากปิดประตูที่กั้นพวกเรากับโลกภายนอกไว้เบื้องหลัง อยู่กันตามลำพังโดยแท้จริง คำพูดที่ผมคิดไว้ระหว่างทางกลับปนเปกันไปหมดจนไม่สามารถเริ่มต้นได้
...ผมกลัว..ความสิ้นหวังเข้าเกาะกุมจิตใจผมอีกครั้ง ลังเลกับเรื่องเดิมทั้งที่เพิ่งตัดสินใจได้ จะบอกเขาให้ชัดเจนถึงความรู้สึกของผมหรือโกหกต่อไป? ผมไม่อยากเห็นเขาร้องไห้อีก แต่ไม่รู้ต้องทำอย่างไรจึงจะหยุดมันได้ ถ้าพูดเรื่องจริงแล้วเขารับได้ไหม แต่หากปั้นคำโกหกแล้วเขาจะเสียน้ำตาอีกหรือเปล่า ที่ผ่านมาวีคิดกับผมแบบไหน? คำถามบ้าบอลอยเต็มหัว ร้องระงมให้ระวังคำพูดและการกระทำของตัวเอง
“วี..” ผมเรียกเสียงอ่อน แต่สังเกตเห็นว่าเขาสะดุ้งน้อย ๆ จากนั้นก็เบิกตากว้าง ท่าทางลนลานอย่างเห็นได้ชัด เดินไปเตะโดนขาโต๊ะทั้งที่มันก็ตั้งของมันที่เดิม
ผมผ่อนลมหายใจยาว ดึงแขนเขาให้นั่งลงบนโซฟาตัวเดิมกับที่เราเคยกอดกันด้วยร่างเปลือยเปล่าเมื่อคืนนี้ พยายามเฟ้นหาคำพูดดี ๆ สักอย่างจะบอกเขา
“นายฟังฉันหน่อยนะ...”
ไม่ว่าเรื่องความรู้สึกผมจะเป็นอย่างไร แต่วีควรได้รู้ว่าเมื่อคืนผมมีสติ..แม้จะเมาแต่ก็ยังจำได้ทั้งหมด เขาไม่ควรต้องแบกรับความผิดบาปเหล่านั้นไว้คนเดียว หากมันผิดจนต้องลงนรกขุมใด ก็ควรเป็นผมเองต่างหากที่ควรรับผิดชอบในสิ่งที่เกิด
“...คือเรื่องเมื่อคืนนี้...” ผมพูดต่อ มองเขาตาไม่กะพริบ แต่วีก็คอยจะก้มหน้ามองเท้าตัวเอง “...ฉันจะบอกว่า—”
“ไม่เป็นไร” เขาตัดบทด้วยเสียงพึมพำตั้งแต่ผมยังไม่ทันได้ออกปาก สายตาวางนิ่งอยู่ที่พื้น รอยยิ้มเศร้าฉาบบางเบาบนใบหน้า “...นายเมานี่...”
“แต่ฉัน...” ผมเถียง จากนั้นก็เสียงอ่อนลงตรงท้ายประโยค “..ฉันจำได้....รู้ตัวดี...รู้ว่ามันผิด....แต่ว่า...”
อกผมจุกแน่นไปหมด คำพูดเอ่อล้นขึ้นมาที่คอ แต่กลับหลุดออกมาเป็นสำเนียงตะกุกตะกักเหมือนคนยังไม่สร่างฤทธิ์เหล้า อยู่ต่อหน้าเขาผมไม่เหลือความมั่นใจอะไรเลย กลัวไปหมดทุกอย่างจนน่ารำคาญตัวเอง
“...วี...ฉันขอโทษ”
เขายิ้มอีกครั้ง แต่ฝืดฝืนเหลือเกิน ตาแดงก่ำทว่าไม่มีอะไรร่วงลงมาแล้ว
“..ไม่เป็นไร” วีเอ่ยคำเดิม คราวนี้ยอมมองหน้าผมตรง ๆ ขณะพูด “...ฉันไม่โกรธ...ไม่เกลียดนาย...ไม่เลย”
“..วี..”
“...ลืมเรื่องเมื่อคืนแล้วยิ้มให้ฉันเหมือนเดิมเถอะ เรามีกันสองคน แล้วฉันจะโกรธนายได้ยังไง...”
มือเขาเอื้อมมาแตะแก้มผมแผ่วเบา นิ้วชี้เกลี่ยที่ขอบตาล่าง เอ่ยเสียงสั่นทั้งสีหน้าเจ็บปวด
“...นายอย่าร้องไห้เลย...”
คงเป็นตอนนั้น ที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามีหยดน้ำร่วงผล็อยลงมาจากขอบตาตัวเอง
คำพูดของผมหายไป ความรู้สึกบนใบหน้าผมก็เหมือนจะหายไปด้วย มันชาวาบไปหมด วีไม่โกรธผม..ไม่เกลียดผม...แต่ทำไมฟังอย่างนั้นแล้วจึงยิ่งเจ็บ นั่นไม่ใช่ที่ผมอยากได้ยินเลย หากเขาตะโกนด่าทอผม ต่อยผมแรง ๆ ให้ปากแตกมันอาจรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้
สายตาเขาที่มองมามีความโหยหาอาวรณ์อย่างน่าประหลาด มันคล้ายจะมากเกินกว่าพี่น้อง แต่ปากเขากลับพึมพำย้ำสถานะของเราชัดเจน
“...น้องชายขี้แยเมื่อสมัยเด็กของฉันกลับมาแล้ว..”
“ทำไมล่ะวี...” ผมร้องอย่างเอาแต่ใจ อัดอั้นจนไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี เขาไม่เคยคิดกับผมเกินพี่น้องเลยจริง ๆ หรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องร้องไห้เวลาเห็นผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่นด้วย “...นายเลิกพูดเรื่องพี่น้องด้วยสีหน้าอย่างนั้นได้ไหม”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับมาเบา ๆ
“..ได้...”
“วี”
“จะไม่พูดอีก..” เขาพยายามส่งเสียงหัวเราะ แต่กลับฟังคล้ายสะอื้นมากกว่า “ขอโทษนะ..อย่าโกรธเลย”
“..ฉันไม่ได้—”
ผมค้างไว้แค่นั้น ตั้งใจบอกว่าไม่ได้โกรธ แต่วินาทีที่กำลังจะพูดมันออกไป ก็รู้สึกได้ว่าบางทีผมอาจโกรธ โกรธห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ อาจเป็นพี่จูนที่เข้ามาจูบผมตอนนั้นพอดี ไอ้บาสที่จู่ ๆ ก็ดึงวีไปจูบ หรือความดื้อเงียบของพี่ชายฝาแฝดของผม แต่มากที่สุดคงเป็นขุ่นเคืองตัวเอง หงุดหงิดใกล้บ้า ทำไมบทสนทนาของเราจึงได้ผิดเพี้ยนไปหมด ผมพยายามบอกวีในสิ่งที่ผมรู้สึก แต่ดูเหมือนมันจะถูกบิดเบือนจากเดิมจนกลายเป็นความเข้าใจผิดบานปลาย เรานั่งใกล้กันแค่นี้ แต่ความรู้สึกของผมส่งไปไม่ถึงเขาสักอย่าง ทั้งที่เราเคยเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากมายมาตลอดแท้ ๆ คราวนี้กลับกลายเป็นว่ายิ่งคุยกันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่หนักกว่าเก่า
“..เอ้อ...” วีขยับตัวอย่างไม่สบายนัก อึกอักและเลี่ยงการสบตา ทำท่าจะลุกออกจากโซฟา และดูเหมือนพยายามเปลี่ยนเรื่อง “..ฉันว่า..จะไปหาอะไรกิน...”
“ที่ไหน?”
“..ข้างนอก”
นั่นแค่ข้ออ้างของวี ผมรู้ และผมจะไม่ปล่อยเขาไป ไม่ยอมให้คลาดสายตาอีกแล้ว
“อย่าไป”
“วิน..?” เขาเรียกชื่อผมเสียงอ่อน ก้มลงมองข้อมือตัวเองที่ถูกผมรั้งไว้ “...นายเป็นอะไรไป?”
“ฉันเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว” ผมแค่นหัวเราะ ทั้งเจ็บและน้อยใจ กับบาสที่เขาเพิ่งรู้จักไม่เท่าไรยังดูเหมือนใกล้ชิดกันกว่าผมเสียแล้ว ความรู้สึกนั้นทำให้ผมบีบข้อมือเขาแน่นขึ้นจนอีกฝ่ายทำคิ้วขมวด “แต่นายไม่เคยสังเกตเลย ไม่เคยมองสักนิด”
“วิน...นายนอนพักก่อนดีไหม”
“ฉันไม่ได้ป่วย!”
สิ้นคำตวาดนั้น ร่างของวีก็ถูกกระชากจนซวนเซเข้ามาตามแรงดึงจากมือผม ผมกดไหล่สองข้างของเขาให้เจ้าตัวลงไปนอนหงายบนโซฟา ตามขึ้นไปคร่อมไว้ด้วยร่างตัวเอง สีหน้าเขาดูตกใจ แต่ไม่มีคำทักท้วงใดหลุดจากปาก เพียงสายตาตื่นตระหนกเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเขาไม่คาดการณ์กับสิ่งที่เกิด
“ทำไมล่ะ...นายไม่ใช่พวกหัวช้าเข้าใจอะไรยากไม่ใช่หรือ? รึว่าแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่”
“..ฉัน...” เขาชะงัก ก้มหน้าหลบตา “...ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด..”
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะเข้าใจ!?” ผมร้องคร่ำครวญ ทำตัวเหมือนเด็กนิสัยเสียตอนไม่ได้สิ่งที่ต้องการ “...อะไรก็ได้...ฉันบอกนายได้ทั้งหมด นายอยากฟังมันแบบไหน หรืออยากให้กอด...อยากให้จูบ หรือทำอะไร....ทำไมขนาดนี้แล้วถึงไม่รู้ตัวบ้างล่ะ....นายไม่รู้จริง ๆ หรือแค่ไม่อยากรับรู้”
“...วิน...ฉันไม่—”
“พอแล้ว! ไม่อยากฟังแล้ว!”
ผมตัดบท ก้มลงกัดที่ต้นคอเขาจนสะดุ้ง วีไม่ได้ดิ้นหนี แต่สั่นเกร็งไปทั้งตัว จนเมื่อผมถอนใบหน้าออกก็เห็นรอยฟันขึ้นเป็นสีแดงจางแล้วค่อย ๆ เข้มขึ้นเมื่อเริ่มห้อเลือด
“...ยะ...อย่า....”
ผมย้ำจูบลงไปที่เดิม พอเริ่มไปแล้วก็เหมือนจะไม่สามารถหยุดได้อีก ไม่นานก็กลายเป็นพรมจูบไปทั่วซอกคอและใบหน้าเขา
“....อย่าทำแบบ...นี้....”
แล้ววีก็ร้องห้ามออกมาเต็มปากจนได้ เขาคงทนเงียบอยู่นานจนทนไม่ไหว ผมท้าทายอยู่ในใจว่าเอาสิ..เขาอยากพูดอะไรผมจะรอฟัง เขาจะยกเหตุผลใดมาอ้างก็อยากรู้เหมือนกัน
“....ทำไมล่ะ...นายก็มีพี่จูนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...แล้วทำไมกัน..”
ผมขมวดคิ้ว..ทำไมจึงเป็นพี่จูน เขาปักใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ยังเงียบฟัง ขณะที่วีพูดต่อเสียงสั่นเครือ
“...ฉันอยู่กับนายแบบไหนก็ได้ที่นายอยากให้เป็น แบบพี่น้อง...แบบเพื่อน...หรืออย่างคนไม่รู้จักก็ได้ถ้านายลำบากใจกับที่เป็นอยู่ แต่อย่าทำแบบนี้กับฉันเลยถ้านายมีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้ว....”
“ฉันไม่ได้ชอบคนอื่น”
“แต่นายบอกเอง”
ใช่..ผมเคยบอกเขาเอง แต่มันเป็นเรื่องโกหก และเขาเลือกเชื่อคำเท็จนั้น ขณะที่ความจริงเป็นร้อยซึ่งผมพร่ำบอกนั้นเขากลับไม่เคยเชื่อเลย
“...นายจูบกันพี่จูน...แล้วก็มาทำแบบนี้กับฉัน.....”
“นายก็จูบไอ้บาสเหมือนกัน!” ผมเผลอขึ้นเสียง และมันไม่ดีเลย แต่อารมณ์ครอบงำผมจนหน้ามืดไปหมด “เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่รึไง!?”
“....วิน....ฉะ....ฉันไม่รู้....” เขากระซิบตะกุกตะกัก น้ำตาเอ่อคลอ ยกมือขึ้นมาปิดตาไว้ เม้มปากแน่นอยู่ครู่หนึ่งเหมือนพยายามอดกลั้นแล้วจึงพูดต่อ “...ไม่รู้จริง ๆ....แต่ทุกอย่างมันทำให้ฉันคิดว่านายเกลียดฉัน....ละ...และมัน...”
วีสะอื้นออกมาจนได้
“....มัน...เจ็บ...ที่สุดเลย......”“....”
“...ทำไมล่ะ.....ฉันทำอะไรผิดไปหรือ มันผิดเพราะว่าเป็นพี่น้องกันใช่ไหม เพราะว่าเป็นผู้ชายใช่ไหม....ถึงได้เจ็บอย่างนี้....นายรักพี่จูน..อยากทำกับพี่จูนแต่ก็มาลองกับฉัน.....นี่คือการลงโทษที่ฉันทำผิดหรือ.....ทำไมบอกว่ารักฉันล่ะ.....ฉันไม่เข้าใจนายเลย....”
เขาพร่ำด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก มือบังนัยน์ตาไว้จนมองไม่เห็นความรู้สึกในนั้น ทว่าแค่จากน้ำเสียงที่ได้ยิน ก็ราวกับบางสิ่งที่บอบบางตรงหน้าผมกำลังจะพังทลายลง
“....ทำ..ไม...ล่ะ.....ฉัน....ก็แค่.....”
“...”
“...แค่....รัก......ไม่ได้เหรอ......ผิดเหรอ...”
เขาเอ่ยเสียงอ่อนระโหย สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง สะอื้นไห้จนตัวโยน
“....แค่รักนาย....เท่านั้นเอง.....”“..วี...”
ผมไม่รู้คำรักนั้นคืออะไร ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดสักอย่างและหมดความอดทนกับบทสนทนาวกวนระหว่างเราเต็มที มือผมกระชากเข็มขัดเขาออก ดึงทั้งกางเกงและกางเกงชั้นในเขาหลุดจากเอว
ถ้าเขารักผมแบบเดียวกัน...ก็ต้องทำแบบนี้ด้วยกันได้ไม่ใช่หรือ?
แต่หากมันเป็นรักคนละแบบ ผมก็จะทำแบบเดียวกับที่กำลังจะเกิด จะไม่ยกเขาให้บาส ไม่ยกเขาให้ใครทั้งนั้น จะขังเขาไว้ในวงแขน จะผูกมัดเขาไว้ด้วยสายเลือด ทำทุกอย่างให้เขาไม่สามารถมีใครได้อีก
มีคนบอกว่าเมื่อทำผิดครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สอง สาม และหลังจากนั้นมันก็จะเกิดซ้ำได้ง่ายขึ้น
ผมเฝ้าสงสัย เหตใดวีจึงไม่เคยขัดขืนผมจริงจังสักที ถึงเรียบร้อยกว่าผมแต่กำลังกายก็ไม่ได้ด้อยกว่า เวลาเราแข่งกีฬาก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะตั้งแต่เด็กจนโต ทว่าพอเป็นเรื่องอย่างนี้เขากลับยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ
วีนอนตะแคง ร่างเปลือยเปล่าคู้ตัวกอดเข่าอยู่บนโซฟา เส้นสายสีแดงบาง ๆ ปนกับน้ำสีขาวขุ่นซึ่งไหลจากจุดที่ผมเพิ่งถอนกายออกมา เปรอะเปื้อนตามต้นขาที่ยังสั่นระริกของเขา
เปลือกตาวีแดงช้ำหนักกว่าเก่า นัยน์ตาเลื่อนลอย แต่หยดน้ำใส ๆ ยังคงไหลอาบแก้มในความเงียบงัน ไม่มีเสียงสะอื้นมาถึงหูผมสักนิด ได้ยินเพียงถ้อยคำพึมพำของวีเมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่
“...นายอย่าเกลียดฉันเลย...”เสียงเขาอ่อนแรง แต่กลับมีอำนาจพอจะฉีกหัวใจผมเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
วีจะผรุสวาทใส่ผมอย่างไรก็ได้ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่คำวิงวอนว่าอย่าเกลียดเขาหลังจากที่ตัวเองเพิ่งถูกข่มเหง หรือคำโกหกว่าไม่เป็นไร ผมไม่ต้องการฟังเรื่องพวกนั้นเลย ทว่าผมก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่
“..ฮึก!”เป็นผมที่สะอื้นออกมาด้วยความทุเรศตัวเอง ผมอยากปกป้องเขา ความคิดเหมือนเด็กประถมไม่รู้จักโต แต่สุดท้ายก็ผมอีกไม่ใช่หรือที่ทำร้ายเขากว่าใครมาตลอด
“..อย่าร้องไห้เลยนะ...” เขากระซิบ แล้วยังเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมอีกแล้ว
“....ทำไมนายต้องดีกับฉันด้วย...”
วีหลับตา ปล่อยหยดน้ำร่วงบนแก้มโดยไม่กลั้นไว้อีก เขาเอื้อมมือมากอดผมไว้ ลูบหลังแผ่วเบา เนื้อตัวชื้นเหงื่อของเราแนบชิดกัน รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเขาเต้นหนัก ๆ จากอกเขาที่แนบกับแก้มผม มันดังจนเกือบกลบเสียงกระซิบของเขาไป...
“...เพราะว่าฉันรักนาย...”----------| S i n c e r e |----------
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
V
V
V