◑
คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก
ตอนที่ 4 : ดินเนอร์
_________
“ภัทรรบกวนด้วยนะครับ...ครับ...ขอบคุณครับ”
หลังจากวางสาย กระดาษในมือก็ถูกส่งไปวางยังกองงานด้านข้างเพิ่มอีกปึกใหญ่จนตอนนี้มันสูงเกือบจะเท่าแก้วกาแฟที่ตั้งไว้อยู่รอมร่อ เขาเหล่มองเอกสารด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ถ้าไม่ใช่คีรติ เขาก็คงไม่มีวันทุ่มเทให้กับทุกอย่างมากขนาดนี้เป็นอันขาด
แน่นอนอยู่แล้ว...ใครๆก็อยากลงสนามเดิมพันถ้าของรางวัลมันคุ้มที่จะเสี่ยง
มันเกิดขึ้นในงานเลี้ยงงานหนึ่งที่คุณลุงลากเขามาด้วยเพียงเพื่อหวังให้หลานชายได้รู้จักสังคมของนักธุรกิจ แน่นอนว่าภัทรไม่ได้มีความยินดีที่จะไปเลยสักนิดถ้าไม่ติดว่าไม่อยากขัดใจผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเขามาโดยตลอด เจ้าตัวก็คงจะปฏิเสธอย่างแน่นอน มุมหนึ่งข้างกระจกใสบนตึกชั้นสูงสุดในงานเลี้ยง ̶ เขาซ่อนตัวในมุมนั้นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย จ้องมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาในชุดแสนสวยราคาแพง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะจับกลุ่มคุยกันเป็นวงกว้างต่างจากเขาที่ปลีกตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ
เช่นเดียวกับผู้ชายอีกคนที่มีจุดประสงค์ไม่ต่างกัน
ไม่รู้ว่าเพราะชุดสูทสีดำสนิทหรือเส้นผมสีเดียวกันที่มันขับให้คนคนนั้นดูน่ามองจนละสายตาไม่ได้ ภายใต้ใบหน้าราบเรียบไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไร ถึงแม้จะไม่มีอะไรที่ทำให้อีกคนเป็นจุดสนใจ แต่ภัทรก็เห็นว่าสายตาแขกในงานที่ชำเลืองมองมายังอีกฝ่ายก็มีมากอยู่พอตัว
นาฬิกาเหล็กสีเงินที่พาดไว้ยังข้อมือแข็งแกร่งถูกยกขึ้นดูเป็นหนที่สอง คล้ายกับคนตัวสูงกำลังเฝ้ารอใครสักคน และไม่นาน ผู้ชายมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณลุงก็ยกมือไหว้สวัสดีคนตรงหน้าพร้อมกับการไหว้รับของอีกฝ่าย เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ภัทรเห็นรอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้านิ่งเฉย มันดูต่างออกไปเมื่อมันไม่ได้ดูหยิ่งผยองแบบที่เป็นมาตลอดสามสิบนาทีที่ยืนอยู่ และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
อีกฝ่ายก้มหัวให้กับทุกคนที่เข้าหา ไม่ว่าจะอายุน้อยกว่าหรือมากกว่า น่าจะเป็นคนดังของแวดวงนี้อยู่พอสมควรเพราะนักธุรกิจที่เขาพอจะรู้จักก็เข้ามากล่าวทักทายด้วยกันทั้งนั้น ภัทรเบ้ปาก ก่อนจะละสายตาออกจากคนตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ด้านข้าง
‘คีรติเขามาด้วยหรอ ปกติไม่เห็นออกงานสังคมเท่าไหร่เลย?’ มือเล็กป้องปาก หญิงสาวสองคนกระซิบกระซาบกันอยู่ใกล้โดยไม่สนใจว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่า
‘เพราะเป็นบริษัทของลูกน้องคนเก่าลาะมั้ง’
‘งั้นหรอ แต่ช่างเถอะ ยังไงวันนี้คุณคีก็ยังหล่อเหมือนเดิมเลย’
‘นั่นสิ หล่อแล้วยังเก่งอีกด้วยนะ ได้ข่าวว่าเขาจะเปิดตัวโปรเจคใหม่ที่สิงคโปร์ ไม่รู้เรื่องจริงหรือว่าเป็นแค่ข่าวลือ’
บทสนทนาที่ยกยอคีรติยังมีให้ได้ยินเรื่อยๆ และมันก็เป็นจริงดังที่เขาคาดเดาไว้ทั้งหมด
ดูเหมือนผู้ชายตรงหน้าจะเป็นคนสำคัญจริงๆซะด้วย
คนตัวเล็กหัวเราะหึในลำคอก่อนจะวางแก้วไวน์ในมือลงบนถาดของบาร์เทนเดอร์สักคนในงาน เจ้าตัวตรงดิ่งมายังห้องน้ำเพื่อจัดการธุระของตัวเองให้แล้วเสร็จ เมื่อก้าวออกมา โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นรัวพร้อมกับปรากฏชื่อของเลขาส่วนตัวบนหน้าจอ
(คุณภัทรอยู่ที่ไหนคะ)
“ภัทรอยู่ห้องน้ำกำลังจะออกไป พี่หน่อยมีอะไรรึเปล่าครับ” เขาใช้สายตาสอดส่องมองหาคนปลายสายท่ามกลางแขกเหรื่อจำนวนมาก
(พี่มีเรื่องจะรบกวนภัทร..นิดหน่อย) เสียงหญิงสาวฟังดูตะกุกตะกัก ท้ายประโยคแผ่วเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน เขาแปลกใจเล็กน้อยแล้วพยายามเรียกหาอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
“พี่หน่อย พี่หน่อยครับ ได้ยินภัทรมั้ย?”
ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลยังคงอยู่เมื่อได้ยินเสียงอื้ออึงตอบกลับมาแต่ไม่มีประโยคใดเอื้อนเอ่ย ในจังหวะที่ภัทรกำลังหันหลังกลับ สายตาของเขาก็มองเห็นเลขาคนสนิทที่กำลังถือโทรศัพท์ค่อยๆล้มตัวลงอย่างไร้สติ
พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ กำลังรับร่างของเธอเอาไว้ให้อยู่ในอ้อมแขน
ผู้ชายคนนั้น...ที่ยืนหลบอยู่มุมเดียวกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า
ผู้คนบริเวณรอบข้างต่างตกใจไม่ต่างจากเขา เสียงฮือฮาดังขึ้นเป็นหย่อม โชคดีที่โถงทางเข้าไม่ค่อยมีผู้คนมากนักทำให้สถานการณ์ไม่แตกตื่นจนเกิดกว่าจะรับมือไหว ภัทรมองภาพนั้นนิ่ง ไม่รู้ทำไมถึงไม่ยอมเข้าไปใกล้แม้จะเป็นห่วง
นิสานารถไม่น้อยไปกว่าคนอื่นเลยสักนิด
อาจจะเป็นเพราะการที่เห็นร่างสูงรีบถอดเสื้อสูทของตัวเองขึ้นคลุมยังร่างกายของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลว่ามันจะเปรอะเปื้อน เพราะการที่มือใหญ่รีบถอดส้นสูงสีดำสนิทแล้วตั้งใจนวดไปยังปลายเท้าเบาๆในตอนที่เริ่มมีคนเข้ามาช่วย
หรือเพราะหน้าอกด้านซ้ายของเขาที่เริ่มเต้นผิดจังหวะกับความใจดีที่ไม่เคยได้พบเจอ
กับผู้ชายคนนั้น
ที่จู่ๆก็เข้ามาทำให้ความคิดบางอย่างของเขามันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
/
“ร้านซ่อมรถหรอครับ?”
“อืม พี่เพิ่งไปสอยเสามา ท้ายบุบเลย”
“ฮ่าๆ ภัทรก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่เคยชนสักครั้งเพราะไม่ค่อยได้ขับบ่อย” เขาพูดโดยยังไม่หันไปมอง วางของตกแต่งลงบนชั้นวางไม้เมื่อทำการสำรวจห้องของอีกฝ่ายแล้วเสร็จ มืออีกข้างยังถือเอกสารที่นำมาด้วยไม่ห่างตัว
“จริงหรอ?”
“ครับ”
โกหกไม่ใช่ว่าไม่รู้จักหรอก แต่เขามักจะให้คนอื่นจัดการตลอดเสียมากกว่า
กับคนที่โดนเลี้ยงให้อยู่สบายมาทั้งชีวิตก็คงไม่แปลก
“เดี๋ยวภัทรช่วยหาให้ก็ได้ครับ พี่เล็กอยากได้อู่แบบไหน” เขาถามต่อ บทสนทนาในยามบ่ายของคนแอบอู้งานเริ่มกินเวลานานมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะมุกตลกของอีกคนทำให้ภัทรรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเก่า เขาอยากจะขอบคุณคนตรงหน้าเป็นครั้งที่ร้อยที่ทำให้ชีวิตการทำงานในบริษัทไม่เงียบเหงาอย่างที่คิด
“ภัทร”
“ครับ” อีกคนเงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เอนกายไปด้านหลังเพื่อพิงพนักของเบาะนุ่ม
“รู้จักน้องแม็คไอทีไหม?”
“ใช่คนตัวสูงๆ มัดผมจุกไหมครับ ถ้าแม็คนั้น ภัทรก็พอรู้จักอยู่บ้าง เขาเข้ามาคุยเรื่องงานเมื่อวันก่อน” นิ้วเรียวดันกรอบแว่นขึ้นสูงเมื่อมันไถลตกหล่น พิงตัวไว้กับโต๊ะอีกด้านแล้วมองคนถาม
“แม็คนั้นแหละ…เขาบอกว่าภัทรน่ารักดี”
“อ่า หรอครับ?”
“ห้องบัญชีก็ชอบเล่าเรื่องเราให้ฟังอยู่บ่อยๆ เสน่ห์แรงเหมือนกันนะเนี่ย”
คนที่ฟังอมยิ้ม ไม่เคยคิดว่าการทำตัวเฉิ่มจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ภัทรคนเก่ากับภัทรคนนี้ก็ยังมีมุมที่มันทับซ้อนกันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นภัทรคนไหนก็มักจะมีผู้ชายเข้าหาไม่เคยขาด
“ไม่หรอกครับพี่เล็ก ใครเขาจะไปชอบภัทรกัน” คำปฏิเสธถูกเอื้อนเอ่ยเพื่อไม่ให้ดูหลงตัวเองมากเกินไป คนอายุมากกว่าหัวเราะขบขัน มองเลขาของเจ้านายด้วยความเอ็นดู
“เรายังไม่มีแฟนใช่ไหมล่ะ”
“ยังครับ”
“แม็คมันก็นิสัยดีนะ เผื่อมีโอกาสได้ทำความรู้จัก”
“เขาไม่ได้จะจีบภัทรเสียหน่อย เดี๋ยวนี้พี่เล็กชอบทำตัวเป็นพ่อสื่อหรอครับ?” คิ้วขมวดเป็นปมของคนฟังทำเอาเสียงหัวเราะดังมากขึ้นกว่าเก่า ก่อนที่เสียงเคาะประตูหน้าห้องพร้อมกับเจ้าของชื่อที่ถูกพาดพิงถึงจะเข้ามายังด้านในเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นหัวข้อของบทสนทนานี้อยู่
“ผมมาขัดจังหวะรึเปล่า” รูปร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามายังด้านในก่อนที่จะนำเอกสารในมือวางไว้บนโต๊ะ
“เปล่าครับ” ภัทรยิ้มตอบ และนั่นทำให้อีกฝ่ายได้สบตากับเขาในตอนที่หันมาหา ยิ้มจางถูกส่งกลับมาจากผู้มาใหม่ เขาเห็นพี่เล็กแอบมองเราทั้งคู่ในตอนที่หยิบเอกสารขึ้นอ่าน ภัทรเม้มริมฝีปากแล้วคลายออกก่อนที่จะขอตัวลาเมื่อพบว่าควรไปทำหน้าที่ของตัวเองให้แล้วเสร็จ
สองเท้ามุ่งหน้าไปยังลิฟต์โดยสารที่อยู่ฟากฝั่งของตึก แฟ้มเอกสารในมือรวบแน่นเข้าหากันอีกครั้งก่อนจะได้ยินใครสักคนวิ่งมาสมทบด้านหลังในจังหวะที่กดปุ่มสีเทา
“งานเยอะหรอครับคุณภัทร” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ภัทรก้มหน้าให้เล็กน้อยตามมารยาทก่อนจะตอบกลับ
“ครับ วันนี้ภัทรเดินเอกสารทั้งวันเลย”
“ฮ่าๆ งี้แหละนะ ช่วงสิ้นปีทีไรออฟฟิศวุ่นกันทุกที”
เพราะมัวแต่สนใจคนด้านข้างที่พูดคุยด้วย ภัทรเลยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนหยุดยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาทั้งคู่ ประโยคหลอกล้อที่อีกฝ่ายมีให้กลับมากขึ้นจนภัทรแอบใจเต้นแรงไปกับการหว่านล้อมด้วยคำหวาน แต่ถึงอย่างนั้น ความต้องการเขายังคงแน่ชัดและมีแค่ผู้ชายเพียงคนเดียว
สัญญาณลิฟต์บ่งบอกว่าการจากลากำลังจะเดินทางมาถึง ดังนั้น ผู้ชายตัวสูงจึงเอ่ยคำชวนที่เก็บเอาไว้มาเนิ่นนาน
“คุณภัทรครับ”
“ครับ?” เขาหยุดชะงักเพราะเสียงเข้ม อีกคนเกาท้ายทอยก่อนจะพูดต่อ
“เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ แผนกผมกับแผนกพี่เล็กมีนัดสังสรรค์จบโปรเจคพอดี เห็นคุณภัทรยังไม่เคยไปด้วยกันเลยอยากมาชวน”
เขานิ่งคิด ถึงอยากเก็บตัวเพราะกลัวว่าจะมีใครล่วงรู้ความจริงเข้าแต่พื้นฐานความต้องการของตัวเองมันกลับสวนทางกันเป็นอย่างมาก
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และคนที่ชอบเข้าสังคมอย่างเขามีหรือที่จะไม่หวั่นไหวกับคำร้องขอ
“คือ ̶ ”
“ขอโทษนะครับ เย็นนี้ภัทรมีนัดกับผมแล้ว”
ไม่ทันได้พูดต่อแรงดึงจากมือใหญ่ก็ทำให้ภัทรต้องรีบเดินตามเข้าไปในลิฟต์ กลิ่นน้ำหอมที่โชยเจือจางทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าใครที่เป็นคนขัดจังหวะ ประตูลิฟต์ปิดลงพร้อมกับใบหน้างุนงงของคนที่ยังยืนอยู่ด้านนอก ถึงจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่ภัทรก็จะถือว่ามันเป็นเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างช่วยไม่ได้
ก็คีรติน่ะ...กำลัง
หึงเขาอยู่ไม่ใช่หรอ?
แรงรัดจากมือใหญ่ที่เกาะกุมไว้ยังแขนเล็กยังไม่คลายออกจากเดิม ความอุ่นที่ส่งผ่านการสัมผัสทำให้ภัทรอมยิ้ม
“เอ่อ คุณคีครับ...” เขาเอ่ยเรียกถึงแม้จะอยากอยู่แบบนี้ให้นานอีกสักหน่อย
“ว่าไง” ประโยคห้วนๆมาพร้อมกับเสียงทุ้มที่เดาความรู้สึกไม่ได้
“คือ...แขนภัทร...”
“โทษที”
“ครับ”
ถ้าเป็นภัทรคนเก่า เขาก็คงจะถามไปตรงๆว่าทำไมคีรติถึงต้องลากจัวเองออกมาเช่นนี้ แต่เพราะภัทรคนนี้ยังต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ข้างใน การที่จะเป็นตัวของตัวเองมากไปอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก
ติ๊ง!
เราทั้งคู่เงียบจนลิฟต์มาถึงชั้นปลายทาง เขารอให้คีรติก้าวออกไปก่อน แต่อีกคนก็ยังยืนนิ่ง เป็นเวลานานกว่าที่ภัทรจะตัดสินใจเดินออกมาเป็นคนแรก และรอบนี้ข้อมือของเขาก็ถูกรั้งเป็นครั้งที่สอง
“คุณภัทรครับ”
“ครับ”
“วันนี้ไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม?”/
ถามว่าคนอย่างภัทรน่ะหรอจะปฏิเสธ
ในเมื่อเหยื่อ
ตั้งใจวิ่งเข้าถ้ำเสือแล้วบังเอิญว่าเสือเกิดสนใจทำไม
เหยื่อจะต้องเสียใจที่โดนขย้ำ
รถยนต์คันหรูสองที่นั่งเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ไปยังจุดหมาย ท้องฟ้ามืดสนิทมีเพียงแสงจากตึกใหญ่และแสงไฟจากท้องถนนที่ส่องผ่าน ทางพิเศษที่ใช้โดยสารสิ้นสุดลง ณ ถนนเส้นหนึ่งที่เป็นสี่แยก เรามีบทสนทนากันเล็กน้อยเมื่อสภาพการจราจรติดขัดแต่ไม่นานร้านอาหารที่เขาพอจะคุ้นชื่อก็ปรากฏตรงหน้า
ภัทรเปิดประตูรถลงก่อน อาจจะเพราะยังเกร็งกับการนั่งรถกับอีกฝ่ายสองต่อ คีรติตามมาด้วยชุดสูทที่เห็นมาทั้งวัน สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบาย
“เข้าไปข้างในกันเถอะครับ”
“คุณคี”
เขาเรียกในตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะออกเดิน สองเท้ามุ่งตรงไปหาเจ้านายแล้วหยุดยืนตรงหน้า ช้อนตามองภายใต้กรอบแว่นใสแล้วเอ่ยขออนุญาต
“ขอโทษทีนะครับ เนกไทของคุณมันเบี้ยวนิดหน่อย”
ภัทรไม่รอคำตอบเมื่อเอื้อมมือไปจัดชุดให้คนตัวสูง เพราะรู้ดีว่าคีรตินั้นไม่มีทางขัดขืนกับสิ่งที่มอบให้ สังเกตได้จากสายตาแพรวพราวที่มองมาคล้ายเจอของถูกใจ เขาขยับเจ้าเนกไทสีดำที่มัน
ไม่ได้เบี้ยวอย่างที่พูดไว้ ใช้มือลูบไล้ปกเสื้อเชิ๊ตสีขาวจากทางด้านหลังและนั่นทำให้เหมือนกับว่าเขากำลังใช้มือคล้องคออีกฝ่าย ร่างกายเราแนบชิดเมื่อคีรติขยับเข้าใกล้ นิ้วชี้บรรจงกรีดกรายเข้ากับลำคอแกร่งเป็นทางก่อนทั้งหมดจะหยุดลงที่เสื้อสูทตัวนอก
พร้อมกับเสียงลมหายใจขาดห้วงของเขาเองที่ไม่สามารถกักเก็บไว้ได้
ดวงตากลมโตหลับลงพยายามเรียกสติให้คืนกลับมาโดยไว มือสองข้างกำแน่นเข้าหากันทิ้งไว้บนอกแกร่ง คีรติแปลกใจเมื่อเห็นอาการของเขาจึงรีบเข้ามาประคองเอาไว้ นิ้วมือที่ไล้ไปมาบนเอวผ่านเนื้อผ้าทำให้ร่างกายร้อนรุ่มกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ไม่น่าเลย
คนคนนี้มีอิทธิพลต่อใจเขามากเกินไป
“คุณภัทร เป็นอะไรไหมครับ?”
เขาพยายามผละตัวห่าง ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่ร่างกายของอีกฝ่ายกำลังกระตุ้นความต้องการที่ซ่อนไว้ให้เผยออก
“ภัทร..ไม่เป็นไรครับ” เสียงเขาตะกุกตะกัก ก้มหน้าลงเพื่อปกปิดอารมณ์วาบหวามที่พุ่งขึ้นสูง
“คุณแน่ใจนะ?”
“...” คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ตอบรับ พยายามลบภาพของตัวเอง
บนเรือนร่างของคีรติให้หายไปจนหมดแล้วประคองตัวเดินไปอีกทางโดยไม่ลืมที่จะทิ้งข้อความเอาไว้
“งั้น..ผมขอตัวไปห้องน้ำสักครู่แล้วกันครับ”#คุณไม่ตรงปก
081118
before30october