เปย์ครั้งที่ ๑๙
น้ำน้อยแพ้ไฟ
‘ผู้ที่มีพละกำลังหรืออำนาจน้อยก็ย่อมจะแพ้ ผู้ที่มีพละกำลังหรืออำนาจมากกว่า’
เวลานี้สิรินกับก้องถูกควบคุมตัวไปยังท้ายเรือชั้นบนสุด โดยมีโจกับพวกถือปืนเดินตามมาติดๆ รั้งท้ายด้วยสุชาติ และสนที่อุ้มดำตามมาด้วย
ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆบดบังแสงจันทร์จนหมดสิ้น สายลมพัดรุนแรงเสียดผิดจนรู้สึกเจ็บ คลื่นในท้องทะเลก็ใหญ่ขึ้นทีละน้อย บ่งบอกว่าพายุกำลังจะมาในอีกไม่ช้า
สิรินรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเรือลำนี้ถูกสั่งให้ล่องออกนอกเส้นทาง ตามข้อมูลที่สายข่าวส่งมา กัปตันเรือถูกจ้างด้วยเงินไม่น้อยเพื่อขับเรือไปยังเขตอันมีพายุก่อตัวเช่นนี้ แม้พายุจะลูกไม่ใหญ่นักจนถึงขั้นต้องเฝ้าระวัง แต่มันก็มากพอหากเรือลำนี้เกิดระเบิดสูญเสียการควบคุมไม่ต่างจากซากเรือเละๆ ลำหนึ่ง
กัปตันเรือคงคิดว่าเสี่ยงแต่ก็คุ้ม ทั้งคนจ้างวานยังวางแผนหนีเอาไว้แล้วเสียอีก กัปตันผู้โง่เขลาสุดท้ายก็ถูกฆ่าปิดปากก่อนจะได้กลับไปเสวยสุขดังที่หวังไว้
เพราะเดินอยู่หน้าสุดทุกคนจึงไม่ทันสังเกตเห็นประกายในดวงตาของเขา วาบผ่านเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็กลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง แผนแรกไม่เป็นไปตามที่หวัง ทั้งยังลากดำเข้ามาเสี่ยงถือว่าผิดพลาดอย่างร้ายแรง เขามั่นใจในตัวเองจนเกินไป มั่นใจว่าจะกันดำออกจากแผนการครั้งนี้ของอาสุชาติได้
ถ้าเขาระวังให้มากกว่านี้ล่ะก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น เพราะไม่อยากทิ้งดำไว้คนเดียว กลัวว่าอาสุชาติจะหาทางจัดการหลังฆ่าเขาสำเร็จ หรือจะให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยชั่วคราวก็กลัวอารู้เรื่องเข้าแล้วส่งคนตามล่า ทั้งยังเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปว่าต่อให้มาด้วยกันเขาก็ปกป้องดำได้ ผลลัพธ์จึงย่ำแย่เช่นนี้
แต่อย่างไรแผนการก็ไม่อาจหยุดยั้ง เปลี่ยนเป็นแผนสำรอง เพียงเพิ่มเงื่อนไขอย่าให้สนพาดำไปด้วย จะทำอะไรบุ่มบ่ามอีกไม่ได้ การกระทำก่อนหน้าก็เพื่อทำให้คนของอาซึ่งซ่อนอยู่เผยตัวออกมา ตามที่คาดไว้มีคนที่เขาไม่รู้อยู่หลายคน อาสุชาติขี้ระแวง แม้เป็นคนสนิทก็ยากที่จะเผยแผนการทั้งหมดให้รู้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเรื่องยิบย่อยอย่างตำแหน่งระเบิด คาดว่าคนที่วางคงถูกฆ่าตายเรียบร้อยแล้ว
ด้วยนิสัยนี้ของอาสุชาติ อาควรจะหนีออกไปจากเรือตั้งแต่ปิดปากกัปตันเรือเสร็จ โดยไม่สนใจดำเสียด้วยซ้ำ คาดว่าคนที่หว่านล้อมจนอาสุชาติรั้งอยู่เช่นนี้ได้คงมีเพียงสนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่างสน ซึ่งนิสัยต่างจากพ่อโดยสิ้นเชิง ทั้งหัวรั้น ทั้งอวดดี ทั้งชอบเอาชนะ ไร้ความระวังตัว
เมื่อรู้ว่าดำสำคัญกับสิริน ทั้งยังอยากเห็นสิรินทรมานก่อนตาย ไม่ใช่เพียงรอดูอยู่ห่างๆ แต่กระทำด้วยมือของตนเอง จึงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ โน้มน้าวจนสุชาติยอมใช้เวลาที่เหลืออยู่ทรมานสิรินก่อนตาย
ทั้งสุชาติยังเจ็บใจที่คนสนิทของตนกลายเป็นคนของสิรินเสียได้ เขาโกรธเกรี้ยวจนละทิ้งความรอบคอบอย่างที่ควรจะเป็น ทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่สนต้องการ
“คุณเตรียมการมาดี” หลังหยุดยืนชิดขอบระเบียงสิรินก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับสุชาติ แม้จะต้องสบตากับปลายกระบอกปืนในมือโจก็ตาม เขารู้ดีว่าลูกสมุนเหล่านี้ไม่มีทางลั่นไกรปืนหากเจ้านายไม่สั่ง หรือตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นช่วงเวลานี้สิรินต้องดึงความสนใจมาที่ตน เขาไม่อยากให้ความสนใจมุ่งไปยังเด็กน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนสน
โจกัดฟันแน่นแล้วขยับปากพูดไร้เสียง ก่อนจะหมุนกระบอกปืนคว่ำลงใช้สันปืนกระแทกท้องจนสิรินแทบทรุดลงไปกับพื้น
“หยุด ฉันอยากรู้ว่ามันยังจะพูดอะไรอีก” โจหยุดหมัดที่กำลังจะปล่อยออกไปอีกครั้งตามคำสั่งของสุชาติ แล้วเดินกลับไปยืนด้านหลัง ให้สุชาติได้เผชิญหน้ากับสิรินตามที่ต้องการ
“โถ่ พ่อจะไปคุยกับมันทำไม มันก็แค่กำลังดึงความสนใจเพราะกลัวผมจะปู้ยี่ปู้ยำเจ้าเด็กตัวนุ่มนิ่มต่อหน้ามันเท่านั้นแหละ” สนไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่ชอบทำอะไรโดยไม่คิดอย่างถี่ถ้วน ชอบคิดว่าตนฉลาดกว่าใครๆ นั่นทำให้กลายเป็นคนน่ารังเกียจ
"ไม่อยากเห็นนักใช่ไหม หึ เชิญดูให้เต็มตา" หลังจากหันมาพูดกับสิน สนก็อุ้มดำไปวางบนเก้าอี้นอนที่วางอยู่ไม่ไกล ก่อนเริ่มซุกไซ้ซอกคอสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ประจำตัวของเด็กหนุ่ม มือก็ขย้ำขยี้ไปตามร่างกายอย่างหยาบโลน
"หยุดนะ! " เหมือนสติขาดผึ่ง สมองที่ปกติคิดอย่างรอบคอบไม่อาจยับยั้งความโกรธได้อีกต่อไป สิรินทะยานตัวไปด้านหน้าหมายจะกระชากตัวสนออกจากร่างเล็กๆ นั่น สมุนของสุชาติก็หาได้อยู่เฉยพวกเขากรูกันเข้ามาจับสิรินไว้ ออกหมัดกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย พวกมันยังไม่ได้รับคำสั่งให้ฆ่า จึงไม่มีใครกล้าลั่นไกรปืน
"อืม ทั้งหอมทั้งนุ่มเข้าใจเลยว่าทำไมมึงถึงได้หลงขนาดนี้ แบบนี้คงไม่เบื่อไปอีกนาน" เสียงของสนดังมากพอที่สิรินจะได้ยิน เพราะเขาตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ต้องการตอกย้ำให้สิรินเจ็บปวด เขาสังเกตมานานแล้วว่า ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่ธรรมดา เมื่อเห็นสิรินดิ้นรนยิ่งตอกย้ำได้ดียิ่งขึ้น มันช่างสะใจเสียเหลือเกิน
ปากพร่ำพูด มือขยับไม่หยุด ดังหยอกเย้าให้คนดิ้นตายต่อภาพที่เห็น ทุกอย่างเป็นไปตามที่สนต้องการ สิรินกำลังดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยดำ สำหรับสิรินแล้วดำสำคัญยิ่งกว่าชีวิต เขาไม่ต้องใช้สมองคิดให้มากมาย รู้เพียงว่าหัวใจปวดร้าวเมื่อเห็นภาพตำตาตรงหน้า
ร่างกายเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ เขาไม่คิดปิดบังอีกต่อไป ทักษะทั้งหมดที่เรียนกับมาร์โก้แสดงออกมาจนหมดสิ้น ลูกสมุนไม่อาจแตะตัวสิรินได้อีกต่อไป ความเร็ว ความแรงของหมัดล้วนแข็งกร้าว ราวกับผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน
คนแล้วคนเล่าล้มลง ในที่สุดก็มาถึงตัวสน แรงกระชากพร้อมหมัดหนักๆ พาให้ร่างใหญ่ไม่แพ้กันนั้นล้มไปกองอยู่กับพื้น ตามด้วยร่างของสิรินซึ่งลงไปคร่อมร่างนั้นไว้แล้วกระหน่ำปล่อยหมัดอย่างไม่รู้จากเหน็ดเหนื่อย สิรินบ้าเลือดไปเสียแล้ว
“ตายๆ ๆ ๆ” ปากก็พร่ำร้องอย่างโกรธเกรี้ยว ดูท่าว่าจะไม่มีทางหยุดลงง่ายๆ สุชาติเห็นดังนั้นก็ร้อนใจ หลุดออกจากความตกตะลึง คุมสติให้นิ่งก่อนขยับปากเตรียมสั่งการให้ยิงก่อนสนจะตายไปเสียก่อน
แต่กลับมีคนเร็วกว่า ขาหนักๆ ของโจเตะเข้าที่ลำคอของสิรินอย่างจัง จนร่างนั้นปลิวตามแรงล้มไปกองกับพื้น
“จับไว้!” โจสั่งการ ก่อนคนที่ถูกซัดเมื่อครู่จะกรูกันเข้ามาล็อกร่างนั้นไว้ไม่ให้แผลงฤทธิ์ได้อีก สิรินมองโจตาขวางอย่างไม่พอใจ แต่หากสายตาที่มองมากลับนิ่งสนิทไร้คลื่นอารมณ์ จนเขาได้สติขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าโจควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว สุชาติจึงออกคำสั่งให้ลูกสมุนเข้าไปพยุงตัวสนขึ้นเท่านั้น หาได้สั่งยิงดังที่คิดเมื่อครู่ เพราะเขาไม่อยากให้ร่างของสิรินมีร่องรอยกระสุน ซึ่งเหมือนจงใจปล้นเพราะถูกจ้างวานให้ฆ่าเป้าหมาย ซึ่งอาจถูกนักข่าวจับประเด็นมาโจมตีเขาให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และเป็นอุปสรรคต่อการรับตำแหน่งอย่างขาวสะอาดดังที่วางแผนไว้
ทั้งยังคงกังวลว่ามาร์โก้จะตามสืบเรื่องนี้จนพบเบาะแส ใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น สุชาติจึงต้องการให้สิรินตายเหมือนเป็นอุบัติเหตุ โดยถูกระเบิดหรือไม่ก็จมน้ำตายเพราะเรือล่ม ดังนั้นแล้วหากหลีกเลี่ยงได้เขาก็อยากหลีกเลี่ยงให้ถึงที่สุด
ส่วนการทำร้ายร่างกายนั้นยังพอปกปิดได้ เพราะกว่าจะหาร่างเจอ คงตรวจสอบอะไรได้ยากแล้ว เขาจึงยอมให้ลูกชายได้เล่นสนุกอย่างที่เห็น
“มึง ไอ้สิน!” แต่สนหาได้ใจเย็นเช่นพ่อของตน หลังตั้งสติได้ก็เข้าไปอัดหมัดใส่สิรินด้วยความคั่งแค้น รอบนี้สิรินหาได้ขัดขืน มุมปากกลับแสยะยิ้มพึงพอใจ
เพียงเท่านี้ก็ดึงความสนใจจากดำได้แล้ว เขายอมเจ็บตัวดีกว่าให้สนแตะต้องเจ้าตัวเล็กของเขา
หมัดแล้วหมัดเล่า สนระบายความเจ็บปวดทั้งกายใจอย่างไม่หยุดยั้ง สิรินพยุงกายแทบใหม่อยู่ ยังดีที่มีลูกสมุนสองคนรั้งตัวไว้คนละข้าง ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงได้ลงไปนอนอยู่บนพื้น
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ก้องไม่อาจทนมองได้อีก เขาทำตามแผนที่วางไว้จึงยอมอยู่เฉย แต่หากตอนนี้สถานการณ์เกินกว่าที่จะทนรับได้ บัดนี้เจ้าง่วงประจำกลุ่มจึงสะบัดคราบนั้นทิ้งจนหมดสิ้น
น้ำเสียง บรรยากาศ ล้วนทรงพลัง สะกดทุกคนชะงักอย่างไม่อาจควบคุม บรรยากาศเช่นนี้สุชาติเกลียดที่สุด มันเป็นดังสิ่งที่บ่งบอกว่าคนเหล่านี้เกิดมาเพื่ออยู่บนจุดสูงสุดเหนือคนอื่นๆ ดังพ่อของเขา สุทิน ไม่เว้นแม้แต่สิริน หลานชายที่ทำตัวดังไร้ความสามารถ แต่หากไม่อาจกลบฝังบรรยากาศเช่นนี้ลงได้
สิ่งที่เขาไม่อาจมี...
“หึ ลูกชายคนโตของเจ้าสัวเกริกเกียรติผู้ไร้ความสามารถในที่สุดก็เผยเขี้ยวเล็บอย่างนั้นสินะ สมแล้วที่เป็นเพื่อนกับเจ้าสินได้ นี่ถ้าให้เดาเพื่อนอีก 2 คนก็คงไม่ต่างกัน เหมือนสัตว์ป่าซึ่งเฝ้าลับเขี้ยวเล็บเพื่อทวงคืนสิ่งที่ควรเป็นของตัวเอง...แต่น่าเสียดายที่ต้องมาตายพร้อมหลานโง่ๆ ของฉัน ช่างสูญเปล่าจริงๆ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ” สุชาติกล่าวอย่างสะใจ เขารู้มาตลอดว่าหลานชายแอบทำบางอย่าง แม้รู้ตัวช้าไปบ้างแต่ก็วางแผนรับมือเป็นอย่างดี
ทำให้เขาคิดมาตลอดว่าเพื่อนๆ ของหลานชายเองก็ไม่น่าใช่อยากที่ตาเห็น เพราะทุกคนล้วนมีที่มาไม่ธรรมดา ทั้งยังมีจุดเชื่อมโยงไม่ต่างกัน ในที่สุดวันนี้ทุกอย่างก็เผยออกมา ซึ่งมันยิ่งทำให้เขาพอใจ ได้ทำลายความพยายามทั้งหมดของเด็กหนุ่มถึง 4 คน จะไม่ให้เขาพอใจได้อย่างไร
“อย่างที่คิด คุณเป็นคนฉลาด ทั้งยังรอบคอบ แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่เปล่าประโยชน์บางหรือครับ คุณฆ่ากัปตันไปแล้ว ทำให้ไร้คนนำทาง ทั้งยังไม่รู้ว่าพายุที่ก่อตัวจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ถึงคุณจะคำนวณเวลาระเบิดได้ แต่มั่นใจแล้วอย่างนั้นหรือว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่แน่นอนเช่นนั้น ไม่แน่ว่า คุณอาจจะตายพร้อมกับเราก็ได้...ใครกันแน่โง่เขลา” ก้องพูดมากกว่าที่เคย ทั้งคำพูดยังจี้ถึงจุดอ่อนของแผนการนี้ จนสุชาติได้สติ เขาคิดทบทวนสิ่งที่ก้องพูดอย่างรวดเร็ว และพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ความจริงถ้าคุณมั่นใจในแผนการของตัวเองมากนัก คิดว่ามันสมบูรณ์แบบ ทำไมถึงยังทำลายมันด้วยตนเองเล่า คุณสามารถนั่งเรือออกไปยังจุดปลอดภัยได้อย่างง่ายดายและแน่นอน ทั้งยังสามารถนั่งจิบไวท์มองเราตายอย่างทรมานได้ด้วยซ้ำ” คำพูดคล้ายนอบน้อม แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าก็ไร้อารมณ์ดังไม่แยแสต่อคำพูดของสุชาติแม้ได้น้อย
“เหอะ แค่นั้นมันไม่สะใจโว้ย! กูต้องทรมานมันด้วยตัวเองถึงจะสะใจ ไอ้เด็กนั่นกูยังไม่เอาก็ได้ แต่ขออัดมันให้หายแค้นก่อนเถอะ แค่นี้ยังไม่สาสมกับความเกลียดชังตลอด 10 ปีที่ผ่านมา” พูดจบสนก็ต่อยสิรินไปอีกหลายหมัด ก้องขยับตัวหมายจะจัดการคนที่จับตัวเองไว้ แต่หากเห็นสัญญาณบอกให้อยู่เฉยของสิรินเสียก่อนเขาจึงแสร้งขัดขืนเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะไม่พอใจนักก็ตาม
“พอแล้ว” สุชาติคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงห้ามสน ทั้งยังส่งสายตาห้ามปราม ลูกชายตัวดีจึงได้แต่หยุดการกระทำอย่างไม่พอใจ ถอยออกมาให้พ่อเข้าไปยืนตรงหน้าสิรินแทน
“ฉันยอมรับว่าแกฉลาดกว่าพ่อของแก แต่สำหรับฉันแกยังเด็กมาก แผนการทั้งหมดนั่นคิดว่าฉันคนนี้คิดไม่ถึงอย่างนั้นเรอะ หึ อ่อนเกินไปแล้วหลานรัก” สุชาติคิดจะถอยไปยังพื้นที่ปลอดภัย แต่หากทำตามที่ก้องพูดทันทีก็เหมือนขี้ขลาดตาขาว จึงทำเหมือนใจเย็น คิดจะเข้ามาเยอะเย้ยสิรินเล็กน้อยแล้วจึงจากไป ตามเวลาที่กัปตันเรือบอกไว้เกี่ยวกับพายุ และเวลาของระเบิดที่วางไว้ คำนวณเรื่องเพิ่มความปลอดภัยอีกเล็กน้อย จะกล่าวกับหลานชายอีกสองสามประโยชน์ก็หาได้เสี่ยงเกินไป
“แค่กๆ” เพียงจะตอบกลับ อาการบอกช้ำก็ทำให้สิรินไอเสียตัวโยน เลือดกระเด็นออกมาไม่น้อย
“คิดไม่ผิด อาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆ” แม้จะอยากให้สุชาติจากไปเร็วๆ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจเมินเฉย เพราะเขาอาจจะได้รับหลักฐานชั้นดี ตอนที่พ่อเสียชีวิต สิรินยังเด็กเกินกว่าจะหาหลักฐานใดๆ ทั้งมาร์โก้ยังถูกกันออกไปจนแทบไม่อาจแทรกแซง ที่ยังคงช่วยเหลือสุทินได้ก็นับว่ามีความสามารถมากแล้ว ทำให้ไม่อาจหาหลักฐานเอาผิดสุชาติได้
“หึหึ ฮ่าๆ ๆ ใช่แล้ว แกพึ่งจะรู้รึไง ไหนๆ แกก็กำลังจะตายแล้ว ฉันจะบอกให้เอาบุญจะได้ไปช่วยปลอบใจกันในนรก ฉันเอง ฉันเป็นคนวางแผนฆ่าไอ้สุทิน รู้อะไรไหมมันโง่จนวินาทีสุดท้าย บอกว่าโชคดีที่ฉันรอดมาได้ ฮ่าๆ ๆ ไม่มีอะไรจะสะใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว ได้แก้แค้นคนที่แย่งทุกอย่างไปจากฉัน ได้แย่งชิงทุกอย่างกลับมาจนหมดสิ้น ได้เห็นหน้าเป็นห่วงโง่ๆ นั่นก่อนตาย มันสะใจที่สุดในชีวิตเลยล่ะหลานรัก” คำกล่าวนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งสะใจ ทั้งเคียดแค้น ปะปนไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจต่อบุพการี
สุทินเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีรถบรรทุกพุ่งชนขณะขับรถไปดูงานที่กำลังมีปัญหา วันนั้นการก่อสร้างโรงแรมแห่งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุทำให้คนเสียชีวิตหลายสิบคน ทั้งยังเป็นงานที่ร่วมมือกับคู่ค้ารายใหญ่ แม้ว่าตอนนั้นเขาจะอยู่ที่โรงพยาบาล รอดูอาการของพ่อซึ่งพลัดตกบันไดก็ตาม
เขารู้สึกร้อนรนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะหน้าที่ประธานหรือลูกล้วนสำคัญ สุทินไม่อาจละทิ้งทั้งสองอย่าง แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของพ่อแล้วสุทินจึงตัดสินใจไปแก้ปัญหาเรื่องบริษัท สุชาติขอตามไปด้วย แต่สุทินห้ามน้องชายเอาไว้ ฝากฝังให้ดูแลพ่อแล้วส่งข่าวบอกเขาด้วย
หลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่สุชาติต้องการ เพียงแต่สุทินไม่ได้ตายในทันที เขาถูกยื้อชีวิตอย่างถึงที่สุด แต่หากไร้ความหวัง ขณะนั้นทำได้เพียงยื้อชีวิตให้ได้สั่งเสียเล็กน้อยเท่านั้น
‘ดีจริงๆ ที่นายไม่ได้ขึ้นรถมาด้วย ดีจริงๆ ที่นายไม่ตายสุชาติ’ นั่นเป็นคำกล่าวสุดท้ายพร้อมรอยยิ้มก่อนสุทินจะสิ้นใจ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ สุชาติกลับเผยรอยยิ้มเย้ยหยันต่อร่างไร้ลมหายใจ
“คุณก็แค่โลภมาก เวลานั้นถ้าคุณเรียนจบ ตำแหน่งรองประธาน หรือหัวหน้าสาขาใหญ่ที่อเมริการอคุณอยู่แท้ๆ คุณยังคิดเรื่องชั่วๆ พวกนี้ได้อีก”
“แกจะไปรู้อะไร! คนที่ควรได้ตำแหน่งประธานคือฉันคนนี้ ฉันเข้าไปฝึกงานที่บริษัทตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 15 ปี มันแค่กลับจากต่างประเทศ แค่อายุมากกว่าไม่กี่ปี พ่อก็ยกทุกอย่างให้มัน ทุกอย่างที่ควรจะเป็นของฉัน” เพียงแค่ได้ฟัง สุชาติก็ถูกกระตุ้นด้วยความทรงจำในอดีต เขาคับข้องใจต่อสิ่งที่พ่อทำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่เขาอยู่ข้างกายพ่อมาตลอด แต่กลับถูกคนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กแย่งชิงทุกอย่างไป
“คนที่ไม่รู้อะไรคือคุณ พ่อของผมก็เริ่มต้นพิสูจน์ตัวเองในอายุไม่ต่างกัน ต้องบอกว่าก่อนคุณเสียด้วยซ้ำ เพราะพ่อถูกเลี้ยงมาแบบคนอเมริกา อายุเพียง 9 ขวบ ก็ได้รับเงินก้อนหนึ่งไปบริหารจัดการ ลงทุนในตลาดหุ้น พออายุ 15 ก็เข้าไปฝึกงานที่บริษัทตามที่ปู่กำหนดไว้
ใช้เวลาไม่กี่ปีก็ไต่เต้าจากตำแหน่งเล็กๆ จนกลายเป็นหัวหน้าสาขา ทั้งยังทำกำไรเพิ่มขึ้นกว่าสองหมื่นล้าน ปู่จึงยอมรับให้กลับมารับตำแหน่งประธานที่นี่” สิรินรู้เรื่องทั้งหมดจากมาร์โก้ เพราะคนทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แม้หลังจากสุทินแต่งงานมาร์โก้จะช้ำใจจนไม่โผล่หน้ามาให้เห็นก็ตาม นั่นทำให้มาร์โก้รู้เรื่องหลายๆ อย่างของสุทินเป็นอย่างดี
“สาขาอเมริกาบริหารยากแค่ไหนคุณอาน่าจะเข้าใจใช่ไหมล่ะครับ...ก็คุณทำจนแทบจะเจ๊งอยู่รอมร่อ” ข้อมูลเหล่านี้เองก็หาได้ไม่ยาก เพราะอย่างไรเส้นสายของสิรินส่วนมากก็อยู่ที่อเมริกา แม้ว่าอาสุชาติจะพยายามปกปิดเรื่องนี้เพียงใดก็ตาม
“แก!” ไร้คำโต้แย้ง เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำกล่าวของสิรินจริงๆ มีข้อมูลมากมายที่สิรินรับรู้ กระทั่งเรื่องที่สุชาติกำลังสารภาพอยู่ เพียงแต่เขาไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเท่านั้น จะมีใครเชื่อว่าลูกชายคนดีทำให้พ่อเกิดอุบัติเหตุพลัดตกบันไดเพื่อทำให้แผนการของตนราบรื่น ส่วนคนขับรถก็ถูกฆ่าปิดปาก ข้อสันนิษฐานต่างๆ จึงจมหายไปกับอดีต
จุดเริ่มต้นนั้นจะกล่าวว่ามาจากปู่ก็คงไม่ผิดนัก ปู่พบรักกับย่าเมื่อครั้งที่ไปดูแลสาขาอเมริกา ทั้งสองรักกันมากจึงแต่งงานกัน เวลานั้นปู่ตามใจภรรยายิ่ง ยอมเลี้ยงสุทินที่อเมริกาตามคำขอหญิงสาวร้องขอ
จนกระทั่งย่าเสียชีวิตลง ปู่เศร้าเสียใจจนไม่อาจทนอยู่อเมริกาได้อีก เพียงแต่เมื่อกลับมายังประเทศไทย สุทินนั้นไม่อาจปรับตัวได้จนต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง ญาติฝั่งแม่ที่อเมริกาทนไม่ไหวจึงขอพาสุทินกลับไปเลี้ยงที่นั่น
ปู่คิดว่าต้องใช้เวลาทำใจให้ได้แล้วจึงกลับไป แต่หากเวลานั้นเขาได้พบกับย่าสมรแม่ของสุชาติ หญิงสาวที่เข้ามาเยียวยาหัวใจ เพราะเธอจิตใจดี รักสุทินเหมือนลูกแท้ๆ ทำให้ปู่เปิดใจอีกครั้ง ทั้งตอนนั้นพี่ชายคนโตเสียชีวิต ปู่ไม่อาจกลับไปยังอเมริกา เขาต้องสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัท สุทินเองก็กำลังเรียนหนังสือ มีอนาคตที่สดใส ปู่กับย่าสมรจึงตกลงกันไปเยี่ยมสุทินบ่อยๆ แทน
จนกระทั่งสุชาติเกิดมา แต่น้องชายคนนี้กลับไม่ได้นิสัยของแม่มาแม้แต่น้อย เขาคิดว่าสุทินแย่งความรักจากแม่ไป ทั้งที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ อคติเริ่มมากขึ้นคิดว่า ทั้งสมบัติ ทั้งอำนาจที่ควรจะเป็นของตนกลับกลายเป็นของสุทินไปเสียทั้งหมด
สุชาติเข้าไปฝึกงานตั้งแต่จบมัธยมต้น เขาเริ่มงานในตำแหน่งเล็กๆ ตามที่ปู่กำหนดไว้ เพียงแต่สุชาตินั้นถือตัวว่าตนคือลูกชายเจ้าของบริษัท เขารักสบาย ทั้งฉลาดแกมโกง ใช้เงินปูฐานอำนาจใช้คนอื่นทำงานแทน แล้วอ้างว่าเป็นผลงานของตน ซึ่งไม่ใกล้เคียงกับคำว่าฝึกงานแม้แต่น้อย
เขาคิดว่าปู่ไม่รู้ แต่จริงๆ ปู่รู้ทุกอย่าง แค่ปล่อยให้สุชาติได้ทำตามใจ การกระทำของลูกชายล้วนถูกจับตามองทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะเป็นฝั่งสุทินหรือสุชาติก็ตาม ซึ่งการกระทำของสุชาติไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถ เพียงไม่เหมาะกับตำแหน่งประธานเท่านั้น
ปู่มีนิสัยเสียอยู่ข้อหนึ่งนั่นคือไม่พูด แต่จะกระทำอย่างเด็ดขาดแทน สุชาติจึงรู้สึกเหมือนถูกแย่งชิงทุกอย่างไป ความจริงปูใจดีกับสุชาติมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะหากเทียบกันแล้ว สาขาที่ไทยฐานมั่นคงกว่า การบริหารย่อมง่ายกว่ามาก
ซึ่งสาขาอเมริกามี 1 สาขาใหญ่ กับ 2 สาขาย่อย กว่าสุทินจะปีนป่ายจนถึงจุดที่ทำกำไรให้บริษัทก็ยากจนเลือดตาแทบกระเด็น ด้วยอัตราการแข่งขันที่สูงกว่า และตลาดที่โตกว่าอย่างอเมริกา หากเทียบกันแล้วสุทินโดนทดสอบหนักกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เวลานั้นสุชาติก็ทราบ แต่หากดวงตามืดบอด เขาเชื่อว่าถ้าปู่ให้โอกาส เขาเองก็ทำได้อย่างสุทิน จนกระทั่งได้รับรู้ความจริงจากสภาพปัจจุบันซึ่งยากจะยอมรับได้ สาขาอเมริกายอดตก กำไรติดลบจนยากจะแก้วิกฤต
“หึ จี้ใจดำจนเถียงไม่ออกเลยหรือครับ”
“ไอ้เด็กเวร!”
ปัง!
ปึก
กระสุนจากกระบอกปืนในมือสุชาติ เจาะเข้าที่ต้นขาของสิรินจนร่างนั้นไม่อาจทรงตัวได้อีก เข่ากระแทกพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว การกระทำนี้บ่งบอกว่าสิรินไม่ได้พูดผิดแม้แต่น้อย
“อย่าคิดว่าแกจะได้ตายดี จับมันมัดไว้ ฉันต้องมั่นใจว่ามันไม่มีทางรอด!” แม้จะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าคิดอยากจะทรมานสิรินก่อนจากไป แต่เวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกที
-TBC-
แอบกลับมาเงียบๆ แหะๆ
สารภาพนิดนึงนะคะ (จะเรียกแก้ตัวก็ได้)
ตอนนี้คือแก้หลายรอบมากกกกกก แบบว่าเขียนจนจบฉากบนเรือแล้วก็มาเอะใจจุดนั้นทีจุดนี้ที จนกลับมาแก้แล้วแก้อีก เพราะกรีนไม่เคยเขียนนิยายให้จบ (เรื่องนี้เรื่องแรก) พอต้องมาปิดปมหลายๆ อย่างทำให้หลุดไปบ้างค่ะ
คือ พยายามแก้ให้ตัวเองคิดว่าดีที่สุด ก็เลยวนๆ เขียน บางทีก็ตันบ้าง
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมเคยบอกว่าจบแล้ว
จริงๆ คือจบแล้วค่ะ แต่พอกลับไปอ่านใหม่ทั้งเรื่องมันมีจุดที่หลุด แน่นอนใหญ่ๆ ก็ฉากบนเรือนี่แหละ ซึ่งพอแก้แล้ว มันก็ทำให้ต้องแก้ตอนต่อๆ ไปด้วย
ส่วนที่ลงตอนนี้คือมั่นใจแล้วถึงลงให้อ่าน ขอโทษนะคะที่ทำให้รอนาน
แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ยังรอ กรีนจะตั้งใจเขียนให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ
ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ