Episode 19: ฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย[2] เจเรมีไม่มีอารมณ์จะมาสนใจตัวเองหรอกเพราะหลังจากที่พาคริสเข้ามายังอาคารที่ใกล้ที่สุดได้ คริสก็ออกอาการเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงรีบพาอัลฟ่าหนุ่มไปนั่งพักยังห้องที่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนใจว่าห้องนั้นคือห้องอะไร ก่อนจะออกไปหาสิ่งของที่พอจะมีประโยชน์มาอย่างรวดเร็ว
อาหารกระป๋องหมดอายุแต่ยังกินได้... กล่องยาและอุปกรณ์ทำแผล... แค่สองอย่างนี้เท่านั้นที่เจเรมีเอากลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูล็อก เลื่อนเอาโต๊ะตัวใหญ่มาวางไว้ด้านหลังบานประตูกันไม่ให้ใครพังประตูเข้ามาง่ายๆ ก่อนจะสังเกตเอาในตอนนี้ว่า
ห้องที่เขาอยู่นั้นเป็นห้องทำงานของผู้คุม
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่คริสนั่งพิงตู้เอกสารพร้อมกับเลือดที่ไหลรินไม่หยุด ดูจากอาการของคริสก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก หากไม่นับท่าทางเหนื่อยล้าของเขาที่ทำให้เขาดูเหมือนจะหมดสติไปตลอดเวลามันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
“เดี๋ยวทำแผลเสร็จแล้วค่อยนอน” เจเรมีเปรย มือควานหาอุปกรณ์ทำแผลในกล่องเป็นพัลวัน
คริสปรายตามอง พยักหน้ารับช้าๆ
เจเรมีคว้าเอาผ้าสะอาดมาซับของเหลวสีแดงสดไหลอาบแขนเป็นทางยาวอย่างเบามือเป็นการห้ามเลือด เมื่อเลือดแข็งตัวและเริ่มหยุดไหลแล้วถึงได้ลงมือทำแผลและใช้ผ้าก็อซพัน ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม ไม่ได้เป็นการทำแผลที่ถูกหลักสักเท่าไหร่นัก กระนั้นก็พยายามที่จะรักษาความสะอาดเต็มที่
ไม่นานต้นแขนของคริสก็มีผ้าก็อซพันเรียบร้อย เขาเหลือบมองผลงานของโอเมก้าหนุ่มพลันยกยิ้มเล็กน้อย
“ใช้ได้นี่”
น้ำเสียงแห้งผากเรียกให้เจเรมีตวัดหางตาไปมอง
“หุบปากแล้วอยู่เฉยๆ”
คนถูกดุทำตามที่อีกฝ่ายบอก แต่ก็ไม่วายยิ้มรับอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงทีละน้อย เสี้ยววินาทีเดียว ลำคอแกร่งก็พับไป เข้าสู่ห้วงนิทราทันควัน ทำเอาเจเรมีที่เผลอหันไปทางอื่นแวบเดียวตกใจไม่น้อยเมื่อหันกลับมา
“คริส” ปากร้องเรียกออกไปแผ่วเบาทันที ใจคิดว่าคนตรงหน้าคงจะแค่หลับ
ทว่าเรียกแล้วกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ นั่นทำให้คนมองใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มทันควัน
“คริส...เฮ้ย คริส” ร้องเรียกอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เท่านั้นก็รีบเอื้อมมือไปเขย่าตัวอีกฝ่าย
ยังไร้ปฏิกิริยาอีกเช่นเคย อาการนั้นทำให้เจเรมีใจไม่ดีเลยแม้แต่น้อย เขาเลิ่กลั่ก คิดเป็นพัลวันว่าควรจะทำอย่างไรกับคนตรงหน้าดี ตอนนี้เขากลัวอย่างเดียวคือกลัวว่าคริสจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต แม้ว่ารอยแผลจากการถูกยิงนั่นจะแค่ถากๆ ทว่าก็ทำให้เสียเลือดไปเยอะเลยทีเดียว
ร้ายกว่านั้นคือบัดนี้ใบหน้าคร้ามคมของอัลฟ่าหนุ่มเริ่มซีดขาว ริมฝีปากหนาแห้งผากจนน่ากลัว ยิ่งมองก็ยิ่งเป็นกังวล ทำเอาเจเรมีอยู่ไม่สุขขึ้นมาฉับพลัน
“คริส! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ตื่น!”
ไม่เพียงแต่เขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างเดียวแล้ว ใช้ฝ่ามือตบเข้าไปที่หน้าหลายต่อหลายครั้งอีกต่างหาก แรงตบแรงไม่ใช่เล่นเลย แต่มันได้ผล... มันทำให้คริสได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา
“เจมี...” น้ำเสียงแหบแห้งหลุดออกจากเรียวปาก ดวงตาปรือลืมขึ้นมองหนุ่มผมบลอนด์ที่จ้องเขาอยู่อย่างเป็นห่วงเล็กน้อย “ฉันเหนื่อย ขอนอนหน่อยนะ”
“นายจะหลับไม่ได้นะคริส” เจเรมีสวนขึ้นในวินาทีนั้น ตอนนี้ไม่อยากให้คริสหลับแล้ว จู่ๆ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา
กลัวว่าถ้าคริสหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย...
ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่ก็พยายามจะตบใบหน้าคร้ามเพื่อเรียกสติของคริสเรื่อยๆ
หากแต่คริสกลับคว้ามือของอีกฝ่ายไปกุมไว้ ยกยิ้มให้เป็นคำตอบราวกับรู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรและเขาก็พยายามจะปลอบโยน
“ไม่ต้องห่วง ฉันก็แค่นอนพักน่ะ” จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้งและผล็อยหลับไปในชั่ววินาที
เจเรมีถึงกับอ้าปากค้าง
“นายจะมาหลับอย่างนี้ไม่ได้!” ได้สติก็ร้องเรียกเสียงดัง
หากแต่คริสไม่รับรู้อะไรแล้ว ร่างกายของเขาไม่สามารถทนกับความเหนื่อยอ่อนได้ไหว เจเรมีหัวเสียฉับพลัน ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้นอนจากจะช่วยขยับร่างกายของอีกฝ่ายให้ทอดกายลงนอนเหยียดยาวเพื่อที่จะได้นอนสบายๆ โดยที่ตัวเองนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
เขากำลังเป็นห่วง...
เป็นห่วงจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว!
เป็นอาการที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจตัวเองสักนิดว่าทำไมถึงเป็นห่วงคนที่หลับใหลอยู่ตรงหน้าได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ก็ไม่สบายใจด้วยเช่นกัน คิดว้าวุ่นไปไกลว่าคริสอาจจะเป็นอะไรมากกว่าการที่ร่างกายอ่อนเพลีย ถึงจะให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าเป็นห่วงคนตรงหน้าไปทำไมในเมื่อเขาแค่ใช้คริสเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอด
กระนั้นก็ยังเป็นห่วง... เป็นห่วงจนไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายคนนี้ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
จะไหวไหมเนี่ย...
นั่งเฝ้าไปก็ถามคำถามนี้กับตัวเองไปไม่รู้จักจบสิ้น กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านเข้ากลางดึก เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าร่างใหญ่ที่นอนทอดยาวอยู่เริ่มคุดคู้และสั่นเทาขึ้นมาทีละน้อย
เจเรมีขยับกาย เอื้อมมือไปอังที่หน้าผากและลำคอของคนตัวใหญ่กว่าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใบหน้าจะยุ่งเหยิง
ตัวร้อน...
คาดว่าน่าจะเป็นไข้เพราะร่างกายอ่อนเพลียมากเกินไปถึงได้อ่อนแอขึ้นมาอย่างนั้น แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการทำให้ร่างกายของคริสอบอุ่น
ร่างใหญ่สั่นเทิ้มมากกว่าเดิม นอนคุดคู้เสียจนไม่ต่างอะไรจากกุ้ง ทำเอาเจเรมีต้องรีบลุกขึ้นหาผ้ามาห่มกายอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถหาผ้าห่มได้ดีมากกว่าผ้าม่านที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่างเลย ทว่าเขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว กระชากผ้าม่านออกจากราว สะบัดไล่ฝุ่นสองสามทีแล้วนำมาคลุมตัวของคริสอย่างรวดเร็ว
มันใหญ่พอที่จะคลุมร่างใหญ่ได้ทั้งหมด แต่ดูแล้วจะไม่สามารถสร้างความอบอุ่นให้กับคริสได้ เขายังคงสั่นเทา...สั่นเสียจนเจเรมีหวั่นใจว่าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป คริสอาจจะเกิดภาวะช็อกได้ จึงตัดสินใจถอดเสื้อของตัวเองออก
...ไม่เพียงแต่เสื้อ กางเกงด้วยเช่นกัน
พริบตาเดียวก็เหลือแต่ร่างกายเปล่าเปลือย ซ้ำยังถลกผ้าม่านขึ้น จัดการถอดเสื้อผ้าของคริสออกอีกด้วย
เปลื้องผ้ากันทั้งคู่...จากนั้นก็เอนกายลงข้างๆ ดึงร่างใหญ่มาแนบชิดกายโดยให้ใบหน้าของคริสซุกอยู่ที่แผ่นอกของตัวเอง ก่อนจะตวัดขาและแขนโอบกอดร่างใหญ่และใช้ผ้าม่านคลุมทับอีกชั้น
ร่างกายของคริสสั่นเทาในอ้อมแขนของโอเมก้าหนุ่มไม่หยุด เจเรมีไม่อาจเบาใจได้เลยว่าการทำแบบนี้จะทำให้อาการของคริสดีขึ้น แต่เขาก็ทำ อย่างน้อยก็ขอให้ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อรักษาชีวิตของผู้ชายคนนี้เอาไว้
มือกดท้ายทอยของคริสให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนมากกว่าเดิม กอดก่ายแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ไออุ่นจากร่างกายส่งผ่านไปยังคนตรงหน้า ในหัวคิดฟุ้งซ่านไปในแง่ลบสุดกู่
ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ให้ตาย...
จะอาการหนักหนาขนาดไหน ก็ห้ามตายเด็ดขาด!
เสียงตามสายของเจ้าหน้าที่ที่ประกาศจำนวนอัลฟ่าและโอเมก้าที่เหลืออยู่ในเกมดังไปทั่วเกาะ ปลุกให้คริสตื่นจากนิทรา
โอเมก้าเหลือสาม อัลฟ่าเหลือห้า...
จำนวนลดลงไปเพราะฝีมือของพวกเขาเมื่อวานนี้ล่ะสินะ
เจ้าหน้าที่พวกนั้นคงจะส่งโดรนไปสำรวจทั่วเกาะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากรู้สึกว่าการตื่นนอนในวันนี้มันช่างไม่สบายตัวเอาเสียเลย
อึดอัด... รู้สึกอย่างนั้น ก่อนจะรู้สึกตัวว่าที่อึดอัดเป็นเพราะเขาอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน
เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจเรมีกำลังใช้คางเกยศีรษะเขาอยู่ขณะหลับปุ๋ย ส่วนเขาเองนอนหนุนแขนข้างหนึ่งของเจเรมีโดยมีแขนอีกข้างของอีกฝ่ายพาดอยู่บนตัว อะไรไม่ว่า เขายังถูกจับแก้ผ้าและหันหน้าเข้าหาร่างกายเปลือยเปล่าของเจเรมีอีกต่างหาก
ไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่คาดว่าสภาพร่างกายของเขาคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ และเขาก็ไม่สนที่จะหาคำตอบด้วย แค่เห็นว่าเจเรมีดูแลเขาเป็นอย่างดี มันก็อดใจไม่ได้ที่จะประทับจูบลงบนแผ่นอกตรงหน้า ก่อนจะกลายเป็นความมันเขี้ยว จากจูบเป็นการทำร่องรอยความเป็นเจ้าของเสียอย่างนั้น
สัมผัสแผ่วเบาจากการดูดดึงของคนในอ้อมกอดเรียกรอยย่นระหว่างคิ้วสวยของเจเรมี เปลือกตาเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พอเห็นว่าสิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราคือคริสที่กำลังทำคิสมาร์กบนหน้าอกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น
“ทำเวรอะไรของนายอยู่” ไม่ใช่การโวยวาย แต่เป็นการถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
คริสเหลือบตาขึ้นมองพลันผละริมฝีปากออกมา “ฉันทำให้ตื่นเหรอ?”
ก็เออสิวะ!
แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงชำเลืองมองร่องรอยแดงช้ำแห่งใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนผิวกายเท่านั้น ก่อนจะใช้มือข้างที่พาดลำตัวของคริสอยู่อังที่หน้าผากคนตัวใหญ่กว่า
ตัวของคริสไม่ร้อนเหมือนเมื่อคืนแล้ว เกือบจะเป็นอุณหภูมิปกติ แต่ก็ยังรุมๆ อยู่นิดหน่อย
ท่าทางนั้นทำให้คริสอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าจริงจังของเจเรมีตอนวัดอุณหภูมิร่างกายเขา คริสก็ปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิดจนถูกเจเรมีดุเอา
“ยิ้มเวรอะไร”
คริสยังคงกอดเจเรมีอยู่อย่างนั้น กัดริมฝีปากตัวเองคล้ายกับว่าพยายามกลั้นยิ้ม หากแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักจนต้องกระแอมสองสามที
เพื่อตั้งสติ พลันพูดออกไปเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนในอ้อมแขน
“ฉันคิดว่านายก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกัน”
“ฉันแค่ไม่อยากเห็นใครมาตายเพราะฉัน” เจเรมีเบนสายตาไปด้านข้างขณะพูด
ไม่อยากเห็นใครมาตายเพราะตัวเองงั้นเหรอ? แล้วที่ประกาศจำนวนผู้รอดชีวิตเมื่อเช้านั่นหมายความว่าคนที่ตายไปไม่ใช่เป็นเพราะเขาหรือไง
แต่คริสไม่พูดหรอก เดี๋ยวบรรยากาศดีๆ จะเสีย อีกอย่างเจเรมีก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคนด้วย ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะต้องการสั่งสอนและ...แก้แค้นให้ลูก้า
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง เขาไม่อยากจะคิดถึงมันสักเท่าไหร่นัก ก่อนจะขยับกายขึ้นมานอนเหนือกว่าเจเรมีแล้วดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขนแทน ถือวิสาสะประทับจูบลงบนหน้าผากกว้าง ทำเอาเจเรมีจ้องเขม็ง
“อะไร!”
คริสเหยียดยิ้ม ฉกหอมแก้มไปอีกที
“อะไรของนายวะเนี่ย!” ตอนนี้ถึงขั้นโวยวายแล้ว แต่ก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าคนฉวยโอกาส
“เป็นเพราะนายแท้ๆ อาการของฉันเลยดีขึ้น ขอบใจนะ”
“ฉันแค่ไม่อยากเห็นนายมาตายเพราะช่วยฉัน” เจเรมีพูดในน้ำเสียงระดับปกติ รู้สึกดีระคนเก้อเขินเหมือนกันที่ได้ยินคริสพูดอย่างนั้น
“จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ที่จู่ๆ ไข้ขึ้นคงเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ แบบว่าใช้แรงเยอะ...”
“สู้กับพวกสวะนั่นน่ะนะ?”
คริสส่ายหน้าเป็นคำตอบ เจเรมีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้คริสพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเพราะอะไร
“อย่าบอกนะว่า...”
“อืม มีอะไรกับนายมากไปหน่อย ร่างกายเลยอ่อนเพลียน่ะ พอซัดกับพวกนั้นอีกก็เลยเกินลิมิตที่ร่างกายจะรับไหว”
เท่านั้น เจเรมีก็ผลักคนตรงหน้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนปล่อยหมัดหลุนๆ ใส่ต้นแขนล่ำของคริสทันที
“สมควรปล่อยให้ตายเหมือนหมาจรจัด ไอ้เวรคริส!”
ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระอะไรได้ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ถ้ารู้ว่าที่คริสอ่อนแรงเป็นเพราะเอาแต่ทำเรื่องอย่างว่า ป่านนี้เขาปล่อยให้จมกองเลือดตายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!
คริสถึงกับหัวเราะร่วน เก็บอาการขรึมไม่อยู่เลยทีเดียวขณะที่ใบหน้าของเจเรมีบูดบึ้งเสียจนน่ากลัวว่าอีกครู่เดียวเขาคงจะคว้าอะไรมาทุบหัวคริส โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกเสียจากส่งสายตาหงุดหงิดให้เท่านั้น
“แต่ก็ต้องขอบใจนายจริงๆ ที่ดูแลฉัน ไม่อย่างนั้นคงจะอาการแย่กว่านี้”
“ฉันพลาดเองที่ช่วยนาย” เจเรมีบ่นอุบให้คริสได้หัวเราะอีกเล็กน้อย
น่ารักดี... ถึงจะกระด้างกระเดื่องแต่ก็น่ารักดี
เป็นเขาคนเดียวที่มองเจเรมีอย่างนั้น พลันหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไปเมื่อเจเรมีเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วไอ้พวกนั้นล่ะ พวกมันเป็นยังไงบ้างแล้ว” ถามถึงอัลฟ่าที่จัดการไปเมื่อวาน เมื่อสักพักเหมือนเขาจะได้ยินเสียงประกาศแต่เพราะหลับลึกพอสมควรเลยฟังไม่ทันว่ามีเนื้อความว่าอย่างไร
“ตายหมด ตอนนี้เหลือโอเมก้าสาม อัลฟ่าอีกห้า รวมนายกับฉันแล้ว”
เจเรมีพยักหน้า เงียบนิ่งไปคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
จริงๆ แล้วเขารู้สึกแย่และเสียดาย อัลฟ่าพวกนั้นควรสร้างประโยชน์ให้กับเขาแท้ๆ แต่กลับต้องมาสู้กันจนถึงขั้นตายแบบนี้มันเป็นการตายที่เสียเปล่าไม่ใช่น้อย
ท่าทางนิ่งงันนั้นทำให้คริสได้พูดขึ้นมา
“จำนวนคนลดลงแล้ว แถมไม่เป็นไปตามแผนนายด้วย มันจะลำบากขึ้นนะถ้าเรายังจะทำอย่างนั้น กลับไปใช้วิธีเดิมไหม” เขาหมายถึงกลับไปทำตามกติกาของเกมเพื่อเป็นผู้ชนะ
ไม่ใช่ว่าเจเรมีจะไม่รู้ว่าทุกอย่างจะยากขึ้น แต่พอเขาคิดถึงใบหน้าของลูก้าแล้ว เขาก็จำต้องยืนยันคำเดิม
“ฉันจะทำตามแผนของฉัน”
“แต่นายจะลำบาก...”
“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง แต่เลิกพูดเถอะ รำคาญ ฉันจะทำตามวิธีของฉัน” หันไปขึ้นเสียงใส่คริสจนได้ เขาไม่ชอบเท่าไหร่ที่คริสมาทำให้ความมุ่งมั่นของเขาเอนเอียง
ความจริงคริสก็อยากจะตอแยให้เลิกล้มแผนการนั้น แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาจริงจังของเจเรมีแล้ว เขาก็ต้องยอมแพ้
ไม่ใช่ยอมเพราะคนตรงหน้าเป็นเจเรมี แต่เพราะรู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไรต่างหาก เขาถึงยอมแต่โดยดี คนอย่างเจเรมีน่ะ แม้จะเป็นคนดื้อดึง ก้าวร้าวและมั่นใจในตัวเองเกินเหตุ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจนทำเอาตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ทว่าลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นมากเลยทีเดียว
เมื่อก่อนอาจจะไม่ใช่ แต่เริ่มในตอนนี้... ในหัวของเจเรมีมีแต่คำว่า ‘ต้องรอด’ เท่านั้น นั่นทำให้คริสต้องถอนหายใจออกมา
“นายนี่มันรั้นสุดๆ ไปเลย” พลันเอามือไปดึงแก้มของคนตรงหน้าก่อนพูดขึ้นอีก “แต่นายจะทำตามแผนของนายต่อก็ได้ เพราะยังไงฉันก็จะไม่ทิ้งนาย” คริสย้ำคำที่เขาเคยบอกกับเจเรมีไว้ก่อนที่จะเข้ามาร่วมเกมนี้อีกครั้ง
ความมั่นใจของเจเรมีที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ทวีมากขึ้นไปอีก ความรู้สึกแย่ก่อนหน้าค่อยๆ มลายหายไป กลายเป็นความอุ่นใจขึ้นมา
“ถ้านายทิ้งฉัน นายจะรู้เลยว่านรกมันเป็นยังไง” แทนที่จะขอบคุณหรือตอบรับด้วยคำพูดที่ทำให้คริสชื่นใจ กลับเป็นการขู่เสียอย่างนั้น
คริสหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ปล่อยเจเรมีออกจากอ้อมแขนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วคว้าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาถือเตรียมจะแต่งตัว
หากแต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร น้ำเสียงทุ้มก็ดังมาให้ได้ยิน
“ฉันเองก็จะไม่ทิ้งนายเหมือนกัน ไม่มีวัน...” พูดโดยไม่หันหน้ามามอง
คริสมองแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแล้วก็หุบยิ้มไม่ได้ เขาไม่รู้หรอกว่าเจเรมีคิดอะไรอยู่ขณะพูดประโยคนี้ออกมา รู้เพียงอย่างเดียวว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้กับผู้ชายคนนี้มันทวีมากขึ้นกว่าเดิมเสียจนไม่อาจกักเก็บไว้ได้
เขาไม่ได้หลงเจเรมีแล้วล่ะ แต่มันเรียกว่า...
คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าจะรู้สึกอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ ความคิดจึงหยุดลงแค่นั้น ล้มตัวนอนพักผ่อนต่อเมื่อได้ยินเสียงสั่งจากปากโอเมก้าหนุ่ม
ถ้าหากรอดไปจากที่นี่...
ถ้าหากว่าได้รับอิสระ...
เขาจะพูดคำนั้นให้เจเรมีฟังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...
การเล่นสกปรกของเดร็กทำให้เจอโรมไม่อาจทนอยู่นิ่ง เขาใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวในการติดต่อพรรคพวกของเขาหลายๆ คนเพื่อหาที่อยู่ของคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อได้คำตอบถึงได้เตรียมการเดินทางไปยังสถานที่นั้น
แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นความลับ เรื่องที่เขาทำอยู่จะเข้าหูเดร็กไม่ได้เด็ดขาด
การปลอมตัวจึงจำเป็นในแผนการครั้งนี้ เขาให้คนอื่นมาปลอมตัวเป็นเขาและแฝงตัวอยู่ในบ้านตามปกติ ส่วนเขากลับปลอมตัวเป็นพ่อค้าโอเมก้า ใส่หนวดเคราะปลอมและสวมผ้าคลุมศีรษะ ซ้ำยังให้อัลเบิร์ตปลอมตัวเป็นโอเมก้า สร้างเรื่องว่าเจอโรมซื้อตัวโอเมก้าคนนี้มาบำบัดความเครียดจากปัญหาที่รุมเร้าถึงที่บ้าน จากนั้นก็ให้แมทธิวขับรถพาออกจากมหานครเพิร์ลมุ่งหน้าสู่อาณาเขตปกครองพิเศษดีออน
อาณาเขตปกครองพิเศษดีออนในตอนนี้ดูทรุดโทรมและล้าหลังกว่ามหานครเพิร์ลอยู่มาก ตั้งแต่ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของมหานครเพิร์ล ทุกอย่างในอาณาเขตนี้ก็เหมือนจะแย่ลงไปทันตา
แย่เสียจนประชาชนบางส่วนพากันล้มตายเพราะขาดแคลนอาหาร...
ไม่มีคำใดมาพรรณนาความเลวร้ายของสถานการณ์ในอาณาเขตแห่งนี้ได้ และเจอโรมก็ไม่สนใจที่จะเอาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับสถานการณ์ของประชาชนที่นี่ด้วย เขาต้องการทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จมากกว่า
ตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองเป็นจุดหมายที่พวกเขาต้องการมา ภายในนั้นมีบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้เรียงรายอยู่เต็มสองฝั่ง มองเผินๆ ก็รู้ว่ามันคือสลัม แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปและหยุดลงที่ประตูหน้าบ้านหลังหนึ่ง ครั้นจะเอื้อมมือไปเคาะประตู ชายฉกรรจ์หลายคนที่อยู่ในละแวกนั้นก็เข้ามาขวางพลันถามเสียงแข็ง
“พวกแกเป็นใคร มีธุระอะไรที่นี่”
เจอโรมถอดเครื่องแต่งกายอำพรางหน้าตาออก เปิดเผยตัวเองโดยไม่เกรงกลัว
ไม่ต้องให้แนะนำตัว ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็จำได้ดีว่าเจอโรมเป็นใคร
หนึ่งในตระกูลผู้นำของมหานครเพิร์ล คนที่ทำให้พวกเขามีชีวิตตกต่ำขนาดนี้!
“แก!” ชายคนหนึ่งเกือบจะอดใจไม่ไหว พุ่งเข้ามาหาเจอโรมหมายจะฆ่า ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อแมทธิวซึ่งอยู่ทางด้านหลังชักปืนออกมาจ่อดเตรียมยิง
จังหวะนั้นเองที่เจอโรมได้พูดต่อ “ฉันมาหาผู้นำของพวกนาย”
“กลับไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับ” ชายฉกรรจ์อีกคนที่เผชิญหน้ากับแขกไม่พึงประสงค์ออกปากบ้าง
เจอโรมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องถูกปฏิเสธอย่างนี้ แต่ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอให้ได้
“แต่ฉันต้องคุย”
“กลับไปซะถ้าไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่” พูดไม่ฟังก็ต้องขู่
“ฉันไม่กลับ มันเป็นเรื่องสำคัญ”
“สงสัยจะพูดกันไม่รู้เรื่องซะมั้ง”
อัลเบิร์ตขยับตัวไปหลบหลังบิดาทันทีที่ถูกพยักหน้าเรียก สถานการณ์ดูไม่ดีเอาเสียเลย ถึงแมทธิวจะมีปืนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสู้ชายฉกรรจ์หลายคนที่มีความแค้นต่อผู้นำของมหานครเพิร์ลได้
ทว่าเสียงพูดคุยกันนั้นสร้างความรำคาญใจให้กับคนที่อยู่ด้านในของบ้านเป็นอย่างมาก เขาเกือบจะสั่งให้ชายพวกนั้นจัดการให้เสร็จๆ ไปเสียแล้วถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงของเจอโรมแว่วมา
“พูดกันรู้เรื่องแน่ถ้าเป็นเรื่องของคริส ฟ็อกซ์”
เท่านั้นประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดผางออกมาทันที ชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยกับเจอโรมหากแต่ท่าทางหน้าเกรงขามปรากฏกายให้เห็น เขาโบกมือไหวเล็กน้อย บรรดาชายฉกรรจ์ที่รายล้อมแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ก็พากันถอยออกห่าง เปิดทางให้เขาเข้ามาแทนที่
“มีธุระอะไร” เอ่ยปากถามเป็นที่เรียบร้อย
นั่นแหละคือสิ่งที่เจอโรมอยากได้ยิน ก่อนที่เขาจะว่าจุดประสงค์ของตัวเองออกไปตรงๆ
“ผมต้องการความช่วยเหลือ ถ้าคุณอยากช่วยชีวิตทายาทของตระกูลฟ็อกซ์ เราก็มาคุยกัน”
อีกฝ่ายนิ่งไป ก่อนจะพูดเสียงเบา “เข้ามาก่อน ตรงนี้มันล่อสายตา”
จากนั้นก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน ปล่อยให้แขกทั้งสามก้าวตามเข้ามา
ประตูบ้านปิดลง บทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเคร่งเครียด
-------------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ ตอนนี้มีหลายอารมณ์...มั้ง 55
เรื่องนี้สรุปแล้วจะเปิดพรีเซลหลังงานหนังสือนะคะ ใครต้องการรูปเล่ม รอทาง สนพ.ประกาศที่หน้าเพจอีกทีนะ ไปติดตามที่เพจนี้ได้เลย
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/ส่วนตอนหน้า เดี๋ยวหนูแดงจะมาอัพตัวอย่างให้ดึกๆ หน่อยนะคะ ขอพักสายตาก่อน
ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันหน่อยนะงับ ตอนนี้ว่างมาลุยเรื่องนี้ละ อัพรัวๆ เลยจย้า XD