ตอนที่ 20
อีกหนึ่งชั่วโมงจะเข้าสู่ปีใหม่
ผมเพิ่งกลับมาจากบ้านงานที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้าน ที่นั่นจัดงานเลี้ยงปีใหม่ มีจับฉลากของขวัญ นั่งดื่มกินสังสรรค์ข้ามปี ผมกับไอ้เมจ ลูกพี่ลูกน้องที่เด็กกว่าสองปีพากันขับมอเตอร์ไซค์ไปงานมาตั้งแต่ช่วงเย็น อยู่จนไม่รู้จะทำอะไรเลยพากันกลับมาแถวบ้านตามคำชวนของน้องมันที่ว่าจะจุดพลุฉลองปีใหม่
"พวกพี่อ๋อน่าจะมาถึงแล้วมั้ง"
ผมจอดรถหน้าบ้านคุณตาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมจลงจากรถเดินนำไปทางหลังบ้านอย่างคุ้นเคย ระหว่างทางเดินได้ยินเสียงผู้คนแว่วมา ที่นี่เองก็มีการสังสรรค์กลุ่มเล็กๆ ของชายแก่ ซึ่งพ่อผมเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนแม่กับพี่ปริมยังอยู่กับกลุ่มป้าๆ ที่บ้านงาน
อ้อมมาถึงหลังบ้านก็เจอแคร่ไม้ไผ่สองหลัง หลังหนึ่งถูกจับจองโดยวงเหล้าชายแก่ ส่วนอีกหลังเป็นของลูกหลานตั้งวงเล่นไพ่ หนึ่งในนั้นที่เห็นผมกับเมจมาถึงจึงรีบกวักมือเรียกให้เข้าไปหา
พูดถึงปีใหม่มันก็คือเทศกาลรวมญาติดีๆ นี่เอง นอกจากผมจะได้กลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว เพื่อนวัยเด็กที่แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองก็ได้กลับมาเจอหน้ากันในวันนี้ ตลอดเวลาที่ผมอยู่บ้านถ้าไม่นอนขี้เกียจก็มักขับมอเตอร์ไซค์ตะลอนไปทั่ว ไปหาเพื่อนต่างหมู่บ้านบ้าง ชวนกันไปเที่ยวในเมืองบ้าง ไกลสุดก็ติดรถพวกผู้ใหญ่ไปเที่ยวจังหวัดข้างๆ
"มาเลยมึง ป๊อกตาละบาท" ไอ้อ๋อชวนแกมบังคับ
ทั้งวงนั้นมีอยู่ห้าคนรวมผมกับเมจ พวกเราอายุไล่เลี่ยกันห่างกันไม่เกินสามปี ผมกับไอ้อ๋อเป็นพี่ใหญ่สุด มันเรียนอยู่ที่พิษณุโลก สอบติดมหาวิทยาลัยใกล้บ้านจนผมอิจฉามันนิดหน่อย
ผมเข้าร่วมวงไพ่กับพวกมัน ได้บ้างเสียบ้างตามดวงแต่ละคน เล่นไปกินเหล้าไปครื้นเครงจนน่าหนวกหู แต่เพราะผมเองรวมอยู่ในวงด้วยจึงไม่รู้สึกว่ามันน่ารำคาญเท่าไรนัก
ช่วงฆ่าเวลาในวงไพ่ผ่านไปจนเข้าใกล้เที่ยงคืนเต็มที ผมไม่ได้ดื่มมากนัก เงินเสียไปกับค่าไพ่ก็ไม่เท่าไร เงินส่วนมากที่เสียไปก็อยู่ที่ไอ้เมจ เอาไว้ผมค่อยไปข่มขู่คืนจากมันก็ได้
ก็ว่าไปนั่น ผมไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้นสักหน่อย
"จะเที่ยงคืนแล้ว จุดพลุเล่นกัน" ใครสักคนในวงทักขึ้นพวกพ้องผู้เมามายก็พากันทิ้งวงไพ่หันไปสนใจถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่ที่ใส่พลุไว้หลากหลายชนิด
ผมลุกจากแคร่เดินตามพวกมันไปยังลานหลังบ้าน คว้าไฟเย็นมาได้สองอัน ในขณะที่คนอื่นให้ความสนใจกับพลุชนิดอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่า ไอ้อ๋อหยิบพลุโอ่งมาได้ก็เอามันไปวางไว้ตรงที่ว่าง ผมยืนรอดูอยู่นอกวงแต่แรงสั่นจากมือถือในกระเป๋ากางเกงดึงความสนใจไปเสียก่อน
เห็นชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอริมฝีปากก็แย้มยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ผมเดินหลบฉากไปด้านหลัง ลึกเข้าไปทางทุ่งนาเพื่อหลบหนีความวุ่นวาย แต่ไม่ได้ไกลจนมองไม่เห็นลานกว้างที่พวกเพื่อนๆ กำลังเล่นพลุกันอยู่
ผมนั่งลงใต้ต้นไม้กำลังจะกดรับ แต่สงสัยจะทิ้งเวลานานไปสายเลยตัดไปก่อน ทว่ายังไม่ทันได้กดโทรกลับเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง
(ทำไมช้า)
"หาที่เงียบๆ อยู่"
ประโยคทักทายไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้นัก ฟังแล้วอยากเห็นหน้าคนพูด แต่ติดตรงที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเท่าไร คุยไปเสียงขาดๆ หายๆ จะชวนให้หงุดหงิดเปล่าๆ
(กินเลี้ยงเหรอ) ขอเดาว่าเสียงจากกลุ่มที่ตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อนที่เล่นพลุกันอยู่คงดังมาถึงนี่ หรือไม่ต้นสนอาจจะเดาจากคำตอบของผมเมื่อครู่
"ประมาณนั้น"
(เมาป้ะเนี่ย)
"ไม่เมา"
(เดี๋ยวพูดไม่รู้เรื่องอีก) คนปลายสายหัวเราะคิกคัก เหตุการณ์ที่ผมเมาจนเผลอหลับคาห้องต้นสนวันนั้นยังเป็นเรื่องที่น่าจดจำจนถึงทุกวันนี้
"เล่นพลุกันด้วยนะ" ผมพาเปลี่ยนประเด็น มองประกายไฟสีส้มแดงที่พุ่งออกมาจากโอ่งเล็กๆ กลางลานกว้าง
(พลุเหรอ)
"เพื่อนมันซื้อมา"
(อยากเห็นจัง)
"อยากให้เหมือนกัน" ผมได้แต่บอกอย่างเสียดาย
สะเก็ดไฟเล็กๆ แม้ไม่อลังการเหมือนพลุดอกไม้ไฟตามงานเทศกาล แต่กลับสวยงามตามขนาดของมันในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ส่องแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด และสร้างความสุขในกับกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มนี้ได้
"ไว้จะถ่ายรูปไปให้ดู แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่"
(นั่งเบื่อๆ)
"งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอ"
(ก็งั้นๆ) น้ำเสียงสื่อความหมายตามประโยคที่พูด
คืนนี้บริษัทของครอบครัวต้นสนมีการจัดงานเลี้ยงปีใหม่ ทั้งผู้บริหารและพนักงานทุกระดับชั้นต่างเข้าร่วม จัดในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม มีอาหารบุฟเฟ่ต์ การแสดงบนเวที และแจกรางวัลสำหรับผู้โชคดี ฟังแล้วดูน่าสนุกแต่เจ้าตัวกลับเบื่อเสียอย่างนั้น
(อยากอยู่กับปลื้มมากกว่า) แล้วประโยคที่ผมคิดว่าต้องได้ยินก็หลุดออกมา พักนี้เรามักชอบพูดอะไรแบบนี้ แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ คิดยังไง รู้สึกอะไรอยู่ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา เพราะคำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต่างคนต่างอยากได้ยิน
"อยากอยู่ด้วยเหมือนกัน"
(ถ้าไปหาก็ได้คงดี)
ผมพยักหน้ารับแต่คนปลายสายไม่มีทางเห็น สายตายังคงเหม่อมองไปยังกลุ่มเพื่อนที่เริ่มขนพลุชนิดอื่นๆ ออกมาเล่น รวมถึงไฟเย็นแบบที่ผมถือติดมือมาด้วย
"อยากเล่นไฟเย็นมั้ย"
(เล่นอยู่เหรอ)
"เปล่า แค่ถือไว้เฉยๆ ไม่มีไฟจุด"
(ไปจุดไฟดิ)
ผมลุกขึ้นตามคำบอก เดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนขอแบ่งไฟจุดแล้วเดินเลี่ยงออกมาเพื่อให้ห่างจากเสียงโหวกเหวก มองสะเก็ดไฟสีส้มที่สว่างท่ามกลางความมืด มันค่อยๆ ลุกลามมาทีละนิด ผมเลยแกว่งมันเล่นเหมือนเด็กเคยเล่นไฟเย็นครั้งแรก
"เห็นมั้ย สวยนะ"
(เห็นดิ สวยมาก) ต้นสนรับมุกแบบไม่ติดตลก จนผมนึกโมโหความทุรกันดารของหมู่บ้านตัวเอง ถ้าหากสัญญาณอินเทอร์เน็ตมันแรงกว่านี้ก็คงดี
"วันหลังซื้อไปเล่นกันดีมั้ย"
(จะรอนะ)
ใบหน้าหม่นหมองที่เปื้อนรอยยิ้มลอยเด่นชัดอยู่ในความคิดผม แม้ได้ยินแค่เสียงก็พอจะเดาออกว่าเจ้าตัวทำหน้ายังไง มันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอกนอกจากกำลังอมยิ้มจนปวดแก้มเหมือนผมตอนนี้
(เหมือนเค้าจะเริ่มนับถอยหลังกันแล้วนะ)
ผมได้ยินเสียงครื้นเครงดังมาจากปลายสายตอนต้นสนพูด เจ้าตัวคงหลบมุมออกมาคุยโทรศัพท์ พอได้เวลาแล้วถึงเดินกลับไปเข้าในงาน เสียงนับถอยหลังของคนที่น่าจะเป็นพิธีกรบนทีวีดังผ่านสายมาให้ได้ยิน อีกไม่ถึงสิบวินาทีก็จะเข้าปีใหม่
(เจ็ด หก ห้า สี่ สาม...)
เราต่างคนต่างเงียบ ผมฟังเสียงที่ผ่านเข้ามาในสาย ตามองไฟเย็นในมือที่ใกล้จะดับ
(สอง...หนึ่ง)
ถ้าหากวันนี้เราได้อยู่ฉลองปีใหม่ด้วยกันก็คงดี
(สวัสดีปีใหม่)
"สวัสดีปีใหม่ครับ"
สายลมที่พัดผ่านระเบียงบ้านทำเอารู้สึกหนาวจนผมต้องยกมือลูบขนแขนที่พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน คว้าผ้าห่มที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาท่อนล่าง จับขยับหมอนปรับองศาให้พอเหมาะแล้วหยิบมือถือที่วางไว้บนอกมาเล่นเหมือนเดิม ทำตัวขี้เกียจอย่างคนไม่มีอะไรทำ
วันนี้ผมไม่มีโปรแกรมออกไปไหนเลยออกมานอนยาวเหยียดอยู่ระเบียงบ้านตั้งแต่เช้า ปูเสื่อ เอาหมอมาหนุน วางผ้าห่มไว้ข้างตัวเผื่อหนาวจนทนไม่ไหวจนเพิ่งได้หยิบมาใช้เมื่อครู่ อ่านการ์ตูนบ้าง เล่นมือถือ กินข้าวเช้าเสร็จก็ล้มตัวลงนอนใหม่ เป็นวันที่ผมรู้สึกขี้เกียจอย่างแท้จริง
จะว่าไปแล้วไม่รู้ป่านนี้ต้นสนจะตื่นหรือยัง
ผมกดเข้าข้อความส่วนตัวในทวิตเตอร์ พิมพ์ข้อความส่งไป จากนั้นเข้าหน้าโฮมเลื่อนดูข่าวสารแบบผ่านๆ เจอทวีตของพ่อศิลปินผู้มืดมนแจกของปีใหม่ด้วย ผมเองก็ไปร่วมสนุกกับเขามา เจ้าตัวเลยส่งข้อความมาว่าไม่ต้องไปแย่งของแจกคนอื่นก็มีของขวัญพิเศษเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว
อยากรู้จริงๆ ว่า 'ของขวัญพิเศษ' ที่ว่ามันคืออะไร
คิดไปแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ผมมอง ส.ค.ส ที่ต้นสนตั้งใจวาดเพื่อแจกเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับแฟนๆ ที่ชื่นชอบผลงาน มันเป็นรูปเด็กผู้ชายถือของขวัญยื่นให้โดยที่ด้านหลังของเด็กคนนั้นมีของขวัญกองโต ของขวัญที่ทำมาเพื่อมอบให้ทุกคน
"วางบ้างก็ได้นะมือถือน่ะ" เสียงแม่แว่วมาก่อนตัว ผมหันไปมองแต่ยังไม่ยอมวางมือถือ
"ก็มันไม่มีอะไรเล่นหนิแม่"
"เล่นอะไรนักหนา สอนแม่บ้างสิ"
"คุยกับเพื่อนนั่นแหละครับ"
"ว่านกับเจนน่ะเหรอ" แม่นั่งลงข้างผม ทำเป็นชะเง้อมอง
ผมพยักหน้าตอบรับเบาๆ ไม่อยากพูดโกหกว่ากำลังคุยกับมันสองคน แม้จะได้คุยกันอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ตาม
ช่วงที่อยู่บ้านผมจับมือถือบ่อยอย่างที่แม่ว่า คุยกับต้นสนแทบตลอดเวลาที่ว่าง ทุกคนในบ้านเห็นกันหมด แต่ไม่ยักมีใครทักจนกระทั่งวันนี้
"แม่"
"หืม" แม่ครางรับในลำคอ มือเกลี่ยผมผมเล่น ผมเลยขยับไปนอนตักแม่ทำตัวเป็นเด็กชายขี้อ้อนอย่างเอาใจ
คิดแล้วก็สงสัย ถ้าผมพูดอะไรบางอย่างออกไป แม่จะรับมันได้หรือเปล่า
"ถ้าปลื้มมีหลานให้ไม่ได้แม่จะโกรธมั้ย"
"อยู่ๆ ทำไมถามแบบนี้ล่ะฮะ จะอยู่เป็นโสดไปตลอดเลยหรือไง" แม่เผลอถามเสียงหลง คล้ายจะตกใจแต่ก็เหมือนไม่ มือยังลูบหัวผมเล่นเบาๆ
"ไม่รู้ดิ แค่ลองถามดู"
"เห็นติดมือถือแม่ก็คิดว่ามีแฟนเสียอีก"
ผมเงยหน้าแล้วยิ้มให้แม่ ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมาก็ก้มหน้าลง วางมือถือไว้บนอกแล้วคว้ามือแม่มาจับแทน
ความรู้สึกของแม่จะเป็นยังไงหากรู้ว่าลูกชายคนนี้ไม่เหมือนเดิม ผมไม่ได้คิดที่จะพูดมันออกมาเร็วๆ นี้ ทุกอย่างยังอยู่เพียงจุดเริ่มต้น แน่นอนว่ามันต้องก้าวไปข้างหน้า แต่จะก้าวไปได้ไกลแค่ไหนผมไม่อาจรู้ได้ เพราะเหตุนี้เลยมีความคิดที่อยากจะคุยกันให้เข้าใจตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงอย่างนั้นกลับกลัวเกินกว่าจะเอ่ยปากบอกไปตรงๆ ได้
ยิ่งรู้เร็วน่าจะทำใจได้เร็วกว่า แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนทำใจได้ เพราะงั้นถ้าเลือกทางเดินนั้นไปแล้ว จะบอกให้รู้ช้าหรือเร็วผมว่ามันก็ไม่ต่างกันนัก
"สรุปไม่มีแฟนจริงเหรอ" แม่ผมยังตื้อไม่เลิก ถามแล้วยังยิ้มล้ออีก
"ยังไม่มี"
"ใจร้ายจังเลยน้า จะไม่มีหลานให้แม่เนี่ย"
"ดักแบบนี้คิดหนักเลย"
"แม่ก็ล้อเล่นไปงั้นแหละลูก" จากที่ลูบอยู่ดีๆ แม่ก็ยีหัวผมจนยุ่ง
ผมเบี่ยงตัวหลบกลับมาหนุนหมอนเหมือนเดิม มองแม่ตาละห้อย ที่ผ่านมาผมไม่เคยบอกที่บ้านเลยเวลามีแฟน ไม่ได้ตั้งใจปิดเป็นความลับแต่คบกันแบบเรื่อยๆ คล้ายไม่มีเป้าหมาย เพียงแค่อยากอยู่ด้วยกันแบบนั้นไปนานๆ และผมซื่อสัตย์กับคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอ เพราะงั้นหากแม่จะคิดว่าผมเป็นพวกด้านชากับความรักจนไม่อยากมีแฟนจึงไม่แปลกนัก
สำหรับต้นสน ตัวผมไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ จุดเริ่มต้นมันแตกต่างกับแฟนคนก่อนที่มักถูกใจรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันดับแรกก่อนจะเริ่มศึกษาด้านความคิดจิตใจ สุดท้ายก็แตกหักทางใครทางมัน แต่กับต้นสนแล้ว ทุกอย่างมันแตกต่าง
ผมยืนยันไม่ได้ว่ากับต้นสนเราจะไปกันได้ดีหรือเปล่า ไม่มั่นใจที่จะออกปากยืนยันกับครอบครัวว่าเลือกเส้นทางนี้ไปแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็อยากอยู่กับเขาไปนานๆ
"เป็นอะไรทำหน้าเครียด" ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความคิดสักพักแม่ก็ทักขึ้นอีกรอบ
"เปล่าเครียด"
"ถ้าปลื้มไม่อยากมีลูก แม่ให้พี่ปริมมีให้ก็ได้"
"ไม่ได้บอกว่าไม่อยากมี แต่อาจจะไม่มีให้ก็ได้"
"ยังไงนี่ลูกคนนี้" แม่ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือมาบิดหูผมอีก น้ำเสียงบ่งบอกว่าหมั่นไส้ ไม่ก็เริ่มหงุดหงิดที่ผมพูดไม่รู้เรื่อง
"ไหนว่าจะไม่โกรธ"
"แม่ยังไม่ได้พูดเลยว่าจะไม่โกรธ"
ผมเบิกตาใส่แม่ไม่เชื่อคำพูด แต่พอลองนึกย้อนกลับไปแล้วแม่ก็ไม่ได้พูดว่าจะไม่โกรธผมจริงๆ
"รีบๆ หาแฟนได้แล้ว"
"มันหาได้ง่ายๆ ที่ไหนเล่า"
"แม่ชอบคนน่ารักๆ ขยันทำงาน เราจะได้ไม่อดตาย"
แม่พูดต่อโดยไม่ฟังคำค้านผมเลยสักนิด บอกสเปคแบบที่ชอบอย่างกับว่าผมจะหาได้ แต่จะว่าไปที่แม่พูดมากลับทำให้ผมนึกถึงคนคนเดียวที่ยังอยู่ในความคิด
อาจจะไม่ค่อยน่ารักมากนัก แต่เรื่องขยันทำงานนี่ยกให้เป็นที่หนึ่งเลย
"ถ้ามีแฟนอย่าลืมพามาให้แม่รู้จักด้วยนะ"
ผมยิ้มแหยแล้วพยักหน้ารับ ถ้าหากแม่ได้เห็นคนที่ผมอยากพามาแนะนำจริงๆ จะยิ้มออกเหมือนวันนี้หรือเปล่า
แต่ถ้าผมมีแฟนเมื่อไร...
"เอาไว้ปลื้มจะพามาหานะแม่"
TBC
วันนี้ไม่มีอะไรจะทอล์คเอาเป็นว่าขอพูดเรื่องชื่อพระนายในเรื่องแล้วกันเนอะ
คือเราจะมีคลังชื่อที่ชอบค่ะ แบบเจอชื่อถูกใจก็จะเก็บเอาไว้
พอเปิดเรื่องใหม่ตอนตั้งชื่อจะค้นเอาจากคลังนี้
นอกจากว่าอยากได้ชื่อที่เฉพาะหรือมีความหมายกับตัวละครสักหน่อยก็จะหาเอาใหม่ค่ะ
ส่วนชื่อเจ้าปลื้มเราก็ได้มาจากคลังนี้นี่แหละ ชอบชื่อปุริม แล้วปลื้มมันก็เด้งเข้ามาในหัว
สงสัยจะคุ้นมาจาก ปลื้ม ปุริม จริงๆ นั่นแหละค่ะ ฮา
แต่ในเรื่องยังไม่บอกชื่อจริงต้นสนเนอะ ใบ้ให้ว่าสองพยางค์ มีใครรู้บ้าง มาเดากันๆ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาและพูดคุยกันคะนะ เจอกันตอนหน้าจ้า