ตอนที่ 17Matt Part การที่ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาไม่ได้หมายความผมไม่รู้สึกอะไร ตอนนั้นในหัวมันอึ้งไปหมด ผมไม่ใช่พ่อมดหรือผู้วิเศษที่คิดถึงใครแล้วจะได้เจอดั่งใจนึก ผมตกใจไม่น้อยที่เห็นพี่เชน ใครจะไปคิดว่าคนที่กำลังนึกถึงจะมายืนอยู่ตรงหน้า ผมพูดอะไรไม่ออก ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือดีใจ อยากลุกขึ้นไปกอด พอเจอหน้าพี่เชนแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอกว่าเดิม ผมลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้อยากเจอพี่มัทแค่ไหน ลืมไปซะสนิทเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้คนที่คนที่อยู่ตรงหน้าตอบโจทย์ความคิดผมได้มากกว่าพี่มัทและไม่ว่าพี่เชนจะแค่ผ่านมาแล้วบังเอิญเจอหรือจะมาเพื่อทวงสัญญาก็ช่าง ผมดีใจมาก แม้ว่านับจากวินาทีนี้ไปจะมีเรื่องให้ยุ่งยากมากกว่านี้ผมก็ยอม
ตอนที่เดินตามหลังโอ้ตมาที่ห้องอาหาร ผมก็ทำแค่หันไปมองหน้าพี่เชนอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่กลัวว่ามันจะเป็นความฝันนะ แค่อยากจดจำเอาไว้ มองให้หายคิดถึง
"ผมไปตามแมทมาแล้วครับคุณเม เพื่อนคุณยังไม่มาอีกเหรอครับ" โอ้ตเปิดประตูเข้าไปแล้วบอกคุณเมที่คงจะอยู่ในห้อง
"ขอบคุณครับ" ผมหันไปบอกขอบคุณพี่เชนที่เปิดประตูให้ มองไปที่โต๊ะก็เห็นว่าอาหารถูกสั่งมาแล้วหลายจาน
"ไหนว่ารอกูมาสั่งให้" ผมถามโอ้ต
"ถ้าไม่บอกงั้นมึงจะรีบมาเหรอแมท" ผมโดนมันหลอกงั้นสิ
"เชน มาพอดีเลย หายไปไหนมาตั้งนาน ไปหาที่ห้องน้ำก็ไม่เจอ" เดี๋ยวนะ นี่พี่เชนคือคนที่มากับคุณเมเหรอ
"ผมไปร้านกาแฟข้างๆมา ขอโทษทีนะเม" ผมหันไปมองหน้าพี่เชนสลับกับคุณเมด้วยความสงสัย
"นี่คุณเมรู้จักกับพี่เชนเหรอครับ" โอ้ตถามขึ้นมาเช่นเดียวกับความสงสัยของผม
"อ่อค่ะ เรามาด้วยกัน มานั่งทานกันดีกว่าค่ะ มัวแต่ยืนคุย อาหารเย็นชืดหมดแล้วนะคะ"
"โลกกลมจังเลยนะครับ" ผมก็คิดอย่างโอ้ตนะ
"นั่นสิคะ คุณโอ้ตก็รู้จักกับเชนด้วยเหรอคะ"
"รู้จักสิครับ" แหมไอ้โอ้ต เพิ่งจะทำความรู้จักกันเมื่อกี้เองนะ
"คุณแมทมานั่งนี่ดีกว่าค่ะ ตรงกับไก่ทอดซอสมะนาวพอดีเลย เห็นคุณโอ้ตบอกว่าเป็นของโปรดคุณแมท" ยังไม่ทันได้หย่อนตัวนั่งเธอก็จัดการที่นั่งให้ตัวเองและทุกคนเสร็จสรรพ และด้วยโต๊ะที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลยกลายเป็นผมที่นั่งตรงข้ามคุณเม ข้างผมเป็นโอ้ตที่นั่งตรงข้ามกับพี่เชน
"คุณเมทราบชื่อผม" หลังจากนั่งลงผมก็ถามคุณเม
"ค่ะ คุณโอ้ตบอกค่ะ" เธอตอบคำถามผมด้วยรอยยิ้ม
"อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะคะคุณโอ้ต เมเป็นลูกค้าประจำเลยละคะ เชนลองชิมนี่สิ อร่อยมากๆ"
"ขอบคุณครับ" แว่บแรกที่เห็นบอกตรงๆว่าผมคิดว่าเขาสองคนเป็นแฟนกัน ทั้งๆที่คุณเมและพี่เชนไม่ได้แสดงออกชัดเจนให้ต้องคิดอย่างนั้นเลยสักนิด แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ แล้วผมก็ชักจะเกลียดความคิดและสมองตัวเองแล้วนะที่กำลังคิดไปว่าคนทั้งคู่ดูเหมาะสมกัน
"ดูท่าทางแมทชอบทานผักนะครับ" พี่เชนเงยหน้าจากจานขึ้นมาถามในจังหวะที่ผมกำลังมองอยู่พอดี
"ไอ้นี่มันโรคจิตครับ กำลังกายไม่ออกแต่ถ้าน้ำหนักเพิ่มก็จะทานแต่ผัก" ไอ้โอ้ตก็พูดเกินไป มันเป็นเรื่องปกติของทุกคนนะผมว่า ถ้าเราเป็นคนชอบกิน หยุดกินไม่ได้ แล้วยังไม่ชอบออกกำลังกาย เราก็ควรจะเลือกกิน
"แต่เมว่าคุณแมทก็ตัวเล็กอยู่แล้วนะคะ"
"ไม่ใช่ตัวเล็กครับ มันเตี้ย ไอ้นี่มันเกิดในยุคที่ยาฆ่าแมลงเฟื่องฟู"
"เดี๋ยวนะคะ เมเริ่มงงแล้วค่ะว่ามันเกี่ยวอะไรกัน" หน้าคุณเมบ่งบอกว่างงอย่างที่พูดจริงๆ
"ก็แมทมันชอบกินผักไงครับ แล้วมันก็เกิดในยุคที่ยาฆ่าแมลงกำลังฮิต มันเลยหยุดการเจริญเติบโตเหลือตัวแค่นี้เพราะผักยุคนั้นเต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง ฮ่าๆๆๆ" ไอ้เพื่อนชั่ว ทำไมไม่ประจานว่าผมสูงเท่าไหร่ไปด้วยเลยหล่ะ
"หึๆ" เสียงหัวเราะแบบนี้มันเหมือนเยาะเย้ยทำให้ผมต้องมองหาต้นเสียง แล้วก็พบว่าพี่เชนกำลังยกยิ้มแล้วมองมาทางผมพอดี จากนั้นเสียงรอบตัวผมก็เงียบ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ในสายตาผมตอนนี้ก็มีแค่หน้าพี่เชน ผมกำลังถามตัวเองย้ำๆว่านี่ใช่ไหมคนที่มัวแต่คิดถึง
"เฮ้ย! ไอ้แมท"
"หือ ว่าไง" เสียงเรียกของโอ้ตดึงสติผมออกมาจากภาพนั้น
"พี่เมเขาถามว่าเรียกมึงว่าน้องได้ไหม"
"ครับ?!?" ผมหันไปหาคุณเมทันทีพร้อมสีหน้าที่มีคำถาม
"คือเมื่อกี้น้องแมทคงไม่ทันฟัง พี่บอกน้องโอ้ตว่าสงสัยเราคงเกิดกันคนละยุค เลยถามว่าเราสองคนอายุเท่าไหร่ น้องโอ้ตเลยบอกอายุมา พี่เห็นว่าเราสองคนอายุน้อยกว่าเลยอยากเปลี่ยนการเรียกที่ไม่เป็นทางการเกินไป จะได้ไม่อึดอัดค่ะ" นี่ผมเอาสติหลุดไปกับใบหน้าพี่เชนไปนานแค่ไหนกัน
"อ่อได้ครับ"
"งั้นก็เปลี่ยนมาเรียกว่าพี่เมกับพี่เชนเลยด้วยละกันเนอะ" ผมจะกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเกินไปไหมที่จะไม่อยากได้ยินเสียงคุณเมเรียกชื่อพี่เชน
"น้องแมทไม่ค่อยคุยเลยคะ พูดน้อยจัง"
"ใช่ พูดน้อย" แล้วการที่ต้องพูดจารับกันแบบนี้ผมก็ยิ่งไม่ชอบ ผมคงเป็นคนนิสัยไม่ดีไปแล้วจริงๆ
"เพิ่งเจอกันมั้งครับ เลยไม่รู้จะคุยอะไร" แต่ไม่ใช่กับพี่เชนที่ผมมีเรื่องจะพูดให้ฟังเต็มไปหมด
"นั่นสินะคะ พี่เข้าใจค่ะ ว่าแต่น้องสองคนไม่โกรธที่พี่เดินชนแล้วใช่ไหมคะ"
"เรื่องเล็กครับ โชคดีที่มีเสื้อยืดแมทอยู่หลังรถ ผมเลยเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว"
"ยังไงพี่ก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ"
"ไม่เป็นไรครับ อย่างที่ผมกับโอ้ตบอกแต่แรก"
"งั้นมื้อนี้พี่ขอเลี้ยงนะคะ"
"ไม่ๆพี่ คือร้านนี้" ผมพยายามโบกมือและจะบอกว่านี่ร้านของบ้านผม ไม่ต้องจ่าย อีกอย่างก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เลี้ยงข้าวพี่เชนด้วย แต่ผมพูดไม่ทันพี่เมจริงๆ
"ไม่ต้องขัดเลยค่ะ พี่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพี่อีกครั้งนะคะ" ดันทุรังจะพยายามอธิบายก็คงไม่จบ อีกอย่างพี่เมไม่เว้นช่องว่างให้ผมพูดสักนิด ปล่อยเลยตามเลยไปก็แล้วกัน
"ขอบคุณครับ แล้วนี่พวกพี่ไปไหนกันต่อครับ" โอ้ตถาม
"ต้องไปส่งเชนไปเอารถที่โรงแรมก่อนแล้วก็กลับบ้านกันเลย น้องๆหล่ะ" อย่างนี้ก็แปลว่าอยู่ด้วยกันเหรอ 'ไม่ๆแมทอย่าคิดไปเอง' ผมพยายามบอกตัวเองในใจอย่างนั้น
"เอ้อ แมทเมื่อกี้กูเจอพี่มัท เจ้แกบอกว่าจะเอารถไปงานวันเกิดเพื่อนนะ กลับดึกฝากบอกแม่ด้วย แล้วก็ให้กูพามึงไปส่งบ้าน"
"แต่มึงมารถกู จะไปส่งได้ไง งั้นกูไปบอกพี่มัทก่อน"
"ไม่ต้องๆ กูโทรบอกม๊าละ ม๊ากูไปงานแต่งงานเดียวกับแม่มึง ทางผ่านพอดีเดี๋ยวม๊าจะมาแวะรับเราสองคนไปส่งที่บ้านมึง"
"อืม"
"เอ่อ พี่เสียมารยาทถามนิดนึงนะคะ บ้านน้องแมทอยู่แถวไหนคะ ให้พี่ไปส่งไหม"
"ไม่เป็นไรครับพี่เม ผมบอกม๊าไว้แล้ว งานคงใกล้จะเลิกแล้วละครับ"
"ให้พี่ไปส่งที่โรงแรมก็ได้นะคะ พี่ต้องไปโรงแรมนั้นพอดี จะได้ไม่ต้องนั่งรอที่ร้านดีไหมคะ"
"เอ่อ ว่าไงมึง" โอ้ตหันมาถามความเห็นจากผม
"แล้วพี่เมทราบได้ไงครับว่าผมจะไปโรงแรมเดียวกัน"
"เออ นั่นสิ อ่อ พอดีพี่เห็นป้ายงานแต่งหน้าโรงแรมตอนที่ไปรับเชน เลยเดาเอา ใช่โรงแรม x หรือเปล่า" ผมพยักหน้ารับแต่ก็พลางคิดว่ามันมีป้ายด้วยเหรอ ทำไมผมไม่เห็น แต่ก็ช่างเถอะ ผมอาจจะไม่เห็นจริงๆ
"เอางั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ"
"ยินดีค่ะ งั้นพี่ไปเอารถก่อน เราสองคนรอพี่ตรงนี้ก็ได้ค่ะ"
"เดินไปด้วยกันเลยก็ได้ครับ ลานจอดรถอยู่แค่นี้เอง"
"ก็ได้คะ ไปพร้อมกันเลยก็ได้"
.......................................................................
"น้องแมทมานั่งข้างหน้ากับพี่ก็ได้นะคะ ตัวเล็กๆจะได้ไม่บังกระจกข้างเหมือนคนตัวโตๆอย่างเชน" มันเป็นแบบนั้นเหรอ ผมก็เพิ่งจะรู้นะว่าคนตัวโตตัวสูงนั่งข้างๆแล้วจะทำให้มองกระจกข้างไม่เห็น
"ครับๆ" ทั้งผมและโอ้ตมองหน้ากันงง แต่ผมก็ยอมทำตามนะถึงแม้จะงง เพราะมันไม่ใช่เรื่องหนักหนากับแค่ตำแหน่งที่นั่ง อีกอย่างพวกผมกำลังเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือยิ่งไม่ควรทำตัวเรื่องมาก
"บ้านน้องโอ้ตกับน้องแมทอยู่แถวไหนเหรอค่ะ" หลังจากออกรถพี่เมก็ถามถึงบ้านผมกับโอ้ต ผมไม่รู้นะว่าพี่เมจะถามเรื่องที่อยู่บ้านไปทำไม เลยเลือกที่จะไม่ตอบออกไป คงเสียมารยาทน่าดู
"เงียบกันทั้งคู่เลย พี่ไม่ไปปล้นบ้านเราสองคนหรอกค่ะ แค่ถามดู" ผมก็ไม่ได้คิดว่าพี่จะไปปล้นหรอก ขับรถหรูราคาแพงขนาดนี้ คงมีฐานะอยู่พอสมควร แต่เพราะเพิ่งรู้จักกันมากกว่าผมเลยไม่อยากบอก
"แมทอยู่หมู่บ้านพฤกษ์พิมานครับ ส่วนบ้านผมอยู่แถวๆในเมืองเลยครับ" แต่ไม่เคยทันคนปากไวอย่างไอ้โอ้ตหรอกครับ บอกบ้านเลขที่ได้มันทำไปแล้ว
"พฤกษ์พิมานพาร์คแกรนด์หรือพฤกษ์พิมานลากูนคะน้องแมท"
"พฤกษ์พิมานพาร์คแกรนด์ครับพี่" นั่นไง ผมไม่ต้องพูดอะไรหรอกครับ นั่งอยู่เฉยๆข้อมูลส่วนตัวก็รั่วไหลได้
"บังเอิญจังเลยค่ะ หมู่บ้านเดียวกันเลย บ้านน้องแมทอยู่ซอยไหนคะ"
"อยู่ซอย 10 ครับ"
"ไอ้โอ้ต" ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่บางทีชีวิตส่วนตัวมันมีค่านะ เพิ่งเจอกันครั้งแรก รู้ข้อมูลกันมากไปก็ไม่ดี แม้แต่พี่เชนก็ตาม
"แหม น้องแมท อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แถมยังซอยเดียวกันด้วย รู้จักกันไว้ดีกว่านะคะ แล้วน้องโอ้ตละคะ" ดูเหมือนจะถามไปเพียงเพราะเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพราะตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวจนถึงตอนนี้พี่เมดูมีคำถามกับโอ้ตเยอะแยะไปหมด จนผมแอบคิดว่าพี่เมสนใจโอ้ตด้วยซ้ำ แล้วบทสนทนาก็ดูจะผูกขาดระหว่างโอ้ตกับพี่เมไปตลอดทาง ในขณะที่ผมกับพี่เชนได้แต่เงียบฟัง ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกยินดีกับการที่ไม่ได้นั่งข้างพี่เชน เพราะถ้าได้นั่งข้างกันผมคงขัดเขินจนทำตัวไม่ถูกไม่รู้แม้กระทั่งจะวางมือไว้ตรงไหน
.......................................................................
"ผมขอโทรหาม๊าก่อนนะครับ ฮัลโหลม๊า" แล้วโอ้ตก็เดินลงจากรถไปคุยโทรศัพท์ทันทีที่ถึงโรงแรม
"ยูไม่ต้องเอากระเป๋าลงนะ ขับตามไอไปบ้านเลยละกัน" ผมควรจะพาตัวเองลงจากรถได้แล้ว ทำไมผมไม่ตามไอ้โอ้ตไปนะ นั่งรอทำตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่ได้
"เอ่อ ผมขอตัวเลยละกันนะครับ" จังหวะที่ผมจะลงก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โอ้ตเปิดประตูฝั่งผมพอดี
"พี่เมครับ พี่ๆจะกลับบ้านกันเลยหรือเปล่าครับ" ผมหันไปมองหน้าพี่เมเพื่อรอคำตอบทั้งที่ไม่รู้ว่าโอ้ตถามไปทำไม แล้วพี่เมก็พยักหน้า
"ไหนๆก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ผมรบกวนติดรถไปบ้านแมทหน่อยนะครับ พอดีม๊าผมออกจากโรงแรมไปสักพักแล้ว สงสัยจะสวนทางกัน เห็นว่าจะไปสังสรรค์กันต่อ"
"ได้สิคะ งั้นพี่รบกวนโอ้ตไปนั่งเป็นเพื่อนเชนหน่อยนะ จะได้ช่วยบอกทาง"
"ยินดีครับ" โอ้ตตอบ
"ให้ผมไปก็ได้นะครับ" ผมบอกก่อนจะหันมองหน้าทุกคน
"ให้แมทไปกับผมก็ได้นะเม" ผมดีใจนะที่พี่เชนพูดออกมา
"อย่างนี้แหละค่ะดีแล้ว น้องแมทจะได้ไม่ต้องขึ้นๆลงๆ ส่วนยูอยู่เฉยๆเถอะน่า ทำตามที่ไอบอกก็พอ"
"โอเคๆ" ดูท่าทางพี่เชนจะเชื่อฟังพี่เมมาก สงสัยผมจะคิดไปเองรู้สึกไปเองอย่างที่พี่มัทว่าจริงๆ แต่ผมก็ชอบไปแล้วนี่หน่า ถึงจะหมดโอกาสและต้องเก็บความรู้สึกตัวเองเอาไว้ แต่ถึงยังไงตอนนี้ผมก็อยากไปกับพี่เชนอยู่ดี มีเรื่องที่อยากพูดเต็มไปหมด
.......................................................................
"น้องแมทกับน้องโอ้ตเป็นเพื่อนกันมานานหรือยังคะ"
"ครับ"
"ดูท่าทางสนิทกันมากเลยค่ะ"
"ครับ"
"ไม่ค่อยคุยเลย ท่าทางเป็นคนเงียบๆนะคะเนี่ย"
"ไม่นะครับ"
"งั้นพี่ถามต่อนะคะ" ผมก็นึกว่าจะเลิกคุย แต่ดันยิ้มกว้างแล้วมีคำถามตามมาอีกมากมาย
"น้องแมทมีแฟนหรือยังคะเนี่ย"
"ยังครับ"
"แล้วน้องโอ้ตละคะ"
"เท่าที่รู้ก็น่าจะยังครับ"
"ดีจังเลยค่ะ" พี่เมได้ยินคำตอบก็ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
"ทำไมถึงดีครับ"
"นึกว่าจะไม่ถามต่อซะแล้ว แสดงว่าพี่เลือกถามถูกเรื่อง"
"พี่เมสนใจเพื่อนผมเหรอครับ" ผมพูดออกไปในขณะที่ตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่กระจกข้างของรถทั้งๆที่มองไม่เห็นรถพี่เชนก็ตาม
"ก็ไม่เชิงค่ะ" ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาพูดออกมาง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ ถึงจะไม่ชัดเจนแต่มันก็คงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ สงสัยว่านิยายของผมที่รอแต่ให้พระเอกเข้าหาคงจะล้าหลังในอีกไม่นาน
"โอ้ตเป็นคนน่ารักครับ" ไม่แปลกนักที่โอ้ตจะถูกสนใจ เนื่องจากมันเป็นคนอัธยาศัยดีและเข้ากับคนง่าย ใครที่ได้อยู่ด้วยก็จะต้องมีความสุข
"พี่ก็คิดอย่างนั้นค่ะ" อันนี้ผมเริ่มไม่เข้าใจนะ ในเมื่อสนใจโอ้ตแต่ทำไมถึงผลักไสให้มันไปกับพี่เชนหล่ะ
"มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ" ในเมื่อพี่เมก็ดูเป็นคนน่ารัก มันคงไม่มีเหตุผมอะไรที่ผมต้องต่อต้าน
"พี่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะคะ ยิ่งทราบว่าน้องโอ้ตไม่มีใครพี่ยิ่งต้องสนับสนุนให้เพื่อนเดินหน้าต่อ" คำตอบของพี่เมบอกว่าผมกำลังเข้าใจผิด
"เพื่อน?!? ไม่ใช่พี่เมหรอกเหรอครับที่สนใจโอ้ต"
"ป่าวค่ะ พี่ดูเป็นคนที่สนใจน้องโอ้ตเหรอคะ ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ คนที่สนใจน้องโอ้ตคือเชนต่างหาก"
"พี่เชน?!? พี่เชนงั้นเหรอครับ" สองคนนี้เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เองนะ
"ใช่ค่ะ ตอนแรกพี่ก็ตกใจแบบน้องแมทแหละค่ะ ไม่คิดว่าเพื่อนที่ไม่เจอตั้งนานจะเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายด้วยกัน นี่ถึงกับลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามหาเลยนะคะ" โอ้ตกับพี่เชนเนี่ยนะ เรื่องมันจะตลกร้ายเกินไปหน่อยไหม นี่ผมกำลังชอบคนที่สนใจเพื่อนตัวเองงั้นเหรอ
"ผมยอมรับครับว่าตกใจ ผมไม่คิดว่าจะเป็นพี่เชน" นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานั่งอยู่ข้างๆพี่เมสินะ ถ้าแบ่งความคิดเป็นฝั่งร้ายและดี ฝั่งหนึ่งผมก็อยากยินดีกับโอ้ตนะ เพราะผมรู้ว่าพี่เชนเป็นคนดีที่ยังใส่ใจรายละเอียดอีกด้วย แต่อีกฝั่งหนึ่งความคิดนั้นกำลังบอกผมว่า ทำไมถึงไม่เป็นผมหล่ะ
"ตอนที่เจอกันที่สนามบินเชนบอกพี่ว่าจะมาตามหาใครสักคนเขาพูดด้วยรอยยิ้มท่าทางดูมีความสุข พี่เลยเดาว่าเขาน่าจะมาตามหาคนที่เขาชอบ และพอพี่ถามวันนี้เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร พี่เลยคิดว่าน่าจะเดาไม่ผิด" ถ้าพี่เมบอกอย่างนี้ก็แสดงว่าสองคนนี้ต้องเคยเจอกันมาก่อนสิ แล้วทำไมโอ้ตถึงทำเป็นไม่รู้จักพี่เชนตอนที่ผมแนะนำหล่ะ
"แล้วพี่เชนบอกเหรอครับว่าคนๆนั้นคือโอ้ต" ผมถามออกไปแต่พี่เมกลับหัวเราะแทนคำตอบ
"ผมไม่น่าถามเลยนะครับ ถ้าไม่บอกพี่เมจะทราบได้ยังไง"
"โนๆๆ คะน้องแมท พี่ทราบเองค่ะ ตั้งแต่เจอที่โรงแรมแล้ว ตอนนั้นไม่รู้หรอกนะคะว่าเชนเห็นท่าทางแบบไหนระหว่างน้องสองคนถึงได้ทำหน้าผิดหวังเอามากๆ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจไปว่าน้องโอ้ตกับน้องแมทเป็นแฟนกัน และสายตาเชนที่พี่เห็นก็ยังมองตามน้องโอ้ตจนขึ้นรถ"
"นี่พวกพี่เจอเราสองคนตั้งแต่ที่โรงแรมแล้วเหรอครับ" ว่าทำไมถึงรู้ว่าพวกผมจะไปหาม๊าของโอ้ตที่โรงแรมไหน
"ใช่แล้วค่ะ พี่ก็พาเชนตามไปจนถึงห้างนั่นแหละค่ะ"
"แสดงว่าการที่เราเดินชนกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"
"ตั้งใจล้วนๆเลยค่ะ ก็เชนมัวแต่เดินตามน้องสองคน ไม่มีอะไรคืบหน้าพี่เลยจัดการเอง พี่ต้องขอโทษนะคะที่ทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นไป แค่อยากช่วยเพื่อน แต่ฟังแล้วคงเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังดูแล้วไม่ดีเลยใช่ไหมคะ" สรุปว่าเรื่องทั้งหมดคือความตั้งใจงั้นสิ ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าพี่เชนมีความพยายาม
"อีกอย่างตอนที่ทุกคนเดินเข้ามาในห้องอาหารน้องโอ้ตตอบพี่ว่ารู้จักกับเชน พี่เลยยิ่งมั่นใจว่าเป็นน้องโอ้ตแน่ๆ" อาจจะเป็นผมก็ได้ไง ดูความเห็นแก่ตัวของความคิดผมสิ
"พี่มีความสุขจังเลยค่ะวันนี้ ได้ทำเรื่องดีดี พาคนรักให้มาเจอกัน ผลบุญคงส่งให้พี่เจอเนื้อคู่กับเขาสักที" ท่าทางพี่เมที่ดูมีความสุขมากทำให้ผมไม่อยากขัด แม้ในใจจะอยากจะบอกออกไปว่าพี่เมเข้าใจผิด พี่เมคิดไปเอง แต่ก็กลัวว่าคนที่คิดไปเองจะกลายเป็นผมแทน
"น้องโอ้ตเคยพูดถึงเชนให้ฟังบ้างไหมคะ" ผมเองก็อยากถามนะว่าพี่เชนพูดอะไรเกี่ยวกับโอ้ตบ้าง
"ไม่เคยนะครับ" ผมยังไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อพี่เชนออกจากปากมัน และตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ในหัวคิดเพียงอย่างเดียวว่าที่ผมอยากได้ยินคือพี่เมเข้าใจผิด และคนคนนั้นคือผมไม่ใช่โอ้ต ผมคิดไม่ถึงเลยนะว่าความรู้สึกชอบใครสักคนจะทำให้ผมกลายเป็นคนมีความคิดที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้ และถึงแม้เป็นแค่ความคิดผมก็รู้สึกได้ว่ามันร้ายกาจ ผมว่าผมเริ่มจะเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย
.......................................................................
Chen Part
ภายในรถอีกคัน
"เอ่อ อึดอัดเนอะพี่"
"ขอโทษนะ พี่เองก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไร"
"นึกถึงตอนทานข้าวผมละพูดไม่ทันพี่เมจริงๆ เดาว่าถ้าไอ้แมทมากับพี่คงมีเรื่องให้คุยกันมากกว่าผม"
"อย่างนั้นละมั้ง"
"แต่ในเมื่อเป็นผมแทนที่จะเป็นมัน พี่คงแก้ไขอะไรไม่ได้ งั้นเรามาหาเรื่องคุยกันดีกว่า ตอนนี้สี่ทุ่ม พี่ขับเร็วขนาดนี้เที่ยงคืนคงถึง พอดีเลยมีเวลาคุยตั้งสองชั่วโมง"
"พี่ว่าพี่ขับไม่เร็วนะ"
"ผมก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละครับ พี่รีบตามหลังซะมองหารถพี่เมไม่เจอเลย"
"งั้นตอนนี้พี่ควรต้องเร่งความเร็วใช่ไหม"
"ก็ถ้าพี่ขับช้าแบบมีเหตุผลหรือมีเรื่องจะคุยคงไม่จำเป็น แต่ถ้าพี่ขับช้าเพราะไม่ชินทางก็เปลี่ยนมาให้ผมช่วยขับก็ได้ เพราะดูท่าทางพี่ไม่น่าจะเป็นคนขับรถแบบเต่าคลานขนาดนี้" สำหรับผมโอ้ตดูเป็นคนฉลาดทั้งคำพูดและท่าทาง ผมรู้ว่าเขาสงสัยในตัวผม ซึ่งผมก็มีเหตุผลที่ขับช้าจริงๆและเหตุผลนั้นก็มากกว่าที่ผมมีเรื่องจะคุยซึ่งโอ้ตเข้าใจไม่ผิด
"จริงๆพี่มีเรื่องจะถาม เอ่อ เกี่ยวกับแมท"
"ว่าแล้วไง! ผมดูสายตาพี่ออก พี่ดูเหมือนต้องการอะไรสักอย่างจากมัน" โอ้ตตบเข่าแล้วหันมามองหน้าผมทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
"น่าจะเข้าใจผิดนะ" ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการอะไรจากแมท
"ไม่ผิดแน่ๆ พี่คอยมองหน้ามันตลอดมื้อค่ำที่ผ่านมา แล้วสายตาที่พี่มองมันเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ดูเหมือนพี่จะยังไม่มีโอกาสละสิ" อย่างที่ผมบอก โอ้ตเป็นคนฉลาด
"นี่คงเป็นสาเหตุที่โอ้ตมากับพี่แทนที่จะเป็นแมท"
"ผมมากับพี่ก็เพราะพี่เมเสนอ แต่จริงๆผมก็อยากรู้ว่าพี่ต้องการอะไรจากเพื่อนผม ผมอยากรู้ว่าพี่จะพูดอะไรกับมัน ผมไม่อยากเห็นมันโดนหลอก ผมต้องปกป้องเพื่อน"
"พี่เข้าใจ เพราะแมทเป็นคนที่ดูเหมือนทันคน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลยใช่ไหม"
"พี่พูดเหมือนรู้จักมันดี"
"พี่พูดอย่างที่พี่เห็น และพี่มาที่นี่เพื่อแสดงความรู้สึก ไม่ได้มาเพราะต้องการอะไรอย่างที่โอ้ตเดา"
"เฮ้ย! พี่ ความรู้สึกอะไร พี่พูดเหมือนจะจีบมัน"
"ดูท่าทางพี่คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก"
"แต่เพื่อนผมเป็นผู้ชายนะเว้ย"
"พี่รู้"
"แล้วมันรู้อย่างพี่ไหม" ผมส่ายหัว ผมเคยคิดว่าแมทรู้นะ แต่เอาจริงๆผมก็ไม่แน่ใจ
"พี่เป็นเกย์เหรอวะ"
"ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้นะ แต่ตอนนี้คงใช่"
"คือตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ยังไง"
"พี่เข้าใจ"
"แต่ตอนนี้ผมต้องการคำอธิบาย"
"สำหรับอะไร"
"พี่รู้อยู่แล้วว่าควรพูดอะไรให้ผมรับรู้บ้าง แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าแมทมันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิด แล้วการที่พี่ลงทุนข้ามประเทศมาหามันไม่ได้แปลว่าการกระทำพวกนี้จะทำให้พี่ดูดีน่าดึงดูดหรือมีความพยายามมากกว่าผมที่อยู่ข้างๆมันมามากกว่า 10 ปี" ผมเองก็ไม่อยากคาดเดาความหมายของคำพูดโอ้ตนะ แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้ผมก็เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้
"นี่โอ้ตแค่หวงเพื่อนหรือรับความรักแบบนี้ไม่ได้" ผมเข้าว่าความรักแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ
"อันนั้นก็แล้วแต่พี่จะตีความ แต่บอกไว้อย่างนะผมไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆแน่ๆ" ผมว่านี่มันคือสงครามที่อีกฝ่ายตั้งตัวเป็นศัตรูโดยที่ผมเพิ่งจะรู้ตัว
"จากที่ฟังโอ้ตกำลังประเมินพี่ต่ำไป"
"พี่เข้าใจอย่างนั้นถูกแล้ว"
"ถึงแม้พี่จะแค่ขอให้พี่ได้บอกในสิ่งที่พี่รู้สึกงั้นเหรอ"
"พี่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมคงห้ามไม่ได้ แต่จำไว้อย่างนะว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมันและความรู้สึกของมัน" ยิ่งคุยกันมากขึ้นบทสนทนาก็ยิ่งบอกผมว่าโอ้ตกำลังต่อต้านโดยที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหตุผล
"โอ้ตปกป้องและทำในส่วนของโอ้ตและพี่ก็จะทำในส่วนของพี่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแมท ไม่ว่าแมทจะเลือกอะไร พี่จะยอมรับผลของมัน"
"ถ้าพี่สบายใจจะคิดแบบนั้นก็เอาเถอะ ผมไม่ห้าม แต่มันไม่ง่ายหรอกนะบอกไว้เลย ช่วยเลี้ยวซ้ายหมู่บ้านข้างหน้าแล้วเข้าซอยสิบด้วยครับ" ผมยอมรับว่ากำลังใจที่เตรียมมาลดลงไปกว่าครึ่งเพียงเพราะคำพูดของโอ้ต แต่ผมไม่ยอมถอยแน่ๆ แม้ว่ามันคงไม่ง่ายอย่างที่ใจต้องการก็ตาม
"พี่รู้จักบ้านพี่เมใช่ไหม ไปที่นั่นก็ได้ เดี๋ยวผมเดินกลับบ้านแมทเอง"
"พี่เพิ่งเคยมาครั้งแรก"
"ไม่รู้แล้วทำไมพี่ขับช้าวะ โทรหาพี่เมสิ" โอ้ตหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้วนี่ผมกำลังโดนออกคำสั่งใช่ไหม
"ไม่ต้องแล้ว ผมว่านั่นน่าจะเป็นรถพี่เม " ได้ยินอย่างนั้นผมก็พารถไปจอดต่อท้ายรถของเม
"ทำไมมึงไม่ระวังตัวเลยวะ" ได้ยินโอ้ตพึมพัมคนเดียวเบาๆก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยที่ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ.......................................................................
หลังจากโอ้ตลงไปผมก็พาตัวเองลงมาจากรถ พบว่าเมกำลังยืนคุยกับแมทอยู่แล้วโอ้ตก็เดินไปสมทบ
"ทำไมมาช้ากันจัง เข้าไปในบ้านพี่ก่อนไหมคะ" เป็นเมที่เอ่ยทักขึ้นมาก่อน
"นี่บ้านพี่เหรอครับ" โอ้ตเลิกคิ้วถาม
"ใช่ค่ะ น้องโอ้ตบอกบ้านน้องแมทอยู่ซอยนี้ หลังไหนคะ"
"บังเอิญมากอ่ะพี่ บ้านผม" ก่อนที่แมทจะได้พูดอะไรก็โดนโอ้ตปิดปากเอาไว้ก่อน
"แมท! มึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน"
"หือ" ท่าทางแมทที่ดูงงๆไม่ต่างกับเม
"ผมจำซอยผิด บ้านแมทไม่ใช่ซอยนี้ พวกผมขอตัวก่อนนะครับพี่เม ขอบคุณมากครับสำหรับวันนี้" โอ้ตพูดจบก็ลากแมทออกไปจากหน้าบ้าน
"เฮ้ย! ไปไหน เมาป่ะมึง ถูกแล้ว ทางนี้นี่ประตูบ้านกู" แมทยื้อตัวไว้แล้วชี้ไปที่บ้านหลังข้างๆกันแต่กลับถูกโอ้ตที่กำลังลากมือไปอีกทางต้องปล่อยแล้วเปลี่ยนมาผลักหัวเบาๆ
"ควาย!!! นี่มึงจะโง่เอาโล่เลยใช่ไหม" พูดจบก็ลากตัวแมทเข้าบ้าน ผมเดาว่าโอ้ตคงไม่อยากให้ผมรู้ว่าหลังถัดไปเป็นบ้านของแมท เลยพยายามลากแมทไปอีกทาง และพอไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คงหงุดหงิดน่าดู ผมได้แต่นึกขำในใจ เห็นโอ้ตเป็นแบบนี้มันเหมือนกระจกเงาสะท้อนตัวผมเอง ถึงตอนนี้จะไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าเดิมเลยสักนิด แต่อย่างน้อยผมก็อยู่ใกล้แมทมากขึ้น และแม้จะมีเกราะอย่างโอ้ตมาป้องกันแมทเอาไว้ แต่ผมก็ยังมีความมั่นใจว่าผมสามารถผ่านไปได้แน่นอน
"ขอบคุณนะเม" ผมหันไปบอกเมพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวไปหยิบกระเป๋าลงจากรถ ขอบคุณที่เราเจอกัน ขอบคุณที่บ้านเมอยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่ทำให้อะไรๆง่ายขึ้นอีกเยอะ .......................................................................
❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลนะ ทุกคนทำลงไปเพราะมีเหตุผลและความเข้าใจในแบบของตัวเองค่ะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า