บทที่ 34 คำขอบคุณ
"มึงเขียนรึยังไอ้หมีว่าจะเอาอะไรบ้าง"
"เชอะ"
"เชอะอะไรของมึง"
"เชอะ" มันสะบัดหน้าหนี "หยั่มมายุ่ง"
กวนส้นตีนหรอห้ะ
"เป็นอะไรของมึงห้ะไอ้เชี่ยหมี อยากตายงั้นหรอ" ว่าแล้วไอ้เป้มันก็จับคอไอ้หมีเขย่า
เออฆ่ามันเลยเป้
น่าหมั่นไส้นัก
ผมนั่งมองไอ้หมีที่กำลังจะขาดอากาศตาย คือตอนนี้ผมและเหล่าสหายได้มาสุมหัวกันอยู่ที่หอไอ้หมีเพื่อประชุมและตกลงกันเรื่องกีฬาสีครับ มากันตั้งแต่เช้าละแต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย เพราะพวกแม่งมัวแต่ติดเล่นกัน นี่ไอ้ปั้นกับไอ้เผือกออกไปซื้อข้าวอยู่ ผมว่าถ้าพวกมันกลับมาแล้วรู้ว่างานยังไม่ถึงไหน พวกผมต้องโดนด่าจนหูชาแน่ๆ
เตรียมหาอะไรอุดหูไว้ดีไหมวะ
"พอละเป้ เดี๋ยวมันตาย" ไอ้ภีมมันเอ่ยปราม
ไอ้ไผ่หันมองตามเสียงทันที "กิน กูอยากกินปลากราย"
"ปลากรายอะไรของมึงวะไอ้เชี่ยเตี้ย ไอ้ภีมมันพูดว่าตาย" ไอ้เป้มันโวยใส่
"ทรายหรอ เอาทรายมาทำไม"
"โว้ยยยยไอ้ไผ่ ตายตามไอ้หมีไปซะเถอะมึง" แล้วไอ้เป้มันก็เปลี่ยนเป้าหมายจากไอ้หมีมาเป็นไอ้ไผ่แทน
อะไรของพวกมึงกันวะ
"พวกมึงนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ " ไอ้ภีมมันบ่นอย่างเอือมๆ ก่อนจะขยับมานั่งลงข้างผม "เหลือเรา 2 คนแล้วล่ะหนม"
"นั่นสินะ พวกเราต้องทำอะไรบ้างนะภีม"
"ก็พร็อพ คัตเอาท์ แล้วก็มีอุปกรณ์ประกอบของสแตนด์เพิ่มเติมอีกอ่ะ"
"งบที่เค้าให้มาจะพอไหมเนี่ยะ"
"ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ถ้าเข้าเนื้อก็ต้องเนื้อพวกเราอยู่ดี" ไอ้ภีมมันเลื่อนมากระซิบข้างหูผมเบาๆ "แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจิ๊กเงินไอ้เป้มาให้เอง"
"เออมึงทำดีมาก"
"เห้ยมึงทำอะไรกันวะ" ไม่มีแค่เสียงที่ดังมานะครับ หมอนใบใหญ่ก็ลอยมาเหมือนกัน แถมยังลงที่หัวผมกับไอ้ภีมพอดีเลยด้วย
มึงนี่มัน....
ผมหันไปทำตาขวางใส่ไอ้เป้ อยากตายเหรอวะถึงได้ปาหมอนมาโดนกูเนี่ยะ ปกติมันไม่กล้าทำอะไรผมเลยนะ สงสัยเมื่อกี้จะหึงที่เมียตัวเองมาใกล้ผมแน่ๆ แหม่ไอ้สัส กับเพื่อนกับฝูงนี่มึงก็หยวนๆ บ้างเถอะ ล่ามไว้ในห้องน้ำเลยไหมห้ะเมียมึงน่ะ หึ้ยยย....ยยย
หงุดหงิดอะไรวะหนม
ตอนนี้กลายมาเป็นไอ้ภีมที่โดนไอ้เป้ยำต่อ ส่วนไอ้หมีกับไอ้ไผ่ก็นอนก่ายกันอย่างหมดสภาพ ใจคอไอ้เป้นี่กะทำให้เพื่อนตายจนหมดเลยสินะ ผมนั่งเท้าคางมองมันจัดการไอ้ภีม มันเป็นการจัดการที่สองมาตรฐานสุดๆ อ่ะ ทีกับเพื่อนนี่บีบคอบ้างล่ะ เอาหมอนฟาดบ้างล่ะ ทีกับเมียนี่ไล่ฟัดไล่หอม งับแก้มงับคออย่างงี้
ขนาดนี้มึงก็แง่มกันเลยเถอะ
แหม่ๆ ๆ ๆ
"หนม" ไอ้หมีมันกระดึ๊บๆ มาเอาหัวหนุนขาผม "ง้อกูซะ"
"ง้อทำไมวะ"
"ก็มึงหนีไปทะเลโดยไม่บอก"
ผมยกมือขยี้หัวมันเบาๆ "เพื่อนหนมอยากไปกับแฟน 2 คนไง"
"เน่!!!" ไอ้หมีมันถลึงตาใส่ "ยังจะมาพูดให้อิจฉาอีก"
"มึงก็หาแฟนสิวะ แล้วก็ค่อยไปสวีทกัน 2 คน"
"พูดง่ายแต่ทำยากเลยนะมึง"
"ยากตรงไหนวะ"
"ก็คนที่กูอยากเป็นแฟนด้วย เค้าไม่ได้อยากเป็นแฟนกับกูน่ะสิ" มันเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแล้วหยิบสมุดงานมา "ทำงานกันดีกว่าโว้ยยยย เห้ยมึง 2 คนอ่ะ ถ้าจะเอากันก็ไปเอากันในห้องน้ำไป้ ส่วนมึงไอ้ไผ่ ตั้งสติแล้วมาเตรียมคิดฉากของคัตเอาท์ เร็วๆ เลย"
เปลี่ยนอารมณ์เร็วชิบหาย
ไอ้หมีที่แอบดราม่าเมื่อกี้กลายมาเป็นไอ้หมีที่แอคทีฟและพร้อมทำงานแล้วครับ อะไรของแม่งก็ไม่รู้ คำพูดที่มันเอ่ยออกมาเมื่อกี้เรื่องคนที่มันอยากเป็นแฟนด้วยอะไรนั่นคงหมายถึงไอ้ขันแน่ๆ เห็นมันทำหน้าเศร้าผมก็ไม่รู้จะปลอบใจมันยังไงดี ช่วงนี้อาการไอ้หมีมันแปลกๆ ด้วย รู้สึกว่าอาการฝันร้ายของมันจะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางวันแทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ
สภาพย่ำแย่สุดๆ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์ที่มันจะเล่าเรื่องฝันร้ายนั่นให้ฟังสักที เอาจริงๆ มันน่าจะเล่าปัญหาในชีวิตให้เพื่อนฟังบ้าง ถึงพวกผมอาจจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ แต่ว่าก็อยากให้มันได้ระบายออกมานะ เก็บไว้คนเดียวทุกอย่างแบบนั้นก็ประสาทแดกพอดี
"เลิกจ้องหน้ากูสักทีหนม กูไม่ได้เป็นอะไร" แน่ะ อ่านใจกูออกอีก มึงนี่มันยอดมนุษย์จริงๆ นั่นแหละไอ้หมี
"กูเปล่าซะหน่อย" ผมทำเป็นตีหน้าซื่อใส่ "ทำงานกันดีกว่า"
"เออ....มึงว่าคอนเซ็ปต์เราควรทำคัตเอา์แบบไหน"
"คัตเอาท์นี่ต้องเป็นอะไร ไม้หรอ"
"เออเป็นไม้ เราต้องวาดภาพ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ เราควรวาดภาพยังไง"
ไอ้ไผ่มันหยิบกระดาษกับดินสอมาก่อนจะร่างให้ดู "ในส่วนคัตเอาท์มันควรจะเป็นฉากป่าเพราะตามคอนเซ็ปต์ของเรามันคือสัตว์โลกน่ารัก แต่ฟีลของป่าคือจะให้ใช้สีเขียวเหลืองยังไงมันก็ไม่สดใสอยู่ดี เพราะงั้นเราควรจะทำให้บีจีด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าที่เห็นท้องฟ้าด้วย ก็ประมาณนี้" ว่าแล้วมันก็ยื่นกระดาษมาให้
"กูว่าแบบนี้ก็ได้อยู่" ไอ้ภีมมันขยับมานั่งข้างผมในสภาพที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง
ไอ้หมีมันหรี่ตามอง "ฟัดกับผัวเสร็จแล้วหรอ"
"เออเสร็จละ ไอ้เป้มึงมานั่งช่วยกันทำงานซิเนี่ย มันจะได้ดูเป็นชิ้นเป็นอันก่อนไอ้ปั้นจะมา" สิ้นเสียงไอ้ภีมสั่งไอ้เป้ก็มานั่งข้างๆ ก่อนจะหยิบกระดาษที่ไอ้ไผ่วาดไปดู
"แล้วพร็อพมึงจะเอาไงไอ้เตี้ย"
"ก็เอาเป็นต้นไม้นั่นแหละ ในส่วนของคัตเอาท์ตรงนี้ที่เป็นต้นไม้ข้างๆ กูว่าถ้าทำใบไม้เป็นใบมาติดมันจะสวยกว่า อาจจะเสียเวลาส่วนนี้หน่อยแต่งานคงจะออกมาดี ส่วนบริเวณด้านล่างสแตนด์ก็เอาต้นไม้จริงๆ มาวางซะ ตรงนี้กูจะจัดการให้เอง"
"งั้นเรื่องหาสัตว์ป่ากูจะจัดการเองละกัน เดี๋ยวกูโทรให้พ่อไปจับเสือแปป"
เดี๋ยวนะไอ้หมี
"จับมาทำโพ่งอ่ะเสือ เอามาแดกหัวมึงหรอ" ผมโวยใส่พร้อมกับโขกหัวมันไปทีนึง เผื่อความต๊องจะได้หายไปบ้าง
"กูเจ็บนะหนม" มันเบะปากใส่ผมก่อนจะทำตาโตใส่ "คอนเซ็ปต์มันเป็นสัตว์โลกน่ารักมันก็ต้องมีสัตว์เซ่ มึงจะให้มีแต่ต้นไม้ใบหญ้ารึไงห้ะ ไม่รู้แหละกูจะโทรไปให้พ่อออกไปจับเสือมา ให้พ่อจับจระเข้มาด้วย ม้าลายด้วย ยีราฟด้วย กูจะทำให้สแตนด์เราอลังการเลยมึงคอยดู้วววววว!!!"
มึงจะโวยวายทำไมวะ
"เสียงดังจริงไอ้เชี่ยหมี" ไอ้เป้มันหยิบหมอนมาปาใส่ก่อนจะหันมองผม "แต่กูก็คิดเหมือนไอ้หมีนะว่ามันต้องมีสัตว์ด้วย"
"เห็นไหมล่ะ ไอ้เป้ก็คิดเหมือนกูเห็นไหมห้ะคณาณัฐ!!!"
นี่มึงแค้นไรกูป้ะเนี่ย
"ไอ้สัสหมี" ไอ้ภีมมันกระชากไอ้คนเสียงดังไปล็อกคอไว้แน่น "ไอ้เป้มันเห็นด้วยว่าควรจะมีสัตว์ แต่ไม่ใช่สัตว์ตัวเป็นๆ โว้ย มันหมายถึงหุ่น สมองมึงเป็นอะไรห้ะ ห้ะ!!!"
"โว้ยยยย หายใจไม่ออก"
โอ่ย หูจะแตก
ผมยกมือขึ้นปิดหูตัวเองเพราะรำคาญเสียงว้ากของพวกมัน เพื่อนไผ่เองก็ยกมือปิดหูเหมือนกันครับ ก็ไม่รู้ว่าจะโวยวายอะไรกันนักหนาโดยเฉพาะไอ้หมีเนี่ยะ แล้วเจ้าตัวดูจริงจังกับการจะให้พ่อไปจับเสือมาให้มากเลยนะ สมมุติพ่อไอ้หมีสามารถไปจับเสือตัวเป็นๆ มาได้จริงๆ แล้วเอามาเป็นพร็อพตกแต่งสแตนด์นี่ผมว่าน่าจะอยู่กันไม่สุขอ่ะ
อ่ะ ละก็คิดจริงจังตามมันทำไมเนี่ยะหนม
ครื้ดดดด....ดดด
ผมเลื่อนมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย "ว่าไงพี่ขุน"
(คิดถึงจังเลยครับ)
ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น "คิดถึงอะไรเล่า ห่างกันยังไม่ถึงครึ่งวันเลยนะ"
(ไม่รู้หรอครับว่าความคิดถึงมันห้ามกันไม่ได้....แล้วทำไมเสียงดังกันจังเลยล่ะ หนมอยู่ที่ไหนเนี่ยะ)
"ก็อยู่หอไอ้หมีนั่นแหละ แปปนะ" ผมบอกก่อนจะปลีกตัวเดินออกมาตรงระเบียงเพื่อคุยโทรศัพท์ "ฮัลโหล....ได้ยินไหม"
(ได้ยินครับ....แล้วนี่ยังประชุมกันอยู่หรอ)
"ใช่แล้ว ก็คุยกันพอได้เรื่องบ้างนั่นแหละ" แต่ถ้าไอ้หมีไม่กลายเป็นบ้าก็น่าจะได้เรื่องมากกว่านี้เยอะ
(อ๋อ แล้วนี่จะให้พี่ไปรับกี่โมง)
"ก็เย็นๆ แหละมั้ง แล้วนี่พี่ขุนทำอะไร ไม่ประชุมงานหรอ"
(รอพี่ขันอ่ะ เค้ายังไม่มาเลย พี่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมเค้าถึงมาช้า)
"แปลกจริงเพราะปกติมันไม่เคยสาย ให้หนมโทรไปด่ามันให้ไหม"
(ไม่ต้องเลยนะ พี่บอกว่าให้คุยกับพี่ขันดีดีไง เป็นพี่น้องกันก็ต้องคุยกันดีดีเข้าใจไหมครับ)
"งื้ออ.อ.อ...ไม่เข้าใจ"
(ขนม....)
"อย่าดุนะ หนมไม่ให้พี่ดุ" ผมทำเสียงอ่อนเข้าสู้ "อืมมม....ประชุมเสร็จแล้วรีบมารับนะครับ"
(เรานี่มันน่าฟัดจริงๆ เลยนะ ตอนเย็นก่อนเถอะ....พี่ขันมาแล้วครับหนม งั้นเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ)
"ครับ ตั้งใจทำงานนะ" ผมบอกก่อนจะกดวางสาย พอหันหลังกลับเพื่อจะเดินเข้าข้างในก็พบกับสายตาของหมีเพื่อนรักยืนจ้องอยู่
นี่ถ้าแดกหัวผมได้มันคงแดกไปแล้วล่ะ
"อะไรมึง มองกูทำไม"
มันเบ้ปากใส่ "แหม แอบมาคุยโทรศัพท์กับผัว"
"ก็คนมันมีอ่ะ"
"กูไม่อิจฉามึงหรอกนะ" มันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ผมก่อนจะล้วงบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ
ไหนมึงบอกว่าจะเลิกบุหรี่ไง
ผมยืนมองไอ้หมีที่กำลังอัดควันเข้าปอด แววตามองท้องฟ้าด้านหน้าอย่างเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้รู้สึกเศร้าแน่ๆ ช่วงที่มันบอกว่ามันจะเลิกบุหรี่ก็ไม่เห็นมันสูบเลยนะจนมาถึงวันนี้ สงสัยอาจจะถึงจุดที่ทนไม่ไหวจนต้องพึ่งบุหรี่แล้วล่ะ เอาจริงๆ ผมก็ไม่เห็นประโยชน์จากการสูบบุหรี่สักเท่าไหร่หรอก ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมไอ้หมีต้องสูบมัน
"หมี"
"หืม...."
"ทำไมต้องสูบบุหรี่ด้วยวะ"
"เวลาที่เห็นควันจางๆ ออกมา มันทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองน่ะ กูชอบนะตอนที่อัดควันเข้าไปแล้วหัวมันโล่งๆ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแม้จะแค่ไม่กี่วิ"
"แต่พอมึงปล่อยควันออกมา มันก็หม่นหมองเหมือนเดิม"
"หึ....เดี๋ยวนี้สีหน้ากูมันแสดงออกมาเกินไปสินะ" มันเอ่ยอย่างติดตลก "ชักไม่ได้การละ"
"มึงโอเคไหมเนี่ย เพื่อนๆ เป็นห่วงมึงนะหมี"
"กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย มาห่วงกูกันทำไม"
"ตัวมึงก็รู้ตัวดีว่าเป็นหรือไม่เป็น ไอ้อาการที่มึงเป็นทั้งหมดเนี่ยะมันเป็นเพราะไอ้ขันรึเปล่า"
มือที่กำลังจะยกบุหรี่ขึ้นสูบชะงักไป เจ้าตัวเหลือบมองผม "มันจะ....ไปเกี่ยวกับพี่ขันได้ไงวะ"
"ถึงมึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่หน้ามึงมันแสดงออกมาเต็มๆ เลยนะว่าเกี่ยว"
"มึงพูดอะไรอ่ะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง" ว่าแล้วมันก็ทำเป็นตีหน้าซื่อใส่เหมือนกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด
ไอ้หมีนี่มันไอ้หมีจริงๆ เลยนะ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะได้รู้เรื่องรู้ราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับไอ้ขันและไอ้หมีสักที คือที่รู้ๆ มามันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเอง จะไปแอบสืบเงียบๆ มันก็เป็นไปได้ยากอีกอ่ะ ไม่มีใครรู้เรื่องไอ้หมีมันมากกว่าตัวมันอีกแล้ว ครั้นจะไปถามพี่กล้วย ผมก็ไม่ได้สนิทกับเขามากขนาดนั้น เฮ้อ....เรื่องก็เรื่องของไอ้หมีแท้ๆ ทำไมต้องมารู้สึกปวดหัวแทนด้วยวะ
เพราะเป็นห่วงมันแน่ๆ
ตอนนี้กำลังคิดว่ามันพอจะมีทางไหนบ้างที่จะทำให้ไอ้หมีกับไอ้ขันได้กัน แต่ก่อนจะคิดถึงขั้นได้กันผมว่าเราควรคิดก่อนว่าจะทำให้ไอ้ขันเลิกเกลียดไอ้หมีได้ยังไง คือต่อให้ผมเดินไปบอกมันว่าไอ้หมีไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้แบบที่มึงคิดนะ แต่คิดเหรอว่าคนอย่างมันจะเชื่อ ขนาดเรื่องของพี่ขุนยังต้องพูดแล้วพูดอีก ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะเชื่อสนิทใจรึยัง
คิดเรื่องพวกนี้ทีไรก็อยากจะถอนหายใจออกมาซ้ำๆ
"มึงไม่ต้องเก็บเรื่องของกูไปสุมอยู่ในหัวเลยนะไอ้หนม" ไอ้หมีมันบอกก่อนจะบีบแก้มผมแรงๆ "ชีวิตมึงคิดแค่เรื่องนิยายก็พอแล้ว"
"อื้อออ.อ.อ....แก้มกู" ผมจับมือมันออก
"กูจริงจังนะหนม กูจัดการทุกอย่างได้หน่า นี่หมีคนแกร่งนะ กูว่าเรามาคุยเรื่องงานกีฬาสีกันดีกว่า"
ผมทำหน้ามุ่ยใส่มัน "เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะมึง"
"เออน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจะให้พ่อไปจับเสือ"
"เดี๋ยว มึงยังไม่ล้มเลิกเรื่องเสืออีกหรอวะ"
"ก็เสือมันต้องมี ป่าไหนมันไม่มีเสือบ้าง ไม่มีหรอก" มันเอ่ยอย่างจริงจังก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ไว้ที่จานเขี่ย "เออหนม กีฬาสีครั้งเนี้ยะกูมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่ะ"
"เรื่องอะไรวะ"
"เรื่องปัญหาระหว่างสาขา พวกเราคือคมคุมซ้อมสแตนด์ใช่ไหมล่ะ แต่ว่าเด็กที่ขึ้นสแตนด์ก็ไม่ใช่แค่ของสาขาเราไง กูคิดว่ามันไม่น่าจะลงรอยกันได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็น่าจะมีวอร์บ้าง"
"มึงคิดมากไปรึเปล่า มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ"
"คือมันมีเรื่องแบบนี้ทุกปีว่ะ ปีเราก็ไม่น่ารอด ตอนแรกกูคิดว่าพี่ม่านน่าจะเลือกเฮดของสแตนด์เป็นกู แต่เหมือนเค้ารู้ว่ากูไม่ถูกกับหัวหน้าของอีกสาขา"
ผมหันขวับมองมันทันที "มึงเนี่ยนะที่ไม่ถูกกับหัวหน้าของอีกสาขา"
"เออสิ พี่ม่านเค้าคงรู้ว่าถ้ากูเป็นคนคลุมสแตนด์ อีกสาขาต้องไม่อ่อนข้อให้แน่ๆ เค้าเลยให้ไอ้เผือกเป็นเฮดแทน" มันล้วงลูกอมมาแกะใส่ปาก "อย่างไอ้โหดนั่นไม่มีใครกล้าหือหรอก"
เรื่องนี้เห็นด้วยเลยครับ
ตอนแรกผมเองก็แปลกใจอยู่นะว่าทำไมพี่ม่านถึงเลือกคนที่ไม่ชอบพูดแบบไอ้เผือกให้ไปคลุมสแตนด์ แต่พอมารู้เหตุผลเรื่องที่อาจจะมีปัญหากันก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งละ พี่ม่านนี่ก็เก่งเนอะที่รู้เรื่องพวกนี้ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ค่อยได้โผล่มาให้เห็นแท้ๆ จะว่าไปก็น่าตื่นเต้นเหมือนกันนะที่จะได้เห็นไอ้เผือกทำอะไรแบบนี้ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มันได้รับหน้าที่ใหญ่
เดี๋ยวต้องส่งกำลังใจไปให้เพื่อนเผือกเยอะๆ
ผมคุยเรื่องกีฬาสีกับพี่ขุนแล้วนะครับ รู้สึกว่ามันจะได้รับหน้าที่ถือธงของคณะในขบวนพาเหรด ในวันงานเจ้าตัวคงจะหล่อมากแน่ๆ ผมนี่เตรียมกล้องไว้รัวชัตเตอร์ใส่เลย ก่อนวันงานกีฬาสีเนี่ยะผมคิดว่าตัวเองคงต้องเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจังบ้างแล้วล่ะ เพราะว่าจะได้แข็งแรง สู้แดดสู้ฝนและสู้พี่ขุนได้ ทุกวันนี้จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้ว
ชีวิตขนมช่างน่าสงสาร
"หนม"
"ว่าไง"
"ตอนที่มึงไปทะเลกับพี่ขุนเนี่ยะ โดนป๊ามมาใช่ไหม"
ผมเหลือบมองคนพูด "มึงรู้ได้ยังไง"
"แหม่ ก็ทะเลมันเป็นสถานที่ชวนได้กันนี่หว่า แล้วไปกันมาตั้งกี่วัน ถ้าพี่ขุนไม่แดกมึงก็แปลว่าเค้าหมดน้ำยาแล้ว" มันจีบปากจีบคอพูด "ร่างกายยังโอเคใช่ไหมเนี่ยะ เค้าไม่ได้ทำหนักเกินไปใช่ไหม"
"ก็โอเคอยู่นะ ก็ที่ไปทะเลนั่นก็เป็นครั้งที่ 2 "
มันพยักหน้ารับ "ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบพี่ขุนจะอดทนได้ถึงขนาดนั้น"
"แต่พอได้ทำก็หนักเลยนะมึง"
"ก็ปกติป้ะวะ กูว่าของมึงมันก็ยังดี" มันหยิบลูกอมเม็ดใหม่ขึ้นมาแกะก่อนจะยัดใส่เข้าปาก "กูว่าเซ็กซ์ที่เกิดมาจากความรัก ยังไงมันก็ดีป้ะวะ"
"หมี....ที่มึงเคยบอกกูว่ามึงเสียตัวตอนอายุ 16 ตอนนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักหรอวะ" ทันทีที่ผมถามออกไปแบบนั้น คนข้างๆ ก็คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา
เรื่องนี้อาจจจะเป็นอีกเรื่องที่มันให้มันรู้สึกเป็นทุกข์ในใจก็ได้นะ ผมก็มีเรื่องในอดีตที่เคยพลาดทำลงไปแล้วรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็ทำไม่ได้ไง ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์พวกนั้นมันก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ว่าเรื่องของผมกับไอ้หมีมันก็คนละเรื่องกันอ่ะ และมันก็ต้องให้ความรู้สึกที่ต่างกันแน่ๆ
หวังว่ามันจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะ
ผมยกมือขึ้นแตะไหล่มันเบาๆ "ว่าไง...."
"มันก็ไม่เชิงว่าเป็นความรักว่ะ มีแค่กูที่รักเค้า เซ็กซ์ของเรามันเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ" มันเค้นยิ้มออกมา "ครั้งแรกมันเป็นอะไรที่โคตรเจ็บเลยมึง ไม่มีเจล ไม่มีถุงยาง กูขยับตัวแทบไม่ได้ ที่เชี่ยสุดคือตื่นมาก็ไม่เจอเค้าแล้ว.....และก็ไม่เจอเค้าอีกเลย"
เชี่ยยยย
ขนาดไม่ใช่ไอ้หมียังรู้สึกเจ็บปวดแทนเลยว่ะ
"โอเคไหมเนี่ยะ" ผมเอ่ยถามมันอย่างเป็นห่วง
"โอเคดิ่วะ เรื่องมันผ่านมาจะ 4 ปีแล้ว เมื่อก่อนกูอ่อนแอกว่านี้เยอะ กว่าจะทำให้ตัวเองกลายมาเป็นหมีคนแกร่งนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะมึง"
"มึงนี่ก็เก่งเนอะ" ถ้าเป็นผมนะ เจอเรื่องเลวร้ายต่อจิตใจขนาดนั้นคงจะหมดสภาพไปแล้วแน่ๆ ไม่รู้ว่าไอ้บ้าหมีมันทนมาได้ยังไง
"ทำดา นี่เพื่อนหมีไง เอออีกอย่างที่ตลก กูแม่งมีโอกาสได้มีอะไรกับคนที่ตัวเองรักใช่ไหมแต่เสือกจูบเค้าไม่ได้"
"ทำไมวะ เค้าไม่จูบมึงอ๋อ"
"เค้าก็จะจูบกูอยู่หรอกแต่ตอนนั้นกูดัดฟันไง กลัวเหล็กไปเกี่ยวปากเค้าก็เลยไม่ได้ให้จูบอ่ะ นึกแล้วโคตรเสียดายเลย" หลังจากที่มันพูดจบผมก็ได้มองตาปริบๆ นี่ขนาดตัวเองกำลังจะเสียตัวแท้ๆ ยังจะมาแคร์เรื่องที่เหล็กจะเกี่ยวปากเขาเนี่ยะนะ
"มึงนี่แม่ง...." ผมส่ายหัวให้มันอย่างเอือมๆ "เออหมี กูขอถามอีกอย่าง แล้วตอนนี้มึงยังรู้สึกรักไอ้คนนั้นอยู่ไหม คนที่มันหายไปอ่ะ"
มันหลุดยิ้มออกมา "รักสิ....ก็รู้สึกรักเสมอ"
"อ่าว แล้วไอ้ขันนี่ยังไง" ถ้ามึงบอกว่ามึงรักไอ้นั้นเสมอแล้วไอ้ขันล่ะ หรือว่าไอ้หมีมันจะแค่ชอบไอ้ขันมากๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นรักวะ
เออ อาจจะใช่ก็ได้
"พี่ขันก็เป็นคนที่....ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยว่ะ" มันบอกก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "เข้าไปทำงานกันต่อดีกว่า" ว่าแล้วมันก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
อ่าวเดี๋ยว
แบบนี้ก็ได้เหรอวะ
ผมยืนมองมันอย่างไม่เข้าใจ นี่มันเลี่ยงที่จะไม่ตอบผมป้ะวะถึงได้เดินหนีเข้าไปข้างใน โถ่ไอ้หมี มึงนี่มันร้ายนัก จะว่าไปมันก็ผ่านอะไรแย่ๆ มาพอสมควรเลยนะ เจ็บปวดเนอะที่มีคนตัวเองรักแต่ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน คิดแล้วคล้ายๆ ไอ้ขันเลยว่ะ ไอ้บ้านั่นก็มีคนที่ตัวเองรักแต่เสือกตามหาเขาไม่เจอ เนี่ยะ ถ้าไอ้ 2 คนนี้ทิ้งอดีตแล้วมารักกันได้นี่ก็จะดีไม่ใช่น้อย
ก็ได้แต่คิดแหละวะ
ชีวิตไอ้หมีนี่น่าเอามาแต่งนิยายมากเลยนะครับ เรื่องราวคงจะดราม่าน้ำตาแตกน่าดู ไว้ให้รู้เรื่องที่เกี่ยวกับตัวมันให้ได้มากกว่านี้ก่อน ผมจะเอามาดัดแปลงและเรียบเรียงเป็นพล็อตเขียนนิยายเรื่องต่อไป นิยายเรื่องที่ผมเขียนจบไปเนี่ยะมันไม่ค่อยดราม่าเท่าไหร่ เน้นความละมุนซะมาก แต่เรื่องต่อไปนี่แหละ เดี๋ยวจะบอกให้คนอ่านเตรียมกุมใจกันไว้ให้แน่นๆ เลย
หน่วงแน่นอนไรท์ขนมรับรองได้
นิยายของผมเหลือรีไรท์บทสุดท้ายก็จะส่งให้ทางสำนักพิมพ์พิจารณาแล้วครับ พอส่งเสร็จก็เป็นเรื่องของการรอคอยเขาตอบกลับ ผ่านไม่ผ่านก็ต้องรอลุ้นกันไป ถ้าผ่านก็ถือว่าสิ่งที่ตั้งใจไว้สำเร็จ ถ้าไม่ผ่านผมก็จะรีไรท์ใหม่จนกว่าจะผ่าน มันต้องผ่านสักที่แหละวะ ยังไงผมต้องมีโอกาสได้เห็นนิยายของตัวเองตั้งอยู่บนชั้นในร้านขายหนังสือให้ได้
มันเป็นความฝันที่ต้องกลายเป็นความจริงในสักวัน
ผมเชื่อแบบนั้น
หอ K2
หลังจากที่จัดการวางแผนเรื่องงานกีฬาสีอย่างคร่าวๆ เสร็จ ผมก็กลับมานั่งทำภารกิจเพื่อชาติของตัวเองต่อ ตอนนี้ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้วครับ ผมรีไรท์นิยายเสร็จหมดแล้ว นี่กำลังเขียนแนะนำตัวเพื่อที่จะส่งเมลให้ทางสำนักพิมพ์ ส่วนพี่ขุนก็นอนรอเป็นเด็กดีอยู่บนเตียง เอาจริงๆ คือเมื่อเย็นพี่มันโดนผมดุไปรอบนึงเพราะมาวอแวตอนที่กำลังนั่งรีไรท์อยู่
โคตรน่าทุบอ่ะ
มันเป็นงานเร่งไงผมก็เลยอยากทำให้มันเสร็จไวไว แต่พี่ขุนก็มาเจ๊าะแจ๊ะไม่เลิก มานั่งเบียดบ้างล่ะ ฟัดแก้มบ้างล่ะ หนักสุดนี่กระโจนทับผม คือถ้ามันตัวเล็กๆ ผมจะไม่อะไรเลย
"หนมครับ"
ผมเหลือบมองเจ้าตัวที่โผล่หัวมาเกยไว้ตรงไหล่ "มีอะไร"
"เมื่อไหร่จะเสร็จ"
"เนี่ยะ อีกแปปนึง"
"หนมแปปนึงมาหลายรอบแล้วนะ" มันบอกเสียงอ่อน "พี่จะงอแงแล้วนะครับ"
ผมยกมือขึ้นกุมแก้ม "เนี่ยะเสร็จละ" ว่าแล้วผมก็กดส่งเมล ทีนี้ก็เหลือแค่รอแล้วล่ะ
"เย่ ปิดโน้ตบุ๊คเลยครับ หลังจากนี้มันจะเป็นช่วงเวลาของพี่" พี่ขุนบอกก่อนจะละออกไปนอนแผ่กลางเตียงเหมือนเดิม ส่วนผมก็ปิดโน้ตบุ๊คก่อนจะขยับขึ้นไปบนเตียง
"ขยับไปฝั่งนึงสิ หนมจะนอนยังไง"
"นอนตรงนี้" มือเรียวรั้งให้ผมล้มตัวลงไปนอนทับตัวเองไว้ "ตัวอาจจะไม่นิ่ม....แต่ว่าอุ่นนะครับ"
"พี่นี่มัน...."
"พี่มันทำไมครับ"
"เปล่า" ผมขยับหัวไปหนุนไหล่พี่ขุนไว้ เจ้าตัวเองก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ
ชอบจริงๆ เลย
ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีวันที่เสพติดสัมผัสจากใครสักคน ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันจนถึงตอนนี้ เวลามันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนะครับ หลายช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่มีทั้งความสุข มีความทุกข์ปะปนกันไป นึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ยังไม่มีพี่ขุนนี่ผมไม่ได้สนใจอะไรในความรักเลยนะ ไม่ได้คิดอยากจะไขว่คว้าหาใครมาเติมเต็มในส่วนนั้นด้วย
คิดแล้วก็ตลกเหมือนกันแฮะ
วันที่ได้เห็นผู้ชายคนนี้ครั้งแรกมันก็แค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ แล้วเหตุการณ์ที่มันตัดความสัมพันธ์กับแก้มใสผมก็คิดแค่ว่ามันอาจจะเอามาดัดแปลงแล้วใส่ลงไปในนิยายของผมได้ก็เท่านั้นเอง ทุกอย่างมันคือความบังเอิญจริงๆ นั่นแหละ ถ้าวันนั้นไอ้ขันไม่ให้ผมไปหาที่ตึกคณะมัน เรื่องระหว่างผมกับพี่ขุนอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
ถ้าเรื่องทั้งหมดไม่เกิดขึ้นมันจะเป็นยังไงนะ
ผมก็อาจจะนอนแผ่อยู่บนเตียงนี้คนเดียว ชีวิตเปื่อยๆ ที่ผมมีมันก็อาจจะเปื่อยอยู่อย่างนั้น ผมคงจะสนใจแค่งานกับนิยาย เป็นขนมคนเฉิ่มที่ทำหน้านิ่งไม่ยิ้มไม่หัวเราะไปจนเรียนจบแน่ๆ ความสุขที่ผมมีก็อาจจะน้อยกว่าตอนนี้ ที่สำคัญคือนิยายที่ผมเขียนคงจะไม่ออกมาเป็นแบบนั้น
พี่ขุนนี่เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างจริงๆ
ผมกลายเป็นคนยิ้มง่ายมากขึ้น เป็นคนที่มีความสุขมากขึ้น ความรักที่พี่ขุนให้ผมมาก็กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนนิยายได้จนจบ ตอนที่นั่งรีไรท์ก็รู้สึกได้เลยนะว่ามันเหมือนกับสมุดที่บันทึกเรื่องราวความรักของเรา 2 คนเอาไว้ โมเม้นท์หลายๆ อย่างที่ใส่ลงไปในนิยายมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผม มันอาจจะเป็นคำพูดซ้ำๆ แต่ผมก็อยากพูดว่า.....
รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มีพี่ขุนน่ะ
"พี่ขุน"
"ว่าไงครับ"
ผมเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าตัว "ขอบคุณนะ"
"ขอบคุณเรื่องอะไรครับ"
"ก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ถ้าไม่มีพี่ นิยายของหนมอาจจะไม่จบก็ได้ พี่อาจจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ยังไงหนมก็ต้องขอบคุณจริงๆ " ว่าแล้วผมก็ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มขาวนั่นฟอดใหญ่
"หึ....พี่ก็ต้องขอบคุณหนมนะครับ" พี่ขุนผงกหัวขึ้นมาจุ๊บปากผมหนักๆ "การที่พี่ได้มาเจอหนมมันก็ทำให้ชีวิตพี่เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน คิดแล้วก็ตลกอยู่นะ พี่หลงรักหนมทั้งๆ ที่หนมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นแค่เด็กปากไม่ตรงกับใจ ชอบทำหน้ามึนๆ ใส่ แต่เพราะหนมเป็นแบบนี้มั้งพี่ถึงได้รักจนโงหัวไม่ขึ้น"
"ก็ขอให้โงหัวไม่ขึ้นต่อนะไปครับ"
"เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว" พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นมากุมแก้มผมไว้ "อยู่ให้พี่รักไปนานๆ ก็แล้วกัน"
"แน่นอนสิ เข้ามาในชีวิตของหนมแล้ว หนมไม่ให้พี่ออกไปไหนแล้วนะ" ผมยกมือพี่ขุนมาจุ๊บเบาๆ ก่อนจะเอาแนบแก้มตัวเองไว้ "หนมรักพี่ขุนนะครับ"
"พี่ก็รักหนมครับ"
รอยยิ้มหวานๆ นี่มันทำให้ใจผมสั่นได้เสมอเลยนะ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในอนาคตแต่ว่าผมจะพยายามรักษาความรักนี้ไว้ให้ดีที่สุด ให้มันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ชีวิตผมไม่ต้องการใครอีกแล้ว อุปสรรคต่างๆ ที่จะเข้ามา ผมก็เชื่อนะว่าเรา 2 คนจะผ่านมันไปได้เหมือนกับทุกครั้ง ขอแค่ข้างๆ มีพี่ขุนก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับผมแล้วแหละ เพราะว่า....พี่ขุนจะกลายเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด
ยิ่งบนเตียงนี่โคตรน่ากลัว
"อื้อออ...อ....อย่าถกเสื้อ"
"หื้มมม....อยู่นิ่งๆ "
ใครมันจะไปนิ่งได้วะ!!!
"อย่า....พี่ขุนนนนนนนนนนน"
TBC.
สวัสดีค่ะชาลมาส่งขุนหนมแล้ว ในที่สุดก็มาถึงบทที่ 34 แล้วนะคะ ก็บทหน้าก็จะเป็นบทส่งท้ายของนิยายเรื่องนี้แล้วนะ ชาลได้เริ่มทำการรีไรท์ไปบ้างแล้วนะคะ ก็เดี๋ยวจะเร่งรีไรท์ให้เสร็จก่อนวันที่ 10 กุมภาฯ ใครอยากลองอ่านอีกรอบก็ลองไปอ่านได้นะคะ
อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สุดท้ายของการฝึกงานแล้วค่ะ ก็เดี๋ยวชาลจะยุ่งเรื่องทำรายงานฝึกงาน แล้วก็จัดการฟิค PPH ที่ต้องลงช่วงวาเลนไทน์ รวมถึงการแต่งตอนพิเศษในเล่มหรือส่งไปจัดหน้าและก็การบรีฟปกของหนังสือ ที่สำคัญคือทยอยแต่งขันหมีค่ะ อีกเดือนกว่าๆ ก็จะได้อ่านกันแล้วนะคะ รอติดตามกันด้วยล่ะ
ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ