Ep.33 who are you?
เช้าวันต่อมา หลังจากที่โชกลับไปที่คอนโดของตัวเอง ผมก็มาที่มหาวิทยาลัยของตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในค่ำคืนนี้ จริง ๆ แล้วงานวันนี้ผมกะจะไปช่วง After party แต่ผมเองต้องมาเตรียมคุยรายละเอียดโครงการกับเพื่อน ๆ ที่เหลือก่อน เพื่อสรุปทิศทางโดยรวมว่าเราจะนำเสนอแผนการของบประมาณสนับสนุนไปในทิศทางใด
“สรุปแล้วติดต่อได้แค่หกมหาวิทยาลัยว่ะ” ไอ้ส้มส้มสรุป ผมพยักหน้ารับทราบ
“ไม่แปลกหรอก ปกติงานพวกนี้เขาแยกกันโดด ๆ นี่หว่า ไอ้จะมารวมกันแล้วทำออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าไม่ใช่ทางมหาวิทยาลัยแต่ละฝ่ายโคฯงานกันโดยตรง มันก็ยากหมดแหละมึง เอาเท่าที่ทำได้ก็พอ แค่หกมหา’ลัยกูก็พอใจแล้ว เหลือแค่ว่าพอไปถึงตัวงานจริง ๆ จะมีกำลังคนมาสนับสนุนกันมากพอก็โอเค” ผมว่า เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พยักหน้ารับคำแล้วก้มหน้าสรุปข้อมูลในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบต่อไป
“ดาวตกบอกว่าเดี๋ยวเอาชุดที่จะให้มึงใส่ไปในงานนี้ตามมาให้ พอดีมันติดธุระอยู่” มาร์ว่าขึ้นมาลอย ๆ นี่ก็ถือเป็นน้ำใจจากเพื่อน ๆ ที่ผมมักได้รับสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยที่สุด ในฐานะตัวแทน ผมก็อยากไปในชุดที่เหมาะสมกับสถานภาพนะครับ
“ว่าแต่...มึงกับพี่เขาเป็นไงบ้างวะ?” เอาล่ะ เพื่อนรักชักเริ่มไม่รักผมแล้ว ทุกคนในวงสนทนาเหมือนพร้อมใจกันวางงานและเงยหน้าขึ้นมาโฟกัสที่ผม กูขอถอนคำพูดว่ามึงเป็นเพื่อนที่ดีของกู ไอ้มาร์
“ก็..เรื่อย ๆ มั้ง?” ผมตอบ พูดได้เลยว่าตอบไม่เต็มปาก เพราะสถานะเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนี่หว่า
“กับคนนี้มึงจริงจังใช่ไหม?” ไอ้ทิพย์ยิงคำถามตอบ ผมพยักหน้ายอมรับเงียบ ๆ
“เขาเป็นไงวะมาร์ เขาโอเคกับเพื่อนเราป่าว?” พลอยหันไปถามเจ้ามาร์ มันทำหน้าคิดนิดหน่อยแล้วตอบกลับ
“เป็นไงเหรอ? ลักษณะทางกายภาพก็โอเคเลยมึง ตี๋ ๆ อ่ะ แต่ไม่ขาวมาก ผิวออกแทน ๆ แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ สูงกว่าเจ้านี่ แล้วก็ดูโตกว่า ทำงานแล้ว ที่สัมผัสได้แน่ ๆ คือรวย ส่วนเรื่อง Attitude กูให้ 8.5 เต็ม 10 เลย เสียดายวันนั้นเวลาน้อยไปหน่อยเลยยังคุยกันไม่จุใจ” เจ้ามาร์วิจารณ์ ผมทำปากเป็ดบึนปากออกมาเบา ๆ
“เจอกันครั้งเดียวรู้ได้ไงว่าเขารวย” ผมโยนคำถามกลับ เจ้ามาร์ยักคิ้วใส่แล้วตอบกลับ
“เจอ ‘เพื่อน’ ของ ‘ว่าที่แฟน’ ครั้งแรกก็พาเข้าร้านหรู แถมกุญแจรถนั่นก็ราคาแพง ไม่นับรวมความฉลาดในการตั้งคำถามและตามทันอีก เอาจริง ๆ ถ้ามึงไม่เอา กูเอานะ” มันว่า สายตาไม่น่าไว้วางใจ
“ไม่ให้” ผมรีบตอบกลับทันควัน
“คนนี้หวงด้วยว่ะ ฮิ้วววว” ไอ้ส้มส้มได้ทีชง
“กูไม่อยากจะพูด วันนั้นที่ร้านอาหารนะ กูแทบจะกลายเป็นอากาศธาตุ เขามองหน้ามองตากันซะกูรู้สึกผิดเลยที่เข้าไปเป็นส่วนเกิน” ไอ้มาร์ซ้ำ
“กูว่ากูชักเริ่มอยากเห็นหน้าพี่ตี๋ของมึงจริง ๆ จัง ๆ แล้ว มีรูปไหมวะ?” ไอ้พลอยว่า ทั้งกลุ่มยกเว้นไอ้มาร์พยักหน้าต้องการเป็นเสียงเดียวกัน ผมส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงว่าไม่มี
“ยังไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเหรอวะ” ไอ้ทิพย์พูด ผมเบ้ปาก ไอ้มาร์เอ็ดเบา ๆ
“มึงลืมไปแล้วเหรอว่ารอบที่แล้วเกิดอะไรขึ้น” มาร์ว่า
“กูขอโทษ” ไอ้ทิพย์พูดเสียงอ่อย ๆ เมื่อนึกได้ว่าผมมีความหลังฝังใจอะไรกับรูปถ่าย
ใช่ครับ พี่พอร์ชไม่ชอบถ่ายรูป ในขณะที่ผมกลับชอบ เพราะผมอยากบันทึกช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนสองคนเอาไว้ให้ยาวนาน และก็อย่างที่รู้ ๆ กันนั่นแหละ ไฟล์ ‘ทุกอย่าง’ ถูกผมดีลีททิ้งไปในวันที่เขามาบอกลาผมก่อนไปอเมริกา
“แต่คนนั้นกับคนนี้ไม่ใช่คน ๆ เดียวกันนี่ มึงก็อย่าไปคิดมากล่ะที จริง ๆ จะคนไหนพวกกูก็พร้อมจะยินดีกับมึงทั้งนั้นแหละ แค่เห็นมึงยิ้มออกมาได้ สดชื่นขึ้น กูก็โอเคแล้ว” ส้มส้มว่า
“ใช่มะ กูไม่ได้คิดไปคนเดียวใช่ไหม? พักหลัง ๆ มากูรู้สึกว่ามึงนุ่มนิ่มขึ้นเยอะเลย” ไอ้พลอยว่า
“อะไรคือนุ่มนิ่ม ๆ ของมึงวะ?” ผมถามกลับ
“ก็ดูนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอ่ะ มึงยิ้มจริง แต่ตามึงไม่ยิ้ม เหมือนแบบ...ยิ้มการค้าอ่ะ? ยิ้มเพื่อให้เห็นว่ายิ้ม แต่ไม่ได้ ‘มีความสุข’ เลยยิ้มออกมา เวลาไปไหนมาไหนก็เหมือนจะพกเมฆพกฝนส่วนตัวของตัวเองไปด้วยตลอดเวลา” มันว่า ผมหันไปหาคนอื่น ๆ เพื่อเป็นเชิงถามว่าผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ
“แต่ตอนนี้นะ มึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาก เวลาตอบโทรศัพท์ก็ไม่ได้ตอบห้วน ๆ ไม่ได้ทำหน้าเบื่อโลกแต่ก็กด ๆ ตอบกลับไป แล้วดูบางเวลาก็อารมณ์ดีตอนมองโทรศัพท์ เนี่ย สิ่งที่พวกกูเห็นมาตลอด” ไอ้ทิพย์เสริมให้อีกครั้ง
“คุยอะไรกันวะพวกมึง?” บุคคลผู้มาสายปรากฏตัว ผมหันไปยิ้มให้ดาวตกที่ยื่นถุงเสื้อผ้ามาให้ผมพร้อม ๆ กับนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลืออยู่
“คุยเรื่องว่าที่ตัวจริงของคุณชายทียังไงล่ะ” ส้มส้มรีบตอบ ดาวตกหันมามองหน้าผมแล้วพูดต่อ
“ก็ว่าอยู่ ทำไมช่วงนี้ถึงดูอารมณ์ดีแปลก ๆ ”
“เห็นไหม ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด” ไอ้มาร์ได้ทีรีบย้ำ ผมกุมขมับกับการโดนรุมในครั้งนี้
แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ผมมีความสุขมากขึ้นจนคนรอบ ๆ ตัวผมสังเกตได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?
....หมายถึง เพราะแค่ผมมีเขาเข้ามาในชีวิต มีโชน่ะนะ?
“เห็นไหม มึงคิดจริงจังกับเขา ไม่งั้นมึงไม่เหม่อขนาดนี้หรอก” ไอ้มาร์สำทับอีกครั้งหลังผมเงียบลงเพราะต้องการใช้ความคิดในการทบทวนอะไรกับตัวเอง
“กูดูมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ผมถาม ทุกคนรอบวงพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกันอีกครั้ง
“กูไม่อยากพูดถึงให้มึงเสียใจนะ แต่แบบ กูสังเกตอ่ะ มึงยิ้มต่างจากช่วงก่อนหน้าหลังจบกับพี่พอร์ช คือหลังจากออกจากโรงพยาบาล มึงยิ้มนะ แต่มันยิ้มไม่จริงแบบที่ไอ้พลอยว่า ยิ้มเพราะอยากให้พวกกูสบายใจ ทุกคนดูออก แต่ไม่พูดอะไร เพราะรับรู้เสมอว่ามึงคิดยังไง รู้ว่ามึงไม่อยากให้พวกกูเป็นห่วงเลยพยายามแสดงความเข้มแข็งออกมา
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น มึงยิ้มแบบยิ้มออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ถามทุกคนได้เลย มันรู้สึกได้จริง ๆ ว่าโลกของมึงดูสดใสมากขึ้นโดยที่มึงก็ไม่รู้ตัวเอง มันไม่ใช่ความรู้สึกของการอยากจะเข้มแข็ง แต่เพราะมึงเข้มแข็งและต้องการปกป้องใครอีกคน มันเลยปลดปล่อยออกมาเป็นตัวมึงในตอนนี้” ไอ้ทิพย์ค่อย ๆ พูดช้า ๆ ชัด ๆ สรุปให้ผมฟัง
“รู้ไหมว่ากูโคตรมีความสุขเลยที่มีคนแบบพวกมึงมาเป็นเพื่อนกันเนี่ย” ผมว่า อยากกอดพวกมันทุกคน ทั้งอยากขอบคุณและขอโทษมาก ๆ ในการกระทำหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมา
“ไม่เป็นไรหรอก คนเราผิดพลาดกันได้ ...หมายถึงพวกกูเนี่ย ผิดพลาดที่ไปคบมึง” ไอ้มาร์ว่า ทุกคนรอบโต๊ะหัวเราะ รวมทั้งหมดที่หัวเราะไปชูนิ้วกลางให้มันไป ผมปรบมือสองสามทีให้พวกมันสงบ ก่อนจะทวนแผนกันใหม่อีกครั้ง
ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมงในการปรับโครงสร้างของแผนการและภาคส่วนที่เราจะทำร่วมกันกับอีกหกมหาวิทยาลัยที่เหลือ ตรงส่วนนี้จะต้องมีการประชุมภายในกันอีกครั้งกับพวกพี่ปีโต สำหรับผมแล้วนี่ถือว่าเป็นทิศทางที่น่าพึงพอใจ อย่างน้อย ๆ แผนการกระจายองค์ความรู้ไปสู่น้อง ๆ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง
ไม่มีการให้อะไรที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่าการให้ความรู้และการศึกษา จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีการศึกษาจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ที่สุดแล้ว การศึกษาก็ยังเป็นประตูที่จะพาชีวิตไปสู่สถานภาพที่ดีกว่า อีกทั้งการให้ครั้งนี้ยังเป็นการให้ประโยชน์กับสังคมทั้งสังคมโดยตรง ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าบุคลากรที่สามารถก่อประโยชน์ให้สังคมต่อไปได้
หากโครงการนี้เริ่มต้นและค่อย ๆ ต่อยอดไปได้จริงในทุก ๆ ปี ผมเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุด เราจะได้บุคลากรที่มีคุณภาพ และทำประโยชน์ให้แก่สังคมสืบต่อไป ค่อย ๆ ให้กันต่อเป็นทอด ๆ ไป
ผมเชื่อว่าสักวัน สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน และเด็กหลาย ๆ คน คงจะมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
หลังประชุมเสร็จ พวกผมทั้งกลุ่มเลือกจะไปทานชาบูกัน จะว่าไปแล้วตอนที่ได้กินข้าวพร้อมกันกับเพื่อนทุกคนในกลุ่มก็ถือว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เห็น ผมนั่งหัวเราะไปกับการจิกกัดกันระหว่างไอ้ส้มและไอ้มาร์โดยหนีไม่พ้นมุกการเมืองและมุกใต้สะดือที่ขนมาเรียกเสียงหัวเราะพร้อมทั้งการทั้งตบ ชง ขยี้มุกของเพื่อนที่เหลือ ทำให้วงทานข้าวของเราตลอดสองชั่วโมงเต็มไปด้วยหัวเราะ (ผมว่าผมหัวเราะจนน้ำตาเล็ดด้วยซ้ำ)
หลังกินเสร็จ ดาวตกอาสาขับรถพาผมกลับไปส่งที่ห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานในค่ำคืนนี้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันกลับไปเตรียมอ่านมิดเทอมพร้อมทั้งรับปากว่าจะทำโน้ตย่อเผื่อแผ่มาให้ผมที่เป็นตัวแทนไปทำงานรุ่นในครั้งนี้ และเพราะแยกกันมาสองคน ผมถึงได้มีโอกาสอัปเดตเรื่องราวที่เกิดขึ้นของดาวตกกับ ‘สิ่งนั้น’
หลายครั้ง หลายเรื่อง ประหลาดเกินกว่าจะจินตนาการได้ว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่ผมไม่คิดแบบนั้น จริง ๆ แล้วชีวิตมนุษย์เราประหลาดเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแล้วเรื่องที่ดาวตกเล่าให้ผมฟัง ผมคิดว่ามันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ ส่วนทำไมถึงเกิดขึ้นกับเขา เวลาคงจะพอช่วยตอบคำถามนี้ได้
ดาวตกกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและกำลังใจจากผม หน้าที่ของเพื่อนคือการยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อน ผมไม่รู้ว่าทำไมดาวตกถึงกล้าที่จะเล่าเรื่องราวพวกนี้ให้ผมมากกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มฟัง แต่ถ้าจะให้เดา คงเพราะดาวตกคิดว่าผมน่าจะเป็นคนที่ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกไปโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับอนุญาตล่ะมั้ง?
ตกเย็น ผมแต่งตัวตามชุดที่เพื่อนสนิทให้ยืมมา วันนี้ใส่เป็นชุดสูทนอก เสื้อคอปกสีขาวด้านใน กางเกงสแล็คสีน้ำเงินเข้ม พยายามเป็นอย่างมากไม่ให้สีมันตัดกับสีผิวผมมากเกินไป เซทผมเล็กน้อย ตอนนี้ก็คิดว่าพร้อมแล้วที่จะไปงานในวันนี้ ยังไงซะผมกับพี่เขาก็เป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ ในงาน แค่เดินตามอาจารย์เฉย ๆ สบายมาก
พี่โต้งขับรถมารับผมที่หน้าหอพร้อมอาจารย์อีกท่านที่เป็นตัวแทนคณะเรา ตามมารยาทแล้วผมเลยขึ้นไปนั่งตีคู่ด้านหน้าคู่กับพี่โต้งแทน และเปลี่ยนให้อาจารย์ท่านไปนั่งหลัง ผมจะได้รู้สึกสบายใจหน่อย ที่ไม่ใช่ตัวเองนั่งหลังคนเดียว อ.เปรมบอกกับพวกผมว่า วันนี้จะมีหลายบริษัทที่เป็นทั้งพันธมิตรทางการค้าและคู่แข่งมาเข้าร่วมในงานเดียวกัน หน้าที่ของเราสองคน คือการใช้จังหวะที่อาจารย์เปิดให้นำเสนอโครงการเพื่อหาทุนสนับสนุนงบประมาณ ไม่ว่าจะได้เพิ่มเติมหรือไม่ก็ตามแต่ นี่ก็ถือเป็นอีกโอกาสที่ดี ที่จะใช้ประชาสัมพันธ์โครงการที่เกิดขึ้นไปในตัว
หลังผ่านสภาพจราจรในเย็นวันอาทิตย์ได้ พวกเราทั้งสามคนมาถึงที่โรงแรมที่จัดงานประมาณเกือบทุ่มกว่า ๆ พี่โต้งจอดส่งอาจารย์เปรมที่หน้าทางขึ้น ก่อนผมกับพี่มันจะขับรถวนไปจอดอีกที่ แล้วเดินตามเข้าไปในงาน
ภายในงานเป็นบรรยากาศกึ่ง ๆ ปาร์ตี้ หลายคนมีเครื่องมือในมือพร้อมทั้งกิน ดื่ม และพูดคุยในบรรยากาศสบาย ๆ ผมกับพี่โต้งในตอนนี้มีหน้าที่เป็นเด็กแบกแฟ้มโครงการและเป็นแบล็คกราวน์เวลามีคนเข้ามาทักทายอาจารย์ของพวกเรา ยิ้ม ยกมือไหว้สวัสดีตอนที่มีโอกาส แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้ลองเสนอโครงการของพวกเราดู
ผ่านไปสองชั่วโมงกว่า เสียงฮือฮาที่ด้านหลังของผมก็ดังขึ้นมา ที่แท้หนึ่งในคนที่ทำให้ผมอยากมางานก็มาถึง
คุณเอกก้าวเท้าเข้ามาในงานพร้อมรัศมีคนดังที่แท้จริง วันนั้นว่าหล่อแล้วนะ พอมาวันนี้แกใส่ชุดเต็มยศมาด้วย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูดีเป็นบ้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ชายของผมถึงมีแนวโน้มว่าจะชอบได้ง่าย ๆ ทั้งหล่อ รวย มีสมองในการทำงานครบองค์ประชุมขนาดนี้ ติดแค่เรื่อง ‘ข่าวลือ’ แปลก ๆ ช่วงแรก ๆ ที่พี่แกรับตำแหน่งมาก็เท่านั้น ถ้าไม่มีเรื่องนั้นทุกอย่างคงจัดอยู่ในหมวดหมู่เพอร์เฟคแมน ผู้ชายที่ห้ามพลาดเลยแหละครับ
“ไงเรา” พี่มันนี่ที่แยกตัวออกมาทางเข้าเดินมาถึงผม พอหันไปเห็นว่าอาจารย์ยังติดคุยอยู่กับแขกอีกท่าน ผมเลยถอยหลังออกมาแล้วยกมือสวัสดีพี่มันนี่
“สวัสดีครับพี่ วันนี้ก็ดูดีเหมือนเดิมนะ” ผมแซว แกยิ้มให้ก่อนจะชี้มาที่ปกเสื้อผม
“พี่ว่าจัดแบบนี้ดีกว่า...ดาวตกให้ยืมชุดมาใช่ไหม?” พี่มันนี่จัดปกเสื้อให้ผมพร้อมถาม ผมเกาหัวยิ้มเขิน ๆ แล้วพยักหน้า ชุดราคาแพงขนาดนี้ ตัวผมในตอนนี้คงหาซื้อเองไม่ได้หรอก
“เราเป็นไงบ้าง สบายดีนะ?” พี่เขาถาม ผมยิ้มแล้วบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลาย ๆ เรื่องให้ฟัง ถ้าจะมีใครสักคนที่ผมไว้วางใจว่าจะไม่ทำร้ายผม นอกจากเพื่อน ๆ ในโต๊ะวันนี้ ก็พี่ชายต่างสายเลือดที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเนี่ยแหละ พี่มันนี่รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผม โช หยก และคนอื่น ๆ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลและการตัดสินใจของผม
“เจ้าเด็กน้อย” พอฟังจบเขาก็พูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะเอามือขยี้หัวผมเล็ก ๆ เป็นการแก้อาการหมั่นเขี้ยว
“หลาย ๆ เรื่องเราไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรมากไปกว่านั้น อย่าเสียดายสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อย่าเสียใจกับสิ่งที่เราไม่ได้เลือก ถ้าปัจจุบันเรามีความสุขแล้วทุกอย่างคือจบ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากกว่าการตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเองเลย” พี่มันนี่ว่า ผมพยักหน้ารับคำ
“แล้วว่าแต่ว่าเจ้าแช..โชน่ะ ไม่ได้มากับเราเหรอ?” พี่มันนี่ถาม พร้อมทั้งมองไปรอบ ๆ ตัว ผมทำหน้างง ๆ พร้อมกับมองหน้ากลับไป พอเขาเห็นสีหน้าผม พี่มันนี่ก็เอามือเกาต้นคอและจิ๊ปากสบถเบา ๆ เป็นคำที่ผมไม่ได้ยิน
“วันนั้นพี่ยังไม่มีโอกาส และพี่ก็คิดว่ามันอาจจะละลาบละล้วงเรื่องของเรากับเขา เพราะพี่ไม่รู้สถานะของคนทั้งสองคน แต่จริง ๆ แล้วโชน่ะ...”
“คุยอะไรกันอยู่ครับ?” คุณเอกทัก พร้อมเดินมายืนข้าง ๆ พี่มันนี่
“คุณเอก สวัสดีครับ” ผมพูดขึ้นพร้อมยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็ยกมือรับอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“โครงการที่เราอัปเดตรายละเอียดอันใหม่มาให้พี่ อ่านแล้วมีหลายจุดที่ถูกใจ แต่อีกหลาย ๆ จุดพี่ก็ยังไม่เคลียร์เท่าไหร่นะครับ ตอนนี้พี่มีเวลาว่างให้เราประมาณ 15 นาที พร้อม พรีเซนต์ไหมเด็กน้อย?” พี่เอกว่าพร้อมยกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมาดูเวลา ผมอ้าปากเล็กน้อย บทจะเข้าถึงตัวก็ง่ายซะเหมือนฟ้าเต็มใจเลย
“ได้ครับพี่ ผมพร้อมครับ” ผมว่าพร้อมหันหลังกลับไปขอยืมแฟ้มมาจากพี่โต้ง พี่โต้งเข้าใจสถานการณ์ในพริบตา รีบส่งแฟ้มโครงการให้ผม พร้อมทั้งอธิบายให้อาจารย์ที่หันมามองเราสองคนพอดี พอส่งแฟ้มเสร็จอีกฝ่ายก็ยกนิ้วโป้งให้กับผม เป็นการส่งไม้ต่อให้เข้าไปนำเสนอแผนงานให้เต็มที่
“งั้นไปคุยกันตรงโต๊ะตรงนั้นเนาะ? มันนี่จะไปกับผมด้วยไหม?” พี่เอกหันไปถามพี่มันนี่ที่ทำสีหน้าไม่ถูก สุดท้ายพี่มันถอนหายใจเล็ก ๆ ยกมือขึ้นบอกปัด
“ช่างเถอะ ใครผูกก็ให้คนนั้นแก้ละกัน ผมไปหาอะไรกินก่อนแล้วกันนะครับ” พี่มันว่าง่าย ๆ ก่อนจะถอยหลังออกจากวงสนทนา ผมกับพี่เอกเดินไปหยุดตรงโต๊ะตัวยาวอีกตัว
“เอาล่ะ ไหนเรามีอะไรจะขายพี่ ขอเป็นในส่วนที่พี่ให้ไปทำการบ้านมาแล้วกันนะครับ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ พี่ยังจำให้ได้อยู่ แล้วก็ ยังไงมันนี่ก็ยังเป็น ‘คนของพี่’ ต่อให้เขาจะพูดเชียร์แต่ถ้าไม่ดีจริงพี่ก็คงไม่ร่วมลงทุนด้วยนะ” พี่เอกว่า ผมกลืนน้ำลายนิดหน่อย มาถึงก็ใส่ผมไปหนึ่งดอกเลยเหรอ ตาคนนี้นี่
“เริ่มจากตรงส่วนนี้ก่อนนะครับ ผมกลับไปพิจารณาแล้ว โครงการนี้เป็นโครงการที่ใหญ่เกินกว่าหนึ่งไตรมาสหรือหนึ่งเทอมจะทำสำเร็จครับ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่สามารถเริ่มต้นได้ และนอกจากมหาวิทยาลัยของพวกผมแล้ว จะมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่สนใจและเตรียมที่จะเข้าร่วมการโคฯงานกับพวกผม ในส่วนตรงนี้ยังเป็นเรื่องของขั้นตอนการพิจารณาและการดำเนินเรื่องครับ” ผมอธิบายอย่างคล่องแคล่วพร้อมค่อย ๆ เปิดแฟ้มผลงานให้พี่มันดูไปด้วย
สิ่งหนึ่งที่พี่มันนี่สอนให้ผมสังเกตผู้คนเสมอ ๆ คือดวงตาของอีกฝ่าย ‘ร่างกายคนเรามันไม่เคยโกหก’ พี่มันนี่บอกกับผมไว้แบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นลักษณ์การเคลื่อนไหวดวงตา การจ้องมองอีกฝ่าย หรือการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นการเคาะนิ้วกับโต๊ะหรืออื่น ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสัญลักษณ์การแฝงความหมายต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
คุณเอกเป็นผู้ชายที่ตาสวยและมีพลังมาก ๆ คนหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่คุยกัน ถ้าเป็นคนที่คุมสติไม่อยู่อาจจะเผลอพูดจานอกเรื่องราวไปบ้าง ผมเองก็เกือบ ๆ ดีที่ว่าในใจผมมีใครอีกคนอยู่แล้วเลยไม่จำเป็นต้องหาใครเพิ่มเติมอีก พอพรีเซนท์เสร็จพี่มันก็ปรบมือให้ผมเบา ๆ
“ตั้งใจทำการบ้านมาเตรียมรูดทรัพย์พี่เต็มที่เลยนะเราน่ะ” คุณเอกว่า ผมหัวเราะแล้วเกาหัวเบา ๆ แก้เขิน ก็ตั้งใจแบบนั้นจริง ๆ น่ะสิครับ
“เรื่องตัวโครงการ พี่ว่าค่อนข้างโอเค เราตอบคำถามที่พี่สงสัยหลายข้อได้ดี ส่วนข้อที่ยังตอบได้ไม่ชัดเจนก็ไว้เก็บเป็นการบ้านคราวหน้าไป ทำอย่างที่ทำวันนี้แหละ อะไรที่เรายังตอบไม่ได้ก็อย่าพยายามไปชูประเด็น ทุกครั้งเวลาทำอะไรเราไม่มีทางพร้อม 100 เปอร์เซ็นหรอก มันต้องมีบางส่วนที่เรายังไม่พร้อม ไม่มีคำตอบ หรือยังไม่แน่ใจในอะไรทั้งนั้น..” พี่เอกว่าช้า ๆ มองหน้าผม ถึงตรงนี้แหละที่ทำให้ผมมั่นใจว่าพี่มันมองผมด้วยแววตาเดียวกับพี่มันนี่ตอนเวลาสอนอะไรสักอย่างให้ผมฟัง
“ความไม่พร้อมอาจจะทำให้เราแสดงออกได้ไม่ชัดเจนไปบ้าง หรือแสดงออกแล้วคลาดเคลื่อน ปิดบัง หรืออาจจะอธิบายไม่ครบ แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ให้มองภาพรวมเป็นหลักนะครับ...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” พี่มันพูดสำทับ พอเห็นผมทำหน้างงแกก็เลยบอกว่าช่างมันเถอะ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยแทน
“จะว่าไปแล้ว พี่ถามหน่อยได้ไหม”
“ครับ?”
“ทำไมถึงอยากทำโครงการนี้ให้สำเร็จขนาดนั้น หมายถึง นอกจากได้เก็บเป็นแฟ้มพอร์ตผลงานแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่กระทบกับชีวิตของเราถึงขนาดอยากมอบให้กับคนอื่นขนาดนั้น” คุณเอกถาม ผมยิ้ม พยักหน้ารับคำถาม เป็นคำถามที่ผมมักจะโดนถามบ่อย ๆ หลังอีกฝ่ายสังเกตให้เห็นว่าผมจริงจังกับโครงการนี้มากแค่ไหน
“ไม่รู้สิ คำตอบของผมมันอาจจะโลกสวยไปหน่อยก็ได้...”
“ครับ”
“ผมก็แค่ไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องเกิดมาเจอเรื่องแบบผมแค่นั้นเอง”“เราหมายถึง...”
“อ๊ะ คุณเอกสวัสดีค่ะ” ในตอนที่คุณเอกจะพูดต่อก็มีเสียงเล็ก ๆ ใส ๆ เสียงหนึ่งแทรกเข้ามา ผมหันไปมองตามเสียงเรียกพี่เอกแล้วก็พบบุคคลอีกคนที่กำลังทำหน้าตกใจไม่แพ้กันไปกับผม
“คุณเอกคะ นี่คุณแชมป์ อิทธิพงศ์ รองประธานบริษัทสยามพัฒน์ ที่กำลังมีโครงการจะนำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากญี่ปุ่น...”หูของผมอื้อจนจับใจความท้ายประโยคนั้นไม่ได้ ใบหน้าที่เห็นกันอยู่ตรงนั้นคุ้นเคยจนผมไม่สามารถปฏิเสธว่าเป็นแค่คนหน้าคล้ายหรือใครคนอื่นไปได้
ผู้ชายตรงหน้าผมก็คือ อิทสึกิ ... ‘โช’
...........................
“ทีเร็กซ์ เดี๋ยว !! ฟังพี่ก่อน” เสียงผู้ชายคนนั้นตะโกนไล่ตามหลังผมมา
หลังผมได้สติชั่วครู่ ผมยกมือไหว้คุณเอกและขอตัวจากวงสนทนา พร้อมทั้งไม่ลืมรักษามารยาทด้วยการเดินไปบอกพี่โต้งและสวัสดีขอลาอาจารย์กลับที่พักไวกว่าที่คิด ผมรู้จักตัวเองดีมากพอ และผมรู้ว่าตอนนี้สติของผมเหลือไม่มากพอจะเสนอโครงการอะไรอีกแล้ว
“พี่ขอร้อง ฟังพี่ก่อนได้ไหม...” เขาตะโกนไล่ตามหลัง ตอนนี้ผมเดินมาถึงแถว ๆ ลานกว้างเกือบจะถึงถนนใหญ่แล้ว ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองหน้าเขา
“คุณแชมป์มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ?” ผมหันไปถาม พยายามเป็นอย่างมากที่จะบังคับไม่ให้น้ำเสียงแสดงออกถึงความเสียใจที่รู้สึกไปหมดทั้งข้างใน
“พี่อธิบายได้” เขาว่า ยืนหอบที่วิ่งตามผมมาแต่ไกล
“....”
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเรา พี่แค่...ยังไม่มีโอกาสที่จะได้เล่าให้เราฟัง”
“ครับ...ไม่มีโอกาส เราคุยโทรศัพท์กันทุกวัน เราเจอหน้ากันแทบจะทุกอาทิตย์ ตลอดเกือบสองสามเดือนที่ผ่านมา นั่นไม่ทำให้พี่ไม่มีโอกาสได้บอกอะไรกับผมใช่ไหม...” ผมว่า เผลอหลุดเรียกคนตรงหน้าว่าพี่ไปอีกแล้ว
“ที..พี่ขอโทษ อย่าเพิ่งร้องไห้ ฟังพี่ก่อนจะได้ไหม” เขาว่ามาแบบนั้น ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังร้องไห้ตอนไหน
“พี่รู้ไหม ตอนนี้เราไม่แน่ใจอะไรอีกแล้ว...”
“....”
“ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ใช่คนเดียวกับที่นอนกอดเราทุกคืนวันเสาร์อาทิตย์ไหม?”
“....”
“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา แม่งเป็นเรื่องจริงไหมวะ? หรือสุดท้ายแล้วต้องเป็นผมอีกแล้วใช่ไหมที่เสียใจกับการเปิดใจให้ใครสักคนแล้วมันก็พังลงแบบนี้ พี่โกหกผมทำไมวะ พี่ทำไปเพื่ออะไรอ่ะ มันมีเหตุผลอะไรถึงต้องโกหกกันมากขนาดนี้” ผมระบายออกไปผ่านน้ำเสียง น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
สุดท้ายแล้วเขาก็หลอกผม เหมือนกับที่ใครหลายคนผ่านเข้ามาและเดินจากไป
...ไม่มีใครอยากจะเป็นครอบครัวกับเด็กแบบผมจริง ๆ
“พี่ขอโทษ พี่ยอมรับเอง พี่ผิดเองที่ไม่บอกเรา แต่พี่พยายามหาโอกาส แล้วพี่ก็รอเวลาที่จะบอก...”
“ตอนไหนล่ะพี่ เราต้องรอไปอีกเมื่อไหร่ ถ้าวันนี้เราไม่ได้บังเอิญเจอกันที่นี่ เราจะต้องถูกหลอกไปอีกนานเท่าไหร่ พี่คิดว่าเราโง่มากใช่ไหม หรือพี่คิดว่าเราเป็นอะไร ทำไมพี่ถึงไม่บอกตรง ๆ แบบนั้นตั้งแต่แรก พี่กลัวอะไรเหรอ กลัวว่าประวัติเราจะทำให้รองประธานบริษัทแบบพี่เสียภาพลักษณ์ลงไปใช่ไหม หรือจริง ๆ แล้วพี่ไม่ได้กลัวอะไรเลยนอกจากความจริง พี่ตอบเรามาสิ!!!” น้ำเสียงของผมแทบจะเปลี่ยนเป็นตะคอกด้วยซ้ำ
หัวใจข้างซ้ายของผมสูบฉีดเลือดออกมาไม่เป็นจังหวะ กล้ามเนื้อทุกส่วนแทบจะเกร็งไปทั้งตัว ผมปล่อยโฮออกมาพร้อม ๆ กับทุกความคิดในหัวที่ประดังขึ้นมา สุดท้ายแล้วเขาก็เหมือนคนอื่น ๆ เขาคือคนที่ไม่สามารถยอมรับอะไรในตัวผมได้ เขาถึงเป็นแค่โช เป็นแค่โชที่บอกกับผม
“พี่เลือกไม่ได้”
“พี่เลือกอะไรไม่ได้ พี่เลือกไม่ได้หรือพี่ไม่เลือก!!!”
“พี่เลือกไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาพี่ยังไม่เคยเลือกอะไรได้เองเลยสักครั้ง เพราะคำว่าลูก เพราะครอบครัว เพราะสายเลือด ทุกอย่างไม่เคยอยู่ในการคอนโทรลของพี่ การเรียน หน้าที่การงาน เพื่อนฝูง พี่ไม่เคยเลือกอะไรสักอย่างได้ เพราะพี่คือสมบัติของพวกเขา ทุกอย่างมันถูกเตรียมมาแบบนั้นหมดแล้ว พี่...พี่” เขาพยายามอธิบาย เสียงสั่นคลอนไม่แพ้ผม
“พี่ไม่ใช่เลือกไม่ได้ พี่แค่ไม่เลือก!!! พี่แค่เลือกว่าจะเป็นพี่ที่ยืนตรงหน้าผม”
“ใช่ ที่ผ่านมาพี่อาจจะเลือกไม่ได้ หรือพี่อาจจะไม่เลือกก็ได้ แต่ไม่ใช่กับเรา เพราะพี่เลือกเราแล้วต่างหาก พี่ถึงมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะพี่อยากอธิบายให้เข้าใจ”
“ใช่..พี่เลือกแล้ว”
“...”
“...พี่เลือกจะโกหกผมตั้งแต่ต้น”
“แล้วจะให้พี่ทำยังไงวะ พี่ต้องทำยังไงเหรอ ต้องเดินเข้าไปบอกว่า ‘สวัสดี ผมแชมป์ รองประธานบริษัท’ บลาๆๆๆ เหรอทีเร็กซ์ ไม่สิ ไม่ใช่หรอก เราอาจจะไม่ได้ชื่อนี้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่พี่หรอกที่โกหก เราต่างก็โกหกตั้งแต่เริ่มต้นกันแล้ว” เขาตะคอกคืนกลับมา ผมยิ่งสะอื้นไม่หยุด ตั้งแต่รู้จักกัน ผมไม่เคยโดนเขาตะคอกใส่แบบนี้ด้วยซ้ำ
“ใช่ เราต่างโกหกปิดบังกันมาตั้งแต่ต้น แต่หลังจากนั้นมาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของผมมันคือ 'เรื่องจริง'” ผมว่า เม้มปากจนเจ็บไปหมด
“...”
“แต่ถ้าพี่ไม่ใช่คนที่ผมรัก พี่คงไม่มีวันได้เห็นผมร้องไห้เพราะเสียใจมากขนาดนี้”“ที พี่ขอโทษ พี่” เหมือนเขาจะรู้สึกตัวได้ว่าพูดอะไรกับผมออกมา อีกฝ่ายเริ่มร้องไห้ไม่ต่างจากผม
“...มันผิดตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ”
“ที พี่ขอโทษจริง ๆ ให้โอกาสพี่สักครั้งได้ไหมครับ” เขาว่า พยายามพูดสุดเสียง ผมเม้มปากสนิทไว้แล้วพูดกลับไปเป็นคำสุดท้าย
อะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้ สิ่งนั้นล้วนมอบความทุกข์มากมายแสนสาหัสให้เราไม่ต่างกัน
“ผมว่า...เราหยุดทุกอย่างไว้ตรงนี้ดีกว่า”“ที เดี๋ยวก่อน!!!”
ผมได้ยินเสียงเขาเป็นครั้งสุดท้ายแบบนั้น ก่อนจะกระโดดขึ้นรถแล้วบอกจุดหมายปลายทางให้คนขับฟัง ผมขอโทษพี่คนขับที่อาจจะร้องไห้เสียงดังไปหน่อย โชคดีของผมที่พี่เขาเข้าใจ ไม่ว่าอะไร และเปิดเพลงเสียงดัง ๆ เพื่อให้กลบเสียงผมร้องไห้ตามคำขอร้องของผม
ถ้ารู้ว่ามันจะจบแบบนี้ตั้งแต่ต้น
...วันนั้นแล้วผมไม่น่ายอมให้พี่เข้ามาในหัวใจของผมเลย
TBC. ตอนนี้เปิดให้สั่งจองหนังสือแล้วนะครับ ปิดจองวันที่ 1 เมษายน 2562 ขอขอบคุณทุก ๆ การสนับสนุนครับ
รายละเอียดหนังสือและแบบฟอร์มสั่งของหนังสือ : >>>
https://1th.me/ZBRtขอบคุณครับ
Time Talk : อีกสองตอนนะครับ มากอดกันให้แน่น ๆ นะครับสำหรับตอนถัดไปนั้นมันค่อนข้าง...โอ้ว
ขอบคุณครับ มาอยู่ด้วยกันก่อนนะครับ อีกไม่นานแล้วนะ ฮึ้บ ๆ