บทที่83 คำสาบานที่ปราศจากคำพูด
รถแท็กซี่ที่มีรอยกระสุนพรุนไปครึ่งคัน แล่นมาจอดหน้าอาพาร์ตเมนต์ระดับกลางแห่งหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยเก่าของกรุงมอสโคว์
“ที่นี่น่ะรึ?” คนขับรถแท็กซี่ถาม เด็กน้อยเกรเกอรีพยักหน้า
“บ้านผมอยู่ชั้นบนนี่แหละฮะ” เขากล่าว และพูดต่อ “ลุงจะขึ้นไปด้วยกันรึเปล่าฮะ?”
นิโคลัยหัวเราะหึๆ “ไม่ดีกว่า เธอไปกับพ่อหนุ่มสองคนนี่ก็พอแล้ว ฉันยังต้องรีบไปรับผู้โดยสารอีก”
เด็กน้อยทำหน้าแปลก ขณะที่รูฟัสย่นคิ้ว “นี่ไม่ใช่วางแผนจะไปทำเรื่องอะไรอีกนะ?”
“ประโยคนั่นฉันน่าจะพูดกับแกมากกว่า” คนถูกถามย้อน พลางยิ้มแยกเขี้ยว “ก่อนลงอย่าลืมจ่ายค่ามิเตอร์ด้วยนะเฟ้ย”
รูฟัสควักเงินรูเบิ้ลออกมาจากกระเป๋าปึกหนึ่งโดยไม่นับ เขายื่นมันให้เพื่อนเก่า ก่อนจะก้าวลงจากรถ “หวังว่าคงพอซ่อมสีนะ”
นิโคลัยหัวเราะลงลูกคอ ขณะที่คนอื่นๆ ทยอยลงจากรถ เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
“คุณลุงฮะ” เอ็ดการ์ดยื่นหน้ามาจากที่นั่งด้านหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปยังใบหน้าของชายซึ่งเพิ่งพาเขาสู่โลกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
“อ้าว เจ้าหนูขี้แยนี่ ไม่ร้องไห้แล้วรึ?” นิโคลัยเย้า เอ็ดการ์ดสั่นศีรษะ “ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้วล่ะฮะ ขอบคุณนะฮะ”
ผู้สูงวัยกว่าทำหน้าแปลก ก่อนจะก้มลงไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากใต้เบาะ
“เออ ฉันให้ ถือว่าเป็นที่ระลึกแล้วกัน”
ปลอกกระสุนปืนกลกึ่งอัตโนมัติถูกหย่อนลงในมือเด็กน้อย เอ็ดการ์ดเบิ่งตากว้าง
“เอาไปทำจี้ห้อยคอก็ได้นะ ถ้าพ่อแม่เธอไม่ว่า” นิโคลัยพูดพลางหัวเราะ เอ็ดการ์ดเก็บปลอกกระสุนในกระเป๋าเสื้อ กว่าที่เขาจะรู้ว่ามันคืออะไร ก็หลังจากนั้นอีกหลายปี เด็กน้อยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะลงจากรถ
คนทั้งสี่มองดูรถแท็กซี่ที่มีรอยกระสุนครึ่งคันแล่นออกไปด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน รูฟัสนึกโล่งใจที่นิโคลัยไม่ถามถึงสีตาของเขากับเกรเกอรี ไม่สิ ทางนั้นคงรู้อยู่แล้วว่านี่เป็นเรื่องไม่ควรถาม และไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรู้
ฟ่งมองไล่หลังรถแท็กซี่ นึกสงสัยว่าจะมีตำรวจกล้าเรียกระหว่างทางรึเปล่า แล้วถ้าถูกเรียก คนขับจะตอบว่าอย่างไร แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนพวกนี้ล่ะมั้ง
เกรเกอรีรู้สึกแปลกใจกับคนขับรถแท็กซี่ปริศนา ที่มารับเขาด้วยรอยกระสุนทั้งคัน และยังผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่อีก คนพวกนี้เป็นใครกันนะ เป็นตำรวจรึเปล่า ทำไมถึงเสี่ยงเข้าไปช่วยเขา แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้น คือคนที่ยืนจับมือเขาอยู่นี่แหละ
เกรเกอรีหันไปมองเอ็ดการ์ดอย่างแปลกใจเป็นที่สุด ปกติเจ้าหมอนี่มักจะร้องไห้อยู่เสมอๆ นี่นา ขนาดแค่ทำไอศกรีมหล่นยังร้องโยเยขนาดนั้น แต่ตอนนี้ เจ้าหมอนี่นั่งรถที่มีรอยกระสุนแบบนั้น แถมถูกไล่ยิงอีกต่างหาก แต่กลับไม่ร้องสักแอะ เอ็ดการ์ดหันมามองเขา และยิ้มกว้าง
“ดีใจจังที่นายกลับมาได้ ไว้คราวหลังฉันจะไปซื้อไอศกรีมให้ใหม่นะ”
ไม่รู้ทำไม คราวนี้เกรเกอรีกลับเป็นฝ่ายที่อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเอง เขามองหน้าเอ็ดการ์ดพลางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
“ขึ้นไปหาคุณแม่ดีกว่า” เด็กน้อยว่า และหันหน้าไปมองผู้ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่
“พวกพี่ก็ขึ้นไปด้วยกันสิฮะ”
-------------------------------------------------
บ้านที่เกรเกอรีเรียก อยู่ในอาพาร์ตเมนต์ที่ถูกตกแต่งใหม่หลังจากพรรคคอมมิวนิสหมดอำนาจไปแล้ว เพื่อขายต่อให้กับคนที่พอมีฐานะ ตอนที่เขาไปถึงห้อง เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเอ่ยทักอย่างตกใจ
“ตายแล้ว เกรเกอรี เธอจริงๆ หรือนี่ พระเจ้าทรงโปรด! เธอกลับมาแล้ว ฉันต้องรีบโทรหาอลิซาเบธ”
อลิซาเบธเป็นชื่อแม่ของเกรเกอรี เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน “ทำไมหรือฮะ ป้ากายาห์”
หญิงวัยราวห้าสิบปีเศษพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ “ก็เธอหายตัวไป อลิซาเบธกลับมาหาที่ห้องก็ไม่เจอ แม่เธอดูเป็นกังวลมาก พอฉันบอกว่าเธอคงออกไปกับเอ็ดการ์ด อลิซาเบธก็พึมพำว่าแย่แล้ว แล้วก็ผลุนผลันออกไปเลย”
เกรเกอรีพยักหน้า ตอนที่เขาถูกจับ เหมือนคนพวกนั้นจะโทรศัพท์หาแม่เขาด้วย คงตั้งใจจะข่มขู่จริงๆ นั่นแหละ พอนึกถึงเรื่องถูกลักพาตัว เด็กน้อยก็ตัวสั่นขึ้นมา
“อ้าว แล้วพ่อหนุ่มสองคนนี่...” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่มาด้วยกันดูไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย รูฟัสยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมบังเอิญเจอสองคนนี่ทะเลาะกันอยู่ใกล้ๆ วัง เลยพากลับมาบ้านน่ะครับ”
“โถ...ทะเลาะกันอีกแล้ว พวกเธอนี่น๊า สนิทกันก็ดีอยู่หรอก แต่เผลอก็ทะเลาะกันทุกที ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ฉันคงต้องรีบโทรหาแม่ของเขาก่อน เธอจะได้ไม่เป็นห่วงเกินเหตุ” หล่อนว่า และผลุนผลันเข้าห้องไป สักพักก็ได้ยินเสียงเรียก “เกรเกอรี แม่เธออยากคุยด้วยน่ะ”
เกรเกอรีเดินเข้าไปในห้องของหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน เพื่อรับโทรศัพท์ สักพักเขาก็กลับออกมา และยิ้มให้กับสามคนที่เหลือ
“คุณแม่บอกว่าอยากพบพวกคุณมาก ยังไงไปรอที่บ้านผมก่อนได้ไหมครับ”
ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส ชายหนุ่มซึ่งยังคงสวมแว่นตาสีชายืนคิดพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
-------------------------------------------
ห้องพักที่เกรเกอรีเรียกว่าบ้านนั้น แม้จะไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ก็ถือว่าจัดได้สวยงามสะอาดตา รูฟัสหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ขณะที่ฟ่งมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม เกรเกอรีกับเอ็ดการ์ด เดินไปที่ครัว เพื่อหาของว่างมาให้แขก
รูฟัสเงยหน้ามองหลังฟ่ง มองแหวนบนนิ้วตัวเอง นึกถึงกล่องใส่แหวนที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
ทำไมชีวิตถึงได้ดูมีอุปสรรค์นัก
ฟ่งหันกลับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงถอนหายใจ “มีอะไรหรือ?”
รูฟัสสั่นศีรษะ เอาเถอะ เขาคงหาโอกาสมอบมันให้ฟ่งได้เองนั่นแหละ ก่อนอื่นคงต้องจัดการปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้านี้ก่อน
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการกลับมาเหยียบประเทศบ้านเกิดหลังจากห่างไปถึงสิบสามปีจะมีอะไรบังเอิญหลายๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันแบบนี้
การที่เขาได้เจอนิโคลัยก็ว่าบังเอิญมากแล้ว แต่การที่ได้เจอเจ้าเด็กที่ชื่อเกรเกอรีนี่สิ คงต้องเรียกว่าสุดยอดความบังเอิญ
รูฟัสถึงกับพูดไม่ออกไปนาน หลังจากเห็นสีตาของเด็กน้อย ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องพบผ่านส่วนหนึ่งของอดีตที่เขาทิ้งไปเมื่อนานมาแล้ว
พ่อของเด็กคนนี้.....
รูฟัสผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังตู้โชว์ ซึ่งวางกรอบรูปเอาไว้หลายกรอบ ส่วนใหญ่เป็นรูปของผู้ชายวัยเกือบสี่สิบ มีทั้งที่แต่งตัวสบายๆ และแบบที่สวมสูท แต่ส่วนใหญ่มักจะถ่ายกับครอบครัว อลิซาเบธ แม่ของเกรเกอรีจัดว่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีและมีความทันสมัยที่ไม่ฟุ้งเฟ้อแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เป็น เธอตัดผมสั้นรับกับใบหน้า ดวงตาสีฟ้าอ่อนเป็นประกายคมกริบ ตัดกับเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ข้างเธอคือผู้ชายที่เป็นพ่อของเกรเกอรี ผู้ชายที่รูฟัสเกือบจะลืมหน้าไปแล้ว
ดวงตาสีแปลกซึ่งอยู่บนใบหน้าที่กำลังคลี่ยิ้มอ่อนโยน
ดวงตาที่เป็นเช่นเดียวกับเขา
“ขนมมาแล้วฮะ” เสียงของสองหนูน้อยดังขึ้น เกรเกอรีเดินมาพร้อมถาดใส่แคร็กเกอร์ โดยมีเอ็ดการ์ดถือขวดน้ำหวานและแก้วตามมาติดๆ ฟ่งเดินไปช่วยเด็กๆ ถือของ ขณะที่รูฟัสยังคงยืนมองรูปถ่ายอยู่
“รูฟัส?” ฟ่งเอ่ยเรียกชื่อเขาเบาๆ เมื่อพบว่าฝ่ายนั้นยืนค้างอยู่เป็นนานสองนาน ขณะที่เด็กน้อยทั้งสองเองก็เงยมองเขาอย่างเป็นห่วง รูฟัสกะพริบตาสีแปลกใต้แว่นของเขาสองสามหน ก่อนจะยิ้มออกมา
“โทษที พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ชายหนุ่มว่า และหันไปช่วยยกถาดขนมวางบนโต๊ะ ฟ่งนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น
“คุณกับเกรเกอรี ไม่สิ คุณกับพ่อของเขา เป็นพี่น้องกันหรือ?”
รูฟัสที่กำลังหยิบแคร๊กเกอร์ขึ้นมา หยุดมือทันที เขามองหน้าฟ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ อืม...” เหมือนรูฟัสจะไม่อยากพูดถึงอดีตของตัวเองมากนัก ตอนที่เห็นสีตาของเกรเกอรี เขามองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเฉไปพูดเรื่องอื่น ฟ่งมองรูฟัสอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
รูฟัสคงมีเรื่องหลายอย่างที่ไม่อยากจะพูดถึง เขาก็ไม่ควรจะเซ้าซี้ถาม
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรคุณหรอกนะครับ” รูฟัสรีบพูด เขากลัวว่าฟ่งจะน้อยใจอีก หนุ่มสวมแว่นสั่นศีรษะทันที
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณไม่อยากเล่า” ฟ่งว่า กระนั้นกลับปั้นรอยยิ้มตอบกลับไปยากเหลือเกิน ถึงเขาจะทำใจไว้แล้ว แต่ลึกๆ ฟ่งเองก็อยากรู้จักรูฟัสให้มากขึ้น อยากรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผู้ชายที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยคนนี้
รูฟัสกะพริบตาอีกหลายหน เขารู้ว่าฟ่งคงไม่ได้รู้สึกเหมือนที่พูดทั้งหมด นานมาแล้วที่รูฟัสไม่เคยพูดถึงอดีตของตัวเอง ไม่สิ เขาไม่เคยพูดถึงมันกับใครเลยต่างหาก ยกเว้นผู้ชายสวมแว่นที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ หากว่าเขาจะพูดเพิ่มอีกสักหน่อย......
“คุณ เอ่อ..จำที่ผมเคยเล่าได้ไหมครับ ที่ว่าผมเคยไปอาศัยอยู่กับป้า”
ฟ่งพยักหน้าทันที ชายหนุ่มกะพริบตาอีกครั้ง แล้วเล่าต่อ
“พ่อของเด็กนี่ คือลูกชายของป้าผมน่ะ จะเรียกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมก็ได้”
“ออ....ครับ” ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง เรื่องนี้ก็ออกจะธรรมดานี่นา ทำไมรูฟัสถึงทำหน้าไม่อยากเล่าในตอนแรกล่ะ?
“คุณเคยทะเลาะกับเขาหรือครับ?” ฟ่งถามต่อ คนถูกถามสั่นศีรษะ พร้อมมีสีหน้าแปลกใจ “ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ?”
“ก็...คุณดู ไม่อยากพูดถึงเขาเท่าไหร่”
รูฟัสมองหน้าฟ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา “เรื่องนั้น อืม....จริงๆ ผมเป็นคนที่ทิ้งอดีตไปแล้วน่ะ จู่ๆ มาเจอแบบนี้ ก็เลย........”
ฟ่งรู้สึกว่ารูฟัสดูจะเจ็บปวดกับอดีตของเขามากมายจริงๆ ชายหนุ่มนึกเสียใจที่ไปเซ้าซี้ให้ทางนั้นพูดออกมาจนได้ ร่างผอมบางช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมอง พร้อมเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงห่วงใย “รูฟัส...”
รูฟัสมองสบเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น พลันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในหัวใจอย่างประหลาด ฟ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา กำลังมองมาด้วยสายตาห่วงหาอาทร ผู้ชายคนนี้แหละคือคนที่จะมาเติมเต็มช่องว่างในจิตใจเขา ผู้ชายที่เป็นชีวิตใหม่ของเขา
รูฟัสคลี่ยิ้มอีกครั้ง อยากเหลือเกินที่จะดึงฟ่งเข้ามากอด พอได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ที่มองมาแบบนั้นแล้ว ความเจ็บปวดในอดีตคล้ายถูกบรรเทาเบาบางลง รูฟัสนึกดีใจมากจริงๆ ที่เขามีฟ่งอยู่ที่นี่ การที่มีผู้ชายคนนี้มาด้วย ทำให้เขากล้ามายังแผ่นดินที่เก็บฝังความหลังขมขื่นในชีวิตของเขา
แผ่นดินแม่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ และจากไปอย่างเจ็บปวด
“พวกพี่ชายเป็นอะไรกันฮะ?” เกรเกอรีเอ่ยถามขึ้น หลังจากมองสองหนุ่มจ้องหน้ากันอยู่นาน โดยไม่มีใครพูดใครจา รูฟัสหันกลับมา และยกมือลูบศีรษะเล็กๆ นั้น
“ปีนี้เธออายุเท่าไหร่น่ะ?”
“แปดขวบฮะ”
“อืม...แล้วพ่อเธอ....ใจดีมั้ย?”
“ใจดีที่สุดเลยล่ะฮะ” เกรเกอรีว่า และทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “จริงสิฮะ วันนี้พ่อมีออกทีวีด้วยแหละ เดี๋ยวผมเปิดให้ดูดีกว่า”
เด็กน้อยว่า และวิ่งไปเปิดโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้น ภาพบนจอสว่างวาบ เขาหยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมา และกดเปลี่ยนช่อง สักพักภาพใครคนหนึ่งที่มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดสูทสีกรมท่า ก็ปรากฏขึ้นบนจอ
“นั่นล่ะฮะ ลุงมิคาอิล เอ่อ..พ่อของเกรเกอรีน่ะฮะ” เอ็ดการ์ดที่นั่งเงียบอยู่พูดขึ้น ความจริงคือเขากำลังง่วนกับขนมตรงหน้า เกรเกอรีหันมา และย่นคิ้ว “เอ็ดการ์ด นายเลิกพูดตอนยังเคี้ยวขนมอยู่ซักทีสิ”
“โทษที” เด็กน้อยว่า และพยายามกลืนขนมลงไปจนหมด ฟ่งมองคนทั้งสามอย่างงงๆ เขาฟังภาษารัสเซียไม่ออก แต่ดูเหมือนว่าเกรเกอรีจะอยากให้ดูผู้ชายที่อยู่ในโทรทัศน์มาก รูฟัสหันมามองเขา และอธิบายรายละเอียดให้ฟัง
ฟ่งพยักหน้าเป็นระยะๆ และฟังคำปราศรัยด้วยภาษาที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ พ่อของเกรเกอรีอยู่ในการประชุมสภา และกำลังอภิปรายถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่ประชาชนรัสเซียควรได้รับอย่างเผ็ดร้อน รูฟัสหันมาแปลให้ฟ่งฟังเป็นพักๆ ด้วยสีหน้าที่ดูจะภูมิใจ แต่ก็ดูจะแฝงแววของความแปลกใจเอาไว้เหมือนกัน
“นี่ ทำไมพ่อเธอถึงเป็นนักการเมืองล่ะ?” เขาหันมาเอ่ยถามเด็กน้อย เกรเกอรีนิ่งนึกไปพักหนึ่ง “ไม่แน่ใจเหมือนกันฮะ เหมือนคุณพ่อจะเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ได้แรงบัลดาลใจมาจากคุณน้าน่ะฮะ”
รูฟัสกะพริบตาอีกครั้ง และเงียบไปนาน นานจนฟ่งต้องเอ่ยเรียกอีกรอบ “รูฟัส?”
คนถูกเรียกกะพริบตาอีกสองสามหน และระบายลมหายใจออกมา พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง “ไม่อยากจะเชื่อ....”
คำพูดนั้นถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตูอย่างเร่งร้อน เกรเกอรีเบิ่งนัยน์ตากว้าง “คุณแม่มาแล้ว”
ประตูถูกเปิดออก หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มก้าวเข้ามา เธอโผเข้ากอดลูกชายที่วิ่งเข้าไปหาทันที
“เกรเกอรี ขอบคุณพระเจ้า ลูกไม่เป็นอะไร” หล่อนพึมพำ และลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างรักใคร่ น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลอาบหน้า เกรเกอรีกอดแม่เขาแน่น ร้องไห้ออกมาเช่นกัน
ฟ่งกับรูฟัสลุกขึ้นยืน มองภาพการพบกันของสองแม่ลูกด้วยความสุขปนความสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสองหันมองหน้ากัน ฟ่งยิ้มให้เขา นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความชื่นชมอย่างที่รูฟัสไม่เคยเห็นมาก่อน เกิดมาทั้งชีวิต นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ชายหนุ่มรู้สึกดีใจจนร้อนวาบไปทั้งตัว รูฟัสอมยิ้มเล็กๆ ความพยายามแบบโง่ๆ ของเขาได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างไม่น่าเชื่อ แก้มของชายหนุ่มกลายเป็นสีชมพูระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
“อา...พวกคุณคง...” อลิซาเบธเอ่ยทักชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนที่ยืนอยู่ในห้อง หลังจากกอดลูกน้อยจนหายห่วงแล้ว เกรเกอรีผละจากอ้อมอกแม่ ยกมือปาดน้ำตา และพูดถึงทั้งสองคนด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ
“พี่ชายสองคนนี่แหละฮ่ะ ที่ช่วยผมออกมา อ้อ...เอ็ดการ์ดด้วย” เขาไม่ลืมพูดถึงเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ยืนเงียบอยู่ พอถึงคำพูดนี้ เอ็ดการ์ดก็หน้าแดงขึ้นมาเหมือนกัน “ผม...ผมเกือบไม่ได้ทำอะไรเลย”
“อย่างน้อยนายก็ไม่ได้ร้องไห้โยเยล่ะน่า” เกรเกอรีว่า ไม่รู้คนฟังควรจะดีใจหรือเปล่า แต่อลิซาเบธนั้นดีใจจนลืมว่าควรจะดุเด็กน้อยทั้งสองเรื่องหนีออกไปนอกบ้านเสียสนิท
“ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ นะคะ ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนพวกคุณอย่างไรดี”
หล่อนพูด พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “ถ้าไม่รังเกียจ ยังไงอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนไหมคะ สามีดิฉันรู้ข่าวแล้ว เขาจะรีบกลับมาหลังจากประชุมเสร็จ”
รูฟัสยกมือขึ้นดันแว่นตาสีชาบนใบหน้า พูดพลางยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณนาย พวกผมแค่บังเอิญผ่านไปเห็นเฉยๆ ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเถอะครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ พวกคุณน่ะ....” หล่อนพูดค้าง เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ผู้ชายสองคนนี่ช่วยลูกชายของหล่อนจากเงื้อมมือของแก๊งลักพาตัว พวกเขาเป็นใครกันนะ?
“ลูกชายของคุณนายน่ารักมากครับ” รูฟัสเปลี่ยนเรื่องพูด พลางเดินไปหาเกรเกอรี คุกเข่าลง จูบหน้าผากเด็กน้อยเบาๆ “ไม่ต้องบอกใครเรื่องสีตาของฉันนะ”
หนุ่มตาสองสีกระซิบ เด็กน้อยที่มีตาสีแปลกเช่นเดียวกันมองหน้าเขาอย่างงุนงง แต่ก็ยอมผงกศีรษะ รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้น “พวกผมคงต้องขอตัวก่อน”
ฟ่งมองรูฟัสอย่างงงๆ เมื่อฝ่ายนั้นหันหน้ากลับมา “ไปกันเถอะครับฟ่ง”
“ไม่อยู่รอเจอพี่ชายคุณหรือครับ?” หนุ่มสวมแว่นย้อนถามอย่างไม่ทันได้คิด รูฟัสยิ้มพลางสั่นศีรษะ “ไม่ดีกว่าครับ”
หนุ่มสวมแว่นมองเขาครู่หนึ่ง และผงกศีรษะ ก่อนจะเดินตามไป ได้ยินเสียงสองเด็กน้อยร้องขึ้น “พวกพี่จะไปแล้วหรือฮะ?”
รูฟัสกับฟ่งหันมาเกือบจะพร้อมกัน สองหนุ่มยิ้มให้เด็กน้อย ฟ่งเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “พี่คงต้องไปแล้วล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะ”
เกรเกอรีกับเอ็ดการ์ดเบิ่งนัยน์ตากลมโตมองเขา จากนั้นสองเด็กน้อยก็โผเข้ามาพร้อมกัน “แล้วพี่จะมาอีกมั้ยฮะ?”
น่าแปลก ทั้งๆ ที่คนคนนี้เป็นผู้ชายต่างชาติแปลกหน้าที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนแท้ๆ เกรเกอรีกอดฟ่งแน่น ผู้ชายคนนี้อุ้มเขาออกมา เป็นคนช่วยเขาออกมาจากคนพวกนั้น เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น มองไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างใจดี เขาคงไม่มีวันลืมดวงตาคู่นี้ เช่นเดียวกับดวงตาของชายอีกคนที่มาด้วยกัน
เอ็ดการ์ดกอดฟ่งด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากเกรเกอรีนัก เขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้ แต่ผู้ชายคนนี้กอดเขาไว้แน่น แม้ว่าตัวเองจะร้องไห้อยู่ เอ็ดการ์ดไม่เคยเห็นผู้ชายตัวโตๆ ร้องไห้ เขาคิดว่าตอนนั้นฟ่งคงกลัวเหมือนกัน แต่ผู้ชายคนนี้ไม่หนี เอ็ดการ์ดเงยหน้ามองฟ่ง เขาคงไม่ลืมผู้ชายสวมแว่นคนนี้ เช่นเดียวกับคนขับรถที่มีเครารกๆ คนนั้น
รูฟัสมองฟ่งถูกเด็กน้อยสองคนรุมกอดด้วยความรู้สึกทั้งสงสารทั้งเอ็นดู จะว่าไปแล้วสามคนนี่คงเรียกได้ว่าผู้เคราะห์ร้ายด้วยกันแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไป ยกมือแตะไหล่ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเบาๆ “กลับกันได้แล้วล่ะครับ”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าคมคายนั้นมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เขาเช่นเคย ชายหนุ่มยิ้มตอบ เขาคว้ามือที่ยื่นมาเอาไว้ และยันตัวลุกขึ้น สองเด็กน้อยมองตามด้วยสายตาอาวรณ์
“แล้วเราจะเจอกันอีกใช่มั้ยฮะ?!”
ฟ่งไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่ยิ้ม ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองผู้ชายที่ยืนข้าง รูฟัสยิ้มให้เขา และหันไปยิ้มให้กับแม่ของเกรเกอรีที่ยืนมองอยู่
“พวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ดะ...เดี๋ยวสิคะ” อลิซาเบธโพล่งออกมา “บอกชื่อที่อยู่ของพวกคุณไว้หน่อยได้ไหมคะ อย่างน้อย...คริสมาสต์นี้ ฉันจะได้ส่งการ์ดอวยพรไปให้”
รูฟัสยิ้มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ฝากความคิดถึงถึงสามีคุณด้วย ขอให้พระเจ้าคุ้มครองนะครับ”
อลิซาเบธยืนค้างอยู่หน้าประตูที่ถูกปิดไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อครู่ ใต้แว่นตาสีชานั่น ดวงตาคู่นั้น ดูเหมือนว่าจะต่างสีกันออกไป หรือว่า..................
----------------------------------------------
ฟ่งและรูฟัสนั่งรถแท็กซี่กลับออกมาจากอาพาร์ตเม้นต์ที่เกรเกอรีพักอยู่ ฟ่งรู้สึกโล่งใจที่คราวนี้เป็นแท็กซี่คันอื่น ขืนเจอกับคนขับแท็กซี่คนเดิมอีก เขาต้องเค้นความจริงจากปากของรูฟัสบ้างแล้ว หนุ่มสวมแว่นหันมามองคนที่นั่งข้างๆ
“รูฟัส วันนี้น่ะ...ขอบคุณมากเลยนะ”
รูฟัสหันมามองฟ่งอย่างงุนงง “เรื่องอะไรหรือครับ?”
“ก็...เรื่องที่คุณอุตส่าห์ไปช่วยเกรเกอรี....คุณ....เอ่อ....เท่มากเลยล่ะ”
อุณหภูมิในรถแท็กซี่ไม่ร้อนไม่หนาว แต่แก้มของฟ่งกลับเป็นสีชมพูระเรื่อ คนได้ยินได้เห็นยิ้มแก้มแทบปริ “ผมดีใจจัง”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส หนุ่มตาสองสียังคงสวมแว่นตาสีชา นอกจากรอยยิ้มยินดีอย่างไม่ปิดบังบนใบหน้านั้นแล้ว แก้มของรูฟัสก็กลายเป็นสีชมพูขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม เห็นกันมาตั้งนาน ฟ่งเพิ่งรู้สึกว่ารูฟัสน่ารักเอามากๆ ก็ตอนนี้แหละ ร่างผอมบางรู้สึกร้อนวาบบนใบหน้า จนต้องก้มหลบ
รูฟัสหัวใจเต้นตึกตัก เขามองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ถ้าหากไม่ได้อยู่บนรถแท็กซี่ เขาคงคว้าตัวฟ่งมากอดไว้แล้ว
--------------------------------
ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงุนงง เมื่อรถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าโบสถ์เซนเบซิลที่พวกเขาแวะมาเมื่อตอนเช้า รูฟัสจ่ายค่าแท็กซี่ และดึงมือฟ่งออกมา ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงลานหน้าโบถส์ แสงแดดยามเย็นโลมไล้หลังคาที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหลากสีจนเหมือนถูกย้อมด้วยสีแดง และสีแดงที่ว่านั้นก็ไล้อยู่บนใบหน้าคมสันของชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแปลกที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ไม่อยากเชื่อเลยว่า พวกเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญไปในช่วงวันที่ผ่านมา และสุดท้าย ก็กลับมายืน ณ จุดเริ่มต้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
กระนั้นฟ่งกลับรู้สึกว่าผู้ชายผมสีดำตรงหน้าเขาดูน่ามองกว่าทุกวัน รูฟัสถอดแว่นตาสีชาออก นัยน์ตาสองสีสะท้อนประกายแสงแดดจนดูแปลกตา เขามองดูร่างผอมบางตรงหน้า แสงสีแดงอาบร่างที่มีเรือนผมสีน้ำตาลนั้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดง
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ แม้แต่พวกนักท่องเที่ยวเองก็ดูบางตาจนแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ รูฟัสมองดูใบหน้าที่ถูกแสงแดดโลมไล้ กรอบแว่นตาหนาสะท้อนภาพของเขาให้เห็นลางๆ ชายหนุ่มมองผ่านภาพสะท้อนเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลนั้น ซึ่งกำลังมองตรงมายังเขาเช่นกัน
“ฟ่ง..” รูฟัสเอ่ยเรียกชื่อนั้นและรู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นด้วยความตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เขาล้วงกล่องใส่แหวนออกมาจากอกเสื้อ มองเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างแปลกใจนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ ไม่รู้ว่าฟ่งจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง จะเขินอาย หรือจะทำหน้าแปลกใจไปกว่านี้ หรือบางทีอาจจะเฉยๆ กระนั้นดวงตาสีน้ำตาลใต้แว่นที่มองมา และบรรยากาศที่ดูจะเป็นใจเสียเหลือเกินก็ทำให้รูฟัสอดนึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้
รูฟัสฉวยมือข้างซ้ายของฟ่งขึ้นมา ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะกระดอนออก เขาใช้มืออีกข้างเปิดตลับแหวนออก แหวนพลาสตินัมสีเงินสะท้อนประกายแสงแดดเป็นสีแดงอ่อนๆ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ก่อนที่ทางนั้นจะทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“แต่งงานกับผมนะครับ”
รูฟัสเหมือนหัวใจหลุดไปพร้อมคำพูด ไม่อยากเชื่อว่าพูดคำพูดสั้นๆ แค่นี้ จะทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ชายหนุ่มรู้สึกหูอื้อไปหมด เขามองหน้าฟ่ง รู้สึกวุ่นวายใจ มองเห็นริมฝีปากของอีกฝ่ายเผยอออก
“..........................”
ไม่มีคำพูดอะไรหลุดจากริมฝีปากคู่นั้น แต่พวงแก้มที่มีเรือนผมสีน้ำตาลไล้อยู่ เริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อไปกับแสงแดดสุดท้ายของวัน ฟ่งขบริมฝีปาก แก้มยิ่งแดงกว่าเดิม
“อืม..” ร่างผอมบางส่งเสียงสั้นๆ ในลำคอ รูฟัสเบิ่งตามองอีกฝ่าย ไม่รู้ว่านั่นหมายถึงการตอบรับรึเปล่า แต่แก้มแดงๆ นั่นคงพอช่วยให้เขาตีความเอาเองได้ล่ะมั้ง ชายหนุ่มหยิบแหวนสีเงินออกมาจากตลับ บรรจงสวมมันลงบนนิ้วนางด้านซ้ายของมือที่กุมอยู่ แหวนสีเงินไหลลื่นลงไปบนนิ้วนางข้างนั้นได้อย่างพอดิบพอดี ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอีกครั้งด้วยพวงแก้มแดงปลั่งน่ารัก ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม พลางยกมือข้างซ้ายของตนขึ้น แหวนสีเงินแบบเดียวกันสะท้อนประกายอยู่บนนิ้วนางเช่นกัน
ฟ่งมองดูแหวนวงนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
“คุณ...ถอดออกมาก่อนได้รึเปล่า?”
รูฟัสมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างงงงันทันที ฟ่งขบริมฝีปาก ก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง “ถอดออกมาก่อน”
แม้จะรู้สึกใจแป้วอยู่บ้าง แต่รูฟัสก็ยอมจะถอดแหวนของตัวเองออก ฟ่งยื่นมือมาจับมันเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงค่อย “ผม...จะอยู่กับคุณ”
แหวนสีเงินเกลี้ยงถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้าย รูฟัสรู้สึกถึงความอบอุ่นจากปลายนิ้วของฟ่งที่แตะนิ้วของเขา มันแผ่นซ่านไปถึงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่
นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองเขาอีกครั้ง แสงสีแดงสุดท้ายของวันสาดต้องร่างของคนทั้งคู่ รูฟัสยกมือขึ้นไล้ใบหน้านั้นเบาๆ ไม่มีคำสาบานใดๆ ใบหน้าของทั้งคู่โน้มเข้าหากันช้าๆ สัมผัสแผ่วเบาของริมฝีปากที่แตะกัน ยังความอบอุ่นให้แผ่ไปทั่วหัวใจทั้งสองดวง
หัวใจสองดวงที่เต้นไปด้วยจังหวะเดียวกัน
---------------------------------------
**ปิดตา ไม่กล้าอ่านซ้ำตอนนี้ หวานเกิ้ :a5:น (ผิดปกติของคนเขียน ฮ่าๆๆๆ
)