Chapter 7: เจ้ากรรมนายเวร
บัดนั้น ฝูงสนมนารีศรีใส
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่กำนัลใน ต่างไปชิงช่องมองเมียง
ครั้นเห็นจรกาเข้ามาเฝ้า บรรดาเหล่าชะแม่แซ่เสียง
บ้างตำหนิติว่าหน้าเพรียง ดูดำดังเหนี่ยงน่าชังนัก
ไม่มีทรวดทรงองค์เอวอ้วน พิศไหนเลวล้วนอัปลักษณ์
ใส่ชฎาก็ไม่รับกับพักตร์ งามบาดตานักขี้คร้านดู
บ้างว่าเสียงเพราะเสนาะเหลือ แหบเครือเบื่อฟังรำคาญหู
รูปร่างอย่างไพร่ใช่ระตู ไม่ควรเคียงคู่พระบุตรี
กระนี้หรือช่างมาตุนาหงัน เห็นเกินหน้าไกลกันทั้งศักดิ์ศรี
ดังเอาปัดขี้ร้ายราคี ปนมณีจินดาค่าควรเมือง
ลางคนว่าระคูจะคู่ครอง ดั่งเพชรผูกเรืองรองด้วยทองเหลือง
เหมือนทองคำธรรมชาติรุ่งเรือง มารู่กับกระเบื้องไม่ควรกัน
ลางนางบ้างโกรธแล้วพาที เสียดายพระบุตรีสาวสวรรค์
ถ้าได้กับอิเหนากุเรปัน น่าชมสมกันข้าชอบใจ
อันระตูผู้นี้บัดสีนัก จะร่วมเรียงเคียงพักตร์หาควรไม่
บ้างห้ามว่าอย่าอื้ออึงไป บ้างบ่นพิไรไปมาฯ
เฮือก!
ผมลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยอารามตกใจ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำ พอมองไปรอบๆ กายแล้วตระหนักได้ว่าอยู่ในห้องของตัวเอง ก็พอจะจับต้นชนปลายได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มันคือความฝัน แต่ดันเป็นความฝันที่มาจากความทรงจำในชาติที่แล้ว
เสียงของเหล่านางกำนัลพวกนั้นที่บริภาษรูปร่างหน้าตาผมเมื่อครั้งยังเป็นจรกาและเดินทางไปทูลขอนางบุษบาจากท้าวดาหายังคงดังแว่วขึ้นอยู่ในหู และเพราะเรื่องนั้นเองก็เป็นเหตุที่ทำให้ผมโดนใครต่อใครรังแกมาโดยตลอด โดยเฉพาะ...อิเหนา
ใช่ ผลพวงของการฝันร้ายเมื่อกี้นั้นมันมาจากการที่ถูกพี่อินทร์แกล้งในวันนั้นนั่นแหละ ตอนที่พี่บุศย์เข้ามาเจอ กว่าที่ผมจะอธิบายให้เขาเข้าใจเหตุผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ก็เล่นเอาเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง เพราะกว่าพี่อินทร์จะเลิกเล่น กว่าผมจะเลิกร้องไห้ กว่าจะอธิบายเสร็จ ใช้เวลานานเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นมั่วซั่ววุ่นวายสุดๆ ไปเลย
และพอทุกอย่างเคลียร์เรียบร้อยลงตัว ผมก็ได้ข้อสรุปว่า...
ต่อไปนี้จะไม่ไปเจอพี่อินทร์อีก!
ไม่สมควรไปเจอเป็นอย่างยิ่ง โคตรขี้แกล้งเลย มันทำให้ผมหวนคิดถึงความหลังฝังใจจนฝันร้ายอยู่หลายคืนแล้วเนี่ย
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชาตินี้เกิดมาหน้าตาน่ารักแล้วถึงยังได้ชอบกลั่นแกล้งอยู่อีก ไปทำอะไรให้วะเนี่ย!
คิดแล้วก็หงุดหงิดนะ น้องรหัสตัวเองก็มีแต่ไม่แกล้งอะ มาแกล้งแต่ผม ขนาดพี่บุศย์ยังออกปากเลยว่าให้เพลาๆ แกล้งผมลงหน่อยเพราะเขาเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน ครั้งล่าสุดนี่พี่อินทร์แกล้งผมแรงเกินไป
แรงไม่แรงก็คิดดู ถึงขั้นจุ๊บกับหัวนมเขาอะ คิดแล้วขนลุกซู่ อยากเอาเป็ดโปรฯ ราดปากฉิบเป๋ง
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไรนัก เพราะนอกจากพี่อินทร์จะไม่ฟังแล้ว ยังทำลอยหน้าลอยตา
‘ก็น้องรหัสมึงมันน่าแกล้ง’
เจ้ากรรมนายเวร...
แบบนี้เป็นเจ้ากรรมนายเวรแน่ๆ
ว่ากันว่าหากเคยมีความรักหรือความแค้นใดๆ ที่ปล่อยวางไม่ได้มาจากชาติก่อน ก็จะได้พบกันในอีกชาติ แต่เท่าที่เห็น ผมควรจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขามากกว่า ไม่ใช่เขามาเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมแล้วก็มาตามรังแกไม่เลิกราอย่างนี้!
แต่ถึงจะคิดว่าจะไม่ไปเจอเขาอีก ในชีวิตจริงมันเลี่ยงได้เสียที่ไหนในเมื่อเขาเป็นรูมเมตของพี่รหัสผม ยิ่งผมทำหลบหน้า ก็ร้อนถึงพี่บุศย์ที่ไม่สบายใจจนต้องโทรมาเรียกให้ผมไปหาในช่วงพักกลางวัน
“จิโกรธไอ้อินทร์เรื่องวันนั้นมากถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
เจอหน้าผม ทักทายพอเป็นกระษัยได้ก็เข้าเรื่องเลย ผมอยากจะบอกอยู่หรอกว่าใช่ แต่พอเห็นสีหน้าอึดอัดใจของพี่บุศย์แล้ว ผมก็ไม่กล้าพูดขึ้นมา
“จริงๆ จิก็ไม่ได้โกรธมากขนาดนั้นหรอกครับ”
“พี่ว่าไม่มั้ง ถึงขั้นหนีหน้า ได้ยินชื่อก็วิ่งปรู๊ดแบบนี้ น่าจะโกรธมาก”
ไม่ได้โกรธมาก...จริงๆ นะ แต่กลัวต่างหาก กลัวว่าจะถูกแกล้งอีกง่ะเลยต้องหนีไว้ก่อน
“จิไม่ได้โกรธ...มากขนาดนั้นจริงๆ ครับ”
แต่ก็ยอมรับว่าอีกใจหนึ่งก็โกรธแหละ พอพูดแค่นั้น พี่บุศย์ก็ถอนหายใจออกมา
“พี่เข้าใจนะ แต่จิอย่าคิดอะไรมากเลย ไอ้อินทร์มันก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย แม้แต่พี่เอง มันยังแกล้งเลย แต่กับจิจะมากเป็นพิเศษหน่อย สงสัยเห็นเราน่ารักมั้ง มันเลยเอ็นดู”
พูดพลางระบายยิ้มน้อยๆ ผมก็ยิ้มรับแหยๆ
เอ็นดูแบบนี้ไม่ต้องหรอกเว้ย!
แล้วพูดได้ไหมล่ะ ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
“แต่แกล้งจิบ่อยๆ แบบนี้ จิก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ แหะๆ”
“ไม่ต้องห่วง พี่ด่าไอ้อินทร์ให้แล้ว แล้วก็เตือนมันแล้วด้วยว่าอย่าแกล้งจิมาก เราก็อย่าคิดมากเลยนะ”
คราวนี้ลูบหัวผมเบาๆ ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเหลือบมองแล้วก็ร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังส่งยิ้มให้ผมอยู่
“อย่าถือสาคนบ้าอย่างไอ้อินทร์เลย”
ผมหัวเราะให้กับคำพูดนั้น ก็ยังดีที่พี่บุศย์คิดว่าพี่อินทร์เป็นบ้าเหมือนกับผม
แล้วหลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอีก
“จริงๆ แล้วที่พี่โทรเรียกให้จิมาหา พี่มีอะไรจะถามหน่อยน่ะ”
“อะไรเหรอครับ”
“เย็นนี้จิว่างไหม หมายถึง...เลิกเรียนแล้วไปไหนหรือเปล่า”
“ไม่ครับ พี่บุศย์จะชวนจิไปไหนเหรอ”
ผมแกล้งถาม ในใจก็ลุ้นอยู่ไม่น้อยว่าให้เขาชวนผมไปไหนสักที่ แล้วก็ต้องลิงโลดเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมา
“พี่อยากพาจิไปกินบิงซูน่ะ มีร้านเปิดใหม่อยู่หน้า ม. อยากไปไหม”
มีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ พยักหน้ารับรัวๆ เลย “ไปสิครับ ไปๆ”
“งั้นก็ดีเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
ผมก็อยากจะเลี้ยงเขาบ้างเหมือนกันนะ แต่ในเมื่อพี่บุศย์เป็นคนออกปากก่อน ถ้าปฏิเสธก็เสียน้ำใจแย่ ผมเลยพยักหน้ารับไปอีกครั้ง แต่แล้วก็รู้ตัวว่าพลาดที่ตกปากรับคำไปเมื่อพี่บุศย์มีสีหน้าเจื่อนขึ้นมาน้อยๆ
“แต่ว่า...เราไม่ได้ไปกันสองคนนะ”
“เอ๋?”
“ไอ้อินทร์มันไปด้วยน่ะ”
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้าผมแห้งไปทันตา
แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่าไอ้บ้านั่นก็ไปด้วย!
“ความจริงไอ้อินทร์มันอยากจะเลี้ยงขนมจิเป็นการขอโทษที่แกล้งเกินเหตุวันนั้นน่ะ แต่มันไม่กล้ามาชวนเอง กลัวจิจะไม่ไป พี่เลยอาสามาชวนให้ อย่าโกรธพี่ไปอีกคนนะ”
ผมจะไปโกรธเขาลงได้ยังไงกันล่ะ ยิ่งพี่บุศย์ทำหน้าเหมือนสำนึกผิดแบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็ไม่กล้าพูดความในใจออกไปทั้งนั้นแหละ ได้แต่หัวเราะโง่ๆ
“อ๋อ แหะๆ ไม่เป็นไรครับ พี่อินทร์ไปด้วยก็ได้”
แต่ใจจริงโคตรไม่อยากไปเลย ต่อให้พี่บุศย์ไปด้วยก็เถอะ ดันรับปากไปแล้วนี่สิ
“งั้นเลิกเรียนแล้ว ไปรอที่ร้านเลยนะ ไว้เจอกันนะจิ”
พอผมรับปาก พี่บุศย์ก็รีบรวบรัดตัดตอนจบบทโดยไม่ถามไถ่ผมสักคำ แถมพอพูดเสร็จก็โบกมือบ๊ายบาย หายต๋อมไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
สงสัยกลัวผมจะเปลี่ยนใจล่ะมั้ง
ก็อยากจะเปลี่ยนใจนั่นแหละ แต่หาช่องไม่ได้เลย ปล่อยเลยตามเลยไปก่อนแล้วกัน
พอเลิกเรียน ผมก็ไปยืนหัวโด่ที่หน้าร้านบิงซูเปิดใหม่ที่นัดกับพี่บุศย์ไว้ เขาส่งข้อความมาบอกว่าร้านอยู่ตรงไหน ผมว่าผมก็มาถูกร้านนะ แต่มองซ้ายมองขวาก็ยังไม่เห็นเขาโผล่มาเลยแม้แต่น้อย ยกเว้น...
“ฮาย~ จิระ”
...ไอ้อิเหนา
โผล่มาคนแรกพร้อมกับสีหน้าดี๊ด๊าสุดชีวิต ผมเก็บอาการไม่ให้แสดงความเหม็นเบื่อออกทางสีหน้าอย่างเต็มที่ แต่ถึงจะเก็บอาการนี้ได้ ทว่าไม่สามารถยิ้มรับเขาได้เลย ได้แต่มองผู้ชายที่เดินเข้ามาหาผมแล้วว่าอย่างเอือมๆ
“หวัดดีครับพี่อินทร์”
พี่อินทร์มาหยุดตรงหน้า ยิ้มระรื่นจนน่ารำคาญ
“ปะ เข้าไปข้างในกัน เดี๋ยวคนเยอะ”
พอเขาชวนเข้าร้าน ผมก็รีบถามหาใครอีกคนที่ยังไม่โผล่มาทันที
“แล้วพี่บุศย์ล่ะครับ”
“เห็นมันบอกว่าติดประชุมโปรเจ็กต์ เดี๋ยวตามมา อาจจะช้าหน่อย”
แค่นี้ ผมก็ขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
น้องบุษบานะน้องบุษบา หรือว่านี่จะหลอกให้พี่จรกามาเผชิญหน้ากับไอ้อิเหนาสองต่อสองเนี่ย!
คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ดูท่าทางพี่บุศย์อยากจะให้ผมหายโกรธพี่อินทร์ เลยเปิดโอกาสให้พี่อินทร์ได้มาคุยกับผมล่ะมั้ง
“เอ้า เข้ามาสิ จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
เขาว่าขึ้นมาอีก ถึงตอนนี้ผมคงจะหนีหน้าเขาไม่ได้แล้ว ก็เลยยอมเดินตามเข้าไป ก่อนพี่อินทร์จะเลือกโต๊ะมุมในสุดของร้านเป็นที่นั่ง ผมมองไปรอบๆ ร้านที่ตกแต่งสไตล์มินิมอล ค่อนข้างดูโปร่งและสบายตา แต่พอเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม เท่านั้นก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“อยากกินอะไร จิสั่งเลยนะ พี่เลี้ยงเอง”
ว่าแล้วก็ยื่นเมนูที่พนักงานเอามาให้มาตรงหน้าผม
เฮอะ! คิดว่าจะเอาบิงซูมาล่อให้ผมหายโกรธล่ะสิ แต่ฝันไปเถอะ ผมไม่เห็นแก่กินหรอก
“ยังไม่สั่งดีกว่าครับ จิรอพี่บุศย์มาก่อนดีกว่า จะรอกินพร้อมกับพี่บุศย์ ถ้าพี่อินทร์หิวก็สั่งมากินก่อนเลย”
ผมว่าอย่างไม่ยี่หระเท่าไร ทำให้พี่อินทร์ว่ากระเง้ากระงอดออกมา
“จะบ้าเหรอ สั่งบิงซูมากินคนเดียวเนี่ยนะ ถ้วยเบ้อเร่อขนาดนั้น ใครจะกินคนเดียวหมด ไม่เอาอะ งั้นรอไอ้บุศย์ก่อนก็ได้”
จะทำอะไรก็ทำไปเลย ผมไม่สนใจหรอก หันหน้าไปมองนอกร้านผ่านกระจกข้างๆ กะว่าจะไม่คุยกับเขาให้อารมณ์เสียหรือเปิดช่องทางให้เขาได้แกล้ง แต่ทว่า... พอผมไม่สนใจ พี่อินทร์ก็เอื้อมมือมาจิ้มแก้มผมจึ้กๆ
จึ้กๆ...
จึ้กๆ...
ผมเหลือบสายตาไปมองก็เห็นพี่อินทร์นั่งเท้าคาง ใช้มืออีกข้างจิ้มแก้มผมไม่หยุด ผมเลยสะบัดหน้าหนี ออกปากปราม
“อย่าครับ”
แล้วฟังไหมล่ะ หึ! ไม่ฟังเลยสักนิด เอื้อมมือมาจะจิ้มอีก ผมเลยปัดมือเขาออก
“พี่อินทร์ จิบอกว่าอย่า”
ยังไม่ฟังอีก วอแวเร้าหรือไม่หยุด จิ้มมาอีกจนได้ เท่านั้นแหละ ผมก็หงุดหงิดเลย
มึงจะแหย่อะไรนักหนา!
“พี่อินทร์! อย่าทำแบบนี้!”
ผมชักจะรำคาญจนถึงขีดสุดแล้ว สะบัดหน้าหนีพร้อมกับปัดมือเขาออกอีกครั้ง พี่อินทร์ก็แทนที่จะสำนึกว่าทำให้ผมอารมณ์เสียอีกแล้วดันหัวเราะร่วน
“จับแก้มหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ครับ”
“ทำไมล่ะ”
“จิไม่ชอบ”
“ไม่ชอบหรืออาย?”
“ทั้งคู่นั่นแหละ อย่าทำอีกนะ รำคาญ”
ตอนนี้ไม่ไว้หน้าอะไรทั้งนั้น ผมค้นพบแล้วว่าทางที่ดีที่สุดของการหลีกเลี่ยงการถูกแกล้งคือบอกไปตรงๆ ว่าไม่ชอบ แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเลยสักนิดเมื่อพี่อินทร์เริ่มส่งเสียงออกมา
“โอ้นวลลออ น้องจะเหนียมอายไปทำไม หันมาใกล้ๆ ซิ จะอายไปไหนกัน”
จู่ๆ ก็ร้องเพลงจูบเย้ยจันทร์ขึ้นมาเฉยเลย ผมย่นคิ้วยู่ มองเขาที่ทำท่าสะดีดสะดิ้งจับแก้มตัวเอง ร้องเพลงไม่หยุด
“อุ๊ย ไม่เอา อุ๊ย ไม่เอา เค้ารู้ทัน น้องอายพระจันทร์ ดูสิท่านกำลังมอง”
ร้องแบบสลับเสียงหนึ่งกับเสียงสองด้วย ท่อนผู้ชายก็ร้องเสียงเข้มๆ พอเข้าท่อนผู้หญิงก็ดัดเสียงสอง ผมว่านะ ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง แม่งร้องไปยันจบเพลงแน่ๆ แค่ตอนนี้ก็ร้องไปเรื่อยจนถึงกลางเพลงแล้ว แถมโต๊ะอื่นก็เริ่มมองมาทางเราพลางหัวเราะคิกคักแล้วด้วยเถอะ ผมเลยต้องรีบเรียกสติเขาก่อนที่จะสะดีดสะดิ้งไปมากกว่านี้
“พี่อินทร์”
“จันทร์ไม่มองแล้วจันทร์ไม่มอง”
“พี่อินทร์”
“จันทร์ไม่มองน้องก็ไม่ให้”
“พี่อินทร์ครับ”
“จันทร์ไม่มองน้องอายอะไร”
“พี่...”
“อายแก่ใจเห็นดาวยังจ้อง”
“จิว่าหยุด...”
“แน่ะเมฆมาทับ ดับแล้วดวงดารา มาหอมหน่อยขวัญตา น้องเอยอย่ากลัวท่านเหลียวมอง”
“…”
“อุ๊ยว้าย! ดูซิช้ำไปเป็นกอง”
ถึงท่อนนี้ ท่าทางดูตอแล้ตอแหล ชม้อยชม้ายชายตาให้ผม เอามืออังแก้มดิ้นแด๊ะแด๋สุดชีวิต เห็นแล้วอยากเอาเมนูฟาดหน้า
มึงก็หยุดแรดสักนาทีนึงได้ไหมเล่า! กูหาจุดพูดแทรกไม่ได้เลยเนี่ย!
“ถ้าพี่อินทร์ไม่หยุด จิจะโกรธแล้วจริงๆ นะ”
พอผมพูดออกมาแบบนี้ พี่อินทร์ก็หยุดจนได้ แต่ก็ไม่วายหัวเราะออกมาด้วยขำกับสีหน้าของผม
“พี่แค่ร้องเพลงแค่นี้เอง ทำไมต้องโกรธด้วย”
กูจะไม่โกรธเลยถ้ามึงร้องแล้วไม่ทำท่าแรดขนาดนี้น่ะ เดี๋ยวสลับเสียงชายหญิงไปมา มึงเป็นไบโพล่าร์เหรอไอ้อิเหนา!
ผมไม่พูด ได้แค่ค้อนประหลับประเหลือก พี่อินทร์ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางบนโต๊ะอีกครั้ง มืออีกข้างเอื้อมมาจับแก้มผมอีกแล้ว
“โอ๋ๆ ไม่งอนนะพ่อหนุ่มหน้ากระรอก”
ผมปัดมือเขาทิ้ง ว่าเสียงแข็ง “เลิกเล่นได้แล้ว จิบอกแล้วไงว่าไม่ชอบ”
พี่อินทร์ชะงัก “ไม่ชอบให้พี่แกล้ง หรือไม่ชอบให้พี่จับแก้ม”
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ เลิกถามได้แล้ว”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยืดตัวขึ้น ว่าอย่างไม่ยี่หระ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ ร้องเพลงต่อแล้วกัน โน่นแน่ะนกเขาคูจุ๊ก จุ๊กกรูนกมันเฝ้าคูหาชู้มัน~”
มึงจะมาเป็นแฟนบอยวงสุนทราภรณ์แบบนี้ไม่ได้!
ผมรีบเอื้อมมือไปปิดปากเขาเลย เพราะไม่อย่างนั้นพี่อินทร์ได้ร้องเพลงใหม่ออกมาแน่ ก่อนผมจะรีบว่าเร็วๆ
“รู้แล้วๆ จับก็จับ แต่ห้ามร้องเพลงอีกนะ ไม่งั้นจิกลับจริงๆ ด้วย พี่บุศย์ก็จะไม่รอแล้ว”
ดวงตาของพี่อินทร์ดูมีรอยยิ้มขึ้นมา ท่าทางจะขำผมมาก แต่ก็ยอมพยักหน้า พอผมปล่อยมือออก เขาก็ว่าหน้าระรื่น
“ยอมแบบนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว”
แล้วก็ใช้มือมาบีบๆ จับๆ แก้มผมเป็นการใหญ่ โดยไม่สนใจว่าผมจะหน้ามุ่ยแค่ไหนเลย
ไอ้อิเหนานี่เจ้ากรรมนายเวรของจรกาที่แท้ทรู
แล้วพูดอะไรได้บ้างไหมล่ะ แม่ง เหมือนสีซอให้ควายฟังอะ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยสักนิด
และพอผมยอมให้เขานั่งจับแก้มจนหนำใจพร้อมกับทำหน้าบูดใส่เขาตลอดเวลา จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างมาเสียบที่ใบหู สายตาเหลือบเห็นเงาสะท้อนรางๆ ของตัวเองในกระจกร้านพอดี พลันก็พบว่าไอ้ที่รู้สึกเมื่อกี้เป็นเพราะพี่อินทร์เอาดอกไม้มาทัดหูผม
ดอกไม้...
เป็นดอกชบาสีชมพู…
ผมหันไปมองหน้าเขา กะจะแหวใส่เขานั่นแหละว่าเล่นอะไร แต่พี่อินทร์ก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“ทำแบบนี้แล้วน่ารักดี”
“แต่จิไม่ชอบ”
ผมว่าไปอีก เดาได้เลยว่าตอนนี้คิ้วแทบจะขมวดกันเป็นปมแล้วมั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พี่อินทร์สนใจอะไร เขายิ้มให้ผมแล้วว่าเสียงเรียบ
“แต่พี่ชอบ”
“เฮอะ ก็แน่ล่ะสิ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่อินทร์ชอบแกล้งจิ”
ผมว่า เขาหัวเราะแล้วก็ส่ายหน้า
“ใครบอกว่าพี่ชอบแกล้งจิ”
“ไม่ต้องมีใครบอก จิก็รู้ เจอหน้าทีไรก็แกล้งทุกที อย่างนี้จะบอกว่าไม่ชอบแกล้งเหรอ”
เขาไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับ ได้แต่พูดประโยคอื่น
“ถ้าจิไม่ชอบให้พี่แกล้ง พี่ก็จะแกล้งน้อยลงนะ”
“ก็ยังแกล้งอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
ผมพึมพำ พี่อินทร์ได้ยินเต็มสองหูนั่นแหละ แต่เขาทำเป็นหูทวนลม
“แต่ที่พี่บอกว่าไม่ชอบแกล้งจิน่ะ เรื่องจริงนะ”
ใครเชื่อก็กินหญ้าแล้ว!
แต่เขาก็ทำให้ผมต้องนิ่งงันไปเมื่อพูดออกมาอีก
“เพราะจริงๆ แล้ว พี่มีอย่างอื่นที่ชอบมากกว่า”
อย่างอื่นที่ชอบมากกว่า... อะไรน่ะ
ทว่าเขาก็ไม่ให้คำตอบผมแล้ว ได้แต่หันไปหยิบดอกไม้อีกดอกมาทัดหูผม คราวนี้เหมือนจะเป็นดอกดาวเรืองเพราะเห็นสีเหลืองๆ พลันผมก็ฉุกใจขึ้นมา
“พี่อินทร์”
“หืม?”
“เอาดอกไม้มาจากไหน”
เขาพยักพเยิดใบหน้าไปยังกลางโต๊ะ เท่านั้นผมก็รู้เลย
มึงจะเอาดอกไม้ที่ใส่แจกันประดับโต๊ะมาทัดหูกูแบบนี้ไม่ได้!
ผมรีบดึงดอกไม้ออกแล้วปักคืนไปในแจกันเหมือนเดิม ขณะที่พี่อินทร์เห็นแล้วก็ทำหน้าตาเหมือนตัดพ้อ
“คนใจร้าย~”
เออ! กูจะใจร้ายให้มากกว่านี้ด้วยถ้ายังเอาดอกไม้มาปักชำที่หัวกูเนี่ย!
เจ้ากรรมนายเวรจริงๆ เล้ย!
----------------------------------
มาแล้วค่า วันนี้มาดึกนิดนึง เพิ่งเขียนจบตอน 555
พี่อินทร์นี่อะไรยังไง แลดูมีลับลมคมในนะฮ้า~ แต่น้องจิยังคงเก้วกาดเหมือนเดิม 55
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยน้า พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่ค่า