วันที่สิบแปดช่วงเช้าวันนี้เป็นวันที่แสนจะสงบสุขของผมเลยนะครับ ไม่ต้องเจอน้อง ไม่ต้องเจอพวกวิศวะ เพราะวันนี้อาจารย์ยกคลาสตอนเช้า แต่ตอนบ่ายก็ต้องไปเรียนอยู่ดีล่ะนะ
อย่างน้อยก็ได้หยุดพักจากการเรียนที่แสนจะโคตรหนักหน่วง ถึงจะแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ (เชื่อว่าพวกคุณก็คงคิดเหมือนผมนั่นล่ะ)
ตั้งแต่วันที่ตัดน้องออกจากรุ่น มาถึงชิงธง เลยมาวันนี้ก็เกือบจะสามอาทิตย์ เดี๋ยวก็ต้องมีชิงรุ่นอีก เหลือเวลาประมาณสองเดือนเศษ ถ้าไม่เร่งเวลาขึ้นหน่อยคงจะไม่เสร็จแน่ครับ
แต่จะทำไงได้ น้องยังไม่มาขอพี่คืนเลยนี่ครับ ต้องเร่งกันสักหน่อยแล้วล่ะมั้ง... เฮ้อ ไม่อยากจะเสวนาสักเท่าไหร่เลย แต่การที่น้องไม่ทำอะไรแบบนี้ มันก็เดือดร้อนพอดูเหมือนกัน
รอดูไปอีกสักพักแล้วกัน
ผมนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะสลัดตัวขี้เกียจที่เริ่มรุกรานเข้ามาออกไป แล้วลุกขึ้นมาทำรีพอร์ทการทดลองที่ทำค้างเอาไว้
พอเห็นรีพอร์ทพวกนี้ทำให้ผมนึกถึงวันที่ไปไล่จับสโตรกเกอร์กับปันปัน ไม่รู้จะไปขำที่ไหนดีที่น้องจะไม่เห็นนะครับ ฮ่า ๆ นึกว่าจะมีอะไร..
ที่แท้ก็โดนตามจีบ
โดนตามจีบ!!! แล้วคนที่มาจีบยังเป็นผู้ชายด้วยนะครับ ผู้ชายที่มีชื่อสุดแสนจะไพเราะว่า ‘คิตตี้’ ไม่ใช่แค่นั้น หน้าตาเขายังสวยแบบผู้ชายหน้าสวยด้วย
ขอให้มันโดยสอยตูด ฮ่า ๆ
ไม่เอา ไม่นึกถึงแล้วครับ เดี๋ยวงานไม่เสร็จ ผมก้มหน้าลงหยิบปากกาขึ้นมาเขียนรีพอร์ท แต่ยังไม่ทันที่จะได้เขียนอะไรก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นก่อน
“หนาววว ไอ้หนาววว หนาวโว้ยยยยย”ใครมาหนาวหน้าห้อมผมกันเนี่ย อากาศออกจะร้อน ทำไมหนาว? เล่นไอซ์บักเกตมาหรือไง แต่เสียงฟังดูคุ้นแปลก ๆ “ลมหนาว เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะมึงง”
อ่าว เรียกผมเหรอเนี่ย ดีนะไม่ออกไปปล่อยไก่ทั้งเล้าซะก่อน ผมเดินไปเปิดประตูห้องอย่างมึน ๆ อะไรของมันแต่หัววันเลยวะ
พอผมเปิดประตูออกไป ร่างดำ ๆ วิ่งวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง พร้อมอะไรบางอย่างในมือ ที่ทำให้ผมต้องกลับหัวเราะเอาไว้ เอาเข้าจริงก็จะกลั้นไม่อยู่ อยู่แล้วนะครับ
ช่อดอกกุหลาบสีชมพูหวานกับสีแดงสดมันไม่ได้เข้ากับปันปันเลยนี่หว่า ตัดกันด้วยซ้ำไปนะครับ
“มึงไม่ต้องมาขำกูเลย ไอ้หนาว”ปันปันแยกเขี้ยวใส่ผมอย่างหงุดหงิด อะไร ยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะครับ “มึงมาเอาไปเลย ไอ้ช่อดอกไม้เนี่ย”
“ของใคร?”ผมมองช่อดอกไม้ช่อเบ้อเริ้มในมือเพื่อน แล้วเลิกคิ้วถาม ไม่ใช่อะไรนะครับ มันบอกให้ผมเอาไป งั้นช่อนี้ของผมงั้นเหรอ? ปกติถ้าจะมีใครให้ช่อดอกไม้ผม ก็จะฝากไว้ที่คุณป้าเจ้าของหอ “แล้วใครให้มา”
“ของกู... ใครให้มามึงเอาไปดูเอง”ผมรับเอาช่อดอกไม้มาดูการ์ดรูปหัวใจปั้มทองที่แนบมาด้วย เห็นชื่อคนส่งแล้วยิ่งอยากหัวเราะให้ลั่นมากกว่าเดิมอีกครับ
กุหลาบสำหรับน้องปันปันครับ
Kiss“คุณคิตตี้เขาให้มึงนะปัน เอาไปเก็บไว้ดี ๆ ในห้องดิ”ผมส่งช่อดอกไม้กลับให้ มันทำหน้าขยะแขยง ผะอืดผะอมใส่ผม แล้วเดินไปนั่งบนเตียง โดยไม่เอาดอกไม้ไปด้วย
“นายเอาไว้แต่งห้องเหอะ”เห... ผมจะเอาดอกไม้มาแต่งห้องทำไม ห้องผู้ชายนะครับ ไม่ใช่สาวน้อยโลลิต้าหวานแหวว จะได้มีดอกไม้ด้วย
“เอาไปเลย ของมึง มึงต้องรับผิดชอบ”ผมเอาช่อดอกไม้ช่อใหญ่ไปยัดกลับใส่มือของเพื่อนสนิท แล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ “มาแต่หัววัน มีไรวะ”
"ก็ไอ้ช่อดอกไม้นี่น่ะดิ ทำกูแทบอยากมุดลงรู"ปันปันทำหน้ายุ่งใส่ผม ดวงตาคมนั่นประกายวิบวับอย่างหงุดหงิด "แม่ง คนที่เอามาส่งมันไม่ได้ฝากเจ้าของหอไว้นะเว้ย ไม่ได้เรียกกูออกมาเอาด้วย แต่เอาวางไว้บนที่วางรองเท้าหน้าห้อง ทีนี้แม่งพอมีใครเดินมาเห็นกันหมด จนไอ้ติมันมาเคาะประตูบอกกูนี่แหละ ถึงตรัสรู้"
"โรแมนติกดีออก มีคนเอาดอกไม้มาให้ถึงห้อง"ผมตอบกลับไปอย่างล้อเลียน ฮ่า ๆ แต่ดอกไม้เขาสดสวยดีจริง ๆ ถ้ามีแบบนี้ตอนช่วงรับปริญญาพี่ ๆ ก็คงดีนะครับ "กุหลาบแดง กุหลาบชมพู กับการ์ดหวานแหวว"
"ไอ้คุณเดือนครับ ผมไม่ใช่คุณนะครับที่จะถือช่อดอกไม้เดินไปเดินมาแล้วคนจะมองอย่างชื่นชม"ปันปันเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์อย่างแรง เอ่อ... แต่ให้ผมถือช่อกุหลาบใหญ่ ๆ ที่ผู้ชายให้มาเดินอวดไปทั่ว ผมก็ไม่เอาหรอกนะครับ “เก็บ ๆ ไว้ที่นี่แหละ กูสยองชิบ”
"เอาน่า ถ้าใครจะขอดูแล้วเห็นการ์ดก็ไม่มีคนสงสัยหรอกน่า บอกไปว่าของนัทก็ได้"ผมยิ้มบางตอบกลับเพื่อนไปขำ ๆ "เขาอุตส่าห์ให้มา ไม่รับไว้จะเสียน้ำใจกันเปล่า ๆ นะ"
ไอ้ปันทำหน้าขยะแขยงอย่างไม่คิดจะเก็บอาการ จริง ๆ ผมว่าดอกไม้ช่อนี้ก็สวยมากนะครับ ดูแล้วท่าจะแพงใช่ย่อย ดอกใหญ่สีสดมาก แต่ก็นั่นแหละ... ไม่ได้เข้ากับไอ้ปันมันเลย
"มึงนี่ ไม่คิดจะช่วยกูเลย"มันทำหน้ามุ่ยใส่ผมแล้วเอาดอกไม้ไปวางบนตะกร้าผ้าใช้แล้วของผม "เออ จะเอาไงต่อเรื่องน้อง นี่ใกล้จะชิงเข็มแล้วนะ"
“รอไปจนหมดอาทิตย์ก่อน... ถ้ายังไม่คืบ วันจันทร์ค่อยจัดการ”แผนต่อจากนี้ผมก็เอาไว้หลายทางอยู่ แต่นั่นก็เป็นแค่แนวทาง ซึ่งในการปฏิบัติจริงนั้นใช่ว่าจะเอาไปใช้ได้เสมอไปนะครับ
“ช่วงนี้ก็ใช้แรกกดดันไปก่อนอย่างเคยสินะ”ผมยิ้มรับคำของเพื่อนบาง ๆ ใช่ครับ ช่วงนี้ผมก็ปล่อยกระแสให้ดูเคร่งเครียด กดดันน้องที่อยากมีพี่ให้คิดหาแนวทาง
ปีอื่น ๆ จะมีพี่กระซิบบอกว่าปีก่อน ๆ ทำยังไง ๆ แต่ปีนี้คงไม่จำเป็น น้องรู้มากอยู่แล้วนี่ครับ ก็คงไม่จำเป็นต้องมีพี่ไปคอยบอกว่า เฮ้ เดินมาทางนี้สิ... ให้พวกเขาคิดกันเอง
ดูซิว่าจะคิดกันได้ไหม ถ้าไม่มีพี่คนไหนจูงจมูกให้เดินตามมา
“เอาอย่างนั้นจริง ๆ ใช่ไหม กูจะได้ไปบอกพวกปีสอง น้องมันถามมาอยู่”ปันปันถามย้ำผมอีกครั้ง ผมก็พยักหน้ารับโดยดี “โอเค ตามนั้น”
ปันปันไม่ถามอะไรต่อ แต่เอนตัวลงนอนเล่นบนเตียงเล็ก ๆ ในหอพักของผมนี่เป็นอีกอย่างที่ดีในส่วนของการทำงานที่ต้องใช้เวลาจำกัด แต่ก็แย่เพราะมันก็กดดันผมเหมือนกัน กับการที่ไม่ค่อยมีใครค้านและออกความเห็นอะไร ให้ผมเป็นคนกำหนดทางที่จะให้เกมดำเนินต่อไปเอง ถ้าพลาดเท่ากับผมทำทุกอย่างล้มเหลว ซึ่งมันเป็นอะไรที่โคตรจะแย่เลยครับ
พอถึงช่วงเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ผมกับปันปันก็ออกมาจากหอพร้อมกัน ไปหาอะไรกินก่อนเข้าเรียนน่ะครับ เติมพลังกันหน่อย ระหว่างทางก็มีน้องปีสองเดินผ่านมาไหว้ให้ผมได้รับไหว้ แล้วก็มีพวกปีหนึ่งมาให้ผมไปเมินแบบหางตาไม่แลเหมือนกัน
“พี่ครับ สวัสดีครับ”คราวนี้เป็นหลานเทคผมเอง... ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีไหมนะครับที่ผมยังไม่สนิทกับหลานเทค ไม่อย่างนั้นเวลาที่เมินต้องมารู้สึกหน่วง ๆ ในอกอีก “พี่ครับ... พี่ลมหนาวครับ สวัสดีครับ”
ชื่อเล่นมาเต็มเลยครับ ผมเลยรีบเดินออกมาก่อน ปล่อยให้ปันปันมันซื้อลูกชิ้นทอดไปคนเดียว ส่งไลน์ไปบอกมันว่าผมรออยู่ที่โรงอาหารสักหน่อย ก่อนที่จะไปซื้อข้าวมากิน
ช่วงที่ตัดน้องก็ต้องยอมรับล่ะนะครับ ว่ามันเป็นช่วงที่อารมณ์ทุกอย่างจะหน่วงมาก ปกติถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้รับไหว้ทุกครั้ง แต่ผมก็ยังมองน้อง ๆ ได้ แต่นี่ไม่... ต้องนิ่งให้มากที่สุด ขนาดวินัยที่ถูกฝึกมาให้รับกับภาวะความกดดัน และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ไวที่สุดยังรู้สึกหนักใจ แล้วคนอื่นจะเป็นยังไงก็คงไม่ต้องถามล่ะครับ
แต่ทุกอย่างที่ทำ... ก็เพื่อตัวน้องทุกคนเอง
วันนี้น้องอาจจะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนี้ แต่หลังจากนี้เมื่อได้ย้อนกลับมามอง คงจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าพี่ ๆทำแบบนี้เพื่ออะไร แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตนะครับ มันอาจจะกลับกัน ถ้าน้องไม่เข้าใจ น้องก็คงโกรธ และเก็บเรื่องราวพวกนี้เอาไว้เป็นความเกลียดชังก็ได้
แน่นอนว่าคนที่จะโดนน้องเกลียดก็คือพี่วินัยอย่างผมนี่ล่ะครับ
ทุกการกระทำมีความเสี่ยง ต้องคิดก่อนทำนะครับ ถ้าทำก่อนคิดแล้วผลออกมาทำให้เจ็บปวด มันกลับไปแก้ไม่ได้หรอกนะครับ แต่คิดแล้วทำ ถึงจะเจ็บปวด อย่างน้อยเราก็ยังมีภูมิที่สร้างเอาไว้ป้องกันความเจ็บปวด แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี มันก็ทอนความเจ็บในหัวใจได้บ้างล่ะครับ
พูดเป็นครั้งที่ร้อย... ‘พี่วินัยก็มีหัวใจ’
“ไม่รีบเข้ามาจังเลยวะ”ปันปันเดินมานั่งตรงข้ามผม ก่อนที่สายตาของมันจะเหลือไปเห็นตัวต้นเหตุที่เดินหน้าหงอย ๆ มากับเพื่อนมัน “อ่อ เจอสายตาลูกหมาของหลานงั้นดิ”
“อืม”ผมตอบรับโดยดี ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธนี่ครับ ถึงจะดูแลน้องทุกคน แต่นะ ผมก็ต้องมีเอนเอียงใจอ่อนให้กับสายเทคตัวเองบ้าง ยิ่งหลานเป็นเด็กกิจกรรมด้วย ผมยิ่งหนักใจที่จะทำเย็นชาใส่ “อีกไม่นานก็จบแล้ว ช่างมันเหอะ”
“ทนไปก่อนแล้วกัน... เดี๋ยวน้องก็น่าจะมาขอพี่คืนแล้วมั้ง”เพื่อนสนิทของผมพูดเบา ๆ ก่อนที่มันจะถอนหายใจออกมาหนัก ๆ “เหลือแค่ชิงเข็มเอารุ่นกิจกรรมเดียวแล้วนิ ที่ต้องอยู่ในฐานะของวินัย แล้วก็จะได้เปิดตู้กับข้าวกันสักที”
“ใช่... มันก็จะจบการรับน้องไปอีกปี”อีกแค่กิจกรรมเดียวเองครับ ก็จะจบแล้ว แต่ก่อนจะถึงกิจกรรมนั้น... เราก็ต้องสอบกลางภาคกันก่อน “แต่กว่าจะเดินไปถึงตรงนั้น เรายังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
“นายอย่าลืมไปคุยกับพวกวิศวะด้วยล่ะ ไอ้สะพานดาวของพวกนั้นน่ะ”เออ ลืมไปเลยว่าเวลาพวกวิศวะมอบเกียร์จะมีสะพานดาว...
ทำไมต้องมานั่งทำงานเป็นคู่แบบนี้ด้วยวะครับ ทั้งที่เรื่องรับน้องมันเป็นของคณะใครคณะมันแท้ ๆเฮ้ออ บ่นไปก็เท่านั้น ยังไงก็ต้องทำตามแผนงานที่เขาวางต่อไปล่ะครับ
ต้องเสียเงินออกนอกสถานที่กันอีก เงินคณะยิ่งมีไม่เยอะอยู่ด้วยนะครับ แต่ก็ได้แค่บ่นในความคิดล่ะนะครับ ขืนถ้าพูดออกไปได้โดนหยามกันแน่
“ดอกไม้สวยไหมครับ น้องปันปัน”เสียงทุ้มหวานของคน ๆ หนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนผิวเข้มของผม “สวยสมกับน้องปันปันมากเลยนะครับ ดอกกุหลาบเนี่ย”
ในมือของพี่คิตตี้มีดอกกุหลาบตูมดอกนึงอยู่ ไอ้ปันมันทำหน้าบูดเป็นตูดอุรังอุตังเลยครับ ส่วนผม ขอตัวหันไปทางอื่นก่อนนะครับ ไม่ไหว ขำ เดี๋ยวหลุดในโรงอาหารล่ะ งานเข้าเลย
ผมเหลือไปเห็นผิวเข้ม ๆ ของเพื่อน มันเข้มขึ้นอีกล่ะครับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโกรธหรือเขินกันแน่ จริงไหมครับ (ถ้าไม่รู้ขึ้นไปอ่านข้างบนใหม่นะครับ)
“ดอกกุหลาบจะมาเหมาะอะไรกับคนอย่างผม”เสียงของปันปันนี่ บูดพอ ๆ กับหน้ามันเลยครับ แผ่รังสีอาฆาตอีกต่างหาก “ไปตัดแว่นซะเถอะ คุณคิส”
“เหมาะจะตายไป”คุณคิส (คิตตี้) ยังคงยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมเลยอดที่จะหันมามองดอกกุหลาบสีสดนั้นไม่ได้ เหมาะตรงไหน “จริงไหมครับ น้องลมหนาว”
“เอ่อ... ผมก็ไม่รู้สินะครับ”ขอตอบเลี่ยง ๆ ปัด ๆ ไปก่อนแล้วกัน ไม่เข้าใจความคิดพี่ชายหน้าสวยที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาคนนี้สักเท่าไหร่หรอกนะครับ
“ดอกไม้ที่งดงาม แต่จับไปก็ต้องระวังหนามที่แหละคมจะทิ่มตำ”รู้สึกดีที่ไม่ยกน้ำขึ้นมาดื่ม ไม่งั้นคงมีพุ่งล่ะครับ หวานมาเลย “เหมือนปันปันไงครับ”
เงียบกริบทั้งโต๊ะครับงานนี้ ไม่มีใครพูดอะไรออก ว่าแต่... พลอยกับพวกวิศวะมันมากันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ผมมัวแต่เก็บอารมณ์จนไม่ได้สังเกตเลยเหรอไง... ให้ตายเถอะครับ
พี่ตังโอรู้ โดนเทรนด์ใหม่แน่...
“ผมว่าคุณควรจะไปเช็คระบบประสาท เนิร์ฟทุกเส้น แล้วก็เช็คสมองด้วยนะครับ”ปันปันกัดฟันพูดออกมา ผมว่ามันกำลังข่มอารมณ์โกรธอย่างรุนแรงเลยนะครับนั่น
“เขินน่ารักจังเลย”เอ่อ... พี่ครับ พี่ใช้อะไรมองว่าเพื่อนผมเขินกันครับเนี่ย ผมจะกลั้นขำ ตีหน้านิ่งไม่ไหวแล้วนะครับ “เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันหน่อยไหมครับ น้องปันปัน”
“กรุณาไปไกล ๆ เท้าผมเลยครับ ก่อนที่ผมจะส่งยันให้”หมอนั่นยังคงตอกกลับหน้านิ่ง ๆ ได้อยู่นะครับ เก่งเหมือนกันนะเพื่อนผม... แต่ปล่อยให้เขาคุยกันเองดีกว่า
“คุณพายุ คุณมาได้ยังไงครับ”หันมาสนใจคนไทยที่ไม่ได้รับเชิญแถวนี้กันก่อนดีกว่าครับ ผมหรี่ตาลงมองร่างที่มานั่งอยู่ข้าง ๆ อย่าจ้องจับผิด
“ผมตั้งใจมาคุยกับคุณเรื่องไปข้างนอก”ผมมองหน้าของพายุนิ่ง ก่อนที่จะพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”ผมหันไปหาเพื่อนที่นั่งเถียงกับคุณคิสแบบถามคำตอบคำอยู่ ผมว่าถ้าไม่ติดว่ามันเกรงใจที่เขาเป็นพี่หลายปี คงได้มีเรื่องแล้วล่ะครับ
พวกเรามีกฎข้อหนึ่งว่าปกครองโดยใช้ระบบรุ่น แต่ดูจากลักษณะแล้ว คุณคิสคงอยู่เหนือกว่าพวกผมไปหลายรุ่นอยู่ ปลูกฝังมาดีครับ ไม่นิยมการปีนเกลียว
ผมกับพายุเดินขึ้นมาบนตึกเรียน หามุมที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านมายืนคุยกัน แต่จริง ๆ แล้วตอนนี้มันเวลาพัก บนตึกก็ไม่ค่อยมีคนหรอกครับ
“คุณวางแผนแล้วเหรอครับ ว่าจะพาน้อง ๆ ไปที่ไหน”ผมยิงคำถามทันที ไม่รอให้เฮดของพวกวิศวะมากวนประสาทผมก่อน
“ยัง... ผมจะมาคุยกับคุณก่อนไง ว่าปีนี้จะพานอกไปที่ไหน”พายุกอดอกพิงกำแพงคุยกับผม “น้ำตก ทะเล ภูเขา ป่า ค่าย มันมีให้เลือกเยอะ เดี๋ยวเลือกมาแล้วพวกคุณไม่โอเคก็มาเถียงกันอีก ผมเหนื่อย”
“นั่นมันควรจะเป็นคำพูดของผมมากกว่าไหมครับ”ผมตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย ตาจ้องกับคนตรงหน้าอย่างไม่ยอม “ผมเหนื่อยกับการที่จะต้องมาเถียงกับคุณแบบนี้ทุกเรื่อง ทุกครั้งที่ทำงาน”
“แต่ยังไงคุณก็ต้องเจอผมอยู่อย่างนี้ไปทั้งปีการศึกษานั่นล่ะครับ คุณวินัย”พายุเปลี่ยนอารมณ์ ยักคิ้วให้ผมอย่างกวน ๆ “คู่กรรมอย่างเราสองคนต้องเจอกันไปอีกนาน”
“ก็แค่สองเทอม หลังจากนั้นต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิมแล้วล่ะครับ”ผมข่มอารมณ์ตัวเองให้นิ่ง ๆ ไม่แปรไปตามคนที่คุยด้วยอยู่ คนอะไรเปลี่ยนอารมณ์ไวพอ ๆ กับกิ้งก่าเปลี่ยนสีเลยนะครับ “ส่วนสถานที่ ที่คุณบอกมา ผมเลือกทะเล”
“เบสิคดีชะมัด”อย่าคิดว่าผมไม่ได้ยินนะครับ ไอ้คุณพายุ อยู่กันแค่สองคน ตึกก็เงียบ ได้ยินชัดเต็มสองรูหูเลย “สรุปคุณเลือกทะเลใช่ไหม”
“แล้วใจคุณเลือกอะไรมา”ผมถามกลับไปอย่างไม่คิดที่จะตอบคำถามที่คนตรงหน้าถามมาก่อนเลยครับ การที่มันถามผม และพูดแบบนั้น แสดงว่าในใจของมันมีที่เลือกเอาไว้แล้ว... แต่ไม่พูดออกมาก่อนแน่ ๆ ครับ
“สำหรับผม ผมเลือกไปค่าย”เลือกอะไรที่มันสำเร็จรูปจริง ๆ เลยนะครับ นี่จะพาน้องออกไปรับน้อง หรือจะพาลูกเสือไปทำกิจกรรมกันแน่น่ะครับ
“ทางมหาวิทยาลัยมีค่ายอาสาให้น้อง ๆ ไปอยู่ประจำอยู่แล้ว คุณยังคิดจะพาน้องออกค่ายอีกหรือครับ”อันนี้คนละค่ายกับค่ายที่พายุสื่อแน่ ๆ แค่ผมขอพูดดักเอาไว้ก่อนแล้วกันครับ “หรือเป็นค่ายทหาร ค่ายลูกเสือ ถ้าผมจำไม่ผิดคือเราต้องพาพวกเขาออกไปรับน้องนอกสถานที่ก่อนจะปลดระเบียบนะครับ ไม่ใช่ไปเกณฑ์ทหาร”
สีหน้าของพายุเปลี่ยนไปทันทีเลยครับ ดวงตาของหมอนั่นแฝงความหงุดหงิดขึ้นมาทันที แสดงว่าผมเดาถูกว่ามันจะพาน้องไปค่ายแบบไหน... ถึงมันจะง่าย และสะดวกในการจัดงาน แต่มันใช่ว่าจะดีเสมอไปนี่ครับ จริงไหม?
น้องไปมาตั้งกี่ครั้งแล้ว ก่อนที่จะขึ้นมาเรียนในระดับนี้ มันซ้ำซากและจำเจเกินไปในความคิดของผมนะครับ ถ้าเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนกันบ้าง
ผมเองยังแอบเบื่อพวกค่ายเลยครับ มันสนุกอยู่แค่ไม่กี่ฐานเอง สำหรับผมนะครับ
“คุณยืนยันที่จะเลือกทะเลใช่ไหม?”พายุถามผมกลับมาอีกครั้งด้วยเสียงที่เข้มกว่าเดิม แค่นี้ก็หงุดหงิดให้เห็น แสดงออกมาซะชัดเลยนะครับ
ไม่เป็นโปรเอาซะเลย
“ผมไม่เอาค่าย และน้ำตก ที่เหลือคุณอยากจะเลือกที่ไหนผมก็ไม่มีปัญหา”ผมตอบตามความคิดเหมือนเดิม ค่ายก็อย่างที่บอกครับว่าจำเจ ส่วนน้ำตก ผมไม่อยากให้ไปเพราะที่นั่นจะมีหินเยอะ แล้วกิจกรรมรับน้องมันก็จะมีล้มลุกคลุกคลานกัน ถ้าบาดเจ็บขึ้นมามันคงไม่คุ้มกันแน่ ๆ
แล้วตอนทำสะพานดาว ถ้าให้ไปนั่งบนหินนี่คงเจ็บกว่าบนทรายแน่ ๆ วิศวะคงฝึกกันจนหนังด้านแล้ว แต่ไม่ใช่กับเมคเทคอย่างพวกเรา
หนาไม่เท่าพวกนั้นหรอกครับ
ผมห่วงคนของผมมากเกินกว่าจะให้ไปได้รับบาดเจ็บที่ไหน เพื่อนเรา น้องเรา ยังไงก็ต้องมองความปลอดภัยของพวกเขาเป็นอันดับแรก จริงไหมครับ
“โอเค เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกคุณอีกทีว่าที่ไหน ไม่เอาค่าย ไม่เอาน้ำตก”คราวนี้พายุมันยอมผมง่าย ๆ เลยนะครับ ผมมองเฮดว๊ากตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงใจ “ไม่ต้องมามองผมด้วยสายตาแบบนั้น ผมมีเรียนต่อ จะให้มาต่อความยาว สาวความยืดเถียงกับคุณมันก็ไม่ใช่ที่ รู้ไหมครับ คุณวินัยลมหนาว”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณนิ”แค่สงสัย แค่นั่นเอง ปกติมันไม่น่าจะยอมง่าย ๆ นี่ครับ ต่อให้เป็นเรื่องเล็กแค่ไหนก็เถอะ ขอแค่จะเอาชนะผม มันก็เถียงสุดตัวเหมือนกัน
“ครับ ๆ ๆ”ตอบปัด ๆ แบบนี้มันน่าถีบเหมือนกันนะครับ แต่ช่างเถอะ ไม่ต้องมาเถียงกันก็ดีเหมือนกันครับ เปลืองน้ำลาย “ว่าแต่ ลมหนาว”
อยู่ ๆ มันก็ทำเสียงหวานใส่ผม อะไรวะครับเนี่ย รู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้ล่ะครับ... มันจะเล่นอะไรอีกหรือเปล่าครับ ดวงตาของหมอนั่นเปล่งประกายระยับ ไม่พอมีกระตุกยิ้มที่มุมปากด้วย
ผมว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ แน่ ๆ แน่นอนที่สุดครับ
“ฟิตร่างกายเอาไว้หรือยังครับงานนี้ผมต้องได้ตัวคุณแน่ ๆ”ปากว่ามือถึงด้วยครับ มือมันมาแตะที่ไหล่ผม ใครอนุญาตมันกันล่ะวะครับ “วอร์มเสียงด้วยนะครับ คุณเมีย”
“คนอย่างคุณและพวกของคุณน่ะ... ไม่มีวันเหนือกว่าผมและทุกคนในคณะเทคนิคการแพทย์ได้หรอกครับ”ผมปัดมือของพายุออกไปแล้วหันหลังเดินกลับไปหาเพื่อนที่รออยู่ที่โรงอาหารทันที โดยมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ไล่หลังมาด้วย
“เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้ ลมหนาว ยังไงคุณก็ต้องมานอนใต้ร่างผม”มั่นใจไปเถอะครับ... คนอย่างผมไม่ปล่อยให้ตัวเอง และเพื่อน และน้องต้องลำบากหรอกครับ
แต่... ถ้ามันไม่กวนผมสักวันนี้ มันจะนอนไม่หลับเอาใช่ไหมครับ?
ผมเหนื่อยใจ!!
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
มาต่อแล้วค้าาา ^^ ยังคงความมึนเอาไว้เหมือนเดิม 5555
ติชมกันได้นะคะ
ตอนต่อปจะเข้าสู่ช่วงที่กด 1 กันเอาไว้แล้วค้า (น้องจะมาง้อละ 5555)
ลุ้นกันนะคะ ว่าง้อยังไง
ปล. เกือบทั้งเรื่องนี้ ประสบการณ์ตรงดีจังเลย...